บล๊อกสวยสมวัย MercuryBooks
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2553
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
20 ตุลาคม 2553
 
All Blogs
 

ปาฏิหารย์รักฯ บทที่ ๑๒ โดย บัดดี้

ชาลิสานอนพลิกตัวไปมา ไม่เข้าใจความกระสับกระส่ายที่เกิดขึ้นในใจ
จนอดรนทนต่อไปไม่ไหว ลุกขึ้นตัดสินใจที่จะไปเดินรับลมทะเล
แม้จะต้องเผชิญหน้ากับภาพที่ไม่อยากเห็น

เธออดคิดอย่างน้อยใจไม่ได้ ก็เขาไม่ใช่เหรอที่พูดว่า

“รอฉันแป๊บเดียว จะไปเตรียมของที่จำเป็นต้องใช้ เดี๋ยวมา”

นี่แป๊บเดียวของเขาหรือไง
ถึงไม่มีนาฬิกาแต่เธอก็มั่นใจว่า นี่มันมากกว่าชั่วโมงแล้วที่เขาหายไป
มัวแต่ไปพรอดรักกับยัยผู้หญิงหน้าสวยนั่นจนลืมเธอไปเลยละมัง
ใช่สิ ก็นั่นมันคือ ‘ธุระ’ ของเขา คือสาเหตุที่เขาอยู่ที่นี่ ไม่ใช่เธอ
ชาลิสาไม่เข้าใจว่าเพียงแค่คิดทำไมเธอถึงรู้สึกจุกแน่น ลำคอตีบตัน
เธอรู้จักเขาเพียงแค่สามวัน และไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเขา
ไม่แม้แต่ชื่อที่แท้จริง
ผิดกับผู้หญิงคนนั้นที่ดูสนิทสนมกับเขาเหลือเกิน
แล้วทำไมเธอต้องใส่ใจกับความสนใจของเขาด้วย

หญิงสาวไม่เต็มใจจะยอมรับนักว่า
การมีเขาอยู่ข้างๆมันทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย
อย่างน้อยมันก็ทำให้ฝันร้ายที่คอยหลอกหลอนเธอ
ไม่กลับมาเยี่ยมเยือนเธออีก
แต่เขาจะอยู่กับเธอนานแค่ไหน
เธอจะทำอะไรได้ถ้าถึงเวลาที่เขาต้องจากไปจริง
หญิงสาวตกใจตัวเอง เมื่อคิดว่าเธอต้องการจะรั้งเขาไว้
ทำไมแค่คิดว่าเขาจะจากไป น้ำตาก็รื้นขึ้นมา
เขาเป็นสิ่งเสพติดหรืออย่างไร

เธอสะบัดหน้าแรงๆขับไล่ความคิดวุ่นวายฟุ้งซ่านทั้งหลาย
แล้วลุกขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับแมลงที่หลุดพ้นจากกับดัก
เมื่อเปิดประตูออกไปเธอก็เห็นเขานั่งอยู่ที่นั่น

เขานั่งนิ่งเสียจนเหมือนรูปปั้น
เธอไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเขาหายใจอยู่หรือเปล่า
ลอนผมหยิกเล็กๆนั้นระอยู่ที่ต้นคอด้านหลังของเขา
ไหล่กว้างผายออกเหมือนปีกของพญานกอินทรี
สายตาเขาจับจ้องไปที่ไหนสักแห่งกลางท้องทะเล
และเสียงเปิดประตูของเธอก็ไม่ได้ทำให้เขาเสียสมาธิจากสิ่งที่กำลังมองอยู่เลย
เธอลังเลอยู่นิดหนึ่ง ว่าจะกลับเข้าไปในห้อง
หรือจะเดินออกไปทำลายความสงบของเขา
ยังไม่ทันได้ตัดสินใจ เขาก็หันกลับมา

“พร้อมแล้วหรือ”

“ฉันน่าจะเป็นฝ่ายถามนายมากกว่านะคำถามนี้น่ะ”

เขาขมวดคิ้วน้อยๆ ยิ่งทำให้ความรู้สึกน้อยใจแล่นพร่านขึ้นมาอีกระลอก

“ถ้าไม่อยากไปก็ไม่เป็นไรนะ นายคงมีธุระที่จะต้องสะสาง”

“เธอหมายถึงอะไร”

“ก็เห็นๆอยู่ ก็ผู้หญิงคนนั้น...”
เธอพูดได้แค่นั้นแล้วก็หยุด เพราะกลัวตัวเองจะห้ามเสียงสั่นเครือเอาไว้ไม่ได้

“ช่างเถอะ ไม่มีอะไร แล้วตกลงจะไปหรือไม่ไป”

“ไปสิ” เขาตอบและลุกขึ้น
เธอหันไปปิดล็อกประตูห้องก่อนเดินนำออกไป
หันมองชายหนุ่มที่เดินตามมาก็พบรอยยิ้มของเขา
แต่เป็นรอยยิ้มที่เหมือนมีบางอย่างในใจ


พวกเขานั่งเรือเร็วอ้อมมาอีกด้านหนึ่งของเกาะ
เพียงไม่ถึง 10 นาที เรือก็จอดลงที่ชายหาดแคบๆที่โอบล้อมด้วยหน้าผาหินสีเทาปนแดง
สีแดงบนหน้าผาเหมือนใครเอาเลือดมาสาดใส่หน้าผาสีเทา
ทำให้มันดูน่ากลัวเมื่อมองจากพื้นทรายขึ้นไป
ต้นไม้แห้งต้นใหญ่ยื่นออกมาจากหน้าผา
ราวกับมันกำลังโบกมือทักทายผู้มาเยือน

ซันแบกเป้ใบเขื่องไว้ที่หลัง
เธอไม่รู้ว่าในนั้นมีอะไร แต่ไม่ต้องการถาม
เธออยากเก็บไว้ให้มันเป็นความตื่นเต้นเล็กๆในใจ

เขาเดินนำเธอไปที่ถ้ำแคบๆด้านหนึ่งของหน้าผา หันมายื่นมือให้จับ

“ข้างในมันค่อนข้างมืด เดินทะลุถ้ำไปเราจะเจอทางขึ้นเขา”

ความเงียบแบบผิดสังเกตของเขาในระหว่างเดินทางมา
ทำให้เธอรู้สึกว่าเขาไม่ได้ต้องการมาที่นี่
และห้ามเธอไม่ให้ยื่นมือออกไปจับมือเขา

“มาเถอะน่า” เขาพูดพลางคว้าข้อมือเธอ ลากเธอเข้าไปในถ้ำพร้อมกับเขา

ข้างในถ้ำไม่ได้ค่อนข้างมืด แต่มันมืดสนิท
ชาลิสาเปลี่ยนจากให้เขาจับมือเป็นเกาะแขนเขาไว้แน่น
เธอมองแทบไม่เห็นว่าเดินเหยียบอะไรไปบ้าง
หลายครั้งที่สะดุดก้อนหินหรืออะไรสักอย่างจนเกือบหน้าคะมำ
และซันก็ต้องช่วยประคองรับเธอไว้
ชาลิสารู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปเป็นปีกว่าจะออกมาจากถ้ำ
เธอต้องกระพริบตาตัวเองถี่ๆ เพื่อปรับสายตาให้เข้ากับแสงสว่างภายนอก
ทั้งสองมุ่งหน้าเดินต่อไป ทิ้งภูผาไว้เป็นเบื้องหลัง

ทางข้างหน้าเป็นทางลาดขึ้นภูเขาที่มีต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นหนาแน่น
แต่เส้นทางเดินถูกทำให้เป็นรอยไว้ด้วยไม้และก้อนหินเหมือนขั้นบันได
เธอสงสัยว่า นอกจากพวกเธอแล้ว
ชาวบ้านคงใช้เส้นทางนี้ขึ้นไปข้างบนภูเขาเหมือนกัน

“ถ้าเหนื่อยก็บอกนะ เราจะได้หยุดพัก”
ซันหันมาบอกเมื่อเดินไปตามทางได้สักพักหนึ่ง

“ฉันยังไหว”
แม้จะเริ่มหอบหายใจแรงขึ้นแต่เธอก็ยังต้องการเดินต่อไป

เส้นทางบางช่วงเป็นเพียงทางลาดกรวดสีแดงไม่ชันมาก
แต่บางช่วงก็เป็นบันไดหินที่ค่อนข้างชัน
จนคนเดินต้องใช้กำลังอย่างหนักที่จะดึงตัวเองให้เดินขึ้นไปแต่ละขั้น

แรกๆหญิงสาวยังรู้สึกเพลิดเพลินกับทิวทัศน์รอบข้าง
ด้านหนึ่งเป็นแนวต้นไม้นานาพันธุ์ยืนต้นสูงลาดขึ้นไปบนเขา
อีกด้านเป็นหน้าผาที่เธอมองไม่เห็นความลึก เพราะมีต้นไม้บดบังอยู่เช่นกัน
แต่เมื่อเริ่มหายใจถี่แรงขึ้น เธอก็เริ่มสนใจธรรมชาติน้อยลง
และตั้งสมาธิไปกับการก้าวเดินมากขึ้น

แนวต้นไม้ริมหน้าผามาสุดที่ทางโค้งที่ลาดชันมากที่สุดตั้งแต่เดินมา
บริเวณหัวโค้งมีซุ้มไม้สร้างอย่างง่ายด้วยใบหญ้าคาแห้ง
คงเป็นที่พักสำหรับชาวบ้านที่เดินทางขึ้นเขา

“เราหยุดตรงนี้ก่อนละกัน” เขาชวน

ชาลิสาไม่ตอบแต่แสดงอาการเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
ด้วยการพุ่งไปทิ้งตัวเองลงบนม้านั่งในซุ้มทันที

ซันไม่มีอาการหอบหายใจให้เห็นเลยสักนิด
เขายื่นขวดน้ำที่หยิบจากในกระเป๋าเป้ส่งให้เธอ
เธอรับมาดื่มอย่างรวดเร็ว
เมื่อได้นั่งพักสักครู่ หัวใจที่เต้นแรงก็เริ่มผ่อนเบาลงเข้าสู่จังหวะปกติ

“เราต้องเดินอีกไกลแค่ไหน”

“ก็ถ้าเราไม่หยุดพักบ่อยเกินไป เราน่าจะไปถึงภายในสามชั่วโมง”

“สามชั่วโมง! ฉันต้องเดินขึ้นเขาแบบนี้ไปสามชั่วโมงเลยเหรอ”
ชายหนุ่มส่งยิ้มให้แทนคำตอบ
แบบที่แปลได้ว่า แค่สามชั่วโมง สบายมาก
เธอเกลียดรอยยิ้มแบบนี้จริงๆ นี่เขาไม่รู้เหน็ดเหนื่อยเลยหรือไงนะ

“นายขึ้นมาบนนี้บ่อยไหม”

“ครั้งแรก ในสภาพแบบนี้”

“หา! ครั้งแรกเหรอ แล้วนายจะพาฉันหลงไหมเนี่ย”
เขาส่งยิ้มให้แทนคำตอบอีก และเธอก็เกลียดรอยยิ้มแบบนี้เหมือนกัน
เขาไม่รู้สึกกลัวหลงทางบนเขาหรือไงนะ
ถ้าเกิดหลงขึ้นมาจริงๆ จะขอความช่วยเหลือใครได้เนี่ย

“ไม่ต้องห่วงน่า ไม่หลงหรอก เชื่อใจฉันนะ รับรองเราไปถึงที่หมายแน่”
ถึงจะยังระแวง แต่เธอก็สบายใจขึ้นนิดหนึ่งเมื่อเขารับปากแบบนี้
ก็เธอมีทางเลือกเสียที่ไหน
มาถึงขนาดนี้แล้ว ก็ต้องตามเขาต่อไปนั่นแหละ

ชายหนุ่มหัวเราะขึ้นเบาๆ
เธอส่งค้อนให้หนึ่งที ตอบแทนเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของเขา

สักพัก พวกเขาก็ออกเดินทางต่อ เธอพยายามค่อยๆเดินตามคำแนะนำของเขา

“ไม่ต้องรีบ ปลายทางรอเราอยู่ ไม่หนีไปไหน เธอแค่ก้าวเดินช้าๆอย่างมั่นคง เดี๋ยวก็ถึง”

เมื่อตอนเริ่มเดินจากเชิงเขา เธอรีบเร่งเดิน เพราะต้องการให้ถึงที่หมายโดยไว
แม้จะไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน แต่ถ้าเดินเร็วก็จะถึงเร็ว
มันกลับทำให้เธอเหนื่อยเร็วขึ้นเช่นกัน
แต่พอเริ่มเดินช้าลง หยุดบ้างบางครั้งเพื่อชื่นชมกับดอกไม้ป่า
และใบไม้หน้าตาแปลกๆระหว่างทาง
มันก็ทำให้การเดินทางรื่นรมย์มากขึ้น
เธอไม่รู้สึกเหนื่อยเท่าไหร่ เมื่อพวกเขาเดินมาถึงซุ้มไม้อีกแห่ง
จึงตัดสินใจเดินต่อโดยไม่พัก

เส้นทางเริ่มลาดชันมากขึ้นไปอีก
บางตอนเธอต้องใช้สองมือช่วย เพื่อปีนขึ้นไปบนหินอีกก้อนที่สูงขึ้นไป
ต้นไม้ริมผาเริ่มบางตาลง และขาดหายไปเป็นช่วงๆ
ทำให้มองเห็นผืนป่าด้านล่าง และท้องทะเลส่องประกายระยิบระยับอยู่ถัดออกไป

เมื่อเดินมาถึงซุ้มไม้จุดพักอีกแห่ง เขาก็บอกให้หยุดพักก่อน
ใจเธออยากเดินต่อไป
แต่ขาที่ล้าก็ประท้วงว่าควรจะเชื่อฟังเขาดีกว่า

ซันขึ้นไปยืนบนหินใหญ่ก้อนหนึ่งที่ริมผา
เธอยังกลัวว่าเขาจะตะโกนชื่อตัวเองออกไป เหมือนที่เคยเห็นในละครทีวี
แต่เขาก็ยืนสงบนิ่งนานอยู่บนนั้น
เมื่อเธอก้าวขึ้นไปยืนเคียงข้าง
เขาชี้ให้มองไปที่ภูเขาลูกเล็กที่อยู่ข้างหน้า
มีป่าไม้ที่รกไปด้วยต้นไม้ ขั้นระหว่างมันกับบริเวณที่พวกเขายืนอยู่
ดูราวกับพื้นด้านล่างปูด้วยพรมสีเขียวเข้ม เป็นลวดลายสลับพื้นสีเขียวอ่อน

“เรามาจากที่นั่น เห็นเรือของเราไหม”
หญิงสาวพยักหน้า แม้ไม่แน่ใจว่าใช่เรือหรือเปล่า
เพราะขนาดมันเล็กมาก เหมือนเสี้ยนที่ตำอยู่บนนิ้ว

“โอ้โห เราเดินมาไกลถึงขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย ฉันไม่อยากคิดถึงตอนเดินกลับเลย”

ซันหัวเราะ และจ้องมองหญิงสาวข้างๆ แก้มเธอแดงฝาด
เป็นผลจากการออกแรงเดินทางไกล
สายตาที่มองไปไกลนั้น สงบนิ่งและไม่เลื่อนลอยเหมือนเคย

“ฉันรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กจัง โลกช่างกว้างขวางใหญ่โต ท้องฟ้า ภูเขา ทะเล เราเป็นเพียงอณูที่เล็กมากจริงๆบนโลกใบนี้”

“ใช่มนุษย์เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเล็กๆบนโลก แต่ซับซ้อนมากกว่าอะไรทั้งสิ้น”

“ฟังดูน่าเลื่อมใสในความเป็นมนุษย์จัง”

“มนุษย์มีความคิด ความฝัน ความหวัง มีอารมณ์ ความรู้สึก โกรธ เกลียด ยินดี ชิงชัง สิ่งเหล่านี้มันบรรจุอยู่ในตัวตนทุกคน และเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่เหมือนภูเขา ท้องฟ้า ทะเล ต้นไม้ มันคงอยู่อย่างที่มันเป็นตราบนานแสนนาน ไม่เคยเปลี่ยนแปลง”

“ถ้าอย่างนั้น การเป็นภูเขา หรือ ท้องฟ้า มันก็น่าจะมีความสุขกว่าการเป็นมนุษย์นะสิ”

“ก็อาจจะไม่เสมอไป การเปลี่ยนแปลงอาจนำมาซึ่งสิ่งดีๆและคุณค่าแก่โลกก็ได้”

“หรือไม่ก็ตรงกันข้าม”

“ขึ้นอยู่กับว่า เธอเลือกให้มันเป็นแบบไหน”
หญิงสาวมองไกลไปที่สุดขอบฟ้าที่ภูเขา ทะเล และท้องฟ้าบรรจบกัน

“ในเมื่อเธอเป็นเพียงอณูเล็กๆในโลกใบใหญ่นี้ ทำไมถึงต้องแบกเอาความทุกข์ที่มันจะทำให้ตัวเองเล็กลีบลงไปอีกด้วย”
ชาลิสาเหลือบมองเขา แววตากระจ่างของเขาจ้องตอบกลับมา

เธอเพิ่งสังเกตว่า ดวงตาของเขามีสีไม่เหมือนกัน
ข้างขวาเป็นสีฟ้าหม่น แต่ข้างซ้ายกลับเป็นสีน้ำตาลไหม้
มันไม่ได้ดูแปลกประหลาด ตรงกันข้าม
เธอกลับรู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดของมัน

องค์ประกอบบนรูปหน้าที่คมคายแต่นุ่มนวลนั้น
ไม่มีอะไรโดดเด่นเท่าแววตาที่ล้ำลึกคู่นี้
ราวกับว่ามันสามารถมองเห็นทะลุเข้าไปถึงข้างในจิตใจอันบอบช้ำของเธอ
น่าประหลาดเหลือเกินที่คนที่เธอเพิ่งพบหน้าเพียงแค่สามวัน
กลับทำให้เธอหวั่นไหวและหวาดกลัวไปพร้อมๆกันได้ขนาดนี้

หวั่นไหวในใจเพราะความปรารถนาที่จะซุกตัวในอ้อมกอดเขา

แต่ก็หวาดกลัวว่าเขาจะค้นพบความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ข้างในลึกสุดใจ

หญิงสาวหายใจเข้าลึกๆ และปล่อยออกมาแรงๆ เหมือนเหนื่อยกับอะไรบางอย่าง
อาจจะเป็นการต่อสู้ภายในจิตใจของตัวเองกระมัง

“ไปต่อเถอะ”

เธอพูดก่อนก้าวลงจากหินเดินไปตามทางโรยกรวดที่ลาดขึ้น


เสียงซ่าของน้ำตกแว่วเข้ามาให้ได้ยิน เมื่อพวกเขาเดินพ้นโค้งที่ไม่รู้เท่าไหร่
ทางค่อยๆแคบและชันขึ้นหลังจากหยุดพักครั้งสุดท้าย
ก้อนหินถูกปูด้วยตะไคร่ทำให้มันค่อนข้างลื่น
ดินสีแดงกลายเป็นสีน้ำตาลเข้มด้วยความชื้น
อากาศเย็นและชื้นขึ้นจนกลายเป็นละอองน้ำในบางช่วงของเส้นทาง

ซันยังคงเดินนำหน้าไปและหันมาเป็นระยะ
เพื่อฉุดให้หญิงสาวขึ้นไปบนก้อนหินลื่นๆที่อยู่ถัดขึ้นไป

เพราะไม่ได้เตรียมตัวกับการเดินทางขึ้นเขา
รองเท้าที่เธอสวมจึงกลายเป็นอุปสรรคอีกอย่างหนึ่ง
เวลาที่ต้องพยายามยึดเท้าเพื่อโยนตัวเองขึ้นตามร่องหิน
เธอแอบต่อว่าเขาในใจว่า ทำไมไม่บอกเธอล่วงหน้า
ว่าหนทางมาดูน้ำตกที่เขาเสนอนี่มันแสนจะทุรกันดานขนาดนี้
แต่ก็อีกนั่นแหละถึงเขาบอก
เธอก็ไม่มีเครื่องแต่งกายที่ดีพร้อมสำหรับการเดินทางอยู่ดี

เสียงน้ำแตกกระจายเริ่มแจ่มชัดขึ้นราวกับจะเร่งเร้าให้พวกเขารีบเข้าไปหามัน
ละอองน้ำในอากาศเริ่มมีมากขึ้น
จนชาลิสารู้สึกว่าผมยาวเคลียไหล่ของเธอชื้นเย็น
แล้วพวกเขาก็มองเห็นสายน้ำตก อยู่ห่างออกไปไม่ถึงสิบเมตร
ชาลิสาแทบลืมความเหน็ดเหนื่อยทั้งหมดที่สะสมมา
ก้าวยาวๆไปทางน้ำตกนั้นทันที

ณ เบื้องหน้าเธอคือแพรน้ำตกที่ไหลมาจากหน้าผาสูงสุดตา
ลดหลั่นเป็นชั้นๆ ไล้เรื่อยลงมายังแอ่งน้ำที่เก็บกักน้ำสีเขียวมรกตไว้อย่างห่วงแหน
แอ่งน้ำยอมปล่อยให้สายน้ำไหลเรื่อยเป็นลำธารเล็กๆออกไปทางด้านข้าง
และสร้างน้ำตกเล็กๆ ต่อไปอีกหลายอันจนลับหายเข้าไปในผืนป่า

เธอตื่นเต้นที่เห็นปลาตัวเล็กๆว่ายไปมาอย่างรีบร้อนอยู่ใกล้เธอ
ในบริเวณที่น้ำใสจนมองเห็นไปถึงพื้นหินด้านล่าง
หญิงสาวค่อยๆหย่อนเท้าเล็กๆลงไปในน้ำ
พวกปลาตัวน้อยขวัญเสียกับผู้บุกรุกจนแตกกระเจิงออก
แต่ก็ว่ายกลับมาจิกตอดเท้าเธอ
ราวกับจะพยายามขับไล่มันให้ออกไปจากบริเวณที่เป็นอาณาเขตของพวกมัน
หารู้ไม่ว่านั่นกลับทำให้ผู้บุกรุกได้ใจ
จนต้องหย่อนเท้าอีกข้างลงไปยืนคู่กัน พลางส่งเสียงหัวเราะให้อย่างร่าเริง

ซันมองหญิงสาวที่อยู่ต่อหน้าเขา ด้วยความรู้สึกมากมายที่บรรยายไม่ถูก
นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้เห็น ไม่ได้ยินเสียงหัวเราะกังวานใสแบบนี้จากเธอ
เขาคิดด้วยความหวังว่า ภารกิจของเขาคงสำเร็จและสิ้นสุดลงในไม่ช้า
แต่พอคิดมาถึงตรงนี้ เงาดำแวบหนึ่งในจิตใจก็พัดผ่านเข้ามา
เขาต้องการให้มันจบสิ้นลงหรือ

“น้ำเย็น น่าเล่นมากเลย เสียดายฉันไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามา”

หญิงสาวว่าพลางหันมามองเขา
อีกครั้งที่เธอบังเอิญเห็นแววตาหม่นๆของเขาในวันนี้
แม้เขาจะพยายามปิดซ่อนมันไว้อย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้มใจดีเหมือนเคย

เขายกมือตบกระเป๋าเบาๆเป็นเชิงบอกว่า ‘ไม่ต้องห่วง ฉันจัดการไว้แล้ว’
เธอยิ้มกว้างหยอดคำชมตอบกลับไป

“นายนี่แสนรู้จริงๆ”

“ขึ้นมาก่อนเถอะ เดี๋ยวเธอจะได้เล่นน้ำสมใจแน่ แต่ตอนนี้เราต้องไปเตรียมที่พักก่อน”

“ที่พักเหรอ”

“ก็ใช่นะสิ คืนนี้เราจะค้างกันที่นี่”

“แล้วจะนอนยังไง บนนี้มีบ้านพักหรือ”

“ฉันมีเต้นท์มา”

“เต้นท์!”

หญิงสาวจำไม่ได้ว่าเธอเคยนอนในเต้นท์ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
หรืออาจจะไม่เคยเลย
แต่บนยอดเขาแบบนี้ กับผู้ชายคนนี้
เธอไม่แน่ใจว่าการนอนเต้นท์เป็นความคิดที่ดีหรือเปล่า

ยิ่งเมื่อเห็นตัวเต้นท์ที่เขาดึงออกมากาง มันเล็กมากและมีอยู่หลังเดียว
ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่คนสองคนจะนอนในเต้นท์นี้
โดยสามารถรักษาระยะห่างจากกันได้

“หาอะไรกินรองท้องไปก่อน ฉันจะกางเต้นท์”
เขาชี้ไปทางห่อขนมปังที่วางอยู่บนเป้
เธอเดินตามไปหยิบก้อนขนมปังขึ้นมาอันหนึ่ง แต่ในใจยังเป็นกังวลอยู่

“เราเดินลงตอนนี้เลยไม่ได้เหรอ ฉันไม่เล่นน้ำก็ได้”
เธอต่อรอง เพราะกลัวว่าจะต้องนอนร่วมกับเขาในเต้นท์แคบๆนี่

“จะบ้าเหรอ เดินลงตอนนี้ มีหวังไปมืดอยู่กลางป่าแน่ คราวนี้หละได้หลงสมชื่อเกาะแน่ๆ”

“แต่..”

“ไม่ต้องห่วงน่า ไม่มีสัตว์ร้ายอะไรหรอกแถวนี้ สบายใจได้”
หญิงสาวจุ๊ปากอย่างหงุดหงิด
บางครั้งเขาก็เหมือนจะรู้ไปทุกอย่างที่เธอคิด
แต่บางครั้งก็เหมือนแกล้งไม่เข้าใจ อย่างตอนนี้เป็นต้น

“ฉันไม่ได้กลัวสัตว์ร้ายหรอก แต่เต้นท์มันเล็กนิดเดียว จะนอนเข้าไปได้ยังไงสองคน เบียดกันแย่”
ความจริงเธออยากจะบอกว่า ฉันไม่ได้กลัวสัตว์ร้าย แต่ฉันกลัวนาย เอ๊ะหรือฉันกลัวตัวเอง

ซันหัวเราะเสียงดัง จนเธอรู้สึกว่ามันก้องไปทั่วป่า

“ไม่อยากนอนร่วมเต้นท์กับฉันเหรอ”

“จะบ้าเหรอ! ใครจะไปอยากเล่า”
เธอหน้าแดงซ่านขึ้นเมื่อคิดถึงความหมายโดยนัยในคำพูดเขา

“ไม่ต้องกลัว ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอก บอกแล้วว่าฉันไม่อยากตกนรก”
เขายังทำเสียงล้อเลียนเธอต่อไปอีก

“ฉันไม่ได้กลัว! ฉันแค่...อึดอัด ฉันไม่เคยนอนในที่แคบๆร่วมกับใคร”

เสียงหัวเราะอย่างร่าเริงของเขา แทบทำให้เธอพุ่งปราดเข้าไป แล้วยัดขนมปังที่อยู่ในมืออุดปากเขาไว้

“เธอนอนไปคนเดียวเถอะในเต้นท์หนะ ฉันจะนอนตรงนี้”

เขาชี้ลงตรงที่ตัวเองยืนอยู่ที่บัดนี้มันถูกปูด้วยผ้าใบสีฟ้าผืนใหญ่
หญิงสาวลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของเขาได้ก็ร้องถามเสียงเขียวออกไป

“แล้วเมื่อกี๊ นายหมายความว่าไง ที่บอกว่าไม่อยากตกนรกน่ะ”

ซันไม่ตอบ แค่อมยิ้มไว้ในหน้า ซึ่งนั่นทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดเพิ่มขึ้นไปอีก
จนต้องเอาขนมปังที่คิดจะยัดปากเขาขึ้นมากัดอย่างแค้นเคือง
และจินตนาการว่ามันเป็นหัวหลิมๆของเขา




 

Create Date : 20 ตุลาคม 2553
1 comments
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2554 20:32:43 น.
Counter : 777 Pageviews.

 

"ปาฏิหารย์รักจากตะวัน" กำลังจะตีพิมพ์เป็นรูปเล่ม ในชื่อใหม่..."ซัน"...เร็วๆ นี้ค่ะ

ขอบคุณเพื่อนๆ ที่ติดตามอ่านและให้กำลังใจนักเขียนมาตลอด

 

โดย: mercury_books (sorwor ) 20 ตุลาคม 2553 21:20:33 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


sorwor
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ต้นเหตุแห่งการยินดีที่ได้รู้จักกันนั้น เริ่มที่เว็บฟอร์ไรท์เตอร์ดอทคอมจากการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางงานเขียนนวนิยาย ทำให้พวกเรา สว. (สาวสวยสมวัย) เกิดความคิดที่จะรวมตัวกันจัดทำบล๊อกขึ้นมาเพื่อเผยแพร่งานที่พวกเราเขียนเอง งานที่พวกเราทำด้วยใจรักและรักเหลือเกิน อยากให้เพื่อนๆ ได้อ่านและอยากได้คำติชมจากเพื่อนๆ เพื่อเป็นกำลังใจและนำพัฒนาทางการเขียนต่อไป


ฝากข้อความถึง"สวยสมวัย"







ซัน
โรแมนติก-อบอุ่น
ราคา 220 บาท



น้ำชารสสตรอเบอร์รี่
รัก-โรแมนติก
ราคา 190 บาท



ปางเสน่หา
โดย น้ำดอกไม้ (บัดดี้)
สนพ.พลอยชมพู




งานเขียนใน “สวยสมวัย”
เป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียน
ได้รับความคุ้มครองตามกฏหมาย
ตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
...........................
คิดเอง เขียนเอง
และสร้างความภาคภูมิใจ
ให้กับตัวเองกันเถอะค่ะ


Friends' blogs
[Add sorwor's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.