มีคนเค้าบอกว่า "คนเรายิ่งแก่ยิ่งคิดถึงแต่ความหลัง"คงจะจริงดังคำเค้าว่านะเพราะตอนนี้ ฉันคิดถึงแต่ชีวิตและเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมา ในวัยเด็ก ฉันเกิดมาท่ามกลางหุบเขาที่หนาวเย็นในเหมืองแร่อีปู่ อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี บ้านของฉันอยู่ในหุบเขา มีภูเขาล้อมรอบ อากาสเย็นตลอดปี ฤดูฝน ฝนก็จะตกตลอด 3 เดือนเต็มๆ ตกอย่างไม่ลืมหูลืมตา ตกไม่มีเว้นวรรค ตกไม่ขาดสาย เวลาฝนตกหนักๆเราจะมองไม่เห็นบ้านที่อยู่ติดกับเราเลย ฤดูหนาวก็จะหนาวจนเกือบเป็นนำแข็ง เวลาพูดก็จะมีควันออกจากปากเลยละ เวลาเช้าๆเราจะมองเห็นหมอกและนำค้างเต็มไปหมดทุกหย่อมหญ้า อากาสสดชื่นมาก เมื่อพระอาทิตย์ค่อยๆส่องแสง เราจะเห็นควันค่อยๆลอยจากแม่น้ำ ใบไม้ ต้นไม้ พื้นดิน ลอยสูงขึ้น สูงขึ้นไปในอากาศ มองแล้วเหมือนเราเห็นนางฟ้ากำลังโบยบินสู่สวรรค์ ท้องฟ้าค่อยๆสว่างขึ้น ก้อนเมฆค่อยๆแยกตัวออกจากกัน ลอยไปในท้องฟ้า ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสวยมาก สวยมากจนลืมไม่ลง ห่างจากบ้านของฉันประมาณ 1 กิโลเมตรเป็นทุ่งหญ้ากว้างสีเขียวขจี มีม้าของคุณลุงวิ่งเล่นอยู่ฝูงหนึ่ง ม้าพวกนี้เป้นม้าเทศ ตัวใหญ่ สูง และสง่างามมาก คุณลุงชอบขี่ม้ามาก เมื่อคุณลุงมาเที่ยวทีไรเป็นต้องออกไปขี่ม้าทุกครั้ง ฉันก็ได้อาศัยใบบุญได้ไปเที่ยวที่ทุ่งหญ้าด้วย มันสวยมาก แต่ก็ไม่ทุกครั้งนะ เพราะฉันยังเด็กอยู่มาก อายุประมาณ 2 ขวบได้ เค้าจึงไม่อยากพาไปบ่อยนัก กลัวจะรู้ทางและหนีไปเที่ยวคนเดียว ฉันอยู่ที่นี่ไม่มีเพื่อนเล่นเลย เพราะฉันไม่มีพี่ มีน้องคนหนึ่งแต่ก็ยังเดินไม่ได้ มี่แต่ลูกคนงาน และหมาคู่ใจต้วหนึ่งชื่อ "แตน" "แตน" เป็นหมาพันธุ์อัลเซเชี่ยน มีขนยาว สีดำ เป็นหมาที่ใช้เฝ้าเหมืองเพื่อป้องกันไม่ให้คนมาขโมยแร่ เวลากลางวันเราก็จะล่ามโซ่ไว้ เพราะ"แตน" เป็นหมาที่ดุ ไม่ชอบเห่า แต่กัดเลย คนทั้งในและนอกเหมืองต่างก็กลัว "แตน" กันทุกคน เวลาหกโมงเย็นห้ามทั้งคนในเหมืองและคนนอกเหมืองเข้าออกติดต่อกัน เราจะปล่อย "แตน"ออกมาวิ่งนอกบ้านและเป็นยามเฝ้าเหมืองตลอดคืน ถ้ามีใครออกจากบ้านหรือเดินถนนในเวลาที่กำหนดจะถูกแตนกัดจนตาย และไม่สามารถเอาผิดใครไม่ได้ เพราะ "กฎต้องเป็นกฎ" เวลาฉันจะไปที่ไหน ไม่ว่าจะไปเล่น หรือไปซื้อของให้แม่ ก็จะเอา "แตน" ไปด้วย เพราะ"แตน" จะไม่ยอมอยู่บ้านถ้าเห็นว่าฉันจะไปไหน พ่อจะปล่อยให้ "แตน"ไปกับฉัน เพราะ "แตน" จะเชื่อฟังคำสั่งของฉัน พ่อ และคุณลุงเท่านั้น พ่อไว้ใจแตนให้ดูแลฉันเวลาไปเที่ยวเล่นกับลูกคนงาน หรือไปตรวจเหมืองกับพ่อ เวลาฉันเมื่อยเดินไม่ไหว ก็จะขี่หลัง "แตน" ซึ่งขี่ยากมาก ไม่เหมือนหลังม้า หนังของหมาจะลื่น เลื่อนไปเลื่อนมาเวลามันเดิน ทำให้ขี่ยาก แต่ก็ต้องขี่เพราะเดินไม่ไหวแล้ว พ่อก็ไม่ยอมอุ้ม เพราะพ่อห้ามไม่ให้ไปด้วยก็ดื้อจะไปด้วย เลยต้องทนขี่หมาจนถึงบ้าน เวลาฉันไปเล่นกับลูกคนงาน "แตน" ก็จะนอนหมอบอยู่ใกล้ๆฉัน แต่ถ้าฉันเสียงดังเมื่อไร มันจะลุกขึ้นแล้วคำรามใส่เด็กๆที่เล่นด้วยทันที จนทำให้พ่อแม่ของเด็กห้ามไม่ให้ลูกๆมาเล่นกับฉัน เพราะกลัวเจ้าแตนจะกัดเอา ฉันจึงไม่ค่อยมีเพื่อนเล่น ความสุขของฉันอยู่ได้ไม่นาน วันหนึ่งแม่ฉันก็ปวดท้องจะคลอดน้อง แต่คลอดไม่ออก ที่บ้านฉันไม่มีหมอ ไม่มีโรงพยาบาล พ่อให้คนงานไปตามหมอชาวบ้านมาคนหนึ่งจากเหมืองอื่น ซึ่งเป็นหมอที่ไม่ได้จบปริญญาอะไรเลย เพียงแต่มีประสบการณรักษาให้คนในเหมืองละแวกนั้นและรู้จักใช้ยาเป็นเท่านั้น ในวันนั้นหมอก็เมากัญชาด้วย เมื่อมาถึงเห้นแม่ปวดท้องมาก และมีเลือดออกมาก หมอก็ฉีดยาห้มเลือดให้เลย ผลปรากฎว่า เมื่อหมอฉีดยามห้ามเลือด เลือดก็ไม่ออกแต่ตีย้อนกลับไปท่วมลูกที่อยู่ในท้องทำให้น้องตายในท้องทั้งๆที่ยังไม่คลอด และไม่นานต่อมาแม่ของฉันก็ส้นลมตามไปด้วย ตอนนั้นฉันไม่รู้หรอกว่าแม่ตายแล้ว พ่อบอกแต่ว่าให้อยู่ในห้อง แม่ไม่สบาย ฉันก็อยู่ในห้อง จนกระทั้งวันรุ่งขึ้น พ่อก็เอาด้ายมาคล้องมือและตัวของฉันกับน้องไว้แล้วโยงไปที่แม่ เห็นเค้าพูดกันว่าจะทำพิธีตัดแม่ตัดลูก ตอนนั้นฉันไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น แต่รู้สึกว่าเขากำลังจะพรากแม่ไปจากฉัน ฉันเริ่มร้องไห้เป็นการใหญ่ และฉันรู้สึกสงสารแม่มาก เพราะในช่วงจังหวะที่เขาเปิดประตูห้องเอาด้ายมาผูกฉันกับน้องนั้น ฉันเห็นมีคนกำลังเอาตะปูตอกที่หน้าผากแม่ฉันทำให้ฉันร้องไห้อย่างหนัก ทั้งดิ้นและร้อง แต่พ่อกับคนงานช่วยกันจับไว้ หลังจากนั้นเขาก็ช่วยกันหามแม่ออกไป ไปไหนฉันไม่รู้ แต่ฉันกับน้องต้องออกเดินทางจากเหมืองนั้นในคืนนั้นเลย โดยมีพ่ออุ้มฉันและหม่องเออุ้มน้องฉัน เดินทางกันทั้งคืน โดยทางเท้าเพราะไม่มีรถ ฉันจึงได้ชื่อว่าเป็นลูกกำพร้าตั้งแต่บัดนั้นเป็นตนมา