ข่าวความเคลื่อนไหว การจัดหายุทโธปกรณ์ของกองทัพเรือไทย
วันนี้หนังสือนาวิกศาสตร์ฉบับเดือนพฤษภาคมส่งถึงบ้านผมแล้วครับ นาวิกศาสตร์เป็นนิตยสารของทหาร แต่มีเรื่องที่น่าสนใจให้อ่านอยู่หลายเรื่องทีเดียว หนังสือไม่ได้พูดว่าวันนี้ทหารเรือไปทำโน่นทำนี้ที่ไหน แต่จุดเด่นของนาวิกศาสตร์ อยู่ตรงบทความของผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านการทหารเรือและการเดินเรือ ไปจนถึงประวัติศาสตร์ ได้เขียนให้ได้อ่านกัน เรื่องราวหลาย ๆ อย่างเช่น กฏหมายการเดินเรือ การปักปันเขตแดนของไทย การทำสงครามกู้ชาติของพระเจ้าตาก เรื่องธรรมมะ ไปจนถึงเนื้อหาที่เกี่ยวกับการทหารเรือ ทั้งเรื่องราวของกองทัพเรือต่าง ๆ ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเรือรบทั้งไทยและเทศ รวมถึงประเพณีทหารเรือ และภาพพระบรมฉายาลักษณ์หายากของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่เกี่ยวกับกองทัพเรือ ซึ่งผมว่าน่าอ่านดี และที่เด็ดที่สุดคือราคาต่อเล่มเพียง 25 บาทเท่านั้น!!!
ฉบับนี้นาวิกศาสตร์ลงทุนพิมพ์ปกเป็นกระดาษอาร์ตมันอย่างดี เพื่อให้รับกับพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ ขณะทรงประกอบพิธีปล่อยเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่ง ต. 991 ลงน้ำ พลิกไปอีกหน้า ก็พบบทความของพล.ร.อ. สถิรพันธุ์ เกยานนท์ ในบทความชื่อว่า "พักครึ่งเวลา" ซึ่งเขียนเกี่ยวกับภาพรวมของกองทัพเรือในรอบปีกว่า ๆ ที่ผ่านมา มีเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับการจัดหายุทโธปกรณ์ใหม่ ๆ เยอะแยะเลยครับ วันนี้ จึงจะขอนำบทความนี้มาขยายความให้ได้อ่านกันครับ
Part 1: เครื่องบินลำเลียงขนาดกลาง
....ในส่วนของการพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ นั้น ได้ปรับปรุงโครงการ เสริมสร้างกำลัง กองทัพให้เหมาะสมกับภัยคุกคาม สถานการณ์และแนวความคิดทางยุทธศาสตร์ ด้วยการจัด หายุทโธปกรณ์ที่เสริมสร้างพลังอำนาจของกองทัพเรือในภาพรวมเป็นอันดับแรก โดยมุ่งเน้น ประ เภทที่สามารถใช้ปฏิบัติงานและการบำรุงรักษาร่วมกับยุทโธปกรณ์ที่มีอยู่เดิมปลดประจำ การ ยุทโธปกรณ์ที่ล้าสมัยและซ่อมบำรุงไม่คุ้มค่าต่อการใช้งาน โดยในปีงบประมาณ ๕๐ นี้ กองทัพ เรือได้รับอนุมัติให้จัดหาเครื่องบินลำเลียงขนาดกลางเพิ่มเติมอีกจำนวน ๑ เครื่อง เพื่อ สนับสนุนในการลำเลียงกำลังพล ยุทธภัณฑ์ การยุทธส่งทางอากาศ การส่งกลับทางสายการ แพทย์และการ สนับสนุนการปฏิบัติการทางทหารพิเศษอื่น ๆ ซึ่งปัจจุบันมีงานค่อนข้างมากและ มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งการสนับสนุนในการเดินทางของผู้บังคับบัญชาชั้นสูงและคณะ ไป ปฏิบัติราชการยังหน่วยที่มีที่ตั้งห่างไกลโดยเฉพาะในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้....
ภารกิจของเครื่องบินลำเลียงที่จะจัดหานี้ จุดที่น่าสนใจก็คือ มีการระบุว่าต้องสามารถสนุนในการลำเลียงกำลังพล ยุทธภัณฑ์ การยุทธส่งทางอากาศ การส่งกลับทางสายการแพทย์ได้ ซึ่งภารกิจของเครื่องบินลำเลียงในลักษณะนี้จะคล้าย ๆ กับเครื่องบินลำเลียทางทหารทั่ว ๆ ไป เรื่องความสามารถในการขนนายพลนั้น ไม่น่าสนใจเท่ากับข้อกำหนดในเอกสารการประกวดราคาของกองทัพเรือที่ระบุอย่างชัดเจนว่า "ต้องสามารถขึ้นลง ณ สนามบินจังหวัดนราธิวาสได้" นั่นหมายความว่าภารกิจหลักของเครื่องบินลำนี้ คงหนีไม่พ้นการสนับสนุนหน่วยทหารในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นเอง
ปัจจุบัน กองการบินทหารเรือมีอากาศยานในประจำการมากมายหลายแบบ เยอะมากจริง ๆ ในส่วนของเครื่องบินลำเลียงนั้น มีอยู่ 3 แบบคือ F.27 Mk 400, UP-3T กับ Do-228 อยู่รวม ๆ กันแล้ว 6-7 ลำ ซึ่งถ้านับลำนี้เข้าไป ก็จะเป็นเครื่องบินลำเลียงแบบที่ 4 ของกบร.
ข่ายของเครื่องบินที่น่าจะเป็นไปได้ น่าจะเป็น ATR-42 หรือไม่ก็ C-27 ครับ
[ภาพ ATR-42]
สนามบินนราธิวาส ความยาวรันเวย์ 2 กม. และงบประมาณในโครงการนี้อยู่ที่ 950 ล้านบาทครับ
[ภาพ C-27J]
Part 2: การปรับปรุงเรือชุดเรือหลวงเจ้าพระยา
...สำหรับ การดำรงความพร้อมรบของเรือฟริเกต (ฟก.) ชุดเรือหลวงเจ้าพระยา ให้มีขีดความสามารถ ปฏิบัติการทางเรือในการโจมตีเรือผิวน้ำระยะไกล เพื่อให้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่าง รวด เร็ว และอยู่ในสถานะได้เปรียบกองทัพเรือ จึงได้จัดหาระบบอาวุธปล่อยนำวิถีพื้น - สู่ - พื้น ทดแทนC 801 พร้อมลูกอาวุธปล่อยฯ ให้กับเรือฟริเกตชุดเรือหลวงเจ้าพระยา...
รายการตรงนี้บางท่านอาจจะทราบแล้วครับ เพราะผมเคยนำมาเขียนลงในหว้ากอมาแล้ว หลัก ๆ ในการปรับปรุงก็คือจะเปลี่ยนอาวุธปล่อยนำวิถีไปเป็นรุ่นที่ใหม่กว่าอย่าง C-802 และปรับปรุงระบบอิเล็กทรอนิค รวมถึงระบบเรด้าร์ต่าง ๆ....ถ้าสนใจในรายละเอียด สามารถตามอ่านได้ที่นี่ครับ
"กองทัพเรือไทย เตรียมปรับปรุงเรือชั้นเจ้าพระยาครั้งใหญ่"
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=skyman&month=07-04-2007&group=3&gblog=48
Part 3: เรือยกพลขึ้นบกขนาดใหญ่
...สำหรับการพิจารณาขีดความสามารถที่ต้องการตามแนวความคิดในการปฏิบัติการ สะเทินน้ำสะเทินบกในรูปแบบต่าง ๆ รวมทั้งกิจที่กองทัพเรือต้องปฏิบัติในการลำเลียงและขน ส่ง การช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเล และการปฏิบัติการเพื่อมนุษยธรรมตามนโยบายของ รัฐบาล จะเห็นว่าขณะนี้กองทัพเรือขาดแคลนเรือประเภทเรือยกพลขึ้นบกขนาดใหญ่ เนื่องจาก เรือประเภทนี้ที่มีใช้งานอยู่เดิมมีสภาพเก่าชำรุดทรุดโทรม ใช้ราชการมานาน และกระทรวง กลาโหมได้อนุมัติให้ปลดระวางประจำการไปแล้วบางส่วน จำนวนเรือประเภทนี้ที่มีอยู่จึงไม่ สนองตอบความต้องการใช้งาน ดังนั้น กองทัพเรือจึงได้จัดทำโครงการจัดหาเรือยกพลขึ้นบก ขนาดใหญ่ เพื่อทดแทนเรือยกพลขึ้นบกรุ่นเก่าที่ปลดระวางประจำการไป ทั้งนี้เพื่อเป็นการ ดำรงขีดความสามารถของการปฏิบัติการยกพล ขึ้นบกของกำลังนาวิกโยธิน และในยามปกติ สามารถใช้เป็นฐานปฏิบัติการของเฮลิคอปเตอร์ เพื่อการบรรเทาสาธารณภัยแก่ประชาชนใน ทะเล และชายฝั่ง รวมทั้งยังสามารถติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมเพื่อใช้เป็น เรือฝึกให้กับนักเรียน ทหารของกองทัพเรือได้อีกด้วย โครงการนี้อาจต้องเลื่อนไปใช้ งบประมาณปี ๕๑ เพราะงบ ประมาณ ปี ๕๐ ไม่เพียงพอ....
ข้อความนี้ ถ้าอ่านให้ดี จะพบว่า เรือยกพลขึ้นบกขนาดใหญ่ที่บทความนี้กล่าวถึง ก็คือเรือ LPD (Landing Platform Dock) นั่นเองครับ
เรือยกพลขึ้นบกของเราส่วนใหญ่ค่อนข้างเก่าถึงเก่ามาก และหลัง ๆ มานี่ เรือที่ปลดประจำการ ก็ล้วนเป็นเรือยกพลขึ้นบกทั้งสิ้น ทำให้จำเป็นต้องมีการจัดหาเรือใหม่ ๆ มาทดแทนครับ
คราวนี้ LPD คืออะไร?....เรือชนิดนี้ไม่มีคำเรียกภาษาไทยที่เจ้า LPD นี้ออกแบบมาเพื่อขนส่งและแน่นอน สนับสนุนการยกพลขึ้นบก โดยเรือจะมีดาดฟ้าที่จะรองรับเฮลิคอปเตอร์ และมีพื้นที่ที่สามารถเก็บรถระบายพลและรถถังสำหรับสนับสนุนการยกพลขึ้นบกได้ด้วย
เรือประเภทนี้ นอกจากจะใช้ยกพลขึ้นบกตามภารกิจแล้ว เรือยังมีประโยชน์มาก ๆ ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเลต่าง ๆ เนื่องจากมันมีลานจอดฮ.นั่นเองครับ
คราวนี้ ลองกลับไปขุดดูความต้องการเก่าของทร. จะพบว่า เรือ LPD ลำที่ทร.อยากได้ น่าจะมีหน้าตาอย่างนี้ครับ
เรืออเนกประสงค์/ลำเลียง/ช่วยเหลือผู้ประสบภัย/ฝึก (LANDING PLATFORM DOCK : LPD) 1.2 โครงการ : 2 ลำ ระยะเวลาโครงการ : 2549 - 2553 1.3 ขีดความสามารถที่ต้องการ 1.3.1 เคลื่อนกำลังจากทะเลสู่ฝั่ง (โจมตีโฉบฉวยสะเทินน้ำสะเทินบก) 1.3.2 ช่วยเหลือประชาชนและบรรเทาสาธารณภัยตามชายฝั่ง 1.3.3 ค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเล 1.3.4 ฝึกกำลังพล 1.4 คุณลักษณะทั่วไปที่สำคัญ 1.4.1 ระวางขับน้ำระหว่าง 6,000 - 9,000 ตัน 1.4.2 ความเร็วสูงสุดต่อเนื่องมากกว่า 20 นอต 1.4.3 ระยะปฏิบัติการที่ความเร็วมัธยัสถ์ (ไม่ต่ำกว่า 15 นอต) ไม่น้อยกว่า 5,000 ไมล์ 1.4.4 ปฏิบัติการในทะเลต่อเนื่องได้ไม่น้อยกว่า 45 วัน 1.4.5 ปฏิบัติการในทะเลได้ถึง Sea State 6 1.4.6 รับ ส่ง และสนับสนุนการปฏิบัติของ ฮ.ประจำเรือ ได้ถึงขนาดน้ำหนัก 22,000 ปอนด์ 1.4.7 ระบบขับเคลื่อน เป็นเครื่องจักรใหญ่ดีเซล 1.4.8 ระบบอาวุธ : ปืนหลัก ขนาด 76 มม. พร้อมระบบของควบคุมการยิง : ปืนรอง ขนาด 20/30 มม. และ .50 นิ้ว และอาวุธปืนระยะประชิด 1.4.9 ขีดความสามารถในการบรรทุก 1.4.10 ดาดฟ้าบิน มีพื้นที่สำหรับ ฮ.ขนาดน้ำหนัก 22,000 ปอนด์ ลงจอดจำนวน 2 จุด 1.4.11 อู่ลอย (WELL DOCK) บรรทุกเรือระบายพลขนาดกลาง(LCM) 3 ลำ หรือยานเบาะอากาศ ได้อย่างน้อย 2 ลำ หรือเรือปฏิบัติการพิเศษแบบ Mk5 (เรือ Sea Fox) ได้อย่างน้อย 2 ลำ 1.4.12 ดาดฟ้าระวาง (WELL DECK) มีพื้นที่บรรทุกสิ่งอุปกรณ์ไม่ต่ำกว่า 150 ลูกบาศก์เมตร บรรทุกรถสะเทินน้ำสะเทินบกประมาณ 20 คัน และรถถังขนาดกลางประมาณ 30 คัน 1.4.13 สามารถรองรับกำลังทหารไม่ต่ำกว่า 500 นาย (รวมกำลังพลประจำเรือ) 1.4.14 มีสายการผลิตอะไหล่สนับสนุนการซ่อมบำรุงให้สามารถปฏิบัติการได้อย่างต่อเนื่อง 30 ปี
---------------------------------------------------------------
มีข่าวลือมาเยอะเหมือนกันครับว่าไทยเตรียมต่อเรือ LPD จากจีน ซึ่งมันก็ประจวบเหมาะที่ทางจีนเพิ่งต่อเรือ LPD ลำแรกได้สำเร็จ ลำนี้ชื่อ Type-71 ครับ มีขนาดราว ๆ 20,000 ตัน ซึ่งดูแล้ว ถ้าข่าวลือนี้เป็นความจริง ก็น่าจะมีการย่อขนาดลงมาให้เหลือราว ๆ 10,000 ตัน และถ้าต่อจากจีนจริง ก็น่าจะเป็นการต่อแค่ตัวเรือเท่านั้น ระบบอาวุธรวมถึงระบบอิเล็กทรอนิค น่าจะใช้ของยุโรปเป็นหลักครับ
[ภาพ Type-71 LPD]
Part 4: MS-60S
....โครงการจัดซื้อ ฮ.MH-60S จำนวน ๒ เครื่อง พร้อมส่วนสนับสนุนโดยวิธี FMS เป็น ผลมาจากเหตุการณ์ธรณีพิบัติคลื่นยักษ์สึนามิ กองทัพเรือ จึงได้ทบทวนโครงการเสริมสร้างกำ ลังกองทัพ และเห็นชอบโครงการจัดหา ฮ. ลำเลียงและกู้ภัยทางทะเลและชายฝั่ง โดยล่าสุดเมื่อ วันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๐ กองทัพเรือ ได้ลงนามใน LOA FMS Case สำหรับการจัดหา ฮ. MH-60S (Naval Hawk) จำนวน ๒ เครื่อง จากประเทศสหรัฐฯ เรียบร้อยแล้ว....
สำหรับ MH-60S นี้มีข่าวออกมาตั้งแต่ต้นปีที่แล้วแล้วครับว่า ทางการสหรัฐอนุมัติการขาย MH-60S ให้กับราชนาวีไทยจำนวน 6 ลำ มูลค่าเต็มโครงการสูงถึง 246 ล้านเหรียญเลยทีเดียว
MH-60S นั้น นอกจากจะใช้ช่วยเหลือผู้ประสบภัยตามที่บทความได้กล่าวมาแล้ว ยังเหมาะสมสำหรับการลำเลียงหน่วยปฏิบัติการพิเศษทางทะเลด้วยครับ ตัวฮ.เองสามารถติดตั้งเรด้าร์เกาะภูมิประเทศ ที่จะสามารถบินลัดเลาะเข้าไปปล่อยหน่วยปฏิบัติการพิเศษในแนวหลังของข้าศึกได้ด้วย
ข่าวที่ออกตามมาหลังจากเอกสารฉบับนี้ก็คือ ทร.ไทยจะทะยอยเซ็นสัญญาสั่งซื้อไปปีละ 2 ลำ จนครบ 6 ลำ ซึ่งการคัดเลือก MH-60S นั้นส่วนหนึ่งก็น่าจะมาจากนโยบายที่ต้องการให้แต่ละเหล่าทัพมีอาวุธที่คล้าย ๆ กัน เพื่อลดภาระการซ่อมบำรุง ในขณะที่ทบ.มี UH-60L Black Hawk และ ทร. มี SH-60 Sea Hawk อยู่แล้ว การจัดหา MH-60S Knight Hawk ก็น่าจะทำให้การฝึกและการบำรุงรักษาไม่ยุ่งยากเหมือนการเปลี่ยนแบบเครื่องบินไปเป็นตระกูลอื่นครับ
อย่างไรก็ตาม ทร.ไทยเป็นลูกค้าต่างชาติรายแรกที่จัดซื้อ MH-60S ไปใช้ในราชการ
[ภาพ MH-60S]
Part 4: อาวุธสำหรับทหารในภาคใต้
...จากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ กองทัพเรือยังคง ยืนยันให้ความสำคัญสูงสุดกับหน่วยเฉพาะกิจที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ ได้แก่ หน่วยเฉพาะกิจ นาวิกโยธิน กองทัพเรือ (ฉก.นย.ทร.) และหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินภาคใต้ (ฉก.นย.ภต.) ซึ่ง มีภารกิจในการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยในปีงบประ มาณ ๕๐ ได้มีการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อให้มีความพร้อมในการปฏิบัติภารกิจได้แก่จัด หา ปลส. ๕.๕๖ มม. จัดหา ปลย. ๕.๕๖ มม. ชนิดยิงกึ่งอัตโนมัติและยิงอัตโนมัติ จัดหาเครื่อง ยิงลูกระเบิด M 203 เพื่อเพิ่มความพร้อมให้กับ ๒ พัน ร. ในพื้นที่จัดหากล้องตรวจการณ์กลาง คืนและจัดหาเครื่องหาตำบลที่ด้วยดาวเทียม (GPS) เพื่อช่วยในการปฏิบัติภารกิจ ในเวลา กลางคืน จัดหาเสื้อเกราะกันกระสุนและจัดหารถยนต์บรรทุก ขนาด ๑ ๑/๒ ตัน (HMMWV) ซึ่งมีความคล่องตัวสูงสะดวกและปลอดภัยในการลาดตระเวนติดตามและระงับเหตุตลอดจน การคุ้มครองบุคคลและสถานที่สำคัญต่าง ๆ ...
เท่าที่อ่านมาทั้งบทความ ข้อความส่วนนี้น่าชื่นใจที่สุดครับ พี่น้องทหารในภาคใต้จะได้มีอาวุธใหม่ ๆ ใช้กับเค้าบ้าง
สำหรับปืนนั้น ดูแล้วก็น่าจะสามารถฟันธงไปได้เลยว่า ปลส 5.56 นั้นน่าจะเป็น M4A1 และ ปลย. 5.56 ก็คงหนีไม่พ้น M16 แน่นอน ซึ่งสามารถติดเครื่องยิงลูกระเบิดแบบ M203 ได้ด้วย
ที่น่าดีใจไปกว่านั้นคือ ทร.จัดหาเสื้อเกราะกันกระสุนกับกล้องส่องมองกลางคืน (Night Vision Goggle) ที่พวกเราเรียกร้องกันอยู่ตลอด ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมาก ๆ ครับ เพราะของเหล่านี้จำเป็นลำหรับชุดปฏิบัติการในภาคใต้ทั้งสิ้น
Part 5: การต่อเรือรบเองเพื่อใช้ในราชการ
..."เรื่องนี้เราพยายามแก้ปัญหาด้วยการบริหารทรัพยากรที่มีอยู่อย่างเต็มความสามารถ เมื่อมีเงินน้อย เราต้องใช้สมองให้มากขึ้น ซื้อของให้น้อยลง กองทัพเรือจึงมีโครงการต่อเรือ ต.991 เพื่อสนองพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" เสธ.ทร.กล่าวถึงแนวยุทธศาสตร์ในการทำงาน
เสธ.ทร.เผยด้วยว่า หากได้รับงบประมาณตามที่เสนอไป กองทัพเรือจะจัดสร้าง "เรือรบขนาดใหญ่" ขึ้นเอง 1 ลำ ซึ่งประเทศไทยไม่เคยจัดสร้างเองมาก่อน คาดว่าน่าจะใช้งบประมาณราวๆ 2,000 ล้านบาท เป็นเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง ซึ่งจะมีขนาดพอๆ กับเรือหลวงมกุฎราชกุมาร แต่ขณะนี้ยังไม่ได้ตั้งชื่อ....
//www.komchadluek.net/2007/06/mili/u001_121143.php?news_id=121143
ข่าวส่วนนี้ไม่ได้ถูกล่าวถึงในบทความในนาวิกศาสตร์ครับ แต่เห็นว่าน่าสนใจมาก ๆ เลยนำมาให้ได้อ่านกันครับ
เรือหลวงมกุฎราชกุมารเป็นเรือธงของกองเรือตรวจอ่าว เป็นเรือฟริเกตอเนกประสงค์ ขนาดระวางขับน้ำราว ๆ 2,000 ตัน ซึ่งในข่าวระบุว่า จะต่อเองในประเทศไทย ทำให้น่าดีใจที่อย่างน้อย คนไทยก็จะสนับสนุนอุตสาหกรรมของบ้านเราเอง
ด้วยขนาดราว ๆ นี้ ผมเห็นว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ทร.จะใช้แบบแผนของเรือหลวงปัตตานีซึ่งทร.ออกแบบเองมาเป็นแม่แบบ โดยน่าจะขยายมิติของเรือขึ้นไปจากประมาณ 1,000 ตันขึ้นไปเป็น 2,000 ตัน ยิ่งทร.มีเรือที่ใช้แบบแผนนี้อยู่ด้วยกัน 2 ลำแล้ว น่าจะทราบได้ถึงข้อดีและข้อเสียของแบบ และเมื่อปรับแก้แล้ว แบบของเรือที่จะต่อใหม่ก็น่าจะดีกว่าเรือชั้นปัตตานีแน่นอน
ถือเป็นการก้าวที่ดีครับ แม้ว่าจะช้ามากก็ตามถ้านับจากการต่อเรือ ต.91 ลำแรก ทั้งนี้ ถ้าเราสามารถต่อเองได้จริง ๆ ก็ถือว่าเราจะมีความสามารถในการสร้างเรือรบได้ครบวงจร ไล่ตั้งแต่ออกแบบไปจนถึงใช้งาน หวังว่า หลังจากเรือในชุด ต. 991 ทั้งสามลำต่อเสร็จสมบูรณ์ อู่ของคนไทยจะได้ต่อเรือรบลำใหม่ของราชนาวีไทยด้วยฝีมือคนไทยเองอีกครั้งหนึ่งครับ
[ภาพ เรือหลวงมกุฎราชกุมาร]
นอกจากนั้นยังมีการจัดหาเรือเร็วสำหรับหน่วยซีลอีกด้วยครับ
สำหรับวันนี้ จบเพียงเท่านี้ ของคุณทุกท่าน สวัสดีครับ
Create Date : 06 มิถุนายน 2550 |
|
45 comments |
Last Update : 6 มิถุนายน 2550 17:05:55 น. |
Counter : 12159 Pageviews. |
|
|
|