Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2553
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
16 มิถุนายน 2553
 
All Blogs
 
ท่านพระอาจารย์ มิตซูโอะสอนการปฏิบัติ เดิน นั่ง แบบอานาปานสติ


*ตอนที่ 1 ชีวิตทั้งหมดให้อยู่ด้วยอานาปานสติ

ตราบที่ยังมีลมหายใจอยู่ จงอยู่ด้วยอานาปานสติ อย่างพระพุทธเจ้า จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน จะกิน ดื่ม ขับถ่าย ทำครัว ทำความสะอาดบ้าน ขับรถ ทำงานทุดชนิด ให้อยู่ด้วยอานาปานสติ เดินเล่น พักผ่อน ก็ทำอานาปานสติได้

พูดได้ว่าชีวิตทั้งหมดนี้ให้อยู่ด้วย อานาปานสติ

เจริณอานาปานสติ เพื่อเป็นการรักษาใจให้เป็นปกติ ให้ใจเป็นศีล

โดยเพียงแต่กำหนดรู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออกติดต่อ กันอย่างต่อเนื่องและอย่างสม่ำเสมอ ไม่ลืม ไม่เผลอ แม้แต่ขณะที่เห็นรูป ได้ยินเสียง ได้ดมกลิ่น ได้รู้รส ได้สัมผัส

การกำหนดรู้ต้องอาศัยจิตใจที่สงบจึงจะสามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง

ก่อนที่จะฝึกอานาปานสติ ต้องพยายามปล่อยวางความคิดต่างๆ พยายามทำใจให้นิ่ง ให้สงบเสียก่อน แม้จะเป็นความสงบเพียงชั่วคราวก็ตาม

อานาปานสติ ทำได้ในอิริยาบถทั้ง 4 คือ ยืน เดิน นั่ง นอน

ให้มีสติระลึกรู้ทุกครั้งที่ลมหายใจเข้าลมหายใจออกติดต่อกัน โดยเฉพาะช่วงที่ปรารภความเพียรทำได้ 24 ชั่วโมง ในวันหนึ่งทีเดียว หรือเว้นเฉพาะขณะหลับเท่านั้น

อานาปานสติ สามารถ เจริญเป็น สมถกรรมฐานให้สมบูรณ์ได้

อานาปานสติ สามารถ เจริญเป็น วิปัสสนากรรมฐาน ให้สติปัฏฐาน 4 สมบูรณ์ได้

ในอิริยาบถบางอย่างไม่สะดวกที่จะเจริญอานาปานสติ หรือกำหนดรู้ลมหายใจ เช่น ขณะที่กำลังขับรถบนถนน บนทางด่วน เราไม่ต้องกังวล คือไม่ต้องระลึกถึงลมหายใจ แต่ให้อยู่ในหลัก อานาปานสติให้ครบถ้วนคือ ทำหน้าที่ปัจจุบันให้ดีที่สุด

ปัจจุบัน เป็นสำคัญ
เรื่อง อดีต ไม่สำคัญ ไม่ต้องคิดถึง
เรื่อง อนาคต ไม่สำคัญ ไม่ต้องคิดถึง


เรื่องคนอื่นไม่สำคัญเท่าไหร่ โดยเฉพาะความชั่วของคนอื่นอย่าแบก ตัวเราเองทำดี ทำถูก นั่นแหละสำคัญที่สุด

ขอให้ตั้งใจขับรถดีที่สุด อย่าให้เกิดอุบัติเหตุก็ใช้ได้

ใครจะขับรถไม่ดี ไม่รักษากฎจราจร แซงตัดหน้าเรา เกือบชน เกือบมีอุบัติเหตุก็ตาม น่าโมโหอยู่ แต่ช่างมัน เรื่องความชั่วของเขาอย่าให้เราเกิดโมโห อย่าให้ใจเสีย อย่าให้เกิดอุบัติเหตุ รักษาใจเป็นปกติ ใจดี แล้วทำหน้าที่ให้ดีที่สุด

เมื่อเราเจริญอานาปานสติเป็นประจำ เราจะมีสติตลอดเวลา สามารถจัดการกับงานหลายอย่างที่เร่งรัดเข้ามาในเวลาเดียวกันได้ เพราะเมื่อรู้สึกวุ่นวาย สติจะกำกับให้กลับมาที่ลมหายใจทันทีโดยอัตโนมัติ จิตจะเริ่มสงบและรับรู่สิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริงทีละอย่าง ทำให้เกิดปัญญาที่จะแก้ไข หรือ จัดการกับงานเหล่านั้นให้สำเหร็จทีละอย่าง และเมื่องานแล้วเสร็จ สติจะกำกับให้กลับมาที่ลมหายใจทันทีที่ว่างจากงาน เป็นการพักผ่อนด้วยอานาปานสติ

ชีวิตทั้งหมดให้อยู่ด้วยอานาปานสติ คือ ทำหน้าที่ในปัจจุบันให้ดีที่สุด ด้วยใจดี มีสุข

อานาปานสติ

อานะ (อัสสาสะ) คือ ลมหายใจเข้า
อาปานะ(ปัสสาสะ) คือ ลมหายใจออก
อานะ + อาปานะ คือ อานาปานะ ลมหายใจเข้า ลมหาใจออก
สติคือ ความระลึกรู้ การกำหนดรู้ในปัจจุบัน ไม่ใช่การคิด จำเอา
อานาปานสติ คือ การกำหนดรู้ลมหายใจเข้า ลหายใจออก ในปัจจุบัน แต่ละขณะ

อิริยาบถแห่งอานาปานสติ

หลวงพ่อชาอธิบายว่า “เมื่อใดที่เราระลึกรู้ลมหายใจ ก็เป็นอานาปานสติเมื่อนั้น”

ลมหายใจนี้อยู่ตลอดเวลาทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน แม้ขณะหลับอยู่ก็มีลมหายใจ เฉพาะอานาปานสติขั้นที่ 4 เท่านั้น ที่ต้องระงับลมหายใจแล้วเข้าสู่ฌาน

ในการปฏิบัติเราต้องอาศัยอิริยาบถนั่งมากเป็นพิเศษ ทำให้หลายท่านพูดว่า การเจริญอานาปานสติทั้งในอิริยาบถ ยืน เดิน นอน นั้นผิดพุทธบัญญัติ ต้องเข้าป่าแล้วก็นั่งขัดสมาธิเท่านั้น แต่ถ้าพิจารณาให้ดีแล้วในอานาปานสติสูตรท่านก็ไม่เคยบอกว่าปฏิบัติไม่ได้ใน อิริยาบถยืน เดินนอน แต่ที่นั่งเจริญอานาปานสติ ก็พราะว่าสะดวก ยิ่งอานาปานสติขั้นที่ 4 นั้น มีจุดมุ่งหมายที่จะระงับกายสังขาร เข้าฌาน ก็ต้องนั่ง

การปฏิบัติในเบื้องต้น ให้พยายามรักษาความรู้สึกที่ดี หรือจิตที่เป็นกุศลเอาไว้ตลอดเวลาทุกลมหายใจเข้า-ออก ในทุกอิริยาบถยืน เดิน นั่ง นอน สำหรับบางคนอิริยาบถยืน เดิน อาจจะเหมาะมอกว่านั้น แต่เมื่อจะฝึกเข้าฌานหรือวิปัสสนาขั้นละเอียด อิริยาบถนั่งน่าจะเหมาะสมกว่า

ในที่สุด กำลังสติปัญญา ก็ต้องเสมอกัน ในทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน เรียกว่า “อิริยาบถเสมอกัน” เป็นมหาสติ มหาปัญญา

อิริยาบถยืน : ยืนอานาปานสติ

ยืนอย่างสำรวม เท้าทั้งสองห่างกันพอสมควร ประมาณ 20 เซนติเมตร เพื่อยืนได้อย่างมั่นคง และเอามือขวาทับมือซ้าย วางลงที่หน้าท้องเหมือนกับท่านั่ง เพื่อให้ดูเรียบร้อย แต่ถ้าอยู่คนเดียวจะปล่อยมือข้างๆ ตัว ตามสบายๆ แบบโครงกระดูกที่ถูกแขวนไว้ก็ได้

จากนั้นทอดสายตาให้ยาวพอดีๆ ประมาณเมตรครึ่ง แต่ไม่ให้จ้องอะไร กำหนดสายตาไว้ครึ่งๆ ระหว่างพื้นดินกับตัวของเราเอง ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ดูอะไรเป็นพิเศษนั่นเอง หรืออาจกำหนดดูที่ปลายจมูกก็ได้

บางครั้งอาจจะกำหนดสายตาไว้ที่ที่สบายตา เช่น กำหนดที่สนามหญ้าสีเจียว ต้นไม้ ดอกไม้ หรือสระน้ำ แต่ไม่ให้คิดปรุงแต่งเป็นเรื่องเป็นราว

ถ้ารู้สึกมีอะไรเกะกะตาหรืออยู่ด้วยกันหลายคน อาจจะหลับตาก็ได้เหมือนกัน แต่ระวังอย่าให้ล้ม ต้องมีสติ ทรงตัวไว้ให้ดี

หายใจจากทางเท้า

หายใจเข้าลึกๆ ยืดตัวหน่อยๆ
หายใจออกสบายๆ ปล่อยลมลงตามตัวทางเท้า
หายใจเข้าลึกๆ ยืดตัวหน่อยๆ ตั้งกายตรง
หายใจออก ปล่อยลมลงทางเท้า สบายๆ 2-3 ครั้ง หรือ 3-4 ครั้ง
หายใจเข้าลึกๆ หน่อยๆ
หลังจากนั้น หายใจสบายๆ ธรรมดาๆ แต่ส่งความรู้สึกให้มันถึงเท้าทุกครั้ง ทำความรู้สึกคล้ายกับว่า ลมเข้า ลมออก ยาวขึ้น

โอปนยิโก น้อมจิตเข้ามาดูกายยืน ไม่ให้ส่งจิตคิดออกไปข้างนอก ให้มีความรู้ตัวชัดๆ ในการยืน ยืนเฉยๆ ทุกอย่างให้มันเป็นธรรมดาๆ ยืนสบายๆ นั่นแหล่ะดี และถูกต้อง รู้ชัดว่ากายกำลังยืน รู้ชัดว่าลมหายใจปรากฏอยู่

ลมหายใจปรากฏอยู่อย่างไรก็รับรู้ รับทราบ กำหนดรู้ ระลึกรู้เฉยๆ มีหลักอยู่ว่า ความรู้สึกอยู่ที่ไหน จิตก็อยู่ที่นั่น

การระลึกรู้ลมหายใจออก ลมหายใจเข้า คือ การรักษาใจไม่ให้ฟุ้งซ่าน ให้อยู่กับปัจจุบัน ไม่ให้ติดอารมณ์

การหายใจให้ปล่อยตามธรรมชาติและธรรมดาที่สุด สบายๆ ที่สุด กำหนดเบาๆ ให้พยายามมีความรู้สึกนิดหน่อยว่า มีลมเจ้า มีลมออก ทุกครั้งไปเท่านั้น ถ้าสบาย สงบ มีความสุข แสดงว่า กำหนดได้ถูกต้อง

ถ้ากำหนดลมหายใจแล้วรู้สึกเหนื่อย เครียดและสับสน แสดงว่ากำหนดไม่ถูกต้อง ให้พิจารณาทบทวนใหม่ อย่าบังคับลมหายใจมากมาย หายฝขสบายๆ เป็นธรรมชาติที่สุด การส่งความรู้สึกหรือจิตไปถึงเท้า ก็เพื่อให้ลมหายใจค่อนข้างยาวขึ้นตามธรรมชาตินั่นเอง

นี่เป็นวิธีการหายใจจากทางเท้า

การฝึกระลึกรู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก เป็นการฝึกเจริญสติ เป็นการรักษาความรู้สึกให้เป็นปกติ คือ เบาสบาย

ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย เป็นการตั้งเจตนาถูกต้อง

เป็นการรักษาใจให้เป็นปกติ คือ ใจสงบ ใจเป็นศีล คีลถึงใจเป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นสัมมาปฏิปทา

อิริยาบถเดิน : เดินอานาปานสติ

การเดินที่ถูกต้องคือ การเดินธรรมดา

เอากาย เอาใจ มาเดิน เมื่อกายกำลังเดิน ให้ใจเดินด้วยกัน ไม่ใช่ว่า เมื่อกายกำลังเดิน ใจคิดไปเที่ยวในอดีต อนาคต หรือคิดเที่ยวไปในโลก อย่าให้กายกับใจทะเลาะกัน อยู่คนละทิศ คนละทาง ให้กายกับใจสามัคคีกัน รักกัน อยู่ด้วยกัน

ให้มีสติ สัมปชัญญะ มีความรู้สึกตัวพร้อมในการเดิน เดินให้ถูกต้องและเป็นธรรมชาติมากที่สุด

ลักษณะการเดิน

มีมากมายหลายวิธี แล้วแต่สำนักและครูบาอาจารย์
เดินช้า ๆ ช้ามาก ๆ ชั่วโมงละ 10 – 40 เมตร ก็ได้
ค่อย ๆ เดิน
เดินอย่างธรรมดา
เดิน เร็ว
วิ่งก็มี

โยมคนหนึ่งบอกอาจารย์ว่า หลวงพ่อใหญ่ (พระอาจารย์มั่น) เดินเร็วมาก ท่านเดินกลับไปกลับมาและเดินเร็วมาก

วิธีกำหนดขณะที่เดิน มี 2 วิธีด้วยกัน คือ กำหนดที่กาย และกำหนดที่จิต

วิธีกำหนดกาย คือ การตั้งกายเพ่งกำหนดดูการเคลื่อนไหวของเท้า เช่น เดินช้า ๆ ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ ค่อย ๆ เดิน พยายามกำหนดรู้ เท้าสัมผัสดิน หรือทำความรู้สึกอยู่ที่การก้าว ขวาก้าว ซ้ายก้าว บางทีก็ให้นึกก้าวขาขวาว่า พุท ก้าวขาซ้ายว่า โธ ขวาพุท ซ้ายโธ พุทโธ ๆ เป็นต้น

วิธีกำหนดจิต ตั้งใจรักษาจิต หรือ พินิจพิจารณาในหัวข้อธรรมต่างๆ ไม่ต้องกังวลในอิริยาบถ ย่าง เหยียบ ฯลฯ เช่น พิจารณาความตาย พิจารณาร่างกายเป็นอสุภะ หรือแยกออกเป็น ธาตุ 4 เป็นต้น เดินธรรมดาหรือเดินเร็ว หรือ เดินช้า ๆ แล้วแต่จริตนิสัย ของแต่ละบุคคล ไม่ต้องกังวลในเท้าที่เคลื่อนก้าวไป

การฝึกอานาปานสติ จะกำหนดทั้งกายและจิตพร้อมกัน

ลมหายใจ เข้า ลมหายใจออก คือ กาย

จิตก็อยู่ที่ลมหายใจเฉพาะหน้า

การกำหนดรู้ลม หายใจ จึงเป็นการตามดูจิต เป็นการรักษาจิตด้วย

เดินจงกรม

เราจะฝึกเดินจงกรมแบบธรรมชาติที่สุด ให้เดินธรรมดา ๆ แต่ช้ากว่าปกตินิดหน่อย ขวาก้าว ซ้ายก้าว ขวาก้าว ซ้ายก้าว เดินไปเรื่อย ๆ นั่นแหละ คือ เดินจงกรม เดินเฉย ๆ ธรรมดา ๆ แต่ให้มีอาการสำรวม ระวังในการเดิน

มีสติ ระลึกรู้ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ทุกครั้ง

บางคนอาจจะไม่เคยชินกับการกำหนดลมหายใจขณะเดิน เพราะว่าความรู้สึกที่เท้ากำลังก้าวอยู่ ความรู้สึกที่ฝ่าเท้ากำลังถูกดิน ความรู้สึกในการเดินเด่นชัดมากกว่าลมหายใจหลายเท่า หลายสิบเท่าก็เป็นได้ แต่ไม่ต้องสงสัยอะไร

อะไรที่กำลังปรากฏอยู่โดยธรรมชาติ รับรู้ รับทราบหมด รู้ชัดว่ากายกำลังเดิน แต่เราไม่ทิ้งลมหายใจ ให้มีความพยายามที่จะกำหนดรู้ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก รู้นิดหน่อยว่า ลมเข้า ลมออก เท่านั้น เบาขนาดไหนก็ช่างมันแต่ให้มันรู้ติดต่อกัน

เดินไป เดินมา เริ่มจะเมื่อยคอ เมื่อยหลัง หายใจเข้าลึกๆ 2-3 ครั้ง ยืดตัวหน่อยๆ เป็นระยะๆ เพื่อช่วยผ่อนคลายความรู้สึก

ทำให้เบาตัว สบายตัว เดินไปเรื่อยๆ ถ้าจิตไม่สงบ หยุดเดินก่อนก็ได้ หายใจเข้าลึกๆ 2-3 ครั้ง หรือนานพอสมควร จนกว่าจิตจะสงบเรียบร้อย ตั้งหลัก ตั้งสติ แล้วค่อยๆ เดินต่อไป

เดินกำหนดอานาปานสติ เหมือนการยืนกำหนดอานาปานสติ ต่างกันเพียงการเคลื่อนไหวของกายเท่านั้น

ไม่ว่าจะวิ่ง เดินเร็ว เดินธรรมดา เดินช้า หยุดอยู่ คือ ยืน เรามีหน้าที่ ระลึกรู้ทุกครั้งที่ลมหายใจเข้า ลมหายใจออกติดต่อกันเท่านั้น

หาจุดสบายๆ หายใจเข้า สบายๆ หายใจออก สบายๆ เป็นการเจริญสติที่ระลึกรู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก เป็นการรักษาจิตใจให้เป็นปกติ เป็นการรักษาความรู้สึกให้เป็นปกติ เป็นการรักษาความรู้สึกให้เป็นปกติ คือ เบาสบาย ใจให้สบายๆ กายสบาย สบายๆ

อานิสงส์ของการเดินจงกรม มี 5 อย่าง คือ

1. เป็นผู้ทนต่อความเพียร
2. เป็นผู้ทนต่อาการเดินไกล
3. เป็นผู้มีการเจ็บไข้น้อย
4. อาหารที่บริโภคเข้าไปย่อมย่อยง่าย
5. สมาธิ ซึ่งได้ขณะเดินจงกรม ดำรงอยู่ได้นาน

เอกสารอ้างอิง
1. พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก. อานาปานสติ : วิถีแห่งความสุข 1 ชีวิตทั้งหมดให้อยู่ด้วยอานาปานสติ. ธรรมบรรยาย เล่มที่ 11 กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิมายาโคตมี; 2550.

Credit : ฟอร์เวิร์ด
Pic : sites.google.com

สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์

H O M E



Create Date : 16 มิถุนายน 2553
Last Update : 16 มิถุนายน 2553 19:26:31 น. 1 comments
Counter : 837 Pageviews.

 
การให้ธรรมะเป็นทานชนะการให้ทั้งปวง
เรียนธรรมะตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฏก
//www.samyaek.com/
กัลยาณมิตรที่ดีที่สุดคือ พระพุทธเจ้า


โดย: shada วันที่: 17 มิถุนายน 2553 เวลา:18:03:05 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jenifaae
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Editor
บทความ ความคิดเห็นที่นำลง"สนามหลวงแก็งค์" ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เพียงเราเห็นว่าน่าสนใจและเป็นประโยชน์ในทางข้อมูล ข่าวสาร
หากท่านมีข้อคิดเห็นประการใด โปรดแจ้งให้เราทราบ จักขอบคุณยิ่ง
"สนามหลวงแก็งค์"
kunkorn : Facebook



"Sanamluang's Gang"
"สนามหลวงแก๊งค์"

kunkorn : Facebook

     เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนให้เกิดการศึกษา การเรียนรู้ เผยแพร่ ส่งเสริม สนับสนุน รวบรวมข้อมูล ข่าวสาร อนุรักษ์ รักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย วิถีชีวิต และปรัชญา คุณค่าจิตวิญญาณที่งดงาม สืบสานต่อยอดกันมานานนับพันๆปี และกำลังถูกทำลายด้วยอิทธิพลจากแนวคิดเชิงวัตถุนิยมแบบตะวันตก

● เพื่อการศึกษาหาความรู้ ส่งเสริม สนับสนุน ให้เกิดการศึกษา เรียนรู้ สิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบ และนำมาเผยแพร่แก่มวลมนุษยชาติ อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง มิใช่เพียงวิทยาศาสตร์เชิงวัตถุเพียงอย่างเดียว เพราะถือว่าพระพุทธเจ้า ทรงค้นพบความจริงของธรรมชาติ ทั้งหมดทั้งสิ้น ที่มนุษย์ธรรมดาสามัญอย่างเราๆ ท่านๆ ยังเป็นเพียงผู้รู้ แค่หางอึ่งที่ยังอยู่ในกะลาครอบ แต่บังอาจด่วนสรุป ขัดแย้งกับ สิ่งที่องค์ศาสดาทรงค้นพบมากว่าสองพันปี จนทำให้บังเกิดความสับสน ลดความน่าเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ

● สนามหลวงแก๊งค์ ต้องขออนุญาตและขอขอบคุณท่านเจ้าของข่าวสาร ข้อมูล ที่เราได้นำลงในสนามหลวงแก๊งค์ ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยจิตคารวะ ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็เพื่อให้สนามหลวงแก๊งค์ เป็นแหล่งในการเผยแพร่ ข้อมูล ข่าวสารที่เป็นประโยชน์และเพื่อเป็นวิทยาทานแก่สาธารณชน แต่หากท่านเจ้าของข้อมูล ข่าวสารที่ สนามหลวงแก๊งค์ นำลงไม่มีความประสงค์ให้นำลง ขอได้โปรดแจ้งความประสงค์ เรายินดีที่จะถอดออกต่อไป

ด้วยจิตคารวะ
www.sanamluang.bloggang.com
kunkorn : Facebook


ดาวหาง
     เป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นในห้วงมหาจักรวาลอันยิ่งใหญ่ ลี้ลับไร้ขอบเขต ทุกครั้งที่ดาวหางปรากฏ มันจะส่งสัญญาณแห่งความพินาศ มหันตภัย ธรรมชาติ ความตาย ความเจ็บป่วย สงคราม ความขัดแย้ง การกดขี่ การเอารัดเอาเปรียบ การคดโกง การเบียดเบียนของมนุษย์บนพื้นพิภพใบนี้

     มันคือสัญญาณเตือนภัยที่มนุษย์ไม่อาจจะควบคุมได้ ทั้งภัยทางธรรมชาติและภัยที่เกิดขึ้นจากมนุษย์สร้างกันขึ้นมาเองในทุกรอบพันปี

     ไม่ว่ามนุษย์จะคิดว่าตัวเองเก่งกาจสามารถ ฉลาดสักเพียงไหน ก็ไม่อาจหลีกพ้นมหันตภัยเหล่านี้ไปได้
     ดังนั้น จงเชื่อและปฎิบัติตามอย่างไม่ลังเลต่อคำสอนของศาสดาของเราอย่างจริงจังเถิด

     แม้จอมจักรพรรดิ จอมราชันย์ หรือจอมทรราชที่ยิ่งใหญ่ในอดีต ก็ต้องตายร่างกายเน่าเปื่อยเป็นผุยผง และในที่สุดวิญญาณของเขาก็ต้องชดใช้กรรม ด้วยการถูกไฟนรกเผาผลาญโดยไม่มีข้อยกเว้นทั้งทั้งสิ้น

     จงอย่าอหังการ์ว่าตัวเองเก่ง ฉลาด และยิ่งใหญ่กว่าคำสอนของพระศาสดา ไม่มีมนุษย์ตนใดที่จะพ้นจากกฎแห่งธรรมชาติได้ มนุษย์ที่เก่งกว่าเรา เขาได้ตายร่างกายทับถมปฐพีแห่งนี้นับไม่ถ้วนแล้ว


     ● ขออนุญาตนำภาพวาด "วีระชนบนพานรัฐธรรมนูญ" ของ คุณสถาพร ไชยเศรษฐ ศิลปินอิสระ อดีตแนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย ซึ่งวาดเนื่องในโอกาส 2 ปี 14 ตุลา มาเป็นส่วนหนึ่งของหัว "สนามหลวงบล็อก"                


บริการดูดวง



"สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" มีความภาคภูมิใจในความสำเร็จตามอุดมการณ์ของเรา ที่ได้ตั้งเอาไว้ว่า "เราจะใช้วิชาความรู้ในด้านการพยากรณ์เพื่อให้เป็นประโยชน์สำหรับการให้การปรึกษาของผู้คนที่กำลังประสบปัญหา ความเดือดเนื้อร้อนใจ หรือการเผชิญกับปัญหานั้นๆได้อย่างไรดี

มนุษย์เกิดแต่กรรม มนุษย์มีกรรมเป็นเหตุ เมื่อเราประสบเคราะห์กรรม ปัญหาอยู่ที่ว่าหากเราทราบเสียก่อน ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่าการไม่ทราบ อย่างน้อยก็ทำให้เราระมัดระวังตัว อย่างน้อยก็ทำให้เราหลีกเลี่ยงเพื่อทำให้เราเผชิญกับกรรมน้อยลงไป อย่างน้อยก้ทำให้เรารู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมันมีที่มา มันมีที่ไปของมัน

มีนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์วัตถุจิตนิยม มักโจมตีอยู่เสมอว่า การดูดวง เป็นเรื่องของความงมงาย หมอดูคู่กับหมอเดา หมายถึงว่า เขาไม่เชื่อในเรื่องของวิชาโหราศาสตร์เพราะคิดไปว่ามันเป็นเรื่องเดียรัจฉานวิชาบ้าง เป็นการคาดเดาเอาเองบ้าง คิดว่ามันเป็นวิชาที่ใช้สถิติสุ่มเอาบ้าง ไม่เชื่อว่าวิชาโหราศาสตร์จะสามารถไขปริศนาแห่งรหัสลับของดวงดาว จักรวาล และธรรมชาติรอบตัว

แสดงว่าเขาลืมไปว่า อัลเบิร์ต ไอสไตน์ และสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกรอบตัวเรา ตั้งแต่เล็กเท่าอะตอม (จุลจักรวาล)จนถึงมหาจักรวาล ล้วนมีความผูกพัน ล้วนมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งแยกกันไม่ออก เพียงแต่ว่า กับอะไร เมื่อไร อย่างไร เท่านั้น

กรรมเป็นผลจากการกระทำของเราในอดีตชาติ จะดีหรือจะร้ายก็เพราะเราทำ เป็นสิ่งที่เราจะต้องได้รับผลแห่งการกระทำเหล่านั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โหรฯเป็นเพียงผู้แปลรหัสของดวงดาวและธรรมชาติรอบตัว เพื่อเผยแผนที่ชีวิตของเรา และสามารถมองเห็นช่องทางที่จะเลี่ยงหลบสิ่งเลวร้าย ให้ลดน้อยถอยลงหรือพบพานแต่สิ่งที่ดีดี

การสะเดาะเคราะห์ หรือพิธีการตัดกรรมที่กำลังกล่าวขานถึงก็คือการขออโหสิกรรม ลดการอาฆาตจองเวรกับเจ้ากรรมนายเวรที่กำลังจ้องจองเวรด้วยความอาฆาตพยาบาทที่ถูกเรากระทำในอดีตชาติ ไม่ใช่เป็นการตัดทอนผลกรรมที่เราทำให้หมดไปหรือให้ลดลง เพราะกรรมที่เรากระทำไม่สามารถตัดทอนลงไปได้



สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์พยากรณ์เที่ยงตรง แม่นยำเชื่อถือได้ วิเคราะห์พยากรณ์อย่างเป็นระบบ ไม่เลื่อนลอย ยึดมั่นในอุดมการณ์ของครูที่ท่านได้กำชับให้นำเอาวิชาการพยากรณ์มาช่วยเหลือแนะนำ บรรเทาทุกข์ของผู้คนมากกว่าการพยากรณ์เพื่อการค้า

ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าประเทศใด? ชาติใด ภาษาใด? สมัยไหน? ชนชั้นวรรณะใด? ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสัว นักธุรกิจ นักการค้า แม่บ้าน นักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ หรือไม่เว้นแต่นายพล นายพัน รัฐมนตรี หรือระดับผู้นำประเทศ ล้วนแต่เคยดูดวงด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ว่า เราจะเชื่ออย่างงมงายหรือจะเชื่อโดยใช้เหตุผลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ โดยนำเอาคำพยากรณ์มาใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการดำเนินชีวิต หรือทำธุรกิจ การค้า หรือเพื่อการทำสงครามฯ

"สนามหลวงแก็งค์" ไม่สนับสนุนให้เชื่อเรื่อง "ดวง" อย่างงมงาย แต่เราสนับสนุนให้ใช้คำ "พยากรณ์"อย่างมีวิจารณญาณประกอบการตัดสินใจอย่างมีสติ ใช้ "ปัญญา"อย่างมี "เหตุผล"

หลังจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม จนต้องมีการเข้าจองคิวดูดวงเป็นจำนวนมาก ณ ขณะนี้ ไม่ใช่แต่เฉพาะคนไทยในประเทศที่เข้ามาใช้บริการจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"เท่านั้น

แต่ยังมีคนไทยที่อยู่หลายประเทศทั่วโลกเข้ามาดูดวง ตรวจสอบชื่อ นามสกุลมากมาย ทั้งนี้คงเป็นเพราะผู้ที่เข้ามา"ดูดวง" กับ "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับความพอใจในคำพยากรณ์ที่ถูกต้อง แม่นยำ แนะนำแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมตามหลักโหราศาสตร์ จึงได้มีการบอกเล่า แนะนำชักชวนกันปากต่อปากเป็นจำนวนมาก

ปัจจุบันนี้ มีผู้เข้ามาเยี่ยมชมwww.sanamluang.bloggang.com มีจำนวนถึง 118 ประเทศ โดยเข้ามาเปิดดูหน้า "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"คิดเป็นร้อยละ 80 ของ pageviews ต่างๆใน www.sanamluang.bloggang.comจัดทำบล็อกครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2550 มีผู้เข้าชมจำนวนทั้งสิ้น 579,020 ครั้ง จากจำนวน 262,960 visitors (ข้อมูล ณ เวลา 12.00 น.ของวันพุธที่ 6 ตุลาคม 2553)

ส่วนใหญ่ลูกค้าที่โทรเข้ามาเกือบ 98% เมื่อโทรฯ เข้ามาดูดวงแล้ว จะสามารถนัดวัน เวลาดูดวงได้โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด อาจจะมีอยู่บ้างเพียงไม่กี่รายที่โทรฯเข้ามาเพื่อสอบถามรายละเอียดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

อาจจะเนื่องมาจากไม่คุ้นเคยการทำธุรกิจแบบออนไลน์ โดยมีการโอนเงินก่อน ไม่ไว้ใจ หรือไม่กล้า ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก ประมาณ 2%

สำหรับที่เมลฯมาถามและเงียบไป ไม่สามารถทราบจำนวนได้ อาจเนื่องจากเป็นรายที่โทรเข้ามานัดอีกทางหนึ่งก็เป็นได้

สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์ ยังมีอาจารย์ผู้สอนวิชาโหราศาสตร์ ผ่านประสบการณ์ในการดูดวงหลายปีคิดเป็นจำนวนหลายพันดวง

แน่นอน แม่นยำกระชับ ชัดเจน หากไม่ทราบเวลาตกฟากท่านก็ยังสามารถดูได้ รายที่กำลังประสบเคราะห์หามยามร้าย ท่านก็จะช่วยแนะนำและแก้ไขเรื่องเลวร้ายให้กลายเป็นดีด้วยศาสตร์แห่งความลี้ลับของโหราศาสตร์ โดยไม่ต้องเสียเงินสะเดาะเคราะห์ สามารถดูได้ถึงขนาดปัญหาเรื่องคู่ครอง เรื่องเคราะห์ เรื่องหน้าที่การงาน โดยใช้ "วิชาโหราศาสตร์ดวงไทย"อันเป็นสุดยอดของวิชาโหราศาตร์โบราณของไทย

นอกจากนั้น เรายังมี ซินแส ที่เชี่ยวชาญเรื่องการดูฮวงจุ้ย ทำเลปลูกบ้าน อาคารสำนักงาน ดูฤกษ์ยาม แต่งงาน คลอดบุตร ขึ้นบ้านใหม่ เปิดกิจการต่างๆโดยใช้วิชาโหราศาสตร์จีนโบราณผสานตำราดวงไทย ซึ่งซินแสท่านมีประสบการณ์การดูดวงมาไม่น้อยกว่า 45 ปี ผ่านการดูให้กับนักธุรกิจชื่อดังของเมืองไทย และนักธุรกิจชั้นนำจากฮ่องกงหลายราย

ติดต่อ 081-4834367 หรือ workingmailhome@hotmail.com
--------------------------------------------
● ปรึกษาปัญหากฏหมาย
ละเมิด,สัญญา,อายัดทรัพย์ ยึดทรัพย์
--------------------------------------------
● ปัญหาติดต่อราชการ
บริการปรีกษาเรื่อง ภาษีป้าย ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน ค่าธรรมเนียมต่างๆ และการติดต่อราชการต่างๆ ของสำนักงานเขต
--------------------------------------------
● พิมพ์รายงาน,ค้นหาข้อมูล,

● งานพิมพ์ Lay-Out,Art Work
--------------------------------------------
สำนักพิมพ์ดาวหาง
www.sanamluang.bloggang.com




รับวาดรูปเหมือน และสอนวาดรูป
โดยอาจารย์ ผู้ชำนาญ

ราคาย่อมเยา

















หลังเกิดเหตการณ์ 14 ตุลา 2516 นิสิต นักศึกษา ปัญญาชน ต่างหลั่งไหลดั่งสายน้ำ ล้นขอบ ออกจากเมือง เข้าสู่ ชนบท เหตุเกิดเมื่อ กลางปี พ.ศ.2516 จนถึง พ.ศ.2519 นักศึกษากลุ่มหนึ่ง ได้ พบกันโดยบังเอิญ และ ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับชาวบ้าน ณ หมู่บ้าน แม่ตะมาน ตำบลกื๊ดช้าง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้ ชื่อโครงการว่า "โครงการหมู่บ้านสหกรณ์แม่ตะมาน"
เชิญ พบ และติดตาม กับเรื่องราว และบทสรุป อันควรเป็นจุดเริ่มต้น ต่อไปใน

     เมล็ดพันธุ์ประชาธิปไตย ที่ถูกหว่านทั่วท้องทุ่งแห่งประชาไทย มาบัดเดี๋ยวนี้ เมื่อต้องฝน ต้องลม แห่งกาลเวลาพัดผ่าน จาก 2516 , 2519 2535,จน 2540 ถึง 2550บางเมล็ดพันธุ์ก็ยังขาวพิสุทธิ์สดใส บ้างเมล็ดพันธุ์เปลี่ยนสี บ้างก็ดอกสีเหลือง บ้างก็ดอกสีแดง บ้างก็ดอกสีม่วงก้มี สีเขียว สีน้ำเงิน หรือบ้างก็อาจเฉาโรยรา หรือบ้าง ผสมผสานกลายพันธุ์ ก็มีไม่น้อย
มาบัดเดี๋ยวนี้ มันไม่ใช่ จิต วิญญาณ แห่ง 14 ตุลา เดิมเสียแล้ว ไม่ใช่พันธุ์เดียวกัน อย่าได้ เอ่ยอ้างเลย ว่า วิญญาณ 14 ตุลา ยังคง...มันประชาธิปไตย ที่ไม่ บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนอย่างเดิมเสียแล้ว.....
..แต่มันเป็น.ประชาธิปไตย...เพื่อใคร..??


“ทุกวันนี้ เราจะรับรู้ ได้เห็น ได้ยินแต่เรื่องเลวร้าย ในสังคม
เราจึงขอบันทึกสิ่งที่ดีๆ ต่างๆ เหล่านี้ ด้วยจิตคารวะ และขอเป็นกำลังใจให้เกิดสิ่งที่ดีงามเหล่านี้ต่อไป”>>>



อ่านงานเขียนเกี่ยวกับภาพยนตร์หลากหลายประเทศทั่วโลก ที่นี่ >>>





*จำนวนผู้ชมทั้งสิ้น* สถาปนาบล็อค 21 ก.ค.2550
Friends' blogs
[Add jenifaae's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.