Group Blog
 
<<
มีนาคม 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
18 มีนาคม 2552
 
All Blogs
 

ระวัง! ไม่มีแผ่นดินจะอยู่

โดย : ไพศาล รัตนะ




     ไม่ได้ขู่ แต่หายไปจริงๆ สำหรับแผ่นดินริมฝั่งทะเลอ่าวไทย จากปรากฏการณ์น้ำเซาะชายฝั่ง กลืนหาดหายนับสิบเมตรต่อปี

"ระวัง ไม่มีแผ่นดินจะอยู่" ฟังทีแรก อาจตกใจนึกว่าใคร (ขาใหญ่ๆ) มาขู่

แต่สำหรับคนริมฝั่งอ่าวไทยกลุ่มหนึ่ง ที่กำลังเผชิญกับปรากฏการณ์ผืนน้ำรุกคืบ ค่อยๆ กลืนชายฝั่งไปปีละ 10 เมตรนั้น ...พวกเขารู้ดีว่าไม่ได้มาแค่คำขู่ แต่จะสู้กับมันอย่างไรต่างหาก คือสิ่งที่ 'ชาวบ้านบ่อโชน' นอนก่ายหน้าผากคิดอยู่ทุกคืน

"แต่ก่อน ผมเคยมาคอยพ่อกลับจากเลที่หน้าหาดแห่งนี้ทุกวัน เพื่อเตรียมขนกุ้ง หอย ปู ปลาที่หามาได้เต็มลำเรือก่อนแวะขายชาวบ้านที่ตลาด บางส่วนเอาไปฝากแม่ทำกับข้าวที่บ้าน แต่วันนี้ อย่าว่าแต่หาดสีขาวให้เด็กๆ วิ่งเล่นเลย จะเอาเรือขึ้นเทียบผืนทรายยังเป็นเรื่องยาก"น้ำเสียงผ่านสำเนียงเปื้อนทองแดงของ 'บังหมาน' หรือ ดลรอหมาน โต๊ะกาหวี ชาวเลรุ่นใหญ่วัย 38 แห่งบ้านบ่อโชน ผู้รั้งตำแหน่งผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ม.7 ตำบลสะกอม อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ย้อนภาพวันวานของหาดสะกอมให้ฟัง

     'หาดสะกอม' หลายจุดในพื้นที่ ม.7 ตำบลสะกอม อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา เคยมีอดีตอันสวยงามเสียงตามเสียงร่ำลือของคนละแวกนี้ว่ายามตะวันสาดแสงโลมเล้า ผืนทรายแห่งนี้จะส่องประกายระยับแสงดุจมีอัญมณีวางเรียงรายวาวแสงอยู่เต็มไปทั่วผืนหาด

แต่ในห้วงระยะเวลา 5-6 ปีที่ผ่านมา 'หาดสะกอม' ได้เปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ หลังจากชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกหรืออ่าวไทย เผชิญหน้ากับปัญหาคลื่นกัดเซาะชายฝั่ง

แผ่นน้ำที่เคยใสดุจแผ่นกระจกกลับกลายเป็นสีขุ่นเข้มหลังจากเกลียวคลื่นบริเวณหาดสะกอมทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ในหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงหน้ามรสุมกองทัพคลื่นที่มากับความสูง 2-4 เมตรถาโถมเข้าใส่อย่างไม่มีปรานี

     วันนี้ผืนแผ่นดินบ้านบ่อโชน ม.7 ต.สะกอม รวม 2 ไร่ ถูกน้ำทะเลกัดเซาะไปอย่างรวดเร็วเพียงในช่วงเวลาไม่ถึง 10 ปี ส่งผลให้ชาวบ้านนับร้อยหลังคาเรือนที่ยึดอาชีพประมง ได้รู้ซึ้งถึงฤทธิ์เดชของ 'ทะเลคลั่ง' เป็นอย่างดี และต้องพบอีกว่า สัตว์น้ำนานาชนิดที่เคยสมบูรณ์กลับหายไป จำต้องพาเรือคู่ชีพออกไปไกลจากทะเลที่คุ้นเคยเพื่อหาเลี้ยงปากท้อง

'หาดสะกอม' เป็นเพียงส่วนหนึ่งในภาพรวมของวิกฤตคลื่นกัดเซาะชายทะเลฝั่งตะวันออกที่เกิดขึ้นกับคนฝั่งอ่าวไทย เพราะนาทีนี้จะมีใครล่วงรู้บ้างว่ามหันตภัยเงียบที่มากับเกลียวคลื่นได้แอบกัดเซาะพื้นที่ชายทะเลฝั่งตะวันออกของไทย จนนักวิชาการบางคนมองว่าสถานการณ์เดินเข้าสู่ขั้น 'วิกฤต' แล้วถึง 3 จุด นั่นคือ 'อ่าวไทยตอนใน' ตั้งแต่ จ.เพชรบุรี-จ.สมุทรปราการ 'อ่าวไทยตอนบน' ตั้งแต่นครศรีธรรมราช-ชุมพรและ 'อ่าวไทยตอนล่าง' ตั้งแต่นราธิวาส-สงขลา

     โดยเฉพาะฝั่ง 'อ่าวไทยตอนล่าง' ถือว่าเป็นจุดที่มีปัญหาการกัดเซาะรุนแรงมากที่สุด หลังมีการสำรวจพบว่า 'แหลมตะลุมพุก' ในบางจุดสามารถวัดระดับการกัดเซาะได้ถึง 10 เมตร/ปี เมื่อเทียบเคียงกับตัวเลขเดิมที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.)พบการกัดเซาะบริเวณเดียวกัน คือ 5 เมตรต่อปีเท่านั้น

หาดทรายที่หายไป

     ดลรอหมาน โต๊ะกาหวี ชี้ไปยังบริเวณชายหาดที่เต็มไปด้วยซากและเศษไม้ขนาดเขื่อง ระเกะระกะเต็มหาด แถมผืนทรายที่เคยคั่นกลางระหว่างทะเลกับแผ่นดิน ก็เหลืออยู่เพียงน้อยนิด

"คลื่นที่นี่รุนแรงผิดปกติอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนโดยเฉพาะในช่วงหน้ามรสุม โหมใส่ฝั่งอย่างคนบ้าคลั่ง 4-5 ปีที่ผ่านมามันกัดเซาะชายฝั่งเข้าหาแผ่นดินมากขึ้นทุกทีจนในที่สุดศาลาริมหาด หมู่ 6 บ้านโคกสัก ก็ถูกคลื่นกลืนหายไปเมื่อไม่นานมานี้"บังหมาน คิดถึงอดีตแหล่งพักผ่อน

ลูกน้ำเค็มแห่งทะเลสะกอม บอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นยังไม่มีใครให้คำตอบที่ชัดเจนได้ว่าเกิดจากอะไร ส่วนใหญ่ชาวบ้านและคนที่อาศัยริมฝั่ง มักคล้อยตามคำกล่าวอ้างว่าเป็นผลพวงหนึ่งของ 'โลกร้อน'

แต่ 'บังหมาน' กลับมีมุมมองที่สวนทาง

"โลกร้อนคงไม่ทำให้วิถีชายฝั่งสาหัสอย่างนี้หรอก แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเห็น คือ การเปลี่ยนแปลงสภาพของชายฝั่งด้วยวิธีต่างๆ เช่น เขื่อนกันคลื่น เขื่อนกันทรายและคลื่น และคันดักทราย สิ่งเหล่านี้อาจจะขัดขวางกระแสน้ำและการเคลื่อนที่ของตะกอนชายฝั่ง นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสมดุลชายฝั่ง แต่นั่นเป็นเพียงความคิดของผม ต้นตอที่แท้จริงคืออะไรกันแน่ ผมก็ไม่รู้ แต่สำหรับผม รู้เพียงว่าเรากำลังจะเสียแผ่นดินไปหากไม่เร่งแก้ไข" ชายผิวคล้ำ ใบหน้ากร้านแดด เสนอมุมมอง

     บังหมาน ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนคลายปมผ้าขาวม้าผืนเก่าที่คาดเอวพร้อมเอ่ยอย่างอ่อนเนือยว่า ผืนหาดกำลังจะไม่เหลือให้เห็น ผืนดินถูกกัดเซาะมากขึ้น แถมปู ปลา ก็หายากขึ้นทุกที ทุกวันต้องถ่อเรือออกไปไกล กว่าจะได้เงินก็เหนื่อยยาก

"วันนี้จึงพูดได้เต็มปากว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เราลำบากทั้งเรื่องคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ เพราะแม้แต่จะจอดเรือริมหาดวันนี้ก็ยังยากเพราะเหลือแต่ตลิ่ง ผืนทรายให้เทียบฝั่งแทบไม่มีแล้ว"

     ด้าน สาลี มะประสิทธิ์ เฒ่าทะเล แห่งบ้านโคกสัก ตำบลสะกอม อำเภอจะนะ ผู้เลี้ยงชีพจากการอาศัยเก็บ 'หอยเสียบ' และ 'รุนกุ้งเคย' ขาย ก็ผูกพันกับหาดสะกอมไม่แพ้บังหมาน

"ชายหาดไม่ได้โอบอุ้มแค่ชีวิตผมเท่านั้น แต่เคยเลี้ยงดูปู่ ย่า ตา ยาย มาหลายชั่วอายุคน ไม่คิดว่าความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้น" ร่องรอยบนฝ่ามือบ่งบอกประสบการณ์ของพรานทะเลวัยดึกได้เป็นอย่างดี แต่วันนี้เจ้าตัวจำต้องวางคันท้ายเรือ และเครื่องประมงลงชั่วคราว

ดวงตาที่มีน้ำใสๆ เอ่ออยู่เต็มเบ้าของสาลี เหม่อมองออกไปยังผืนน้ำที่คลื่นบุกกระทบฝั่งอย่างไม่ขาดสาย...ก่อนริมฝีปากอันแห้งผากจะขยับอีกครั้ง

"เดิมทีชายหาดสะกอมมีทรายละเอียด งดงาม สงบสุข อากาศดีตลอดทั้งปี และที่สำคัญเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของคนในชุมชน" สาลีปาดน้ำตา ก่อนจะยอมรับว่า ความเปลี่ยนแปลงคงไม่หยุดแค่นี้แน่ ถ้ายังไม่มีใครใส่ใจช่วยเหลืออย่างจริงจัง

     เฒ่าทะเลคนเดิม ชวนผู้มาเยือนเดินสืบเท้าไปตามขอบตลิ่งที่ถูกคลื่นกัดเซาะจนยับเยิน พลางเตือนให้ระวังผิวดินริมน้ำจะทรุดตัวลงเพราะเบื้องล่างแทบไม่มีชั้นดินรองรับน้ำหนักที่กดทับลงไปได้อีก เนื่องจากถูกกัดเซาะจนเป็นโพรงลึก

แหลมตะลุมพุก เจ็บหนัก

     จากข้อมูลงานวิจัยหัวข้อ "อิทธิพลของคลื่นและการเคลื่อนที่ตะกอนแนวชายฝั่งที่มีผลต่อแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงชายฝั่งทะเลในอนาคต บริเวณพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช" สะท้อนถึงวิกฤตชายฝั่งที่น่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ หลังพบว่า ในอีก 50 ปีช้างหน้า ชายฝั่งทะเลปากพนัง และแหลมตะลุมพุก จะถูกน้ำทะเลกัดเซาะทำให้แผ่นดินหายไปประมาณ 16 กิโลเมตร

ในช่วง พ.ศ. 2526- 2546 มีการเปลี่ยนทิศทางและความเร็วของลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ กับ ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ เมื่อสำรวจความเร็วลมและทิศทางกระแสน้ำเปรียบเทียบระหว่างปี 2543 กับ 2546 พบว่าที่ปากพนัง ในปี 2543 มีความเร็วลม 0.006 เมตรต่อวินาที และทิศทางกระแสน้ำ 193 องศาจากทิศเหนือ แต่ในปี 2546 พบว่าความเร็วลมเพิ่มเป็น 0.025 เมตรต่อวินาที ขณะที่ทิศทางกระแสน้ำกลายเป็น 88 องศาจากทิศเหนือ ทำให้ปริมาณตะกอนพื้นท้องทะเลเคลื่อนที่อย่างรุนแรง

     สุนีย์ ทองแก้ว ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 2 ต . แหลมตะลุมพุก อ . ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ยอมรับว่าตลอดชีวิต 68 ปีที่ผ่านมา เหตุการณ์พายุ 'แฮเรียต' ถล่มแหลมตะลุมพุก ในปี 2505 คือ 'ฝันร้าย' ที่สุดในชีวิตและมหันตภัยครั้งนั้นได้ฝากบาดแผลที่เจ็บปวดที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไว้กับคนเมืองคอนจำนวนไม่น้อย

ความสูญเสียครั้งนั้นแม้จะดูรุนแรงกวาดต้อนทุกอย่างจนราบคาบ เเต่อย่างน้อยแฮเรียตก็ยังปรานี เหลือแผ่นดินให้ผู้คนได้ก่อร่างสร้างตัวใหม่อีกครั้ง

"ผมเกิดและเติบโตและอยู่ที่นี่มาทั้งชีวิต เห็นชายหาดแหลมตะลุมพุกเหยียดยาวลงไปในทะเลไกลสุดลูกหูลูกตา แต่วันนี้ผืนหาดที่หมู่บ้านผมเหลือเพียง 15 เมตรเมื่อวัดจากตลิ่งถึงทะเล ซึ่งหาดทรายตรงนี้หายไปจากพิษคลื่นกัดเซาะไม่น้อยกว่า 1,500 เมตร ดังนั้น ถ้าปัญหานี้ยังไม่มีการแก้ไขแหลมตะลุมพุกอาจหายไปจากแผนที่ในอีก 30 ปี คงไม่ใช่เรื่องที่พูดเกินจริง" น้ำเสียงเข้มของผู้ใหญ่สุนีย์

     เขาฉายภาพความรุนแรงจากปัญหาคลื่นกัดเซาะชายฝั่งที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่กี่เดือนว่า หน้ามรสุมชาวบ้านในพื้นที่หมู่ 2 และหมู่ 3 ร่วม 200 ครัวเรือน ต้องอพยพหอบที่นอนหมอนมุ้งไปพำนักที่อื่นชั่วคราว เพราะน้ำทะเลบุกมาถึงประตูบ้าน แม้แต่ต้นมะพร้าวยังไม่ต้านไม่ไหว หักโค่นลงกันระเนระนาด ชาวประมงก็ต้องลากเรือไปจอดบนถนนคอนกรีต

"หน้ามรสุมชาวบ้านต้องอพยพไปอาศัยกับญาติพี่น้องที่ปากพนัง ซึ่งไกลจากที่เดิมราว 20 กิโลเมตร รอจนกว่าคลื่นลมทะเลสงบ หรือหมดช่วงมรสุมเราก็จะกลับมาอีกครั้ง" สุนีย์ เล่าวัฏจักรชีวิตในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พร้อมทิ้งปมชวนคิดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ต่างจาก 'ธรรมชาติลงโทษ' เพราะเชื่อว่ามนุษย์ไปรังแกเขาก่อน

มนุษย์รุกล้ำทะเลก่อน

     ในมุมมอง ผศ.ดร.สมบูรณ์ พรพิเนตพงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุทรศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซด์ 'เครือข่ายเฝ้าระวังรักษาชายหาด' หรือ Beach Watch Network (BWNTHAI) หลังจากติดตาม ศึกษาความเคลื่อนไหวมานานนับสิบปี เขาพบข้อมูลบางอย่างว่า 'น้ำมือมนุษย์' คือสาเหตุหลักของการกัดเซาะชายฝั่ง โดยเฉพาะการพัฒนาเมือง ทั้งการสร้างถนนและสาธารณูปโภคล่วงล้ำแนวชายฝั่ง

"ส่วนปัจจัยทางธรรมชาติเป็นเหตุผลรองลงไปเท่านั้น" ผศ.ดร.สมบูรณ์ อธิบายต่อว่า "โครงสร้างชายฝั่งอาจแบ่งออกได้เป็นสามกลุ่มใหญ่ คือ โครงสร้างยื่นออกจากชายฝั่ง เช่น เขื่อนกันทราย กลุ่มที่สองโครงสร้างอยู่นอกชายฝั่ง เช่น เขื่อนกันคลื่น และสุดท้ายโครงสร้างริมฝั่ง เช่น กำแพงตลิ่ง โครงสร้างเหล่านี้ ทำให้ชายฝั่งเกิดการเปลี่ยนแปลง จากการกัดเซาะของคลื่นได้เช่นเดียวกัน"

     เขาเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพของชายฝั่งด้วยวิธีต่างๆ อาทิ เขื่อนกันคลื่น เขื่อนกันทรายและคลื่น และคันดักทราย หรือ 'รอ' อาจจะขัดขวางกระแสน้ำและการเคลื่อนที่ของตะกอนชายฝั่ง นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสมดุลพลวัต ทำให้ชายฝั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่างใหม่ที่ไม่พึงประสงค์ สิ่งก่อสร้างชายฝั่งทำให้เกิดผลกระทบต่อกระบวนการของชายฝั่ง คือเปลี่ยนแปลงพลังงานและทิศทางคลื่นที่เข้าสู่ฝั่ง ตลอดจนเปลี่ยนแปลงอัตราและกระบวนการเคลื่อนที่ของตะกอนชายฝั่ง

นอกจากนี้การสร้างเขื่อนในแม่น้ำจะกีดขวางการไหลของตะกอนลงสู่ ทะเล ทำให้ชายฝั่งจะขาดแคลนตะกอนทราย ที่มาหล่อเลี้ยงอย่างเพียงพอ ความยาวชายฝั่งจึงค่อยๆ หดสั้นลง และในที่สุดคลื่นก็สามารถเข้าถึงฝั่งและกัดเซาะ

"มีพื้นที่ ที่เป็นที่ทำกินและแหล่งที่อยู่อาศัยของประชาชน รวมทั้งระบบสาธารณูปโภค เช่น ถนนได้รับความเสียหายมากมาย ถ้าประเมินมูลค่าความเสียที่เกิดขึ้นในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ไม่ต่ำกว่าหมื่นล้านบาท"

ธรรมชาติรักษาสมดุลตัวเองเสมอ

     ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุทรศาสตร์ บอกว่า ชายฝั่งจัดเป็นเขตน้ำตื้นที่คลื่นสามารถส่งผลกระทบต่อท้องทะเลได้ ทำให้ตะกอนพื้นทะเลฟุ้งกระจายและเคลื่อนย้าย กระแสน้ำที่เกิดจากการเหนี่ยวนำของคลื่นและลมที่กระทำต่อชายฝั่งอย่างต่อเนื่อง ทำให้ชายฝั่งอยู่ในสภาวะ 'สมดุลพลวัต' (dynamic equilibrium) หมายถึงสมดุลบนความเปลี่ยนแปลง ดังนั้นในการพิจารณาเสถียรภาพของแนวชายฝั่งจึงต้องมองภาพโดยเฉลี่ย เช่น ต่อฤดูกาลหรือต่อปี เพื่อดูว่าแนวชายฝั่งยังคงเดิมหรือไม่

สำหรับส่วนประกอบที่สำคัญของชายฝั่ง คือ 'สันทรายริมหาด' ซึ่งไม่ได้รับอิทธิพลโดยตรงจากคลื่น ส่วน 'ชายหาด' ซึ่งเป็นบริเวณที่คลื่นไถลขึ้นไปถึง และส่วนที่เป็น 'ชายฝั่ง' ซึ่งเป็นตำแหน่งที่นับจากคลื่นเริ่มแตก โดยอาจมีสันดอนทรายใต้น้ำทอดตัวขนานกับแนวชายฝั่งเป็นแนวยาว ในห้วงฤดูมรสุมคลื่นลมแรงจะกัดเซาะชายหาดออกไปเป็นแนวตรงดิ่ง ทรายจะถูกคลื่นหอบออกสู่ทะเลกลายเป็นสันดอนใต้น้ำ แต่เมื่อลมสงบคลื่นที่ชาวบ้านเรียกกันว่า 'เดิ่ง' จะพัดพาทรายกลับเข้าหาฝั่งอย่างช้าๆ และก่อตัวเป็นชายหาดดังเดิม

     การพังทลายของชายฝั่ง นับเป็นปัญหาเร่งด่วนที่กำลังเผชิญอยู่ ปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงชายฝั่ง ด้วยโครงสร้างทางวิศวกรรม ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงของรูปร่างของชายหาดอันไม่พึงประสงค์ จะต้องได้รับการศึกษาไว้ก่อนที่จะก่อสร้างโครงสร้างชายฝั่งใดๆ โดยเฉพาะชายฝั่งจังหวัดปัตตานี - สงขลา - นครศรีธรรมราช ที่มีหาดทรายชายฝั่งเป็นแนวยาวและตรง ซึ่งอ่อนไหวต่อการกระทำของมนุษย์

     หนทางหนึ่งที่จะช่วยเยียวยาบาดแผลริมฝั่งทะเลอ่าวไทยได้ในมุมมองและประสบการณ์ของ ผศ.ดร.สมบูรณ์ คือ เพิ่มเสถียรภาพให้ชายฝั่ง ด้วยการเพิ่มทรายในบริเวณที่มีปัญหา อาจเป็นการเติมทรายชายหาด และ การถ่ายเททราย จากบริเวณที่มีทรายสะสมไว้

"เหมือนกับการรักษาให้ถูกโรค ก่อนที่เราจะไม่เหลือชายหาดสวยๆ อีกต่อไป" ผศ.ดร.สมบูรณ์ ทิ้งไว้ให้คิด


สุวิมล เชื้อชาญวงศ์: รายงาน

ขอขอบคุณ
ที่มา :
กรุงเทพธุรกิจ 5 มีนาคม 2552


H O M E




 

Create Date : 18 มีนาคม 2552
5 comments
Last Update : 18 มีนาคม 2552 13:45:53 น.
Counter : 1000 Pageviews.

 

อ่านแล้วไม่รู้จะเม้นท์ยังงัยดีอ่ะค่ะ เอาเป็นว่าขออย่าให้เซาะมากกว่าเดิมแล้วกัน

 

โดย: wasmb IP: 213.119.10.247 18 มีนาคม 2552 19:22:12 น.  

 

ปีละ 10 เมตร
โอ้โฮ
ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เลยนะคะ
เดือนละเกือบเมตรเชียวนะ


โห...

 

โดย: โสดในซอย 18 มีนาคม 2552 19:36:53 น.  

 

คนชายหาดก็ต้องช่วยกัน คนที่อยู่ริมฝั่งใช้ประโยชน์ก็ต้องช่วย
หน่วยงานก็ต้องช่วย

พวกเราที่ไปเที่ยวก็ต้องช่วย

 

โดย: tempopo 18 มีนาคม 2552 20:20:21 น.  

 

อ่านตอนแรกนึกว่า ว่าคนขายชาติ

 

โดย: ลิ้ม IP: 119.42.95.126 29 มีนาคม 2552 17:44:42 น.  

 

Will be nice if Thai people co-operate no fighting for somebody else until forget about themselves

 

โดย: Ray IP: 117.47.58.26 1 เมษายน 2552 0:44:56 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


jenifaae
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Editor
บทความ ความคิดเห็นที่นำลง"สนามหลวงแก็งค์" ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เพียงเราเห็นว่าน่าสนใจและเป็นประโยชน์ในทางข้อมูล ข่าวสาร
หากท่านมีข้อคิดเห็นประการใด โปรดแจ้งให้เราทราบ จักขอบคุณยิ่ง
"สนามหลวงแก็งค์"
kunkorn : Facebook



"Sanamluang's Gang"
"สนามหลวงแก๊งค์"

kunkorn : Facebook

     เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนให้เกิดการศึกษา การเรียนรู้ เผยแพร่ ส่งเสริม สนับสนุน รวบรวมข้อมูล ข่าวสาร อนุรักษ์ รักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย วิถีชีวิต และปรัชญา คุณค่าจิตวิญญาณที่งดงาม สืบสานต่อยอดกันมานานนับพันๆปี และกำลังถูกทำลายด้วยอิทธิพลจากแนวคิดเชิงวัตถุนิยมแบบตะวันตก

● เพื่อการศึกษาหาความรู้ ส่งเสริม สนับสนุน ให้เกิดการศึกษา เรียนรู้ สิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบ และนำมาเผยแพร่แก่มวลมนุษยชาติ อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง มิใช่เพียงวิทยาศาสตร์เชิงวัตถุเพียงอย่างเดียว เพราะถือว่าพระพุทธเจ้า ทรงค้นพบความจริงของธรรมชาติ ทั้งหมดทั้งสิ้น ที่มนุษย์ธรรมดาสามัญอย่างเราๆ ท่านๆ ยังเป็นเพียงผู้รู้ แค่หางอึ่งที่ยังอยู่ในกะลาครอบ แต่บังอาจด่วนสรุป ขัดแย้งกับ สิ่งที่องค์ศาสดาทรงค้นพบมากว่าสองพันปี จนทำให้บังเกิดความสับสน ลดความน่าเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ

● สนามหลวงแก๊งค์ ต้องขออนุญาตและขอขอบคุณท่านเจ้าของข่าวสาร ข้อมูล ที่เราได้นำลงในสนามหลวงแก๊งค์ ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยจิตคารวะ ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็เพื่อให้สนามหลวงแก๊งค์ เป็นแหล่งในการเผยแพร่ ข้อมูล ข่าวสารที่เป็นประโยชน์และเพื่อเป็นวิทยาทานแก่สาธารณชน แต่หากท่านเจ้าของข้อมูล ข่าวสารที่ สนามหลวงแก๊งค์ นำลงไม่มีความประสงค์ให้นำลง ขอได้โปรดแจ้งความประสงค์ เรายินดีที่จะถอดออกต่อไป

ด้วยจิตคารวะ
www.sanamluang.bloggang.com
kunkorn : Facebook


ดาวหาง
     เป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นในห้วงมหาจักรวาลอันยิ่งใหญ่ ลี้ลับไร้ขอบเขต ทุกครั้งที่ดาวหางปรากฏ มันจะส่งสัญญาณแห่งความพินาศ มหันตภัย ธรรมชาติ ความตาย ความเจ็บป่วย สงคราม ความขัดแย้ง การกดขี่ การเอารัดเอาเปรียบ การคดโกง การเบียดเบียนของมนุษย์บนพื้นพิภพใบนี้

     มันคือสัญญาณเตือนภัยที่มนุษย์ไม่อาจจะควบคุมได้ ทั้งภัยทางธรรมชาติและภัยที่เกิดขึ้นจากมนุษย์สร้างกันขึ้นมาเองในทุกรอบพันปี

     ไม่ว่ามนุษย์จะคิดว่าตัวเองเก่งกาจสามารถ ฉลาดสักเพียงไหน ก็ไม่อาจหลีกพ้นมหันตภัยเหล่านี้ไปได้
     ดังนั้น จงเชื่อและปฎิบัติตามอย่างไม่ลังเลต่อคำสอนของศาสดาของเราอย่างจริงจังเถิด

     แม้จอมจักรพรรดิ จอมราชันย์ หรือจอมทรราชที่ยิ่งใหญ่ในอดีต ก็ต้องตายร่างกายเน่าเปื่อยเป็นผุยผง และในที่สุดวิญญาณของเขาก็ต้องชดใช้กรรม ด้วยการถูกไฟนรกเผาผลาญโดยไม่มีข้อยกเว้นทั้งทั้งสิ้น

     จงอย่าอหังการ์ว่าตัวเองเก่ง ฉลาด และยิ่งใหญ่กว่าคำสอนของพระศาสดา ไม่มีมนุษย์ตนใดที่จะพ้นจากกฎแห่งธรรมชาติได้ มนุษย์ที่เก่งกว่าเรา เขาได้ตายร่างกายทับถมปฐพีแห่งนี้นับไม่ถ้วนแล้ว


     ● ขออนุญาตนำภาพวาด "วีระชนบนพานรัฐธรรมนูญ" ของ คุณสถาพร ไชยเศรษฐ ศิลปินอิสระ อดีตแนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย ซึ่งวาดเนื่องในโอกาส 2 ปี 14 ตุลา มาเป็นส่วนหนึ่งของหัว "สนามหลวงบล็อก"                


บริการดูดวง



"สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" มีความภาคภูมิใจในความสำเร็จตามอุดมการณ์ของเรา ที่ได้ตั้งเอาไว้ว่า "เราจะใช้วิชาความรู้ในด้านการพยากรณ์เพื่อให้เป็นประโยชน์สำหรับการให้การปรึกษาของผู้คนที่กำลังประสบปัญหา ความเดือดเนื้อร้อนใจ หรือการเผชิญกับปัญหานั้นๆได้อย่างไรดี

มนุษย์เกิดแต่กรรม มนุษย์มีกรรมเป็นเหตุ เมื่อเราประสบเคราะห์กรรม ปัญหาอยู่ที่ว่าหากเราทราบเสียก่อน ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่าการไม่ทราบ อย่างน้อยก็ทำให้เราระมัดระวังตัว อย่างน้อยก็ทำให้เราหลีกเลี่ยงเพื่อทำให้เราเผชิญกับกรรมน้อยลงไป อย่างน้อยก้ทำให้เรารู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมันมีที่มา มันมีที่ไปของมัน

มีนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์วัตถุจิตนิยม มักโจมตีอยู่เสมอว่า การดูดวง เป็นเรื่องของความงมงาย หมอดูคู่กับหมอเดา หมายถึงว่า เขาไม่เชื่อในเรื่องของวิชาโหราศาสตร์เพราะคิดไปว่ามันเป็นเรื่องเดียรัจฉานวิชาบ้าง เป็นการคาดเดาเอาเองบ้าง คิดว่ามันเป็นวิชาที่ใช้สถิติสุ่มเอาบ้าง ไม่เชื่อว่าวิชาโหราศาสตร์จะสามารถไขปริศนาแห่งรหัสลับของดวงดาว จักรวาล และธรรมชาติรอบตัว

แสดงว่าเขาลืมไปว่า อัลเบิร์ต ไอสไตน์ และสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกรอบตัวเรา ตั้งแต่เล็กเท่าอะตอม (จุลจักรวาล)จนถึงมหาจักรวาล ล้วนมีความผูกพัน ล้วนมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งแยกกันไม่ออก เพียงแต่ว่า กับอะไร เมื่อไร อย่างไร เท่านั้น

กรรมเป็นผลจากการกระทำของเราในอดีตชาติ จะดีหรือจะร้ายก็เพราะเราทำ เป็นสิ่งที่เราจะต้องได้รับผลแห่งการกระทำเหล่านั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โหรฯเป็นเพียงผู้แปลรหัสของดวงดาวและธรรมชาติรอบตัว เพื่อเผยแผนที่ชีวิตของเรา และสามารถมองเห็นช่องทางที่จะเลี่ยงหลบสิ่งเลวร้าย ให้ลดน้อยถอยลงหรือพบพานแต่สิ่งที่ดีดี

การสะเดาะเคราะห์ หรือพิธีการตัดกรรมที่กำลังกล่าวขานถึงก็คือการขออโหสิกรรม ลดการอาฆาตจองเวรกับเจ้ากรรมนายเวรที่กำลังจ้องจองเวรด้วยความอาฆาตพยาบาทที่ถูกเรากระทำในอดีตชาติ ไม่ใช่เป็นการตัดทอนผลกรรมที่เราทำให้หมดไปหรือให้ลดลง เพราะกรรมที่เรากระทำไม่สามารถตัดทอนลงไปได้



สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์พยากรณ์เที่ยงตรง แม่นยำเชื่อถือได้ วิเคราะห์พยากรณ์อย่างเป็นระบบ ไม่เลื่อนลอย ยึดมั่นในอุดมการณ์ของครูที่ท่านได้กำชับให้นำเอาวิชาการพยากรณ์มาช่วยเหลือแนะนำ บรรเทาทุกข์ของผู้คนมากกว่าการพยากรณ์เพื่อการค้า

ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าประเทศใด? ชาติใด ภาษาใด? สมัยไหน? ชนชั้นวรรณะใด? ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสัว นักธุรกิจ นักการค้า แม่บ้าน นักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ หรือไม่เว้นแต่นายพล นายพัน รัฐมนตรี หรือระดับผู้นำประเทศ ล้วนแต่เคยดูดวงด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ว่า เราจะเชื่ออย่างงมงายหรือจะเชื่อโดยใช้เหตุผลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ โดยนำเอาคำพยากรณ์มาใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการดำเนินชีวิต หรือทำธุรกิจ การค้า หรือเพื่อการทำสงครามฯ

"สนามหลวงแก็งค์" ไม่สนับสนุนให้เชื่อเรื่อง "ดวง" อย่างงมงาย แต่เราสนับสนุนให้ใช้คำ "พยากรณ์"อย่างมีวิจารณญาณประกอบการตัดสินใจอย่างมีสติ ใช้ "ปัญญา"อย่างมี "เหตุผล"

หลังจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม จนต้องมีการเข้าจองคิวดูดวงเป็นจำนวนมาก ณ ขณะนี้ ไม่ใช่แต่เฉพาะคนไทยในประเทศที่เข้ามาใช้บริการจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"เท่านั้น

แต่ยังมีคนไทยที่อยู่หลายประเทศทั่วโลกเข้ามาดูดวง ตรวจสอบชื่อ นามสกุลมากมาย ทั้งนี้คงเป็นเพราะผู้ที่เข้ามา"ดูดวง" กับ "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับความพอใจในคำพยากรณ์ที่ถูกต้อง แม่นยำ แนะนำแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมตามหลักโหราศาสตร์ จึงได้มีการบอกเล่า แนะนำชักชวนกันปากต่อปากเป็นจำนวนมาก

ปัจจุบันนี้ มีผู้เข้ามาเยี่ยมชมwww.sanamluang.bloggang.com มีจำนวนถึง 118 ประเทศ โดยเข้ามาเปิดดูหน้า "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"คิดเป็นร้อยละ 80 ของ pageviews ต่างๆใน www.sanamluang.bloggang.comจัดทำบล็อกครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2550 มีผู้เข้าชมจำนวนทั้งสิ้น 579,020 ครั้ง จากจำนวน 262,960 visitors (ข้อมูล ณ เวลา 12.00 น.ของวันพุธที่ 6 ตุลาคม 2553)

ส่วนใหญ่ลูกค้าที่โทรเข้ามาเกือบ 98% เมื่อโทรฯ เข้ามาดูดวงแล้ว จะสามารถนัดวัน เวลาดูดวงได้โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด อาจจะมีอยู่บ้างเพียงไม่กี่รายที่โทรฯเข้ามาเพื่อสอบถามรายละเอียดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

อาจจะเนื่องมาจากไม่คุ้นเคยการทำธุรกิจแบบออนไลน์ โดยมีการโอนเงินก่อน ไม่ไว้ใจ หรือไม่กล้า ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก ประมาณ 2%

สำหรับที่เมลฯมาถามและเงียบไป ไม่สามารถทราบจำนวนได้ อาจเนื่องจากเป็นรายที่โทรเข้ามานัดอีกทางหนึ่งก็เป็นได้

สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์ ยังมีอาจารย์ผู้สอนวิชาโหราศาสตร์ ผ่านประสบการณ์ในการดูดวงหลายปีคิดเป็นจำนวนหลายพันดวง

แน่นอน แม่นยำกระชับ ชัดเจน หากไม่ทราบเวลาตกฟากท่านก็ยังสามารถดูได้ รายที่กำลังประสบเคราะห์หามยามร้าย ท่านก็จะช่วยแนะนำและแก้ไขเรื่องเลวร้ายให้กลายเป็นดีด้วยศาสตร์แห่งความลี้ลับของโหราศาสตร์ โดยไม่ต้องเสียเงินสะเดาะเคราะห์ สามารถดูได้ถึงขนาดปัญหาเรื่องคู่ครอง เรื่องเคราะห์ เรื่องหน้าที่การงาน โดยใช้ "วิชาโหราศาสตร์ดวงไทย"อันเป็นสุดยอดของวิชาโหราศาตร์โบราณของไทย

นอกจากนั้น เรายังมี ซินแส ที่เชี่ยวชาญเรื่องการดูฮวงจุ้ย ทำเลปลูกบ้าน อาคารสำนักงาน ดูฤกษ์ยาม แต่งงาน คลอดบุตร ขึ้นบ้านใหม่ เปิดกิจการต่างๆโดยใช้วิชาโหราศาสตร์จีนโบราณผสานตำราดวงไทย ซึ่งซินแสท่านมีประสบการณ์การดูดวงมาไม่น้อยกว่า 45 ปี ผ่านการดูให้กับนักธุรกิจชื่อดังของเมืองไทย และนักธุรกิจชั้นนำจากฮ่องกงหลายราย

ติดต่อ 081-4834367 หรือ workingmailhome@hotmail.com
--------------------------------------------
● ปรึกษาปัญหากฏหมาย
ละเมิด,สัญญา,อายัดทรัพย์ ยึดทรัพย์
--------------------------------------------
● ปัญหาติดต่อราชการ
บริการปรีกษาเรื่อง ภาษีป้าย ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน ค่าธรรมเนียมต่างๆ และการติดต่อราชการต่างๆ ของสำนักงานเขต
--------------------------------------------
● พิมพ์รายงาน,ค้นหาข้อมูล,

● งานพิมพ์ Lay-Out,Art Work
--------------------------------------------
สำนักพิมพ์ดาวหาง
www.sanamluang.bloggang.com




รับวาดรูปเหมือน และสอนวาดรูป
โดยอาจารย์ ผู้ชำนาญ

ราคาย่อมเยา

















หลังเกิดเหตการณ์ 14 ตุลา 2516 นิสิต นักศึกษา ปัญญาชน ต่างหลั่งไหลดั่งสายน้ำ ล้นขอบ ออกจากเมือง เข้าสู่ ชนบท เหตุเกิดเมื่อ กลางปี พ.ศ.2516 จนถึง พ.ศ.2519 นักศึกษากลุ่มหนึ่ง ได้ พบกันโดยบังเอิญ และ ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับชาวบ้าน ณ หมู่บ้าน แม่ตะมาน ตำบลกื๊ดช้าง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้ ชื่อโครงการว่า "โครงการหมู่บ้านสหกรณ์แม่ตะมาน"
เชิญ พบ และติดตาม กับเรื่องราว และบทสรุป อันควรเป็นจุดเริ่มต้น ต่อไปใน

     เมล็ดพันธุ์ประชาธิปไตย ที่ถูกหว่านทั่วท้องทุ่งแห่งประชาไทย มาบัดเดี๋ยวนี้ เมื่อต้องฝน ต้องลม แห่งกาลเวลาพัดผ่าน จาก 2516 , 2519 2535,จน 2540 ถึง 2550บางเมล็ดพันธุ์ก็ยังขาวพิสุทธิ์สดใส บ้างเมล็ดพันธุ์เปลี่ยนสี บ้างก็ดอกสีเหลือง บ้างก็ดอกสีแดง บ้างก็ดอกสีม่วงก้มี สีเขียว สีน้ำเงิน หรือบ้างก็อาจเฉาโรยรา หรือบ้าง ผสมผสานกลายพันธุ์ ก็มีไม่น้อย
มาบัดเดี๋ยวนี้ มันไม่ใช่ จิต วิญญาณ แห่ง 14 ตุลา เดิมเสียแล้ว ไม่ใช่พันธุ์เดียวกัน อย่าได้ เอ่ยอ้างเลย ว่า วิญญาณ 14 ตุลา ยังคง...มันประชาธิปไตย ที่ไม่ บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนอย่างเดิมเสียแล้ว.....
..แต่มันเป็น.ประชาธิปไตย...เพื่อใคร..??


“ทุกวันนี้ เราจะรับรู้ ได้เห็น ได้ยินแต่เรื่องเลวร้าย ในสังคม
เราจึงขอบันทึกสิ่งที่ดีๆ ต่างๆ เหล่านี้ ด้วยจิตคารวะ และขอเป็นกำลังใจให้เกิดสิ่งที่ดีงามเหล่านี้ต่อไป”>>>



อ่านงานเขียนเกี่ยวกับภาพยนตร์หลากหลายประเทศทั่วโลก ที่นี่ >>>





*จำนวนผู้ชมทั้งสิ้น* สถาปนาบล็อค 21 ก.ค.2550
Friends' blogs
[Add jenifaae's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.