Group Blog
 
 
กุมภาพันธ์ 2551
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
242526272829 
 
17 กุมภาพันธ์ 2551
 
All Blogs
 
คลังข่าวและสัมมนา 2

*10ข่าว พิสดารปนฮา 'ทึ่ง-อึ้ง-เสียว'ครบสูตร - วันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 17 ฉบับที่ 6240 ข่าวสดรายวัน
จับแฟนเรียกค่าไถ่สวมบทฮีโร่ไปช่วย เรื่องนี้ ถึงวันนี้ ยังสงสัยไม่หายว่าคิดไปได้ไง อะไรจะลงทุนขนาดนั้น เมื่อนายราชันต์ หรือ 'อู๋' หาดทะเล วัย 24 หลงรักสาวนางหนึ่ง จีบอยู่นานสาวยังนิ่ง เลยจัดฉากอุ้มตัวไปเรียกค่าไถ่ 1 แสน แล้วอาสาช่วยเหลือจากญาติฝ่ายหญิง หาเงินมามอบให้แทน
งานนี้ดูแล้วแมนมาก จบฉากนี้สาวตกลงปลงใจเลยแหละ แต่แล้ว อวสานของ 'ฮีโร่' ก็มาไวเกินคาด ญาติฝ่ายสาวดันแจ้งตำรวจให้ตามสืบหาตัวโจร สอบไปสอบมาความแตก ไม่เพียงแต่หนุ่มสติเฟื่องที่ถูกดำเนินคดี ยังที่เห็นดีเห็นงามด้วย ติดร่างแหเข้าคุกไปอีกคน วันที่ 12 พ.ย. ตำรวจโชคชัย จ.นครราชสีมา รวบตัวพร้อมนำตัวมาประจานหรือคำทางการว่าแถลง งานนี้จ๋อย สถานเดียว
เมียไม่ได้ แถมยังติดคุกอีก เฮ้อ...!
ชื่อนายตายนานแล้ว นามสกุลลืมจำไม่ได้
ใครจะเชื่อว่ามีคนชื่อและนามสกุลอย่างนี้ ระยะหลังชื่อคนมักจะวิจิตรพิสดาร ประดิษฐ์คำจนอ่าน-เขียนยาก แถมมีชื่อเล่นเป็นฝรั่ง จนหาชื่อเล่นไทยในยุคสมัยคลิปเกลื่อนเมืองแทบไม่เจอ แต่ 'ข่าวสด' พลิกประวัติศาสตร์ชื่อคน เมื่อนำเสนอข่าว นายตายนานแล้ว ชื่อสกุล ลืมจำไม่ได้ ลงตีพิมพ์เมื่อ 8 ก.ย.
ที่สำคัญสำนักทะเบียนราษฎร์บ้าจี้ ยอมรับชื่อนี้บันทึกลงสำมะโมครัวไปเรียบโร้ยยยย นายตายนานแล้ว อายุ 69 ปี อยู่บ้าน อ.ขลุง จ.จันทบุรี บอกว่าเคยไปซื้อที่ดินใน จ.ชุมพร 200 ไร่ เพื่อทำไร่ ต่อมาถูกมาเฟียไล่ให้ออกไปจากที่ดิน เมื่อไม่ยอมก็ส่งคนมารื้อถอน ไปแจ้งความก็ไม่เป็นผล จึงหนีกลับมา เมื่อกลับมาอยู่ที่ จ.จันทบุรี ก็ยังตามมาคุกคาม จึงไปเปลี่ยนชื่อนามสกุลที่ อ.ขลุง จากนายฉลอม แดงละอุ่น มาเป็นนายตายนานแล้ว นามสกุล ลืมจำไม่ได้ จากทำเพื่อประชด กลายเป็นชื่อประหลาดติดอันดับไปได้
แซวจนเป็นเรื่อง ผีกาก้า'ดังกระหึ่ม
ด้วยแรงจูงใจที่ต้องการล้อทีมคู่ปรับอย่าง 'ผีแดง'แมนฯยู ซึ่งตกรอบหลังโดน 'มิลาน' ถล่มตกรอบในเกมแชมป์เปียนส์ ลีก ฤดูกาลก่อน โดยเฉพาะความสามารถของนักเตะพระกาฬนาม 'กาก้า' ที่ทำประตูฝังผีในคืนนั้น แฟนหงส์ 'ลิเวอร์พูล' จึงสดุดีฟอร์มชั้นเทพของ 'กาก้า' ด้วยการแต่งเพลงล้อเลียน โดยใช้ทำนอง 'หมีแพนด้า' ของ 'สุดโก้ เจียระไน' ที่กำลังโด่งดัง
กลายเป็น 'ผีกาก้า' ในเวลาต่อมา ผลจากทำนองและเนื้อหาเพลงที่ลงตัว ประกอบกับแฟนผีและแฟนหงส์ที่เกลื่อนเมือง ทำให้ 'ผีกาก้า' ดังกระฉูด แรงดังของ 'ผีกาก้า' ทำให้ 'มาเฟีย เรดคอร์ด' ที่อยู่ในใต้ดินสังกัด 'ซังกะบ๊วย ดอตคอม' ดังอย่างช่วยไม่ได้ 'ข่าวสด' ตามติดกระแส ลงตีพิมพ์เมื่อ 13 พ.ค. และทำให้ 'ซัง'นายวิวัธน์ จิโรจน์กุล อายุ 29 ปี ผู้ให้คำร้อง กลายเป็นคนดังไปชั่วพริบตา
แต่เมื่อหมดยุคของ 'ผีกาก้า' เจ้าตัวพยายามคลอดเพลงล้อแนวอื่นออกมา ก็ไม่ดังเทียบ
*แม่ดูละครเพลิน ปล่อยลูกหัวติดกระโถน
เรื่องพิสดารแบบนี้ เป็นอุทาหรณ์สอนพ่อแม่เป็นอย่างดี เมื่อ 4 ธ.ค. สดร้อนไม่นาน นางนงนุช วงค์ทับทิม แม่มือใหม่วัย 32 นอนดูละครช่อง 7 'บุษบาเร่รัก' ตอนอวสาน ในบ้านพักใน อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ปล่อยให้ ด.ญ.จิตติยา วงค์ทับทิม หรือ 'น้องแอน' ลูกสาววัยขวบเศษนอนเล่นอยู่ลำพัง
แม่ลุ้นละครตอนอวสาน ไม่ทันได้เห็นว่า ลูกสาวไปฉวยเจ้ากระโถนใบเขื่องมาเล่น เป็นเรื่องจนได้ เมื่อเด็กเอามาสวมหัวทำเป็นหมวก แรกๆ ก็หนูน้อยก็เฮฮา แม่มองมาก็น่าเอ็นดู สักพักยุ่งละสิ ถอดกระโถนไม่ออก หนูน้อยร้องลั่น แม่พยายามดึง แต่ยิ่งออกแรงเสียงร้องกลับยิ่งดัง
ปากกระโถนเริ่มบีบมาที่ขมับ พ่อ-แม่ต้องโร่หามลูกที่มีกระโถนอยู่บนหัวส่งร.พ.ราชธานี หมอช่วยดึงออกอย่างปลอดภัย แต่กว่าจะออกได้ ลุ้นกันตัวเกร็งเลยทีเดียว
หมาเดิน2ขาแบบคน
เจอรถทับ-ขาหน้าด้วน
เรื่องนี้ อาจทำให้บางคนอายหมากันบ้าง เมื่อ 9 พ.ย. 'ข่าวสด' นำเสนอข่าวหมาผู้ยิ่งใหญ่ 'เจ้าแม็กซี่' พุดเดิ้ลที่โดนรถทับจนขาถูกตัด ยังยืนหยัดหัดยืนด้วยสองขาหลังที่เหลือ แล้วก็เดินแบบคน สร้างความประทับใจในความใจสู้ให้กับผู้พบเห็น
เจ้าของหมา นางรัตนาภรณ์ ซื่อตรง อายุ 35 ปี เจ้าของร้านขายคอมพ์กลางเมืองเชียงราย กลายเป็นคนดังไปด้วย เมื่อผู้คนแห่มาร้านอิน-เทคคอม อ.เมือง จ.เชียงราย เพื่อพูดคุยแล้วสอบถามถึงเจ้าแม็กซี่ คนรักหมา ต่างอยากมาเห็น 'เจ้าแม็กซี่' เดินด้วยตาเปล่า ดูทีวีและจากภาพยังไม่อิ่มใจพอ ก็เลยมาดูเจ้าหมาน้อยเดิน 2 ขาแบบคน นี่ถ้าเจ้าแม็กซี่ พูดได้ มันคงบอกให้คนเดิน 4 ขาให้มันดูบ้างละมั่ง
ม็อบหวิว-ฉันทนา
ปา'ยกทรง-กกน.'ใส่ทำเนียบ ประท้วงบ้านเรา มักจะเห็นแต่ภาพเกษตรกร มาป่าวร้องให้คนในทำเนียบ ได้รับรู้ถึงความเดือดร้อน แต่ม็อบนี้ หวิวซะไม่มี เมื่อสาวฉันทนา 'อินเตอร์ โมด้า' โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าส่งนอกย่านคลองหลวง จ.ปทุมธานี กว่า 300 คน ประท้วงเพื่อกดดันให้รัฐบาลช่วยเหลือ หลังโรงงานปิดกิจการลอยแพพนักงาน เที่ยงวันที่ 11 ก.ย. สาวๆ เหล่านั้นปักหลักร้องลั่น แต่ดูเหมือนคนข้างในไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่
ในที่สุดก็ถึงจุดที่ต้องใช้ไม้ตาย สาวฉันทนาที่มาประท้วง ต่างสวมชุดกระโจมออก ปายกทรงและกางเกงในปลิวว่อนไสวในอากาศ ก่อนที่จะร่วงหล่นลงเบาๆ ในสนามหญ้าและพื้นปูนในทำเนียบ ไม่มีรายงานว่า ชั้นในเหล่านั้นผ่านการใช้มาหรือยัง ส่วนเจ้าหน้าที่ได้แต่ตาค้าง ไม่สามารถสกัดกันได้
หลายคนส่ายหัว สงสัยคนที่ปามา รุ่นป้าละสิ ฮึ...!
กองปราบฯขนหัวลุก ผีผู้ต้องหาโผล่
เรื่องผี จะว่าไปแล้วน่ากลัวทั้งนั้นแหละ แม้หลายคนไม่กลัวผี แต่ก็ไม่กล้าเจอผี อันนี้ไม่รวมถึงหนัง 'ผีกะซวก...' ที่โดนวิจารณ์กันพอสมควร เรื่องนี้เป็นเรื่องของผีในกองปราบฯ เมื่อคืนหนึ่ง จู่ๆ ผู้ต้องขังลุกตื่นกลางดึก นั่งตัวสั่นตาขวาง พูดด้วยเสียงเปลี่ยนไป 'กูอยากกลับบ้าน กูอยากออกไป' เท่านั้นแหละผู้ต้องขังคนอื่นๆ ถึงกับหวาดผวา อาศัยพวกเยอะรวบรวมความกล้าพากันจับเขย่าตัวจนคืนสติ
รุ่งเช้าปากต่อปากจากผู้ต้องขัง แม้จะปากแข็งในเรื่องคดีความแต่ยามเจอผี บรรยายสารภาพละเอียดทุกช็อต วันที่ 13 ก.ค. พ.ต.อ.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ รักษาการผบก.ป. จึงสั่งการลูกน้องนิมนต์พระครูโชติธรรมสุนทร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดอาวุธวิกสิตาราม กทม. มาเจริญพระพุทธมนต์หน้าห้องควบคุมตัวผู้ต้องหา เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับดวงวิญญาณของผู้ต้องหารายหนึ่ง เป็นผู้ต้องหาที่ผูกคอฆ่าตัวตายในห้องขังเมื่อไม่นานมานี้
ทีแรกหลายคนก็ไม่ค่อยเชื่อ แต่ผู้การฯ ลุยงานเองขนาดนั้น สงสัยเฮี้ยนจริงๆ ห่วงหล่อเกินเหตุ
พระแอบกดสิว
ตกเป็นข่าวฮือฮาและแพร่กระจายในอินเตอร์เน็ต เมื่อพระหนุ่มรูปหนึ่ง ห่มจีวรไปนอนให้สีกาใน 'พรเกษมคลินิก' กดรักษาสิว
วันที่ 6 ก.ค. 'ข่าวสด' ส่งผู้สื่อข่าวไปตรวจสอบข้อเท็จจริง น.พ.อภิยุช เนตตกุล หมอเจ้าของไข้ ชี้แจงว่า พระรูปนั้นเป็นคนไข้เก่า หลังจากบวชแล้วเพื่อมารักษาต่อ ปกติจะเป็นคนดูแลกดสิวเอง แต่ครั้งนั้นไม่ว่างก็ให้พนักงานหญิงเป็นคนช่วยทำการรักษาให้
หมอบอกเรื่องนี้ก้ำกึ่งว่าสิวเป็นโรคหรือเป็นเรื่องของความสวยความงาม แต่หลังจากมีปัญหาทางร้านก็เลยตัดสินใจไม่รับรักษาพระ ในขณะที่โฆษกมหาเถรสมาคม บอกว่าพระสงฆ์ที่เข้าไปในร้านเสริมความงามเป็นการผิดศีลข้อ 8 คือ เว้นจากการทัดทรงดอกไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้ แต่จะอาบัติขั้นปาจิตตีย์ เป็นอาบัติเบา ไม่ร้ายแรง
สรุปว่าเรื่องนี้ถึงไม่ผิด ก็ไม่เหมาะ
สุดช็อกฉี่ใต้ต้นไม้ ศพหล่นใส่
ฉี่ราดขนหัวลุกกันเลยทีเดียว เมื่อบ่ายวันที่ 24 ก.ย. นายสิงหา สังนวม อายุ 29 ปี พนักงานท่าเรือแหลมฉบัง ไปยืนปัสสาวะใต้ต้นแสมข้างวัดบางละมุง อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ปล่อยส่วนเกินออกเป็นสาย ได้กลิ่นโชยมา เจ้าตัวนึกว่ากลิ่นปลาเน่าจากท่าเรือ ดำเนินการฉี่ต่อไป สักพักศพท่อนล่างร่วงลงมาดัง ตุ๊บ !!
ไม่รู้ว่า นายสิงหา ปล่อยมือจากน้องชาย แล้วเอามือมาจับอกร้องคุณพระช่วยเหมือนในหนังหรือไม่ แต่เจ้าตัวก็บอกว่า แหงนมองบนต้นไม้ พบส่วนบนห้อยโตงเตงอย่างน่าสยดสยอง เป็นโชคที่เป็นเวลากลางวัน ไม่งั้นอาจจะมีศพเพิ่ม เจ้าหน้าที่รุดไปดู พบเป็นศพของนายดาว รุ่งเริง อายุ 26 ปี ชาวบางละมุง
สอบสวนจนทราบว่านายดาวปีนขึ้นต้นไม้ไปผูกคอตาย ศพร่วงแบบนี้ดูคล้ายๆ จะเป็นมุขในหนังผี แต่เรื่องนี่เป็นเรื่องจริง ใครทำเป็นขำ ระวังเจอเข้าสักวัน...เพี้ยง !!
ฟ้อง'พรทิพย์'เบิกความเท็จ
'นพดล'ให้สากผูกโบ 14 กุมภาวันวาเลนไทน์ หนุ่มสาวมอบดอกไม้ แต่วาเลนไทน์ของ นายนพดล ธรรมวัฒนะ ทายาทตลาดยิ่งเจริญ มอบสากผูกโบสวยหรูให้กับ พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ รักษาการ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ฝากผ่านนักข่าวระหว่างเดินทางไปยื่นฟ้องหมอคนดังคดีให้การเท็จในศาล เกี่ยวกับขั้นตอนการผ่าศพนายห้างทอง ธรรมวัฒนะ
'นพดล' ฮึ่มหน้าศาลอาญา ว่าหมอคู่กรณีเบิกความเท็จต่อศาล โดยระบุว่าพี่ชาย นายห้างทองถูกทุบหัวก่อนจะถูกยิง อีกทั้งรายงานชันสูตรศพของหมอพรทิพย์ทั้ง 3 ฉบับมีพิรุธ ประกาศฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหาย 1 พันล้าน ส่วนสากผูกโบแดงจะฝากไปให้หมอพรทิพย์ เนื่องในวันวาเลนไทน์ เป็นของขวัญไม่แหลมแต่แทงใจจริงๆ


*สรุปผลงาน'ขิงแก่'ปี'50 ปั๊มมติ ครม.2,513 เรื่อง
รัฐบาลซึ่งมี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี มีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งแรก เมื่อวันอังคารที่ 10 ตุลาคม 2549 และได้จัดแถลงนโยบายต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2549
สำนักบริหารงานสารสนเทศ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้รวบรวมข้อมูลมติ ครม.ของรัฐบาลชุดที่ 56 ซึ่งมี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่มีการประชุมครั้งแรก เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2549 มาจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2550 และจัดทำเป็นข้อมูลเชิงสถิติ อาทิ จำนวนครั้งของการประชุม จำนวนมติคณะรัฐมนตรี ประเภทวาระการประชุม ฯลฯ
นอกจากข้อมูลสถิติแล้วยังประกอบด้วยข้อมูลรายชื่อเรื่องที่เป็นมติ ครม.ที่สอดคล้องกับนโยบายตามที่ได้แถลงไว้ พร้อมเลขที่หนังสืออ้างอิงที่ได้ออกเพื่อแจ้งยืนยันมติ ครม.ไปยังส่วนราชการต่างๆ ตามวันเดือนปีที่มีมติ ครม.ด้วย ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้า หรือนำไปใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงรวมถึงติดตามผล การปฏิบัติงาน
1.มติ ครม. : จำแนกตามการประชุม ครม.ในแต่ละเดือน
การประชุม ครม.เป็นการประชุมที่สำคัญของฝ่ายบริหาร เป็นการประชุมเพื่อกำหนดนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้า สร้างความกินดีอยู่ดีให้กับประชาชนโดยรวม เสริมสร้างความสงบเรียบร้อยให้เกิดขึ้นในสังคม รวมถึงเพื่อหาข้อยุติต่างๆ ในการแก้ไขปัญหา ทั้งปัญหาในเชิงนโยบายและปัญหาเกี่ยวกับการบริหารราชการโดยทั่วไป ผลของการประชุมจะเป็น 'มติ ครม.' ในเรื่องต่างๆ โดยปกติจะมีการประชุม ครม.ทุกวันอังคาร หากตรงกับวันหยุดราชการอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม
*ครม.ปัจจุบัน ซึ่งมี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี นับเป็น ครม.ชุดที่ 56 ได้มีการประชุม ครม.ครั้งแรก เมื่อวันอังคารที่ 10 ตุลาคม 2549 และได้แถลงนโยบายต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2549 ในหนึ่งปีของการบริหารราชการแผ่นดิน (ตุลาคม 2549-กันยายน 2550) มีการประชุม ครม. รวม 50 ครั้ง มีมติคณะรัฐมนตรีรวมทั้งสิ้น 3,410 เรื่อง โดยในเดือนตุลาคม มี 126 เรื่อง เดือนพฤศจิกายน มี 329 เรื่อง เดือนธันวาคม มี 262 เรื่อง เดือนมกราคม 2550 มี 307 เรื่อง เดือนกุมภาพันธ์ 2550 มี 259 เรื่อง เดือนมีนาคม 2550 มี 246 เรื่อง เดือนเมษายน 2550 มี 229 เรื่อง เดือนพฤษภาคม 2550 มี 414 เรื่อง เดือนมิถุนายน 2550 มี 342 เรื่อง เดือนกรกฎาคม 2550 มี 283 เรื่อง เดือนสิงหาคม 2550 มี 280 เรื่อง และเดือนกันยายน 2550 มี 333 เรื่อง
*2.มติ ครม. : จำแนกตามประเภทของวาระการประชุม ครม.
มติ ครม.ในระยะหนึ่งปีที่ผ่านมา จำแนกตามประเภทวาระการประชุม ครม.หรือการนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม ครม.โดยสรุป คือ วาระประธานแจ้ง จำนวน 21 เรื่อง วาระเพื่อพิจารณา จำนวน 706 เรื่อง วาระเพื่อทราบ จำนวน 1,645 เรื่อง และวาระอื่นๆ จำนวน 16 เรื่อง วาระสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 81 เรื่อง และมาตรา 7 จำนวน 44 เรื่อง รวมทั้งสิ้น 2,513 เรื่อง
3.มติ ครม. : จำแนกตามลักษณะของการเสนอ มติ ครม.ในวาระเพื่อพิจารณาและวาระเพื่อทราบตามข้อ 2 มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 3,169 เรื่อง จำแนกตามลักษณะการเสนอเรื่องคือ วาระปกติ และวาระจร โดยสรุปดังนี้ วาระเพื่อพิจารณา จำนวน 955 เรื่อง แบ่งเป็นวาระปกติ 672 เรื่อง วาระจร 283 เรื่อง วาระเพื่อทราบ จำนวน 2,214 เรื่อง แบ่งเป็นวาระปกติ 1,545 เรื่อง วาระจร 669 เรื่อง
4. มติ ครม. : จำแนกตามประเภทเรื่องทั่วไป กับประเภทเรื่องที่เป็นกฎหมายเรื่องที่เสนอเข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรีจำแนกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 2 ประเภท คือ เรื่องทั่วไปกับเรื่องที่เป็นกฎหมาย ซึ่งเรื่องที่ถือว่าเป็นกฎหมายประกอบด้วยพระราชบัญญัติ พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง เป็นต้น โดยเรื่องทั่วไปมี 2,285 เรื่อง เรื่องกฎหมายมี 1,125 เรื่อง รวมทั้งสิ้น 3,410 เรื่อง
5.มติ ครม.ที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล : จำแนกตามนโยบายแต่ละข้อ มติคณะรัฐมนตรีที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลตามที่แถลงไว้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ 5 ข้อ ประกอบด้วย นโยบายการปฏิรูปการเมือง การปกครอง และการบริหาร นโยบายเศรษฐกิจ นโยบายสังคม นโยบายการต่างประเทศ และนโยบายการรักษาความมั่นคงของรัฐ
6.มติ ครม. : จำแนกตามพื้นที่ดำเนินการ
ในระยะเวลาหนึ่งปีของการบริหารราชการแผ่นดิน มีเรื่องเข้าสู่การประชุม ครม.และเป็นมติ ครม.ที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ที่ดำเนินการทั่วทุกภาคของประเทศ จำนวน 674 เรื่อง


*บรรยายพิเศษ เรื่อง "แนวคิดเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน"
รองนายกรัฐมนตรี (นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม) บรรยายพิเศษ เรื่อง "แนวคิดเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน"
วันที่ 31 มกราคม 2551 เวลา 9:00 น.
สถานที่จัดกิจกรรม
ห้องเรนโบว์ 1 ชั้น 1 โรงแรมใบหยกสกาย ประตูน้ำ

*กรมทรัพย์สินทางปัญญา จัดสัมมนาระดมความคิดเห็นร่างแผนยุทธศาสตร์กรมทรัพย์สินฯ
กรมทรัพย์สินทางปัญญา จัดสัมมนาระดมความคิดเห็นร่างแผนยุทธศาสตร์กรมทรัพย์สินฯ
วันที่ 31 มกราคม 2551 เวลา 9:00 น.
สถานที่จัดกิจกรรม
ห้องประชุม 30314/2 สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์
พวงรัตน์ อัศวพิศิษฐ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เป็นประธานการสัมมนา ระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างแผนยุทธศาสตร์กรมทรัพย์สินทางปัญญา โดยเชิญผู้เกี่ยวข้องจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ และเอกชน ได้แก่ ตำรวจ ศาล สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และประชาชนทั่วไปเข้าร่วมรับฟังการนำเสนอร่างแผนยุทธศาสตร์กรมทรัพย์สินทางปัญญาแก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง และรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับร่างแผนยุทธศาสตร์ของกรม ฯ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแผนยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องกับความต้องการ ในวันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม 2551 ระหว่างเวลา 09.00 -12.00 น. ณ ห้องประชุม 30314/2 สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์ จังหวัดนนทบุรี
รายละเอียดเพิ่มเติม โปรดติดต่อ อินทิรา ใจอ่อนน้อม
คชภพ สงวนวงศ์
บริษัท 124 คอมมิวนิเคชั่นส จำกัด (มหาชน)


*ไอบีเอ็มประเทศไทย จัดสัมมนาในวาระครบรอบ 1 ปี ของวิทยาศาสตร์การบริการ (Services Science, Management and Engineering: SSME)
ไอบีเอ็มประเทศไทย จัดสัมมนาในวาระครบรอบ 1 ปี ของวิทยาศาสตร์การบริการ (Services Science, Management and Engineering: SSME)
วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา 8:30 น.
สถานที่จัดกิจกรรม
มหาวิทยาลัยรังสิต ศูนย์สาทรธานี ซึ่งตั้งอยู่ที่ ชั้น 7-8 อาคารสาธรธานี 1
ตามที่บริษัทไอบีเอ็มประเทศไทย จำกัด สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยรังสิต มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีปทุม มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจร่วมกัน เกี่ยวกับความร่วมมือทางด้านวิทยาศาสตร์การบริการ (Services Science Management and Engineering: SSME) ในประเทศไทย ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2550 ณ ทำเนียบรัฐบาล โดยมีวัตถุประสงค์ในการสนับสนุน ผลักดัน และเผยแพร่การศึกษา วิจัย และ ฝึกอบรมทางด้านวิทยาศาสตร์การให้บริการ เพื่อเตรียมบุคลากรทางด้านบริการเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีความเข้าใจในอุตสาหกรรมบริการ หลังจากนั้น ได้มีการร่วมกันจัดตั้ง Services Science Management and Engineering Steering Committee ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ในการดำเนินการเตรียมบุคลากรและโครงสร้างพื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์การบริการ อันนำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถของประเทศ ในการตอบสนองต่อความต้องการ ทางด้าน Global IT Services Outsourcing และ Global IT Enabled Services Outsourcing นั้น
บัดนี้เป็นเวลาครบรอบ 1 ปีของการดำเนินการตามบันทึกความตกลงดังกล่าว บริษัทฯขอเรียนเชิญสื่อมวลชนเข้าร่วมงานสัมมนาในวาระครบรอบ 1 ปี ของวิทยาศาสตร์การบริการในประเทศไทย เพื่อรับทราบถึงความคีบหน้าของโครงการและแผนงานในอนาคต โดยการสัมมนาครั้งนี้ จะมีขึ้นในวันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา 8.30 น.-15.15 น. ณ มหาวิทยาลัยรังสิต ศูนย์สาทรธานี ซึ่งตั้งอยู่ที่ ชั้น 7-8 อาคารสาธรธานี 1 (ใกล้ธนาคารนครธน) เลขที่ 90/10-17 ถนนสาทรเหนือ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพ โดยมีกำหนดการตามเอกสารที่ส่งมาด้วย
ไอบีเอ็มจึงขอเรียนเชิญท่านสื่อมวลชนเข้าร่วมสัมมนาในครั้งนี้ ท่านสามารถยืนยันการเข้าร่วมสัมมนามายังคุณกุลวดี โอฬารพันธุ์สกุล บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด อีเมล์ kulwade@th.ibm.com
สิ่งที่ส่งมาด้วย
1. จดหมายเชิญ
2. กำหนดการสัมมนาในวาระครบรอบ 1 ปีของวิทยาศาสตร์การบริการ (SSME) ในประเทศไทย
วันที่ วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2551
เวลา 8:30-15:15 น.
สถานที่ เส้นทางมาศูนย์สาธรธานี อาคารสาธร 1 (exit ที่ BTS ช่องนนทรี)
ศูนย์ศึกษาสาทรธานี มหาวิทยาลัยรังสิต ตั้งอยู่ที่ ชั้น 7-8 อาคารสาธรธานี 1
(ใกล้ธนาคารนครธน) เลขที่ 90/10-17 ถนนสาทรเหนือ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพ
//www2.rsu.ac.th/web/aboutrsu/directionstoSathorn.aspx)
INCLUDEPICTURE "//www2.rsu.ac.th/web/aboutrsu/image/directionsSathornVisualThai.jpg" * MERGEFORMATINET
ผู้ร่วมประชุม ผู้ที่สนใจจาก มหาวิทยาลัย บริษัท เนคเทค ซิป้า องค์กรทั้งเอกชนและรัฐ และสื่อมวลชน


*สัมมนาเพื่อร่วมกันพัฒนา “คู่มือตุลาการด้านคดีสิทธิชุมชน”โดย : สปรย.
สัมมนาเพื่อร่วมกันพัฒนา “คู่มือตุลาการด้านคดีสิทธิชุมชน”

จัดโดย
- “สปรย.” สถาบันส่งเสริมการปฏิรูประบบยุติธรรมและความเป็นธรรมในสังคม
ร่วมกับ
- สถาบันตุลาการภิวัตน์กับสุขภาพสังคม
ภายใต้การสนับสนุนโดย
- “สบร.” สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน)

วันเสาร์ที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ เวลา ๘.๓๐ น. – ๑๖.๐๐ น.
ณ ห้องแกรนด์รัชดา บอลรูม โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพมหานคร

หมายเหตุ:
ผู้ประสานงาน - คุณชนาภา พรหมวิหาร / โทร. ๐๘๙-๐๖๖-๖๘๓๖


*ท่องพิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก กับชมรมหรี่เสียงกรุงเทพ
ชมรมหรี่เสียงกรุงเทพ นำโดยศิลปินนักปั้นถ้วยชา ปานชลี สถิรศาสตร์ ขอเชิญผู้รักความสงบเข้าร่วมกิจกรรม ทัวร์สงบหลบเสียงกรุงเทพฯ ครั้งที่ 4 : ย้อนอดีตบ้านเก่าย่านเจริญกรุง กับพิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก ในวันอาทิตย์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2551 เวลา 14.00 -16.00 น. บรรยายโดย อ.วราพร สุรวดี เจ้าของบ้าน ผู้มอบบ้านของตระกูลทั้ง 4 หลังที่สร้างขึ้นใน พ.ศ.2480 ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ของกรุงเทพมหานคร สอบถาม โทร. อ.อรยา หรือ คุณวิมลสิริ โทร.0 -2613 - 2047 หรือ 081-643 - 9240 หรือ osutabutr@yahoo.com
การเดินทางไปยังพิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก นั่งรถเมล์สาย 1,35,36,45,75,93 หรือนั่งรถไฟฟ้าไปลงสถานีสะพานตากสิน แล้วต่อเรือไปลงท่าน้ำสี่พระยา เดินต่อมาที่ถนนเจริญกรุง ซอย 43 จะอยู่ฝั่งตรงข้าม เยื้องกับไปรษณีย์กลาง เข้าซอยไปประมาณ 200 เมตร (ลอดใต้ทางด่วน) บ้านอยู่ทางขวา(เลขที่273) ระหว่างทางจะผ่านร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา ไอศครีมกะทิ ก๋วยเตี๋ยวราดหน้าและโรตีเจ้าอร่อย … กิจกรรมทัวร์สงบฯ นี้ไม่มีค่าใช้จ่าย แต่อาจช่วยเหลือค่าใช้จ่ายของพิพิธภัณฑ์ฯ ตามศรัทธา

*ขอเชิญชมฟรีหนังดีจากทั่วโลกในเทศกาลหนังของเด็กกรุงเทพ ครั้งที่ 2 (Bangkok International Children's Film Festival)
มูลนิธิหนังไทย ร่วมกับ สบร. และ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ชวนน้อง ๆ ชมฟรีหนังดี จากทั่วโลกในเทศกาลหนังของเด็กกรุงเทพ ครั้งที่ 2 (Bangkok International Children's Film Festival)
ในระหว่างวันที่ 19-27 มกราคม 2551 ที่อุทยานการเรียนรู้ (TK PARK) ชั้น 8 เซ็นทรัล เวิลด์ และที่โรงภายพนตร์เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ สาขา ปิ่นเกล้า
สำหรับ เด็กและผู้ที่สนใจชมฟรีทุกที่นั่ง สามารถรับบัตรชมภาพยนตร์ก่อนหนังฉาย 1 ชั่วโมง ที่หน้าโรงภาพยนตร์เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ปิ่นเกล้า และ อุทยานการเรียนรู้ (TK PARK) ชั้น 7 เซ็นทรัล เวิลด์ ทั้งนี้สามารถเช็คตารางฉายภาพยนตร์ได้ที่เว็บไซต์ของมูลนิธิหนังไทย ที่www.okmd.or.th หรือ //www.thaifilm.com ตลอดจนสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณชัชมนต์ สมาร์ท สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (สบร.) โทรศัพท์ 02 264 5958-9 ต่อ 244 สำรองที่นั่งเป็นหมู่คณะ ได้ทีคุณฝิ่น มูลนิธิหนังไทย โทรศัพท์ 02 800 2716 หรือ0816513519
*ตัวอย่างเรื่องราวดี ๆ เช่น Hula Girls สาวฮูล่าหัวใจฮีโร่
ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น ที่ซึ่งการทำเหมืองถ่านหินเปรียบเสมือนสายเลือดหลัก และหนึ่งเดียวที่หล่อเลี้ยงทุกชีวิตในหมู่บ้าน แต่แล้วเมื่อถึงยุคที่ถ่านหินเริ่มหมดคุณค่าเพราะน้ำมันเข้ามาแทนที่ สาวๆลูกหลานคนงานเหมืองแร่กลุ่มหนึ่งที่ทั้งชีวิตเคยแต่เป็นแม่ครัว หรือไม่ก็คนงานเหมืองจึงต้องลุกขึ้นมาหัดเต้นระบำฮาวาย ตามโครงการฮาวายเอี้ยนเซ็นเตอร์ ที่จะเปลี่ยนเหมืองแร่ที่กำลังปิดตัวลงให้เป็นสถานที่แห่งใหม่ของญี่ปุ่นท่ามกลางกระแสคัดค้านของผู้คนในหมู่บ้าน ภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงจากเหตุการณ์จริงที่เมืองโตโฮกุ ในราวปี 1965 และคว้า 4 รางวัลจากเวที เจแปน ฟิล์ม อวอร์ดส์
*Tommy the Kid
เมื่อผู้ใหญ่ใจคดขโมยจักรยานของทอมมี่ไป เขาจึงต้องหาวิธีแก้เผ็ด
*Smile My Friend



ฟันปลอมของคุณลุงบีเวอร์หายไป เหล่าสมาชิกในหมู่บ้านต้องช่วยกันหาตัวขโมย
หรือชมภาพหนังเพิ่มเติมได้ที่//www.picturetrail.com/childrenfilmfestival

*เวทีสาธารณะ Generation me: ส่วนตัวเพื่อส่วนรวม
ไม่ว่าคุณเป็นคนยุคนี้หรือยุคไหน เราขอเชิญชวนให้มางานนี้
เจเนอเรชั่นมี แจ๋วจริง! ลองดิ!
'Generation me: ส่วนตัวเพื่อส่วนรวม'
เวทีสาธารณะที่รวมสาระเพื่อการมีส่วนร่วมกับสังคมของวัยรุ่นยุคปัจจุบัน ที่ใครต่อใครพากันให้นิยามว่าเป็นยุค generation me (ตัวกู ของกู!)
กิจกรรมมากมาย ทั้งบนเวทีและล่างเวที
• เวทีเสวนา ร่วมพูดคุยและแสดงความคิดเห็นถึงเรื่องราวของผู้คน 3 ยุค ตั้งแต่ 14 ตุลา - พฤษภาทมิฬ, ยุคมหาวิบัติสึนามิ, ยุคนี้ 'เจเนอเรชั่นมี' โดยวิทยากรมากมายหลายช่วงอายุ อาทิ
o รองศาสตราจารย์ ดร. ธเนศร อาภรณ์สุวรรณ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
o พิภพ ธงไชย : มูลนิธิเด็ก
o รสนา โตสิตระกูล : นักเคลื่อนไหวทางสังคม
o สมบัติ บุญงามอนงค์ : ประธานมูลนิธิกระจกเงา
o วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล : คอลัมนิสต์ แพรวสุดสัปดาห์
o ฯลฯ
• อ่านและฟังบทกวีร่วมสมัย โดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ และตุล ไวฑูรเกียรติ (ตุล อพาร์ทเมนต์คุณป้า)
• พูดคุยและแนะนำหนังสือขาย(ได้)ดี 'ต้นไม้ใต้โลก' กับพี่ก้อง - ทรงกลด บางยี่ขัน
• ฉายหนังสั้นในห้องปิด กับคุณสุภาพ หริมเทพาธิป นิตยสาร Bioscope
• ชมนิทรรศการตลอดงาน
o ที่มาที่ไปของวัยรุ่นแบบ Generation Me : ได้รู้สักทีว่ายุคนี้คือยุคอะไร
o กรณีศึกษาเกี่ยวกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ทำอะไรดีๆ จากทั่วโลก
o การออกบูธจากองค์กรทางสังคมมากมาย
• 4 ห้อง workshop : 4 ประเด็นน่าเรียนรู้ ทั้ง
o การทำความรู้จักตัวเอง : คุณคิดว่า คุณรู้จักตัวเองดีแค่ไหน
o การสื่อสารอย่างกรุณา : พูดง่าย ทำยาก
o การเป็นผู้ประกอบการทางสังคม : เหมือนหรือต่างกับการเป็นเจ้าของแผงขายผักอย่างไร ได้รู้กันในห้องนี้
o อาสาสมัคร : คำสั้นๆ มากนิยาม หลากการกระทำ ว่าแต่... คุณเคยเป็นอาสาสมัครหรือยัง ?
• เห็นไหม... มากมายจริงๆ

นอกจากนี้ ขอเชิญทุกท่านร่วมส่งบทกวี ในหัวข้อ 'Generation me: ส่วนตัวเพื่อส่วนรวม' เข้ามาเพื่อร่วมอ่านบนเวทีกับ ศักดิ์สิริ มีสมสืบ และตุล ไวฑูรเกียรติ (ตุล อพาร์ทเมนต์คุณป้า)
• ไม่จำกัดอายุผู้ส่ง
• ไม่จำกัดจำนวนบทกวี
• ไม่จำกัดประเภท
• ไม่จำกัดความยาว
• ไม่จำกัดอะไรเลย!
• แต่จำกัดระยะเวลาส่ง วันนี้ - 20 มกราคม ทางอีเมล yv@deksiam.com หรือแฟ็กซ์ 02-9383831
ส่งมาแล้วได้อะไร
• รับของที่ระลึกสุดพิเศษ (ยังไม่บอกตอนนี้ เพราะเดี๋ยวจะไม่พิเศษ)
• ได้ลองเขียนบทกวี (หรือได้เขียนอย่างที่เคยเขียน) ในหัวข้อที่ไม่เคยเขียนมาก่อน
• ได้ขึ้นเวที กระทบไหล่กวี 2 คนในเวลาเดียวกัน ทั้งกวีซีไรต์และกวียุคใหม่
• ได้มาร่วมงานนี้พร้อมกับเรา!
สิทธิประโยชน์มากมายขนาดนี้ ไม่เขียนส่งมาไม่ได้แล้ว...

กำหนดการกิจกรรม
วันที่ 27 มกราคม 2551

บริเวณลานปรีดี พนมยงค์
08.30 น. เริ่มลงทะเบียน
09.00 น. เปิดโซนนิทรรศการ 'Generation Me'
09.00 – 11.00 น. เวทีเสวนา 'Generation Me' ยุคที่ 1
วิทยากร
- รองศาสตราจารย์ ดร. ธเนศร อาภรณ์สุวรรณ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- คุณพิภพ ธงไชย: มูลนิธิเด็ก
- คุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี*: บรรณาธิการนิตยสารช่อการะเกด
11.00 – 12.30 น. เวทีเสวนา 'Generation Me' ยุคที่ 2
วิทยากร
- คุณรสนา โตสิตระกูล: นักเคลื่อนไหวทางสังคม
- ศักดิ์สิริ มีสมสืบ: ศิลปินแห่งชาติ
- ดร. ปริญญา เทวานฤมิตรกุล
รองอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
(อดีตผู้นำนักศึกษาเหตุการณ์พฤษภาคมทมิฬ พ.ศ.2535)
13.30 – 15.00 น. เวทีอภิปรายจากตัวแทนของนิสิตนักศึกษา
'Generation Me ส่วนตัวเพื่อส่วนรวม'
( โดยตัวแทนนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ)
15.00 – 16.30 น. เวทีเสวนา 'Generation Me' ยุคที่ 3
วิทยากร
คุณสมบัติ บุญงามอนงค์: ประธานมูลนิธิกระจกเงา
คุณวรรณสิงห์ ประเสริฐกุล: คอลัมนิสต์นิตยสารแพรวสุดสัปดาห์
คุณอธิคม คุณาวุฒิ*: บรรณาธิการนิตยสาร Way
16.30 – 17.00 น. อ่านบทกวีร่วมสมัย โดย
ศักดิ์สิริ มีสมสืบ: ศิลปินแห่งชาติ ิ
ตุล ไวฑูรเกียรติ (ตุล อพาร์ทเมนต์คุณป้า): กวีรุ่นใหม่
17.00 – 18.00 น. พุดคุยและแนะนำหนังสือ 'ต้นไม้ใต้โลก'
โดย ทรงกลด บางยี่ขัน
18.00 – 19.00 น. ฉายหนังสั้นและพูดคุย
โดย คุณสุภาพ หริมเทพาธิป นิตยสาร Bioscope
หมายเหตุ * อยู่ระหว่างการประสานงาน

นิทรรศการ
รู้จักกับที่มาที่ไปของวัยรุ่นแบบ Generation Me และกรณีศึกษาเกี่ยวกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ทำอะไรดีๆ จากทั่วโลก รวมทั้งพบกับการเปิดโอกาสสำหรับการมีส่วนร่วมกับสังคมจากองค์กรทางสังคม มากมาย

บริเวณคณะนิติศาสตร์
Workshop เจ๋งๆ สำหรับวัยรุ่นยุค Generation Me : 4 ห้อง 4 ประเด็น
13.00 – 15.30 น.
ห้องที่ 1 การเริ่มต้นที่ดีน่าจะเริ่มจากการรู้จักตัวเองอย่างลึกซึ้ง มาเรียนรู้
'ศาสตร์แห่งการเรียนรู้ตัวเอง'
ห้องที่ 2 เราจะอยู่ร่วมกันอย่างไร? มาเรียนรู้เรื่องการ ' สื่อสารอย่างกรุณา'
ห้องที่ 3 การเป็นผู้ประกอบการทางสังคม (Social Enterpreneur)
ห้องที่ 4 'อาสาสมัคร ' ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป อาสาสมัครวัยมันส์เค้าทำอะไรกันได้บ้าง?

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและลงทะเบียนเข้าร่วม workshop ล่วงหน้าได้
โดยการแสดงความคิดเห็นด้านล่าง
หรือโทร 02-9383831

*Android Thailand Social Network
ปัจุจุบันเทคโนโลยีทางด้านโทรศัพท์มือถือได้เข้าสู่ความจำเป็นในการใช้งานของคนทั่วไปและแนวโน้มที่จะเข้าสู่ระบบ Web mobile มากขึ้น ล่าสุด Google ที่เป็นเครือข่ายเว็บไซ็ดรายใหญ่ของโลกได้ประกาศเปิดตัวระบบปฏิบัติการบนโทรศัพท์มือถือใหม่ที่ชื่อ Android เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยมีพันธมิตรทางด้านโทรศัพท์มือถือเข้าร่วมจำนวนมาก
Android เป็นระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ที่รอรับการเปลี่ยนยุคอีกครั้งของมือถือ (หลัง iPhone) ซึ่งมือถือรุ่นใหม่ๆ จะมีลักษณะเป็น personal internet device มากขึ้น หน้าจอใหญ่ขึ้น มีระบบอินพุตดีขึ้น ความจุมากขึ้น ฯลฯ เหนือกว่าระบบปฏิบัติการเก่าๆ ที่รู้จักอย่าง Symbian, Palm OS และ Windows Mobile ในกรณีของระบบปฏิบัติการ Android ทุกคนในโลกเริ่มต้นพร้อมกัน นับเป็นโอกาสใหม่ของนักพัฒนาไทยในการส่งผลงานของตนเองเข้าสู่ตลาดโลก
การจัดตั้งโครงการ Android Thailand Social Network โดยความร่วมมือจากภาคธุรกิจ ได้แก่ AIS, DTAC, Truemove และ Motorola มุ่งหวังที่จะสนับสนุนให้อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์บนโทรศัพท์มือถือของไทยก้าวขึ้นไปสู่ระดับโลก และเกิดสังคมเครือข่ายของผู้มีความรู้และภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นเวทีถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ และความช่วยเหลือด้านต่างๆ และสร้างโอกาสทางธุรกิจ
สัมมนา“ทิศทางของ Mobile Internet Application ในอนาคต'
วันที่ วันพุธที่ 30 มกราคม 2551
เวลา 12:30 น.-17:00 น.
สถานที่ ห้องประชุมใหญ่ (Auditorium) ชั้น 3 อาคารซอฟต์แวร์พาร์ค ถนนแจ้งวัฒนะ
กลุ่มเป้าหมาย
1. ผู้บริหารบริษัทซอฟต์แวร์
2. นักพัฒนาซอฟต์แวร์
3. บุคคลที่สนใจ
จำนวน 200 ท่าน
ค่าใช้จ่าย ไม่มี
เนื้อหาในงาน
• นำเสนอลู่ทางโอกาสสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ในการพัฒนา application ให้ตรงกับพฤติกรรมของผู้บริโภค และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง
• ทิศทางการตลาดของ Mobile Internet Application
• ตัวอย่างของ Application บนมือถือในตลาดโลก

กำหนดการ
12: 30 - 13:00 ลงทะเบียน
13: 00 - 14:45
เสวนาหัวข้อ 'ทิศทางของ Application บน Mobile ในอนาคต และเทคนิคใหม่ ๆ บนระบบปฎิบัติการ Android'
14: 45 - 15.30 ทิศทางของมือถือที่จะรองรับ Application บน Mobile Internet
15: 30 - 15:45 พัก รับประทานอาหารว่าง
15: 45 - 16:30 เสวนาหัวข้อ “จุดเปลี่ยนตลาดของ Application บนมือถือในมุมมองผู้ซื้อ และ ผู้ขาย'
16: 30 -17:00 ถาม - ตอบ
สอบถามข้อมูล :ฝ่ายพัฒนาธุรกิจและการตลาด เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย โทร 02-583-9992 ต่อ 1481-5 โทรสาร 02-583-2884

*เสวนาวิชาการ - เสนอข่าวอย่างไรในโทรทัศน์สาธารณะ ให้ตอบโจทย์สังคมไทย
กำหนดการ เสวนาวิชาการ เตรียมความพร้อมการมีส่วนร่วมประชาชนในโทรทัศน์สาธารณะ ครั้งที่ ๑
เสนอข่าวอย่างไรในโทรทัศน์สาธารณะ ให้ตอบโจทย์สังคมไทย
วันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๑
ณ ห้องประชุม ๕๗๒๔ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

โดย เครือข่ายเพื่อนทีวีสาธารณะ นักวิชาการนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ต มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา มหาวิทยาลัยรามคำแหง

----------------------------------------------------------------------------------

๐๙.๐๐ – ๐๙.๓๐ น. พิธีกรกล่าวต้อนรับเกริ่นนำโครงการ และลำดับงานเสวนาแก่ผู้มีเกียรติ (เชิญชวนชมนิทรรศการและทำกิจกรรมโทรทัศน์สาธารณะ)

๐๙.๓๐ – ๐๙.๔๕ น. พิธีเปิดเสวนา
- คณบดีกล่าวรายงานความเป็นมา
- อธิการบดี ประธานพิธี กล่าวเปิดงาน

๐๙.๔๕ – ๑๑.๓๐ น. เสวนา 'เสนอข่าวอย่างไรในโทรทัศน์สาธารณะให้ตอบโจทย์สังคมไทย'
- คุณกิตติพงษ์ สุ่นประเสริฐ (อดีตผู้สื่อข่าวบีบีซี)
- รศ.สดศรี เผ่าอินจันทร์ คณบดีคณะสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- คุณจิระ ห้องสำเริง (อดีตบรรณาธิการข่าวสถานีโทรทัศน์ไอทีวี)
- คุณแก้วตา ปริศวงศ์ (อดีตผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ไอทีวี)
- ดำเนินรายการโดย ผศ.สุรสิทธิ์ วิทยารัฐ อาจารย์ประจำสาขาวิชานิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

๑๑.๓๐ – ๑๒.๐๐ น. เสนอความคิดเห็นและซักถามปัญหา

๑๒.๐๐ น. ปิดการเสวนา

***๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. นิทรรศการและกิจกรรมให้ความรู้ประกอบการเสวนา

ประสานงาน
ผศ.อังธิดา ลิมป์ปัทมปาณี โทร: 086-102-4861
น.ส.เกศรินทร์ ไชยแสง โทร: 084-0302-988


*เวทีนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยมหิดล ครั้งที่ 5 เรื่อง 'จินตนาการความเป็นไทยกับสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้'
กำหนดการเวทีนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยมหิดล ครั้งที่ 5
เรื่อง 'จินตนาการความเป็นไทยกับสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้'
จัดโดย สถาบันวิจัยประชากรและสังคม และศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล
ร่วมกับ คณะกรรมการยุทธศาสตร์สันติวิธี สภาความมั่นคงแห่งชาติ และ สถาบันสัญญาธรรมศักดิ์เพื่อประชาธิปไตย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
สนับสนุนโดย สำนักงานคณะกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ

วันอังคารที่ 29 มกราคม 2551 เวลา 08.30-12.45 น.
ณ ห้องกรุงธนบอลรูม ชั้น 3 โรงแรมรอยัลริเวอร์ ถนนราชวิถี บางพลัด กรุงเทพมหานคร โทรศัพท์ 02 422-9222


พิธีกร : ใจสิริ วรธรรมเนียม

08.30 น. - 09.00 น. ลงทะเบียน
09.00 น. - 09.10 น. กล่าวรายงานการประชุม โดย รองศาสตราจารย์อนุชาติ พวงสำลี รองอธิการบดี ฝ่ายระบบกายภาพและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยมหิดล
09.10 น. - 09.30 น. กล่าวเปิดการประชุม
โดย รองศาสตราจารย์ชื่นฤทัย กาญจนะจิตรา รองอธิการบดี ฝ่ายวิเทศสัมพันธ์และเครือข่าย มหาวิทยาลัยมหิดล
ดร.อุทิศ ขาวเธียร ประธานคณะอนุกรรมการสาขาสังคมวิทยา สำนักงานคณะกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ

09.30 น. - 10.00 น. ปาฐากถานำจุดประเด็นเรื่อง 'ประวัติศาสตร์การสร้าง 'ความเป็นไทย' กระแสหลัก' โดย รองศาสตราจารย์สายชล สัตยานุรักษ์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

10.00 น. – 10.15 น. พักรับประทานอาหารว่าง

10.15 น. – 11.45 น. การอภิปรายเพื่อให้ความเห็นต่อผลงานวิจัยเรื่อง 'ความเป็นไทยในจินตนาการ' ดำเนินรายการโดย รองศาสตราจารย์สุริชัย หวันแก้ว ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

10.15 น. – 10.45 น. นำเสนอโดย รองศาสตราจารย์กฤตยา อาชวนิจกุล รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล

10.45 น. – 11.00 น. ให้ความเห็นโดย 1. ดร. นิติ ภวัครพันธุ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

11.00 น. – 11.15 น. 2. ดร. วรวิทย์ บารู
ผู้อำนวยการโครงการจัดตั้งสถาบันสมุทรรัฐเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

11.15 น. – 11.45 น. เปิดอภิปราย

11.45 น. – 12.15 น. ปัจฉิมกถาเรื่อง 'พหุนิยมกับพหุความเป็นไทย' โดย อาจารย์ธีรยุทธ บุญมี ผู้อำนวยการสถาบันสัญญาธรรมศักดิ์เพื่อประชาธิปไตย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

(หลังจากจบการประชุมขอเชิญรับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน)


*ขอเชิญเสนอบทความวันพืชที่ชุ่มน้ำโลกปี 2551
สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ขอเชิญส่งผลงานบทความทางวิชาการเกี่ยวกับพื้นที่ชุ่มน้ำ เพื่อนำเสนอในที่ประชุมวิชาการพื้นที่ชุ่มน้ำ เรื่อง 'Healthy Wetlands, Healthy People' ระหว่างวันที่ 4-5 กุมภาพันธ์ 2551 ณ โรงแรมรามาการ์เดนท์
ทั้งนี้ ขอเชิญผู้สนใจส่งบทความตามแบบและหลักเกณฑ์ ไปยังกลุ่มงานสนับสนุนการจัดการระบบนิเวศ สำนักความหลากหลายทางชีวภาพ ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่คุณนิรวาน, คุณวัลลภ โทร. 0-2265-6636


*มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กำหนดจัดสัมมนาวิชาการ เรื่อง “ปัญหาการฟ้องร้องแพทย์และแนวทางการแก้ไข”
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โครงการบริการสังคม คณะแพทยศาสตร์ ร่วมกับ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กำหนดจัดสัมมนาวิชาการ เรื่อง “ปัญหาการฟ้องร้องแพทย์และแนวทางการแก้ไข”
ในวันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ 2551 ตั้งแต่เวลา 08.00-16.30 น.
ณ ห้องประชุมจี๊ด เศรษฐบุตร (L.T.1) คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
โดยได้เชิญผู้เกี่ยวข้องในวงการแพทย์ และผู้มีความรู้ด้านกฏหมายเพื่อวิเคราะห์ปัญหาตามหลักวิชาการและ หาแนวทางการแก้ไขปัญหา การฟ้องร้องแพทย์ ร่วมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง อาทิ คณบดีคณะแพทยศาสตร์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ แพทย์ผู้ปฏิบัติงานทั่วไป แพทย์ผู้ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลชุมชนและแพทย์ชนบท สมาคมทนายความ นักกฎหมายที่ปฏิบัติงานอัยการและศาล และเครือข่ายผู้คุ้มครองผู้บริโภค
นิสิต นักศึกษา และผู้สนใจเข้าร่วมสัมมนาโครงการดังกล่าวโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
งานวิจัยและบริการสังคม คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
โทร. 0-2926-9703-6

*เสวนาวิชาการ ต้อนรับรัฐบาลชุดใหม่ "Rating ครม."
วันที่ ๑๔ ก.พ. ๕๑ เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. ณ ห้องประชุมจุมภฏ-พันธุ์ทิพย์ ชั้น ๔ อาคารประชาธิปก-รำไพพรรณี จุฬาฯ โทร. ๐๒-๒๑๘- ๗๒๖๓


*บรรยายธรรมชุด "ธรรมะติดปีก : สำหรับชาวมหาวิทยาลัย"โดย พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี) วันที่ ๑๔ ก.พ. ๕๑ เวลา ๑๕.๐๐-๑๗.๐๐ น. ณ ห้องประชุมใหญ่ อาคารธรรมสถานจุฬาฯ โทร. ๐๒-๒๑๘-๓๐๑๘-


H O M E



Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 22 กรกฎาคม 2551 23:10:39 น. 103 comments
Counter : 16370 Pageviews.

 
*สัมมนาวิชาการ เรื่อง 'อนุรักษ์ภาพอย่างไรให้อยู่ได้ยืนนาน'

วันอังคารที่ 29 เมษายน 2551 เวลา 08.30 – 16.30 น.
ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 5 ศูนย์นานาชาติสิรินธรฯ อาคารเทพรัตน์วิทยาโชติ (ศูนย์การเรียนรู้ มก.) สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

1. ชื่อโครงการ 'อนุรักษ์ภาพอย่างไรให้อยู่ได้ยืนนาน'
2. หน่วยงานที่รับผิดชอบ หอจดหมายเหตุ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
3. หลักการและเหตุผล

เนื่องจากหอจดหมายเหตุได้ดำเนินการมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วและได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ ในฐานะเจ้าของเอกสารมาพอสมควร ภายหลังจากการจัดเสวนาเรื่อง
' ภาพเก่าเล่าเรื่องราว' ทางหอจดหมายเหตุได้ เล็งเห็นว่า ภาพถ่ายซึ่งเป็นเอกสารจดหมายเหตุที่มีความสำคัญชนิดหนึ่งของมหาวิทยาลัย เนื่องจากเป็นประวัติศาสตร์ที่ สามารถบอกเล่าเรื่องราวต่างๆได้เป็นอย่างดีโดยไม่จำเป็นต้องถ่ายทอดออกมาเป็นตัวอักษรนั้น ได้มีภาพบางส่วนที่ทาง หอจดหมายเหตุได้รับจากหน่วยงานต่างๆนั้นชำรุดและเสียหายไปตามกาลเวลา จึงควรจะต้องมีการอนุรักษ์ภาพเหล่านี้ ให้สามารถคงอยู่ได้ตลอดไป ประกอบกับในปัจจุบันเทคโนโลยีในการถ่ายภาพได้เปลี่ยนแปลงไป รูปแบบของ ภาพถ่ายก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย เทคนิคและวิธีการในการจัดเก็บรูปภาพและการอนุรักษ์ภาพจึงได้มีการพัฒนา ปรับเปลี่ยนไปเพื่อให้สอดคล้องกับรูปแบบของสื่อในปัจจุบัน
ด้วยเหตุนี้ทางหอจดหมายเหตุจึงจัดสัมมนาเรื่อง 'อนุรักษ์ภาพอย่างไรให้อยู่ ได้ยืนนาน' ขึ้นในวันที ่29 เมษายน 2551 เวลา 08.30 –16.30 น. ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 5 ศูนย์นานาชาติสิรินธรฯ อาคารเทพ รัตน์วิทยาโชติ (ศูนย์การเรียนรู้ มก.) สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อเป็นการนำเสนอแนวทางและ วิธีการในการจัดเก็บรักษาภาพถ่ายให้ถูกวิธีและวิธีการในการอนุรักษ์ภาพเก่าให้สามารถใช้ประโยชน์ได้ยืนนาน และคงทน รวมทั้งยังเป็นประโยชน์และให้ความรู้แก่นิสิต คณาจารย์ และบุคลากรของมหาวิทยาลัยในยุคปัจจุบัน ให้สามารถนำวิธีการและความรู้ที่ได้ไปสามารถปรับใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อตัวท่านและหน่วยงานต่อไป
4. วัตถุประสงค์

4.1 เพื่อศึกษาวิธีและแนวทางในการจัดเก็บรักษาภาพเก่าที่ทางหอจดหมายเหตุได้รับมอบจากหน่วยงาน ต่างๆให้สามารถใช้ประโยชน์ได้ยืนนาน
4.2 เสริมสร้างความรู้ และวิธีการในการอนุรักษ์ภาพในปัจจุบันให้เกิดแก่นิสิต คณาจารย์ และบุคลากร ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 2

5. ผู้เข้าร่วมสัมมนาวิชาการ บูรพาจารย์ คณาจารย์ นิสิต และบุคลากรจากหน่วยงานต่างๆ ของมหาวิทยาลัยและ บุคคลภายนอกที่สนใจประมาณ 100 คน
6. หัวข้อการสัมมนา สัมมนาเรื่อง 'อนุรักษ์ภาพอย่างไรให้อยู่ได้ยืนนาน'

09.00 – 09.30 น. อธิการบดีกล่าวเปิดการสัมมนา
09.30 – 10.30 น. บรรยาย เรื่อง ประโยชน์ของภาพถ่ายในเชิงจดหมายเหตุ
10.45 – 12.00 น. บรรยายเชิงปฏิบัติ เรื่อง วิธีการจัดเก็บ และอนุรักษ์ภาพเก่าเพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพ
12.00 – 13.30 น. พักรับประทานอาหารกลางวัน
13.30 – 16.30 น. บรรยายเชิงปฏิบัติ เรื่อง วิธีการจัดเก็บ และอนุรักษ์ภาพเก่าเพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพ
โดยนางจิราภรณ์ อรัณยะนาค ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์ กรมศิลปากร ผู้อำนวยการกลุ่มวิทยาศาสตร์เพื่อการอนุรักษ์ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ

7. ระยะเวลา วันอังคารที่ 29 เมษายน 2551 เวลา 08.30 – 16.30 น.
8. สถานที่ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 5 ศูนย์นานาชาติสิรินธรฯ อาคารเทพรัตน์วิทยาโชติ (ศูนย์การเรียนรู้ มก.) สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
9. คณะกรรมการดำเนินงานหอจดหมายเหตุ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
10. รูปแบบการสัมมนา สัมมนาวิชาการโดยวิทยากร
11. งบประมาณ ขออนุมัติใช้เงินรายได้หอจดหมายเหตุ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยขอถัวเฉลี่ยทุกรายการ
12. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

12.1 ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้รับความรู้และเทคนิคต่างๆในการจัดเก็บภาพเก่าจากการสัมมนา
12.2 ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้มีโอกาสเรียนรู้กระบวนการในการอนุรักษ์ภาพให้คงทนและสามารถใช้ ประโยชน์ได้ยืนนาน
12.3 หอจดหมายเหตุได้รับความรู้ รูปแบบ วิธีการในการจัดเก็บภาพอย่างถูกวิธีและการอนุรักษ์ตามหลัก วิชาการ เพื่อประโยชน์ในการเผยแพร่ และให้บริการต่อไป

กำหนดการ โครงการสัมมนาเรื่อง 'อนุรักษ์ภาพอย่างไรให้อยู่ได้ยืนนาน'
วันอังคารที่ 29 เมษายน 2551
ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 5 ศูนย์นานาชาติสิรินธร ฯ อาคารเทพรัตน์วิทยาโชติ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
08.30 – 09.00 น. ลงทะเบียน
09.00 – 09.30 น. อธิการบดีกล่าวเปิดการสัมมนา
09.30 – 10.30 น. การบรรยาย เรื่อง 'ประโยชน์ของภาพถ่ายในเชิงจดหมายเหตุ' โดย นางจิราภรณ์ อรัณยะนาค ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์ กรมศิลปากร ผู้อำนวยการกลุ่มวิทยาศาสตร์เพื่อการอนุรักษ์ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
10.30 – 10.45 พักรับประทานอาหารว่าง
10.45 – 12.00 น. การบรรยายเชิงปฏิบัติ เรื่อง 'วิธีการจัดเก็บ และอนุรักษ์ภาพเก่าเพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพ' โดย นางจิราภรณ์ อรัณยะนาค ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์ กรมศิลปากร ผู้อำนวยการกลุ่มวิทยาศาสตร์เพื่อการอนุรักษ์ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
12.00 – 13.30 น. พักรับประทานอาหารกลางวัน
13.30 – 15.30 น. การบรรยายเชิงปฏิบัติ เรื่อง 'วิธีการจัดเก็บ และอนุรักษ์ภาพเก่าเพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพ' โดย นางจิราภรณ์ อรัณยะนาค ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์ กรมศิลปากร ผู้อำนวยการกลุ่มวิทยาศาสตร์เพื่อการอนุรักษ์ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
15.30 15.45 น. พักรับประทานอาหารว่าง
15.45 – 16.30 น. แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ

แบบตอบรับการเข้าร่วมโครงการสัมมนาวิชาการ เรื่อง 'อนุรักษ์ภาพอย่างไรให้อยู่ได้ยืนนาน'

วันอังคารที่ 29 เมษายน 2551 เวลา 08.30 – 16.30 น.
ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 5 ศูนย์นานาชาติสิรินธรฯ อาคารเทพรัตน์วิทยาโชติ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
1. ชื่อ – นามสกุล .............................................................................
ตำแหน่ง...........................................................................
หน่วยงาน .........................................................................
โทรศัพท์/โทรสาร ...............................................................
?? ยินดีเข้าร่วมโครงการสัมมนา ?? ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการสัมมนา

2. ขอส่งบุคลากรของหน่วยงานเข้าร่วมโครงการสัมมนา ดังรายชื่อต่อไปนี้
ชื่อ – นามสกุล ตำแหน่ง
2.1 .....................................................................................

2.2 ....................................................................................

_________________________________

กรุณาตอบกลับภายในวันที่ 25 เมษายน 2551
หอจดหมายเหตุ มก. อาคารเทพรัตน์วิทยาโชติ (อาคารการเรียนรู้ ชั้น 4 สำนักหอสมุดหลังใหม่)
โทรศัพท์ 0-2942-8616 ต่อ 426-430 ภายใน
1777 ต่อ 426-430 โทรสาร 0-2940-6689





*สมาคมผู้ดูแลเว็บไทย กำหนดวันรับสมัครกรรมการใหม่ และวันประชุมใหญ่วิสามัญ

ด้วย คณะกรรมการบริหารสมาคมผู้ดูแลเว็บไทย ได้มีมติที่จะจัดการประชุมใหญ่วิสามัญขึ้น เนื่องจากนายกสมาคมลาออก (มีผลตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม 2551) และ กรรมการบริหารสมาคมมีความเห็นควรตามมารยาทธรรมเนียมปฏิบัติที่ดีควรให้มีการเลือกตั้งใหม่เพื่อความเหมาะสม โดยกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ไว้ใน วันที่ 25 เมษายน 2551
ทั้งนี้ เพื่อให้การบริหารสมาคมเป็นไปอย่างต่อเนื่อง คณะกรรมการบริหารสมาคมฯ จะรักษาการชั่วคราวจนกว่าจะมีการเลือกตั้ง และได้มีมติกำหนดวันเปิดรับสมัครผู้สมัครเข้ารับการเลือกตั้งเป็นนายกสมาคมและกรรมการบริหารชุดใหม่ โดยเปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 4 - 25 เมษายน 2551 สำหรับวันประชุมใหญ่วิสามัญ เพื่อเลือกตั้งนายกสมาคมและกรรมการบริหารสมาคมทั้งคณะ
ซึ่งภายในงานยังมีการเสวนาให้ความรู้เรื่อง 'แนวทางปฏิบัติตามกฎหมายการเก็บข้อมูลฯ สำหรับผู้ดูแลและพัฒนาเว็บ'โดย คุณพัฒนพงศ์ สุนทรกำจรพานิช กูรูด้านกฎหมายของสมาคม
สำหรับสมาชิกที่เข้าร่วมงานจะได้รับเอกสารแนะนำแนวทางปฏิบัติตามกฎหมายการเก็บข้อมูลฯ อีกด้วย
วันและเวลา วันศุกร์ที่ 25 เมษายน 2551 เวลา 16.00 – 17.30 น.
สถานที่ ณ ห้องวิภาวดีบอลรูม A โรงแรมโซฟิเทล เซ็นทารา แกรนด์ ลาดพร้าว

ลงทะเบียนเข้าร่วมงาน


ทางสมาคมฯ ใคร่ขอเรียนเชิญผู้ประกอบวิชาชีพในสายงานเว็บ (เช่น Webmaster, ผู้ประกอบธุรกิจด้านพัฒนาเว็บ, นักพัฒนา, เจ้าของเว็บ, ผู้ดูแลระบบเว็บ เป็นต้น) สมัครเป็นสมาชิกสมาคม (สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยสมัครมาก่อน) และ ขอเรียนเชิญสมาชิกสมาคมทุกท่านเข้าร่วมประชุมใหญ่ ในครั้งนี้
สำหรับผู้ที่มีความประสงค์จะมีส่วนร่วมในการพัฒนาเว็บไทย ทางสมาคมฯ ขอเรียนเชิญให้ท่านเสนอตัว เข้าสู่การเลือกตั้งใหญ่ในครั้งนี้ เพื่อเป็นตัวแทนของชาวเว็บไทย ในการเลือกตั้งนายกสมาคมและกรรมการบริหารชุดใหม่ ในวันที่ 25 เมษายน 2551 มาร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับสังคม online ของประเทศเรา รวมทั้งเป็นแกนนำในการพัฒนาด้านวิชาชีพในสาขานี้ เพื่อให้มีความสามารถทัดเทียมและออกไปสู่การแข่งขันในตลาดโลกได้ โดยทางสมาคมฯ เปิดให้สมัครเข้ารับเลือกตั้งนายกสมาคมและกรรมการบริหาร online ได้ที่นี่
กรรมการบริหารสมาคมมีบทบาทและหน้าที่ ดังต่อไปนี้
1. บริหารกิจตามวัตถุประสงค์และข้อบังคับของสมาคม
2. วางระเบียบและข้อบังคับต่างๆ เพื่อดำเนินการตามข้อ 1 โดยไม่ขัดกับข้อบังคับของสมาคม
3. กำหนดตำแหน่งกรรมการเจ้าหน้าที่ และตั้งอนุกรรมการเพื่อดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งของสมาคม
คุณสมบัติของผู้สมัคร
ผู้สมัครต้องเป็นสมาชิกสามัญของสมาคมฯ
ดูรายละเอียดการสมัครสมาชิก
ขั้นตอนการสมัคร
1. กรอกฟอร์มการสมัคร (กรุณากรอกประวัติและสิ่งที่อยากทำเพื่อสังคมเว็บหากคุณได้รับเลือกตั้งเป็นกรรมการ)
2. เมื่อสำนักเลขานุการ ได้รับเอกสารครบถ้วนแล้ว จะแจ้งยืนยันการสมัครกับท่านอีกครั้ง พร้อมแจ้งหมายเลขผู้สมัครให้ทราบ


รายนามผู้สมัครเลือกตั้งกรรมการบริหาร

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
คุณศิรณัชชา วุฒิประพันธ์พงศ์
โทรศัพท์ 0 2251 3090, 081 442 4685
Email: support@webmaster.or.th

tags : ข่าวสารและประชาสัมพันธ์
เขียนโดย สมาคมผู้ดูแลเว็บไทย เมื่อ 3 เมษายน 2008.


โดย: jenifaae วันที่: 5 พฤษภาคม 2551 เวลา:0:16:19 น.  

 
*29 สุดยอดอาหาร คงความอ่อนเยาว์

1. บลูเบอร์รี่
: จากผลการวิจัยพบว่า แอนโทไซยานิน (anthocyanin) สารเม็ดสีในบลูเบอร์รี่
ช่วยในการมองเห็น ขอแนะนำให้คุณลอง
ปั่นบลูเบอร์รี่รวมกับนมหรือโยเกิร์ตดู

2. พริกหยวก
ทั้งพริกแดง พริกเขียว และพริกเหลืองต่างมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์
ที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย น้ำฉ่ำๆ จากพริกหยวกยังจะช่วยให้สุขภาพเล็บแข็งแรง
ลองนำพริกไปทำซัลซ่า โดยผสมเข้ากับมะเขือเทศ กระเทียม พริกแดง แตงกว่า น้ำมันมะกอก
และน้ำมะนาวดูสิ นอกจากจะได้ประโยชน์มหาศาลจากเหล่าสุดยอดอาหารแล้ว
ยังได้อร่อยกับเมนูเด็ดจากฝีมือของคุณเองอีก

3. กะหล่ำปลี
: เห็นเขียวๆ ม่วงๆ อย่างนี้รู้มั้ยว่ากะหล่ำปลีนั้นอุดมไปด้วยวิตามินเอ,
ซีและเบตาแคโรทีนที่จะช่วยในเรื่องของผิวพรรณ เพียงหั่นกะหล่ำปลีบางๆ
แล้วนำลงไปผัดกับขิงและกระเทียม
เพียงเท่านี้ก็ได้อาหารมื้อค่ำสำหรับตัวคุณเองแล้ว

4. วอลนัท
: ทองแดงในวอลนัทช่วยคงสภาพสีผมของคุณไม่ให้เปลี่ยนสีก่อนวัยอันควร
ลองโรยวอลนัทลงบนสลัดหรือโยเกิร์ตก็ไม่เลวนะ

5. แอปริคอท
สารเบตาแคโรทีนในแอปริคอทช่วยชะลอการเสื่อมถอยของเลนส์ตา ช่วยในการมองเห็นได้ดี
ใส่แอปริคอทลงไปในสตูว์ไก่
ผสมกับขิงและอบเชยให้ได้กลิ่นอายแบบโมร็อคโค

6. อะโวคาโด
การรับประทานอะโวคาโดช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน
และปกป้องผิวจากอันตรายที่เกิดจากแสงแดด เนื่องจากอะโวคาโดอุดมไปด้วยวิตามินอี
บดอะโวคาโดโรยหน้าโอ๊ตเค้กเป็นของทานเล่นดูก็ได้

7. สตรอเบอร์รี่
วิตามินซีและ สารบางอย่างในสตรอเบอร์รี่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของผนังเส้นเลือดผลไม้สีแดงสดทรงเสน่ห์แบบนี้
เพียงแช่เย็นไว้จิ้มกินกับเกลือตอนนั่งดูทีวีก็เพลินดีไม่น้อย

8. เต้าหู้
หยุดยั้งผิวที่ซีดและแห้งโดยการรับประทานอาหารอย่าง เต้าหู้
เพราะในเต้าหู้มีสารที่จะช่วยคืนสภาพผิวและป้องกันรอยเหี่ยวย่น
ลองผัดรวมกับผักกรอบๆ
หรือทำเป็นต้มจืดเอาไว้ทานเป็นมื้อเย็นนอกจากจะช่วยคืนสภาพผิวแล้วยังช่วยควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี

9. ข้าวโอ๊ต
เต็มไปด้วยเส้นใยที่ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด
ทั้งยังช่วยลดอาการตึงเครียด จึงทำให้รอยเหี่ยวย่นน้อยลง เพียง
โรยข้าวโอ๊ตลงบนมูสลี่ หรือนมอุ่นๆ ใส่น้ำตาลลงไปเล็กน้อยแค่นี้ก็ทานได้แล้ว
กระชุ่มกระชวยเหมือนแรกสาว

10. กระเทียม
สมุนไพรกลิ่นแรงอย่างกระเทียมมีคุณสมบัติป้องกันแบคทีเรีย ล้างพิษ
และป้องกันไวรัสจากโรคภัยไข้เจ็บ ตั้งแต่ไข้หวัดไปจนถึงมะเร็ง
อาหารไทยส่วนใหญ่มีกระเทียมเป็นส่วนประกอบอยู่แล้ว

11. แครนเบอร์รี่
: ผลไม้มหัศจรรย์ช่วยต้านการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
จากงานวิจัยล่าสุดพบว่ายังช่วยป้องกันโรคเหงือก และแผลในช่องท้องได้ชะงัดอีกด้วย
อาจจะทำเป็นแยมไว้รับประทานกับขนมปังหรือทำเป็นซอสแครนเบอร์รี่ไว้ทาไก่หรือเนื้อย่างก็มีประโยชน์ไม่แพ้กัน

12. ลินสีด
ช่วยลดอาการเจ็บตามข้อต่อ เพราะอุดมไปด้วยโอเมก้า 3
ที่ร่างกายใช้ในการสร้างฮอร์โมนที่มีคุณสมบัติป้องกันอาการอักเสบ
ลองเติมลงในน้ำปั่นหรือโรยหน้าสลัดดูก็ได้นะ

13. กีวี
วิตามินซีและสารอาหารบางอย่างในกีวีช่วยในการไหลเวียนของออกซิเจน
ลดปัญหาเกี่ยวกับระบบหายใจ เช่น โรคหืด หอบ
หั่นกีวีเป็นลูกเต๋าเสียบไม้กับมะม่วงหรือกล้วย ทาด้วยน้ำผึ้ง แล้วนำไปย่าง
อาจจะได้รสชาติแปลกใหม่ที่น่าลิ้มลอง

14. ลูกพลัม
อุดมไปด้วยสารอาหารที่ช่วยป้องกันการถูกทำลายของไขมันซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในเซลล์สมอง
นำลูกพลัมไปเคี่ยวกับน้ำส้ม และโรยลงไปบนมูสลี่ หรือจะกินเล่น
เป็นขนมขบเคี้ยวก็ไม่มีใครว่า

15. กล้วย
เป็นแหล่งรวมของโพแทสเซียม
นอกจากกล้วยจะช่วยในเรื่องของระบบการย่อยอาหารแล้วยังช่วยลดอาการท้องผูก
แค่ผสมเข้ากับนม น้ำผึ้ง และอัลมอนด์ ก็จะได้อาหารเช้าที่แสนอร่อย

16. ส้ม
การรับประทานส้มทั้งผลแทนการดื่มน้ำส้มจะช่วยให้ได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่
มิหนำซ้ำวิตามินซีในส้มยังช่วยป้องกันและเยียวยาโรคหวัด
นอกจากนี้กากของส้มยังช่วยในเรื่องของการขับถ่ายด้วย

17. ข้าวกล้อง
: ฮอตฮิต อินเทรนด์กันอยู่พักใหญ่
เพราะอุดมไปด้วยแร่แมงกานีสที่จะช่วยให้พลังงานกับร่างกายโดยการให้โปรตีนและคาร์โบไฮเดรต
และยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย
ใครที่ไม่ชอบสีจัดจ้านของข้าวกล้องก็สามารถหุงข้าวกล้องรวมกับข้าวสวยได้

18. มะเขือม่วง
เปลือกของมะเขือม่วงอุดมไปด้วยนาซูนิน (nasunin)
ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยปกป้องสมองของคุณจากการถูกทำลาย
เพื่อคงความฉลาดหลักแหลมของคุณไว้ ลองนำมะเขือม่วงไปทำแกง
หรือรับประทานกับข้าวกล้องก็อร่อยไม่เบา

19. ลูกพรุน
โพแทสเซียมในลูกพรุนช่วยลดคอเรสเตอรอลในเลือดและลดระดับความดันเลือด
ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เป็นต้นเหตุของการเกิดโรคหัวใจ
เสิร์ฟคู่กับโยเกิร์ตหรือกินเล่นเป็นของว่างก็ดี

20. คะน้า
: ช่วยให้ตับของคุณผลิตเอ็นไซม์ในการต่อต้านมะเร็ง เมื่อคุณเคี้ยวคะน้า
จากการวิจัยพบว่าสามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมได้ ฮืม...ม
เลือกผัดคะน้าปลาเค็ม เป็นเมนูมื้อกลางวันดีกว่า (อ้อ
อย่าลืมทุบกระเทียมลงไปด้วยนะ)

21. ผักโขม
คุณจะได้รับแคลเซียมจากผักโขม
ในขณะเดียวกันก็มีแมกนีเซียมที่จะช่วยให้ร่างกายของคุณดูดซึมแคลเซียมได้ดี
การรับประทานใบอ่อนของผักโขมในสลัด
จะช่วยให้ป้องกันโรคกระดูกเปราะและหักง่ายเนื่องจากขาดแคลเซียม

22. ราสเบอร์รี่
จากผลการวิจัยพบว่าสารแอนตี้ออกซิเดนท์ในราสเบอร์รี่สามารถยับยั้งการเกิดเนื้อร้ายได้
ลองนำราสเบอร์รี่ไปราดด้วยช็อกโกแลตเหลวแล้วไปแช่เย็นดูสิ

23. ถั่วงอก
สารประกอบ ที่พบในถั่วงอก สามารถช่วยลดระดับไขมันในเส้นเลือด
นอกจากนี้ถั่วงอกยังประกอบด้วยสารอาหารในปริมาณสูง ซึ่งจะช่วยเรื่องโรคเล็กๆ น้อยๆ
ของสตรีในวัยหมดประจำเดือนถั่วงอกผัดกับเต้าหู้ ทานกับข้าวสวยร้อนๆ
ก็อร่อยไม่เบา

24. บล็อคโคลี่
การรับประทานบล็อคโคลี่เป็นประจำ
จะช่วยลดอัตราเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจได้ถึง20%
และยังมีวิตามินซีที่ช่วยป้องกันการปวดกล้ามเนื้อ ปวดตามข้อ
และโรคไขข้ออักเสบได้ด้วย ลวกใส่ในสลัด
หรือผัดกับกุ้งสดก็ไม่เลว

25. บีทรูท
เนื้อของบีทรูทอุดมไปด้วยเบต้าไซยานิน
ซึ่งเป็นสารต่อต้านมะเร็งรับประทานโดยการนำไปตุ๋นหรือย่าง

26. องุ่นแดง
จะช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดเลือดจับตัวเป็นก้อน
และดักจับไขมันในเลือดที่จะเป็นอันตรายต่อเส้นเลือดแดงของคุณ
ใส่องุ่นแดงลงในสลัดหรือดื่มไวน์แดงสักแก้วระหว่างมื้อค่ำ

27. ปลาที่มีไขมัน
แซลมอน หรือเนื้อปลาชนิดอื่นๆ ที่มีไขมันปนอยู่บ้างนั้น
สามารถช่วยปกป้องคุณจากโรคภัยไข้เจ็บมากมาย
อีกทั้งโปรตีนในเนื้อปลายังช่วยในเรื่องของสมอง ว่ากันว่าให้เด็กๆ กินปลาแล้วจะฉลาด
ปลานึ่ง ปลาย่างราดซอสอร่อยๆ ล้วนเป็นทางเลือกที่ดี

28. มะเขือเทศ
: สารไลโคพีนี (lycopene)
ในมะเขือเทศจะช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด
และมะเร็งลำไส้ใหญ่
ที่สำคัญช่วยให้ผิวสวยอย่าบอกใครเลยเชียวล่ะเลือกเอาเลยว่าคุณอยากจะใส่มะเขือเทศลงในอาหารอะไรบ้าง

29. หัวหอม
หัวหอมที่มีกลิ่นไม่หอมเหมือนชื่อนี้จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดทั้งยังช่วยในการรักษาและป้องกันโรคเบาหวาน
ซอยเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็กๆใส่ในไข่เจียว
หรือซอยใส่อาหารประเภทยำช่วยเพิ่มรสชาติได้ดีทีเดียว


โดย: jenifaae วันที่: 5 พฤษภาคม 2551 เวลา:0:16:54 น.  

 
*พระจวก สพฐ.กีดกันเด็กเรียนปริยัติธรรม
//www.thairath.co.th

กรณีที่มีผลวิจัยระบุว่า จำนวนพระภิกษุสามเณรในประเทศไทยลดลงและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เตรียมที่จะสำรวจจำนวนพระภิกษุสามเณรทั่วประเทศใหม่อีกครั้งนั้น พระครูสุนทรพิมลศีล ประธานกลุ่มโรงเรียนพระปริยัติ-ธรรมแผนกสามัญศึกษากลุ่มที่ 5 ในฐานะประธานศูนย์โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จำนวนเด็กที่มาบวชเรียนในโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ทั่วประเทศ มีจำนวนลดลงทุกปี โดยเฉลี่ยลดลงร้อยละ 3-5 ต่อปี แต่ปีนี้หลังจากที่เริ่มรับเด็กเพื่อเข้ามาบวชเรียนตั้งแต่ช่วงต้นเดือน เม.ย.เป็นต้นมา พบว่ามีจำนวนลดลงมากถึงร้อยละ 20-30 ประธานศูนย์ฯกล่าวต่อว่า สาเหตุที่ทำให้เด็กสนใจมาบวชเรียนน้อยลง ส่วนหนึ่งมาจากการที่โรงเรียนขยายโอกาสสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) บางแห่ง ไม่ให้ความร่วมมือกับกลุ่มโรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ พอจะเข้าไปแนะแนวให้กับเด็กที่จะจบ ป.6 ก็ไม่ได้รับความร่วมมือเท่าที่ควร เพราะเกรงว่าเด็กจะออกไปบวช ซึ่งจะส่งผลให้ได้รับเงินอุดหนุนรายหัวลดลงด้วย ขณะที่บางครั้งก็บอกกับผู้ปกครองว่าหากไปบวชเรียนจะทำผิด พ.ร.บ.การศึกษาภาคบังคับ ทั้งที่ความจริงแล้วการเรียนในโรงเรียนพระ-ปริยัติธรรมทั้งแผนกสามัญศึกษาและแผนกธรรมบาลี ได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) แล้ว อีกทั้งคุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ก็เคยบอกในการประชุม ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ทั่วประเทศแล้วว่า การให้เด็กออกไปบวชเรียนในโรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ ไม่ถือว่าเป็นการทำผิด พ.ร.บ. การศึกษาภาคบังคับ แต่ในระดับผู้ปฏิบัติของโรงเรียนขยายโอกาสบางแห่งกลับยังไม่นำไปปฏิบัติตาม
'ในแต่ละจังหวัดโรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ จะเป็นตัวเลือกอันดับสุดท้าย ซึ่งต้องยอมรับว่ามาจากการที่ผู้ปกครองไม่รู้ว่าการเข้าเรียนในโรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ จะได้อะไรบ้าง ซึ่งนอกจากจะได้ การศึกษาแล้ว เด็กยังจะได้คุณธรรม จริยธรรม ติดตัวไปด้วย ดังนั้น จึงจะต้องมีการประชาสัมพันธ์เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้เห็นข้อดีของการเรียนโรงเรียนพระปริยัติธรรม' พระครูสุนทรพิมลศีลกล่าว





*เวทีสมัชชาผู้ใช้แรงงาน ปฏิรูปประกันสังคมสู่การบริหารงานอย่างมีส่วนร่วมของผู้ประกันตนและขยายการคุ้มครองสู่แรงงานนอกระบบ


ในวันพุธที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๑ ระหว่างเวลา ๐๘.๐๐ – ๑๗.๐๐ น.

ณ ห้องประชุมสโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ

ร่วมจัดโดย คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย , มูลนิธิพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย

มูลนิธิเพื่อนหญิง , มูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน

สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

๐๘.๐๐ – ๐๙.๐๐ น. ลงทะเบียน/รับเอกสาร

๐๙.๐๐ – ๐๙.๑๕ น. ชมสารคดี วิดีทัศน์ “ ระบบประกันสังคมในประเทศไทย ”

๐๙.๑๕ – ๐๙.๓๐ น. กล่าวต้อนรับและรายงานวัตถุประสงค์ในการจัดเวทีสมัชชาผู้ใช้แรงงาน

โดย นางสาววิไลวรรณ แซ่เตีย

ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย

๐๙.๓๐ – ๐๙.๔๕ น. กล่าวเปิดงานโดยท่าน อุไรวรรณ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน

๐๙.๔๕ – ๑๐.๒๕ น. ปาฐกถานำ เรื่อง “การบริหารประกันสังคม เพื่อพัฒนาศักยภาพและคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงาน”

โดย นพ. วิชัย โชควิวัฒน์ รองประธานกรรมการกองทุนสนับสนุน การสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) หรือผู้แทน และ ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

๑๐.๒๕ – ๑๐.๔๐ น. การแสดงละครสะท้อนชีวิตแรงงานนอกระบบ โดย คณะเครือข่ายแรงงานนอกระบบ

๑๐.๔๐ - ๑๑.๐๐ น. ประกาศเจตนารมณ์“ ปฏิรูปประกันสังคมสู่การบริหารงานอย่างมีส่วนร่วม และคุ้มครองแรงงานนอกระบบ”

๑๑.๐๐ – ๑๑.๑๕ น. พัก - อาหารว่าง

๑๑.๑๕ – ๑๒.๓๐ น. เวทีเสวนา “ผ่าโครงสร้างประกันสังคม สู่การบริหารงานอย่างมีส่วนร่วมของผู้ใช้แรงงาน : ทิศทางไปทางไหน..?”

นำเสนอผลการรับฟังความคิดเห็นการปฏิรูปประกันสังคม โดย ดร.นภาพร อติวานิชยพงศ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

นายบัณฑิตย์ ธนชัยเศรษฐวุฒิ ผู้อำนวยการมูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน

เสนอข้อคิดเห็นโดย

นายสุรินทร์ จิรวิศิษฎ์ เลขาธิการ สำนักงานประกันสังคม

นายจอน อึ๊งภากรณ์ ประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.)

นางสุจินต์ รุ่งสว่าง ผู้ประสานงานเครือข่ายแรงงานนอกระบบ

นายอุดมศักดิ์ บุพพนิมิตร ประธานจัดงานวันแรงงานแห่งชาติปี ๒๕๕๑

นางสาววิไลวรรณ แซ่เตีย ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย

นางสิริวัน ร่มฉัตรทอง เลขาธิการสภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย

ดำเนินรายการโดย ดร.ยุพดี ศิริสินสุข คณะเภสัชกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

๑๒.๓๐ – ๑๓.๓๐ น. พักรับประทานอาหารกลางวัน

๑๓.๓๐ – ๑๕.๐๐ น. เวทีเสวนา “การขยายความคุ้มครองประกันสังคม ครอบคลุมแรงงานทุกภาคส่วน”

โดย นายสมคิด ด้วงเงิน ประธานเครือข่ายแรงงานนอกระบบ

นายดำรง สังวงศ์ เครือข่ายเกษตรพันธสัญญา
นายคำปึก ขวัญกล้า กลุ่มคนงานคุ้ยขยะ
นางอาภา หน่อตา กลุ่มเอ็มพาวเวอร์
นางกนกวรรณ โมรัฐเสถียร กลุ่มคนทำงานบ้าน
ผู้แทนกลุ่มคนขับรถแท็กซี่ / รถรับจ้าง
นายรักษ์ศักดิ์ โชติชัยสถิตย์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านประกันสังคม
ผู้อำนวยการ โครงการขยายความคุ้มครองประกันสังคมสู่แรงงานนอกระบบ
นายชฤทธิ์ มีสิทธิ์ หัวหน้าโครงการพัฒนานโยบายสาธารณะ แผนงานพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ

ดำเนินรายการโดย รศ. แล ดิลกวิทยรัตน์ ศาสตราภิชาน (คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)

๑๕.๐๐ – ๑๕.๑๕ น. พัก - อาหารว่าง

๑๕.๑๕ – ๑๖.๐๐ น. การแสดงดนตรีแรงงาน โดย วงภราดร

๑๖.๐๐ – ๑๖.๓๐ น. สรุปเวทีเสวนา เช้าและบ่าย โดย นายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อนหญิง

กล่าวปิดการเสวนา โดย นางสาววิไลวรรณ แซ่เตีย ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย

๑๖.๓๐ น. กิจกรรมปิด


หมายเหตุ : 1. จัดแสดงนิทรรศการตลอดวัน

2. ออกร้านขายสินค้าจากเครือข่ายพี่น้องแรงงานนอกระบบ

3. ผู้ร่วมงานจะได้รับสื่อรณรงค์ แผ่นพับ โปสเตอร์ และเสื้อยืดรณรงค์คนละ 1 ตัว

โครงการ

เวทีสมัชชาผู้ใช้แรงงาน

เรื่อง “ ปฏิรูปประกันสังคมสู่การบริหารงานอย่างมีส่วนร่วมของผู้ประกันตนและขยายการคุ้มครองสู่แรงงานนอกระบบ”

๒. หลักการและเหตุผล :

รัฐธรรมนูญปีพ.ศ.2550 ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนใน ‘มาตรา 84 (7) ส่งเสริมให้ประชากรวัยทำงานมีงานทำ คุ้มครองแรงงานเด็กและสตรี จัดระบบแรงงานสัมพันธ์และระบบไตรภาคีที่ผู้ทำงานมีสิทธิเลือกผู้แทนของตน จัดระบบประกันสังคม รวมทั้งคุ้มครองให้ผู้ทำงานที่มีคุณค่าอย่างเดียวกันได้รับค่าตอบแทน สิทธิประโยชน์ และสวัสดิการที่เป็นธรรมโดยไม่เลือกปฏิบัติ’ และนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (นางอุไรวรรณ เทียนทอง) ‘นโยบายข้อที่ 5 แรงงานนอกระบบ: ขอให้เร่งดำเนินการให้แรงงานนอกระบบได้รับการคุ้มครองดูแลในเรื่องสิทธิ สวัสดิการ และผลประโยชน์ตอบแทนการทำงานที่เหมาะสมเท่าเทียมกับแรงงานในระบบด้วยการพิจารณาขยายการประกันสังคมออกไปยังกลุ่มอาชีพต่างๆ

สำนักงานประกันสังคมได้จัดตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๓๓ เป็นเวลากว่า ๑๖ ปีแล้ว โดยกระบวนการขับเคลื่อนและผลักดันของผู้ใช้แรงงานในระบบ ปัจจุบันสำนักงานประกันสังคมมีผู้ประกันตนเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนถึงกว่าเก้าล้านคน เนื่องจากการขยายความคุ้มครองไปยังนายจ้างที่มี ลูกจ้างตั้งแต่ ๑ คนขึ้นไป และในอนาคตอันใกล้นี้แนวทางการบริหารของสำนักงานประกันสังคมต้องขยายความคุ้มครองไปยังกลุ่มอาชีพอื่นๆที่อยู่ในภาคเศรษฐกิจนอกระบบ ซึ่งจะมีผู้ประกันตนเพิ่มมากขึ้นในระบบประกันสังคม ในขณะเดียวกันเงินกองทุนประกันสังคมก็เพิ่มขึ้นถึงสี่แสนล้านบาท แต่การบริหารงานของสำนักงานประกันสังคมยังมิได้มีการพัฒนาเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารงานเพื่อรองรับการเติบโตแต่อย่างใด และยังขาดการมีส่วนร่วมของผู้ใช้แรงงานซึ่งเป็นผู้ประกันตนอย่างแท้จริง

ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้น ในประเด็นการบริหารสำนักงานประกันสังคม และการผลักดันให้ประกันสังคมขยายความคุ้มครองไปถึงผู้ประกอบอาชีพต่างๆในภาคเศรษฐกิจนอกระบบ และขยายสิทธิประโยชน์ของประกันสังคมให้เพิ่มมากขึ้น จึงเป็นประเด็นที่สังคม นักวิชาการ และหน่วยงานที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับการสร้างหลักประกันทางสังคมให้กับคนจนและผู้ด้อยโอกาส (ซึ่งกลุ่มผู้ใช้แรงงานทั้งในและนอกระบบ เป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ของความเป็นคนจนและคนด้อยโอกาส) ให้ความสนใจและอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงตามที่ได้มีข้อเสนอทั้งจากฝ่ายวิชาการและผู้ใช้แรงงานเอง

แผนงานพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบและแผนงานสุขภาวะในองค์กร สสส.โดยความร่วมมือกับภาคีหุ้นส่วน จึงได้พิจารณาถึงแนวทางการสื่อสารและการสร้างกระแส เพื่อผลักดันให้เกิดการพิจารณาและปฏิบัติการทางนโยบายที่มีผลต่อการคุ้มครองและการสร้างหลักประกันทางสังคมแก่ผู้ใช้แรงงานในอนาคตอันใกล้ “เวทีสมัชชาผู้ใช้แรงงาน” ซึ่งเป็นเวทีที่เปิดพื้นที่ทางสังคมให้แรงงานนอกระบบได้แสดงตัวตนและปัญหาความต้องการต่อสังคม นักวิชาการ หน่วยงานภาครัฐและเอกชนได้เห็นปัญหาและตัวตนรวมถึงเอาใจใส่มากขึ้น จากผลการจัดเวทีสมัชชาแรงงานนอกระบบก่อนที่จะถึงวันแรงงานแห่งชาติในปีที่ผ่านมา เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อหน่วยงานนโยบายที่นำข้อเสนอและคำประกาศเจตนารมณ์ของแรงงานนอกระบบไปขับเคลื่อนต่อในรูปของคณะทำงานต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันยังมีการดำเนินงานบางส่วนต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากนโยบายรัฐบาลชุดปัจจุบัน และกองเศรษฐกิจการเกษตรได้มีโครงการศึกษาปัญหา สถานการณ์และผลกระทบของเกษตรพันธสัญญา

ด้วยเหตุผลดังกล่าวแผนงานพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ,แผนงานพัฒนาสุขภาวะองค์กรร่วมกับภาคีหุ้นส่วนหลักซึ่งประกอบด้วย คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย, มูลนิธิพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย,มูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน, มูลนิธิเพื่อนหญิง,และศูนย์ยุทธศาสตร์วิชาการแรงงานนอกระบบ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้วิเคราะห์ผลกระทบเชิงบวกที่เกิดขึ้นจากเวทีสมัชชาในปีที่ผ่านมาและมีความเห็นร่วมกันว่า ควรจะคงเวทีสมัชชาผู้ใช้แรงงานโดยรวมทั้งในและนอกระบบอย่างต่อเนื่อง ประเด็น”ประกันสังคม” จึงเป็นประเด็นหลักและประเด็นร่วมของกลุ่มผู้ใช้แรงงานที่ได้ตกลงร่วมกันเพื่อผลักดันประเด็นที่เป็นปัญหาและความต้องการของผู้ใช้แรงงานต่อหน่วยงานผู้มีบทบาทในการกำหนดนโยบายผ่านช่องทางการสื่อสารกับสังคม

๓. กรอบคิดและยุทธศาสตร์ :

เปิดเวทีสาธารณะเพื่อนำเสนอความต้องการของกลุ่มผู้ใช้แรงงาน โดยเฉพาะในประเด็นนโยบายการคุ้มครองและการขยายหลักประกันทางสังคมของภาครัฐต่อผู้ใช้แรงงานทั้งในระบบและนอกระบบ ผ่านกลไกเครื่องมือที่มีอยู่อย่างคือสำนักงานประกันสังคม เพื่อผลักดันให้เกิดการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริหารงานสำนักงานประกันสังคม การขยายสิทธิประโยชน์คุ้มครองให้แก่ผู้ประกันตนและการขยายความคุ้มครองไปสู่ผู้ประกอบอาชีพในภาคเศรษฐกิจนอกระบบที่ไม่ได้รับการคุ้มครอง

๔. เป้าหมายและวัตถุประสงค์ :

๔.๑. เป้าหมาย :
ข้อเสนอและประเด็นสาระสำคัญของผู้ใช้แรงงานทั้งในระบบและนอกระบบ ต่อระบบประกันสังคมที่ครอบคลุมทั่วถึงได้รับการเสนอสู่สาธารณะ หน่วยงานที่มีบทบาทหลักและมีการตอบสนองจากภาครัฐในการดำเนินนโยบาย

๔.๒. วัตถุประสงค์ :

๑. เพื่อนำเสนอและผลักดันให้มีกระบวนการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารงานสำนักงานประกันสังคมอย่างมีส่วนร่วม

๒. นำเสนอแนวทางในการขยายสิทธิประโยชน์ของการบริการประกันสังคม และการขยายการคุ้มครองไปยังผู้ประกอบอาชีพในเศรษฐกิจนอกระบบที่ไม่ได้รับการคุ้มครอง เพื่อเป็นเครื่องมือในการติดตามการตอบสนองจากภาครัฐในการดำเนินนโยบายดังกล่าว

๓. สร้างกระแสให้สังคมตระหนักถึงความสำคัญของความต้องการการมีส่วนร่วม ปัจจัยและข้อจำกัดของการบริหารจัดระบบประกันสังคมในปัจจุบันและการขยายประเด็นสังคมสู่แรงงานนอกระบบให้ครอบคลุมทั่วถึง เพื่อเป็นแรงผลักดันร่วมกับขบวนการของผู้ใช้แรงงาน


โดย: jenifaae วันที่: 5 พฤษภาคม 2551 เวลา:0:18:12 น.  

 
*บทความชุด 'องค์ความรู้ปีใหม่เมือง' ตอนที่ 4 เมื่อขุนสังขานต์ ขอร่วมทางกับนางสงกรานต์ และสาวไคโยตี้

ธีรมล บัวงาม

โฮงเฮียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนา



....เสียงเพลงกระหึ่ม ประกอบภาพสาวน้อยใหญ่ในชุดจิ๋วตัวชุ่มโชก ส่ายสะบัดท่ามกลางสายน้ำ ร่ายมนตร์เร้าจิตรัดใจผู้พบเห็น แม้อาจเข้าข่ายฝ่าฝืน 'ระเบียบ- รัฐ- รัตน์' ไปบ้าง แต่ทุกวันนี้ การร่ายระบำของเหล่าหมาป่าไคโยตี้ กลับได้รับความนิยม จนกลายเป็นสีสัน เป็นกิจกรรมชั้นแม่เหล็ก สำหรับความรื่นเริงในวันสงกรานต์โดยเฉพาะบนลานน้ำเมา

แม้อาจกล่าวไม่เต็มปากว่า ไคโยตี้ ได้คืบคลานมาขโมยซีนจากเหล่า 'สาวงามอย่างไทย' ที่สวมใส่อาภรณ์ประจำชาติ เยื้องกรายด้วยท่าทางเรียบร้อย ในฐานะตัวแทนธิดาทั้ง 7 ของท้าวกบิลพรหม ซึ่งพบเห็นได้ในริ้วขบวนแห่ หรือเวทีการประกวดนางสาวสงกรานต์นั้น แต่กรณี 'ขุนสังขานต์' คติความเชื่อดั้งเดิมของคนล้านนาที่หลายฝ่ายมุ่งหวังฟื้นฟูความหมายและคุณค่าในแบบฉบับคนเมืองขึ้นมาให้เยาวชนคนหนุ่มสาวได้ศึกษาเรียนรู้ ย่อมต้องผ่านโจทย์สุดหิน เพื่อขอแบ่งพื้นที่ความเข้าใจในประเพณีสงกรานต์ตามธรรมเนียมปฏิบัติที่เราต่างเคยชิน และกระแสใหม่ที่ไหลบ่า

สำหรับ คนเมือง หรือ คนพื้นเมือง ในแปดจังหวัดภาคเหนือตอนบน ก่อนที่จะคุ้นเคยกับคติความเชื่อของรัฐบาลส่วนกลาง หรือเสี้ยวส่วนหนึ่งของการเต้นรำในชาติตะวันตกนั้น ผู้เฒ่าผู้แก่ชาวล้านนารับรู้กันมานานว่า คติความเชื่อล้านนา หาใช่เรื่องราวของการถามตอบระหว่างธรรมปาลกุมารกับท้าวกบิลพรหม จนนำไปสู่การหมุนเวียนทำหน้าที่ของ 7 ธิดาที่ต้องแห่เศียรของท้าวกบิลพรหมไปรอบจักรวาล หากแต่เป็นเรื่องราวเหล่าเทวดาที่มาต้อนรับขุนสังขาร หรือที่ผู้รู้เรียกกันว่า ขุนสังขานต์ หรือ ขุนสังกรานต์ ในฐานะเป็นบุคลาธิษฐานว่าหมายถึงพระอาทิตย์ ที่เคลื่อนย้ายจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ ซึ่งนับเป็นวันแรกของประเพณีปี๋ใหม่เมือง หรือที่เรียกว่าวันสังขารล่อง

*ในวันนี้ ตามประเพณีโบราณครั้งอดีตกาล กษัตริย์ที่ปกครองล้านนารวมถึงเจ้าใหญ่นายโต จะสรงน้ำ โดยหันหน้าไปตามทิศที่โหรหลวงคำนวณไว้ และจะลงไปทำพิธีลอยเคราะห์ในแม่น้ำ แต่สำหรับเหล่าประชาสามัญชน คติความเชื่อและรายละเอียดของธรรมเนียมปฏิบัติในวันสังขารล่องอาจมีความแตกต่างบ้างเล็กน้อยตามพื้นที่

โดยทั่วไปในวันสังขารล่อง บรรดาคนเมืองจะตื่นก่อนพระอาทิตย์ขึ้น แม่บ้านจะนึ่งข้าว ส่วนพ่อบ้านและลูกหลานจะช่วยกันกวาดลานบ้านแล้วจุดไฟเผาขยะเศษใบไม้ หรือจุดประทัดยิงปืนขึ้นฟ้า ด้วยมีความเชื่อว่าเพื่อเป็นการไล่เสนียดจัญไร สิ่งไม่ดี สิ่งชั่วร้ายให้ไปกับสังกรานต์ และถือเป็นการส่งท้ายศักราชเก่า หรือส่งท้ายปีเก่า หรือชาวล้านนาบางรายเชื่อว่าช่วงเช้ามืดของวันนี้ 'ปู่สังกรานต์ ย่าสังกรานต์' จะนุ่งด้วยผ้าแดง สูบกล้องยาเส้น สยายผม สะพายย่ามขนาดใหญ่ ถ่อแพล่องไปตามลำน้ำ เป็นต้น

เจริญ มาลาโรจน์ หรือ มาลา คำจันทร์ นักเขียนซีไรต์ชาวล้านนา บอกเล่าว่า ในตอนเช้ามืดของวันสังขานต์ล่อง เด็กๆ ที่บ้านดอย ต.เมืองพาน อ.พาน จ.เชียงราย จะตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อมาคอยดูปู่สังขาร ย่าสังขารที่จะยกขบวนแห่งแหนกันมาบนฟ้า ไม่ได้ล่องมาตามลำน้ำเพราะในพื้นที่ต.เมืองพานไม่มีลำน้ำใหญ่ไหลผ่าน ปู่สังขารจะนุ่งชุดดำ หาบกระบาย กระบุงพะรุงพะรังมากันเป็นเส้น เราต้องกวาดขยะมากองรวมกันแล้วจุดไฟเผา เพื่อให้ปู่สังขารย่าสังขารรับเอาสิ่งที่ไม่ดี ไม่พึงประสงค์ต่างๆ ไปเททิ้งที่แม่สมุทรทะเลหลวงที่อยู่ไกลโพ้น เพื่อให้สิ่งไม่ดีต่างๆ ไม่กลับมาหาเราอีกเพราะมันทวนน้ำมาไม่ได้ แต่หากใครไม่ตื่นเช้า ไม่กวาดขยะ ความชั่วร้ายต่างๆ ก็จะหมักหมมอยู่กับเราตลอดไป

ขณะที่หนังสือเล่าขานตำนานเมืองแจ๋ม ของฝอยทอง (สมบัติ) สมวถา อธิบายว่า เช้ามืดของวันสังขานต์ล่อง ทุกครัวเรือนจะเก็บผ้าห่ม มุ้ง ผ้าปูที่นอน เสื้อผ้าไปซักที่แม่น้ำ ผู้ใหญ่จะปลุกลูกๆ ให้ไปซักผ้า โดยออกอุบายว่า จะพบปู่สังขารย่าสังขารถ่อแพล่องมาตามลำน้ำ รวมถึงช่วยกันเก็บกวาดขยะตามบ้าน ช่วงสายๆ จะช่วยกันเก็บกวาดบ้านเรือน ขนข้าวของที่ชำรุดไปทิ้ง เอาฟูกหมอน ผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน ออกตาก ส่วนช่วงบ่ายมักจะชำระร่างกายให้สะอาด สระผม แต่งกายด้วยเสื้อผ้าใหม่ ผู้หญิงก็จะเหน็บดอกไม้อันเป็นนามปี หรือเป็นพญาดอกไม้ของปีนั้นๆ เป็นต้น

*อย่างไรก็ตาม การไล่สังขารแบบชาวบ้านนั้น มีคำอธิบายว่าการไล่คือการส่งไปให้พ้น ส่วนสังขารคือส่วนที่มาปรุงแต่ง หรือมาประกอบกันแล้วเป็นสิ่งต่างๆ อายุคนเราก็เป็นส่วนหนึ่งของสังขาร การไล่สังขารตามนัยนี้จึงเจาะจงไปที่อายุ เพราะเดิมคนเมืองไม่ว่าจะเกิดเมื่อไหร่ก็จะนับอายุเมื่อมีการเปลี่ยนปี ดังนั้นเมื่อปีใหม่เมืองมาถึงแต่ละครั้งจึงเท่ากับเป็นการเตือนตนว่าเราโตขึ้นอีก 1 ปี หรือแก่ร่วงโรยราอีกปี ซึ่งแนวคิดนี้สอดคล้องกับหลักไตรลักษณ์ในพุทธศาสนา (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) กล่าวคือ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน ความหนุ่มสาว ความสวยงาม ความแข็งแรงจะยึดถือไม่ได้ มันต้องเปลี่ยนแปลง จากเด็กสู่วัยชราและอีกไม่นานเราก็ต้องจากโลกนี้ไปในที่สุด

ในอีกด้านหนึ่ง วันสังขานต์ล่อง และการมาเยือนของขุนสังขานต์ ยังผูกโยงกับการทำนายโชคชะตาอีกด้วย อาทิ สารานุกรมไทยภาคเหนือ เล่มที่ 13 ระบุถึงความเชื่อบางประการเกี่ยวกับวันสังขารล่อง ซึ่งในปีนี้ (2551) ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 13 เมษายนว่า ขุนสังกรานต์จะขี่นาค มือซ้ายถือค้อนเหล็ก มือขวาถือปืน มุ่งหน้าจากทิศตะวันออกไปสู่ตะวันตก มีนางสิริเป็นผู้รับ ทำนายว่าปีนี้ฝนจะตกดีต้นปี ปลายปีฝนจะแล้ง ไม้ยางขาวเป็นใหญ่กว่าไม้ทั้งหลาย ลาจะเป็นใหญ่ นกยูงเป็นใหญ่ คนเกิดวันอังคารจะมีเคราะห์ คนเกิดวันศุกร์จะมีโชคลาภ ของเหลือของขาวจะแพง ของแดงจะถูก ปีนี้ดำหัว (สระผมในวันสังขานต์ล่อง) ให้หันหน้าไปทางตะวันตกจะอยู่ดีมีสุข

ขณะที่สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคเหนือ ทำนายว่า สังขารล่องวันอาทิตย์ มีชื่อว่า ทวารสสังการนต์ ปีนั้นข้าวจักแพงมากนัก คนทั้งหลายจักเป็นพยาธิ ไข้เจ็บหัวปวดท้อง สังกรานต์ขี่นาคขี่รถไปยามอังคาร มือหนึ่งถือแก้วมือหนึ่งถือผาลา จากหนอีสานไปสู่หนปัจจิม นางสงกรานต์ผู้มารับยืนไปมีชื่อว่า นางแพงศรี (ทุงษะเทวี) ปีนั้นช้าจักแพงมากนัก คนทั้งหลายจักเป็นพยาธิ ไข้เจ็บหัวปวดท้อง ข้าศึกจักเกิดมีกับบ้านเมือง แมงบ้งจักลงกินพืชไร่ข้าวนามากนัก ฝนตกบ่ทั่วเมือง จักแพ้สัตว์ 2 ตีน 4 ตีน จักตายด้วยห่าด้วยพยาธิ คนทั้งหลายมักเป็นตุ่มเป็นฝีแผล จักแพ้ผู้ใหญ่ คนมั่งมีเศรษฐีจักฉิบหาย หมายเกลือจักแพง ไม้ยางเป็นใหญ่แก่ไม้ทั้งหลาย ขวัญข้าวอยู่ไม้ไผ่ สัตว์ 4 ตีนจักแพง ผู้เกิดวันพุธจักมีเคราะห์ ผู้เกิดวันเสาร์จักมีโชคลาภ

ข้อมูลบางประการของวันสังขานต์ล่อง และขุนสังขานต์ ที่หยิบยกมาบอกเล่า จึงสะท้อนเรื่องราวที่ผูกโยงกับวิถีชีวิตของคนเมืองในหลายมิติ ดังนั้นสงกรานต์หรือประเพณีปี๋ใหม่เมืองคราวนี้ ไม่ว่าท่านจะเป็นชาวเหนือ หรือผู้แวะเวียนมาเยือนแดนดินถิ่นล้านนา หากได้พบชายหนุ่มรูปร่างสำอางขี่หลังนาคท่ามกลางขบวนสงกรานต์ ก็หวังว่าท่านจะพบจุดเชื่อมโยงระหว่างความคิดความเชื่อของตัวท่านเองกับระบบคุณค่าคติของคนเมือง ที่ต้องการยืนอยู่เคียงข้างกับสิ่งใหม่ๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นไคโยตี้ นางสงกรานต์ หรือขุนสังขานต์ ทั้งหมดต่างเป็นภาพสะท้อนความหลากหลายของผู้คนในสังคม ซึ่งความหลากหลายเหล่านี้จะเป็นพลังได้เมื่อเรามองและตอบโต้อย่างเข้าใจ.


บทความย้อนหลัง
บทความชุด 'องค์ความรู้ปีใหม่เมือง' ตอนที่ 1 'ปี๋ใหม่เมือง' กับสมดุลในสมการ 'สงครามน้ำ', ประชาไท, 1 เม.ย. 2551

บทความชุด 'องค์ความรู้ปีใหม่เมือง' ตอนที่ 2 รู้จักปีใหม่เมือง สงกรานต์ล้านนา, ประชาไท, 8 เม.ย. 2551

บทความชุด 'องค์ความรู้ปีใหม่เมือง' ตอนที่ 3 สะป๊ะขนมปี๋ใหม่เมือง, ประชาไท, 12 เม.ย. 2551
--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 14/4/2551




*กิจกรรมวันอาทิตย์สีแดง ปฏิรูปรัฐธรรมนูญ

โดย : กลุ่มพลเมืองภิวัฒน์ และองค์กรร่วมจัด

ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนและเสรีชนที่ศรัทธา ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ ร่วมกิจกรรมวันอาทิตย์สีแดง ปฏิรูปรัฐธรรมนูญ โดยสามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ดังนี้

กำหนดการกิจกรรม
- วันศุกร์ที่ 25 เมษายน 2551 เวลา 10.00 น.
นัดพบกัน ณ หน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ เพื่อรณรงค์ตามเส้นทางดังต่อไปนี้คือ ตลาดเทเวศน์,ย่านบางขุนพรหม
ถนนพระอาทิตย์ ท่าพระจันทร์

รูปแบบกิจกรรมคร่าวๆ

ใส่เสื้อแดง...แจกเอกสาร...ปราศรัย...ถือแผ่นป้าย....ตั้งโต๊ะลงชื่อแก้ใขรัฐธรรมนูญ
พบกันวันและเวลานัดหมาย

องค์กรร่วมรณรงค์
กลุ่มพลเมืองภิวัฒน์ / กลุ่มสตรีเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่มองค์กรประชาธิปไตยต่างๆ
รายละเอียดเพิ่มเติมที่ //www.nocoup.net..โทรศัพท์ ๐๘๓-๒๙๘๓๑๘๒,๐๘๓-๖๐๖๘๒๔๙


โดย: jenifaae วันที่: 5 พฤษภาคม 2551 เวลา:0:18:55 น.  

 
*อยู่กับยาย ... มาตั้งแต่เล็ก


โดย ผู้จัดการออนไลน์ 17 เมษายน 2551 18:31 น.





โดย...ฮักก้า

หลายครั้งที่พลิกหน้านิตยสารหาภาพถ่ายเพื่อนำมาใช้เป็นแบบในการเขียนภาพสีน้ำมัน อนุวัฒน์ หลาบหนองแสง อดเสียไม่ได้ที่จะเลือกภาพซึ่งมีความใกล้เคียงกับชีวิตในวัยเยาว์ของเขา และทำให้เขาหวนระลึกถึงความผูกพันที่เคยมีต่อพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ผู้เฒ่าผู้แก่ ผู้ที่ตลอดมาได้ปลูกฝังแง่คิดในการใช้ชีวิตให้แก่เขา จนหล่อหลอมเป็นเขาในวันนี้ ที่มีความรักและความปรารถนาดีของบุคคลเหล่านั้นเป็นเข็มทิศนำพาชีวิตให้ก้าวไปข้างหน้า

โดยเฉพาะยายของเขา ที่แม้ปัจจุบันท่านจะจากโลกนี้ไปแล้ว เขาก็ไม่เคยลืมนำหลายสิ่งที่ท่านเคยพร่ำสอนมาปรับใช้กับชีวิต

ศิลปินวัย 29 ปี แห่งศูนย์ศิลปาชีพพิเศษบางไทรในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์พระบรมราชนีนาถบอกเล่าว่า ชีวิตในวัยเด็กที่บ้านเกิด อ.โนนสังข์ จ.หนองบัวลำพู เติบใหญ่มาได้โดยมียายเป็นผู้เลี้ยงดู เพราะพ่อและแม่ต้องออกไปทำนาหาเลี้ยงชีพ เหมือนเช่นเกษตรกรในชนบททั่วๆไป

ภาพยายเก็บบัว โดยมีหลานชายตามติดใกล้ชิด แม้ไม่ได้ตั้งใจจะฉายภาพชีวิตในวัยเด็กของตัวเอง แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธว่าขณะเขียนภาพนี้ใบหน้าของยายลอยเด่นอยู่ในห้วงความคิด ยายผู้เป็นคนสอนให้เห็นถึงคุณค่าของการใช้ชีวิตแบบพอเพียง ผ่านการงาน ผ่านวิถีชีวิตที่เรียบง่าย

*ภาพคุณป้านั่งแกะข้าวโพด เขียนขึ้นด้วยความรู้สึกที่ไม่แตกต่างกัน เป็นแรงบันดาลใจให้เขาอยากกลับคืนสู่ชนบท ไม่ดิ้นรนไขว่คว้าหาสิ่งไกลตัว

ภาพพ่อลูกกำลังทอดแหหาปลา ทำให้เขานึกถึงภาระอันเหนื่อยนักในแต่ละวันของพ่อผู้เป็นเรี่ยวแรงสำคัญในการหาเลี้ยงครอบครัวและความทรงจำครั้งที่เขาเคยลงเรือติดตามพ่อ ไปหาปลาที่อ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนอุบลรัตน์

ภาพแม่เฒ่านั่งฟังพ่อเฒ่าเป่าแคน ท่ามกลางแสงวอมแวมของตะเกียงน้ำมันที่ถูกจุดขึ้น บรรยากาศในภาพอนุวัฒน์บอกว่ามีความใกล้เคียงกับบรรยากาศยามค่ำคืนอันแสนจะครึกครื้นที่บ้านของตา ซึ่งตกเย็นน้าสาวผู้มีอาชีพเป็นหมอลำ มักจะพาสมาชิกภายในวงมาซ้อมร้อง ซ้อมเป่าแคน เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนถึงวันแสดงจริง

และภาพผู้เฒ่าผู้แก่แต่งตัวงดงามในแบบชาวภูไท ยืนเรียงรายและเตรียมล้วงข้าวเหนียวจากกระติ๊บข้าวที่เตรียมมาเป็นอย่างดีเพื่อใส่บาตรพระ นอกจากเป็นภาพของความศรัทธาของชาวไทยพุทธที่ในวันสำคัญทางศาสนาต้องตื่นแต่เช้ามาหุงหาอาหารเพื่อบำรุงพระพุทธศาสนา ยังเป็นภาพที่ทำให้เขานึกถึงความเป็นคนบ้านใกล้วัดของตัวเอง ที่บ่อยครั้งยายมักจะพาไปทำบุญที่วัด

ภาพทุกภาพทำให้ความทรงจำดีๆในอดีตของอนุวัฒน์ฉายชัดขึ้น และหลายครั้งที่ถวิลหา ไม่อยากให้มันเหลืออยู่แค่เพียงในภาพ

“ทุกวันนี้กลับไปเยี่ยมบ้าน มองไปทางไหนเห็นแต่คนแก่กับเด็ก เห็นแต่คนแก่เลี้ยงหลาน คนหนุ่มสาวไม่รู้หายไปไหน ผมเขียนภาพเหล่านี้ส่วนหนึ่งก็หวังว่าคนที่ซื้อภาพไปหรือคนที่ได้ชมภาพ โดยเฉพาะคนที่เป็นคนบ้านนอกอย่างผมและคนที่จากบ้านมาไกล ฉุกใจคิดได้ว่า ลืมคนเฒ่าคนแก่ที่บ้านของตัวเองหรือเปล่า ที่ผ่านมาเคยกลับไปเยี่ยมไปดูแลพวกเขาบ้างไหม

ส่วนคนเมือง ตามสื่อต่างๆ เราคงได้เห็นข่าวคนชราเร่ร่อนอยู่บ่อยๆ และนับวันคนชราในบ้านพักคนชราจะมีเพิ่มขึ้น ภาพของผมแม้จะไม่ได้สะท้อนในด้านนั้นโดยตรง แต่อย่างน้อยๆ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งมันน่าจะทำให้หลายคนได้ตระหนักว่าคนชราที่อยู่รายรอบตัวพวกเขา ผู้ที่เคยอบรมสั่งสอนเลี้ยงดูพวกเขามา ได้รับการดูแลที่ดีหรือยัง”

อนุวัฒน์หวังว่า เมื่อวันหนึ่งที่ตัวเองต้องแก่ตัวลง เขาก็อยากเป็นคนแก่ในแบบที่มีลูกหลานล้อมหน้าล้อมหลัง ให้ความรักความอบอุ่น ไม่ทอดทิ้งให้ต้องอยู่เดียวดาย และเป็นคนแก่ที่ยังสามารถถ่ายทอดภูมิปัญญาให้แก่ลูกหลานได้

“คนเฒ่าคนแก่ ถ้าเรามีเวลาได้ใกล้ชิดพวกท่านบ้าง นอกจากจะช่วยให้พวกท่านไม่เหงา ตัวเราเองก็พลอยได้รับความรู้ ได้ข้อคิดดีๆจากท่านมาใช้ในการดำเนินชีวิต”






*WOON HANDMADE’ เครื่องประดับรวยไอเดีย

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 16 เมษายน 2551 09:28 น.



“ถัก ทอ ร้อย” กิจกรรมเหล่านี้ สมาชิกกลุ่มเครื่องประดับลูกปัด อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี คุ้นเคยกันดี เพราะชีวิตประจำวันราว 7-8 ชั่วโมง จะขลุกอยู่กับการประดิษฐ์เครื่องประดับแฮนด์เมด ภายใต้แบรนด์ “วุ่น แฮนด์เมด” (WOON HANDMADE)โดยผลงานเปี่ยมด้วยความคิดสร้างสรรค์มากกว่า 1,000 แบบ สร้างความประทับใจไม่เฉพาะคนไทย แต่ก้าวไกลถึงตลาดต่างแดน

ลดาวัลย์ สันติบุตร ประธานกลุ่มเครื่องประดับลูกปัด เผยว่า จุดเด่นของเครื่องประดับ “วุ่น แฮนด์เมด” เป็นงานทำมือล้วนๆ ตั้งแต่การขึ้นรูป ซึ่งขั้นตอนการทำมีทั้งถัก ทอ และร้อย กล่าวคือ ขึ้นรูปโดยใช้การถักลวด ส่วนการทอ โดยนำผ้าทอมาขึ้นรูปร่างเป็นเครื่องประดับ ส่วนการร้อย คือ การนำโครงที่ขึ้นรูปแล้ว มาร้อยด้วยลูกปัดหินหลากสี จนมีดีไซน์เฉพาะตัวเป็นเครื่องประดับแฟชั่นนำสมัย

ขั้นตอนการทำเครื่องประดับ จะแบ่งหน้าที่กันชัดเจนตามความถนัด แบ่งกระจายงานไปตามบ้านของสมาชิกที่ปัจจุบันมีราว 35 คน ทั้งในเขตพื้นที่อำเภอบางใหญ่ และอำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี สร้างรายได้โดยเฉลี่ยให้คนละ 6,000 – 10,000 บาทต่อเดือน ถือว่าเป็นรายได้ที่ดีพอสมควร สามารถเลี้ยงครอบครัวสมาชิกในกลุ่มได้อย่างสบายหากไม่ใช้จ่ายเกินตัว

* ประธานกลุ่ม กล่าวต่อว่า จากธุรกิจที่เริ่มทำเล็กๆ แต่ด้วยจุดเด่นความเป็นแฮนด์เมด ผลงานจึงไปเข้าตาลูกค้าต่างชาติ สั่งออเดอร์เข้ามา ช่วยให้ตลาดกว้างยิ่งขึ้น ทั้งสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสเปน รวมถึง สินค้ามีพัฒนาหลากหลายขึ้น นับถึงปัจจุบัน มีดีไซน์เครื่องดับแฟชั่นมากกว่า 1,000 แบบ ผลิตและขายภายใต้แบรนด์ “วุ่น แฮนด์เมด” ส่วนหนึ่งจะคิดแบบกันเอง อีกส่วนหนึ่งลูกค้าแนะนำ โดยเฉพาะลูกค้าต่างประเทศจะแนะนำแฟชั่นที่กำลังนิยมในประเทศนั้นๆ แล้วกลุ่มฯ จะนำเอามาประยุกต์เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเอง

“ตอนนี้ต่างประเทศ เขานิยมเครื่องประดับขึ้นรูปด้วยทองเหลืองดิบ เครื่องประดับทองเหลืองร้อยลูกปัดจึงขายดีมาก ทำเท่าไรก็ขายหมด ซึ่งก่อนหน้านั้นงานที่ชุบโครเมียม โรเดียม และเงิน จะขายดี เทรนด์แฟชั่นมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเราต้องเตรียมตัวให้พร้อม ตั้งแต่ต้นปีนี้เราวางแผนผลิตงานประเภททองเหลืองให้มากขึ้นกว่าเดิม รวมถึง สั่งซื้อวัตถุดิบลูกปัดมาเป็นสต็อกรองรับการผลิต โดยได้เงินทุนจากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย โดยใช้เครื่องหมายการค้า “วุ่น แฮนด์เมด” เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน” ประธานกลุ่มฯ เผย

สำหรับเครื่องประดับแฟชั่น “วุ่น แฮนด์เมด” ส่วนใหญ่จะเป็นสร้อยประดับลูกปัด กำไล ตุ้มหู แหวน โดยลูกปัดที่ใช้ผสมผสานทั้งลูกปัดไทย จีน และอินเดีย เพื่อให้ลอกเลียนแบบยาก เนื่องจากใช้วัตถุดิบต่างถิ่นกัน ผู้ที่คิดเลียนแบบต้องหาแหล่งผลิตลูกปัดใน 3 ประเทศให้เหมือนถึงจะเลียนแบบงานได้

* “ลูกปัดแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน ลูกปัดไทยส่วนใหญ่จะเป็นพลาสติก ลูกปัดจีนเป็นแก้ว ลูกปัดอินเดียเป็นหิน การร้อยให้ลูกปัดทั้งสามสัญชาติเข้าได้อย่างลงตัว ต้องใช้ฝีมือและไอเดียของคนร้อยเป็นหลัก เอกลักษณ์อีกประการหนึ่ง คือ งานที่ออกมาจะเรียบร้อยมาก มีความละเอียดสูง สินค้าบางตัวจดสิทธิบัตร เช่น กำไลลวดดัด ซึ่งกลุ่มฯ คิดแบบขึ้นเอง และเชื่อว่า ไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร แบบดังกล่าวก็ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ” ลดาวัลย์ ระบุ และเล่าต่อว่า

ตลาดเครื่องประดับแฟชั่นค่อนข้างกว้าง ลูกค้ามีทั้งวัยรุ่นถึงวัยทำงาน โดยข้อดี คือ ราคาไม่แพง ใส่เข้ากับเสื้อผ้าได้หลากหลายรูปแบบ จึงมีอัตราการซื้อจากลูกค้าปริมาณมาก และบ่อยครั้ง ด้วยโอกาสธุรกิจดังกล่าว จึงมีผู้ผลิตสินค้าประเภทเดียวกันจำนวนมาก ทว่า ส่วนตัวไม่คิดว่าผู้ผลิตรายอื่นๆ เป็นคู่แข่ง อยากให้เป็นพันธมิตรช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อย่างไปออกงานแสดงสินค้าจะปรึกษาหารือกัน เพื่อเฉลี่ยค่าเช่า หรือบางออเดอร์ทำไม่ทันจะกระจายงาน ดีกว่าขายตัดราคากันเอง

ลดาวัลย์ เผยด้วยว่า ปัจจุบันช่องทางตลาด เน้นขายส่งมากกว่าขายปลีก มีหน้าร้านอยู่ที่ตลาดนัดสวนจตุจักร โครงการ 24 ซอย 2 ห้อง 329-330 จำหน่ายทุกเสาร์-อาทิตย์ สินค้ามีราคาตั้งแต่ 25 บาทขึ้นไป ถึงสูงสุดชิ้นละ 2,000 บาท แต่โดยเฉลี่ยแล้วสินค้าวางขายจะอยู่ระหว่าง 100 – 250 บาท

ส่วนแผนในอนาคต อยากทำตลาดส่งออกด้วยตัวเอง ขณะเดียวกัน ขยายตลาดในประเทศให้มากขึ้น โดยหวังว่า เมื่อมีตลาดรองรับปริมาณแล้ว จะมีส่วนช่วยสร้างงานเพิ่มสมาชิกจำนวนมากขึ้น เกิดการจ้างงานในชุมชนมากขึ้นตามไปด้วย

*****************************

โทร. 081-841-7177 ,086-998-5913 หรือ //www.woonhandmade.com


โดย: jenifaae วันที่: 5 พฤษภาคม 2551 เวลา:0:19:41 น.  

 
*ไอบีเอ็มโชว์นวัตกรรมเว็บสเฟียร์รุ่นล่าสุด

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 24 เมษายน 2551 11:14 น.

สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ SIPA ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยโดยสถาบันรหัสสากล หนุนเทคโนโลยี RFID แพร่หลายในไทย ขณะที่ ไอบีเอ็ม โซลูชั่นส์ฯ เกาะกระแส วิเคราะห์ภาพรวมตลาดไทยควรส่งเสริมให้เกิดการใช้งานมากขึ้น พร้อมเปิดตัวซอฟต์แวร์ในกลุ่มเว็บสเฟียร์ ที่จะมาช่วยให้การบริหารจัดการระบบ RFID ในองค์กรสะดวกขึ้น

นายปราโมทย์ พงษ์ทอง Executive – Emerging Solution บริษัท ไอบีเอ็ม โซลูชั่นส์ ดิลิเวอรี่ จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันระยะของการใช้งาน RFID (Radio Frequency Identification) มีอยู่ 3 ระยะ คือ ระยะแรก เป็นระยะเริ่มต้นที่ต้องการพิสูจน์ว่าจะนำ RFID มาใช้ได้หรือเปล่า ระยะที่สอง คือ มีการเริ่มต้นใช้งาน RFID ไปแล้วบ้าง ระยะที่สามคือ มีการประยุกต์ใช้งาน RFID แล้วเกิดประโยชน์ ได้ผลผลิต และเกิดประสิทธิภาพอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว ซึ่งปัจจุบัน ประเทศไทยอยู่ในระยะ 1-2 ประมาณ 80% และอยู่ในระยะ 2-3 เพียง 20% เท่านั้น ซึ่งควรจะต้องมีการส่งเสริมให้มีการใช้ RFID ให้มากขึ้น เพราะประโยชน์ของ RFID ที่เห็นได้ชัดเจนคือ ทำให้ได้ข้อมูลเรียลไทม์ ได้ข้อมูลที่สมบูรณ์ และได้ข้อมูลที่ถูกต้อง เป็นการช่วยให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ไอบีเอ็ม ยังได้ประกาศเปิดตัวซอฟต์แวร์ในกลุ่มเว็บสเฟียร์ (WebSphere) ที่จะมาทำงานรองรับ RFID และช่วยให้การบริหารจัดการระบบ RFID ในองค์กรสะดวกขึ้น ได้แก่ ไอบีเอ็ม เว็บสเฟียร์ อาร์เอฟไอดี พรีมิสส์ เซิร์ฟเวอร์ 6.0 (IBM WebSphere RFID Premises Server 6.0) ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดที่ไอบีเอ็มได้พัฒนาขึ้น

* “จุดเด่นของ ไอบีเอ็ม เว็บสเฟียร์ อาร์เอฟไอดี พรีมิสส์ เซิร์ฟเวอร์ 6.0 อยู่ที่ความสามารถในการใช้งานกับอุปกรณ์ได้ทุกรูปแบบ ทุกยี่ห้อ ไม่ว่าจะเป็นบาร์โค้ด RFID Tag หรือเซ็นเซอร์ และมั่นใจได้ว่าข้อมูลจะถูกส่งไปยังปลายทางได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน ซอฟต์แวร์นี้ยังสามารถตรวจสอบอุปกรณ์ว่ายังใช้งานได้อย่างถูกต้องหรือเปล่า ซึ่งจะสร้างความสะดวกสำหรับองค์กรที่มีอุปกรณ์จำนวนมาก หรือกรณีที่ต้องการอัปเกรดซอฟต์แวร์ และเมนเทนเนนต์อุปกรณ์จำนวนมาก นอกจากนี้ยังสามารถเขียนโปรแกรมเพิ่มเติมได้ตามความต้องการ ตามประเภทธุรกิจของแต่ละองค์กร และสามารถเขียนโปรแกรมเพิ่มเติมภายหลังได้ในกรณีที่ข้อมูลเปลี่ยนหรือความต้องการเปลี่ยนแปลงไป”

นายปราโมทย์ กล่าวว่า ในอนาคตซอฟต์แวร์กลุ่มนี้จะมีความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในองค์กรใหญ่ๆ ที่มีอุปกรณ์จำนวนมาก หรือมีข้อมูลที่เปลี่ยนแปลง หรือมีความต้องการเปลี่ยนแปลง เพราะการที่จะมาคอยแก้ไขโปรแกรมจะยุ่งยากมาก แต่การใช้ซอฟต์แวร์นี้จะช่วยให้ทำงานง่ายและสะดวกรวดเร็วมากขึ้น และจะทำให้ระบบ RFID มีการพัฒนาและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วย




*ไฮกุ...มาซึโอะ บาโช

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 20 เมษายน 2551 00:31 น.



โดย นพวรรณ สิริเวชกุล

ใครที่ชื่นชอบบทกวีไฮกุ คงรู้จักกวีญี่ปุ่นคนนี้เป็นอย่างดี.... มะสึโอะ บาโช ( matsuo basho) กวีผู้มีชื่อเสียงของญี่ปุ่นยุคหลายร้อยปีก่อน... หนังสือ The Narrow road through the deep north หรือ Oku no Hosomichi เป็นหนึ่งในบทกวีที่นักเรียนญี่ปุ่นต้องผ่านตาตั้งแต่ชั้นมัธยม

มะสึโอะ บาโช เกิดในราวปี 1644 ที่เมืองอิงะ Iga ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดมิเอะ ในครอบครัวตระกูลซามูไร ทุกวันนี้ที่พำนักของเขามักจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเยี่ยมชมไม่ว่าจะเป็นบ้านเกิดหรือเรือนตายของบาโช และยังมีอีกหลายคนที่ใคร่จะเดินตามเส้นทางสายบทกวีของเขา บนความยาวกว่า 2000 กิโลเมตร...

มีการเล่าขานต่อกันมาว่า สิ่งที่ทำให้บาโชกลายมาเป็นกวีที่ยิ่งใหญ่ของญี่ปุ่น อาจเป็นเพราะเขาได้มีโอกาสซึมซับและหลงใหลในวรรณกรรมจากบุตรของขุนนางที่เขาเคยทำงานรับใช้อยู่

และเขายังได้ศึกษากวีนิพนธ์จากคิงิน กวีชาวเกียวโตผู้มีชื่อเสียง ขณะที่บาโชเองก็ได้สัมผัสกับบทกวีจีนและหลักปรัชญาของลัทธิเต๋ามาตั้งแต่เยาว์วัย และนั่นคือสิ่งที่มีอิทธิพลต่อเขาในกาลต่อมา

เมื่ออายุปลายยี่สิบ บาโชย้ายไปอยู่ที่เอโดะ ปัจจุบันคือ โตเกียว เมืองใหม่ที่ขณะนั้นกำลังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การค้าที่รุ่งเรืองเฟื่องฟู และโอกาสทองทางวรรณกรรมสำหรับบาโช หลายปีต่อมาเขารวมกลุ่มกับผู้สนใจวรรณกรรมมีประกอบได้ด้วยลูกศิษย์และผู้อุปถัมภ์ ตั้งสถาบันที่ทุกวันนี้รู้จักในนามโรงเรียนบาโช ขึ้นมา

ในปี 1680 ลูกศิษย์คนหนึ่งของบาโช สร้างบ้านหลังน้อยริมแม่น้ำซุมิดะให้ และเขาได้นามปากกา บาโช มาจากชื่อของต้นกล้วยที่เขาชื่นชอบในการปลูกมันไว้ที่บ้าน บันทึกหลายฉบับระบุว่า ในช่วงนั้นเขาเกิดความรู้สึกสับสนในจิตวิญญาณ และตกอยู่ในภาวะสิ้นหวังมากขึ้นเมื่อเกิดอัคคีภัยเผาทำลายเอโดะวอดไปเกือบทั้งเมืองเมื่อปี 1682

มาถึงปี 1684 บาโชใช้เวลาหลายเดือนเดินทางจากเอโดะมุ่งไปทางตะวันตก ซึ่งปรากฏในบันทึกการเดินทางชิ้นแรกคือ บันทึกโครงกระดูกที่ถูกดินฟ้ากระหน่ำตี Journal of a Weather Beaten Skeleton

สมัยนั้นนักเดินทางต้องเดินเท้าและไม่มีที่พักที่อำนาวยความสะดวกเชข่นปัจจุบัน รอนแรมร่อนเร่ดุจผู้พเนจร แต่กระนั้นเขาก็เดินทางอีกครั้งหนึ่งในระหว่างปี 1687 – 1688 ซึ่งอยู่ใน บันทึกคะชิมะและต้นฉบับในย่าม Kashima Journal and Manuscript in a knapsack ผลงานทั้งสองเขียนด้วยบทกวีที่บาโชเป็นผู้แต่ง

ในช่วงปีนั้นเอง บาโชรู้สึกว่าโลกใบนี้มันหนักหนาเกินไป เขาเหนื่อยหน่ายกับทุกสิ่งทุกอย่าง และเขาได้บอกกับคนใกล้ชิดว่า เขา สัมผัสได้ถึงสายลมของชีวิตหลังความตายที่ปะทะใบหน้า....

บาโชเริ่มต้นวางแผนที่จะเดินทางไปตามสถานที่ ที่มีความสำคัญทางวรรณคดี ศาสนา หรือประวัติศาสตร์การทหาร ที่ซึ่งเขาปรารถนาจะเห็นมันก่อนตาย เขาตั้งใจจะออกเดินทางในฤดูหนาว แต่คนรอบข้างต่างก็เป็นห่วงสุขภาพของเขาได้แต่ประวิงเวลาให้เขาเริ่มเดินทางเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ...

และในที่สุด เขาก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้งหนึ่ง ในวันที่ 24 มีนาคม ปี 1689 พร้อมกับโซะระ ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนและศิษย์ โดยมีเพียงกระเป๋าสะพายหลัง เครื่องเขียนและเสื้อผ้า เขากลายเป็น เฮียวฮะกุซะ หรือ ผู้ท่องไปโดยไร้จุดหมาย อีกครั้ง ผ่านทั้งที่สูงและที่ราบ ผ่านหมู่บ้าน เทือกเขาทางเหนือของเมืองเอโดะ และเลาะเลียบทะเลญี่ปุ่น การรอนแรมในครั้งนี้ กลายเป็นผลงานชิ้นเอกของบาโช

มันกลายเป็นบันทึกการเดินทางด้วยจิตวิญญาณของเขา คล้ายการสละแล้วซึ่งกิเลสทั้งปวง เขาละทิ้งสมบัติทางโลกและปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามบัญชาของธรรมชาติน ด้วยการร่อนเร่และยังชีพด้วยการสอนหนังสือไปตามรายทางที่เดินทางผ่าน

หนังสือที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาคือ เส้นทางสายเล็กๆ ไปสู่ทางเหนือ The narrow road through the deep north หรือ Oku no Hosomichi ที่เขียนขึ้นมาหลังจากการเดินทางที่เขาเริ่มต้นการเดินทางที่เอโดะหรือโตเกียว เพื่อไปยัง โทโฮะกุ และ โฮะกุริกุ ก่อนที่เขาจะเดินทางกลับมาในปี 1691

บาโชเสียชีวิตด้วยความเจ็บไข้ในฤดูใบไม้ผลิในปี 1694 ที่โอซาก้า ภายในบ้านของลูกศิษย์คนที่เขาร่วมเดินทางไปด้วยกัน ก่อน สิ้นใจ เขายังมิวายรจนาไฮกุ ไว้อีกหนึ่งบท ดังนี้

ในการเดินทางฉันป่วย
ความฝันวิ่งอยู่รอบกาย
ในทุ่งที่ปกคลุมด้วยหญ้าแห้ง

On travel I am sick
My dream is running around
A field covered with dried grasses


โดย: jenifaae วันที่: 5 พฤษภาคม 2551 เวลา:0:20:43 น.  

 
*ขอเชิญบุคลากรชาวศิริราชร่วมกิจกรรมสัปดาห์คล้ายวันพระราชทานกำเนิดโรงพยาบาล

คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ขอเชิญบุคลากรชาวศิริราชร่วมกิจกรรมสัปดาห์คล้ายวันพระราชทานกำเนิดโรงพยาบาล ระหว่างวันที่ 25 เมษายน - 2 พฤษภาคม 2551 (ยกเว้นวันหยุดราชการ)
25 เมษายน 2551 ณ ศาลาศิริราช 100 ปี 09.30 น. - คณบดี เป็นประธานเปิดงานคล้ายวันพระราชทานกำเนิดโรงพยาบาลศิริราช ครบ 120 ปี
พร้อมชมกิจกรรมต่าง ๆ ดังนี้
1. การแสดงสื่อประสม เฉลิมพระเกียรติ “ทวาทศทศวรรษศิริราช...ปฐมบทโรงพยาบาลของแผ่นดิน” ณ ห้องประชุมพิณพากย์
พิทยาเภท ตึก 72 ปี ชั้น 1 ฉาย 2 รอบ เวลา 09.00 - 09.30 น. และเวลา 11.30 น. – 12.00 น. ทุกวัน และชมนิทรรศการ
ณ ศาลาศิริราช 100 ปี
2. จัดจำหน่ายของที่ระลึก 120 ปี ศิริราช ของที่ระลึกคณะฯ หนังสือสุขภาพ จำหน่ายแสตมป์ที่ระลึก 120 ปี ศิริราช และการออกบู๊ธ ของกองกษาปณ์ โดยจะนำเหรียญกษาปณ์ 120 ปี มาให้บริการ แลกเปลี่ยน
3. ออกบู๊ธ “ประทับรักลงแสตมป์” การถ่ายภาพบุคคลเพื่อทำแสตมป์ส่วนตัว
4. ทัวร์พิพิธภัณฑ์พร้อมนำชม 120 ชิ้นเอกศิริราช
5. ชมนิทรรศการภาพถ่าย ภาพวาดที่ชนะการประกวด “เฉลิมฉลอง 120 ปี ศิริราช”


10.00 น. - พิธีบำเพ็ญกุศลทักษิณานุประทานถวายแด่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
และผู้ทรงมีคุณูปการแก่ศิริราช
12.00 น. - รับประทานอาหารร่วมกัน
13.30 น. - พิธีรดน้ำขอพรศิษย์เก่าแพทย์อาวุโส (โดยสมาคมศิษย์เก่าแพทย์ศิริราช)

เพิ่มเฉพาะวันจันทร์ที่ 28 เมษายน 2551
10.00 น. - พิธีมอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ผู้มีอุปการคุณของคณะฯ ณ ห้องประชุมคณะฯ ชั้น 2
10.00 - 16.00 น. - ประกวดคาราโอเกะ โดยงานสร้างเสริมสุขภาพ ณ ห้องสิรินธร อาคารเฉลิมพระเกียรติ
13.00 น. - มอบรางวัลผู้ชนะการประกวดภาพถ่าย - ภาพวาด 120 ปี ศิริราช ณ ศาลาศิริราช ๑๐๐ ปี
14.00 น. - มอบของขวัญทารกที่คลอด วันที่ 26 เมษายน 2551 “26 เมษา รับขวัญทารกน้อย 120 ปี ศิริราช”
ณ ศาลาศิริราช ๑๐๐ ปี

28 เมษายน – 2 พฤษภาคม 2551
ชมกิจกรรมงานสร้างเสริมสุขภาพ ที่โถงอาคาร ๑๐๐ ปี สมเด็จพระศรีนครินทร์ (ให้ความรู้พร้อมออกบู้ธอาหารสุขภาพ ตรวจสมรรถภาพทางกาย ประกวดเต้นแอโรบิค นวดแผนไทย รับบริจาคเลือด และจำหน่ายยาตำรับศิริราช) และเสวนาพิเศษปีที่ 120 ระหว่างวันที่ 29 เมษายน – 2 พฤษภาคม 2551 เวลา 09.30 น. – 11.30 น. ณ ห้องประชุมพิณพากย์ พิทยาเภท ตึก 72 ปี ชั้น 1

วันอังคารที่ 29 เมษายน 2551
“ศิริราชกับการแพทย์ยุคสงครามโลก ครั้งที่ 2” โดย ศ.นพ.ประสพ รัตนากร ประธานมูลนิธิวิจัยประสาทในพระบรมราชูปถัมภ์
และ ศ.คลินิกพญ.ชนิกา ตู้จินดา เป็นผู้ดำเนินรายการ

วันพุธที่ 30 เมษายน 2551
“วัฒนธรรมกับการบริหารงาน” โดย ดร.ปัญญา โชติเทวัญ ประธานกรรมการ บริษัทสหฟาร์ม จำกัด และคุณภารณี วัฒนา ผอ.สนง.พัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิต สนง.คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ อ.นพ.ประภัทร วาณิชพงศ์พันธุ์ เป็นผู้ดำเนินรายการ

วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤษภาคม 2551
“สุขกับโลก อยู่กับโรค ด้วยหลักธรรม” โดย พระวินัยธรชาติ กิตติธโร พระนักเทศน์ในทีมพระมหาสมปอง ตาลปุตโต และอาจารย์มัรวาร สะมะอูน รองจุฬาราชมนตรี และท๊อป ดารณีนุช โพธิปิติ เป็นผู้ดำเนินรายการ

วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม 2551
“ธรรมมะ เข็มทิศนำชีวิต” โดย คุณอัจฉราวดี วงศ์สกลผู้บริหาร เซนต์โทรเพร์ ไดมอนด์ และก้อง ปิยะ เศวตพิกุล เป็นผู้ดำเนินรายการ

ขอเชิญประชาชนผู้สนใจร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ในวันเวลาดังกล่าว




*สิ้นแล้วอีกหนึ่ง นักสู้เพื่อคนยาก ‘จรวย เพชรรัตน์’

นักสู้เพื่อคนยาก อีกคนแห่งดินแดนปักษ์ใต้ นาม ผศ.จรวย เพชรรัตน์ อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ได้สิ้นลมลงไปอีกคนแล้ว เมื่อเวลาประมาณ 12.00 น.ของวันที่ 22 เมษายน 2551

เขาเป็นนักวิชาการผู้ยืนหยัดต่อสู้เคียงข้างประชาชนเพื่อเรียกร้องสิทธิมนุษยชน สิทธิชุมชนและความเป็นธรรม มาตลอดชีวิต ได้เสียชีวิตลงอย่างสงบภายในบ้านพักของตัวเอง ที่ตำบลขุนตัดหวาย อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ท่ามกลางความดูแลอย่างใกล้ชิดของครอบครัว

ผศ.จรวย ได้อุทิศชีวิตทำงานเพื่อช่วยเหลือสังคมมาอย่างยาวนาน โดยเป็นที่ยอมรับและรักใคร่ของพี่น้องประชาชนหลากหลายกลุ่ม โดยเฉพาะกับกลุ่มพี่น้องประชาชนชาว อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ที่รวมตัวกันเป็นเครือข่ายคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซไทย – มาเลเซีย และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง รวมทั้งกรณีอื่นๆ ที่ชาวบ้านไม่ได้รับความเป็นธรรม

อดีตผศ.จรวย เป็นอาจารย์ประจำคณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ (มอ.หาดใหญ่) มาก่อน พอมีการก่อตั้งคณะเศรษฐศาสตร์ขึ้นมาใหม่ก็ได้ย้ายไปสังกัดคณะใหม่แห่งนี้ จากนั้นเมื่อรัฐบาลได้เปิดโอกาสให้ข้าราชการสามารถเออรี่รีไทม์ได้ช่วงไม่กี่ปีมานี้ เขาก็ได้เลือกเส้นทางที่จะออกมาทำงานคลุกคลี่กับภาคประชาชนอย่างจริงจัง โดยยอมสลัดคราบความเป็นข้าราชการมาเป็นประชาชนเต็มขั้น และนับแต่นั้นก็ได้เพิ่มการทุ่มเททำงานเพื่อสังคมในทุกรูปแบบ โดยได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อสังคมในสงขลาให้นั่งเป็น ประธานกลุ่มศึกษาการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน สงขลา แม้กระทั่งเคยเสนอตัวลงสมัครสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จังหวัด สงขลาในสมัยที่มีการเลือกตั้งครั้งแรกมาแล้วด้วย

ญาติผู้ใกล้ชิดบอกว่า เขาเสียชีวิตด้วยโรคไตวายอย่างสงบ ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังจากที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ (มอ.) มาได้ไม่กี่เดือน โดยก่อนจะสิ้นลมได้บอกกับครอบครัวให้พากลับบ้านเพราะคิดถึงบ้าน ก่อนจะสิ้นลมในช่วงเที่ยงวันเดียวกัน ในวัย 58 ปี โดย ผศ.เกิดเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2490

อย่างไรก็ตาม แพทย์ระบุว่าเขาอาจเสียชีวิตด้วยโรงมะเร็งตับ แต่ไม่ทันที่จะตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อยืนยัน เขาก็เสียชีวิตแล้ว

ทั้งนี้ ญาติได้นำศพไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดขุนตัดหวาย อำเภอจะนะ โดยมีการสวดพระอภิธรรมทุกวัน และกำหนดฌาปนกิจ ณ เมรุวัดนาทวี อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา ในวันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน 2551

--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 24/4/2551


โดย: jenifaae วันที่: 5 พฤษภาคม 2551 เวลา:0:21:58 น.  

 
*The Cool Applications


รายละเอียดที่น่าสนใจ..ที่นี่





*SAC Lecture

กิจกรรมวิชาการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร

ประจำเดือนเมษายน - พฤษภาคม 2551
สายสัมพันธ์สยาม-ล้านนา พระราชชายาเจ้าดารารัศมี
วันศุกร์ที่ 25 เมษายน 2551 เวลา 13.30 – 15.00 น.
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) จัดการบรรยายวิชาการเรื่อง สายสัมพันธ์สยาม-ล้านนา พระราชชายาเจ้าดารารัศมี โดย คุณนวชนก วิเทศวิทยานุศาสตร์ ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์และเขียนวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับพระราชประวัติพระราชชายาเจ้าดารารัศมี และอาจารย์ปรีดี พิศภูมิวิถี วิจารณ์งานและให้ความเห็น การบรรยายจัดที่ห้อง 207 ชั้น 2 ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ตลิ่งชัน เข้าฟังโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สอบถามโทร 0 2880 9429 ต่อ 3315 หรือที่เว็บไซต์ //www.sac.or.th
วัฒนธรรมชาวแสกในจังหวัดนครพนม
วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม 2551 เวลา 13.30 – 15.00 น.
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) จัดการบรรยายเรื่อง วัฒนธรรมชาวแสกในจังหวัดนครพนม โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์สมชาย นิลอาธิ นักมานุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ชาวแสกในจังหวัดนครพนมมีวัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ และวิถีชีวิตที่น่าสนใจ และเป็นกลุ่มวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก การบรรยายจัดที่ห้อง 207 ชั้น 2 ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ตลิ่งชัน เข้าฟังโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สอบถามโทร 0 2880 9429 ต่อ 3315 หรือที่เว็บไซต์ //www.sac.or.th

ศมส. จับมือ มรภ.เทพสตรี จัดสัมมนาวัฒนธรรมชาติ วัฒนธรรมชุมชน
ดร.ปริตตา เฉลิมเผ่า กออนันตกูล ผู้อำนวยการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน)
เผยว่า ในระหว่างวันที่ 28 – 29 มิถุนายน 2551 ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรร่วมกับสำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฎเทพสตรี จังหวัดลพบุรี จัดการสัมมนาสัญจร วัฒนธรรมชาติ วัฒนธรรมชุมชน ประสบการณ์จากลพบุรี โดยในการสัมมนาดังกล่าวจะมีการนำเสนอข้อมูลความรู้ใหม่ทางวัฒนธรรม ความรู้เกี่ยวกับผู้คนและวัฒนธรรมท้องถิ่น เวทีอภิปรายการจัดการทางวัฒนธรรมเพื่อชาติและชุมชน โดยใช้ข้อมูลวัฒนธรรมของจังหวัดลพบุรีเป็นกรณีศึกษา
ดร.ปริตตา
กล่าวอีกว่า การสัมมนาครั้งนี้จะมีนักวิชาการ และนักวิจัยท้องถิ่น ในการร่วมเสนอข้อมูลทางวัฒนธรรมของจังหวัดลพบุรีในหลากหลายประเด็น ซึ่งความน่าสนใจจะอยู่ที่การอภิปรายเกี่ยวกับเรื่องการจัดการมรดกทางวัฒนธรรม รวมทั้งมีการแสดงของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในจังหวัดลพบุรีด้วย ผู้สนใจสามารถติดต่อ ลงทะเบียนได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สอบถามโทร 0 2880 9429 ต่อ 3315 หรือที่ //www.sac.or.th

ศมส. เปิดเสวนางานวิจัยอนาคตไฟใต้

ดร.ปริตตา เฉลิมเผ่า กอนันตกูล ผู้อำนวยการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
เผยว่า จากการที่ศูนย์ฯ ได้ให้ทุนสนับสนุนในการทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้กับ รศ.ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ นั้น ในวันพุธที่ 30 เมษายน 2551 นี้ จะมีการจัดเวทีสัมมนาผลงานวิจัยจากโครงการวิจัยในเรื่อง อนาคตไฟใต้ : สื่อ ทหาร เด็ก และทักษะวัฒนธรรม ซึ่งจะเป็นการนำเสนองานวิจัยในประเด็นต่างๆ อาทิ ไฟใต้ในสายตาสื่อเทศ : ทัศนะต่อรายงาน กอส. โดย คุณปรางทิพย์ ดาวเรือง นักรบกลับบ้าน : ประสบการณ์จากสมรภูมิ โดย พ.อ.หญิง พิมลพรรณ อุโฆษกิจ เมล็ดพันธุ์เลือด? : เด็กใต้ในฐานะเหยื่อความรุนแรง โดย ซากีย์ พิทักษ์คุมพล และ อยู่กันฉันท์มิตร : คู่มือทักษะวัฒนธรรมจังหวัดชายแดนใต้ โดย แพร ศิริศักดิ์ดำเกิง ประเด็นต่างๆเหล่านี้เป็นผลงานวิจัยจากนักวิจัยในโครงการ และมีนักวิชาการที่มีชื่อเสียงให้ความเห็น ผู้สนใจเข้าร่วมสัมมนาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โปรดแจ้งการลงทะเบียนล่วงหน้า และรับจำนวนจำกัด ติดต่อสอบถามโทร 0 2880 9429 ต่อ 3315 และ 3503 ดูกำหนดการได้ที่ //www.sac.or.th


ขอขอบคุณในการประชาสัมพันธ์
ศิวัช นนทะวงษ์ ประสานงานวิชาการ


โดย: jenifaae วันที่: 5 พฤษภาคม 2551 เวลา:0:22:32 น.  

 
*อับดุล” แชทบอทสัญชาติไทย ความ พยายามที่ยังไม่สิ้นสุด

“อับดุล ถามอะไรรู้” “ถามอะไรตอบได้” ผู้อ่านคงเคยได้ยินประโยคเหล่านี้อยู่บ่อยๆ วันนี้ อับดุลก้าวไกลมาปรากฎตัวอยู่บนโปรแกรมเอ็มเอสเอ็นในมาดตัวแทนผู้รอบรู้ ช่วยไขสารพัดปัญหาภายใต้รูปแบบบริการตอบคำถามที่น่าสนใจ โดยใช้ระบบการสนทนาโต้ตอบเหมือนคนปกติทั่วไป

อย่างไรก็ตาม ต้นกำเนิด “อับดุล” ผู้ช่วยคนเก่งมาจากการผสานหลายเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน อาศัยพื้นฐานโครงงานวิจัยเดิมของ หน่วยปฏิบัติการวิจัยวิทยาการมนุษยภาษา ภายใต้ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ พัฒนาสู่การเป็นต้นแบบพัฒนาซอฟต์แวร์ เพื่อให้บริการสาธารณะด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องเฉพาะด้านภาษา

*แม้ว่าขณะนี้ ”อับดุล” จะเปิดให้บริการแล้ว แต่ยังมีส่วนที่ยังต้องพัฒนา และเพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นภาพรูปแบบการทำงาน รวมทั้งแนวทางพัฒนาอับดุลในเวอร์ชั่นต่อๆ ไป IT Digest จึงขอนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับอับดุลหลังเปิดให้บริการตั้งแต่เดือน ต.ค 2550 …

นายพันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือเนคเทค เล่าถึง “อับดุล” ว่าเป็นผลงานวิจัยซอฟต์แวร์ต้นแบบ ของหน่วยปฎิบัติการวิจัยวิทยาการมนุษยภาษา หรือ HTL (Human Language Technology Laboratary) ที่ดำเนินการวิจัยและพัฒนาวิทยาการด้านภาษาพูดและภาษาเขียนของมนุษย์ โดยผลงานวิจัยชิ้นนี้สร้างนวัตกรรมอำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสารระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร และระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ได้แก่ ระบบแปลภาษา ระบบค้นคืนข้อมูล และระบบประมวลผลสัญญาณเสียงพูด
“ขณะนี้ หน่วยงานทำการวิจัยและพัฒนาโปรแกรมประเภท Chatting Bot ให้เป็นภาษาไทย โดยพัฒนาและเปิดให้บริการบนระบบ MSN Massenger ใช้ชื่อว่า “อับดุล” ที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภาษา ได้แก่ โปรแกรมภาษิตเทคโนโลยีแปลภาษา โปรแกรมสรรสาร ลุ๊คเทคโนโลยีการสืบค้นข้อมูล และโปรแกรมเล็กซิตรอนเทคโนโลยีการพัฒนาพจนานุกรมอิเล็กทรอนิกส์ โดยนำโปรแกรมทั้งหมดมาใช้ในการพัฒนาต้นแบบอับดุล ให้สามารถต่อยอดไปพัฒนาบนแอพลิเคชันในรูปแบบอื่นได้ในอนาคต” นายพันธ์ศักดิ์กล่าว

ผอ.เนคเทค เล่าต่อว่า บริการดังกล่าว ทำให้ผู้ใช้งานเข้าถึงบริการต่างๆ อย่างสะดวก เช่น บริการสืบค้นข้อมูลเว็บไซต์ การให้บริการสืบค้นข่าว บริการแปลภาษา บริการข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งบริการส่งข้อมูลสำคัญ เช่น การรายงานสภาพการจราจร รายงานสภาพอากาศ ราคาทองคำ ราคาน้ำมัน ผลสลาก และดูดวง เป็นต้น โดยให้บริการครบวงจรในขั้นตอนเดียว
ด้าน นายชัลวาล สังคีตตระการ นักวิจัย หน่วยปฎิบัติการมนุษยภาษา ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ผู้คิดค้นโปรแกรม “อับดุล” อธิบายว่า “ระบบแชทบ็อทเกิดมานานกว่าสิบปีในต่างประเทศ ปัจจุบันวิทยาการทันสมัยพัฒนาได้ก้าวไกลมาก จึงเป็นต้นกำเนิดแนวคิดแชทบ๊อทสัญชาติไทย ประกอบกับยังไม่มีระบบดังกล่าวในประเทศไทย เนคเทคจึงริเริ่มค้นคว้าวิจัยจนประสบความสำเร็จ ติดตั้งระบบแชทบ็อทแห่งแรกในประเทศไทยภายใต้ชื่อ อับดุล
โปรแกรมอับดุล เปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 ต.ค. 2550 จำนวน 10 แอ๊คเคาท์ แต่ละแอ๊คเคาท์รองรับผู้ใช้บริการได้จำนวน 1,000 คน โดยเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีรับได้จำนวน 4 แอ๊คเคาท์ และเครื่องคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์รับได้จำนวน 8 แอ๊คเคาท์ ขณะนั้นมีผู้สนใจลงทะเบียนใช้บริการเต็มจำนวน 10,000 คนภายในเวลา 2 สัปดาห์เท่านั้น ปัจจุบันจำนวนผู้ใช้บริการทั้งหมดประมาณ 16,000 คน เป็นสมาชิกที่เข้าใช้บริการประจำจำนวน 12,000 คน และผู้ลงทะเบียนส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มวัยรุ่นกับวัยทำงาน โดยให้ความสนใจสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวัน ความบันเทิง และการแปลคำศัพท์”

นักวิจัย หน่วยปฎิบัติการฯ อธิบายต่อว่า “ต้นแบบ อับดุล” พัฒนาจากโครงงานวิจัยหน่วยปฏิบัติการมนุษยภาษา เช่น ภาษิต เล็กซิตรอน และสรรสาร โดยนำโปรแกรมทั้งหมดเชื่อมโยงการทำงานเข้าด้วยกัน แต่กว่าจะได้แชดบ็อทภาษาไทย นักวิจัยต้องประสบปัญหาสำคัญคือการตัดคำ เพราะรูปแบบการเขียนภาษาไทยไม่มีการแบ่งคำตายตัวเหมือนกับภาษาอังกฤษ โครงสร้างภาษาเขียนก็คล้ายกับภาษาพูด รวมทั้งยังมีคำพ้องรูปและพ้องเสียง ทำให้โปรแกรมพบปัญหาวิเคราะห์คำศัพท์ผิดพลาดอยู่บ้างระหว่างการประมวลผล เช่น ประโยคที่เขียนว่า“ปลาตากลมถูกตากลมในที่ร่ม”ระบบอาจประมวลคำศัพท์สับสนระหว่าง ตาก-ลม และ ตา-กลม เป็นต้น

นอกจากนี้ ปัญหาเกี่ยวกับวิวัฒนาการภาษา ก็เป็นเรื่องที่เพิ่มความยากและซับซ้อนให้กับผู้พัฒนาโปรแกรมด้วย เพราะวัยรุ่นส่วนใหญ่พิมพ์คำแสลงคุยกับอับดุล และส่วนมากจะเป็นคำศัพท์ใหม่ ที่ยังไม่ได้ระบุในพจนานุกรม ทำให้ระบบการตัดคำและประมวลผลมีความถูกต้องน้อยลง โดยขณะนี้ระดับความถูกต้องของระบบประมวลผลคำศัพท์อยู่ที่ 60% เท่านั้น”

*นายชัชวาล อธิบายเสริมว่า รูปแบบการสนทนาของโปรแกรมอับดุล ทำงานบนระบบสนทนาเอ็มเอสเอ็น ผู้ที่ลงทะเบียนในโปรแกรมนี้แล้ว เพียงแค่เพิ่มชื่ออีเมล์อับดุลเข้าไปเท่านั้น ก็สามารถใช้งานได้ทันที อับดุลจะทำหน้าที่เหมือนกับเลขาส่วนตัว โดยผู้ใช้บริการสามารถสนทนากับอับดุลได้เหมือนกับเป็นเพื่อนคนหนึ่ง และยังเพิ่มบริการสอบถามข้อมูลทั่วไป ค้นหาข่าว หรือช่วยแปลคำศัพท์ไว้ด้วย แต่โปรแกรมการทำงานของอับดุลมีพื้นฐานหลายโครงงาน จึงต้องใส่รหัสหน้าข้อความที่ต้องการค้นหา เพื่อให้โปรแกรมอ่านและแยกแยะการทำงานได้ ตัวอย่างเช่น การค้นหาข่าว พิมพ์คำว่าข่าว หรือ News ตามด้วยคำที่ต้องการค้นหา เช่น ข่าวกีฬา ข่าวดารา และข่าวการเมือง หรือ การแปลประโยค พิมพ์คำว่า แปล หรือ Tran ตามด้วยคำที่ต้องการค้น เช่น How are you? , I love you เป็นต้น
นายชัชวาล กล่าวทิ้งท้ายว่า “อับดุล” ยังมีข้อบกพร่องอีกหลายด้านให้ปรับปรุง คลังคำศัพท์เป็นเรื่องแรกที่ต้องเร่งแก้ไขให้ครอบคลุมถึงคำที่วัยรุ่นใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน รวมทั้งการเพิ่มข้อมูลความรู้รอบตัว พัฒนาความสามารถด้านการฟังเสียง เพื่อให้โปรแกรมสามารถโต้ตอบด้วยภาษาพูดได้ทั้งภาษาไทย และต่างประเทศ และด่านสำคัญที่สุดคือการพัฒนาโปรแกรมอับดุลให้เรียนรู้ธรรมชาติภาษาของมนุษย์ จนสามารถโต้ตอบกับคู่สนทนาได้อย่างสมจริงมากที่สุด
ส่วน เว็บไซต์เนคเทค ระบุว่า “ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงงานวิจัยที่เป็นพื้นฐานของซอฟต์แวร์ต้นแบบโปรแกรมอับดุลประกอบด้วย 1.โครงงานภาษิต เทคโนโลยีแปลภาษาอังกฤษเป็นไทย ประมวลผลจากระบบคอมพิวเตอร์บนอินเทอร์เน็ต ข้อมูลภาษาอังกฤษบนอินเทอร์เน็ตจะถูกส่งผลมายังระบบที่อาศัยฐานความรู้ทางไวยกรณ์และความหมาย ภาษิตแปลเว็บเพจเป็นภาษาไทย และส่งผลไปยังผู้ใช้ด้วยโครงสร้างเดิมของต้นฉบับ โดยวิเคราะห์โครงสร้างประโยค เป็นหลักการสำคัญในการพัฒนาระบบแปลภาษา ทำงานโดยโปรแกรมแยกข้อความออกจากรูปแบบของเว็บเพจ และส่งข้อความอย่างเดียวไปแปล

*ขั้นตอนต่อมา ภาษิตจะนำข้อความที่แปลไว้รวมเข้ากับรูปแบบของเว็บไซต์ที่แยกไว้ตอนต้น ส่งกลับไปแสดงผล ผู้ใช้สามารถเรียกดูเว็บเพจต่างๆ ที่เป็นภาษาอังกฤษได้ โดยแสดงผลเป็นภาษาไทยทั้งหมด และยังคงรูปแบบของต้นฉบับไว้ทุกประการ 2. โปรแกรมสรรสาร ลุ๊คพัฒนาและจัดการระบบค้นคืนข้อมูล บนเว็บเบาว์เซอร์ โปรแกรมทำงานบนอินเตอร์เฟสของเว็บเบาว์เซอร์ ทำให้การจัดการข้อมูล การสั่งงาน รวมทั้งการตั้งค่าต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบเป็นไปอย่างสะดวก สรรสาร ลุ๊ค มีความสามารถค้นคืนภาษาไทยได้ถูกต้อง รวมทั้งมีคุณลักษณะที่ทำให้การค้นคืนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การแนะนำคำที่ใช้ค้นคืน
3.เล็กซิตรอน พจนานุกรมสื่ออิเล็กทรอนิกส์ไทย-อังกฤษ เทคโนโลยีที่ช่วยค้นหาคำศัพท์ และข้อมูลคำศัพท์ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ที่ต้องการความรวดเร็วประมวลผลจากช่องรับข้อมูลในหน้าโฮมเพจ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังสามารถดาวน์โหลดฟรี ทั้งโปรแกรมและข้อมูลไปติดตั้งบนเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้งานเล็กซิตรอนได้โดยไม่ต้องผ่านระบบอินเทอร์เน็ต”

แม้ว่าอับดุลจะเปิดให้บริการมาเป็นระยะเวลาเกือบครึ่งปีแล้ว แต่จำนวนผู้ใช้บริการเอ็มเอสเอ็นที่รู้จักโปรแกรมอับดุลยังอยู่ในปริมาณน้อย เพราะการเข้าถึงโปรแกรมยังเป็นไปในรูปแบบจำกัด แต่ข้อมูลข้างต้นทั้งหมด แสดงถึงความพยายามของนักวิจัยไทยที่จะต่อยอดผลงานวิจัยเดิมมาสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยประยุกต์โครงงานวิจัยเพิ่มคุณค่าและความน่าสนใจ เพื่อดึงดูดผู้ใช้งานให้เข้ามาทดลองใช้ผลงานกันสักครั้ง...

ศศิธร นรินทรางกูร
itdigest@thairath.co.th


โดย: jenifaae วันที่: 5 พฤษภาคม 2551 เวลา:0:25:26 น.  

 
*บทความ ปิยบุตร แสงกนกกุล : องค์กรตุลาการกับประชาธิปไตย

ปิยบุตร แสงกนกกุล

คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


รัฐใดที่ประกาศตนเป็นนิติรัฐ ย่อมหลีกหนีไม่พ้นที่จะยอมรับบทบาทขององค์กรตุลาการ ในฐานะเป็นกุญแจสำคัญในการควบคุมการใช้อำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารไม่ให้เป็นไปตามอำเภอใจ การควบคุมฝ่ายบริหาร ก็ได้แก่ การควบคุมการความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำของฝ่ายปกครอง ในขณะที่การควบคุมฝ่ายนิติบัญญัติ ก็ได้แก่ การควบคุมความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายที่ตราขึ้นโดยรัฐสภา

องค์กรตุลาการในนิติรัฐสมัยใหม่ จึงมีบทบาทสำคัญ ไม่เพียงแต่บทบาทในการพิทักษ์ความชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพันธกิจในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนจากการใช้อำนาจโดยมิชอบของรัฐ และการปกปักษ์รักษาประชาธิปไตยอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ด้วยบทบาทอันกว้างขวางขององค์กรตุลาการเช่นนี้ นำมาซึ่งความขัดแย้งกันเองกับคำว่าประชาธิปไตย กล่าวคือ ด้านหนึ่ง นิติรัฐ-ประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม ก็เรียกร้องให้องค์กรตุลาการเข้ามามีบทบาทในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และควบคุมไม่ให้เกิดการปกครองที่เสียงข้างมากใช้อำนาจไปตามอำเภอใจ ในขณะที่อีกด้านหนึ่งนั้น เมื่อองค์กรตุลาการเข้าไปควบคุมการใช้อำนาจรัฐเข้า ก็เกิดการเผชิญหน้ากันกับองค์กรที่มีฐานความชอบธรรมทางการเมืองอย่างรัฐสภาและรัฐบาลซึ่งมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ในขณะที่องค์กรตุลาการปราศจากความชอบธรรมทางการเมืองเช่นว่า



ความขัดแย้งดังกล่าว จะมีวิธีการประสานกันอย่างไร?

แน่นอนที่สุด หากเราตัดอำนาจการตรวจสอบขององค์กรตุลาการออกไป นิติรัฐนั้นก็กลายเป็นนิติรัฐที่ไม่สมประกอบ เพราะปราศจากซึ่งองค์กรที่เป็นกลางและอิสระทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ เช่นกัน หากแก้ไขให้องค์กรตุลาการมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ก็คงไม่เหมาะสมเป็นแน่ เพราะจะทำให้องค์กรตุลาการสูญสิ้นความอิสระไปเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรตุลาการต้องคำนึงถึงคะแนนนิยมตลอดเวลา วิธีเหล่านี้จึงเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง

วิธีที่จะพอแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้ได้ คือ การจัดวางตำแหน่งแห่งที่ขององค์กรตุลาการและการดำรงตนขององค์กรตุลาการให้สอดคล้องกับนิติรัฐ-ประชาธิปไตย

ในรายละเอียด ผู้เขียนขอแบ่งเป็น ๖ ประการ ดังนี้

ประการแรก ความเป็นอิสระขององค์กรตุลาการ

โดยทั่วไป รัฐธรรมนูญในรัฐเสรีประชาธิปไตยต่างรับรองความเป็นอิสระขององค์กรตุลาการเอาไว้ เช่น การจัดตั้งศาลต้องทำโดยกฎหมายที่ตราขึ้นโดยรัฐสภา การจัดตั้งศาลเฉพาะเพื่อคดีใดคดีหนึ่งไม่อาจกระทำได้ การโยกย้ายผู้พิพากษาต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิพากษานั้นด้วย การแต่งตั้งและโยกย้ายตลอดจนการดำเนินการทางวินัยเป็นอำนาจของคณะกรรมการตุลาการ การบริหารงบประมาณของศาลเป็นไปอย่างอิสระ เงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งของผู้พิพากษาสูงกว่าอาชีพอื่นๆ เป็นต้น

อาจสงสัยกันว่า ความเป็นอิสระของผู้พิพากษานี้ปราศจากความรับผิดชอบใดๆ เลยหรือ? แน่นอน ในระบอบประชาธิปไตยย่อมไม่มีองค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐใดที่ใช้อำนาจโดยปราศจากความรับผิดชอบ แต่ความรับผิดชอบขององค์กรตุลาการนั้นแตกต่างจากองค์กรนิติบัญญัติและบริหารซึ่งเป็นองค์กรทางการเมืองโดยแท้ กล่าวคือ องค์กรตุลาการไม่อาจถูกฝ่ายการเมืองแต่งตั้งโยกย้ายหรืออภิปรายไม่ไว้วางใจ และตำแหน่งผู้พิพากษาไม่ได้มาโดยการเลือกตั้งของประชาชน ตรงกันข้าม องค์กรตุลาการรับผิดชอบการปฏิบัติหน้าที่ของตนเองโดยผ่านเหตุผลประกอบคำพิพากษานั่นเอง ด้วยการให้สังคมได้มีโอกาสวิจารณ์คำพิพากษาอย่างเต็มที่

บางครั้งอาจมีกรณีตอบโต้การใช้อำนาจระหว่างองค์กรนิติบัญญัติกับองค์กรตุลาการ หรือองค์กรบริหารกับองค์กรตุลาการ เช่น ฝ่ายนิติบัญญัติอาจตรากฎหมายที่มีผลเป็นการ “ลบ” หลักการที่คำพิพากษาของศาลได้วางบรรทัดฐานเอาไว้ หรือในฝรั่งเศส สมัยวิกฤติแอลจีเรีย ประธานาธิบดีเดอโกลล์และรัฐบาลเร่งผลักดันรัฐบัญญัติจัดตั้งศาลทหารพิเศษในดินแดนแอลจีเรียเป็นการเฉพาะ ภายหลังจากที่ศาลปกครองสูงสุดได้เพิกถอนรัฐกำหนดจัดตั้งศาลทหารพิเศษเพียงไม่นาน (โปรดดูบทความของผู้เขียน, ฝ่ายการเมืองปะทะฝ่ายตุลาการ : ประสบการณ์จากฝรั่งเศส, เผยแพร่ครั้งแรกในประชาชาติธุรกิจ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๔๙ หรือดูได้ในเว็บไซต์ onopen)

ในเรื่องความประพฤติส่วนตัวหรือการทุจริต ก็มีคณะกรรมการตุลาการเป็นผู้ดูแลและมีจริยธรรมวิชาชีพกำกับไว้ หรืออาจมีกระบวนการถอดถอนออกจากตำแหน่งได้

ประการที่สอง ความเป็นกลางขององค์กรตุลาการและความเป็นภาววิสัยของคำพิพากษา

องค์กรตุลาการต้องดำรงตนอย่างเป็นกลางและปราศจากอคติ ในกระบวนพิจารณาคดี ต้องให้โอกาสคู่ความทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน ในกรณีที่ผู้พิพากษามีส่วนได้เสียกับประเด็นแห่งคดีที่ตนจะพิจารณา ผู้พิพากษานั้นต้องถอนตัวออกจากการพิจารณาคดี ดังสุภาษิตในภาษาละตินที่ว่า “Nemo in propria causa judex” ด้วยเหตุนี้ จึงเห็นกันว่าผู้พิพากษาทั้งหลายไม่ควรเข้าไป ‘เล่น’ การเมืองด้วยการไปดำรงตำแหน่งในรัฐบาล ไปร่างรัฐธรรมนูญ ไปร่างกฎหมาย หากเข้าไปแล้วก็ไม่ควรกลับมาเป็นผู้พิพากษาใหม่ เพราะในวันข้างหน้าเป็นไปได้ว่า อาจมีประเด็นแห่งคดีเกี่ยวกับเรื่องที่ตนเคยเข้าไปเกี่ยวข้อง

ความเป็นกลางของผู้พิพากษาจะสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นภาววิสัยของคำพิพากษา เหตุผลประกอบคำพิพากษาเกิดจากการพิจารณาข้อเท็จจริงประกอบกับข้อกฎหมาย มิใช่นำรสนิยมทางการเมืองส่วนตัว ความเชื่อทางศาสนา ความนิยมชมชอบส่วนตัวเข้ามาเป็นปัจจัยประกอบการตัดสิน คำพิพากษาต้องไม่เกิดจากการตั้งธงคำตอบไว้ล่วงหน้า จากนั้นจึงค่อยหาเหตุผลเพื่อนำไปสู่ธงคำตอบนั้น ความเป็นภาววิสัยของคำพิพากษาย่อมทำให้บุคคลซึ่งแม้ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษา เหตุผลของคำพิพากษา หรือผลของคำพิพากษา แต่บุคคลนั้นก็ยังคงยอมรับนับถือคำพิพากษาอยู่ดี

คำพิพากษาต้องผ่านการกลั่นกรองและพิจารณาอย่างลึกซึ้งของผู้พิพากษา โดยใช้เหตุผลทางกฎหมายประกอบ คำพิพากษาต้องสนับสนุนความชอบด้วยกฎหมายและความมั่นคงแน่นอนและชัดเจนของกฎหมายไปพร้อมๆกัน ที่ว่าต้องสนับสนุนความชอบด้วยกฎหมาย ก็เพื่อสร้างความสมเหตุสมผลทางกฎหมายและการเคารพกฎหมายตามแนวทางกฎหมายเป็นใหญ่ของหลักนิติรัฐ ส่วนที่ว่าต้องสนับสนุนความมั่นคงแน่นอนและชัดเจนของกฎหมาย ก็เพื่อสร้างความเชื่อไว้วางใจต่อระบบกฎหมาย ความสม่ำเสมอต่อเนื่องของกฎเกณฑ์ และบุคคลสามารถคาดการณ์ได้ว่าการกระทำของตนและผู้อื่นจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

บางกรณีทั้งสองเรื่องนี้ก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงจนทำให้การหาจุดสมดุลของสองเรื่องนี้เป็นไปโดยยากและอาจต้องเอียงไปในทางใดทางหนึ่งมากกว่า ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้พิพากษาที่ต้องใช้เหตุผลมาอธิบายให้ได้ว่าเหตุใดจึงตัดสินใจรักษาความชอบด้วยกฎหมายมากกว่า และมีวิธีการเยียวยาความมั่นคงแน่นอนและชัดเจนของกฎหมายอย่างไร หรือเหตุใดจึงตัดสินใจรักษาความมั่นคงแน่นอนและชัดเจนของกฎหมายมากกว่า และมีวิธีเยียวยาความชอบด้วยกฎหมายอย่างไร ด้วยเหตุผลดังกล่าว คำพิพากษาที่ให้ใช้กฎหมายย้อนหลังอันเป็นผลร้ายแก่บุคคลโดยไม่ได้มีการอธิบายเหตุผลทางกฎหมายเพียงพอ จึงเป็นคำพิพากษาที่ไร้มาตรฐานและไม่สมเหตุสมผล

ประการที่สาม ความเชื่อถือไว้วางใจของสังคมต่อองค์กรตุลาการ

ความน่าเชื่อถือและความศรัทธาต่อศาล ทั้งในแง่ตัวองค์กรและตัวบุคคล หาได้เกิดจากบทบัญญัติแห่งกฎหมายเกี่ยวกับการ “หมิ่น” ศาลหรือละเมิดอำนาจศาล หรือการอ้างว่าผู้พิพากษาตัดสิน “ในพระปรมาภิไธย” ไม่ ตรงกันข้าม เกิดจากความสมเหตุสมผลในเหตุผลประกอบคำพิพากษา ความเป็นภาววิสัยของเหตุผลประกอบคำพิพากษา ความเป็นอิสระและการดำรงตนอย่างปราศจากอคติของผู้พิพากษา

คำพิพากษาจะมีคุณค่า นอกจากเพราะกฎหมายกำหนดให้คำพิพากษามีค่าบังคับแล้ว ยังต้องอาศัยความเชื่อถือของประชาชนประกอบด้วย จริงอยู่ เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ประชาชนทุกคนเห็นด้วยกับเนื้อหาของคำพิพากษาทั้งหมด แต่อย่างน้อยวิญญูชนพิจารณาดูแล้ว ก็ต้องยอมรับในเหตุผลที่ประกอบคำพิพากษานั้น และเห็นว่าคำพิพากษานั้นมีคุณภาพได้มาตรฐาน

การสร้างความเชื่อถือไว้วางใจของสังคมต่อผู้พิพากษา ไม่ได้หมายความว่าผู้พิพากษาต้องทำตนเป็นที่นิยมของประชาชน ไม่ได้หมายความว่าผู้พิพากษาต้องยอมกระทำการที่ไม่สอดคล้องกับกฎหมายและสามัญสำนึกของตนเพียงเพื่อความพอใจของสาธารณชน ไม่ได้หมายความว่าผู้พิพากษาต้องตัดสินโดยฟังกระแสสังคม นี่เรียกว่า ความนิยม (Popularité) ซึ่งตรงกันข้ามกับ ความเชื่อถือไว้วางใจ (Confiance) ความเชื่อถือไว้วางใจนั้น เป็นความเชื่อถือที่มีต่อความเป็นอิสระของผู้พิพากษา ความเป็นกลางของผู้พิพากษา ความยุติธรรมของผู้พิพากษา และความเคารพในจริยธรรมวิชาชีพของผู้พิพากษา

นอกจากนี้ ความเชื่อถือไว้วางใจในตัวผู้พิพากษา ยังอาจเกิดจากวัตรปฏิบัติของผู้พิพากษาเอง เช่น การรู้ถึงขอบเขตอำนาจและข้อจำกัด การยอมรับความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ และการอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่หยิ่งทระนงว่าตนยิ่งใหญ่ ไม่อหังการ-มมังการ เพราะ ”หัวโขน” ผู้พิพากษา หรือเพราะคำอ้างที่ว่าตนกระทำการในนามกษัตริย์

ประการที่สี่ การตระหนักถึงขอบเขตอำนาจของตนเอง

นิติรัฐ-ประชาธิปไตยเรียกร้องเรื่องการแบ่งแยกอำนาจให้เกิดดุลยภาพระหว่างอำนาจรัฐในแขนงต่างๆ องค์กรตุลาการเองก็เช่นกัน ต้องตระหนักอยู่เสมอว่าตนเองมีอำนาจ ‘เชิงรับ’ ศาลไม่อาจควบคุมองค์กรฝ่ายบริหารได้ในทุกกรณี ตรงกันข้าม เรื่องจะขึ้นไปสู่ศาลได้ก็ต่อเมื่อมีการริเริ่มคดีโดยบุคคลที่เกี่ยวข้องเสียก่อน และศาลไม่อาจลงมาหยิบยกเรื่องใดขึ้นพิจารณาได้ด้วยตนเอง

การพิพากษาของศาลมิใช่กระทำได้อย่างพร่ำเพรื่อหรือปราศจากกฎเกณฑ์ กว่าที่องค์กรตุลาการจะผลิตคำพิพากษาได้นั้น ต้องผ่านขั้นตอนตั้งแต่เงื่อนไขการฟ้องคดี เช่น ผู้ฟ้องคดีมีสิทธิหรือมีส่วนได้เสียในการฟ้องคดีหรือไม่ การฟ้องทำตามรูปแบบหรือไม่ ฟ้องภายในอายุความหรือไม่ ศาลมีเขตอำนาจพิจารณาหรือไม่ จากนั้นยังต้องผ่านกระบวนพิจารณาที่เป็นธรรมอีก ในท้ายที่สุดเมื่อศาลตัดสิน ก็ยังต้องพิจารณาอีกว่าคำพิพากษาของศาลนั้นมีผลเป็นการทั่วไปหรือมีผลผูกพันเฉพาะคู่ความ มีผลย้อนหลังหรือมีผลไปในอนาคต

เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าองค์กรตุลาการเป็นผู้เล่นหลักคนหนึ่งในชีวิตทางการเมืองของรัฐ (Acteur politique) อย่างไรเสียองค์กรตุลาการก็ต้องมีบทบาทางการเมือง แต่บทบาททางการเมืองเช่นว่านั้น ต้องกระทำผ่านคำพิพากษาและภายใต้ความเป็นเหตุเป็นผลตามกฎหมายเท่านั้น อนึ่ง แม้องค์กรตุลาการอาจเข้าแทรกแซงทางการเมืองโดยผ่านคำพิพากษาของตน แต่องค์กรตุลาการต้องคำนึงถึงหลักการแบ่งแยกอำนาจและการรักษาดุลยภาพระหว่างอำนาจไว้เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องบางเรื่องเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับแนวนโยบายของรัฐบาล หรือเรื่องทางการเมืองโดยแท้ องค์กรตุลาการก็จำต้องสงวนท่าทีและควบคุมการใช้อำนาจของตนเองลง เช่น การยุบสภา การประกาศสงคราม การเลือกนายกรัฐมนตรีและแต่งตั้งรัฐมนตรี

ในบางกรณี รัฐบาลอาจดำเนินนโยบายตามที่รณรงค์หาเสียงกับประชาชนไว้ในช่วงเลือกตั้ง เมื่อได้รับเลือกตั้งเข้ามาแล้วจึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ได้รับอาณัติจากประชาชนในการดำเนินนโยบายดังกล่าว ประเด็นปัญหานี้ องค์กรตุลาการอาจเข้าไปควบคุมได้แต่เพียงเฉพาะ ‘ความชอบด้วยกฎหมาย’ ของมาตรการตามนโยบายเท่านั้น องค์กรตุลาการไม่อาจเข้าไปก้าวล่วงถึง ‘ความเหมาะสม’ ของนโยบาย อีกนัยหนึ่ง คือ องค์กรตุลาการต้องใช้ ‘กฎหมาย’ เป็นมาตรวัดนั่นเอง

แม้องค์กรตุลาการจะมีอำนาจในการควบคุมฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร และมีอำนาจในการพิพากษาคดีความให้มีผลเป็นที่สุด (res judicata) แต่องค์กรตุลาการก็ไม่ได้มีอำนาจอย่างปราศจากขอบเขต ด้วยธรรมชาติและลักษณะพิเศษขององค์กรตุลาการที่ต้องการความเป็นอิสระทำให้ขาดความเชื่อมโยงกับประชาชนและสังคม แต่องค์กรตุลาการกลับมีอำนาจควบคุมการใช้อำนาจรัฐ กฎหมายจึงต้องออกแบบระบบไม่ให้องค์กรตุลาการใช้อำนาจอย่างไร้ขอบเขตด้วยการวางกลไกวิธีพิจารณาคดี ในขณะเดียวกันองค์กรตุลาการก็ต้องจำกัดการใช้อำนาจของตนเอง ไม่เข้าไปรุกล้ำในเรื่องที่เป็นนโยบายหรือการเมืองโดยแท้

นี่เป็นหลักการพื้นฐานขององค์กรตุลาการในรัฐเสรีประชาธิปไตย ไม่ใช่กระบวนการ ‘ตุลาการภิวัตน์’ ซึ่งแอบอ้างเพื่อนำไปใช้สนับสนุนการเข้าไป ‘เพ่นพ่าน’ ในสนามการเมือง เช่น การร่างรัฐธรรมนูญ การดำรงตำแหน่งในองค์กรเฉพาะกิจเพื่อปราบปรามศัตรู การดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ตลอดจนการแต่งตั้งบุคคลไปดำรงตำแหน่งสำคัญ

ประการที่ห้า คำพิพากษา ‘สาธารณะ’

จริงอยู่ ในทางกฎหมาย คำพิพากษาอาจมีผลผูกพันเฉพาะคู่ความหรืออาจมีผลผูกพันองค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐทั้งปวง แต่ในความเป็นจริงแล้ว คำพิพากษามีผลกระทบออกไปในวงกว้าง ไม่ว่าทั้งทางตรงหรือทางอ้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้และตีความกฎเกณฑ์ที่ค่อนข้างเป็นนามธรรมให้เกิดผลเป็นรูปธรรม

บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่รับรองสิทธิและเสรีภาพหรือวางเงื่อนไขการใช้อำนาจรัฐมักเขียนด้วยถ้อยคำกว้างๆ เปิดโอกาสให้ศาลได้พิจารณาข้อเท็จจริงเป็นรายกรณี การใช้และตีความกฎหมายเหล่านี้โดยศาลผ่านทางคำพิพากษาในแต่ละคดีต่างหากที่ ‘แปล-ขยาย’ ความเหล่านั้นให้มีผลชัดเจนและจับต้องได้ เมื่อศาลได้พิจารณาข้อเท็จจริงที่เหมือนหรือคล้ายคลึงกันซ้ำเข้ามากๆ ในคดีก่อนๆ ก็กลายเป็นบรรทัดฐานที่ศาลต้องเดินตามในคดีหลัง นอกเสียจากศาลจะมีเหตุผลที่หนักแน่นเพียงพอและรับฟังได้ หรือบริบทแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างมาก ศาลก็อาจเปลี่ยนแนวจากคำพิพากษาบรรทัดฐานนั้น ลักษณะดังกล่าวนี้เอง ทำให้สำนักคิดกฎหมายสัจนิยม โดยเฉพาะเซอร์ โอลิเวอร์ เวนเดล โฮล์มส์ ถึงกับประกาศว่า “กฎหมายในความเห็นของข้าพเจ้า คือการพยากรณ์ต่อการกระทำของศาลในความเป็นจริง ไม่มีอะไรอื่นเลยนอกจากนี้”

ด้วยอานุภาพของการใช้และตีความกฎหมายของศาลดังกล่าว ทำให้คำพิพากษาไม่ได้ส่งผลเฉพาะต่อคดีนั้นเท่านั้น คำพิพากษาจึงไม่ควรมีขึ้นเพียงเพื่อให้ผู้พิพากษาและผู้ที่เกี่ยวข้องในคดีอ่าน ตรงกันข้ามคำพิพากษาต้องพยายามสร้าง “การสื่อสารระหว่างองค์กรตุลาการกับสังคม”

ผู้พิพากษาในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของประชาธิปไตยต้องตระหนักเสมอว่าการเขียนคำพิพากษานั้น ไม่ได้เขียนอธิบายความและเหตุผลให้แก่คู่ความเท่านั้น แต่เป็นการให้เหตุผลแก่บุคคลทั่วไปด้วย คำพิพากษาที่ดีจึงต้องสามารถให้การศึกษาแก่สังคม นำมาซึ่งการศึกษาค้นคว้า วิพากษ์วิจารณ์ และถกเถียงกันอย่างสร้างสรรค์ทั้งในหมู่นักกฎหมายและบุคคลทั่วไป ในกรณีที่เป็นข้อบกพร่องจากกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ เนื้อหาของคำพิพากษาต้องกระตุ้นเตือนเพื่อนำไปสู่การแก้ไขหรือยกเลิกกฎหมาย

คำพิพากษา ‘สาธารณะ’ จึงต้องประกอบไปด้วย 2 ปัจจัยสำคัญ ปัจจัยแรก การเข้าถึงคำพิพากษาต้องเป็นไปโดยง่าย ภายหลังอ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟังแล้ว คำพิพากษาต้องเปิดเผยให้สาธารณชนได้รับทราบ เพื่อให้บุคคลทั่วไปได้มีโอกาสวิจารณ์ ปัจจัยที่สอง ผู้พิพากษาต้องคิดอยู่เสมอว่าการเขียนคำพิพากษานั้นเป็นช่องทางการสื่อสารระหว่างองค์กรตุลาการกับสังคม ไม่ใช่เขียนเพียงเพื่อตัดสินคดีให้แล้วเสร็จไป

ประการที่หก การยอมรับคำวิพากษ์วิจารณ์

โดยธรรมชาติขององค์กรตุลาการนั้นเป็นองค์กร ‘ปิด’ และมีจุดเชื่อมโยงกับประชาชนน้อยกว่าองค์กรของรัฐอื่นทั้งนี้เพื่อประกันความเป็นอิสระขององค์กรตุลาการ ลักษณะดังกล่าวอาจนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงให้องค์กรตุลาการกลายเป็น ‘แดนสนธยา’ ได้ง่ายขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าว จึงจำเป็นต้องสร้างระบบการวิจารณ์การทำงานของศาล นั่นก็คือ การวิจารณ์คำพิพากษานั่นเอง

การลำพองตนของผู้พิพากษาว่าตนปฏิบัติหน้าที่ในนามของกษัตริย์ ตนมีพระราชดำรัสของกษัตริย์ที่สนับสนุนและให้กำลังใจ เป็นอุปสรรคและไม่ส่งเสริมให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์คำพิพากษา และอาจทำให้ผู้พิพากษา ‘หลง’ อำนาจจนละเลยสังคมและไม่ใส่ใจความเห็นขององคาพยพอื่นๆ ในสังคม เช่นกัน การสงวน ‘คำพิพากษา’ ไว้ให้เฉพาะผู้พิพากษา ทนายความ หรือคู่ความก็ดี การพยายามสร้างความเชื่อที่ว่า คำพิพากษาเป็นเรื่องกฎหมาย มีแต่นักกฎหมายด้วยกันเท่านั้นที่เข้าใจก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นการสร้างทัศนคติที่คับแคบในหมู่นักกฎหมายว่าในโลกนี้มีแต่นักกฎหมายที่เป็นใหญ่ และผูกขาด ‘ความจริง’ ในนามของกฎหมาย

ในทางกลับกัน การเปิดโอกาสให้บุคคลในวงการกฎหมาย สื่อมวลชน บุคคลทั่วไปได้วิพากษ์วิจารณ์และถกเถียงอย่างสร้างสรรค์ต่อคำพิพากษานั้น ย่อมทำให้คำพิพากษาและศาลได้การยอมรับนับถือ และสร้างความชอบธรรมทางประชาธิปไตยให้กับคำพิพากษาและผู้พิพากษานั้นด้วย การวิจารณ์คำพิพากษาโดยสาธารณชนยังช่วยสร้างกระบวนการประชาธิปไตยให้เข้มแข็งและลึกซึ้งขึ้นตามแนวทาง ‘ประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ’ ซึ่งเป็นที่ยอมรับในปัจจุบันและขยายต่อจาก ‘ประชาธิปไตยทางตรง’ ‘ประชาธิปไตยทางผู้แทน’ และ ‘ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม’

ด้วยเหตุนี้ การ ‘ใช้’ หรือการ ‘ข่มขู่ว่าจะใช้’ กฎหมายที่มีบทลงโทษเกี่ยวกับข้อหา ‘หมิ่นศาล’ หรือ ‘ละเมิดอำนาจศาล’ จึงล้าสมัยและเป็นอุปสรรคต่อความเป็นประชาธิปไตยขององค์กรตุลาการ



.............

ในรัฐเสรีประชาธิปไตยสมัยใหม่ องค์กรตุลาการมีพันธกิจ 4 เรื่องหลักๆ ได้แก่ การวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาท การควบคุมความชอบด้วยกฎหมาย การสร้างกฎเกณฑ์ทางกฎหมายผ่านทางการใช้และตีความกฎหมายในคำพิพากษา และการเป็นผู้เล่นคนหนึ่งในชีวิตทางการเมืองของรัฐ การปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้บรรลุพันธกิจทั้งสี่นี้ ต้องเป็นไปโดยสอดคล้องกับหลักนิติรัฐและหลักประชาธิปไตยอันเป็นคุณค่าพื้นฐานที่รัฐเสรีประชาธิปไตยยึดถือ

แนวทางทั้ง 6 ประการนี้ เป็นการสนับสนุนองค์กรตุลาการให้ปฏิบัติหน้าที่สอดคล้องกับหลักนิติรัฐและหลักประชาธิปไตย ไม่ใช่เป็นการปฏิเสธบทบาทขององค์กรตุลาการในการตัดสินคดีอย่างก้าวหน้า แต่การตัดสินอย่างก้าวหน้าควรประกอบด้วยเหตุผลที่มีความเป็นภาววิสัย มีหลักกฎหมายรองรับ และอธิบายให้สังคมยอมรับนับถือได้ เป็นความกล้าปฏิเสธอำนาจนอกระบบและรัฐประหาร เป็นความกล้าตัดสินเพื่อแก้ ‘วิกฤติ’ ด้วยการพิจารณาอย่างรอบคอบจากจิตสำนึกของผู้พิพากษาและยึดกฎหมายเป็นหลัก ไม่ใช่เป็นการตัดสินที่ ‘คิดว่า’ ก้าวหน้าเพื่อแก้ ‘วิกฤต’ เพราะมีใครคนใดคนหนึ่งออกมากระตุ้นให้องค์กรตุลาการต้องตัดสิน หรือ เพราะต้องการปราบปรามศัตรูทางอุดมการณ์ทางการเมือง

จริงอยู่ ในนิติรัฐ หลักการควบคุมฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารโดยองค์กรตุลาการ และหลักความเป็นอิสระขององค์กรตุลาการ เป็นหลักการสำคัญอันขาดเสียมิได้ แต่หลักการดังกล่าวไม่ได้มีคุณค่าหรือสถานะสูงสุดเหนือกว่าหลักการอื่น จนทำให้องค์กรตุลาการมีอำนาจล้นฟ้าและปราศจากการตรวจสอบถ่วงดุล ตรงกันข้าม หลักการเหล่านี้เป็นหลักการในทางกลไกเพื่อพิทักษ์รักษาหลักการที่มีคุณค่าสูงสุด คือ หลักนิติรัฐและหลักประชาธิปไตย กล่าวให้ถึงที่สุด อำนาจและความอิสระที่นิติรัฐหยิบยื่นให้องค์กรตุลาการนั้น ก็เพื่อให้นำมาใช้ปกป้องนิติรัฐและประชาธิปไตยนั่นเอง หาใช่ให้เพื่อนำมาใช้ทำลายนิติรัฐและประชาธิปไตยไม่

ต้องไม่ลืมว่า องค์กรตุลาการไม่ได้อยู่เหนือประชาธิปไตย แต่เป็นส่วนหนึ่งของประชาธิปไตยเช่นเดียวกันกับองค์กรอื่นๆ การปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรตุลาการให้สอดคล้องกับนิติรัฐ-ประชาธิปไตย และการสำนึกอยู่เสมอว่าตนเป็นส่วนหนึ่งในประชาธิปไตยและมีหน้าที่พิทักษ์ประชาธิปไตย เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้องค์กรตุลาการสามารถยืนหยัดอยู่ในสังคมสมัยใหม่ และสร้างความชอบธรรมให้องค์กรตุลาการในการเข้าไปตรวจสอบอำนาจรัฐ

ในทางกลับกัน หากองค์กรตุลาการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความอคติ ปิดกั้นการวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติหน้าที่ของตน หรือยอมพลีตนรับใช้อุดมการณ์บางอย่างด้วยการเป็นกลไกปราบปรามศัตรูแล้ว ความน่าเชื่อถือต่อองค์กรตุลาการย่อมลดน้อยถอยลง จนในท้ายที่สุด อาจไม่เหลือซึ่งการยอมรับคำพิพากษาของศาล

หากเป็นเช่นนั้น นอกจากองค์กรตุลาการจะไม่บรรลุพันธกิจปกป้องนิติรัฐ-ประชาธิปไตยแล้ว กลับกลายเป็นว่าองค์กรตุลาการนั่นแหละที่เป็นผู้ทำลายนิติรัฐ-ประชาธิปไตยเสียเอง


--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 16/4/2551



โดย: jenifaae วันที่: 5 พฤษภาคม 2551 เวลา:0:25:59 น.  

 

ผู้ใดพบเห็น ด.ญ วรรณวิศา ชมภูนุช (น้องเนย) เด็กในรูปช่วยติดต่อกลับด้วยค่ะ

น้องสาวหายไปตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย. 08 แล้ว

รูปร่างผอม สูงประมาณ 150 ซม. ผิดปกติทางด้านสมอง (สมาธิสั้้น)

มองภายนอกจะไม่ทราบอาการผิดปกติ แต่จะพูดไม่ค่อยชัด

ชุดที่ใส่ในวันที่หายไปจากบ้าน สวมเสื้อยืดสีส้ม กางเกงขาสั้นสีฟ้า

ทางครอบครัวเป็นห่วงมากๆ หากมีผู้ใดพบเห็นขอความกรุณาติดต่อกลับด้วยนะคะ ขอบคุณอย่างยิ่ง

089-7985346 , 083-0516447 - K. นันทวรรณ


เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 24 เม.ย. ร.ต.ท.สุวัฒน์ โพธิ์รี ร้อยเวร สภ.ปากคลองรังสิต อ.เมืองปทุมธานี รับแจ้งพบผู้เสียชีวิตอยู่ภายในคลองเปรมประชากร (หลังหมู่บ้านเมืองเอก) ซอยศาลเจ้าหงส์เต้ากง หมู่ 4 ต.บางพูน จึงพร้อมด้วย พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รอง ผบช.ภ.1 พ.ต.อ.สุรพงษ์ ถนอมจิตร ผกก. พ.ต.ท.อริยะ พันธุฟัก รอง ผกก.สส. พญ.ปรียาพรรณ เพชรปราณี แพทย์เวรสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม และเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญูรุดไปตรวจสอบ
พบศพเด็กสาววัยรุ่นอายุประมาณ 15-18 ปีสวมเสื้อยืดแขนสั้นสีส้ม กางเกงขาสั้นสีฟ้า นอนคว่ำหน้าขึ้นอืดอยู่ในกอผักตบชวา เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯต้องใช้วิธีสอดแผ่นโฟมเข้าไปใต้ร่างก่อนจะชักลากดึงกลับเข้าฝั่งตรวจชันสูตร พบบาดแผลบริเวณกลางแผ่นหลังเป็นรอยคล้ายถูกฟันด้วยของมีคม เสียชีวิตมาประมาณ 5-6 วัน ระหว่างชันสูตรพลิกศพ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณา หงสกุล เพื่อเด็กและสตรี พร้อมด้วยนายดำรงค์และนางสิริทรัพย์ ชมภูนุช ได้เข้ามาร่วมตรวจสอบพบว่าผู้เสียชีวิตคือ ด.ญ.วรรณวิศา ชมภูนุช หรือน้องเนย อายุ 13 ปีอยู่บ้านเลขที่ 2 หมู่ 4 ต.บ้านใหม่ อ.เมืองปทุมธานี บุตรสาวของนายดำรงค์และนางสิริทรัพย์ที่หายตัวไปอย่างลึกลับตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยทั้งคู่จำเสื้อผ้าของผู้เสียชีวิตได้อย่างแม่นยำ ทันทีที่เห็นสภาพศพนางสิริทรัพย์จึงกับช็อกเป็นลมหมดสติต้องช่วยกันปฐมพยาบาลกันพักใหญ่ จึงฟื้นคืนสติ ส่วนศพของน้องเนยได้มอบให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯส่งไปผ่าพิสูจน์หาสาเหตุการตายที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติอีกครั้ง

จากการสอบสวนนายดำรงค์และนางสิริทรัพย์ ระบุว่าน้องเนยเป็นเด็กที่มีอาการของโรคสมาธิสั้น กำลังศึกษาอยู่ชั้น ป.6 โรงเรียนขจรทรัพย์อำรุง ตามปกติจะมีญาติคอยไปรับไปส่งที่บ้านกับโรงเรียน เนื่องจากน้องเนยเป็นเด็กสาวหน้าตาดี หากมองเผินๆจะไม่รู้ว่าเป็นเด็กสมาธิสั้น เมื่อวันที่ 18 เม.ย.ที่ผ่านมา น้องเนยกลับมา ถึงบ้านแต่ไม่มีใครอยู่ จึงออกไปซื้อของที่ร้านค้าใกล้บ้านซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่พบศพไปประมาณ 2 กม.เพียงลำพัง มีพยานเห็นชายต้องสงสัยสวมเสื้อวิน จยย.รับจ้างเข้ามาตีสนิทน้องเนย ก่อนจะพาซ้อนท้ายหายไป ทางครอบครัวได้เข้าแจ้งความไว้ที่ สภ.ปากคลองรังสิตเมื่อวันที่ 19 เม.ย. และเข้าร้องทุกข์ต่อนางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณา หงสกุล เพื่อเด็กและสตรี เมื่อวันที่ 23 เม.ย. เพื่อให้ช่วยเร่งรัดตามหาน้องเนย ขณะเดียวกันพวกญาติได้ช่วยกันพิมพ์ภาพของน้องเนยออกติดประกาศไปทั่วแต่ก็ไม่พบเบาะแส ก่อนจะมาพบศพน้องเนยอยู่ในคลองดังกล่าว

ด้านนางปวีณา หงสกุล เผยว่าหลังจากรับเรื่องร้องทุกข์ไว้ก็ได้ประสานกับทาง พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รอง ผบช.ภ.1 ให้ช่วยติดตามเบาะแสของน้องเนย เพราะเกรงว่าจะเป็นอันตราย ขณะเดียวกันก็นัดหมายให้พ่อแม่ของน้องเนยไปพบที่ สภ.ปากคลองรังสิต ในช่วงเช้าวันนี้ (24 เม.ย.) เพื่อติดตามความคืบหน้าของคดี พอไปถึงโรงพักก็ได้รับแจ้งว่าพบศพเด็กผู้หญิงลอยอยู่ในคลอง จึงพากันมาดูก็พบว่าเป็นศพของน้องเนยจริงๆ คงต้องฝากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยสืบสวนคลี่คลายคดีว่าน้องเนยเสียชีวิตเพราะสาเหตุใดกันแน่

ทางด้าน พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รอง ผบช.ภ.1 เผยว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนว่าน้องเนยเสียชีวิตเพราะตกน้ำตายเองหรือถูกฆาตกรรม คงต้องรอผลผ่าพิสูจน์ศพก่อน ขณะเดียวกันก็จะเร่งสอบปากคำพยานที่เห็นเหตุการณ์วันที่น้องเนยหายตัวไป รวมทั้งพยานคนอื่นๆที่อาจจะพบเห็นน้องเนยก่อนจะเสียชีวิตด้วย หากใครมีเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับคดีสามารถแจ้งไปที่สภ.ปากคลองรังสิต ได้ตลอด 24 ชม.

ไทยรัฐ 25 เม.ย. 2551


"สนามหลวงขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งไปยัง พ่อ-แม่ พี่น้อง เพื่อนๆ ของน้อง เราขอประนามสาปแช่งฆาตรกรผู้นั้น ขออย่าให้เขาได้ผุดได้เกิดมาเป็นมนุษย์อีกเลยชั่วกัปชั่วกัลป์ และขอถามว่า คุณชิงสัตว์มาเกิดทำไม? และขอถามว่าจะให้สัตว์ในร่างมนุษย์เหล่านี้มีโอกาสทำเช่นนี้ได้อีกสักกี่ครั้ง และ อีกสักกี่คน ใคร..ก็ได้ ช่วยตอบที ???"



โดย: jenifaae วันที่: 22 พฤษภาคม 2551 เวลา:16:21:14 น.  

 
*เสวนาเรื่อง "โรงเรียนพ่อแม่…เลี้ยงลูกด้วยจิตตื่นรู้"

โดย : องค์กรร่วมจัด เมื่อ : 17/05/2008 09:34 AM ราชวิถีฟอรั่ม เวทีภาคประชาสังคม
เสวนาเรื่อง "โรงเรียนพ่อแม่…เลี้ยงลูกด้วยจิตตื่นรู้"
วันพฤหัสฯ ที่ 22 พฤษภาคม 2551 เวลา 13.00-17.30 น.
ชั้น 3 ตึก60ปี บ้านราชวิถี กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
______________________________________________

หลักการและเหตุผล
เวทีราชวิถีฟอรั่ม จัดขึ้นเป็นประจำทุกเดือน เพื่อเป็นการสร้างกลุ่มวงสนทนาสร้างสรรค์สังคมในประเด็นต่างๆ เป็นการสร้างพื้นที่ เครื่องมือ และแนวทาง ที่จะร่วมกันสร้างความเข้าใจ และความร่วมมือ ระหว่างภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม และภาครัฐ สู่การพัฒนาสังคม เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนจากฐานหน่วยย่อยขององค์กรตนเอง โดยในครั้งนี้เป็นเวทีการเสวนา "โรงเรียนพ่อแม่…เลี้ยงลูกด้วยจิตตื่นรู้" เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ และมุมมองต่างๆในการเป็นพ่อแม่ในยุคโลกาภิวัตน์ที่สังคมเต็มไปด้วยการแข่งขันและความคาดหวัง และการทำงานในการเยียวยาและป้องกันผลกระทบในระดับรากฐานคือครอบครัว ตลอดจนค้นหาความร่วมมือ และสร้างสรรค์ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในการสร้างความสุขและความเข้าใจในครอบครัว เพื่อเปลี่ยนประสบการณ์การดูแลลูกให้เป็นดั่งของขวัญแห่งชีวิต และเป็นการปฏิรูปทางจิตวิญญาณของพ่อแม่ ในขณะที่ลูกก็ได้เติบโตอย่างอย่างเต็มศักยภาพ เป็นสมาชิกที่มีความสุขและมีคุณภาพของสังคม

วัตถุประสงค์
1. เพื่อแบ่งปันและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ สถานการณ์ ปัญหาและมุมมองต่างๆเกี่ยวกับการเป็นพ่อแม่ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นแม่แบบและตัวแปรสำคัญในคุณภาพของครอบครัว อันเป็นหน่วยย่อยพื้นฐานของสังคม
2. เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในฐานะภาคธุรกิจเพื่อสังคม ในการสร้างแนวทางความร่วมมือกับภาคประชาสังคมและภาครัฐ เพื่อร่วมสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตให้กับครอบครัวและชุมชนในวงกว้างต่อไป

องค์กรร่วมจัด
1. สำนักส่งเสริมเครือข่ายประชาสังคม กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
2. เครือข่ายโรงเรียนพ่อแม่
3. เครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจและภาคประชาสังคมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

ผู้เข้าร่วมเวทีเสวนา
1. องค์กรภาคประชาสังคม ที่สนใจในงานพัฒนาและสร้างสรรค์สังคมเชิงลึกจากรากฐานคือในระดับครอบครัว
2. องค์กรภาคธุรกิจ (เจ้าของกิจการ, เจ้าหน้าที่ HR, หรือเจ้าหน้าที่ CSR ที่สนใจเชื่อมโยง CSR ในการพัฒนาและสร้างสุขภาวะด้านครอบครัวแก่บุคคลากร ลูกค้า และชุมชน)
3. องค์กรภาครัฐที่เกี่ยวข้อง และสนับสนุนการทำงานด้านเด็ก เยาวชน และครอบครัว

กำหนดการ
12.30 ลงทะเบียน
13.00 กล่าวต้อนรับ และเปิดงาน
13.10 กล่าวแนะนำผู้ร่วมบรรยาย และความเป็นมาของโครงการ
13.30-15.00 * พ่อแม่ที่ไม่มีความสุข จะเลี้ยงลูกให้มีความสุขได้อย่างไร ?
* เมื่อลูกต้องเป็นเหยื่อของผลพวงแห่งอดีตของพ่อแม่ อิสรภาพแห่งจิตวิญญาณที่หายไป
* การสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ หนทางสู่การเยียวยา
* การตระหนักรู้เชิงปัญญาปฏิบัติ ในความผ่อนคลาย เป็นมิตรและปลอดภัย
- เครือข่ายโรงเรียนพ่อแม่ 1. คุณปรีดาวรรณ บูรณะรุ่งเรืองกิจ
2. คุณศุภวัลชลี ดิลกสัมพันธ์
3. คุณวรรณภา นุกูลอุดมพานิชย์
15.00 พัก
15.30-16.00 Voice Dialogueกับการตื่นรู้ เพื่อการอยู่อย่างอ่อนโยนต่อตนเองและผู้อื่นและการพัฒนาคุณภาพชีวิต
4. คุณสมพล ชัยสิริโรจน์ (ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดบริษัท ไอซีซี อินเตอร์เนชันแนล จำกัด (มหาชน)
16.00-17.30 เวทีระดมความคิดเห็น ร่วมสร้างความเป็นไปได้ในการสร้างสันติสุขและรอยยิ้มของครอบครัวได้อย่างไร
17.30 กล่าวปิดรายการ

สอบถาม
อภิชา 081-7008282
apicha@ngobiz.org





*สัมมนาเรื่อง "ฮวงจุ้ย : ศาสตร์และศิลป์ ในการออกแบบ"

สุดท้ายมาที่ คณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากรกันบ้าง แต่งานนี้เราไม่ได้แนะให้ไปดูงานศิลปะกันในรั้วมอแต่อย่างใด แต่เห็นทีงานนี้จะเหมาะกับคนที่มีความเชื่อในเรื่องของโชคลาง ความเป็นสิริมงคลที่มาจากเรื่องราวของ "ฮวงจุ้ย" ทิศทางในบ้าน โดย จะจัดการสัมมนาเรื่อง "ฮวงจุ้ย : ศาสตร์และศิลป์ ในการออกแบบ" เพื่อระดมความคิดเห็น แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ระหว่างนักวิชาการ นักออกแบบ ซินแส และประชาชนที่สนใจเกี่ยวกับเรื่องฮวงจุ้ยและสภาพแวดล้อมทางกายภาพ

ทั้งนี้ก็เพื่อนำข้อคิดเห็นที่ได้จากการสัมมนามาประยุกต์ใช้ เป็นแนวทางการออกแบบพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านพักอาศัย และในงานสถาปัตยกรรมภายใน (Interior Architecture)

เอ้า ใครสนใจ ก็รีบเคลียร์ตัวเองให้ว่างในวันพฤหัสบดี ที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๑ นี้ เวลา ๐๘.๐๐ – ๑๗.๐๐ น. เชิญกันได้ที่ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ


โดย: jenifaae วันที่: 6 มิถุนายน 2551 เวลา:17:09:43 น.  

 
*ขอเชิญบุคลากรชาวศิริราชและผู้สนใจเข้าร่วมฟังการเสวนาพิเศษปีที่ 120 โรงพยาบาลศิริราช เรื่อง “สุขกับโลก อยู่กับโรค ด้วยหลักธรรม”


? คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ขอเชิญบุคลากรชาวศิริราชและผู้สนใจเข้าร่วมฟังการเสวนาพิเศษปีที่ 120 โรงพยาบาลศิริราช เรื่อง “สุขกับโลก อยู่กับโรค ด้วยหลักธรรม” ในวันพฤหัสบดีที่ 1 พฤษภาคม 2551 เวลา 09.30 – 11.30 น. ณ ห้องประชุมพิณพากย์ พิทยาเภท ตึก 72 ปี ชั้น 1 โดย พระวินัยธรชาติ กิตติธโร พระนักเทศน์ในทีมพระมหาสมปอง ตาลปุตโต และอาจารย์มัรวาร สะมะอูน รองจุฬาราชมนตรี และท๊อป ดารณีนุช โพธิปิติ เป็นผู้ดำเนินรายการ



? สหสาขาศัลยศาสตร์ยูโรศิริราช ขอเชิญผู้ป่วยและญาติเข้าร่วมกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อนยูโรเอื้ออาทร “หล่อ เท่ห์ และรู้สึกดีแม้เป็นมะเร็ง Look Good feel Better For Men” เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้ป่วยมะเร็งระบบทางเดินปัสสาวะ ในวันอังคารที่ 23 เมษายน 2551 เวลา 13.30 - 15.00 น. ณ ห้องประชุม 703 อาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 7

หมายเหตุ : สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสำรองที่นั่งได้ที่ ดร.ผ่องพักตร์ พิทยพันธุ์ โทร. 0 2419 4237 และคุณจุฑามาศ ค้าแพรดี โทร. 0 2419 7913
ภ.ศัลยศาสตร์


? หน่วยพยาบาลด้านป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพ งานการพยาบาลตรวจรักษาผู้ป่วยนอกฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาล
ศิริราช ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมการอบรมเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชนเรื่อง “นอนกรน” ในวันศุกร์ที่ 25 เมษายน 2551 เวลา 9.30 – 11.30 น. ณ ห้องประชุม 7008 ตึกสยามินทร์ ชั้น 7 โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์นายแพทย์ปารยะ อาศนะเสน

ฝ่ายการพยาบาล


? คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ขอเชิญบุคลากรชาวศิริราชและผู้สนใจเข้าฟังการเสวนาพิเศษปีที่ 120 โรงพยาบาลศิริราช เรื่อง “ศิริราชกับการแพทย์ยุคสงครามโลก ครั้งที่ 2” ในวันอังคารที่ 29 เมษายน 2551 เวลา 09.30 – 11.30 น. ณ ห้องประชุมพิณพากย์ พิทยาเภท ตึก 72 ปี ชั้น 1 โดย ศ.นพ.ประสพ รัตนากร ประธานมูลนิธิวิจัยประสาทในพระบรมราชูปถัมภ์ และ ศ.คลินิกพญ.ชนิกา ตู้จินดา เป็นผู้ดำเนินรายการ


? สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว ม.มหิดล ขอเชิญคณาจารย์ นักศึกษา และผู้สนใจเข้าร่วมฟังการบรรยายพิเศษเรื่อง 'พัฒนาสมองเด็กด้วยของเล่น' โดย รศ.พูนสุข บุณย์สวัสดิ์ ในวันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน 2551 เวลา 09.00 – 15.00 น. ณ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว ม.มหิดล

หมายเหตุ : สนใจกรุณาสำรองที่นั่งได้ที่ คุณ สรารินทร์ และยา หมายเลขโทรศัพท์ 02-4410602-8 ต่อ 1411
หรือที่ //www.cf.mahidol.ac.th/ (รับจำนวนจำกัด)


? ขอเชิญเฝ้ารับเสด็จ ศ.ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงปาฐกถาพระราชทานในช่วงบทนำเวชศาสตร์คลินิก สำหรับนักศึกษาแพทย์ ชั้นปีที่ 4 เรื่อง 'Toxicology' ในวันศุกร์ที่ 25 เมษายน 2551 เวลา 10.00 – 12.00 น. ณ หอบรรยายเฉลิม พรมมาส ตึกอดุลยเดชวิกรม ชั้น 3


? หน่วยพยาบาลด้านป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพ งานการพยาบาลตรวจรักษาผู้ป่วยนอกฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลศิริราช ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมการอบรมเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชนเรื่อง “อ้วนลงพุง” ในวันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน 2551 เวลา 9.30 - 11.30 น. ณ ห้องประชุม 7008 ตึกสยามินทร์ ชั้น 7


? คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ขอเชิญบุคลากรชาวศิริราชและผู้สนใจเข้าฟังการเสวนาพิเศษปีที่ 120 โรงพยาบาลศิริราช เรื่อง “ธรรมมะ เข็มทิศนำชีวิต” วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม 2551 ณ ห้องประชุมพิณพากย์ พิทยาเภท ตึก 72 ปี ชั้น 1 โดย คุณอัจฉราวดี วงศ์สกลผู้บริหาร เซนต์โทรเพร์
ไดมอนด์ และก้อง ปิยะ เศวตพิกุล เป็นผู้ดำเนินรายการ




*สบท.จับผู้ประกอบการขึ้นเวทีสภาผู้บริโภค

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 2 พฤษภาคม 2551 10:48 น.

สบท.จ้องจับผู้ประกอบการขึ้นเวทีสภาผู้บริโภค ตอบปัญหาและหาทางแก้ไขต่อที่สาธารณะ ระบุหากไม่แก้ตามเวลาที่ผู้บริโภคร้องขอ ให้กทช.สั่งปรับในฐานะผู้กำกับดูแล "สุธรรม" เผยกลางปีนี้เลขหมายมือถือกระฉูด 65 ล้านเบอร์หวั่นผู้ประกอบการดูแลลูกค้าไม่ทั่วถึง

นางสาวสารี อ๋องสมหวัง ผู้จัดการมูลนิธิผู้บริโภค เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาผู้บริโภคโทรคมนาคม มีอำนาจในการต่อรองกับผู้ประกอบการกิจการโทรคมนาคมน้อยมาก ทั้งที่มีจำนวนผู้ใช้งานเป็นจำนวนมาก ส่วนผู้ประกอบการมีจำนวนไม่กี่ราย ทั้งนี้เป็นเพราะหากมีการร้องเรียนจะต้องมีต้นทุนจำนวนมาก จึงส่งผลให้ผู้บริโภคเลือกที่จะยอมให้ผู้ประกอบการเอารัดเอาเปรียบต่อไป

* จากการจัดเวทีสถาผู้บริโภคกิจการโทรคมนาคมคมของสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคกิจการโทรคมนาคมหรือ สบท. ที่ผ่านมา ได้มีข้อเสนอว่าแทนที่ผู้บริโภคจะมานั่งบ่นกันเองก็ควรจะมีการจัดเวทีผู้บริโภคแล้วให้ผู้ประกอบการแต่ละรายมานั่งตอบคำถามผู้บริโภคบนเวทีผู้บริโภค ทั้งตอบปัญหาและทั้งรับปัญหาไปแก้ไข

ทั้งนี้ปัญหาที่ผู้บริโภคกิจการโทรคมนาคมได้รับผลกระทบยังคงเป็นปัญหาเดิมที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ทั้งเรื่องคุณภาพการให้บริการ ราคาค่าบริการที่ไม่ตรงกับป้ายโฆษณา หรือ โฆษณาผ่านสื่ออื่นๆ และการส่งเสริมการขายที่รุกรานความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภค เช่น การส่งข้อความสั้นโฆษณาบ่อยครั้งจนสร้างความรำคาญ

อย่างไรก็ดี หากผู้ประกอบการมารับฟังปัญหาในเวทีผู้บริโภคแล้ว รับปากจะจัดการแก้ไขปัญหาตามเงื่อนเวลาที่ผู้บริโภคร้องขอ ก็อาจจะให้คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทช.สั่งปรับผู้ประกอบการในฐานะผู้กำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม

นางสาวสารี กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ดีหลังจากวันที่ 25 พ.ค. ผู้บริโภคจะมีสิทธิและเสียงในการร้องเรียนมากขึ้น เนื่องจากจะมีการประกาศใช้กฎหมายเกี่ยวกับผู้บริโภค โดยผู้บริโภคสามารถร้องศาลปากเปล่าได้หากไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้ประกอบการ และในขณะเดียวกันผู้ประกอบการก็สามารถร้องศาลปากเปล่าได้หากผู้บริโภคไม่ยอมจ่ายค่าบริการ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะส่งผลดีต่อผู้บริโภคผู้บริโภคสามารถร้องทุกข์ได้โดยที่ไม่ต้องเสียต้นทุนจำนวนมากเหมือนที่ผ่านมา

ทั้งนี้ การตั้งสถาบันขึ้นมาเพื่อเป็นศูนย์กลางในการรับข้อร้องเรียนของผู้บริโภคนั้นนับเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยรวมกลุ่มผู้บริโภคให้เป็นกลุ่มก้อนจนเกิดความสามารถในการต่อรองกับผู้ประกอบการจนก่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคได้

นาย สุธรรม อยู่ในธรรม หนึ่งในคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทช. เปิดเผยว่า คาดว่าในเดือนมิ.ย. นี้เลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นเป็น 65 ล้านเลขหมาย เท่ากับว่าประชากร 1 คนจะมีการใช้งานโทรศัพท์มือถือมากกว่า 1 เครื่อง และจะส่งผลให้ผู้ประกอบการมือถือที่มีอยู่เพียง 5-6 รายไม่สามารถดูแลบริการแก่ลูกค้าอย่างทั่วถึง

Company Related Links :
สถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.)


โดย: jenifaae วันที่: 6 มิถุนายน 2551 เวลา:17:10:49 น.  

 
*กิจกรรมวิชาการ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)

โดย : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม 2551 เวลา 10.00 – 12.00 น. ขอเชิญฟังการสนทนาเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ในภาคใต้ของประเทศไทยและมาเลเซียตอนเหนือ โดย Dr.Patrick Jory มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ Dr.Michael Montesano มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ Dr.Chris Baker นำเสนอการสนทนาเกี่ยวกับหนังสือเรื่อง Thai South and Malay North : Ethnic Interactions on a Plural Peninsula ของ Patrick Jory และ Michael Montesano ซึ่งการสนทนาเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้มีบทความของนักวิชาการชั้นนำหลายคน ซึ่งเป็นการทบทวนประวัติศาสตร์ ความสัมพันธ์ของกลุ่มคน บทบาทของชาวจีน ศาสนาและอัตลักษณ์ ที่ช่วยอธิบายความซับซ้อนของอดีตและความรุนแรงในปัจจุบัน ผู้สนใจเข้าฟังโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สอบถามโทร 0 2880 9429 ต่อ 3315 หรือที่ //www.sac.or.th

วันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม 2551 เวลา 13.30 – 15.00 น. บรรยายวิชาการเรื่อง คนก่อนประวัติศาสตร์ถ้ำวังตาแหลว โดย คุณกรกฏ บุญลพ นักวิชาการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร และ คุณสุรีรัตน์ บุบผา วิทยาลัยนวัตกรรมอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่องเล่าจากการขุดค้นบนเขาสูงในเขตบ้านผาแดงทางตอนเหนือของแขวงหลวงพระบาง สปป.ลาว ซึ่งเป็นข้อมูลจากงานภาคสนามครั้งล่าสุดในโครงการวิจัยโบราณคดีลุ่มแม่น้ำโขงตอนกลาง (MMAP) ผู้สนใจเข้าฟังโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สอบถามโทร 0 2880 9429 ต่อ 3315 หรือที่ //www.sac.or.th

วันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน 2551 เวลา 17.30 น. เป็นต้นไป พบกับการแสดงทางวัฒนธรรมครั้งที่ 38 "ปี่พาทย์มอญ : ทางเลือกและทางรอดของดนตรีไทย" โดยคณะ ดนตรีเสนาะ (จ.ปทุมธานี) ร่วมดำเนินรายการโดย อ.อานันท์ นาคคง ฟังเพลงมอญต้นตำรับจากเมืองเมาะตะมะและเพลงฮิพฮอพโดยคณะปี่พาทย์สายครูเจิ้น ดนตรีเสนาะ ชมรำมอญแบบโบราณและแบบใหม่ทันสมัย รับฟัง อ.อานันท์ นาคคง เล่าเรื่องความผูกพันของปี่พาทย์มอญกับชีวิตของคนไทย การแสดงจัดขึ้นที่หอประชุมใหญ่ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ตลิ่งชัน เข้าชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

สอบถามโทร 0 2880 9429 ต่อ 3315 หรือที่ //www.sac.or.th





*หาดแม่รำพึงเฮี้ยน กลืนร่างเด็กม.6

อันตรายของ Rip Current จะเกิดกับคนที่ไม่รู้วิธีรับมือกับมันเมื่อตกเข้าไปในกระแสของมัน เพราะธรรมชาติของคนเรามักจะว่ายน้ำสวนทวนกระแสของRip Current ซึ่งก็มักจะแพ้และหมดแรงต้านทานในที่สุด

เมื่อประสบกับ Rip Current จงอย่าว่ายสวนกระแส แต่ให้ว่ายไปในระนาบของชายฝั่ง ซึ่งเราจะหลุดพ้นจากกระแสได้ในที่สุด จากนั้นจึงค่อยว่ายเข้าฝั่งเมื่อรอดพ้นจากอิทธิพลของมัน Rip Current ที่เกิดจากแนวสันทรายให้น้ำ มักเกี่ยวพันกับฤดูกาลและสภาพอากาศ
หลังฝนตกหนัก หรือ ในช่วงวันที่คลื่นน้ำทะเลปั่นป่วนมักจะมีผลให้ทรายตามชายหาดพังไหลย้อนลงไปตกตะกอนนอกแนวขอบชายฝั่งทะเล ซึ่งทรายเหล่านี้เองเป็นสันทรายใต้นน้ำที่ขัดขวางการไหลย้อนกลับ
ของน้ำทะเลที่ถาโถมเข้าฝั่งด้วยอิทธิพลของคลื่นน้ำทะเลจำนวนมากถูกบังคับให้ไหลกลับออกไปในช่องเปิดของสันทราย และกลายเป็น Rip Currentที่ทรงอานุภาพพร้อมจะปลิดชีพของคนที่ไม่รู้จักมัน

เพราะฉะนั้น หลังฝนตกหนัก หรือ หลังจากวันที่ทะเลปั่นป่วน ห้ามลงเล่นน้ำทะเลสักสองสามวัน เพราะหลังจากนั้นสันทรายทะเลที่เกิดขึ้นจะพังและทรายก็จะถูกหอบขึ้นมากองบนหาดทรายตามเดิม เวลาน้ำพัดเข้าฝั่งมันจะมาแบบนี้
เวลามันกลับจะเป็นแบบนี้ หากเจอ Rip Current ให้ว่ายไปในระนาบของชายฝั่ง


โดย: jenifaae วันที่: 6 มิถุนายน 2551 เวลา:17:11:39 น.  

 
*พิพิธภัณฑ์โชว์จู๋ เดลินิวส์ออนไลน์

ที่ไอซ์แลนด์ มีพิพิธภัณฑ์แนวแปลกที่โด่งดัง เพราะนำอวัยวะเพศชายทั้งของมนุษย์และสัตว์มาจัดแสดงให้ชม!
นายฮจาร์ทาร์สัน วัย 93 ปี เจ้าของพิพิธภัณฑ์ เล่าว่า 'เขาเริ่มสะสมอวัยวะของสิ่งมีชีวิตเพศชายตั้งแต่ปี 1974 ในรูปแบบงานอดิเรก หรือยามว่างจากงานบริหารโรงเรียน'
'ปัจจุบัน เรามีอวัยวะเพศชายของสัตว์กว่า 90 ชนิด จำนวนทั้งหมด 261 ชิ้นได้มาโดยการบริจาค ก่อนนำแสดงเจ้าหน้าที่จะนำอวัยวะไปผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อ บางชิ้นถูกดองในขวดใส บางชิ้นผ่านการทำให้แห้งติดกับแผ่นไม้ประดับที่ผนัง'

จากการสังเกต อวัยวะเพศชายของสัตว์ชนิดหนึ่งที่ทางพิพิธภัณฑ์ยังไม่มีคือ อวัยวะเพศของมนุษย์ โดยนายฮจาร์ทาร์สัน แจงว่า 'เรากำลังรอการบริจาคของชาย 4 คน จากต่างเชื้อชาติที่แสดงความจำนงเอาไว้ว่า เมื่อพวกเขาตาย เขายินดีบริจาคอวัยวะเพศให้กับเราเพื่อนำมาจัดแสดง แต่ระหว่างทีพวกเขายังมีชีวิต มีการนำรูปหล่อพลาสติกที่มีความเหมือนกับอวัยวะเพศของพวกเขามาจัดแสดงไปก่อน แถมยังรับรองด้วยว่านอกจากจะเหมือนแล้ว ขนาดก็ยังเท่ากับของจริงอีกด้วย'

สำหรับอวัยวะเพศที่ใหญ่ที่สุดของที่นั่น คือ อวัยวะเพศผู้ของวาฬ หนัก 70 ก.ก.ยาว 5.58 ฟุต ส่วนสัตว์ที่มีอวัยวะเพศเล็กที่สุด จนต้องมองผ่านแว่นขยาย คือ แฮมสเตอร์ ที่ยาวเพียง 2 มิลลิเมตร เท่านั้น

หลังจากเปิดให้ชมกว่า 34 ปี พิพิธภัณฑ์ดังกล่าวมีบรรดาคุณผู้หญิงสนใจเข้าชมกว่าร้อยละ 60 ต่อปี สร้างกำไรมหาศาลจากค่าเข้าชม 'พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่ไร้สาระ หากคิดให้ดี ผู้ชมจะได้ความรู้ในด้านชีววิทยาผ่านความแตกต่างของอวัยวะเพศผู้ของสัตว์แต่ละประเภท' หญิงสาวผู้เข้าชมกล่าว

การตกแต่งเพื่อเรียกร้องความสนใจสามารถดึงดูดผู้ชมได้มาก เพราะทางด้านหน้า มีรูปปั้นอวัยวะเพศชาย หรือจู๋มนุษย์ตั้งโชว์เด่นเป็นเอกลักษณ์ แถมภายในยังมีการจำหน่ายของที่ระลึกเกี่ยวกับอวัยวะเพศอีกด้วย.





*120 ปี ศิริราช ด้วยพระปิยมหาราชการุณย์

รายละเอียดที่นี่...





*โครงการเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน ปี 2551


รายละเอียดที่นี่...



โดย: jenifaae วันที่: 6 มิถุนายน 2551 เวลา:17:12:20 น.  

 
*ขอเชิญเข้าร่วมการสัมมนาและฝึกอบรม

ด้วยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) จะจัดการสัมมนาและฝึกอบรมเรื่อง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพดี ชีวีสดใส ในวันที่ 23-24 พฤษภาคม 2551 ณ ห้องบางกอกคอนเวนชั่น ชั้น 5 และห้องพลาซา 4-7 ชั้น 4 ห้างสรรถสินค้าเซ็นทรัล พลาซา ลาดพร้าว กทม กิจกรรมประกอบด้วยนิทรรศการการแสดงผลงานของ วว. การปาฐกถา การบรรยายพิเศษ การอภิปราย และการฝึกอบรม

<< รายละเอียด กำหนดการ แบบลงทะเบียน >>


ทั้งนี้ จึงใคร่ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมงานดังกล่าว ส่งแบบตอบรับไปยังฝ่ายฝึกอบรม สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เลขที่ 196 ถนนพหลโยธิน เขตจตุจักร กรุงเทพฯ โทรสาร 0-2940-7431, 0-2561-4771 ภายในวันที่ 16 พฤษภาคม 2551
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร 0-2579-1121-30 ต่อ 4206-10


ขอเชิญเข้าร่วมสัมมนา เรื่อง 'ร่วมแก้วิกฤตพลังงานชาติ : ด้วยงานวิจัย วช.'

ด้วยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ จะจัดสัมมนา 'เรื่อง ร่วมแก้วิกฤตพลังงานชาติ : ด้วยงานวิจัย วช.' ในวันพุธที่ 30 เมษายน 2551 เวลา 08.00 - 16.00 น. ณ โรงแรมมิราเคิลฯ หลักสี่ กทม. เพื่อให้นักวิจัยได้มีโอกาสนำเสนอข้อมูลผลงานวิจัยสู่สาธารณชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

<< รายละเอียด กำหนดการ แบบลงทะเบียน แผนที่ >>


ทั้งนี้ จึงใคร่ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมการสัมมนาดังกล่าว กรอกแบบลงทะเบียนและส่งกลับไปที่โทรสาร 0-2579-4368, 0-2940-5495, 0-2579-2284 หรือ Email : rpcd@nrct.go.th ภายในวันที่ 23 เมษายน 2551
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่คุณสุภาพร, จุฑามาศ, กาญจนา, มัลวิกา โทร. 0-2561-2445 ต่อ 489, 0-2579-2284





*รังสีคอสมิกทำให้ภาพอากาศเปลี่ยนจริงหรือ?

ที่มา ://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?pid=141775

The Intergovernmental Panel on Climate Change (IPCC) ได้ตีพิมพ์รายงานในปี 2007 ที่กล่าวว่าการที่โลกร้อนขึ้นในช่วง 50 ที่ผ่านมาส่วนใหญ่เกิดจากคน อย่างไรก็ตามนักวิจัยบางส่วนเชื่อว่าการที่ดลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นเกิดจากปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ

ปัจจุบันนักฟิสิกส์อนุภาคในสหราชอาณาจักรอ้างว่าสามารถแสดงให้ให้ห้นถึงหลักฐานของการที่รังสีคอสมิกมีผลต่อสภาพอากาศของโลก

แนวความคิดที่รังสีคอสมิกมีผลต่อสภาพอากาศของโลกได้ถูกเสนอโดยนักฟิสิกส์ Henrich Svensmark จาก Dinish Space Research Institute ใน Copenhagen และผู้ร่วมงานในช่วงปี 1995-2000 Svensmark พบว่าลักษณะของเมฆจากภาพถ่านดาวเทียมตั้งแต่ปี 1983 มีความสัมพันธ์กับปริมาณของรังสีคอสมิกที่วัดได้จากเครื่ิองตรวจจับนิวตรอนที่มีอยู่ทั่วโลก ซึ่งตรงกับการเปลี่ยนแปลงของจุดดับบนดวงอาทิตย์ที่มีขึ้นทุก 11 ปี

Svensmarkและผู้ร่วมงานได้เสนอว่าการที่ดวงอาทิตย์มีการเปลี่ยนแปลงของจุดดับมากขึ้นจะทำให้ดวงอาทิตย์ปล่อยอนุภาคมีประจุ(ลมสุริยะ Solar wind)มายังโลกจำนวนมาก ทำให้รังสีคอสมิกมีมาจากแหล่งอื่นลดลงเนื่องจากลมสุริยะทำให้สนามแม่เหล็กสามารถเปลี่ยนทิศทางของรังสีคอสมิกออกจากโลกได้มากขึ้น เขาอ้างว่ารังสีคอสมิกจาก Ionize หยดนํ้าในบรรยากาศทำให้หยดนํ้ารวมตัวกันเป็นไอออน การลดลงของรังสีคอสมิกทำให้ปริมาณเมฆลดลง ทำให้โลกร้อนขึ้น

อย่างไรก็ตามยังมีความไม่แน่นอนในทฤษฎีของ Svensmark ทำให้ IPCC ยังไม่รวมรังสีคอสมิกในสิ่งที่ทำให้สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง

ปัจจุบันงานวิจัยของ Terry Sloan จาก University of Lancaster และ Arnold Wolfendale จาก University of Durhamได้พบข้อโต้แย้งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างรังสีคอสมิกและเมฆ ทั้งคู่กล่าวว่าจากการสังเกตุความสัมพันธ์ระหว่างรังสีคอสมิกและเมฆ ทั้งสองนี้ไม่น่าจะมีความสัมพันธ์กัน

รังสีคอสมิกสามารถเปลี่ยนทิศทางเนื่องจากสนามแม่เหล็กโลกได้แต่การเปลี่ยนทิศทางที่ขั้วโลกจะตํ่ากว่าที่เส้นศูนย์สูตร ดังนั้นผลของลมสุริยะจะทำให้เมฆมีความไม่สมํ่าเสมอ Sloan และ Wolfendale ได้สังเกตุความไม่สมํ่าเสมอของเมฆแต่ก็ไม่พบเลย พวกเขายังได้หาบริเวณที่มีรังสีคอสมิกมากหรือน้อยกว่าปกติจากการเปลี่ยนแปลงของดวงอาทิตย์เพื่อสังเกตุความเปลี่ยนแปลงของเมฆแต่ก็ไม่พบความเปลี่ยนแปลงเลย

จากการวิเคราะห์ทางสถิติ ทีมวิจัยจากสหราชอาณาจักรสรุปว่าการลดจำนวนของเมฆเนื่องจากการลดตัวของรังสีคอสมิกมีน้อยกว่า 23% และชี้ว่าการที่สภาพอากาศของโลกเปลี่ยนแปลงเนื่องจากสาเหตุอื่น พวกเขาเชื่อว่าการวิเคราะห์ของพวกเขาสามารถใช้หาผลกระทบจากรังสีคอสมิกที่มีต่อการที่อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม Sloan และ Wolfendale ไม่ใช่นักฟิสิกส์กลุ่มเดียวที่สนใจผลกระทบของรังสีคอสมิกต่อโลก Rusov จาก National Polytechnic University ใน Odessa, Ukraine และผู้ร่วมงานได้ศึกษาหาความสัมพันธุ์ระหว่างรังสีคอสมิกกับอุณหภูมิ

ทีมวิจัยได้สร้างแบบจำลองสภาพอากาศของโลกซึ่งพลังงานที่ส่งเข้ามามีพลังงานที่ส่งจากดวงอาทิตย์และรังสีคอสมิก ทีมวิจัยพบว่าแบบจำลองให้ผลตรงการการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลกในช่วง 700000 ปีเทียบกับข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์นํ้าแข็งที่ Antarctic

Rusov ได้เห็นว่า Cosmic ray ionization mechanism ของ Svensmark ไม่สามารถอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างรังสีคอสมิกกับเมฆได้ แต่เขาเชื่อว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างรังสีคอสมิกกับเมฆบางอย่างที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ //physicsworld.com/cws/article/news/33645



ขอขอบคุณ
วิชาการ.คอม



โดย: jenifaae วันที่: 6 มิถุนายน 2551 เวลา:17:13:15 น.  

 
*วิธีการที่ช่วยให้คนที่เกษียณหรือผู้สูงอายุแล้วรู้สึกดีเมื่อจะใช้งานคอมพิวเตอร์

การใช้งานคอมพิวเตอร์สำหรับผู้สูงอายุนั้นถือเป็นเรื่องที่ยุ่งยากจริงๆ และไม่ง่ายที่จะใช้หรือทำความเข้าใจว่าจะคลิกอะไรตรงไหน ยิ่งไปกว่านั้นผู้สูงอายุเหล่านี้จะหงุดหงิดและรู้สึกไม่ชอบใจเป็นอย่างยิ่งถ้าหากเกิดปัญหาเล็กๆน้อยเกิดขึ้นระหว่างการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นข้อความแจ้งความผิดพลาดต่างๆของคอมพิวเตอร์ หรือการเชื่อมต่อเครือข่ายต่างๆ

ดังนั้นจึงน่าจะมีวิธีการที่จะช่วยให้คนเหล่านี้มีความรู้สึกสะดวกสบายหรือรู้สึกดีเมื่อใช้งานคอมพิวเตอร์ จากข้อมูลงานวิจัยของนักวิจัยชาวดัตช์ ระบุว่าเทคโนโลยีเหล่านี้โดยเฉพาะพวกคอมพิวเตอร์นั้นควรจะมีการออกแบบให้สามารถเข้าใช้งานได้ง่ายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นขนาดตัวอักษรที่อยู่บนแป้นพิมพ์ ขนาดแป้นพิมพ์ที่ควรมีขนาดใหญ่มากขึ้นกว่าปกติ การใช้งานภาษาก็น่าจะมีให้ใช้แบบไม่ยุ่งยาก และควรจะมีหน้าจอระบบสัมผัส (Touch screen) ที่สามารถใช้นิ้วเป็นตัวชี้เลือกได้ และที่สำคัญการมีความรู้สึกหรือทัศนคติที่ดี หรือคิดในแง่บวกในการเรียนรู้เทคโนโลยี เพื่อให้สนุกกับการใช้งานนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่จะช่วยลดความกดดันและความรู้สึกที่ไม่ดีหากต้องใช้งานคอมพิวเตอร์

ถ้าหากว่าการพัฒนาอุปกรณ์ที่ช่วยให้ผู้สูงอายุเหล่านี้สามารถเข้าใช้งานคอมพิวเตอร์ได้ง่ายขึ้นประสบความสำเร็จและได้รับการตอบรับที่ดี ก็จะเป็นการช่วยให้ผู้สูงอายุหรือคนที่เกษียณไม่รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าสามารถทำอะไรได้เช่นกัน และสามารถใช้งานเทคโนโลยีอย่างคอมพิวเตอร์และอื่นได้แบบไม่มีปัญหา

การพัฒนาเทคโนโลยีในด้านนี้จะเป็นตัวช่วยให้ผู้ที่เกษียณและสูงอายุสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้ง่ายขึ้น

ไม่แน่นะ อีกไม่นานอาจจะเห็นภาพคุณยายเข้าไปใช้งานในร้านอินเตอร์เนตเป็นปกติก็ได้

ที่มา //www.nwo.nl/nwohome.nsf/pages/index

โดย : ธนัช

ขอขอบคุณ
วิชาการ.คอม





*พันธบัตร หุ้นกู้ ที่พึ่งเงินฝาก ยุคหมดความคุ้มครอง




โดย: jenifaae วันที่: 6 มิถุนายน 2551 เวลา:17:14:13 น.  

 
*ประชุมวิชาการ เรื่อง “การพัฒนาความรู้ทางออร์โธปิดิกส์สู่คุณภาพบริการ

โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ จัดการประชุมวิชาการ เรื่อง “การพัฒนาความรู้ทางออร์โธปิดิกส์สู่คุณภาพบริการ”
วันที่ 27 พฤษภาคม 2551 เวลา 08.00 – 16.30 น.
ณ ห้องประชุมแพทย์โดม 3 อาคารคุณากร คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
โดย เวลา 08.30 น. มีบรรยาย เรื่อง “เทคนิคการใส่เฝือกและการดูแล โดย ผู้ช่วยศาสตรจารย์ นายแพทย์ประกาศิต สงวนจิตร
เวลา 09.30 น. มีบรรยาย เรื่อง “การดูแลรักษาผู้ป่วยบาดเจ็บกระดูกสันหลัง” โดย รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ยงยุทธ ศิริปการ
เวลา 11.00 น. มีบรรยาย เรื่อง “การพยาบาลผู้ป่วยทางออร์โธปิดิกส์” โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ฉวี มากพุ่ม
เวลา 13.00 น. มีบรรยาย เรื่อง “การดูแลผู้ป่วยเปลี่ยนข้อเทียม” โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะ ปิ่นศรศักดิ์
เวลา 14.00 น. มีบรรยาย เรื่อง “การแก้ไขความพิการในเด็ก” โดย อาจารย์ นายแพทย์เจน จิตะพันธ์กุล
และเวลา 15.30 น. มีบรรยาย เรื่อง “การรักษาข้อเข่าเสื่อมด้วยวิธีไม่ผ่าตัด” โดย อาจารย์ นายแพทย์มารุต อรุณากูร
ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่ คุณศุภลัคน์ ปู่ประเสริฐ และคุณฉลองรัตน์ กิ่งกุหลาบ
โทร. 0-2926-9334-5 โทรสาร 0-2926-9333
ส่งใบสมัครภายในวันที่ 10 พฤษภาคม




*WTTC 2008 on 9-10 June 2008

8:30- 9:00 Registration

9:00 - 9:10 Welcoming Speech by Thai Government Representatives

9:10- 9:30 Current State of Thai National Grid Project,
Dr. Putchong Uthayopas, Thai National Grid Center, Thailand

9:30- 10:30 Keynote Speech on Future of HPC technology
Dr. Thomas Sterling, LSU

10:30-10:50 Coffee Break

10:50-11:30 Topic in Parallel Programming language and paradigm
Dr. Alex Shafarenko, University of Hertfordshire, UK.

11:30-12:10 General Purpose GPU computing
Representative from NVIDIA, USA

12:10-13:20 Lunch

13:30-14:10 Advanced Checkpoint Fault Tolerance Solutions for HPC
Dr. Paul H. Hargrove, Lawrence Berkeley National Laboratory, USA

14:10-14:50 Human Cell simulation: an important computing paradigm for new life-science discovery .
Dr. Xian-He Sun ,Professor of Computer Science, Illinois Institution of Technology.

14:50-15:10 Coffee break

15:10-15:50 High Performance Simulations in Biology: Implications for Health, Energy and Environment
Dr. Pratul Agarwal,Oak Ridge National Laboratory, USA

15:50-16:30 Thai HPC consortium, Panel discussion
Dr. Chokchai Box Leangsuksun, Louisiana Tech University, USA.


--------------------------------------------------------------------------------

Workshop agenda June 10, 2008 (Tutorial day)

Tutorial Session #1


Advanced MPI Programming with multicore systems, Rajiv Thakur, MCS, Argonne National Laboratory, USA.
Tutorial Session #2

GPGPU by NVIDI

WTTC2008
About
Program
Speakers
Venue
Registration
Contact




*ไทย-พม่าเตรียมหารือส่งกลับผู้รอดชีวิตจากรถบรรทุกห้องเย็น ทนายเร่งประสานเรียกร้องค่าชดเชย

7 พ.ค.51 ความคืบหน้ากรณีการเสียชีวิตของชาวพม่า 54 คนบนรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์แช่แข็งที่จังหวัดระนองเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา เนื่องจากขาดอากาศหายใจระหว่างลักลอบเดินทางไปขายแรงงานยังจังหวัดภูเก็ต ขณะนี้ผู้รอดชีวิตกว่า 60 คนยังถูกควบคุมตัวอยู่ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดระนอง เพื่อเตรียมส่งตัวกลับประเทศในเร็วๆ นี้ โดยในเบื้องต้นพนักงานสอบสวนของไทยได้กันผู้รอดชีวิตไว้ 9 คนที่จะไม่ส่งกลับประเทศเพื่อเป็นพยานในคดีอาญา

นายธนู เอกโชติ อนุกรรมการสิทธิมนุษยชน ด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติ และผู้พลัดถิ่น สภาทนายความ ระบุว่า ในวันที่ 13 พ.ค.นี้ จะมีการหารือร่วมกันระหว่างผู้ว่าราชการจังหวัดระนองและทางการพม่าเรื่องการส่งตัวผู้รอดชีวิตกลับประเทศ โดยคณะทำงานจากสภาทนายความจะร่วมเข้าหารือด้วย เพื่อรับฟังข้อมูลจากเจ้าหน้าที่พม่าว่าเมื่อส่งกลับประเทศแล้วพวกเขาจะถูกดำเนินคดีหรือไม่ หรือจะถูกควบคุมตัวไว้ที่ใด รวมถึงการประสานขอเอกสารสำคัญต่างๆ เพื่อนำมาเรียกร้องสิทธิในการชดเชยค่าเสียหายกับบริษัทประกันในประเทศไทย

นายธนู ระบุ ผู้รอดชีวิตสามารถเรียกร้องค่าเสียหายตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ซึ่งบริษัท ลิเบอร์ตี้ประกันภัย จำกัด ผู้รับผิดชอบได้แจ้งเบื้องต้นว่ายินดีจ่ายค่าเสียหายให้รายละ 35,000 บาท แต่ยังติดขัดเรื่องเอกสาร เนื่องจากพวกเขาไม่มีบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้านหรือเอกสารสำคัญอื่นๆ โดยเฉพาะผู้ที่มีญาติ หรือสามีหรือภรรยาเสียชีวิตในเหตุการณ์ซึ่งจะได้รับค่าชดเชย 100,000 บาทก็ไม่มีเอกสารสำคัญระบุความเป็นทายาท หรือทะเบียนสมรส ทางสภาทนายความจึงอยากประสานกับทางการพม่าเพื่อออกเอกสารสำคัญเท่าที่ทำได้เพื่อนำมาเป็นหลักฐานเรียกค่าชดเชยกับบริษัทประกันในฝั่งไทย นอกจากนี้ทางสภาทนายความยังอยู่ระหว่างการประสานกับบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่เจ้าของรถได้ทำประกันภัยชั้น 1 ไว้เพื่อตรวจสอบว่าจะสามารถจ่ายค่าชดเชยให้ผู้เสียหายได้ในวงเงินเท่าใด

ทั้งนี้ นายธนูกล่าวด้วยว่า ยังไม่แน่ใจว่าการประสานในครั้งนี้จะได้ผลแค่ไหน เพราะหากไม่ได้เอกสารหลักฐานใด ก็ไม่สามารถจะดำเนินการเรียกร้องค่าชดเชยตามกระบวนการในประเทศไทยได้

--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 8/5/2551




*ธีรยุทธ บุญมี อีกด้านชีวิตที่"อิ่มสี"

มนตรี จิรพรพนิต
วันที่ 04 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 18 ฉบับที่ 6365 ข่าวสดรายวัน

ธีรยุทธ บุญมี อดีตเลขาธิการ ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ผู้นำนักศึกษาในเหตุการณ์ 14 ตุลา ปัจจุบันเป็นอาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

เป็นนักวิชาการ นักคิดทางการเมือง ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล กลายเป็น "ขาประจำ" ทางการเมือง ออกมาเสนอแนะ ติติง และกระตุ้นเตือนการทำงานของรัฐบาล โดยอธิบายถึงปรากฏการณ์ทางสังคมวัฒนธรรม และคาดการณ์ทิศทางของประเทศเมื่อเผชิญกับวิกฤตสำคัญต่างๆ

แต่ในอีกมุมหนึ่งของชีวิตอาจารย์ธีรยุทธ ชื่นชอบงานศิลปะ และลงมือสร้างสรรค์ผลงานขึ้นเอง เสมือนเป็นอีกหนึ่งภารกิจของชีวิต ที่อาจารย์ธีรยุทธหมกมุ่นและทุ่มเทให้

ส่วนหนึ่งของผลงานที่ธีรยุทธสร้างสรรค์ออกมาจากปลายพู่กัน เป็นภาพสีน้ำและสีฝุ่น ถูกนำไปจัดแสดง ณ สถาบันปรีดี พนมยงค์ ในชื่อว่า "อิ่มสี (Saturaed Colors)" โดยมีนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน

ภาพที่นำมาจัดแสดงมีจำนวนกว่า 100 ภาพ ส่วนใหญ่เป็นภาพดอกไม้ และธรรมชาติ ที่มีสีสันสดใสงดงาม ตามความต้องการเจ้าของผลงาน ที่เคยบอกไว้ว่า อยากผลักดันสีทุกสีที่ใช้ ไม่ว่าจะเป็นสีเขียว แดง ม่วง สีดิน ให้ไปสุดขั้วของมัน เพื่อแสดงภาวะสุดขั้วทางอารมณ์บางอย่าง

พร้อมทั้งยังร่วมกันพูดคุยในหัวข้อ "จากฉากลิเกสู่ศิลปินชายขอบ" เพื่อเปิดเผยที่มาของชีวิตอีกด้าน

*อาจารย์ธีรยุทธย้อนอดีตมีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยเด็ก อายุประมาณ 10-11 ขวบ พ่อมีงานอดิเรกเป็นโต้โผลิเก ให้ช่าง ซึ่งเป็นทหารนายสิบ มาเขียนฉากท้องพระโรงลิเกที่สโมสรทหารใกล้บ้าน

ครั้งนั้นรู้สึกประทับใจมาก เพราะช่างสามารถเปลี่ยนฉากผ้าแบนๆ ให้ดูเป็นทิวทัศน์ต้นไม้ให้ความรู้สึกเหมือนลึกเข้าไปไกลมาก ส่วนเสาท้องพระโรงเขียนออกมาได้กลมกลึงเหมือนของจริงมาก

เกิดความรู้สึกที่อยากจะเขียนออกมาบ้าง จึงขอลองวาดต้นไม้และเสาท้องพระโรงดูบ้าง ออกมาดูดีใช้ได้ พ่อเลยให้ค่าแรงมา 10 บาท

ตอนนั้นในตลาดร่ำลือกันว่าเขียนรูปเก่ง จนร้านตัดผม ร้านข้าวแกง มาขอให้เขียนป้ายราคา เขียนภาพประกอบ ได้เงินครั้งละ 10-15 บาท

ทำให้รู้สึกว่า อยากเลิกเรียนออกมาเขียนการ์ตูนขาย เพราะช่วงนั้นชอบงานวาดของ "จุก เบี้ยวสกุล" ในเรื่องเจ้าชายผมทอง และ "ราช เลอสรวง" เรื่องสิงห์ดำ

เมื่อลองวาดดูแล้วพบว่า ยังไม่ถึงขั้น เพราะไม่เคยเรียนเรื่องกายวิภาคมา จึงวาดรูปร่างคนไม่สวย และยังคงเรียนหนังสือต่อไป ตามเดิม

สมัยที่เป็นเด็กถือว่าเป็นคนที่วาดรูปเก่ง วาดรูปส่งประกวดได้รางวัลมาหลายครั้ง ขณะเดียวกันวิชาสามัญ อย่างวิชาคณิต วิชาวิทยาศาสตร์ ก็เรียนเก่งด้วย

มาเริ่มเรียนรู้จริงจังในเรื่องการวาดรูป และพูดได้เต็มปากว่าวาดรูปเป็น คือเมื่อครั้งเรียนอยู่ที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ครูสอนศิลปะ คือ ครูจำนง จะสอนว่า สีชุ่มๆ น้ำโชกๆ ใจกล้าๆ ทำให้นักเรียนสวนกุหลาบสมัยนั้นวาดภาพเป็นทุกคน

*พื้นฐานการวาดภาพสมัยเรียนสวนกุหลาบยังติดตัวมาจนถึงทุกวันนี้ แม้จะเรียนต่อในสายวิทยาศาสตร์ และมีเหตุต้องเข้าป่าไป ก็ยังให้เพื่อนช่วยส่งสี และส่งกระดาษเข้าไปให้ในป่า เพื่อวาดรูป

อาจารย์ธีรยุทธเล่าว่า สมัยที่อยู่ป่าจะวาดรูปออกมามาก แต่ที่เหลือออกมาจากป่ามีเพียงรูปเดียว คือ รูปกระท่อม เป็นบ้านที่อาศัยอยู่กับภรรยา ในพื้นที่ซึ่งเรียกว่า "อาร์สาม" อยู่ติดกับเมืองลา ในประเทศลาว ใกล้พรมแดนประเทศจีน ประมาณพ.ศ.2522 ภาพนี้เป็นภาพเก่าที่สุดที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน

สมัยออกจากป่าไปเรียนที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ พบรูปสวยๆ มากมาย ตามร้านขายของหรือแกลลอรี่ต่างๆ แต่ยังไม่ได้วาดรูปเป็นเรื่องราว กระทั้งไปเจอเพื่อนคนหนึ่งสมัยไปเที่ยวที่ประเทศเยอรมัน เป็นชาวปีนัง หนีออกจากปีนังนั่งเรือมาอยู่ที่ยุโรป เป็นคนที่ชอบวาดภาพป่ามาก และชอบเพื่อนคนนี้ตรงที่ใช้สีได้อิ่มเต็มที่ จนเกิดความประทับใจชอบที่จะวาดรูปป่ามาโดยตลอด

ส?วนตัวแล้วผมไม่ชอบศิลปะที่มาตามทฤษฎี แบบศิลปะที่บรรดาครู บรรดามาสเตอร์เขาทำกัน เมื่อโตมาสมัยอยู่มัธยมเริ่มได้ยินชื่อท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ และถวัลย์ ดัชนี กำลังมีชื่อขึ้นมาจากภาพศาสนา ภาพวิจารณ์สังคม เป็นภาพที่แรงมาก และเริ่มมีการถกถึงเรื่องของภาพแอบสแตร็ก ผมไปดูเหมือนกัน แต่ไม่ซึมซับว่าสวย" อาจารย์ธีรยุทธพูดถึงแนวภาพที่ชอบเป็นส่วนตัว

พร้อมทั้งยังเล่าว่าชอบภาพของ ครูเหม เวชกร และของเปี๊ยก โปสเตอร์ โดยเฉพาะการเขียนโปสเตอร์ที่หน้าโรงหนังเฉลิมไทย เห็นว่าองค์ประกอบดี ดูแล้วรู้สึกว่าเท่ดี ที่เห็นพระเอกยืนเรียงแถว

และรู้สึกเองว่างานของศิลปินทั้ง 2 ท่านนี้ เป็นงานสีน้ำที่อิ่ม สวยงาม ไม่ค่อยเห็นอีกแล้วในปัจจุบัน

อาจารย์ธีรยุทธบอกว่า เมื่อผ่านชีวิตมาช่วงหนึ่ง เริ่มเกิดคำถามกับตัวเองว่า การวาดภาพฉากลิเก เป็นศิลปะหรือไม่ เพราะสมัยก่อนเรามักคิดว่า งานศิลปะ หรือวัฒนธรรม เป็นของสูง จะต้องถูกสร้างสรรค์โดยศิลปินที่มีชื่อเสียง ไม่ใช่สิ่งที่ถูกผลิตขึ้นมาอย่างพื้นๆ

แต่เมื่อมีประสบการณ์มากขึ้น ผ่านการเรียนรู้ต่างๆ กระทั่งเป็นอาจารย์สอนหนังสือแล้ว จึงคิดได้ว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงการปรุงแต่งขึ้นของมนุษย์เท่านั้นเอง

ในมุมมองของอาจารย์ธีรยุทธ จึงสรุปความเป็นงานศิลปะว่า คือ สิ่งที่เป็นสามัญ วิถีชีวิตเราก็เป็นศิลปะได้ ทุกคนสามารถทำงานศิลปะได้ เพราะว่างานศิลปะ เป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ ไม่ใช่เพียงเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่ของเหล่าศิลปินเท่านั้น

เป็นอีกแง่มุมหนึ่งของนักวิชาการนักคิดทางการเมืองคนดัง

หน้า 5


โดย: jenifaae วันที่: 6 มิถุนายน 2551 เวลา:17:14:41 น.  

 
*Multi-Channel Business Solutions อีกก้าวสำคัญกับรูปแบบธุรกิจแนวใหม่ของ ยูนิลีเวอร์

Multi-Channel Business Solutions
อีกก้าวสำคัญกับรูปแบบธุรกิจแนวใหม่ของ ยูนิลีเวอร์

บริษัท ยูนิลีเวอร์เชื้อเชิญให้ทุกท่านได้เข้ามาเยี่ยมชมงาน วันธุรกิจใหม่กับภาคธุรกิจผลิตภัณฑ์ชั้นสูง เพื่อร่วมรับฟัง การดำเนินรูปแบบธุรกิจแนวใหม่ หลากหลายช่องทาง หรือ Multi-Channel Business Solutions

- พบเรื่องราวของทั้ง 4 โมเดลธุรกิจ MCBS
- ความแข็งแกร่งของ ยูนิลีเวอร์ และการเป็นหุ้นส่วนธุรกิจร่วมกัน
- นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่แตกต่าง

ฟรี สัมผัสผลิตภัณฑ์นวัตกรรมความงานชั้นสูง และ
รับการตรวจวิเคราะห์สภาพผิวและเส้นผมจากผู้เชี่ยวชาญ

กรุงเทพ
ในวันเสาร์ ที่ 17 พฤษภาคม เวลา 13.00 - 17.30 น.
ณ สถาบันธุรกิจ ยูนิลีเวอร์ ชั้น 12
ตึกไทยพาณิชย์ปาร์ค พลาซ่า อาคาร 2 เวสท์ ถ.รัชดาภิเษก กรุงเทพฯ




*ความเสียหายหลัง 'นาร์กิส' ภาพจากพม่าชุดล่าสุด

Prachatai Burma ได้รับภาพถ่ายในพื้นที่รอบนอกของพม่าแห่งหนึ่ง บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำอิระวดี แสดงให้เห็นความเสียหายจากพายุไซโคลนนาร์กิส โดยพายุลูกดังกล่าวส่งผลทำให้บ้านเรือน ไร่นา แหล่งน้ำสะอาด สาธารณูปโภคพังเสียหาย และมีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ และไร้ที่อยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก ความเสียหายกินบริเวณกว้างในภูมิภาคพะโค อิระวดี และย่างกุ้ง ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญของการปลูกข้าวของพม่า

ส่วน 'คมชัดลึกออนไลน์' เป็นเผยว่า โฆษกกระทรวงต่างประเทศพม่าแถลงวันนี้ (9 พ.ค.) ว่า ได้เนรเทศทีมเจ้าหน้าที่กู้ภัยและค้นหา ตลอดจนผู้สื่อข่าวที่เดินทางมาจากกาตาร์ถึงพม่าเมื่อวันพุธออกนอกประเทศไปแล้วในวันนั้น โดยให้เหตุผลว่าไม่ได้รับแจ้งมาก่อนว่าจะมีเจ้าหน้าที่กู้ภัยมาด้วย และขณะนี้พม่าให้ความสำคัญอันดับแรกกับการรับความช่วยเหลือด้านการบรรเทาทุกข์ และกำลังพยายามลำเลียงสิ่งของบรรเทาทุกข์ไปยังพื้นที่ประสบภัยโดยเจ้าหน้าที่พม่าเอง ทำให้รัฐบาลยังไม่พร้อมยอมรับทีมกู้ภัยและค้นหารวมทั้งนักข่าวจากต่างชาติ

นอกจากนี้พม่าต้องการรับเงินบริจาคหรือความช่วยเหลือฉุกเฉินเท่านั้น ซึ่งกำลังต้องการอุปกรณ์การแพทย์ อาหาร เสื้อผ้า เครื่องปั่นไฟ และบ้านพักชั่วคราว จนถึงขณะนี้มีเที่ยวบินบรรทุกสิ่งของจำเป็นจากนานาชาติเข้าไปถึงนครย่างกุ้งตามการอนุมัติของรัฐบาลพม่ารวม 11 เที่ยวบิน

ขณะที่จอห์น โฮลเมส เจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านมนุษยธรรมของสหประชาชาติ แสดงความผิดหวังที่ยังไม่มีความคืบหน้าจากทางรัฐบาลทหารพม่าในการอนุมัติวีซ่าให้เจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ต่างชาติเข้าไปให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ยูเอ็นประเมินว่ามีมากถึง 1 ล้าน 5 แสนคน

มีรายงานว่าผู้เชี่ยวชาญประเมินภัยพิบัติของยูเอ็น 2 คนจากทั้งหมด 4 คนสามาถเข้าไปในพม่าได้แล้วเมื่อวาน แต่อีก 2 คนยังติดปัญหาอยู่ทำให้ไม่ได้รับอนุญาต ส่วนเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ของยูเอ็นอีกราว 40 คนที่ติดค้างอยู่ในไทย กำลังรออนุญาตวีซ่า









โดย : ประชาไท วันที่ : 9/5/2551




*คนรักหมารวมพลถล่ม กทม. ฟ้องศาลปกครองเพิกถอน “กม.ฝังชิพ” ชูทำหมันคุมประชากรหมา

ธนวัฒน์ เพ็ชรล่อเหลียน
Permalink : //www.oknation.net/blog/thanawatphet

นายประหยัด เสมวิรัช ทนายความกลุ่มประชาชนผู้เลี้ยงสุนัข กล่าวว่า ได้เดินทางไปยื่นฟ้องร้องศาลปกครองเพื่อขอให้พิจารณาระงับและเพิกถอนข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร (กทม.) เรื่องการควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสุนัข พ.ศ.2548 เนื่องจากเห็นว่าเป็นการออกข้อบัญญัติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และสร้างภาระให้กับประชาชนทั่วไปที่เลี้ยงสุนัข
นายประหยัด กล่าวว่า กทม.ประกาศข้อบัญญัติดังกล่าวเพื่อให้ประชาชนนำสุนัขไปจดทะเบียนฝังไมโครชิพ พร้อมบันทึกรายละเอียด รูปพรรณสัณฐาน ซึ่งเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาสุนัขจรจัดในพื้นที่ กทม. โดยจะมีผลบังคับใช้วันที่ 5 ก.ค. ซึ่งจะทำให้ผู้ครอบครองสุนัขและผู้ที่ไม่ใช่เจ้าของสุนัข แต่ให้การเลี้ยงดูสุนัขต้องรับผิดชอบหากกระทำผิดข้อบัญญัติ โดยจะถูกปรับไม่เกิน 5,000 บาท ซึ่งถือว่าไม่มีความเป็นธรรม
นายประหยัด กล่าวว่า การฝังไมโครชิพมีจุดประสงค์เพื่อต้องการให้เจ้าของสุนัขรับผิดชอบต่อสุนัขที่อยู่ในการดูแล ไม่ปล่อยทิ้งไว้ตามที่สาธารณะจนกลายเป็นสุนัขจรจัดและเป็นภาระสังคม แต่ขณะนี้ กทม.ยังไม่มีความพร้อมทั้งในด้านอุปกรณ์ บุคลากร และระบบฐานข้อมูล ขณะเดียวกันก็ไม่ครอบคลุมถึงการทำหมัน ซึ่งเป็นหลักสำคัญในการควบคุมปริมาณสุนัข ดังนั้นในทางปฏิบัติจึงไม่สามารถแก้ปัญหาได้จริง
“กทม.ยังไม่สามารถจัดระบบการฝังไมโครชิพได้อย่างครบวงจร เพราะยังขาดอุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องสแกน ระบบเครือข่ายฐานข้อมูล ระบบติดตามแบบจีพีเอส ส่งผลให้ไม่สามารถตามหาเจ้าของสุนัขได้ ขณะที่ในต่างประเทศจะใช้วิธีการฝังชิพควบคู่ไปกับการทำหมัน ซึ่งจะสามารถควบคุมปริมาณสุนัขได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า” นายประหยัด กล่าว
น.ส.บุณฑริกา ประสงค์ดี อดีต สก.เขตลาดพร้าว พรรคไทยรักไทย กล่าวว่า ข้อบังคับดังกล่าวไม่เป็นธรรมเพราะประชาชนต้องเสียค่าใช้จ่ายในการฝังชิพสุนัขถึงตัวละ 300-500 บาท โดยผู้ที่มีสุนัขในครอบครองจำนวนมากจะต้องแบกรับค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งอาจทำให้ไม่สามารถเลี้ยงดูได้ และก่อให้เกิดปัญหาการทอดทิ้งสุนัข หรือปล่อยไว้ตามที่สาธารณะจนกลายเป็นสุนัขจรจัดในที่สุด
“ถ้าจะบังคับใช้ข้อบัญญัตินี้ กทม.ควรมีนโยบายสำหรับรองรับค่าใช้จ่ายทั้งหมด ไม่ใช่ผลักภาระไปให้ผู้เลี้ยงรับผิดชอบ ซึ่งขณะนี้พื้น กทม.มีสุนัขบ้านและสุนัขจรจัดรวมกว่าล้านตัว โดยเท่าที่ได้ลงพื้นที่สำรวจ พบว่าประชาชนยังไม่ทราบถึงการประกาศใช้ข้อบัญญัติดังกล่าวอย่างทั่วถึง ฉะนั้นตาสีตาสาที่ไม่ได้นำสุนัขไปฝังชิพก็จะถูกปรับถึงตัวละ 5,000 บาท” น.ส.บุณฑริกา กล่าว
น.ส.บุณฑริกา กล่าวว่า แนวทางการแก้ปัญหาสุนัขจรจัดที่มีประสิทธิภาพคือ ควรควบคุมด้วยการทำหมันสุนัข ควบคู่กับการฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้า โดยที่ผ่านมา กทม.ยังแก้ปัญหาไม่จริงจัง อีกทั้งขาดแคลนสัตวแพทย์ เวชภัณฑ์ และเครื่องมือทางการแพทย์
ด้าน นพ.สิทธิสัตย์ เจียมวงศ์แพทย์ รองปลัด กทม. กล่าวว่า การออกข้อบัญญัติดังกล่าวเป็นหนึ่งในนโยบายจัดระเบียบสังคม เพื่อแก้ปัญหาสุนัขจรจัดที่สร้างความเดือดร้อนรำคาญแก่ประชาชนทั่วไป โดย กทม.ได้ดำเนินการตามกฎหมายถูกต้องทุกประการ
“เจ้าของสุนัขยังไม่ต้องกังวล หากไม่ปล่อยให้สุนัขออกไปสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนรอบข้างก็ไม่จำเป็นต้องฝังชิพ เพราะ กทม.จะไม่บุกเข้าไปตรวจค้นถึงในบ้าน ซึ่งก่อนหน้านี้ กทม.มีนโยบายลดปริมาณสุนัขจรจัดด้วยการทำหมัน ส่วนสุนัขที่มีเจ้าของ กทม.ได้ให้บริการฝังไมโครชิพฟรี 5 หมื่นตัว และในอนาคตจะมีการสั่งไมโครชิพเพิ่มอีก 5 หมื่นชิ้น” นพ.สิทธิสัตย์ กล่าว


โดย: jenifaae วันที่: 6 มิถุนายน 2551 เวลา:17:15:00 น.  

 
*ทัศนะคนทำงานกับขบวนการแรงงาน: ทำไมแรงงานไทยต้องสมานฉันท์กับแรงงานข้ามชาติ?

วิทยากร บุญเรือง


จากโศกนาฏกรรม 54 ศพ ทำให้สังคมไทยหันกลับมาตั้งคำถามกับปัญหาการขูดรีดแรงงานข้ามชาติมากขึ้น แต่ "อคติ-มายาคติ" เกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติในสังคมนี้ก็ยังไม่ได้ถูกลบเลือนไปเลยทีเดียว ทั้งประเด็นการแย่งงาน หรือการก่ออาชญากรรมโดยแรงงานข้ามชาติ ยังเป็นสิ่งที่คนไทยตระหนกตื่นกลัวอยู่ตลอดเวลา

แต่ทั้งนี้คนทำงานเกี่ยวกับแรงงานจริงๆ ได้ให้เหตุผลที่น่าสนใจเกี่ยวกับประเด็นแรงงาน โดยให้แง่คิดว่าปัญหาของแรงงานทั้งมวลนั้น หากใช้กรอบชาตินิยมวิเคราะห์แล้ว เราจะไม่ได้หนีไปจากวังวนเดิมๆ และการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกจุดจะยิ่งทำให้สถานการณ์แรงงานทั้งของคนไทยเองหรือเพื่อนต่างชาติพันธุ์เลวร้ายลงไปเรื่อยๆ

นอกเหนือจากมุมมองของขบวนการสิทธิมนุษยชนกับการบรรเทาปัญหาของแรงงานข้ามชาติแล้ว ในอีกด้านหนึ่งการตื่นตัวของขบวนการแรงงานด้วยกันเองต่อปัญหาการกดขี่แรงงานข้ามชาตินี้ จึงเป็นสิ่งสำคัญ

โดยเฉพาะประเด็นการยอมรับและเปิดใจให้กว้างของขบวนการแรงงานไทยในสถานประกอบการณ์ที่มีแรงงานข้ามชาติ การเชิญชวนแรงงานข้ามชาติเข้าเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน ที่ปัจจุบันแทบที่จะไม่มีเลย รวมถึงข้อกฎหมายที่ไม่ให้แรงงานข้ามชาติจัดตั้งสหภาพแรงงานของตนเองได้

ลองมาดูทัศนะคนทำงานกับแรงงาน เกี่ยวกับประเด็นสมานฉันท์แรงงานไทยกับแรงงานข้ามชาติ โอกาส อุปสรรค และความเป็นไปได้…


โครงการรณรงค์เพื่อแรงงานไทยชี้ ขบวนการแรงงานไทยต้องสมานฉันท์แรงงานข้ามชาติ


จารุวัฒน์ เกยูรวรรณ จากโครงการรณรงค์เพื่อแรงงานไทย (Thai Labour Campaign: TLC) ที่ในอดีตก็เคยทำงานคลุกคลีในเรื่องสิทธิมนุษยชนของแรงงานข้ามชาติโดยเฉพาะแรงงานพม่า ได้ให้ภาพรวมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างขบวนการแรงงานไทยและแรงงานข้ามชาติ

ในประเด็นการกีดกันแรงงานข้ามชาติของขบวนการแรงงานไทย นั้นจารุวัฒน์เห็นว่า ถ้าเป็นการกีดกันในเชิงรูปธรรมระหว่างแรงงานไทยมีต่อแรงงานข้ามโดยตรงก็คงไม่มีที่ชัดเจนนัก แต่ก็คงมีอคติเช่นเดียวกับคนทั่วไปในสังคมไทย เช่นเดียวกับที่สื่อไทยนำเสนอ เช่นกลัวว่าแรงงานข้ามชาติจะมาก่ออาชญากรรม หรือเรื่องการแย่งงาน

ซึ่งจารุวัฒน์เห็นว่าประเด็นการกีดกันจากแรงงานไทยนั้นยังเป็นประเด็นลางๆ เพราะความเป็นจริงคนไทยก็ยังมีงานทำที่ดีอยู่ ส่วนงานที่แรงงานข้ามชาติทำก็เป็นงานที่คนไทยไม่ค่อยทำแล้ว เพราะเป็นงานที่หนัก สกปรก และก็เหนื่อย เช่นประมง ก่อสร้าง หรือแม่บ้าน

แต่ก็มีกรณีที่น่าสนใจคือ การที่นายจ้างเข้าไปเกี่ยวข้องเพื่อให้มีการแบ่งแยกกีดกันระหว่างแรงงานเสมอ เช่นมีกรณีหนึ่งที่เคยรับรู้มาโรงงานในภาคตะวันออกแห่งหนึ่ง แรงงานไทยกำลังต่อสู้เรียกร้องกับนายจ้าง และมีการนัดหยุดงานด้วย แต่นายจ้างกลับเอาแรงงานกัมพูชาเข้ามาทำงานแทนแรงงานไทยที่หยุดงาน สหภาพแรงงานก็เลยแจ้งตำรวจมาจับแรงงานกัมพูชาทั้งหมด นอกจากนี้ก็มีกรณีโรงงานทำเฟอร์นิเจอร์ อยู่แถวนิคมบางชัน นายจ้างพยายามจ้างแรงงานข้ามชาติเพิ่มขึ้นเพื่อใช้ต่อรองกับแรงงานไทยเพื่อลดสวัสดิการ คือถ้าไม่ลดสวัสดิการบางอย่าง

ซึ่งจริงๆ มันไม่เกี่ยวกับคนงานธรรมดาเลย แต่เป็นเพราะนายจ้างที่ไม่ยอมให้สวัสดิการ และพยายามจะลดสวัสดิการเพื่อเพิ่มกำไร จึงสร้างบรรยากาศที่ทำให้คนงานทะเลาะกันเอง

ดังนั้นเรื่องการกีดกันแรงงานข้ามชาติ จารุวัฒน์เห็นว่ามันอาจจะไม่เกี่ยวกับเรื่องเชื้อชาติโดยตรงเสมอไป หรือการเข้าเมืองผิดกฎหมายหรือว่าถูกกฎหมาย แต่ทั้งนี้มันเกี่ยวกับนายจ้างกับคนงาน เพราะนายจ้างต้องการผลิตสินค้าโดยเสียต้นที่ต่ำที่สุด โดยเฉพาะต้นทุนที่เป็นแรงงานดังนั้นเข้าก็จะทำทุกวิถีทางที่จะไม่ให้แรงงานมีอำนาจต่อรอง

ถ้าเป็นแรงงานไทยก็จะทำทุกอย่างก็กำจัดสหภาพแรงงาน เลิกจ้างผู้นำแรงงาน ซึ่งแรงงานไทยรู้เรื่องพวกนี้ดี แต่ถ้าในโรงงานมีแรงงานข้ามชาติด้วย เขาก็ใช้แนวคิดชาตินิยมเพื่อที่จะไม่ให้คนงานไทยกับคนงานข้ามชาติสามัคคีกัน จะได้ไม่มีพลังต่อรองเรื่องสวัสดิการต่างๆ

แต่ถ้าเป็นโรงงานก็มีแต่แรงงานข้ามชาติทั้งหมด การทำให้แรงงานข้ามชาติมีสถานะที่ผิดกฎหมาย ก็ง่ายต่อการขูดรีด กดค่าแรง ซึ่งทั้งหมดเป็นเรื่องการกดขี่ระหว่างนายจ้างกับคนงาน

ทั้งนี้ในประเด็นการสร้างความสมานฉันท์กับแรงงานข้ามชาติในปัจจุบันจารุวัฒน์เห็นว่ามีสถานการณ์ที่ดีขึ้นแต่ก็ยังดีไม่พอ ทั้งนี้หลายองค์กรแรงงานก็ออกมาพูดเรื่องนี้มากขึ้น เช่น คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจ กลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตและใกล้เคียง หรือสหพันธ์แรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอฯ

แต่ปัญหาหลักๆ ยังไม่ถูกแก้ไข นั่นก็คือแรงงานข้ามชาติส่วนใหญ่ที่อยู่ในประเทศไทย เป็นแรงงานที่ถูกทำให้ผิดกฎหมาย เปิดช่องให้ถูกรังแกได้ง่ายมาก องค์กรที่สนใจประเด็นแรงงานข้ามชาติก็พยายามเรียกร้องให้มีการจดทะเบียนแรงงานข้ามชาติทุกคน

แต่การจดทะเบียนที่ผ่านมามันเป็นการจดทะเบียนเพื่อควบคุมมากกว่าเพื่อเคารพสิทธิมนุษยชน มีการผูกติดแรงงานกับนายจ้างเหมือนเป็นทาสไม่มีผิด มันก็เลยมีอีกซีกของขบวนการแรงงานพยายามเรียกร้องให้ยกเลิกการจดทะเบียนและให้แรงงานข้ามชาติทุกคนมีสถานะถูกกฎหมายโดยอัตโนมัติ

ส่วนเรื่องแรงงานกับสหภาพแรงงานนั้นตามกฎหมายแล้ว แรงงานข้ามชาติก็สามารถเป็นสมาชิกได้ แต่ไม่สามารถก่อตั้งสหภาพของตนเองได้ ซึ่งอย่างที่เรารับรู้คืองานที่แรงงานข้ามชาติทำนั้นส่วนใหญ่แรงงานไทยไม่ทำ ดังนั้นในโรงงานที่จะมีแต่แรงงานข้ามชาติ เช่นที่แม่สอด หรือมหาชัย ก็ไม่สามารถมีองค์กรของตนเองได้ และถ้ามีแรงงานรวมกลุ่มกันเรียกร้องความเป็นธรรมในการทำงาน ก็จะถูกเบี่ยงเบนประเด็นไปที่การเข้าเมืองผิดกฎหมาย ไปที่ความมั่นคงฯ แต่จริงๆเป็นความมั่นคงของนายทุนมาก ตำรวจก็เข้าไปจับ แล้วก็ส่งกลับ

โดยจารุวัฒน์ยังมีความหวังว่า กลุ่มก้อนขบวนการแรงงานของไทย และองค์กรต่างๆ จะเข้าไปให้ความช่วยแรงงานข้ามชาติมากขึ้นซึ่งหลายองค์กรดังที่กล่าวไว้ข้างต้นก็พยายามเรียกร้องในหลายๆ เรื่อง แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ และตอนนี้ก็ยังไม่มีองค์กรแรงงานใดที่สมาชิกสหภาพแรงงานเป็นแรงงานข้ามชาติเลย ในอนาคตก็คิดว่าจะดีขึ้นว่านี้


กลุ่มประชาธิปไตยเพื่อรัฐสวัสดิการ สนับสนุนแนวคิดยกระดับสวัสดิการแรงงานอย่างเสมอภาค


เจษฎา โชติกิจภิวาทย์จากกลุ่มประชาธิปไตยเพื่อรัฐสวัสดิการ (ปรส.) ซึ่งเป็นผู้คลุกคลีกับขบวนการแรงงานในภาคเหนือ ได้ให้มุมมองเกี่ยวกับการสมานฉันท์กับแรงงานข้ามชาติ รวมถึงการผลักดันสวัสดิการให้กับแรงงานทั้งหมดอย่างเสมอภาค อันเป็นขั้นตอนสำคัญในการสร้างรัฐสวัสดิการ

โดยเจษฎามองว่า ปัญหาการเหยียดเชื้อชาติว่า แม้แต่ในรัฐไทยเองก็ยังมีปัญหาการเหยียดชาติพันธุ์ภายในของสังคมไทยเอง ตัวอย่างเช่น การดูถูกแรงงานอีสานหรือการดูถูกแรงงานกลุ่มชาติพันธุ์ชนเผ่าต่างๆ

รวมถึงปัญหาที่สำคัญที่สุดคือทัศนะคติลบของคนในสังคมไทยที่มีต่อกลุ่มต่างชาติพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นการดูถูกเหยียดหยามต่างๆ นานา โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือตกใต้มายาคติโดยไม่รู้ตัว

ปัญหานี้ในภาคเหนือพบว่ามีการนำแรงงานข้ามชาติและแรงงานกลุ่มชาติพันธุ์ชนเผ่าต่างๆ มาใช้งานในอุตสาหกรรมการเกษตรโดยเฉพาะช่วงเก็บเกี่ยวลำไย ซึ่งมักจะมีการให้ค่าแรงแรงงานเหล่านี้ต่ำ ไม่มีสวัสดิการรักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุในการทำงาน มีการโกงค่าแรง เนื่องจากไม่มีการทำสัญญาจ้างงานใดๆ เพราะแรงงานเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นแรงงานตามฤดูกาล

สำหรับภาคเหนือ ถือว่าการรื้อฟื้นขบวนการแรงงานกำลังพึ่งเริ่มต้น ดังนั้นการประสานของทั้งแรงงานไทยกับแรงงานข้ามชาติหรือแรงงานชาติพันธุ์ยังคงดูไม่เข้มแข็งนักเพราะยังเป็นการเริ่มต้นใหม่ แต่ก็มีแนวโน้มที่ดีที่ เพราะเริ่มมีการพูดคุยและทำกิจกรรมร่วมกันบ้างแล้ว

ซึ่งแรงงานข้ามชาติส่วนใหญ่ในภาคเหนือก็ล้วนแล้วแต่เป็นแรงงานนอกระบบ ซึ่งก็มีแรงงานในภาคเหนือที่เป็นแรงงานนอกระบบมากด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นแรงงานสัญชาติไทยหรือกลุ่มชาติพันธุ์ จุดนี้เองถ้าหากมีการเคลื่อนร่วมกันต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมด้วยกันจะมีพลังขับเคลื่อนมาก

เจษฎาเห็นว่า การพัฒนาประเทศนั้นจำเป็นที่จะต้องใช้กำลังแรงงานที่มีประสิทธิภาพ และจากที่แล้วมาก็ได้พิสูจน์ถึงคุณภาพของแรงงานข้ามชาติ ในอุตสาหกรรมที่เป็นกระดูกสันหลังของชาติอย่างภาคการเกษตร ประมง หรือการก่อสร้าง ว่าพวกเขาสามารถทำได้ดีขนาดไหน

แต่ทั้งนี้ปัญหาที่รออยู่ในอนาคตก็คือ การพยายามที่จะกดแรงงานเหล่านี้ให้ไม่มีสิทธิมีเสียง รวมถึงสวัสดิการที่ต่ำมากหรือแทบจะไม่มีเลย ไปเรื่อยๆ นั้น ยิ่งจะทำให้พวกเขาเกิดความกดดันมากขึ้น ซึ่งหากมองในกรณีเดียวกันกับเรื่องค่าแรงและสวัสดิการของแรงงานในภาคคอปกน้ำเงิน แรงงานเหมาค่าแรงของไทยเอง ก็จะเป็นในทำนองเดียวกันก็คือการเพิ่มแรงกดดันให้กับแรงงานทั้งหมด ซึ่งอาจจะนำไปสู่ "เหตุการณ์ที่ควบคุมไม่ได้ในอนาคต"

ดังนั้นหากจะแก้ปัญหาด้วยมุมมองวิธีคิดคลายความกดดันทางชนชั้นแล้ว ผู้ปกครองที่ใช้อำนาจรัฐซึ่งเป็นตัวแทนของนายทุน อำมาตย์จากระบบราชการ และอำนาจเก่าแล้ว การขึ้นค่าแรงไม่กี่บาทอาจจึงเป็นเพียงเกมจิตวิทยา ให้ชนชั้นแรงงานรู้สึกว่าปัญหาของเขาถูกผ่อนคลายไปได้ระยะเวลาหนึ่ง

สิ่งสำคัญที่ขบวนการแรงงานจะต้องติดอาวุธในการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อยกระดับการแก้ปัญหาเพื่อให้สังคมมีระบบสวัสดิการที่ถ้วนหน้าและมีประสิทธิภาพ เป็นสิ่งจำเป็นสูงสุด ควรมีการรวมตัวทางการเมืองเพื่อขับเคลื่อนนโยบายยกระดับสวัสดิการของแรงงานควบคู่กันไป

ทั้งนี้กลุ่มประชาธิปไตยเพื่อรัฐสวัสดิการได้เสนอว่า สวัสดิการของแรงงานทุกคนไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติและชาติพันธุ์ไหนที่ทำงานในประเทศไทยจะต้องถูกยกระดับให้เสมอภาคกัน ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการจัดตั้งและเข้าร่วมสหภาพแรงงาน, การเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารและปันผลหน่วยผลิตอย่างเป็นธรรม, สวัสดิการในการรักษาพยาบาล, สวัสดิการในการพัฒนาตนเองทั้งในด้านทักษะงานและการศึกษา

ซึ่งเจษฎาเห็นว่าการยกระดับสวัสดิการของแรงงานนั้นคือก้าวแรกและก้าวสำคัญในการสร้างรัฐสวัสดิการให้เกิดขึ้นจริง แต่ทั้งนี้จะต้องมีการเคลื่อนไหวในทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นการตั้งพรรคการเมืองเข้าไปเสนอนโยบาย หรือกดดันให้พรรคการเมืองต่างๆ นำนโยบายสร้างรัฐสวัสดิการไปใช้ในระบบการเมืองประชาธิปไตย


พรรคแนวร่วมภาคประชาชนระบุ "แรงงานพม่าเป็นมิตรของเรา"


ส่วนพรรคแนวร่วมภาคประชาชน ได้ออกแถลงการณ์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับมุมมองปัญหาแรงงานที่ก้าวข้ามเรื่องเชื้อชาติ แต่มุ่งเน้นไปที่ประเด็นชนชั้น โดยแรงงานไทยควรสมานฉันท์กับแรงงานพม่า

ในแถลงการณ์ "แรงงานพม่าเป็นมิตรของเรา" ได้ระบุว่าข้ออ้างที่มีแนวทางเหยียดเชื้อชาติของฝ่ายรัฐไทยที่ให้มีการควบคุมแรงงานข้ามชาติฟังไม่ขึ้น เพราะในปัจจุบันพบว่านายจ้างไทยขาดแคลนแรงงานและต้องการแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านจำนวนมาก แรงงานอพยพทำงานประเภทที่คนไทยไม่อยากทำ เช่นในการประมง โรงสี งานบ้าน และโรงงานอุตสาหกรรมที่ไร้ฝีมือ ใครๆก็ทราบดีว่าในความเป็นจริงไม่มีใครสมารถควบคุมการข้ามพรมแดนได้ ดังนั้นการมีกฎหมายควบคุมแรงงานข้ามชาติ เป็นเพียงกลอุบายของรัฐและนายจ้างที่จะ หลอกและแบ่งแยกกรรมาชีพไทยออกจากกรรมาชีพเพื่อนบ้าน เพื่อกดขี่แรงงานทุกส่วน และรักษาสถานะผิดกฎหมายของแรงงานอพยพเพื่อให้มีการกดขี่ขูดรีดอย่างหนักเป็นพิเศษ

รวมถึงจำเป็นจะต้องมีการรณรงค์ให้แรงงานอพยพเข้ามาเป็นสมาชิกสหภาพของเราโดยเร่งด่วน ขบวนการแรงงานจะต้องไม่ติดกับดักของแนวคิดชาตินิยมที่รัฐโฆษณาชวนเชื่อ สังคมไทยต้องยอมรับความจริงว่าที่ผ่านมาแรงงานอพยพ ไม่ว่าเชื้อชาติจีน อีสาน หรือพม่า ทั้งในอดีตและปัจจุบันร่วมสร้างมูลค่ามหาศาลให้แก่ประเทศ เขาจึงต้องมีสิทธิ ค่าแรงและสวัสดิการเทียบเท่ากับแรงงานไทย

โดยพรรคแนวร่วมได้เรียกร้องให้มีการยกเลิกกฎหมายทุกฉบับที่ควบคุมการเข้าเมืองของแรงงานอพยพจากประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมกันนั้นได้เสนอว่าไม่ต้องมีการจดทะเบียนแรงงานข้ามชาติเลย เพราะเป็นแค่กลไกในการรีดไถโดยเจ้าหน้าที่รัฐ และเปิดช่องกอบโกยกับขบวนการค้ามนุษย์อีกด้วย ทุกคนที่เข้ามาทำงานในไทยควรได้บัตรประกันสังคมโดยอัตโนมัติ และลูกหลานผัว/เมียควรได้รับการบริการสาธารณสุขและการศึกษาเหมือนพลเมืองไทย (อ่านแถลงการณ์พรรคแนวร่วมภาคประชาชน: แรงงานพม่าเป็นมิตรของเรา)

--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 9/5/2551


โดย: jenifaae วันที่: 6 มิถุนายน 2551 เวลา:17:15:34 น.  

 
*SAC Lecture

กิจกรรมวิชาการ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม 2551 เวลา 10.00 – 12.00 น.
ขอเชิญฟังการสนทนาเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ในภาคใต้ของประเทศไทยและมาเลเซียตอนเหนือ โดย Dr.Patrick Jory มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ Dr.Michael Montesano มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ Dr.Chris Baker นำเสนอการสนทนาเกี่ยวกับหนังสือเรื่อง Thai South and Malay North : Ethnic Interactions on a Plural Peninsula ของ Patrick Jory และ Michael Montesano ซึ่งการสนทนาเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้มีบทความของนักวิชาการชั้นนำหลายคน ซึ่งเป็นการทบทวนประวัติศาสตร์ ความสัมพันธ์ของกลุ่มคน บทบาทของชาวจีน ศาสนาและอัตลักษณ์ ที่ช่วยอธิบายความซับซ้อนของอดีตและความรุนแรงในปัจจุบัน ผู้สนใจเข้าฟังโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สอบถามโทร 0 2880 9429 ต่อ 3315 หรือที่ //www.sac.or.th

วันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม 2551 เวลา 13.30 – 15.00 น
. บรรยายวิชาการเรื่อง คนก่อนประวัติศาสตร์ถ้ำวังตาแหลว โดย คุณกรกฏ บุญลพ นักวิชาการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร และ คุณสุรีรัตน์ บุบผา วิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่องเล่าจากการขุดค้นบนเขาสูงในเขตบ้านผาแดงทางตอนเหนือของแขวงหลวงพระบาง สปป.ลาว ซึ่งเป็นข้อมูลจากงานภาคสนามครั้งล่าสุดในโครงการวิจัยโบราณคดีลุ่มแม่น้ำโขงตอนกลาง (MMAP) ผู้สนใจเข้าฟังโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สอบถามโทร 0 2880 9429 ต่อ 3315 หรือที่ //www.sac.or.th

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม 2551 เวลา 13.30 – 15.30 น
. บรรยายวิชาการเรื่อง รักและกามารมณ์ของชายรักชาย โดย คุณนฤพนธ์ ด้วงวิเศษ นักวิชาการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ศึกษารักและกามารมณ์ของชายรักชายในมุมมองทางวิชาการเพื่อให้เข้าใจถึงรักและกามารมณ์ที่หลากหลาย ผู้สนใจเข้าฟังโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สอบถามโทร 0 2880 9429 ต่อ 3315 หรือที่ //www.sac.or.th

วันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน 2551 เวลา 17.30 น. เป็นต้นไป
พบกับการแสดงทางวัฒนธรรมครั้งที่ 38 "ปี่พาทย์มอญ : ทางเลือกและทางรอดของดนตรีไทย" โดยคณะ ดนตรีเสนาะ (จ.ปทุมธานี) ร่วมดำเนินรายการโดย อ.อานันท์ นาคคง ฟังเพลงมอญต้นตำรับจากเมืองเมาะตะมะและเพลงฮิพฮอพโดยคณะปี่พาทย์สายครูเจิ้น ดนตรีเสนาะ ชมรำมอญแบบโบราณและแบบใหม่ทันสมัย รับฟัง อ.อานันท์ นาคคง เล่าเรื่องความผูกพันของปี่พาทย์มอญกับชีวิตของคนไทย การแสดงจัดขึ้นที่หอประชุมใหญ่ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ตลิ่งชัน เข้าชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สอบถามโทร 0 2880 9429 ต่อ 3315 หรือที่ //www.sac.or.th

ขอขอบคุณในการประชาสัมพันธ์
ศิวัช นนทะวงษ์ ประสานงานวิชาการ

SAC Lecture คลิก..








*ไปดูเด็กยืนฉี่...กลางกรุงบรัสเซลส์ เบลเยียม

ที่มา :มติชนออนไลน์ วันที่ 04 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11012

คอลัมน์ บันทึกเดินทาง

โดย สุทธาสินี จิตรกรรมไทย

*ถ้าบอกว่าไปเบลเยียมดู 'เด็กยืนฉี่' มา ไม่ใครก็ใครคงต้องหาว่าบ้าแน่ๆ เพราะที่ไหนๆ ก็มีเด็กยืนฉี่ หรือจะเป็นผู้ใหญ่ยืนฉี่ก็มีให้ดูอยู่ถมไป...ถ้าไม่กลัวโดนว่าโรคจิต

เพียงแต่เด็กยืนฉี่ที่ไหนก็ไม่โด่งดังเท่าที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ปีๆ มีนักท่องเที่ยวตีตั๋วเครื่องบินเพื่อไปดูโดยเฉพาะ

เจ้าเด็กยืนฉี่ที่ว่ามีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า 'แมนเนเก้น พิส'

ว่าแล้วก็ตีตั๋วตรงจากกรุงเทพฯ ไปกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ..ไม่ได้จะไปดื่มด่ำบรรยากาศเมืองที่ขึ้นชื่อว่าโรแมนติคที่สุดในโลก แต่เพราะต้องอาศัยรถไฟ 'เตเจเว' จากปารีส มุ่งหน้าขึ้นไปทางเหนือ

'มีปลายทางอยู่ที่ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม'

หากเดินทางด้วยรถยนต์จากเมืองหลวงของฝรั่งเศสไปบรัสเซลส์ ต้องใช้เวลาราว 3-4 ชั่วโมง แต่รถไฟขบวนด่วนอย่าง 'เตเจเว' (TGV) สามารถร่นระยะเวลาให้เหลือเพียง 1 ชั่วโมงครึ่ง สองข้างทางมีทุ่งหญ้าสีเขียวและบ้านเล็กๆ สไตล์ยุโรปให้มองเพลินตาเกือบตลอดทาง

แล้วก็สัมผัสอากาศหนาวสมใจ เพราะอุณหภูมิที่นั่นราว 7-8 องศาเท่านั้น

ซุกมืออยู่แต่ในกระเป๋าเสื้อโค้ท ยกกล้องขึ้นมาเก็บภาพเป็นระยะๆ เพราะบรัสเซลส์มีรูปปั้นหรืออนุสาวรีย์สวยๆ อยู่มาก บางแห่งสร้างใหญ่หน่อยมีบันไดทางขึ้น ผู้คนก็ใช้เป็นที่นั่งพักผ่อน หรือเป็นจุดนัดพบของวัยรุ่นหนุ่มสาว

หลายตึกปล่อยพื้นที่ด้านข้างไว้โล่งๆ เจ้าของเลยจ้างช่างให้วาดภาพการ์ตูนชื่อดัง ที่มีบ้านกำเนิดอยู่ที่เบลเยียมอย่าง 'แตงแตง' (Tintin) ลงไปเสียเลย เป็นอีกอย่างที่ทำให้รู้สึกว่าคนที่นี่มีอารมณ์ศิลป์ไม่น้อย

ความที่ตึกสร้างเป็นบล็อคๆ เสียส่วนใหญ่ ไม่มีซอยเล็กซอยน้อยคดเคี้ยวให้เดินหลงทางนัก การท่องเที่ยวด้วยตัวเองในกรุงบรัสเซลส์จึงไม่ใช่เรื่องยากเย็น จะนั่งรถชมเมืองก็ได้ หรือเลือกการเดินถ้าต้องการออกกำลังกายไปในตัว เพราะสถานที่ท่องเที่ยวเกือบทุกแห่งในเมืองสามารถเดินถึงกันได้ในเวลาไม่นาน

ไหนๆ มาถึงกรุงบรัสเซลส์ ถ้าไม่แวะไปทักทาย 'แมนเนเก้น พิส' เด็กชายตัวน้อยสัญชาติเบลเยียมที่ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก คงถูกประณามแย่

*ชาวบรัสเซลส์ใช้ภาษาฝรั่งเศสและภาษาดัตช์เป็นหลัก แต่พอถามเส้นทางเป็นภาษาอังกฤษ หลายคนก็ตอบได้อย่างคล่องแคล่ว

เดินเลี้ยวขวา เลี้ยวซ้าย ผ่านผู้คนที่เดินกันขวักไขว่เข้าไปในถนนเล็กๆ สักพักก็ถึงจุดหมาย

นั่นไง! เด็กชายกำลังยืนฉี่...อย่างสบายอารมณ์

ถ้าแมนเนเก้น พิส เกิดมีชีวิตขึ้นมา คงหน้าแดงอายม้วนต้วนไปหลายสิบตลบ ก็ผู้คนมากมายจากทั่วสารทิศพากันมาดูเขาปฏิบัติภารกิจลับเฉพาะส่วนตั๊วส่วนตัวเยอะขนาดนี้

ไม่ต้องเข้าแถวซื้อตั๋วเข้าชม เพราะแมนเนเก้น พิส (แปลว่า เด็กชายกำลังฉี่) ตั้งอยู่ที่หัวมุมถนนเลทุฟตัดกับถนนแชน จุดสังเกตคือ ถ้าเห็นคนมุงดูอะไรเยอะๆ นั่นแหละ..ที่ตั้งแมนเนเก้น พิส

รอคนบางตาถึงค่อยได้โอกาสไปยืนเกาะรั้วดูอย่างใกล้ชิด

เล่ากันมาว่า สมัยยุคกลางมีรูปปั้นเด็กน้อยยืนฉี่อยู่แล้ว ตั้งอยู่จุดเดียวกับที่ตั้ง 'แมนเนเก้น พิส' ตอนนี้ พอ พ.ศ.2162 หรือเมื่อเกือบ 400 ปีก่อน ก็มีการปั้นหล่อ แมนเนเก้น พิส ขึ้นใหม่

ท่าจะเป็นที่ต้องการตัวไม่เบา เพราะตั้งแต่สร้างมาเด็กชายก็ถูกลักพาตัวไปหลายครั้ง อย่าง พ.ศ.2290 ทหารฝรั่งเศสเกิดมันเขี้ยว ขโมยแมนเนเก้น พิส ไป เมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ทรงทราบก็โกรธมาก ทรงมีบัญชาให้นำแมนเนเก้น พิส มาคืนที่เดิม พร้อมทั้งทรงมอบเครื่องแต่งกายหรูหราให้เด็กชาย

*แต่หลังจากนั้นแมนเนเก้น พิส ก็ถูกมือดีขโมยไปอีกหลายครั้ง จนเดี๋ยวนี้ต้องมีกล้องวงจรปิดติดตั้งไว้กันขโมย

ชาวเบลเยียม โดยเฉพาะที่บรัสเซลส์ภาคภูมิใจกับเด็กชายตัวน้อยๆ ของพวกเขามาก 'พอล' ชายวัยกลางคนชาวเบลเยียมที่ได้ภรรยาคนไทย ตั้งรกรากอยู่ที่บรัสเซลส์ บอกว่า เพราะแมนเนเก้น พิส แสดงให้เห็นถึงการมองโลกในแง่ดีและความอารมณ์ดีของชาวเบลเยียม

'ดูแมนเนเก้น พิส สิ..แม้แต่ตอนฉี่ยังยิ้มมีความสุขเลย' พอลบอกกลั้วหัวเราะ

ต้นเดือนเมษายน แมนเนเก้น พิส ยังยืนยิ้มเปลือยร่างท้าลมหนาว ทั้งที่ตัวเองเป็นเจ้าของชุดมากมายที่ผู้คนทั่วโลกนำไปให้เกือบพันชุด ไม่ว่าจะเป็น ชุดรับปริญญา ชุดซานตาคลอส ชุดเอลวิส เพรสลีย์ ชุดมิกกี้ เมาส์ หรือแม้แต่ชุดไทย เป็นผ้าโจงกับเสื้อราชปะแตน ก็ยังมี!!


ใกล้กับแมนเนเก้น พิส เป็นร้านรวงขายสินค้าที่ระลึกเกี่ยวกับเด็กน้อย ทั้ง แม่เหล็ก พวงกุญแจ จานรองแก้ว แก้วน้ำ โปสต์การ์ด หมวก เสื้อยืด ตุ๊กตา ฯลฯ ราคาตั้งแต่ 1 ยูโร (ราว 50 บาท) ขึ้นไปจนถึงหลายสิบยูโร เลือกหยิบเลือกซื้อกันตามชอบ

จากจุดนี้ไปไม่กี่ร้อยเมตร เป็นที่ตั้งจัตุรัส 'กรองด์ ปลาซ' หรือถ้าจะเรียกแบบอังกฤษก็ 'แกรนด์ เพลซ'

ว่ากันว่ากรองด์ ปลาซ เป็นจัตุรัสที่สวยงามมากสุดในยุโรป ขนาดอาร์คดัชเชสอิสซาเบลลา ธิดาของกษัตริย์ฟิลิปที่ 2 แห่งสเปน, วิคเตอร์ อูโก และชาร์ลส โบเดอแลร์ สองนักเขียนชื่อดัง ยังตกตะลึง-ทึ่งในความงาม

เชื่อเรื่องรักแรกพบไหม?

เพราะทันทีที่ก้าวเข้าสู่จัตุรัสกรองด์ ปลาซ ราวกับหลุดไปอยู่ในยุคหลายร้อยปีก่อน ความวิจิตรงดงามอลังการของบรรดาอาคารที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมทั้ง บาโร้ค โกธิค นีโอ-โกธิค ฯลฯ เป็นเหมือนศรกามเทพที่พุ่งตรงเข้าปักอก

'ใครบางคนจากซีกโลกตะวันออก....ตกหลุมรัก กรองด์ ปลาซ ทันที'

แต่ก่อนมีผู้คนมาตั้งถิ่นฐานบริเวณกรองด์ ปลาซ อยู่บ้าง พอถึงยุคกลางของยุโรป บ้านเรือนก็เริ่มหนาแน่นขึ้น และกรองด์ ปลาซ ก็กลายเป็นศูนย์กลางที่สำคัญของบรัสเซลส์ มีอาคารก่อสร้างสวยงาม

โชคไม่ดี เพราะเมื่อถึง พ.ศ.2238 อาคารในกรองด์ ปลาซ ถูกทหารฝรั่งเศสยิงระเบิดเข้าทำลาย แก้แค้นที่ฝรั่งเศสเคยแพ้สงครามในเบลเยียมทางตอนใต้ แต่ทุกคนก็ร่วมแรงร่วมใจช่วยกันบูรณะอาคารกระทั่งกลับมาดูดีอย่างเดิม หลังจากนั้นมีการซ่อมแซมอีกหลายครั้ง ทำให้อยู่ยืนยงมาให้ชื่นชมถึงปัจจุบัน

ไม่ได้อนุรักษ์อาคารเก่าไว้เฉยๆ แต่เกือบทุกหลังมีประโยชน์ใช้สอย

'ซิตี้ ฮอลล์' ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ก็เป็นที่ทำการของเมือง 'คิง'ส เฮาส์' ถึงชื่อจะบอกว่าเป็นบ้านของพระราชา แต่เป็นบ้านของคนธรรมดา ทุกวันนี้ก็ใช้เป็นพิพิธภัณฑ์เมือง รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับกรุงบรัสเซลส์ไว้ ส่วนอาคารอื่นใช้เป็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ธนาคาร โรงแรม ร้านอาหาร ฯลฯ

กรองด์ ปลาซ ไม่เคยร้าง เพราะมีนักท่องเที่ยวทั่วโลกเดินทางมาเยี่ยม-เยือนคึกคักทั้งวันตั้งแต่เช้ามืดถึงดึกดื่น พอตกเย็นนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่หรือแม้แต่ชาวเบลเยียมเองจะจับจองโต๊ะเก้าอี้ตรงลานของร้านอาหาร นั่งจิบเบียร์ ทานอาหาร รอชมความงามยามค่ำคืนของกรองด์ ปลาซ

มาบรัสเซลส์..เบลเยียม ต้องมีเรื่อง 'ช็อกโกแลต' มาเอี่ยวด้วย

จะเรียกเบลเยียมว่าเป็นดินแดนแห่งช็อกโกแลตก็ว่าได้ ยิ่งในกรุงบรัสเซลส์ด้วยแล้ว มีร้านขายช็อกโกแลตอยู่แทบจะบนถนนทุกสาย มีทั้งช็อกโกแลตยี่ห้อ และช็อกโกแลต 'โฮม เมด' ให้ชิม-ซื้อ

ชาวบรัสเซลส์บางคนบอกว่า มีร้านขายช็อกโกแลตอยู่ร้านหนึ่งในเมือง ขายช็อกโกแลตรสชาติเยี่ยม แค่ได้ลองชิมเพียงชิ้น..รสชาติจะหวานละมุนติดลิ้นไปถึงครึ่งวัน

เสียดายที่ไม่มีโอกาสแวะไปร้านที่ว่า เพราะขณะเดินอยู่บนถนนเล็กๆ ข้าง กรองด์ ปลาซ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นป้ายเขียนว่า 'โกโก้ มิวเซียม' อยู่หน้าอาคารหลังหนึ่ง อย่าคิดว่า 'พิพิธภัณฑ์โกโก้' จะใหญ่โต เพราะที่จริงครอบคลุมพื้นที่เล็กๆ แค่ชั้นเดียวของอาคารเท่านั้น ควักเงินเสียค่าเข้า 5 ยูโร หรือประมาณ 250 บาทแล้ว มีบิสกิตชุบช็อกโกแลตอุ่นๆ ให้ทานเป็นการต้อนรับ

แค่ผ่านประตูเข้าไปกลิ่นช็อกโกแลตหอมๆ ก็ลอยมายั่วจมูก เข้าไปข้างในแล้ว ซ้ายมือบอกเล่าความเป็นมาของโกโก้ ขั้นตอนการทำช็อกโกแลต มีอุปกรณ์การทำช็อกโกแลตวางไว้ให้ชม ส่วนทางขวาเป็นช็อกโกแลตรูปต่างๆ ขาดไม่ได้ คือช็อกโกแลตทำเป็นรูป แมนเนเก้น พิส เดินเลยเข้าไปอีกนิด คุณลุงชาวเบลเยียมกำลังทำช็อกโกแลตให้เป็นรูปต่างๆ จากแม่พิมพ์ประดามี ไม่เว้นแม้กระทั่ง ใบไม้

ออกจากจัตุรัสกรองด์ ปลาซ ถ้าหิว..เดินออกมาด้านข้างจะเห็นร้านอาหารหลายร้านเรียงรายให้เลือกเข้า นั่งข้างในหรือข้างนอกร้านได้ตามสะดวก แล้วอย่าลืมเผื่อที่ว่างในท้องให้กับขนมขึ้นชื่อของบรัสเซลส์ อย่าง 'วาฟเฟิล' กรอบนอกนุ่มใน รสชาติไม่หวานจนเลี่ยน ราคาเริ่มต้นที่ 1.60 ยูโร หรือราว 80 บาท

เวลาที่กรุงบรัสเซลส์ดูจะเดินเร็วเป็นพิเศษในความรู้สึก ไม่เท่าไหร่ก็ได้เวลากลับเมืองไทยเสียแล้ว

เก็บความประทับใจมาเยอะทีเดียว..กับทริปยุโรปครั้งแรกในชีวิต!!

หน้า 23


โดย: jenifaae วันที่: 6 มิถุนายน 2551 เวลา:17:15:57 น.  

 
*ชีวประวัติบุคคลสำคัญ : อานันท์ ปันยารชุน

//www.dailynews.co.th

ถ้าจะนึกถึงอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยซึ่งยังคงมีบทบาทอยู่ในสังคม ทั้งเป็นนักการทูต นักธุรกิจ นักบริหาร และนักคิด คุณสมบัติข้างต้นนั้นเป็นของ นายอานันท์ ปันยารชุน

*นายอานันท์ ปันยารชุน เกิดเมื่อ 9 สิงหาคม 2475 เป็นชาวกรุงเทพฯ บุตรชายคนสุดท้องจากจำนวนพี่น้อง 12 คน บิดา คือ มหาอำมาตย์ตรี พระยาปรีชานุสาสน์ (เสริญ ปันยารชุน) และมารดา คือ คุณหญิงปรีชานุสาสน์ (ปฤกษ์ โชติกเสถียร) ชีวิตรักของนายอานันท์ สมรสกับ ม.ร.ว.สดศรี จักรพันธุ์ มีบุตรสาวด้วยกัน 2 คน คือ นางนัดดา ไกรฤกษ์ และนางดารณี เจริญรัชต์ภาคย์
เริ่มเข้าเรียนในระดับประถมที่โรงเรียนเล็กๆ แห่งหนึ่งย่านถนนสุรศักดิ์ ย้ายไปเรียนต่อชั้นประถม 5 ที่โรงเรียนอำนวยศิลป์เรื่อยมา จนเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง นายอานันท์ ต้องย้ายไปที่โรงเรียนนันทศึกษาเรียนในระดับชั้นมัธยมปีที่ 1 ชั่วคราว เมื่อสถานการณ์เป็นปกติ ได้เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน จนจบมัธยมปีที่ 5 จึงเดินทางไปเรียนต่อยังประเทศอังกฤษ เริ่มที่โรงเรียนดัลลิช ต่อด้วยวิทยาลัยตรินิตี้ และมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ จนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี เกียตินิยมด้านกฎหมายในปี 2498
เมื่อเดินทางกลับมายังบ้านเกิด นายอานันท์ เริ่มชีวิตการทำงานข้าราชการประจำในกระทรวงการต่างประเทศ หน้าที่การงานอยู่ในตำแหน่งที่หน้าสนใจ ปฏิบัติหน้าที่เป็นเลขาธิการรมว.กระทรวงการต่างประเทศ และเลื่อนเป็นเลขาธิการเอกและที่ปรึกษาคณะทูตถาวรแห่งประเทศไทย ประจำสหประชาชาติ ภายในเวลาไม่กี่ปี นายอานันท์ ทำงานด้านการทูตอย่างเต็มตัว โดยการดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตในหลายประเทศ ทั้งแคนาดา สหรัฐอมริกา สาธารณรัฐเยอรมัน
จนเมื่อปี 2522 นายอานันท์ ลาออกจากการเป็นข้าราชการประจำ เข้าสู่วงการธุรกิจ เป็นรองประธานกรรมการบริษัท สหยูเนี่ยน จำกัด (มหาชน) และเลื่อนตำแหน่งเป็นประธานกรรรมการบริษัทฯ ในอดีตยังเคยดำรงตำแหน่งที่สำคัญของวงการธุรกิจ คือ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ปัจจุบันนายอานันท์ ดำรงตำแหน่งในระดับผู้บริหาร และที่ปรึกษาในหลายๆ บริษัท

*แม้จะมีหน้าที่ทางการเมืองในระดับสำคัญอยู่ไม่นาน อย่างการเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 18 ในสมัยแรกตั้งแต่ 2 มีนาคม 2534 ถึง 21 เมษายน 2535 และสมัยที่สองระหว่าง 10 มิถุนายน ถึง 1 ตุลาคม 2535 ซึ่งภายหลังการดำรงตำแหน่งที่น่าจับตา นายอานันท์ ยังเป็นผู้มีบทบาทในการปฏิรูปการเมือง โดยได้รับเลือกให้เป็นประธานคณะกรรมาธิการการยกร่างรัฐธรรมนูญ และประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นผลมาจากรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ที่ต้องการให้บุคคลหลายๆ ฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม
นายอานันท์ ยังมีแนวคิดประชาธิปไตยในแบบฉบับของตนเอง ที่แสดงออกผ่านการกล่าวสุนทรพจน์ ในการใช้คุณธรรมนำประชาธิปไตย และยังมีความเชื่ออีกว่า รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอาจจะเป็นรัฐบาลที่มีจิตใจเป็นประชาธิปไตยน้อยที่สุด แล้วยังมีการใช้ประชาธิปไตยเพื่อประโยชน์ของตัวเองอีกด้วย ตัวอย่างเช่น ฮิตเลอร์ หรือ มูชาร์ราฟ
นอกจากนี้ นาอานันท์ ยังมีความใส่ใจด้านสังคมสงเคราะห์ การพัฒนาการศึกษา เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม เป็นสมาชิกคณะที่ปรึกษาคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ เป็นประธานสภามหาวิทยาลัยของมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งเอเชีย เป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย เป็นประธานกรรมการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ฯลฯ รวมทั้งดำรงตำแหน่งที่สำคัญขององค์กรต่างๆ ทั้งในประเทศและองค์กรนานาชาติ เช่น ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิระดับสูง ด้านภัยคุกคาม ความท้าทาย และการเปลี่ยนแปลง องค์กรสหประชาชาติ เป็นต้น

*จากความสามารถหลายด้าน ทำให้เกิดผลงานซึ่งได้รับการชื่นชม นายอานันท์ ได้รับรางวัล อย่าง รามอน แมกไซไซ สาขาบริการรัฐกิจในปี 2540 หลายมหาวิทยาลัยทั้งในและต่างประเทศ มอบประกาศเกียรติคุณต่างๆ รวมทั้งปริญญากิตติมศักดิ์ ทั้งยังได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เหรียญรัตนาภรณ์ (ชั้น3) มหาวิชรมงกุฎ ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ และมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก รวมถึงเครื่องราชอิสริยาภรณ์จากประเทศอิตาลี เกาหลี อินโดนีเซีย เบลเยี่ยม ญี่ปุ่น ส่วนอังกฤษยังได้รับแต่งตั้งให้มียศเทียบเท่า Sir.






*'วันนริศ' รำลึกถึง 'นายช่างใหญ่แห่งกรุงสยาม'

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 21 เมษายน 2551 14:04 น.

*มหาวิทยาลัยศิลปากร จัดงาน “วันนริศ” เพื่อน้อมรำลึกถึงนายช่างใหญ่แห่งกรุงสยาม สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ โดย หม่อมเจ้าหญิงกรณิกา จิตรพงศ์ ประธานมูลนิธินริศรานุวัดติวงศ์ จะเป็นประธานในพิธีเปิดงาน ในวันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน พ.ศ.2551 ณ มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ

เนื่องจากสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงมีพระปรีชาสามารถในการสร้างสรรค์งานสถาปัตยกรรมซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของราชสำนักสยาม กิจกรรมในปีนี้จึงเน้นนำเสนอ นิทรรศการพระเมรุมาศและพระเมรุสมัยกรุงรัตนโกสินทร์

ได้แก่ งานพระเมรุมาศในสมัยรัชกาลที่ 4 (งานพระเมรุมาศสมเด็จพระนางเจ้าเทพศิรินทรามาตย์ พ.ศ. 2405 และ งานพระเมรุมาศพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 พ.ศ. 2411),งานพระเมรุระดับเจ้าฟ้าในสมัยรัชกาลที่5,งานพระเมรุมาศพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่5, งานพระเมรุมาศพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6,งานพระเมรุมาศสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ 7,งานพระเมรุมาศพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8, งานพระเมรุพระบรมวงศานุวงศ์ในสมัยรัชกาลที่ 7 – 9, งานพระเมรุมาศสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี,งานพระเมรุสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และภาพฝีพระหัตถ์สมเด็จ ฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงออกแบบงานพระเมรุมาศในสมัยรัชกาลที่ 6

ซึ่งนิทรรศการเปิดแสดงระหว่างวันที่ 24 เมษายน – 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 พร้อมด้วยนิทรรศการภาพถ่าย“ศิลปวัฒนธรรมไทย ครั้งที่ 4” ที่ชนะเลิศการประกวดในหัวข้อ “วิถีชีวิต' ซึ่งผลงานภาพถ่ายที่ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมคือ ผลงานชื่อ “ยอทอแสง” ของ นางสาวจิรฐา นรพิทยนารถ และนิทรรศการภาพถ่ายของช่างภาพรับเชิญ อาทิ สุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ , ศ. ปรีชา เถาทอง, รศ. พิษณุ ศุภนิมิตร,เสริมคุณ คุณาวงศ์ , นิติกร กรัยวิเชียร , อนุชัย ศรีจรูญ พู่ทอง, กนก สุริยสัตย์ และ Ralf Tooten







และนอกจากจะมีการจัดงาน “ไหว้ครูแบบโบราณ” เช่นทุกปี วันนริศปีนี้ยังมีการจัดกิจกรรมทางด้านวิชาการที่น่าสนใจหลายหัวข้อ มีขึ้นในวันที่ 24 เมษายน 2551 ระหว่างเวลา 15.30 – 18.30 น. เริ่มด้วยการเสวนาเรื่อง “หิมพานต์อยู่หนไหน ? ในจักรวาล” โดย รศ.พิษณุ ศุภนิมิตร บรรเลงเพลงประกอบ โดย นักศึกษาชมรมดนตรีไทย สโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากร

ต่อด้วยการเสวนาเรื่อง “พระเมรุมาศและพระเมรุ : จากฝีพระหัตถ์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ถึงพระเมรุองค์ปัจจุบัน” โดย นาวาอากาศเอกอาวุธ เงินชูกลิ่น และอาจารย์ชาตรี ประกิตนนทการ ดำเนินการเสวนาโดย นิวัต กองเพียร

ปิดท้ายด้วยการเสวนาเรื่อง “การประโคมดนตรีในงานพระศพ” โดย ดร.สิริชัยชาญ ฟักจำรูญ บรรเลงเพลงประกอบ โดย นักศึกษาชมรมดนตรีไทย สโมสรนักศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร

เที่ยวงาน"วันนริศ" ชมนิทรรศการฝีพระหัตถ์ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์

โดย เสมา ไกรพานนท์



เมื่อ 28 เมษายนที่ผ่านมา เป็นวาระครบรอบวันประสูติของ *สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์*

เจ้าฟ้าพระองค์นี้ทรงเป็น "อัจฉริยศิลปิน" ของประเทศไทย เนื่องเพราะทรงมีพระปรีชาสามารถมากมายหลายสาขา ทั้งด้านสถาปัตยกรรม จิตรกรรม ประติมากรรม ดนตรีและนาฏศิลป์ และยังทรงมีผลงานฝีพระหัตถ์ที่ทรงสร้างไว้มากมาย ล้วนเป็นผลงานที่ช่างศิลปะไทยใช้ศึกษาเป็นตัวอย่างต้นแบบในรุ่นหลัง

ศิลปินสมัยหลังจึงยกย่องพระองค์ท่านว่าเป็น "สมเด็จครู" นอกเหนือไปจากที่ได้รับการถวายพระสมัญญานามว่า "นายช่างใหญ่แห่งกรุงสยาม"

สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงเกี่ยวข้องกับสัมพันธ์กับมหาวิทยาลัยศิลปากร ด้วยทรงเป็น "สมเด็จครู" ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้

ดังนั้น ทุกปี มหาวิทยาลัยศิลปากร มีความสำนึกในพระคุณของสมเด็จครู จึงจัดงาน "วันนริศ" ขึ้นทุกปี เพื่อเทิดพระเกียรติและเพื่อส่งเสริมการสร้างสรรค์งานศิลปะในสังคมไทย

นอกเหนือจากการไหว้สมเด็จครูแบบโบราณเช่นทุกปีแล้ว ยังมีการน้อมรำลึกถึงผลงานฝีพระหัตถ์ทรงคุณค่าของ "สมเด็จครู" โดยปีนี้จัดเป็นนิทรรศการชื่อ "นิทรรศการพระเมรุมาศและพระเมรุ สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ และภาพฝีพระหัตถ์สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ที่ทรงออกแบบพระเมรุมาศในสมัยรัชกาลที่ 6"

นิทรรศการนี้เป็นการถวายอาลัยแด่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชครินทร์ ด้วย โดยจัดที่บริเวณหอศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ

"ม.ร.ว.จักรรถ จิตรพงศ์" เลขาธิการมูลนิธินริศรานุวัดติวงศ์ ได้ให้ข้อมูลว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต ใน พ.ศ.2411 นั้นพระราชโอรสที่พระราชทานนามว่า "พระองค์เจ้าจิตรเจริญ" หรือ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงมีพระชันษาได้เพียง 6 ชันษา งานพระบรมศพในปีถัดมาจึงเป็นประสบการณ์แปลกใหม่สำหรับพระองค์ท่านเป็นอย่างมาก

"เนื่องจากเป็นการสร้างพระเมรุมาศตามแบบอย่างในโบราณราชประเพณี เขาพระสุเมรุสูงเสียดท้องฟ้า ตั้งอยู่กลางทุ่งพระเมรุ ภายในมีพระเมรุมาศรูปทรงบุษบก ประดิษฐานพระจิตกาธานอยู่ตรงกลางสำหรับถวายพระเพลิงพระบรมศพ ถึงแม้สมเด็จฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ จะไม่ได้ทรงบันทึกความทรงจำส่วนพระองค์เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ ก็แน่ใจว่าทรงตื่นเต้นประทับใจถึงระดับมีผลต่องานการออกแบบพระเมรุมาศตลอดจนเครื่องประกอบราชพิธีพระบรมศพ และพระศพพระบรมวงศานุวงศ์ในรัชกาลต่อๆ มา ซึ่งในที่สุดได้กลายเป็นหน้าที่ประจำของพระองค์ที่จะต้องทรงออกแบบและกำกับดูแลการเขียนแบบ และควบคุมการก่อสร้างจัดทำพระเมรุมาศและพระเมรุมาตลอดพระชนม์ชีพ"

งานฝีพระหัตถ์ทางการออกแบบศิลปะของสมเด็จฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ที่เกี่ยวข้องกับงานพระศพเจ้านายมีหลักฐานที่เป็นรูปธรรม ตั้งแต่ประมาณ พ.ศ.2447 เมื่อทรงออกแบบตาลปัตร หรือพัดรองที่ระลึกในงานพระศพ พระองค์เจ้าศรีวิลัยลักษณ์ สุนทรศักดิ์กัลยาวดี กรมขุนสุพรรณภควดี

คุณชายจักรรถให้ข้อมูลอีกว่า ม.จ.หญิงกรณิกา จิตรพงศ์ พระธิดาพระองค์เล็ก ซึ่งดำรงพระชนม์ชีพอยู่ในปัจจุบันได้ประทานสัมภาษณ์ว่า พระเมรุมาศที่สร้างขึ้นถวายพระเพลิงพระบรมศพรัชกาลที่ 5 นี้ เอกสารและหนังสือทางวิชาการไม่ได้บันทึกไว้ว่าผู้ใดเป็นผู้ออกแบบ แต่ที่วังปลายเนินซึ่งเป็นที่ประทับของสมเด็จฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ มีแบบสถาปัตยกรรมของพระเมรุมาศนี้เก็บรักษาไว้ และเคยรับสั่งไว้ว่าไม่โปรดฝีพระหัตถ์

ชิ้นนี้มากนัก เพราะเมื่อก่อสร้างเสร็จแล้วไม่ปรากฏความสง่างามดังที่ตั้งพระทัยไว้

ต่อมาระหว่างปี พ.ศ.2462 ถึง พ.ศ.2465 ได้ทรงออกแบบก่อสร้างพระเมรุถึง 3 วาระ ได้แก่ พระเมรุสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง (พ.ศ.2462) พระเมรุสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิศณุโลกประชานารถ (พ.ศ.2463) และพระเมรุสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (พ.ศ.2465)

แม้แต่ในงานพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ได้ทรงออกแบบพระเมรุมาศทูลเกล้าฯ ถวายเป็นงานฝีพระหัตถ์ชั้นเลิศอีกชิ้นหนึ่ง

เป็นการออกแบบพระเมรุมาศ พระเมรุพระบรมศพและพระศพ ฝีพระหัตถ์สมเด็จครู ที่เป็นงานเก่าสมัยโบราณที่คงความงดงามยิ่งใหญ่มาถึงปัจจุบัน

หน้า 21


โดย: jenifaae วันที่: 6 มิถุนายน 2551 เวลา:17:16:23 น.  

 
*สวทช. จัดสัมมนา แนวทางพัฒนาเทคโนโลยี 'สำหรับอุตสาหกรรมไบโอดีเซลในประเทศไทย'

โครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย ( iTAP ) ศูนย์บริหารการจัดการเทคโนโลยี ( TMC ) ร่วมกับ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ ( MTEC ) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดงานสัมมนา ' แนวทางการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับอุตสาหกรรมน้ำมันไบโอดีเซลในประเทศไทย ' ในวันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม 2551 เวลา 9.00- 16.30 น. ณ ห้องแมจิก 1 โรงแรม มิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ

วัตถุประสงค์เพื่อให้ทราบถึงสถานการณ์และการปรับตัวของอุตสาหกรรมผลิตไบโอดีเซลในประเทศไทยสำหรับปี2551และเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการผลิตและการควบคุมคุณภาพน้ำมันไบโอดีเซล จากวัตถุดิบต่างๆ ได้อย่างมีคุณภาพแก่ภาคอุตสาหกรรม รวมถึงการให้ความรู้และคำปรึกษาในเรื่องการจัดการน้ำเสีย และการผลิตผลิตภัณฑ์ผลพลอยได้แก่ผู้ประกอบการ

สำหรับผู้ประกอบการไบโอดีเซล หรือผู้ที่สนใจทั่วไป สามารถสมัครเข้าร่วมงานหรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ : คุณภาวิณี อนุสรณ์เสรี หรือ คุณพัชราภรณ์ วิจิตรเตมีย์ โทรศัพท์ 0 - 2564 -7000 ต่อ 1371 และ 1367




*อสังหาริมทรัพย์กับอดีตพลพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย

ดร.โสภณ พรโชคชัย <1>
ประธานกรรมการ มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย <2>
.
ในช่วงสงครามอินโดจีน ประเทศไทยเกือบกลายเป็นคอมมิวนิสต์ไปแล้ว พื้นที่หลายแห่งในหลายจังหวัดทุกภาคเคยเป็น "พื้นที่สีแดง" ในความควบคุมเบ็ดเสร็จของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย แต่ภายหลังเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับสากล มีความขัดแย้งระหว่างประเทศสังคมนิยมกันเอง และพรรคฯ เองไม่สามารถสามัคคีประชาชนส่วนใหญ่ จึงทำให้การต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธถูกยกเลิกไป อดีตพลพรรคฯ จึงวางอาวุธและกลับมาเป็น "ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย" กลายเป็นชาวบ้านธรรมดา และบัดนี้หลายคนก็กลายเป็นนักการเมืองระดับท้องถิ่นจนถึงระดับชาติไปแล้วก็มี
เยี่ยมอดีตฐานที่มั่น
.
เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2551 ผมได้ไปร่วมงานเปิด "ศูนย์เรียนรู้และท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ประวัติศาสตร์ ค่าย 514" ซึ่งจัดโดยกลุ่มเพื่อนมิตร 514 และกลุ่มเพื่อนสุราษฎร์ <3> ที่บ้านในปราบ ม.5 ต.บ้านเสด็จ อ.เคียนซา จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธานในพิธี ค่ายดังกล่าวเคยเป็นฐานที่มั่นสำคัญของพรรคฯ ในภาคใต้ตอนบน ผู้จัดงานให้ข้อมูลว่างานนี้มีผู้เข้าร่วมประมาณ 3,000 คน ประกอบด้วยผู้ที่เคยเกี่ยวข้องกับพรรคฯ นักการเมือง และผู้สนใจ เช่น ผมซึ่งเป็นนักศึกษาธรรมศาสตร์ รุ่น 2519-2522 แต่ไม่เคยเข้าป่าไปอยู่กับพรรคฯ
.
บรรยากาศในงานก็มีสาระและสนุกสนานดี ไม่มีความเครียดเรื่องการเมืองเพราะเป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมา เกือบ 30 ปีแล้ว ถือเป็นงานรวมญาติ-ฟื้นความหลังแห่งความภาคภูมิใจของผู้ที่เคยถูกรัฐบาลสมัยก่อนเรียกขานว่าเป็น "ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์" แต่ต่อมาเป็น "ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย" หลายคนบอกว่าไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันนี้ เพราะสมัยที่ต่อสู้กับรัฐบาลอยู่นั้น ตนเองยากจน ไม่มีสมบัติอะไร ในระหว่างสู้รบ หลายคนก็ล้มตายไป การที่ชีวิตมีโอกาสอยู่ถึงวันนี้จึงดีใจเป็นอย่างยิ่ง
.
พอดีในช่วงบ่ายวันนั้น ผมได้คุยกับสุภาพสตรีพลพรรคฯ คนหนึ่ง ทำให้เกิดความสนใจศึกษาชีวิตของอดีตพลพรรคฯ ว่าอยู่กันอย่างไรในปัจจุบันโดยเฉพาะในแง่มุมของอสังหาริมทรัพย์ ผมจึงได้ออกแบบสอบถามสั้น ๆ ตอนนั้นเลยและได้เดินสัมภาษณ์อดีตพลพรรคฯ จำนวน 33 คน จนกระทั่งฝนตกหนักในช่วงเย็น ผมจึงเดินทางกลับและนำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบกับข้อมูลทุติยภูมิ ผมเลือกถามเฉพาะบุคคลที่เป็นชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียงในปัจจุบันและมีอาชีพเป็นเกษตรกร โดยไม่ได้สัมภาษณ์นักศึกษาที่เคยเข้าร่วมกับพรรคฯ ในระยะนั้น
ผมเขียนบทความนี้เสร็จในวันที่ 6 พฤษภาคมและได้ส่งให้ผู้เกี่ยวข้องบางส่วนได้แสดงความเห็นและนำมาประมวลและปรับปรุงใหม่เป็นฉบับปัจจุบันนี้ (12 พฤษภาคม)
.
.
ฉายภาพพลพรรคฯ
.
อดีตพลพรรคฯ นั้นส่วนมากเป็นบุคคลในวัยกลางคนในขณะนี้ คืออายุเฉลี่ย 54 ปี แต่เกือบทั้งหมดอยู่ในช่วงอายุ 44-64 ปี และได้ทะยอยยกเลิกการต่อสู้ด้วยอาวุธตั้งแต่ช่วงปี 2521-2529 เป็นสำคัญ ช่วงที่ออกมาจากป่ายังหนุ่มแน่น อายุเฉลี่ยประมาณ 29 ปี แต่ในปัจจุบันมีครอบครัวแล้ว มีสมาชิกในครอบครัวรวม 4 คน (ตนเอง คู่ครองและบุตร) บางท่านก็ขยับสถานะเป็นรุ่นปู่ไปแล้ว
.
สำหรับการถือครองที่ดินพบว่า ครอบครัวหนึ่งมีที่ดินเฉลี่ย 55 ไร่ แต่เกือบทั้งหมดมีที่ดินขนาด 27-83 ไร่ แรก ๆ บางคนอาจได้รับการจัดสรรที่ดินบ้าง แต่ส่วนมากซื้อหรือถากถางป่าเพิ่มเติมจนมีที่ดินมากขึ้น ที่ดินที่ถือครองก็เป็น สปก 4-01 แต่ส่วนมากไม่มีเอกสารสิทธิ์ ซึ่งเป็นประเด็นความเดือดร้อนหนึ่งของชาวบ้าน <4> ที่ดินส่วนมากใช้ทำสวนยาง มีบางส่วนเป็นสวนปาล์ม และสวนผสมบ้าง
.
จากการสำรวจพบว่า มีเพียง 4 จาก 33 ครอบครัวเท่านั้นที่ได้รับมรดกเป็นที่ดินมาจากบุพการี อดีตพลพรรคฯ ส่วนมากออกมามีชีวิตแบบปกติด้วยสองมือเปล่า และมาขวนขวายสร้างเนื้อสร้างตัวเองในภายหลัง บุคคลเหล่านี้ส่วนมากมีความขยันหมั่นเพียรกว่าบุคคลทั่วไป แต่ก็มีบางคนที่พอได้รับที่ดินจากการจัดสรรให้ในช่วงแรก ก็ขายสิทธิไปก็มี แต่ก็เป็นเพียงส่วนน้อย
.
.
รายได้ของครอบครัว
.
แหล่งรายได้ของครอบครัวประกอบด้วย

.
1. รายได้จากการทำสวนยาง ไร่หนึ่งกรีดได้วันละ 200 บาท เดือนหนึ่งกรีดได้อย่างต่ำ 20 วัน ปีหนึ่งกรีดได้ประมาณ 8 เดือนจาก 12 เดือน และยังมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการอีกประมาณ 40% ในกรณีที่ให้คนอื่นรับจ้างกรีดให้ ดังนั้นหากมีสวนยางที่กรีดได้แล้วขนาด 20 ไร่ ก็จะมีรายได้เท่ากับ 200 บาท x 20 ไร่ x 20 วัน x (8/12 เดือน) x (1-40% ของค่าใช้จ่าย) เป็นเงิน 32,000 บาทต่อเดือน
.
2. รายได้จากการทำสวนปาล์ม เดือนหนึ่งตัดได้ 2 ครั้ง ๆ ละ 2,000 บาท/ไร่ มีค่าใช้จ่ายประมาณ 30% ดังนั้นถ้ามีที่ดิน 10 ไร่ ก็จะได้เงินเท่ากับ 2,000 บาท x 2 ครั้ง x 10 ไร่ x (1-30% ของค่าใช้จ่าย) เป็นเงิน 28,000 บาท <5>
.
3. รายได้จากสวนผสมนั้น อาจไม่มีมาตรฐานที่แน่ชัด แล้วแต่ประเภทของไม้ผล จึงอนุมานไว้เพียงไร่ละ 300 บาทต่อเดือนเท่านั้น
.
เมื่อนำข้อมูลพื้นที่เกษตรมาวิเคราะห์ จะพบว่าได้รายได้เฉลี่ยต่อครอบครัวเป็นเงิน 75,762 บาทต่อเดือน รายได้ดังกล่าวนี้ถือเป็นรายได้สุทธิหลังจากหักค่าใช้จ่ายในการประกอบการเกษตรแล้ว และเป็นรายได้ของเจ้าของพื้นที่เกษตรเท่านั้น สำหรับเกษตรกรรับจ้างผู้ไม่มีสวนของตนเอง จะมีรายได้จากการรับจ้างกรีดยางหรือรับจ้างทำการเกษตร ในกรณีสวนยาง การแบ่งรายได้ระหว่างเจ้าของสวนกับผู้รับจ้างจะเป็นสัดส่วน 60:40 แต่ในกรณีสวนปาล์มอาจคิดค่าใช้จ่ายเป็นตัน เช่น ตันละ 500 บาท
.
ในที่นี้อนุมานว่า เกษตรกรที่ไม่มีที่ทำกินเป็นของตนเองมีรายได้เพียง 20% ของเจ้าของสวน หรือมีรายได้เฉลี่ยครอบครัวละ 15,152 บาทต่อเดือน จากการประมาณการของชาวบ้าน คาดว่าครอบครัวเจ้าของสวนกับครอบครัวเกษตรกรรับจ้างน่าจะมีสัดส่วน 1:2 ดังนั้นรายได้เฉลี่ยต่อครอบครัวจึงเป็นเดือนละ 35,355 บาท หรือมีรายได้ต่อหัว 111,117 บาทต่อปี ซึ่งใกล้เคียงกับที่ทางอำเภอเคียนซาได้เคยสำรวจไว้ว่ารายได้ต่อหัวของตำบลบ้านเสด็จเป็นเงิน 89,851 บาทต่อปี <6>
.
รายได้ต่อครอบครัวของเกษตรกรที่สำรวจ ณ 35,355 บาทต่อเดือนนี้ สูงเกือบเท่ารายได้เฉลี่ยของครอบครัวในเขตกรุงเทพมหานครและ 3 จังหวัดโดยรอบที่ 36,096 บาทต่อเดือน <7> สำหรับชาวบ้านที่ครอบครองที่ดินทำสวนซึ่งมีรายได้สูงกว่านี้ บางท่านบอกว่า ตนได้เดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศหรือเดินทางไปร่วมการจัดงานทำนองนี้ในพื้นที่อื่นทั่วประเทศมาแล้ว
.
.
การครอบครองอสังหาริมทรัพย์
.
จากการสำรวจพบว่า ครอบครัวพลพรรคฯ มีทรัพย์สินเฉพาะที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่ดินเกษตรกรรมเป็นเงินครอบครัวละประมาณ 6.1 ล้านบาทหรืออยู่ระหว่างช่วง 2.5-9.7 ล้านบาท ซึ่งยังสูงกว่าราคาบ้านเฉลี่ยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่ราคา 3.1 ล้านบาท <8> แสดงว่าชาวบ้านเหล่านี้มีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าค่าเฉลี่ยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเสียอีก
.
สำหรับวิธีการคำนวณมูลค่าทรัพย์สินนี้ คำนวณโดยประมาณการว่าสวนยางที่สามารถกรีดยางได้แล้ว ในช่วงอายุ 7-27 ปี มีราคาไร่ละ 150,000 บาท สวนปาล์มที่ตัดได้แล้วมีราคาไร่ละ 100,000 บาท สวนยางที่มีอายุไม่ถึงเกณฑ์กรีด สวนผสมและที่ดินเปล่า กำหนดราคาเฉลี่ยให้ไร่ละเพียง 20,000 บาท ส่วนพื้นที่ที่มีต้นยางที่เกินอายุแล้ว มีราคาเท่ากับมูลค่าปัจจุบันสุทธิของไม้ที่สามารถขายได้ไร่ละ 80,000 บาท ในอีก 10 ปีข้างหน้า สำหรับที่ดินที่มีต้นปาล์ม ในปัจจุบันก็ขายได้แล้วเช่นกัน แต่ในที่นี้ยังไม่คิดราคาให้ไว้
.
อย่างไรก็ตามที่ดินที่ชาวบ้านครอบครองนั้นส่วนมากไม่มีเอกสารสิทธิ์ โดยข้อมูลของทางอำเภอเคียนซาระบุว่า ในอำเภอมีที่ดินเป็น น.ส.3 และ น.ส.3 ก เพียง 5,880 ไร่ นอกนั้นอีก 343,739 ไร่ ไม่มีเอกสารสิทธิ์อยู่ในที่ราชพัสดุ <9> ทำให้มูลค่าที่ดินที่ชาวบ้านครอบครองนั้นไม่มีมูลค่าสูงจริงตามที่คำนวณไว้เนื่องจากไม่สามารถซื้อขายได้ตามราคาท้องตลาดเช่นพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิถูกต้องทั่วไป
.
.
พัฒนาการของคน
.
กรณีศึกษาการพัฒนาฐานะทางเศรษฐกิจของพลพรรคฯ ในวันนี้นั้น แม้แต่ครอบครัวพลพรรคฯ เองก็ไม่คิดว่าจะมีโอกาสมาถึงวันนี้ แต่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ ส่วนหนึ่งมาจากการนำเอาที่ดินสาธารณประโยชน์ ที่ราชพัสดุมาทำประโยชน์ ส่วนหนึ่งอยู่ที่การพัฒนาของปัจเจกบุคคล
.
อย่างไรก็ตาม ในอนาคตปัญหาเอกสารสิทธิอาจลุกลามเป็นปัญหาใหญ่ เพราะมีผลประโยชน์จำนวนมหาศาลจากการปลูกพืชเศรษฐกิจเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย นอกจากนี้ยังมีปัญหาเกี่ยวกับการบุกรุกป่าไม้เพื่อทำการเกษตรกรรมของชาวบ้านที่ปรากฏอยู่ทั่วไป อันเป็นการทำลายป่าไม้และสิ่งแวดล้อม และถือเป็นการกระทำผิดกฎหมายโดยนำสมบัติสาธารณะไปครอบครองเป็นของส่วนบุคคล
.
การที่พลพรรคฯ ที่แทบไม่มีอะไรติดตัวมาเลยหลังจากยกเลิกการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธ สามารถพัฒนาตนเองจนประกอบกิจการการเกษตรเป็นของตนเองและมีรายได้และมีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดี เป็นเพราะบุคคลเหล่านี้มีความเพียรอย่างแรงกล้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การขยับขยายฐานะความเป็นอยู่นั้น เป็นเรื่องปัจเจกบุคคล ซึ่งแตกต่างจากการต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมในสังคม ซึ่งเป็นกิจกรรมกลุ่มรวมหมู่
.
หากมองในภาพรวม ประเทศไทยมีพัฒนาการที่ดีขึ้น กล่าวคือประชาชนได้รับการยกระดับฐานะความเป็นอยู่ จากการศึกษาพบว่าประชากรไทยที่มีฐานะยากจนมีเพียง 10% ของประชากรทั้งประเทศ <10> ประชาชนที่ขาดปัจจัยสี่เป็นชนกลุ่มน้อยที่แทบไม่มีเสียงในสังคม ทำให้ความสงบเกิดขึ้น ยิ่งบุคคลที่เคยเป็นพลพรรคฯ ซึ่งมักเป็นผู้มีความกระตือรือร้นสูง ก็ยิ่งประสบความสำเร็จมากกว่าบุคคลทั่วไป บุคคลเหล่านี้ในปัจจุบันยังมีฐานะทางสังคม และบ้างก็เป็นนักการเมืองท้องถิ่น ในทางทฤษฎี ฐานะทางชนชั้นของครอบครัวพลพรรคฯ เหล่านี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่เกษตรกรผู้ยากไร้ แต่เป็น "นายทุนน้อย" ตามศัพท์ของทางพรรคฯ หรือ SME Entrepreneurs ในยุคปัจจุบัน
.
.
บทสรุป
.
โดยสรุปแล้ว "คอมมิวนิสต์" เกิดจากเงื่อนไขความไม่เป็นธรรมและการกดขี่ในสังคม ดังนั้นพอมีนโยบาย 66/2523 <11> ที่ระบุว่าจะ "ขจัดเหตุแห่งความไม่เป็นธรรมในสังคมทุกระดับตั้งแต่ท้องถิ่นถึงระดับชาติ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการอย่างเฉียบขาด ทำลายการกดขี่ขูดรีดทิ้งสิ้น สร้างความปลอดภัยให้เกิดแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน" ประกอบกับเกิดวิกฤติศรัทธาในพลพรรคฯ <12> ตามคำสัมภาษณ์ของนายธง แจ่มศรี เลขาธิการพรรคฯ การต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธจึงยุติ
.
"คอมมิวนิสต์" จะไม่เกิดขึ้นเลยหากประชาชนไม่ถูกกดขี่ขูดรีดกระทั่งยากจน ผมถามอดีตพลพรรคคอมมิวนิสต์ที่ไปร่วมงานรำลึกความหลังว่า ถ้ามีโอกาสก่อตั้งพรรคใหม่อีก จะเอาไหม ก็ไม่พบใครคิดจะฟื้นพรรคอีก ดังนั้น "คอมมิวนิสต์" จึงไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว น่าขยะแขยงที่จะเขย่าความมั่นคงทางการเมืองตราบเท่าที่ประเทศมีความมั่นคงและความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
.
โดยนัยนี้ "คอมมิวนิสต์" จึงไม่ใช่ภัยคุกคามใด ๆ แต่เป็นพลังสร้างสรรค์ที่เกิดจากอุดมการณ์ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในอดีต ดังนั้นในยุคนี้ ใครที่เอาคำนี้มาอ้างว่าเป็นภัยความมั่นคง ย่อมเป็นการกระทำที่มีวาระซ้อนเร้นเพื่อใช้คำนี้เป็นเครื่องมือทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง และใช้ปลุกให้ประชาชนเกิดความไม่ไว้วางใจและแตกแยกกันมากกว่า
.
เราต้องสามัคคีประชาชนทุกหมู่เหล่าเพื่อพัฒนาชาติ อย่าให้ใครมาสร้างความแตกแยก
.
.
หมายเหตุ:
.
<1> ดร.โสภณ พรโชคชัย เป็นผู้ที่ทำวิจัยต่อเนื่องเกี่ยวกับชุมชนแออัด โดยเป็นคนแรกที่ค้นพบชุมชนแออัดถึง 1,020 แห่งในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และสำรวจชุมชนแออัดในภูมิภาคทั่วประเทศ เคยได้รับมอบหมายจากองค์การสหประชาชาติหลายหน่วยงานให้ศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาเมืองและชุมชนแออัด เป็นผู้ประเมินค่าทรัพย์สินและนักวิจัยด้านอสังหาริมทรัพย์ ยังเป็น ผู้แทนสมาคมประเมินค่าทรัพย์สินนานาชาติ (IAAO) ประจำประเทศไทย และกรรมการสภาที่ปรึกษา Appraisal Foundation ซึ่งก่อตั้งโดยสภาคองเกรสเพื่อการควบคุมการประเมินค่าทรัพย์สินในสหรัฐอเมริกา Email: sopon@thaiappraisal.org .
<2> มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่มุ่งให้ความรู้แก่สาธารณชนด้านการประเมินค่าทรัพย์สิน อสังหาริมทรัพย์และการพัฒนาเมือง ปัจจุบันเป็นองค์กรสมาชิกหลักของ FIABCI ประจำประเทศไทย ถือเป็นองค์กรเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่มีกิจกรรมคึกคักที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทยจนได้รับความเชื่อถือจากนานาชาติ โปรดดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่//www.thaiappraisal.org/ .
<3> โปรดดูรายละเอียดงานได้ที่//www.domefamily.com/forum/viewtopic.php?t=637 .
<4> โปรดดูรายละเอียดในบรรยายสรุปอำเภอเคียนซา 12 กุมภาพันธ์ 2551 ที่//www3.suratthani.go.th/home/index.php?option=com_weblinks&task=view&catid=53&id=220 .
<5> รายได้จากการทำสวนยางยังอาจคิดจากค่าเฉลี่ยในภาคใต้ เช่น ไร่ละ 474 กิโลกรัมต่อปี คูณด้วยราคาต่อกิโลกรัมและคูณด้วยจำนวนไร่ ส่วนรายได้จากการทำสวนปาล์มคิดจากผลผลิตฐานที่ 7,000-8,000 กิโลกรัมต่อไร่ และมีค่าใช้จ่ายในการตัดตันละ 500 บาท โดยรวมแล้วค่าใช้จ่ายทั้งหมดของสวนปาล์มจะเป็นเงินประมาณ 4,000 บาท/ไร่/ปี (รวมค่าปุ๋ยและค่าดูแล) ในกรณีใส่ปุ๋ยเป็นพิเศษ สวนปาล์มอาจตัดได้มากกว่า 2 ครั้งต่อเดือน
.
<6> ดูบรรยายสรุปอำเภอเคียนซา ตาม <4> หน้า 5
.
<7> สรุปผลเบื้องต้นการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2550//service.nso.go.th/nso/nsopublish/service/survey/socio_6m50.pdf .
<8> จากการสำรวจของมูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทยพบว่า มูลค่าที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เป็นเงิน 10,539,566,333,693 บาท จากจำนวนหน่วยทั้งหมด 3,397,719 เฉลี่ยหน่วยละ 3.1 ล้านบาท โปรดดู://www.thaiappraisal.org/pdfNew/Research/research_2007-05-215-land.pdf .
<9> ดูบรรยายสรุปอำเภอเคียนซา ตาม <4> หน้า 5 เช่นกัน
.
<10> โปรดดูรายละเอียดผลการศึกษานี้ได้ที่ บทความของ ดร.โสภณ พรโชคชัย คนจนในไทยมีเพียง 10% ที่//www.thaiappraisal.org/Thai/Market/Market180.htm .
<11> ไม่สามารถหาเว็บที่เป็นทางการได้ มีเพียงเว็บที่คัดลอก//www.geocities.com/thaidemocratic/pm6623.htm .
<12> โปรดดู//www.sarakadee.com/web/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=78&page=4

โดย : โสภณ พรโชคชัย (58.8.35.184) เมื่อ : 13/05/2008 08:25 AM


โดย: jenifaae วันที่: 6 มิถุนายน 2551 เวลา:17:16:50 น.  

 
*มจธ.พัฒนาระบบรับคำสั่งเสียงเอาใจคนชราใช้แทนมือกด

ในญี่ปุ่นมีบ้านอัจฉริยะที่ออกแบบโดยคนพิการเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดติดตั้งโปรแกรมให้รับคำสั่งเสียง ในการปิดเปิดแทนการกดปุ่ม ทำให้คนชราและคนพิการใช้ชีวิตสะดวกสบายขึ้น ในเร็วๆ นี้คนไทยก็จะมีโอกาสได้สัมผัสบ้านอัจฉริยะเช่นกัน เมื่อนักศึกษา มจธ.พัฒนาระบบควบคุมอุปกรณ์เครื่องใช้ด้วยคำพูด


"วัตถุประสงค์ของงานวิจัยนี้ เพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งของห้องต้นแบบในบ้านอัจฉริยะในอนาคต เพื่ออำนวยความสะดวกให้คนทั่วไป และช่วยเหลือผู้ที่พิการหรือผู้สูงอายุให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น" นายวาณิชย์ ภุมรินทร์ นักศึกษาภาควิชาวิศวกรรมระบบควบคุมและเครื่องมือวัด มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) กล่าว

จากการสำรวจพบว่าเครื่องใช้จำเป็นของทุกบ้านคือ พัดลม หลอดไฟ ทีวี รวมทั้งประตูและหน้าต่าง ซึ่งถูกใช้งานทุกวัน ส่งผลให้การออกแบบบ้านอัจฉริยะต้องคำนึงถึงเครื่องใช้พื้นฐานทั้งห้าดังกล่าว โดยแยกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ควบคุมแบบไร้สายผ่านรีโมท (ทีวี พัดลม) และส่วนที่ควบคุมแบบต่อสาย (ประตู หน้าต่าง หลอดไฟ)

ทีมงานประยุกต์ใช้ประโยชน์ซอฟต์แวร์รู้จำเสียงซึ่งเป็นงานวิจัยที่มีอยู่แล้วของคณะ โดยนำมาเขียนโปรแกรมเชื่อมต่อกับระบบสมองกล หรือไมโครคอนโทรลเลอร์ การทำงานเริ่มจากการส่งสัญญาณเสียงผ่านไมโครโฟนไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งจะประมวลผลและส่งสัญญาณผ่านทางพอร์ตสื่อสารไปให้สมองกลออกคำสั่งเครื่องใช้ให้ปฏิบัติตามคำสั่งเสียง ยกตัวอย่างการออกคำสั่ง "ไฟ เปิด" หรือ "หน้าต่างปิด" มอเตอร์ซึ่งติดอยู่ที่บานพับก็จะหมุนปิดหน้าต่าง

ในส่วนของเครื่องใช้ที่ต้องควบคุมผ่านรีโมทนั้นสมองกลจะส่งสัญญาณให้รีโมททำงานในการสั่งเปลี่ยนช่องทีวีและปรับระดับเสียง โดยใช้คำสั่งหลักคือ "เปิด ปิด เพิ่ม ลด" ยกตัวอย่าง "พัดลม เปิด" "พัดลม เพิ่ม" หมายถึงคำสั่งเพิ่มระดับความแรงลม "ทีวี ลด" หมายถึงคำสั่งปรับลดช่องทีวี

ผลงานระบบควบคุมอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้านอัจฉริยะด้วยเสียงจะร่วมจัดแสดงในงานประชุมวิชาการนานาชาติด้านวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการ (ไอ-ครีเอท 2008) ในวันที่ 13-15 พฤษภาคมนี้ ที่โรงแรมอิมพีเรียล ควีนส์ปาร์ค กรุงเทพฯ

(คม ชัด ลึก)





*โอกาสเข้าถึงเว็บไซต์ราชการ วันนี้ เท่าเทียมแล้วหรือยัง... ไทยรัฐออนไลน์

จากการที่ได้มีนโยบาย โครงการพัฒนาระบบบริการภาครัฐผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ อี-เซอร์วิส ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ที่มีการกำหนดมาตราฐานกลางสำหรับ บริการอิเล็กทรอนิกส์ หรือ อี-เซอร์วิส ให้แต่ละหน่วยงาน สามารถทำเรื่องเสนอของบประมาณโดยตรงจากกระทรวงการคลังเอง เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและรวดเร็วในการขยายบริการให้ทั่วถึงนั้น นำมาสู่แนวคิดที่ต้องการพัฒนาเว็บไซต์ ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ หรือ Web Accessibility ที่ไม่ว่าจะเชื้อชาติ ภาษาความเป็นอยู่ หรือสภาพร่างกายแบบต่างๆ ต้องเปิดให้เข้าถึงข้อมูลบนเว็บไซต์ได้หมด

เมื่อปี 1999 องค์การ World Wide Web Consortium หรือ W3C จึงริเริ่ม Web Accessibility Initiatives หรือ WAI เพื่อให้หน่วยงานทั่วโลก ได้จัดทำเว็บไซต์ของหน่วยงานภาครัฐ และเว็บไซต์ของตัวเองให้เป็นเว็บไซต์ที่ทุกคนเข้าถึงได้ โดยเฉพาะผู้พิการที่อยู่ในสังคม เพราะหากลองพิจารณาดูจะพบว่า ผู้พิการก็ต้องการเข้าถึงบริการและข้อมูลภาพรัฐไม่ต่างจากคนปกติ แต่การทำเว็บไซต์หน่วยงานภาครัฐที่ผ่านมามีข้อมูลเพียงพอให้เขาหรือไม่ มีทางเลือกในการดูข้อมุลมากแค่ไหน และมีรูปแบบการนำเสนอข้อมูลเหล่านั้นอย่างไร เนื่องจากคนพิการก็มีระดับและประเภทการพิการที่ต่างกัน เช่น ตาบอด หูหนวก และทางร่างกาย

*ดังนั้น กระทรวงไอซีทีได้ตระหนักในเรื่องดังกล่าว จึงจัดสัมมนาเรื่อง "ก้าวทัน Web Accessibility ของโลก MICT" เพื่ออธิบายถึงการจัดทำโครงการพัฒนาสังคมแห่งความเท่าเทียมด้วยไอซีที และทำวิจัยหาหน่วยงานของภาครัฐ 3 หน่วยงานในการนำร่องทำ Web Accessibility อันจะเอื้อประโยชน์ และเพิ่มโอกาสแก่ผู้ที่พิการ ให้ได้รับความเท่าเทียมเสมือนคนปกติที่ใช้ชีวิตในสังคม

นายธานีรัตน์ ศิริปะชะนะ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าว ถึงการจัดทำเว็บไซต์ของหน่วยงานภาครัฐให้เป็นเว็บไซต์ที่ทุกคนเข้าถึงได้ ว่า โครงการดังกล่าว เกิดขึ้นเพื่อต้องการสร้างความรู้ ความเข้าใจ ในเรื่องเว็บไซต์ที่ทุกคนเข้าถึงได้ ให้กับหน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ทราบถึงวิธีการและแนวทางพัฒนาเว็บไซต์ของหน่วยงานตัว ให้กลายเป็นเป็นเว็บไซต์ที่ทุกคนเข้าถึงได้ ตลอดจนชี้ให้เห็นถึงอุปสรรค และวิธีการใช้งานเว็บไซต์ของผู้พิการ

ผู้ตรวจราชการกระทรวงไอซีที อธิบายต่อว่า เนื่องจากทางกระทรวงไอซีที มีนโยบายที่ต้องการลดความเหลื่อมล้ำ ในการเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศของผู้ด้อยโอกาส คนพิการ และผู้สูงอายุ เพื่อให้สามารถเข้าถึงองค์ความรู้และข้อมูลข่าวสาร ที่จะนำไปช่วยเพิ่มศักยภาพ และช่วยพัฒนาคุณภาพขีวิตให้ดียิ่งขึ้น จึงมีการจัดทำแผนพัฒนาสังคมแห่งความเท่าเทียมด้วยไอซีทีช่วงปี 2551-2553 เพื่อดำเนินงานตามนโยบายดังกล่าว โดยในปี 2551 ได้มีการจัดกิจกรรมพัฒนาเว็บไซต์ของหน่วยงานภาครัฐ ให้กลายเป็นเว็บไซต์ที่ทุกคนเข้าถึงได้

นางทรงพร โกมลสุรเดช ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมและพัฒนาการใช้เทคโนโลยีและการสื่อสาร กระทรวงไอซีที อธิบายถึง "โครงการพัฒนาสังคมแห่งความเท่าเทียมด้วยไอซีที" ว่า เป็นโครงการที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงไอซีที ให้เกิดความเท่าเทียมในสังคมยุคดิจิตอล และฝึกอบรมความรู้ด้านไอซีที ประชาสัมพันธ์ อีกทั้งเผยแพร่ให้ประชาชนมีความรู้ในการใช้งานคอมพิวเตอร์ และอินเทอร์เน็ตเพื่อศึกษา ค้นคว้าข้อมูลข่าวสาร ได้ทั่วโลกและทั่วถึงให้กับผู้ด้อยโอกาสในสังคม ได้แก่ คนพิการ ผู้สูงอายุ เด็กกำพร้า ให้สามารถนำไอซีที มาใช้เป็นช่องทางในการเข้าถึงองค์ความรู้ ได้

*ผอ.สำนักส่งเสริมและพัฒนาการใช้เทคโนโลยีและการสื่อสารฯ อธิบายเพิ่มเติมว่า หน้าที่ของกระทรวงฯ คือ ส่งเสริมและผลักดันให้เกิดความร่วมมือทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อให้เกิดการพัฒนาและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในทุกส่วนอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ โดยโครงการดังกล่าวจะลดความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้เข้าถึงและผู้ไม่สามารถเข้าถึงไอซีที จัดทำแผนพัฒนาสังคมแห่งความเท่าเทียมด้วยไอซีที เพิ่มช่องทางการเข้าถึงองค์ความรู้ผ่านเว็บไซต์ของผู้พิการ ผู้สูงอายุ และอบรมพัฒนาผู้จัดทำเว็บไซต์

นางทรงพร อธิบายอีกว่า วัตถุประสงค์โครงการคือ ส่งเสริมให้ผู้พัฒนาเว็บไซต์ได้ตระหนักถึงปัญหา อุปสรรคในการเข้าถึงเว็บไซต์ของกลุ่มคนพิการทางสายตาที่ใช้งานคอมพิวเตอร์ และทราบแนวทางวิธีการในการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ที่ทุกคนเข้าถึงได้ตามข้อกำหนดของ World Wide Web Consortium (W3C) โดยจัดทำรูปแบบมาตรฐานการพัฒนาเว็บไซต์ที่ทุกคนเข้าถึงได้ สร้างความรู้ ความเข้าใจและเผยแพร่แนวทางการจัดทำเว็บไซต์ และส่งเสริมให้หน่วยงานภาครัฐปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้เป็นเว็บไซต์ที่ทุกคนเข้าถึงได้

ด้าน นางสมศรี หอกันยา ผู้อำนวยการกลุ่มงานส่งเสริมและพัฒนาคลังความรู้ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร บอกว่า ทางกลุ่มงานของตนได้สำรวจประชาชนทั่วไปประมาณ 400 คน และได้หน่วยงานที่ประชาชนอยากให้ทางกระทรวงทำเป็นการนำร่องมา 18 หน่วยงาน แต่กระทรวงมีนโยบายทำเพียง 3 หน่วยงาน โดยหน่วยงานอันดับ1 ที่ประชาชนอยากให้ทำมากที่สุด ได้แก่ หน่วยงานของกระทรวงศึกษาธิการ 20% หน่วยงานของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ 15.5% และหน่วยงานสุดท้ายคือหน่วยงานของกระทรวงแรงงาน 10%

"หลังจากทำวิจัยเสร็จแล้วเราจะสรุปหาหน่วยงานที่อยู่ใน 3 อันดับ โดยเราจะดูความพร้อมของหน่วยงานก่อนที่จะมีการลงนามสัญญาความร่วมมือ และใช้เวลาในการพัฒนาเว็บไซต์ประมาณ 4 เดือน ดังนั้นเราจะเห็นโฉมหน้าของเว็บไซต์ที่เป็น Web Accessibility ประมาณต้นเดือนตุลาคมนี้แน่นอน" นางสมศรีกล่าว

นายสว่าง ศรีสม ผู้เชี่ยวชาญด้าน Web Accessibility จากองค์กรคนพิการสากล ให้ความเห็นว่า คนพิการคือผู้ที่รู้ปัญหาและความต้องการของตัวเองดีที่สุด จึงจำเป็นที่ผู้ใช้หรือเจ้าของปัญหาต้องมีส่วนร่วม ในการออกแบบและการตัดสินใจ ตั้งแต่ขั้นตอนแรก เพื่อให้ได้แนวทางการแก้ปัญหาที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด หากคิดเชิงการแพทย์ การที่คนพิการเข้าสู่ข้อมูลข่าวสารไม่ได้ เพราะคนพิการไม่ได้ยิน มองไม่เห็นไม่เข้าใจ แต่ในเชิงสังคมการเข้าถึงข้อมูลไม่ได้เพราะข้อมูลไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้คนพิการสามารถเข้าใช้ได้

*ผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรคนพิการสากล แสดงความเห็นต่อว่า คนพิการไม่ได้เป็นคนส่วนน้อยของสังคม แต่จะอยู่ที่มุมมองของแต่ละบุคคล และสถานที่มากกว่า หากคนปกติไปอยู่ในสมาคมคนพิการ คนปกติก็จะกลายเป็นคนส่วนน้อยไปในทันที ส่วนผลประโยชน์ของการทำ Web Accessibility ทางธุรกิจ จะช่วยเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดและเข้าถึงผู้ใช้ได้มากขึ้น คุณภาพการใช้งานที่ดีขึ้น ลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเว็บไซต์ เนื่องจากใช้โค้ดโปรแกรมน้อย เข้าใจได้ง่าย ดูแลง่าย และมีปัญหาความเข้ากันกับเทคโนโลยีในอนาคตน้อยกว่า

ส่วน นายเอกลักษณ์ พรมชาติ พนักงาน คอลล์เซ็นเตอร์ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ผู้พิการทางสายตา ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า อยากให้มีเว็บไซต์ที่รองรับความแตกต่างและการเข้าถึงทุกรูปแบบของคนพิการได้ ปัญหาที่เจอในที่ทำงานก็จะเป็นในเรื่องของการรีเฟรชหน้าจอ ทำให้ไม่สามารถขยับหน้าจอไปไหนได้ เพราะจะกลับมาหน้าจอเดิม การใช้ปุ่มกดจะลำบากกว่าคนปกติ ส่วนมากกลุ่มคนพิการทางสายตาก็จะใช้คีย์บอร์ดเป็นหลัก และโปรแกรมการใช้งานของคนพิการทางสายตา น่าจะพัฒนาให้เป็นภาษาไทยมากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ใช้ได้อย่างทั่วถึง

จากข้อมูลทั้งหมดที่นำเสนอมานี้ คาดหวังว่าจะได้เห็นโครงการ ของภาครัฐในเร็ววันนี้ เป็นประโยชน์ต่อประชาชนทุกคน ทุกระดับในสังคม ในการเข้าถึงข้อมูลและบริการจากภาครัฐมากขึ้น และดีกว่าเดิม เพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม และนำเทคโนโลยีที่มีศักยภาพมาพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าต่อไป เนื่องจากเทคโนโลยีไอซีทีถูกนำมาใช้ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของมนุษย์ แต่ถ้าเอามาใช้แล้วกลับกลายเป็นปัญหาชีวิตของคนพิการ ก็ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจ กับความสะดวกสบายเหล่านี้ดี...

อรนุช ศรีมหาโพธิ์ทอง

itdigest@thairath.co.th




*ทายนิสัยจากกีฬาที่ชอบ

Posted by นาราด้า
//www.oknation.net/blog/tarot/2008/05/18/entry-1

ชอบเล่นฟุตบอล
สำหรับคนที่ชอบเล่นฟุตบอลมากที่สุดในบรรดากีฬาทุกประเภทนั้น นิสัยจะเป็นคนที่หนักแน่นจริงจัง และรักษาคำพูด คำสัญญาของตัวเองเป็นอย่างยิ่ง เป็นคนที่สามารถเชื่อถือและไว้วางใจได้ สามารถเผชิญกับภาวะวิกฤติได้ ทั้งยังเป็นคนที่ให้ความร่วมมือ กับคนอื่นดีมาก ในด้านการทำงาน จึงเป็นคนที่มีความสามารถในการทำงาน ที่มีลักษณะเป็นกลุ่มหรือเป็นทีมและยังเป็นนักประสานงานที่ดีอีกด้วย

ชอบเล่นเทนนิส
คนที่ชอบเล่นเทนนิสนี้ถ้าหากต้องคบหากับใคร ก็มักจะให้ความสำคัญกับเรื่องฐานะ ชื่อเสียงของคนที่ตนคบมากทีเดียว โดยจะเลือกคบเฉพาะคนที่อยู่ในฐานะระดับเดียวกับตัวเองเท่านั้น และยังเป็นคนที่อยู่ในโลกของความเป็นจริง ชอบการทำงานที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน ชิงไหวชิงพริบ ใครเก่งกว่าก็ชนะไป อะไรเช่นนี้เป็นต้น แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนสุภาพอ่อนโยน รู้จักการเข้าสังคมเป็นอย่างดี

ชอบเล่นกอล์ฟ
คนที่ชอบเล่นกีฬากอล์ฟนี้ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเอง
ทั้งยังชอบการทำงานหรือการใช้ชีวิต ที่ท้าทายตัวเองมาก ๆ เป็นคนที่ชอบใช้ความคิดหรือตัดสินใจทุกอย่างด้วยตัวเอง ละก็จะรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดจากการตัดสินใจของตัวเองด้วย แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่รอบคอบ ทำอะไรก็คิดหน้าคิดหลังอย่างมีระบบ เป็นคนที่เข้ากับคนง่ายมนุษย์สัมพันธ์ดี และปรับตัวเก่ง

ชอบขี่จักรยาน
บอกได้ถึงอารมณ์ช่างฝัน โรแมนติกไม่น้อย คุณเป็นคนที่ชอบอยู่กับธรรมชาติ เป็นคนเงียบ ๆ ไม่วุ่นวายกับใครชอบความสงบและเรียบง่าย มีความเป็นส่วนตัวสูง มีแนวคิดเป็นของตัวเอง หัวโบราณเล็ก ๆ มีความเป็นเพื่อนที่จริงใจ ชอบเสียสละและดูแลปกป้องคนรอบตัวเสมอ เสียอย่างเดียวไม่ค่อยมีไหวพริบเท่าไหร่

ชอบปีนเขา
ส่วนคุณที่ชอบกีฬาปีนเขามาก บอกนิสัยของคุณที่ชอบทำอะไรท้าทาย ตื่นเต้น จุดเด่นคือคุณเป็นคนที่ทำอะไรมักจะทำเต็มร้อยเสมอ ทุ่มเทเต็มที่ มีความมุ่งมั่นบากบั่น จิตใจเข้มแข็ง ชอบอยู่กับความจริง แต่ก็ชอบฝัน เพียงแต่ต้องเป็นฝันที่เป็นจริงได้เท่านั้น คุณมักเป็นพี่พึ่งให้คนอื่นเสมอ มีความเป็นผู้นำ อย่างคุณเหมาะจะนำคนมากกว่าตามนะ

ชอบวิ่งแข่ง
ถ้าคุณรักการวิ่งที่สุด บอกนิสัยที่กระฉับกระเฉง ไม่หยุดนิ่งของคุณ ทั้งยังชอบเรื่องสนุก ๆ ท้าทาย คุณเป็นคนกระตือรือร้น แอ็คทีฟสุดเดช เป็นคนมีชีวิตชีวา ร่าเริง มีอารมณ์ขัน มีความฝันยิ่งใหญ่ คุณเป็นคนที่วิ่งตามโลก เป็นคนของอนาคตมากกว่าอดีต ชีวิตคุณมักจะนึกถึงแต่วันพรุ่งนี้เสมอ (ถ้าจะหันกลับมาดูอดีตบ้างก็ไม่เลวนะ)

ชอบเต้นแอโรบิก
ส่วนมากมักจะเป็นผู้หญิง ที่ปิ๊งกับการเล่นแอโรบิค บ่งบอกได้ว่าถึงแม้คุณจะดูเป็นคนฉาบฉวยแต่ลึก ๆ แล้วคุณเป็นคนเข้มแข็ง มีเสน่ห์ เข้ากับคนอื่นได้ดี
เพียงแต่บุคลิกของคุณดูช่างแต่งตัว เพราะคุณเป็นคนรักสวยรักงาม เข้าสังคมเก่ง ยามเจ็บป่วยคุณจะรีบไปหาหมอแบบไม่รอช้า จุดเด่นคือ ความใจดีของคุณนั่นแหละที่น่ารักสุด ๆ

ชอบว่ายน้ำ
สำหรับคนที่ชอบว่ายน้ำนี้ นิสัยจะเป็นคนใจกล้าชอบการเผชิญหน้ากับปัญหาหรืออุปสรรค โดยไม่หวั่นเกรงสิ่งใด หรือจะเรียกว่าเป็นกัดไม่ปล่อยก็ไม่ผิด นอกจากนี้ยังเป็นคนใจร้อน มุทะลุ จนดูบ้าดีเดือดมากไปหน่อย ซึ่งบางครั้งอาจสร้างความลำบากใจให้กับคนที่ไปไหนมาไหนด้วย แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนซื่อสัตย์ รักษาคำพูด รักเดียวใจเดียว ใครดีด้วยก็ดีตอบจนน่าใจหาย
แต่ถ้าใครร้ายมา ก็จะโต้ตอบกลับไปอย่างไม่เกรงใจเหมือนกัน

ชอบตกปลา
สำหรับคนที่ชอบกีฬาตกปลานี้ อันดับแรกเลยก็คือการเป็นคนรักธรรมชาติ รักความสันโดษ ชอบชีวิตที่สงบๆ ที่ไม่พลุ่งพล่านวุ่นวายไปด้วยผู้คนที่ไม่มีความจริงใจ ให้กันแต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นคนที่มีความเป็นส่วนตัวสูง ไม่ชอบให้คนเข้ามาล่วงละเมิด ในเรื่องราวของตัวเองเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ ยังเป็นคนที่ช่างฝันช่างคิดอยู่เสมอ โดยเฉพาะเพื่อสิ่งที่ดีในสังคม เป็นคนที่ชอบทำอะไรเพื่อคนอื่น ชอบเสียสละ และมีความรักในผู้คนทุกคน

ชอบเพาะกาย
สำหรับคนที่ชอบเล่นกีฬาเพาะกายมากที่สุดนั้น อุปนิสัยมักเป็นคนที่เอาจริงเอาจังในชีวิตมาสักหน่อย ดูเหมือนจะซีเรียสไปซะทุกเรื่องราวเลยหละ
และมักมีเป้าหมายในทุกเรื่องที่ลงมือกระทำเสมอ มีความพยายามมาก ถึงขนาดที่ว่ายอมเสียทุกอย่าง เพื่อให้จุดมุ่งหมายของตนเป็นจริง นอกจากนี้ ยังเป็นคนที่ชอบการเป็นจุดเด่น หรือได้ความสนใจจากคนอื่นมากๆ และต้องการชีวิตที่มีความเพียงพร้อมสมบูรณ์ในทุกๆ เรื่อง

ชอบมวยปล้ำ
แม้ว่ามวยปล้ำอาจจะไม่ใช่กีฬาที่ได้รับความนิยมน้อยในบ้านเรา แต่คนที่ชอบกีฬาชนิดนี้เอามากๆ และหากได้เล่นก็จะขอเล่นมวยปล้ำ นี่เป็นอันดับแรก บอกถึงนิสัยของการเป็นคนมีอารมณ์ขัน แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่มีจิตใจแข็งแกร่ง ยึดมั่นในความคิดของตนอย่างเหนียวแน่น นอกจากนี้ คนที่ชอบกีฬามวยปล้ำยังเป็นพวกอนุรักษ์นิยมอีกด้วย ประพฤติตนอยู่ในกรอบจารีตประเพณีที่ดีเสมอ ทั้งยังเชื่อมั่นในเรื่องความดีอย่างสูงส่ง

ชอบแข่งรถ
สำหรับคนที่ชอบแข่งรถ ไม่ว่าจะรถมอเตอร์ไซค์ หรือรถยนต์ก็ตาม นิสัยมักเป็นคนที่ขอบความท้าทายเอามากๆ ทั้งยังกระตือรือร้นสูง มีพลังงานจะทำนั่น ทำนี่อยู่ตลอดเวลา เป็นคนที่ชอบการแข่งขัน ชอบชีวิตที่ได้รับการปลุกเร้า ตลอดเวลา มากกว่าการอยู่เฉยๆนิ่งๆ ไร้ชีวิตชีวา นอกจากนี้ยังเป็นคนที่มีเป้าหมายในชีวิตสูง มักตั้งความหวังเอาไว้ไกลลิบ แต่ก็มีความพยายามเป็นอย่างดีเพื่อไปให้ถึงสิ่งที่ตนหวังไว้

ชอบสนุกเกอร์
สำหรับผู้ที่รักสนุกเกอร์จับจิต และสมัครเป็นสานุศิษย์ของ ต๋อง ศิษย์ฉ่อยนั้น จะมีนิสัยช่างวิเคราะห์ ใจเย็น และรอบคอบมาก มักจะเป็นคนที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เก่ง ยังเป็นคนที่มีความสามารถในการทำงานหลายๆ อย่างได้พร้อมกัน และจะประสบความสำเร็จในชีวิตด้วยดีทีเดียว แต่บางทีอาจจะเป็นคนขี้ระแวงไปหน่อย แม้แต่เรื่องเล็กน้อย จนดูจุกจิกน่ารำคาญ และนั่นก็เพราะความเป็นคนขี้สงสัย ที่อยากรู้อยากเห็นไปซะทุกเรื่อง นั่นเอง

ชอบเบสบอล
ส่วนคนที่ชอบกีฬาเบสบอลมากที่สุดนั้น จะเป็นพวกนักคิดสักหน่อยแถมยังฉลาด และเท่าทันเล่ห์เหลี่ยมคนอีกด้วย เป็นคนที่ยึดมั่นในหลักการโดยเฉพาะในสิ่งที่ตัวเองยึดถือ อยู่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงความคิดง่ายๆ แม้จะเป็นคน ที่มีความคิดทันสมัย และใจกว้างมากก็ตาม นอกจากนี้ยังเป็นคนที่จริงใจมาก รักใครก็จะรักตลอดไม่ลังเล ปรวนแปร ชอบทำงานที่ใช้สติปัญญา และมักคบหาคนที่มีความรู้ความสามารถเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดกัน

ชอบโบว์ลิ่ง
สำหรับคนที่ชอบเล่นกีฬาโบว์ลิ่งนี้ นิสัยจะออกไปทางพวกสุขนิยม คือชอบใช้ชีวิต หรือมีชีวิตอย่างมีความสุข เป็นพวกมองโลกในแง่ด ี แต่ไม่ค่อยมีความรับผิดชอบอะไรนัก หวังพึ่งพาจริงจังเห็นจะยาก แต่เล่นๆ ล่ะพอได้อยู่ นอกจากจะรักชีวิตเจ้าสำราญและสนุกสนานแล้ว ยังเป็นคนกล้าแสดงออกอีกด้วย โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับเรื่องรื่นเริงบันเทิงใจที่สามารถทำให้คนเฮฮาไปกับตัวเองได้นั่นแหละ เป็นคนที่เอาตัวรอดไปวันๆ มากกว่าจะคิดถึงอนาคต
วันข้างหน้า

ชอบฮ็อกกี้
คนที่ชอบเล่นกีฬาฮ็อกกี้มากที่สุด (ในกรณีที่บ้านเราไม่ค่อยนิยมกีฬานี้นัก
อนุโลมให้เป็นชอบที่สุดก็ได้จ้ะ) นิสัยของคนที่ชอบกีฬานี้ จะเป็นนักแก้ปัญหาที่ดีมาก เพราะจะรอบคอบ และมองทุกอย่างโดยละเอียดถี่ถ้วน แต่โดยทั่วไปแล้วจะเป็นคนรักความสงบ ชอบอยู่คนเดียว คิดฝัน ไตร่ตรองถึงเรื่องนั้น เรื่องนี้ไปเรื่อยเปื่อย แต่บางทีก็จะมีอาการของวัยรุ่นใจร้อนอยู่เหมือนกัน คิดอะไรได้ก็อยากลงมือทำ ปุ๊บปั๊บ ให้เห็นเป็นรูปร่างโดยเร็ว
แต่นั่นก็หมายความว่าเป็นเรื่องที่ผ่านการคิดอย่างรอบคอบ และมีเหตุผลรองรับเพียงพอมาแล้วเช่นกัน

ชอบชกมวย
นิสัยของคนที่ชอบเล่นกีฬาคือ การชกมวยมากที่สุดนี้ จะเป็นคนที่รักความอิสระ ชอบทำงานที่ตนรับผิดชอบเพียงคนเดียว หรือในการใช้ชีวิตเมื่อเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาก็มักจะทำตัวเป็นพวกวันแมนโชว์เสมอ คือรับผิดแทนคนอื่นไปซะทุกเรื่อง นอกจากนี้ยังเป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเอง ใจคอเข้มแข็ง กล้าหาญ กล้าลุยกับทุกปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวเอง โดยไม่เกรงกลัวสิ่งใด เป็นคนที่รักความยุติธรรมมาก

ไม่ชอบเล่นกีฬาเลย
สำหรับคนที่ไม่สนใจเล่นกีฬาใดๆ เลยแม้สักอย่างหนึ่ง นิสัยของคนแบบนี้มักไม่ค่อยสนใจเรื่องราว ที่เป็นรูปธรรมนัก เช่น การแต่งตัว หน้าตา ความสวยงามอะไรพวกนี้ แต่จะให้ความสำคัญกับเรื่องที่ลึกซึ้งของชีวิต-จิตใจ และสติปัญญาของคนมากกว่าอย่างอื่น นอกจากนี้ยังเป็นคนใฝ่รู้ ชอบศึกษาเรื่องที่เกี่ยวกับปรัชญาและศาสนา


โดย: jenifaae วันที่: 6 มิถุนายน 2551 เวลา:17:17:13 น.  

 
*เชิญร่วมแถลงข่าวเปิดตัวและร่วมชมมินิคอนเสิร์ต “เปิดโลกเย็น”

เชิญร่วมแถลงข่าวเปิดตัวและร่วมชมมินิคอนเสิร์ต “เปิดโลกเย็น”

เนื่องในปีพุทธศักราช 2551 เป็นวาระครบรอบการเฉลิมฉลอง ครบรอบ 102 ปี ชาตกาลพุทธทาสภิกขุ และองค์กร UNESCO ได้มอบรางวัลให้ท่านเป็นบุคคลสำคัญของโลก กลุ่มศิลปะเปิดจิต ได้ร่วมมุทิตาจิตจัดการแสดงดนตรีเพลงพุทธทาส “เปิดโลกเย็น” โดย จีวันแบนด์และศิลปินรับเชิญ เพื่อเป็นการประกาศเกียรติคุณท่านพุทธทาสภิกขุ และสนองเจตนารมณ์ของท่านที่จะทำเพลงศาสนาเพื่อชาติและประชาชน ให้ผู้คนได้รับฟังเพื่อ ความรื่นเริงทางสติปัญญา (Spiritual Entertainment) โดยเนื้อหาจะประกอบไปด้วยบทกวี บทความและข้อเขียนของท่านพุทธทาส พร้อมกันนี้ได้แต่งเพลงขึ้นบางส่วนจากคำสอนของท่าน เพื่อเน้นให้เยาวชนและบุคคลทั่วไปได้รู้จักและเข้าใจ ข้อธรรมคำสอนของท่านพุทธทาสผ่านบทเพลงที่มีคุณค่า มีประโยชน์ ทันสมัย เหมาะแก่การนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ในวันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน 2551 เวลา 19:00 น. ณ หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย

เพื่อเป็นหนึ่งในพุทธพาหนะที่จะสานต่อบทเพลงธรรมในสภาวะโลกร้อน โดยเฉพาะเมืองไทยยังขาดแคลนเพลงที่ทำให้จิตสูง และเพื่อให้โลกร่มเย็นด้วยธรรม สร้างสันติสุขและสันติภาพ ดังคำที่ท่านพุทธทาส กล่าวไว้ว่า “ศีลธรรมของยุวชน คือ สันติภาพของโลก” ในโอกาสนี้ สำนักพิมพ์ดีเอ็มจีมีความยินดีขอเชิญท่านร่วมแถลงข่าวเปิดตัวและชมมินิคอนเสิร์ต “เปิดโลกเย็น” จีวัน แบนด์ โดย คุณดินป่า จีวัน คุณณพา จีวัน ดำเนินรายการโดย คุณไก่ มีสุข แจ้งมีสุข พร้อมด้วยศิลปินรับเชิญกิตติมศักดิ์ อาทิ คุณปนัดดา วงศ์ผู้ดี, คุณอี้ แทนคุณ จิตต์อิสระ, คุณนุภาพ สวันตรัจฉ์, คุณธีรภาพ โลหิตกุล, คุณธนกฤต อกนิษฐธาดา, คุณธีรยุทธ์ เวชเจริญยิ่ง, เด็กๆ จากอนุบาลสัตย์สงวนอนุสรณ์ น้องตั้งเตและเด็กๆ นักแสดง ในวันอังคาร ที่ 13 พฤษภาคม 2551 เวลา 14.00 – 15.45 น. ณ หอประชุมพุทธคยา สำนักพิมพ์ดีเอ็มจี อาคารอัมรินทร์พลาซ่า ชั้น 22 ถนนเพลินจิต สถานีรถไฟฟ้า BTS ชิดลม


สำนักพิมพ์ ดีเอ็มจี
กำหนดการแถลงข่าวเปิดตัวคอนเสิร์ต “เปิดโลกเย็น”
วันอังคาร ที่ 13 พฤษภาคม 2551 เวลา 14.00 – 15.45 น.
ณ หอประชุมพุทธคยา สำนักพิมพ์ดีเอ็มจี อาคารอมรินทร์ พลาซ่า ชั้น 22

เวลา กิจกรรม
14.00 – 14.30 น.

ลงทะเบียนรับของที่ระลึก / รับประทานอาหารว่าง
14.30 – 14.35 น.

ผู้ดำเนินรายการกล่าวต้อนรับแขกท่านผู้มีเกียรติและสื่อมวลชน
14.35 – 15.05 น.
ผู้ดำเนินรายการกล่าวแนะนำคอนเสิร์ต “เปิดโลกเย็น”
และเชิญผู้ร่วมเสวนา

~ คุณดินป่า จีวัน
~ คุณพณา จีวัน
~ คุณปนัดดา วงศ์ผู้ดี
~ คุณ แทนคุณ จิตต์อิสระ
~ คุณนุภาพ สวันตรัจฉ์
~ คุณธีรภาพ โลหิตกุล
~ คุณธนกฤต อกนิษฐธาดา
~ คุณธีรยุทธ์ เวชเจริญยิ่ง
15.05 – 15.15 น.

ตอบข้อซักถามสื่อมวลชน
15.15 – 15.30 น.

มินิคอนเสิร์ต “เปิดโลกเย็น”
15.30 – 15.45 น.

พิธีกรกล่าวเรียนแขกผู้มีเกียรติถ่ายภาพร่วมกัน
15.45 น.
จบงาน
ดำเนินรายการโดย : คุณมีสุข แจ้งมีสุข

สำนักพิมพ์ดีเอ็มจี หวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะได้รับเกียรติจากท่านในการเข้าร่วมงานตามวันเวลาดังกล่าว สอบถามรายละเอียด เพิ่มเติมได้ที่ เบอร์โทร 0 2685 2254-5 และขอขอบพระคุณล่วงหน้ามา ณ โอกาสนี้
สำนักพิมพ์ ดีเอ็มจี โทร ฯ 02 685 2254-55 หรือ //www.dmgbooks.com





*เชิญร่วมสัมมนาวิชาการ ครั้งที่ 11

โดย : โครงการปริญญาโทจิตวิทยาการปรึกษา มธ. เมื่อ : 16/05/2008 11:48 AM โครงการปริญญาโทจิตวิทยาการปรึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ขอเชิญร่วมสัมมนาวิชาการ ครั้งที่ 11 ในหัวข้อดังต่อไปนี้

1. เรื่อง "ครอบครัวไทย...เข้มแข็งหรืออ่อนแอ..." ในวันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม 2551

เวลา 12.30 – 16.00 น. ณ ห้อง ศศ.301 คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

2. เรื่อง "สุขภาวะในการทำงานสร้างได้อย่างไร?" ในวันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน 2551

เวลา 12.30 - 16.00 น. ณ ห้องประชุมประภาส อวยชัย ชั้น 4 อาคารอเนกประสงค์ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

วิทยากรในการสัมมนา

ผศ. สุรินทร์ รณเกียรติ ประธานโครงการจิตวิทยาการปรึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

วิทยากรพิเศษ

หัวข้อที่ 1 คุณณัฐวดี ณ มโนรม นักสังคมสงเคราะห์ หน่วยจิตเวชเด็ก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์คณะแพทยศาสตร์ ศิริราช

หัวข้อที่ 2 ผศ.ธีรศักดิ์ กำบรรณารักษ์ อาจารย์ภาควิชาจิตวิทยา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ดำเนินการสัมมนาโดย

นักศึกษาปริญญาโทจิตวิทยาการปรึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

หมายเหตุ : ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น สำรองที่นั่งด่วน ! จำนวนจำกัด

ติดต่อสอบถาม

โทร. อัจฉรา 089-709-0939 , ฐานิยา 081-438-3269 E-mail Address : tu_counseling@hotmail.com




*ยกย่องหญิงพิการ 'เสาวลักษณ์ ทองก๊วย' บุคคลดีเด่นด้านส่งเสริมสิทธิมนุษยชนสตรี

*นายชาญยุทธ โฆศิรินนท์ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)รักษาการปลัด พม.ลงนามในประกาศกระทรวงฯ ลงวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๑ เรื่อง การประกาศเกียรติคุณสตรี บุคคล และหน่วยงานดีเด่นทั้งภาครัฐและเอกชน เนื่องในวันสตรีสากล ประจำปี ๒๕๕๑ ดังนี้

บุคคลดีเด่นด้านการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างหญิงชาย และการคุ้มครองสิทธิสตรี ได้แก่ ศ.(พิเศษ)จรัญ ภักดีธนากุล บุคคลในภาคเอกชนดีเด่นด้านการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนสตรี ได้แก่ น.ส.เสาวลักษณ์ ทองก๊วย หัวหน้าสำนักงานองค์การคนพิการสากลประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ซึ่งต่อสู้ปัญหาสิทธิของผู้หญิงพิการในประเทศไทย

สตรีดีเด่นด้านการส่งเสริมสันติภาพใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ น.ส.รีฟ๊ะ วาหะ และ น.ส.ศุภวรรณ พึ่งรัศมี, สื่อมวลชนดีเด่น สาขาวิทยุกระจายเสียง ได้แก่ นางฟองสนาน จามรจันทร์, พิธีกรรายการวิทยุ สาขาโทรทัศน์ ได้แก่ น.ส.ชวิดา วาทินชัย ผู้สื่อข่าวโมเดิร์นไนน์ ทีวี ดีเด่นด้านการส่งเสริมศักยภาพสตรีและความเสมอภาคหญิงชาย, สื่อวิทยุกระจายเสียง/สื่อโทรทัศน์ ได้แก่ รายการภัยรายวัน และละครโทรทัศน์ ได้แก่ ละครเรื่อง สตรีที่โลกลืม ( ไทยโพสต์ออนไลน์ ๔ มีค. ๒๕๕๑ )…. มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทยขอแสดงความยินดีด้วย


โดย: jenifaae วันที่: 6 มิถุนายน 2551 เวลา:17:18:02 น.  

 
*ความหมายของเดือนทั้ง 12 ของศาสตร์พยากรณ์

Posted by นาราด้า //www.oknation.net/blog/tarot/2007/12/30/entry-1

เดือนเกิดนั้นสำคัญไฉน
"วัน เดือน ปีเกิด" ถือเป็นกุญแจไขรหัสสำคัญสำหรับการพยากรณ์ทั้งหลาย แต่ "ทายใจไขคำตอบ" คราวนี้ไม่จำเป็นต้องรู้วันที่เกิดและปีที่เกิด ขอแค่รู้เดือนเท่านั้น เราก็สามารถทราบนิสัยคร่าว ๆ โดยประมาณ ของคนคนนั้นได้แล้ว งานนี้แอบกิ๊กแอบปิ๊งใครอยู่ แอบสืบมาให้ได้ว่าเขาเกิดเดือนอะไร ซึ่งคงไม่ยากเย็นนัก แล้วมาลองดูกันว่า เราจะหาทางพิชิตใจเขาได้อย่างไรกันดีกว่า...

คนที่เกิดเดือนมกราคม
สำหรับคนที่เกิดในเดือน แรกของปี เป็นคนที่มักมองโลกในแง่ดี ไม่ใช่พวก ย้ำคิดย้ำทำ เป็นคนขยัน ทำอะไรจริงจัง ฉลาด เจ้าระเบียบนิด ๆ มีความคิดสร้างสรรค์ ขี้หึง มีกรอบในชีวิต เป็นคนอารมณ์อ่อนไหว มีความ กระตือรือร้น ไม่ค่อยชอบออกไปไหนมาไหนเท่าไหร่ สามารถอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนได้ทั้งวัน ชอบการทำงานและหาอะไรทำเสมอ ชอบกังวลจนเครียดไปบางครั้ง

คนที่เกิดเดือนกุมภาพันธ์
คนที่เกิดในเดือนแห่งความรัก เป็นคนโรแมนติก ชอบเดินทางในความฝัน มีความสุข กับจินตนาการอันสดใส แต่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองสักเท่าไหร่ รักอิสระเสรีภาพ อ่อนไหวมาก ๆ โกรธง่ายหายเร็ว ดื้อนิด ๆ น่ารัก พูดจาอ่อนหวาน ชอบดูหมอ เชื่อโชคลางอาถรรพณ์ ใช้เงินเก่ง ชอบความสมัยใหม่ มีลางสังหรณ์แม่น

คนที่เกิดเดือนมีนาคม
เลข 3 เป็นเลขมหาเสน่ห์ เพราะฉะนั้นคนที่เกิดเดือน 3 ย่อมต้องเป็นคน มีเสน่ห์แน่นอน ไปไหนใคร ๆ ก็รัก ขี้อ้อน ปากร้ายแต่ใจดี ชอบทำตัวมีลับลม คมใน เป็นคนขี้สงสาร เห็นใครเดือดร้อนเป็นอด เข้าไปช่วยเหลือไม่ได้ แต่เป็นพวกเจ็บแล้วจำ บุญคุณต้องทดแทนความแค้นต้องชำระ ชอบท่องเที่ยวเดินทางไกล ขี้หงุดหงิดบางครั้ง เดินทางตลอดตั้งแต่เล็กจนโต ชอบศึกษาศาสตร์ลี้ลับ

คนที่เกิดเดือนเมษายน
คนที่เกิดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เดือนนี้เป็นจุดเริ่มต้นของหน้าร้อน ทำให้คนที่เกิดเดือนนี้อยู่นิ่งไม่ค่อยเป็น เจ้าอารมณ์ ก้าวร้าวนิด ๆ ก็อากาศมันร้อนนี่ ขี้หึงมาก ๆ แต่เป็นพวกใจอ่อน มีความกระตือรือร้นสูง พูดจาน่าฟัง มนุษยสัมพันธ์ดี เข้ากับคนง่าย มักช่วยเหลือแก้ปัญหาให้ผู้อื่น ได้เป็นอย่างดี กล้าหาญ รักการผจญภัย ทำอะไรจากจุดเริ่มต้นเสมอ ใจร้อนต้องลดลงบ้างนะคะ

คนที่เกิดเดือนพฤษภาคม
คนเกิดเดือน 5 ฉลาดเป็นกรด ใจแข็งมาก มีความตั้งใจสูง หากทำอะไรต้องทำสำเร็จ ชอบตกเป็นเป้าสนใจจากผู้อื่น เก็บอารมณ์เก่ง มีอิทธิพลต่อคนรอบข้างสูง เป็นคนเจ้าระเบียบ มีเซ้นส์ ชอบเดินทาง อยู่ไม่ติดบ้าน ขยันทำงาน มีความรับผิดชอบ แต่ใช้เงินเก่งสุดๆ รู้จักสถานที่รับประทานทุกซอกซอย และน่ารัก

คนที่เกิดเดือนมิถุนายน
เกิดกลางปีพอดิบพอดี เป็นคนอารมณ์อ่อนไหว ชอบคำพูดหวาน ๆ ไพเราะเสนาะหู มีความเป็นศิลปินสูง อารมณ์วูบไปมาเหมือนใบไม้ไหว เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ชอบขีดเขียน เป็นคนไม่ค่อยตรงเวลา นัดใครมักไปสาย หรือไม่ก็ไปซะเร็วเกิน ไปเรียนก็สายบ่อย ทำงานก็สายเหมือนกัน เสียใจง่าย แถมนานด้วย คารมดี ขี้บ่น เป็นคนสนุกสนาน ร่าเริง มักทำให้คนรอบข้างหัวเราะได้เสมอ หาเพื่อนเก่ง เจ้าแฟชั่น เบื่อง่ายหน่ายเร็ว เก่งด้านการวางแผนวิเคราะห์...

คนที่เกิดเดือนกรกฎาคม
คนเกิดเดือนนี้ เป็นคนตรง ไม่ชอบโกหก หยิ่งทะนงในความสามารถของตัวเอง เป็นคน สนุกสนาน โมโหง่าย ขี้หงุดหงิด ฉลาดแกมโกง อารมณ์แปรปรวนง่าย ขี้หึง ชอบอยู่ในโลกของตัวเอง ไม่ค่อยยอมออกมามองโลกอันกว้างใหญ่ ชอบอะไรก็ชอบอยู่แค่นั้น ไม่ค่อยยอมรับสิ่งใหม่ ๆ อยู่กับอะไรเดิม ๆ ได้นาน รักเพื่อน ไว้ใจคนยาก แต่ถ้าไว้ใจแล้วจะยกให้หมดทั้งใจ ทำให้มักต้องเจ็บเพราะเรื่องนี้ ไม่ค่อยขยัน ชอบเที่ยวกลางคืน รักแสงสี แต่มักจะมีโลกส่วนตัวที่ใครเข้าไปไม่ถึง เจ้าชู้อีกต่างหาก ใจอ่อน

คนที่เกิดเดือนสิงหาคม
สำหรับคนที่เกิดเดือนวันแม่ เป็นคนสุภาพ แต่ว่าขี้งกมาก ๆ เก็บเงินเก่งสุด ๆ ปาก ไม่ค่อยดีนัก กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว มีความเป็นผู้นำ สามารถเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อคนที่รักได้ มีความมุ่งมั่นแรงกล้าหากโดนดูถูก อ่อนไหว โรแมนติก ไม่ค่อยมีโชคเรื่องความรักนัก ชอบพบเจอเพื่อนใหม่ ๆ ขี้เซา ชอบแสวงหาสิ่งใหม่ๆ ให้กับตัวเอง ตามแฟชั่นได้ทันท่วงที

คนที่เกิดเดือนกันยายน
เป็นคนดูเงียบ ๆ แต่จริง ๆ คุยเก่ง ชอบวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ว่าจะเรื่องชาวบ้าน เรื่องการเมือง กีฬา ได้หมด เป็นคนวางแผนชีวิต ใจเย็น แถมใจดีด้วย ชอบเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ผู้อื่น รอบรู้ไปหมดซะทุกเรื่อง ซื่อสัตย์ ขยัน ความจำเป็นเลิศ ชอบเรียนรู้ สิ่งใหม่ ๆ ให้ชีวิต เก็บความลับเก่ง ชอบเล่นกีฬายามว่าง ชอบการเดินทาง ช่างเลือกเรื่องความรัก

คนที่เกิดเดือนตุลาคม
ชอบเมาท์กับเพื่อนฝูงมีเสน่ห์น่าหลงใหล อ่อนหวานน่าทะนุถนอม มักเป็นคนรูปร่างหน้าตาดี ไม่ชอบโกหก เพื่อนสำคัญที่สุด เสียใจกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ว่าหายเร็วเหลือเชื่อ เป็นคนอารมณ์แจ่มใส ใช้เงินเป็น ไอเดียบรรเจิด ชอบงานศิลปะ รักการอ่านการขีดเขียน โรแมนติก และขี้หึงเป็นบางขณะ ชอบทำอาหาร เป็นที่รักของคนใกล้ชิด

คนที่เกิดเดือนพฤศจิกายน
เป็นพวกล้านโปรเจคท์ มีเรื่องให้คิดวุ่นวายเต็มหัวสมองไปหมด แต่มองการณ์ไกลกว่าชาวบ้านเขา มีความคิดแปลก ๆ ไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่อง มีชีวิตชีวาเสมอ ชอบล้วงความลับของ ชาวบ้าน แต่เก็บความลับอยู่นะ มนุษยสัมพันธ์ เป็นเลิศ ไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ รักเดียวใจเดียว แต่เป็นคนอารมณ์เปลี่ยนแปลงเร็ว สนใจศาสตร์ลี้ลับ...หรือเป็นหมอดู

คนที่เกิดเดือนธันวาคม
เกิดเดือนสุดท้ายของปี เป็นคนเอา แต่ใจตัวเอง ชอบมีอิทธิพลเหนือผู้อื่น ทะเยอทะยาน ชอบการเข้าสังคม หาเงินเก่ง มักไม่ค่อยพอใจ ในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ ความปรารถนาสูงขึ้นเรื่อย ๆ ชอบให้ผู้อื่นสนใจ รักการเอาชนะ เกลียดความพ่ายแพ้ที่สุด ไม่ค่อยแต่งตัว แต่ถ้าชอบแต่งตัวก็เป็นพวกผู้นำแฟชั่นไปเลย ดูแลคนเก่ง มีความเป็นผู้นำสูง เดินทางต่างประเทศบ่อย หรือไม่ก็แต่งงานกับคนต่างชาติ...ควบคุมอารมณ์ได้เก่ง แต่ไม่ควรทะเลาะกับคนเดือนนี้นะคะ เดี๋ยวจะโดนพายุเหวี่ยงใส่ค่ะ




*รักร้าวพรหมจรรย์เมือง

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 14 พฤษภาคม 2551 01:58 น.

* “สิริมายา”คือชื่อของเธอ หญิงสาวโฉมสะคราญราวเทพธิดาจำแลงกายลงมาหยอกล้อมนุษย์โลก

เธอคือหญิงสาวผู้กุมหัวใจรักของ “คีตา” กับ “ปรมัตถ์” สองชายหนุ่มรูปงามราวเทพบุตรที่พลัดหล่นจากสรวงสวรรค์เพราะมัวซุกซน อยากรู้อยากเห็นความเป็นไปของมนุษย์เดินดิน

สิริมายา คีตา ปรมัตถ์…พวกเขาคือภาพแทนแห่งความงามในท่ามกลางยุคสมัยอันบอบช้ำและแหว่งวิ่นของการเมืองไทย ในวันวัยที่ประชาธิปไตยอายุกว่า 70 ปี ยังก้าวเดินอย่างง่อนแง่นไม่ต่างจากเด็กน้อยกำลังหัดตั้งไข่

เรื่องราวของพวกเขา สาวงามกับสองชายหนุ่ม ก่อเกิด เกี่ยวพัน ร่วมรักกันอย่างตราตรึง ในช่วงเวลาที่ทับซ้อนกับเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549

*หากต้องการอ่านนวนิยายสักเล่มที่บันทึกเรื่องราวร่วมสมัยได้อย่างรุ่มรวย ร้าวราน และหวานซึ้ง “ดวงอาทิตย์กับดอกทานตะวัน” โดย ทินกร หุตางกูร เล่มนี้ ก็ครบถ้วนด้วยคุณสมบัติดังว่านั้น

นับแต่ต้นจนจบ ดวงอาทิตย์กับดอกทานตะวัน ทำให้เรารู้สึกว่า ทุกสิ่งในห้วงภาวการณ์อันสับสน ขัดแย้ง ยุ่งเหยิง มากด้วยลับลมคมในของการเมืองไทย ล้วนถูกบันทึกผ่านนวนิยายคล้ายเรื่องเล่าก่อนนอนเล่มนี้ ที่ให้ทั้งภาพเหนือจริงชวนฟุ้งฝัน และฉายให้เห็นทั้งภาพเสมือนจริงเสียจนยากจะคัดค้าน

“ประเทศไทย เหมือนผู้หญิงที่หลงรักผู้ชายสองคนพร้อมๆ กัน”ความสัมพันธ์สามเส้าไม่เคยสร้างผลดีให้ใคร…

ชายชาวต่างชาติผู้หนึ่งเอ่ยถามสิริมายา และแสดงความคิดเห็นอย่างเคลือบแคลงกังขา ในระบอบการเมืองไทย ที่เลือกใช้การรัฐประหารยุติปัญหาทางการเมืองภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

สิริมายาไม่ตอบ เธอรู้เพียงว่า คำเปรียบเปรยนั้นทิ่มแทงใจเธอ…แล้วผู้หญิงที่รักผู้ชายสองคนพร้อมๆ กัน คบหาและร่วมรักกับผู้ชายทั้งสองคนนั้นอย่างจริงใจ จะต้องพบกับความเจ็บปวดหรือสร้างความรวดร้าวให้ใครอื่นบ้างไหม?

เธอรู้เพียงว่า ความงามของเธอ หัวใจของเธอ ทุกอณูในสรรพางค์ที่ใครต่างหมายปองนี้ มีไว้เพื่อคีตากับปรมัตถ์เท่านั้น

เธอเป็นหญิงสองใจที่ควรถูกพระเจ้าลงโทษ? เป็นนางฟ้าที่สมควรถูกขับจากสวรรค์เพราะจิตใจโลเล? เธอเหมาะสมกับคำว่านางแพศยา? เธอผิดที่รักผู้ชายสองคน?

หากคำตอบคือใช่ ทุกสิ่งบนโลกใบนี้ คงอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์ของอะไรบางอย่างที่ไม่อาจโต้แย้ง

* ซาตานที่โผล่มาในฝันร้าย บอกเธอว่า

“เธอร้องไห้ ขยะแขยงฉัน คิดว่าฉันล่วงเกินเธอ ละเมิดกฏส่วนตัวของเธอ แต่เธอไม่เคารพกฏก่อน เธอรักผู้ชายทีเดียวสองคน เธอไม่ไยดีกฎ มีคนเคยเตือนไม่ให้รักผู้ชายพร้อมกันสองคน มันสร้างความปวดร้าวให้ทุกคนแต่เธอไม่เชื่อ

“สำหรับเธอ ดวงอาทิตย์สามารถขึ้นทางทิศตะวันตก หินของกาลิเลโอที่ถูกโยนจากหอเอนปิซาไม่จำเป็นต้องตกสู่พื้นด้วยแรงจีหรือแรงโน้มถ่วง อิเล็กตรอนมีสิทธิ์ที่จะไม่โคจรรอบนิวเคลียส คนอย่างเธอเหมาะเป็นเจ้าสาวแสนสวยของฉันที่สุด…

“ตอนกลางวันเธอฝันถึงผู้อยู่บนสวรรค์ แต่ตอนกลางคืนใจของเธอก็โหยหาฉัน เธอปรารถนาจะดื่มด่ำความหอมหวานของสิ่งที่ไม่มีบนสวรรค์ สวรรค์ไม่ต้องการนางฟ้าโลเล อ่อนไหว สวรรค์ปฏิเสธเธอแล้ว…”

เธออาจเป็นเช่นนั้น ท่านซาตาน เธอไม่คู่ควรกับทิพยวิมาน ไม่คู่ควรกับคำว่าหญิงสาวแสนดี ไม่ใช่ผู้หญิงไร้ราคีคอยนั่งทะนุถนอมเยื่อพรหมจรรย์

แต่หากพรหมจรรย์หมายถึงความบริสุทธิ์ของจิตใจ สิริมายาแน่ใจ ความรักที่เธอมีต่อคีตากับปรมัตถ์ เป็นเช่นนั้น…บริสุทธิ์และงดงาม

โลกของสิริมายา คล้ายโลกที่เหนื่อยล้ากับการหาเหตุผล ไม่ไยดีต่อสายตาใครๆ ที่หยามหยัน ไม่คิดสรรหาคำอธิบาย มิคำนึงถึงกรอบที่อะไรสักอย่างกำหนดขึ้น

ไม่มีใครเข้าใจเธอ มีเพียงเธอเท่านั้นเข้าใจตัวเธอเอง เข้าใจในสิ่งที่เธอทำ ไม่มีผิด ไม่มีถูก เธอแค่รักผู้ชายสองคนพร้อมๆ กัน

แต่ถึงที่สุดแล้ว หญิงสาวแสนบอบบางและอ่อนโยนคนนี้ ก็กล้าที่จะรับมือ กล้าเผชิญหน้ากับสิ่งที่ตามมา แม้รู้ทั้งรู้ว่าในวันใดวันหนึ่งมันจะสร้างความเจ็บปวดรวดร้าวให้เธอสักแค่ไหน

ต่างไปจากบางความสัมพันธ์สามเส้า ที่ผู้ตัดสินใจเลือก ยังคงระทมกับความร้าวราน เป็นวังวนที่หมุนทับซ้ำรอยเดิมครั้งแล้วครั้งเล่า

เพราะไม่มีใครกล้าหาญพอที่จะเผชิญหน้ากับมันอย่างตรงไปตรงมา ทำได้เพียงหนีปัญหาไปเรื่อยๆ


สิริมายา คีตา ปรมัตถ์ พวกเขาและเธอไม่ต่างจากความรัก ความงาม ความรื่นรมย์สุนทรียะ ความจริงแท้สูงสุด สัจจ สิทธิในการรับรู้และมองเห็น…ทั้งหลายทั้งปวงนั้นคล้ายมีอยู่และดำเนินไปในวิถีแห่งตน

หากขณะเดียวกันก็ล้วนถูกชำเราย่ำยีจากสังคมอันลักลั่นนี้…ไปพร้อมๆ กัน

…..................


ตัวหนอนบนกองหนังสือ

*หมายเหตุ
- ขอบคุณภาพสวยๆ ของมหานครยามค่ำ จาก //www.monavista.com/webboard/showthread.php?t=181


โดย: jenifaae วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:22:04:32 น.  

 
*ชิว วา-ซวอน จิตรกรผู้หยิ่งผยอง

ผู้จัดการออนไลน์ 28 พฤษภาคม 2551 20:01 น.

โดย ... ฮักก้า

* หมึกดำที่ปาดป้ายลงบนกระดาษขาว ก่อเกิดเป็นภาพเขียนภาพแล้วภาพเล่า มองดูมีชีวิตชีวาก็ด้วย CHIHWASEON (ชิว วา-ซวอน) ได้ใช้ลมหายใจเดียวกันที่หล่อเลี้ยงชีวิตเขา รดรินไปในภาพทุกภาพนั้นด้วย

ภาพเขียนของเขาที่ราวกับมีวิญญาณเต้นอยู่โดยรอบ และแหวกแนวจากรูปแบบเก่าๆ

ทว่า ท่ามกลางสายตาของผู้ยึดติดกับการเขียนภาพในขนบดั้งเดิม เขากลับเป็นแค่เพียงผู้ยากไร้ซึ่งหลงใหลในพรสวรรค์ขี้ประติ๋วของตัวเอง หาใช่จิตรกรผู้เปิดมุมมองใหม่ด้านวิจิตรศิลป์

ปี ค.ศ.1882 ราชวงค์โชซอนถึงกาลสิ้นสุด ชาวเกาหลีลุกขึ้นต่อสู้กับการบุกรุกของต่างชาติและรัฐบาลที่ฉ้อฉล ประเทศชาติตกอยู่ในยุคเสื่อมโทรม แต่กลับเป็นยุคที่รุ่งเรืองของจิตรกรชื่อ ชิว วา-ซวอน

แม้จะยากไร้แต่ วา-ซวอน เป็นจิตรกรผู้หยิ่งผยอง เขาไม่ยอมให้ภาพของเขาไปตกอยู่ในมือของผู้ที่ไม่ได้ชื่นชมมันอย่างแท้จริง

ดังเช่นคราหนึ่งที่เขาได้กล่าวกับชาวญี่ปุ่นผู้ประสงค์จะได้ภาพของเขาไปครอบครองว่า

“ท่านต้องการนำภาพวาดของชาวเกาหลีที่แสนต่ำต้อยกลับไปยังอาณาจักรอันเกรียงไกรของญี่ปุ่นจริงหรือ”

* ความเป็นอัจฉริยะในการเขียนภาพของ วา-ซวอน ฉายแววมาตั้งแต่ที่เขายังเป็นเด็กตัวเล็กๆ เร่ร่อน ไร้ญาติมิตร

บ่อยครั้งที่ต้องถูกทำร้ายจากหัวหน้าแก๊งขอทาน เพราะเขียนภาพปลอบใจหญิงสาวคนหนึ่งที่รัก วา-ซวอน เหมือนน้องชายแท้ๆ ซึ่งเธอมักจะถูกคนเหล่านั้นทุบตี ปฏิบัติต่อเธอด้วยความหยาบช้า และถูกข่มขืนจนตั้งท้อง

ในเวลาต่อมามีผู้ใจดีนำ วา-ซวอน ไปชุบเลี้ยงและให้ความรักความอบอุ่น แต่เพราะความไม่เคยชินกับการมีชีวิตอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์อันเข้มงวด เขาจึงหนีออกมาใช้ชีวิตเร่ร่อนเช่นเดิม

และแล้วชีวิตวัยหนุ่มในฐานะลูกจ้างร้านขายอุปกรณ์เขียนภาพ ก็นำพาให้เขาได้พบกับผู้ใจดีอีกครั้ง และได้ฝากฝังให้เขาเป็นลูกศิษย์ของจิตรกรผู้รักใคร่และนับถือท่านหนึ่ง ด้วยความที่เชื่อมั่นว่าเขาจะกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงอย่างแน่นอน

มันไม่ใช่เพราะความสงสารอีกต่อไปแล้ว แต่เพราะะแววตาที่เป็นสุข พอใจกับอาชีพลูกจ้าง ที่เปิดโอกาสให้ อยู่ไม่ไกลจากสิ่งที่รักจะทำ ตลอดจนภาพๆ หนึ่งที่เขาเขียนแขวนประดับไว้ที่ผนังของร้าน และไร้ผู้แยแสนั้น เป็นสิ่งบอกให้ผู้ใจดีทราบว่า

วา-ซวอน ยังรักในการเขียนภาพไม่เสื่อมคลาย และรักด้วยหัวใจ

(อ่านต่อวันพฤหัสบดีหน้า)

หมายเหตุ : ชิว วา-ซวอน จิตรกรผู้หยิ่งผยอง จากภาพยนตร์ชีวประวัติชีวิตจิตรกรชาวเกาหลีเรื่อง CHIHWASEON ซึ่งคว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจาก CANNES FILM FESTIVAL 2002


โดย: jenifaae วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:22:05:00 น.  

 
*ทุเรียนมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระมากกว่าไม้ผลหลายชนิด

*ในขณะที่คนไทยยกย่องให้ "ทุเรียน" เป็นราชาและ "มังคุด" เป็นราชินีแห่งผลไม้ เป็นที่ยอมรับกันว่าทุเรียนไทยมีรสชาติอร่อยและคุณภาพดีที่สุดในโลก ปัจจุบันมีการส่งออกไปขายยังสาธารณรัฐประชาชนจีนมากที่สุด ระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคมของทุกปี ทุเรียนจากเขตพื้นที่ ภาคตะวันออกจะออกสู่ตลาด คนไทยนิยมบริโภคทุเรียนกันมากมีผลทำให้ผลไม้ชนิดอื่น ๆ ที่ออกสู่ตลาดในช่วงเวลาเดียวกันมีราคาตกต่ำ ในขณะเดียวกันมักจะมีคำเตือนจากหมอว่าไม่ควรกินทุเรียนในปริมาณมากเกินไป บ้างก็ว่าในเนื้อทุเรียนมีปริมาณแป้งและไขมันสูง เป็นของแสลงของผู้ป่วยโรคเบาหวาน, โรค ความดันโลหิตสูงและคนที่กลัวอ้วนทั้งหลาย

ขณะนี้มีเรื่องที่น่ายินดีที่จะทำให้คนที่บริโภคทุเรียนได้สบายใจขึ้น เพราะทุเรียนไม่ได้มีแต่เพียงความอร่อยอย่างเดียว รศ.ดร.ระติพร หาเรือนกิจ, รศ.ดร.สุมิตรา ภู่วโรดม จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ร่วมกับ Professor Dr.Shela Gorinstein จากมหาวิทยาลัยฮิบบรูและคณะผู้วิจัยจากมหาวิทยาลัยการเกษตรวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ ได้ทำการศึกษาเชิงลึกของประโยชน์จากทุเรียนมีส่วนในการลดไขมัน ในเส้นเลือดในห้องปฏิบัติการและเมื่อทดลองกับหนูพบว่า ทุเรียนมีสารโพลีฟีนอลและสารฟลา โวนอยด์ ในปริมาณสูงเมื่อเปรียบเทียบกับผลไม้ชนิดอื่น โดยสารทั้ง 2 ชนิดนี้มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ จากงานทดลองพบว่า ทุเรียนที่มีความสุกพอดีจะมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าทุเรียนดิบหรือทุเรียนที่สุกเกินไป (ที่เรียกกันทั่วไปว่าทุเรียนปลาร้า) และยังพบว่าทุเรียน พันธุ์หมอนทอง มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระดีกว่า พันธุ์ชะนี และ พันธุ์ก้านยาว นอกจากนั้นเมื่อมีการตรวจวิเคราะห์ แร่ธาตุอาหารที่มีอยู่ในเนื้อทุเรียน อ.สุมิตรา บอกว่า ทุเรียนมีปริมาณเส้นใยอาหารและธาตุเหล็กสูงมากซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เมื่อมีการเปรียบเทียบทุเรียนพันธุ์หมอนทองกับผลไม้เมืองร้อนชนิดอื่น พบว่ามีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระได้สูงกว่า สละ, มังคุด, ลิ้นจี่, ฝรั่ง และมะม่วงสุก ตามลำดับ

*คณะผู้วิจัยยังได้นำทุเรียนไปเลี้ยงหนูทดลอง ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญที่พิสูจน์ว่าทุเรียนมีดีจริงไม่ใช่ เพียงข้อมูลในห้องปฏิบัติการเท่านั้น จากการเลี้ยงหนูทดลองด้วยอาหารที่ผสมทุเรียนกับคอเลสเตอรอล พบว่า หนูทดลองที่ได้รับทุเรียนหมอนทองในอาหาร สามารถลดสารคอเลสเตอรอลทั้งหมดได้ 16% และลด LDL คอเรสเตอรอลได้ถึง 31.3% เมื่อเปรียบเทียบกับหนูที่ได้รับอาหารที่มีคอเลสเตอรอล ผสมอย่างเดียว จากการทดลองในครั้งนี้ทำให้พบว่าถึงแม้ว่าในเนื้อทุเรียนจะมีปริมาณไขมันมากแต่ส่วนใหญ่เป็นไขมันดีที่มีประโยชน์ ต่อร่างกาย

จากงานทดลองในครั้งนี้ทำให้เห็นว่าทุเรียนจัดเป็นผลไม้ไทยอีกชนิดหนึ่งที่สามารถบริโภคเป็นอาหารและยาจัดเป็นผลไม้สุขภาพอีกชนิดหนึ่งของไทยแต่ควรจะบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อได้ที่ โทร. 0-2326-4100.

ทวีศักดิ์ ชัยเรืองยศ



*ภราดรภาพที่แตกต่างของสี่ "เถาทอง"

หลังแยกย้ายกันสร้างสรรค์ผลงานศิลปะตามความถนัดนานกว่า 10 ปี สี่พี่น้องตระกูลเถาทอง ได้แก่ศ.ปรีชา เถาทอง,ศ.สุชาติ เถาทอง, อ.สมชาย เถาทอง และอ.สุวิชาญ เถาทอง รวมตัวกันอีกครั้ง ในนิทรรศการ "ภราดรภาพ...บนบุคลิกที่แตกต่าง"จัดแสดงวันที่ 6 มิ.ย.- 15 ก.ค.นี้ที่หอศิลป์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ รายได้ทูลเกล้าฯถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสทรงเจริญพระชนพรรษา 80 พรรษา โดยครั้งนี้สี่เถาทองร่วมงานกับ บริษัท มอริโอ จำกัด ผู้คิดค้นนวัตกรรมเทคโนโลยีภาพพิมพ์สกรีน นำระบบการพิมพ์สกรีนผสมผสานงานศิลปะ เกิดงานศิลปะภาพพิมพ์สกรีนแนวทางใหม่

*"ภราดรภาพ...บนบุคลิกที่แตกต่าง"นำผลงานศิลปะของศิลปินตระกูลเถาทองสี่คน ผ่านเทคนิคกระบวนการพิมพ์สกรีนที่แตกต่าง ตามลักษณะงานของอาจารย์แต่ละคน เพื่อให้มีมิติ และความหมายใหม่ทางการพิมพ์สกรีน ทั้งพื้นผิว แสงเงา และความลวงตาด้วยการเคลื่อนไหว ซึ่งทำให้งานศิลปะสมบูรณ์มากขึ้น

*ศ.ปรีชา นำเสนอศิลปะไทยร่วมสมัยเน้นรูปทรงแสงเงาบนหอไตรวัดพระสิงห์ และ รูปทรงแสงเงาบนพระอุโบสถ วัดภูมินทร์ โดยรูปแสงเงาบนหอไตรวัดพระสิงห์ ใช้เทคนิคการพิมพ์แบบสร้างผิวนูนต่ำ เพื่อสร้างพื้นผิวมีมิติเหมือนรอยพื้นผิวไม้บนผนังหอไตร และสร้างมิติของระยะหน้าในส่วนหลังคา ช่อฟ้า ใบระกา และหางหงส์ และเทคนิคการพิมพ์แบบสร้างผิวหิน ที่สามารถสร้างพื้นผิวได้หยาบเหมือนหินปูน ส่วนพิเศษอีกส่วนหนึ่งคือการจัดแสดง ลำดับขั้นการพิมพ์ที่ประณีต และลำดับสีที่ละเอียด

*ผลงานภาพพิมพ์ชุด "จินตนาการจากทะเลตะวันออก"ศิลปะสีน้ำของศ.สุชาติ ใช้เทคนิคการพิมพ์แบบหยดน้ำ (พื้นเปียก) ให้สีสันมีความสด โปร่งใส และสร้างความหนานูนพื้นผิว ซึ่งต้องพิมพ์ทับซ้อนกันหลายครั้ง เพื่อให้เกิดมิติความหนาของชั้นสีและให้เกิดสีสันมากขึ้น ทำให้สร้างพื้นผิวเหมือนรอยแปรง และพื้นผิวภาพยังคงเปียกฉ่ำด้วยสีน้ำจากรอยแปรง

*อ.สมชาย เปลี่ยนงานประติมากรรมแกะสลักบนแผ่นหินทราย เป็นงานภาพพิมพ์ บนแผ่นอะคริลิกใส เกิดมิติ ตื้น ลึก เบาลอย หมุนวน เคลื่อนไหว กับเทคนิค "3D Flip" ทำให้ภาพเกิดการเคลื่อนไหว หรือเปลี่ยนมุมมองในการชม แต่คงเหลือแก่นความคิด"จะทำให้หินที่แข็งแกร่งดูอ่อนนุ่ม ทำความนิ่งของหินให้ดูเคลื่อนไหว ทำความหนักแน่นของหินให้เบาลอย"

ส่วนภาพวาดปลายดินสอผลงานเด่นของอ.สุวิชาญ "พระหทัยมณีนพเก้า" แรงบันดาลใจจากมณีนพเก้า ที่นิยมนำมาประกอบเครื่องราชย์กกุธภัณฑ์และเครื่องราชูปโภคพระมหากษัตริย์ ใช้เทคนิคการพิมพ์แบบ 3 มิติ คือ3 D Line และ 4D Print สร้างเหลี่ยมมุมของอัญมณีรูปหัวใจ มีมิติเป็นสีสันแตกต่างทั้ง 9 ชนิด.


โดย: jenifaae วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:22:05:25 น.  

 
*เพิ่มผลผลิตข้าวโดยใช้เทคโนโลยีใหม่

เดลินิวส์ออนไลน์

เพิ่มผลผลิตข้าวโดยใช้เทคโนโลยีใหม่

'เครื่องหว่านข้าวแห้ง'

*การปลูกข้าวในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ปลูกข้าวขาวดอกมะลิ 105 ถึง 10 ล้านไร่ ด้วยวิธีหว่านข้าวแห้งและไถกลบแทนการปักดำ เนื่องจากในพื้นที่ดังกล่าวปลูกข้าวโดยอาศัยน้ำฝนเป็นหลัก จึงมีปัญหาเกี่ยวกับฝนแล้ง ฝนทิ้งช่วงและการกระจายของฝนไม่ดี ทำให้ผลผลิตข้าวไม่ดีเท่าที่ควร นอกจากนั้นดินในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ยังเป็นดินที่ขาดความอุดมสมบูรณ์ เกษตรกรขาดแรงงานในการปลูกข้าว จึงต้องทำการหว่านและไถกลบทำให้การกระจายของเมล็ดข้าวไม่สม่ำเสมอ ตลอดทั้งความลึกของเมล็ดข้าวที่ถูกฝังกลบลงดินไม่สม่ำเสมอ ทำให้การงอกของเมล็ดข้าวไม่สม่ำเสมอตามไปด้วยซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผลผลิตต่ำ

นายสุรเวทย์ กฤษณะเศรณี อดีตผู้เชี่ยว ชาญด้านวิศวกรรมเกษตร กรมวิชาการเกษตร เล่าว่า การเพิ่มผลผลิตข้าวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้นั้นมีทางเป็นไปได้สูงคือจะ ต้องปลูกข้าวให้ประณีตกว่าเดิมและใช้เครื่องหว่านข้าวช่วย

*จากประสบการณ์ทำงานวิจัย สมัยทำงานอยู่กรมวิชาการเกษตรและได้คลุกคลีกับการปลูกข้าวโดยใช้เครื่องหยอดข้าวและหว่านข้าวกว่า 10 ปี นายสุรเวทย์ ได้สร้างเครื่องหยอดข้าวและหว่านข้าว 4 แบบประสบผลสำเร็จ สามารถนำไปใช้งานได้ทั้ง 4 แบบคือ เครื่องหยอดข้าวและเครื่องหว่านข้าวพ่วงรถแทรกเตอร์ เครื่องหยอดข้าวและเครื่องหว่านข้าวพ่วงรถไถเดินตาม

*แต่เครื่องหว่านข้าวพ่วงรถแทรกเตอร์ เป็นเครื่องที่เกษตรกรสนใจและนำไปใช้มากที่สุดเนื่องจากทำงานได้รวดเร็วถึง 30-40 ไร่ต่อวัน การกระจายเมล็ดข้าวสม่ำเสมอกว่าการใช้คนหว่าน สำหรับเกษตรกรที่มีรถแทรกเตอร์อยู่แล้วสามารถนำเครื่องหว่านไปติดตั้งได้เลยโดยไม่ต้องมีการดัดแปลงการใช้งานใด ๆ ทั้งสิ้นและไม่ต้องเปลี่ยนวิธีการทำนา คือ ทำนาแบบเดิมได้คือ ไถดะ 1 ครั้ง แล้วหว่านเมล็ดข้าวแห้งได้เลย การปรับความลึก การฝังของเมล็ดพันธุ์ประมาณ 15-20 กิโลกรัมต่อไร่ เพื่อช่วยข่มวัชพืช

การใช้เครื่องหว่านข้าวนั้นการกระจายและความลึกของเมล็ดพันธุ์ข้าวจะสม่ำเสมอ หากใช้คนหว่าน นอกจากการกระจายและความลึกของเมล็ดพันธุ์ข้าวไม่สม่ำเสมอแล้วยังใช้เมล็ดพันธุ์มากกว่า คือใช้ถึง 20-30 กก.ต่อไร่

สำหรับเครื่องหว่านข้าวพ่วงรถแทรกเตอร์ขนาดกำลัง 60 แรงม้าขึ้นไป อัตราการทำงาน 5-6 ไร่ต่อชั่วโมง อัตราการหว่านเมล็ดข้าวปรับได้ในช่วง 10-25 กก.ต่อไร่ การใช้งานติดตั้งบนผาลพรวน 6 จานหรือ 7 จาน ถังบรรจุข้าวได้ 50 กก. (ข้าวเปลือก) ใช้แรงงานคน 1 คน ความสิ้นเปลืองของน้ำมันเชื้อเพลิง 1.5-3 ลิตรต่อไร่ ความสม่ำเสมอของต้นข้าว 80-90% ข้อดีของเครื่องคือ หว่านและกลบเมล็ดข้าวในขั้นตอนเดียวกับการไถพรวน ทำให้เกษตรกรสามารถลดขั้นตอน เวลา และแรงงานในการหว่านข้าวได้ แต่มีข้อจำกัดคือ ต้องใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวที่สะอาด

สนใจข้อมูลเพิ่มเติมสอบถามได้ที่นาย สุรเวทย์ กฤษณะเศรณี โทร. 08-4656-8019.




*การบรรยาย"มาตรการบังคับใช้สิทธิ (CL) องค์การการค้าโลก (WTO) และสำนักผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (USTR)"

โครงการ WTO Watch
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
ขอเชิญร่วมฟังการบรรยาย
"มาตรการบังคับใช้สิทธิ (CL) องค์การการค้าโลก (WTO) และสำนักผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (USTR)"
โดย
รศ.ดร. จักรกฤษณ์ ควรพจน์
วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน 2551 เวลา 9.30 – 12.00 น.
ห้องประชุมชั้น 5 คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์)

ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น


โดย: jenifaae วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:22:05:55 น.  

 
*ท้า "กทช." ลงดาบยักษ์มือถือ เมื่อ"พรีเพด" ห้ามหมดอายุ

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ - วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 32 ฉบับที่ 4005 (3205)

*นับจากประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เรื่องมาตรฐานสัญญาบริการโทรคมนาคม มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2549

หนึ่งในข้อบังคับที่ไม่เคยมีใครเหลียวแล ทั้งโอเปอเรเตอร์และผู้กำกับดูแล

คือข้อบังคับที่ 11 ที่กำหนดให้ "บริการโทรคมนาคมในลักษณะที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการล่วงหน้าต้องไม่มีข้อกำหนดอันมีลักษณะเป็นการบังคับให้ผู้ใช้บริการต้องใช้บริการภายในระยะเวลาที่กำหนด เว้นแต่ผู้ให้บริการจะได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการเป็นการ ล่วงหน้า"

โดยคณะกรรมการอาจกำหนดเงื่อนไขการให้บริการประกอบด้วย การถ่ายโอนมูลค่าที่เหลืออยู่ การคืนเงินค่าบริการในส่วนที่ไม่ได้ใช้ การกำหนดระยะเวลาขั้นต่ำในการใช้บริการ การขึ้นทะเบียนชื่อที่อยู่ของผู้ใช้บริการ เป็นต้น ซึ่งคณะกรรมการอาจจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะหรือรับฟังความคิดเห็นจากผู้บริโภคด้วยก็ได้

และผู้ให้บริการตามวรรค 1 ต้องเผยแพร่แบบสัญญาที่คณะกรรมการเห็นชอบแล้วเป็นการทั่วไป และแจ้งให้ผู้ใช้บริการทราบเป็นหนังสือก่อนเริ่มใช้บริการ

หมายความว่า บริการโทรศัพท์มือถือแบบเติมเงิน (พรีเพด) เข้าข่ายบริการที่มีการเรียกเก็บค่าบริการล่วงหน้าจึงกำหนดวันหมดอายุไม่ได้ เว้นแต่ กทช.จะอนุญาต

ตั้งแต่ประกาศมีผลบังคับใช้จนถึงขณะนี้ "พรีเพด" ก็ยังคงเป็นบริการที่มีกำหนดระยะเวลาในการใช้งาน

ผู้ใช้บริการมือถือแบบเติมเงิน ซึ่งมีสัดส่วนมากถึงกว่า 90% ของจำนวนคนใช้บริการในปัจจุบันที่มีกว่า 54 ล้านคนแล้ว จึงยังมีหน้าที่ต้องคอยเช็กวันหมดอายุใช้งานของตน ต้องคอยเติมเงินเพื่อรักษาสิทธิในการใช้เลขหมายนั้นๆ เฉลี่ยเดือนละไม่น้อยกว่า 300 บาท (ใช้ได้ 30 วัน)

กฎระเบียบ ถ้าสักแต่ออก ไม่ผลักดันหรือดูแลให้เกิดการบังคับใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ย่อมไม่ต่างอะไรกับเสือกระดาษ

ในมุมของผู้บริโภค-ประชาชนคนใช้บริการ มีบ้างเหมือนกันที่ลุกขึ้นมาทวงสิทธิของตนเองเมื่อเห็นว่า กทช.ไม่ทำหน้าที่

โดยยื่นร้องเรียนต่อสถาบันคุ้มครอง ผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) กรณีผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับดังกล่าว

"ผมใช้มือถือแบบเติมเงินของทรูมูฟมาตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปลายปี 2550 ก็ฉุกคิดขึ้นมาว่า ทำไมต้องคอยเติมเงินเดือนละ 300 บาททุกเดือน เพื่อให้ได้ต่ออายุการใช้งานทีละ 30 วัน ทั้งๆ ที่เติมเงินไปแล้วก็น่าจะมีสิทธิใช้ถึงเมื่อไรก็ได้จนกว่าเงินที่เติมไว้จะหมด ทำไมต้องมีวันหมดอายุด้วย" พีรพงษ์ คงธนาสมบูรณ์ กล่าว และว่า

เหมือนกับเติมน้ำมันรถ เมื่อเติมไปแล้วเจ้าของรถก็ควรมีสิทธิใช้ไปได้เรื่อยๆ จนกว่าน้ำมันจะหมด ไม่ใช่ต้องคอยเติมน้ำมันทุก 7 วัน

คิดได้ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจ "ไม่เติมเงิน" จนเดือน ม.ค.2551 ที่ผ่านมา เมื่อครบกำหนดวันหมดอายุจึงไม่สามารถใช้โทร.ออกได้ (ยังรับสายได้)

"พีรพงษ์" จึงร้องเรียนไปยัง "สบท."

เรื่องเข้าสู่กระบวนการร้องเรียนแล้ว เรื่อยมาจน 2 เม.ย.ที่ผ่านมา เลขหมายของเขาก็ไม่สามารถรับสายได้อีกต่อไป

"พีรพงษ์" ขอให้ "สบท." ช่วยคุ้มครองฉุกเฉินเพื่อให้เลขหมายของเขายังคงสามารถโทร.ออกและรับสายได้ต่อไป รวมถึงคุ้มครองเงินที่เหลืออยู่ในซิมการ์ดด้วย

ในที่สุดก็ได้รับความคุ้มครองเป็นเวลา 15 วัน จนถึงขณะนี้ได้ต่ออายุความคุ้มครองมาแล้วเป็นครั้งที่ 2

"ก็รู้สึกดีใจที่มี กม.ในลักษณะนี้ออกมา เราเริ่มใช้มือถือพรีเพดมาตั้งแต่ปี 2547 ถึงวันนี้ก็น่าจะเติมเงินไปแล้วหลายหมื่น รู้สึกว่าเป็นความสูญเสียของเรา เมื่อเติมเงินไปแล้วก็ควรใช้ได้โดยไม่มีกำหนดเวลา ยังมีเรื่องการคิดค่าโทร.จากเมื่อก่อนคิดเป็นวินาที ก็เปลี่ยนมาเป็นนาที โทร.เกิน 1 วินาทีก็โดนตัดเป็น 1 นาที เท่ากับเสียสิทธิไป 59 วินาที เรื่องแบบนี้อาจเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ถามว่าบริษัทได้กำไรไปเท่าไร"

"น.พ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา" ในฐานะผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) มองว่า กรณีนี้เป็นข้อร้องเรียนแรกที่มีผลกระทบเป็นวงกว้างต่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคมโดยรวมด้วย ซึ่งในเบื้องต้นได้นัดให้คู่กรณีทั้ง 2 ฝ่ายมาให้ข้อมูลแล้ว

"ฝั่งทรูมูฟอ้างว่า ทั้ง 4 โอเปอเรเตอร์เคยทำหนังสือไปยัง กทช.ตั้งแต่ปี 2549 แล้วว่า ข้อบังคับดังกล่าวมีปัญหาไม่สามารถปฏิบัติตามประกาศ กทช.ได้ และอ้างด้วยว่าเมื่อ กทช.ไม่มีจดหมายตอบกลับมาโอเปอเร เตอร์จึงเข้าใจว่าอนุญาตให้กำหนดวันหมดอายุได้ แต่เมื่อถามต่อไปว่ามี กม.หรือข้อบังคับอื่นใด ให้อำนาจโอเปอเรเตอร์กำหนดวันหมดอายุในลักษณะนี้ ก็ไม่มีคำตอบ"

โดยส่วนตัวมองว่า กับกรณีนี้กฎหมายเขียนไว้ชัดและยืนยันว่า การกระทำของโอเปอเรเตอร์ขัดต่อประกาศ กทช. "สบท." จึงจะทำข้อเสนอถึง กทช.ขอให้มีคำสั่งหรือแนวทางปฏิบัติออกมาว่าจะให้ดำเนินการอย่างไรต่อไป

เหมือนจะเป็นเรื่องเล็ก แต่อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อได้เลยทีเดียว ด้วยว่าขนาดของตลาดพรีเพดใหญ่โตมาก

แนวปฏิบัติที่ "กทช." ต้องตัดสินใจ อาจกลายเป็นกรณีศึกษาและเป็นบรรทัดฐานในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมอีกด้วย

ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนการรักษาช่องสัญญาณ ต้นทุนค่าธรรมเนียมเลขหมายรายเดือน หรือกรณีโดนสั่งให้ต้องคืนเงินผู้บริโภคหากระงับการให้บริการจริง ก็ยังติดเรื่องภาษีที่ยักษ์มือถืออ้างว่าได้จ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มไปแล้ว หรือนำส่งส่วนแบ่งรายได้ค่าเชื่อมต่อโครงข่ายไปแล้ว และอื่นๆ อีกมากมาย เป็นข้อมูลที่ยักษ์มือถือหยิบยกขึ้นมาอธิบายว่า ทำไมต้องกำหนดวันหมดอายุบริการพรีเพด

เรื่องนี้ยังทำท่าว่าจะร้อนขึ้นไปอีก

เมื่อ "ดร.อานุภาพ ถิรลาภ" ผู้อำนวยการสถาบันการบริหารสื่อสารไทย นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านโทรคมนาคม ลุกขึ้นมาลุยด้วย โดยระบุว่า ถ้าเรื่องนี้เงียบหายไปกับสายลม กทช.ไม่ทำอะไร ไม่มีมาตรการลงโทษโอเปเรเตอร์ ก็จะลุกขึ้นมาฟ้อง "กทช." ในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

เมื่อถามไปยัง "กทช.-เศรษฐพร คูศรีพิทักษ์" ระบุว่า ยังไม่เห็นเอกสาร แต่ในทางปฏิบัติ กทช.จะพิจารณาจากรายละเอียดที่ทั้ง 2 ฝ่ายให้ข้อมูล

ซึ่งตนเข้าใจว่า ผู้ร้องเรียนต้องการ ใช้สิทธิ์ตามประกาศ กทช.ฉบับดังกล่าว แต่ก็ต้องดูในทางปฏิบัติด้วยว่าเป็นไปได้หรือไม่ เช่น หากมีวงเงินคงเหลือแค่ 5 บาทก็อาจต้องปล่อยให้ตัดการใช้งาน

ด้านแหล่งข่าวจาก บมจ.ทรู คอร์ปอเร ชั่น กล่าวว่า ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือทุกรายได้ทำหนังสือร่วมกันส่งถึง กทช.เพื่อชี้แจงว่า ไม่สามารถปฏิบัติตามประกาศ กทช.ในกรณีดังกล่าวได้ เพราะมีต้นทุนค่าธรรมเนียมเลขหมาย ค่าใช้จ่ายในการรักษาเลขหมาย ฯลฯ

หากไม่สามารถกำหนดวันหมดอายุได้ก็จะทำให้ต้นทุนเพิ่ม และจำเป็นต้องผลักภาระไปยังผู้บริโภค

"ไม่มีหนังสือตอบกลับใดๆ จาก กทช. สุดท้ายเรื่องนี้ก็เงียบไป"

แหล่งข่าวคนเดิมยอมรับว่า หากมีการบังคับใช้ประกาศอย่างเข้มงวดจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการทุกรายอย่างแน่นอน เพราะเพียงแค่ 1% ของลูกค้าพรีเพดร้องเรียนเข้ามาเท่านั้น ก็มีจำนวนเป็นแสนกว่ารายแล้ว

ขณะที่ "พลเอกชูชาติ พรหมพระสิทธิ์" ประธานคณะกรรมการ กทช. เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้มีการตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาระเบียบ และประกาศของ กทช.ต่างๆ ที่บังคับใช้แล้วมีปัญหาในทางปฏิบัติ เพราะที่ผ่านมาประกาศหลายฉบับได้รับการร้องเรียนมากว่า ทำตามได้ยาก

"ประกาศที่ออกมาแล้วสามารถแก้ไขได้ตามความเหมาะสม แต่จะเน้นผลประโยชน์ของผู้บริโภคเป็นหลัก" พลเอกชูชาติกล่าวทิ้งท้าย

กับกรณีดังกล่าวถึงขณะนี้ยังไม่มีคำตอบ แต่น่าติดตามอย่างยิ่งว่า สุดท้ายแล้วจะลงเอยได้อย่างไร ระหว่างกฎระเบียบที่ปฏิบัติได้สำหรับผู้ประกอบการ โดยไม่ลืมยึดผลประโยชน์ของผู้บริโภคเป็นหลัก

หน้า 36


โดย: jenifaae วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:22:06:24 น.  

 
*'เครือข่ายประชาธิปไตยเห็นต่างกันได้ แต่อย่าใช้ความรุนแรง'

ก่อนอื่นเลยขอกล่าวถึง ตัวแกนนำเครือข่ายประชาธิปไตยเห็นต่างกันได้ แต่อย่าใช้ความรุนแรง ที่ชื่อว่า นาย ปริญญา เทวานฤมิตรกุล นายคนนี้เป็นนักวิชาการ ที่มีแนวคิดต่อต้านระบอบทักษิณอย่างชัดเจน และทั้งมีทัศนคติแง่ลบกับรัฐบาลปัจจุบันมาโดยตลอด (ถ้าคุณเคยฟังการแสดงความคิดเห็นของนักวิชาการคนนี้)

ถามว่า วันที่ 2 มิ.ย ซึ่งผ่านวันที่ นายกฯ สั่งให้มีการสลายชุมนุม ประมาณไม่เกิน 2 วันดี ก็มีการตั้งกลุ่มนี้ขึ้นมา พร้อมกับชูธงไม่ให้ใช้ความรุนแรง ถ้าฟังจากทางหน้าข่าว เราจะเห็นว่า กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มกลาง ๆ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เรียกร้องหาสันติ สมานฉันท์ แต่เมื่อลึกลงไปถึงคำแถลง “อยากขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี หลีกเลี่ยงการใช้กำลังเข้าทำร้ายผู้ชุมนุม”

แต่เอ ทำไมหนอ พันธมิตรถึงไม่เข้าใจเจตนา(ว่าต้องการช่วยพันธมิตรโจมตีในทางอ้อม) อ่านต่อ....





*ร้องผบ.ตร.พันธมิตรฯพาดพิงรามฯ

นศ.รามฯ เข้ายื่น "พัชรวาท" ช่วยคุมม็อบพันธมิตรฯ หลังพูดปราศรัยซัดกับ "เฉลิม" กระทบมหาวิทยาลัย กล่าวหาดูหมิ่นว่าไม่มีมาตรฐานส่งจบด๊อกเตอร์ได้แต่สอบภาษาอังกฤษไม่ผ่าน เล็งแจ้งเอาผิดดำเนินคดี อ่านต่อ....






*โครงการ พัฒนาห้องสมุดประชาชนให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ (Knowledge Center)

เดลินิวส์ออนไลน์

สบร.ลงทุนพลิกโฉมห้องสมุดประชาชน
ดร.จรวยพร ธรณินทร์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิด เผยว่า ตามที่ข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่า คนไทยอ่านหนังสือ โดยเฉลี่ย 5 เล่มต่อคนต่อปี ขณะที่คนสิงคโปร์อ่านหนังสือ 17 เล่มต่อคน ต่อปี และชาวอเมริกันอ่าน 50 เล่มต่อคนต่อปี สถิติการเข้าห้องสมุดประชาชนของคนไทยก็ต่ำมาก คือ ต่ำกว่าร้อยละ 3 ของคนไทยเข้าใช้บริการห้องสมุดประชาชนอย่างน้อย 1 ครั้งต่อปี และต่ำกว่าร้อยละ 1 ของคนไทยเป็นสมาชิกห้องสมุดประชาชน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนาและปรับปรุงห้องสมุดของไทย ทางสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จึงร่วมกับสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (สบร.) จัดโครงการ พัฒนาห้องสมุดประชาชนให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ (Knowledge Center) โดยเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ให้เป็น "สวนสนุกทางปัญญา" (Theater of the Mind) ซึ่งในปี 2551 จะมีการคัดเลือกห้องสมุดประชาชนจำนวน 10 แห่งทั่วประเทศ เพื่อนำร่องตามโครงการดังกล่าว และคาดว่าจะเห็นโฉมใหม่ของห้องสมุดภายในปี 2552 นี้ เพื่อเปิดบริการให้กับนักเรียน นักศึกษา ครู-อาจารย์ ข้าราชการ และประชาชนทั่วไป

"งบประมาณที่ใช้ในการพัฒนาห้องสมุดของ กศน.ทรงตัวมาตลอด ซึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาไม่เคยได้เพิ่มแม้แต่บาทเดียว จึงส่งผลให้ไม่มีการพัฒนาห้องสมุดประชาชนให้ทันสมัยมากขึ้น และผลการสำรวจของ สบร.ก็พบว่า กศน.นำงบประมาณเพียงร้อยละ 0.0005 มาใช้ในการพัฒนาห้องสมุดเท่านั้น เราจึงตัดสินใจคัดเลือกห้องสมุด 10 แห่ง เพื่อนำร่องในการแปลงโฉมให้ทันสมัย โฉบเฉี่ยว เหมาะสม มีการเชื่อมโยงเครือข่ายด้วยระบบดิจิทัล และ ใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ทุกรูปแบบ โดยงบประมาณที่ใช้ดำเนินการได้รับการ สนับสนุนจาก สบร." ปลัดศธ.กล่าวและว่า ห้องสมุดที่ปรับโฉมใหม่นี้ จะปรับเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะอาชีพให้แก่ชุมชนท้องถิ่น เป็นศูนย์รวมข้อมูลทางเศรษฐกิจและสังคมระดับท้องถิ่น รวมทั้งนโยบายของรัฐบาล ตลอดจนเป็นศูนย์กลางการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ เช่น การสอนภาษาต่างประเทศ การพัฒนาความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศด้วย.



โดย: jenifaae วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:22:06:45 น.  

 
*กฎหมายเกี่ยวกับคนพิการและผู้สูงอายุ

เกี่ยวกับคนพิการ..คลิกที่นี่..


เกี่ยวกับผู้สูงอายุ..คลิกที่นี่..





*เชิญร่วมลงชื่อคัดค้านการเซ็นเซอร์เว็บไซท์ / Petition online for FREEDOM

เชิญร่วมลงชื่อคัดค้านการเซ็นเซอร์เว็บไซท์ / Petition online for FREEDOM
โดย : Vipar Daomanee เมื่อ : 30/05/2008 09:47 PM เชิญร่วมลงชื่อทางออนไลน์ ได้ที่: //gopetition.com/online/19589.html ----

แถลงการณ์จาก ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตและสื่อพลเมือง ผู้สนับสนุนสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น 29 พฤษภาคม 2551 เรื่อง ขอเรียกร้องความรับผิดชอบจากนายเทพไท เสนพงศ์ และพรรคประชาธิปัตย์ และขอเชิญชวนพลเมืองทุกคนร่วมกันปกป้องสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ตามที่นายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ออกมาเปิดเผยรายชื่อ 29 เว็บไซต์*ว่าเป็นเว็บไซต์อันตรายที่ส่อเค้าหมิ่นเบื้องสูง พร้อมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศจัดการ ตามข่าวทางสื่อมวลชนทั่วไปความแจ้งแล้วนั้น พวกเราดังมีรายนามข้างท้ายมีความเห็นต่อกรณีดังกล่าว ดังต่อไปนี้
1. เราเห็นว่าสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลาย ต้องได้รับการเคารพและปกป้อง สังคมประชาธิปไตยทุกสังคม ที่ปรารถนาความสงบสุข สันติภาพ
และความสมานฉันท์ จำเป็นต้อง ส่งเสริม และ ปกป้อง สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนอย่างเต็มที่ เหตุเพราะความเคารพและความเข้าใจอันดีต่อกัน 'เอาใจเขามาใส่ใจเรา' เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสังคมที่ผู้คน มีความแตกต่างหลากหลาย และหนทางเดียวที่จะนำเราไปสู่การเรียนรู้ที่จะเข้าใจและเคารพกันได้ คือสภาพสังคมที่เอื้อให้ทุก ๆ คน มีสิทธิเสรีภาพในแสดงออกด้วยความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ ประตูที่จะนำไปสู่ความยอมรับเคารพซึ่งกันและกัน จะถูกปิดตาย เมื่อปากและใจของเราถูกบังคับให้ปิดลง
2. เราไม่เห็นด้วยกับการนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเครื่องมือทางการเมือง รายชื่อเว็บไซต์และเว็บล็อกส่วนใหญ่ที่ถูกระบุชื่อ มิได้นำเสนอข้อมูลหรือเนื้อหาที่หมิ่นพระมหากษัตริย์ หลายแห่งนำเสนอข้อมูลทางวิชาการอย่างมีเหตุมีผล การกล่าวหาเว็บไซต์ต่าง ๆ เหล่านั้นอย่างเหมารวมของนายเทพไท เสนพงศ์ จึงเป็นความผิดพลาด ขาดการตรวจสอบข้อมูล เป็นการกดดันเพื่อปิดกั้นความคิดเห็นของคนอื่น โดยไม่เลือกวิธีการ
เป็นการปลุกปั่นนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็น เครื่องมือทางการเมืองในการทำลายฝ่ายตรงกันข้าม รวมทั้งเป็นการก่อความแตกแยกของคนภายในชาติ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้แสดงให้เห็นถึงการขาดจิตวิญญาณประชาธิปไตย พวกเราดังมีรายนามข้างท้ายนี้ขอเรียกร้องให้นายเทพไท เสนพงศ์ และพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำดังกล่าว และหยุดการใส่ร้ายป้ายสีเว็บไซต์หรือบุคคลอื่นอย่างไม่เป็นธรรม รวมทั้งหยุดกดดันหรือสร้างกระแสให้มีการปิดกั้นการแสดงความคิดเห็น ไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ โดยทันที และเนื่องด้วยการกระทำเช่นนายเทพไท เสนพงศ์ ในครั้งนี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการใช้ข้อหาหมิ่นพระมหากษัตริย์มาเป็นเครื่องมือ ในการริดรอนสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของฝ่ายอื่น ๆ และแม้การกระทำเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ไม่สามารถยอมรับได้ แต่เราก็ยังพบเห็นพฤติกรรมดังกล่าวอยู่เสมอ จากทั้งหน่วยงานรัฐ นักการเมือง และสื่อมวลชน เราจึงขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหยุดพฤติกรรมดังกล่าวด้วยเช่นกัน พร้อมกันนี้ พวกเราขอเชิญชวนชาวอินเทอร์เน็ตและพลเมืองทุกคน
ให้ยึดมั่นในสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่างเท่าเทียมและรับผิดชอบ และร่วมกันตรวจสอบดูแลและปกป้องพื้นที่อินเทอร์เน็ต ให้เป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้แสวงหาปัญญา และยอมรับความคิดอันหลากหลายของเพื่อนมนุษย์ **ไม่ว่าเราจะเห็นด้วยกับความคิดเหล่านั้นหรือไม่ก็ตาม**

ขอแสดงความนับถือ (ผู้ลงชื่อ) สามารถร่วมลงชื่อทางออนไลน์ ได้ที่ //gopetition.com/online/19589.html *อ้างอิง: ปชป.แฉเครือข่าย 5 เว็บไซต์ จ้องล้มสถาบันกษัตริย์, นสพ.ประชาไท, 20 พ.ค. 2551 //prachatai.com/05web/th/home/12211 ---- ร่วมลงชื่อทางออนไลน์ ได้ที่: //gopetition.com/online/19589.html

อยากรู้ความจริงเรื่อง 6 ตุลา คลิก //www.2519.net
Seeking for the Truth of 6 October 1976, click //www.2519.net
Vipar Daomanee tel. 081-613 4792 fax 02-152 0112


โดย: jenifaae วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:22:07:06 น.  

 
*137 นักวิชาการ ย้ำแก้รัฐธรรมนูญใหม่ เป็นรัฐธรรมนูญของประชาชน ต้องมาจากประชาชน

วันนี้ (27 พ.ค.) นักวิชาการ 137 คน ออกแถลงการณ์เรื่อง ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ไปให้พ้นการเมืองแบบ 2ขั้ว (รัฐธรรมนูญของประชาชนต้องมาจากประชาชน) มีเนื้อหาเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างกลุ่มต่างๆ อันเนื่องมาจากผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคพลังประชาชน ซึ่งมีแนวโน้มที่อาจนำไปสู่ความรุนแรงหรือการใช้อำนาจนอกระบบเป็นข้ออ้างเพื่อยุติความรุนแรง


ทังนี้แถลงการณ์นักวิชาการ 137 คน ได้เสนอหลักการสำคัญ 4 ประการของการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญโดยกระบวนการที่สันติ สร้างรัฐธรรมนูญที่เอื้อต่อการจัดความสัมพันธ์เชิงอำนาจในระบอบประชาธิปไตย และทำให้สังคมไทยหลุดพ้นจากสภาวะตีบตันทางการเมืองโดยเร็ว


แถลงการณ์ 137 นักวิชาการ ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ไปให้พ้นการเมืองแบบ 2ขั้ว


(รัฐธรรมนูญของประชาชนต้องมาจากประชาชน)


เป็นที่ชัดเจนว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ประสบความล้มเหลวอย่างยิ่งในการสร้างกติกาทางการเมืองขึ้นใหม่ภายหลังการล้มล้างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ไป ไม่เพียงเท่านั้น รัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังนำมาซึ่งความขัดแย้งระหว่างกลุ่มต่างๆ ที่เกิดขึ้นและสืบเนื่องมาจนกระทั่งปัจจุบัน รวมทั้งมีแนวโน้มที่อาจนำไปสู่ความรุนแรงหรือการใช้อำนาจนอกระบบเข้ามาภายใต้ข้ออ้างเพื่อยุติความรุนแรง


ขณะที่พรรคพลังประชาชนพยายามที่จะผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกิดขึ้น แต่การดำเนินการดังกล่าวก็อาจกลายเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่ทำให้ความขัดแย้งเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากข้อเสนอในการแก้ไขของพรรคพลังประชาชนมุ่งให้ความสำคัญกับปัญหาความยุ่งยากที่พรรคของตนกำลังประสบอยู่และไม่รับฟังข้อท้วงติงจากฝ่ายอื่นๆ


แม้ข้อเสนอของพรรคพลังประชาชนจะเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาในรัฐธรรมนูญที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข แต่ถ้าหากการแก้ไขรัฐธรรมนูญยังคงจำกัดประเด็นเอาเฉพาะที่เอื้อประโยชน์ต่อเพียงพรรคการเมือง และโดยอาศัยขั้นตอนที่อยู่ในอำนาจของนักการเมืองแต่เพียงอย่างเดียว การแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ก็จะขาดการสนับสนุนและการมีส่วนร่วมจากสังคมที่กว้างขวางเพียงพอต่อการสร้างความชอบธรรมและการสร้างบทบัญญัติที่ดีให้กับรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญในลักษณะเช่นนี้ย่อมง่ายต่อการที่จะถูกแก้ไขหรือฉีกทิ้งไปได้อีก ที่สำคัญก็คือจะไม่ได้เป็นกระบวนการที่ช่วยแก้ไขความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอยู่ในห้วงเวลาปัจจุบันของสังคมไทยแต่อย่างใด


ท่ามกลางสถานการณ์การเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายต่างๆ การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะนำไปสู่การคลี่คลายความขัดแย้งและเป็นหนทางไปสู่การสร้างกติกาซึ่งได้รับการยอมรับ จะบังเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาจากการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางของทั้งสังคมในการแสดงความคิดเห็น ถกเถียง แลกเปลี่ยนกันอย่างเสรี ซึ่งต้องเปิดโอกาสให้ทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย ไม่ว่าจะมีความเห็นที่แตกต่างกันอย่างไร ก็สามารถที่จะเข้ามีส่วนร่วมในกระบวนการนี้ ดังที่ได้เคยปรากฏขึ้นในกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540


นักวิชาการ 137 คน ขอเสนอหลักการสำคัญ 4 ประการของการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ ดังต่อไปนี้


ประการแรก การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องเป็นการนำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ทั้งฉบับ มิใช่เป็นเพียงการแก้ไขในมาตราหนึ่งมาตราใดเท่านั้น


ประการที่สอง ต้องมีการตั้งคณะทำงานหรือสภาร่างรัฐธรรมนูญอิสระที่ประกอบไปด้วยตัวแทนจากกลุ่ม องค์กรต่างๆ เข้ามาเป็นองค์ประกอบ สภาร่างรัฐธรรมนูญต้องมิใช่เป็นองค์กรของข้าราชการระดับสูง นักธุรกิจ นักการเมือง หากต้องประกอบไปด้วยกลุ่มคนอันหลากหลายทั้งในทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เพศและชาติพันธุ์ที่ดำรงอยู่ในสังคมไทย


ประการที่สาม ในกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญต้องเปิดให้กับการมีส่วนร่วมจากประชาชนในการแสดงความคิดเห็น ผลักดัน แลกเปลี่ยน ข้อมูลและความต้องการของแต่ละกลุ่มให้เป็นไปอย่างเสรีและกว้างขวางที่สุด เพื่อให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เกิดขึ้นจากฐานของสังคมอย่างแท้จริง ซึ่งจะเป็นไปได้ก็ด้วยบรรยากาศของสังคมที่เป็นประชาธิปไตยและการเปิดพื้นที่ให้กับทุกฝ่ายให้สามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสื่อมวลชนทุกประเภท


ประการที่สี่ หลังจากร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เสร็จสิ้นลงต้องเปิดให้มีการลงประชามติโดยไม่มีการแทรกแซงจากทุกฝ่ายเช่นครั้งที่ผ่านมา


นักวิชาการจำนวน 137 คน ดังมีรายชื่อข้างท้ายนี้ จึงใคร่ขอเรียกร้องสังคมไทยให้ร่วมกันกดดันให้เกิดกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามหลักการ 4 ข้อข้างต้น เพื่อนำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญโดยกระบวนการที่สันติ เพื่อสร้างรัฐธรรมนูญที่เอื้อต่อการจัดความสัมพันธ์เชิงอำนาจในระบอบประชาธิปไตย และทำให้สังคมไทยหลุดพ้นจากสภาวะตีบตันทางการเมืองโดยเร็วที่สุด




+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ผู้ลงชื่อแล้วประกอบด้วย


ศ.รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


ศ.ดร.อานันท์ กาญจนพันธุ์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


ดร. ชยันต์ วรรธนะภูติ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


อ.ฉลาดชาย รมิตานนท์ ข้าราชการเกษียณ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


รศ.ดร. ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


รศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


ศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกูล มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา


รศ.วิระดา สมสวัสดิ์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


รศ.ดร. กฤตยา อาชวนิจกุล สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล


ดร.ศรีประภา เพชรมีศรี โครงการสิทธิมนุษยชนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล


รศ.ดร.ธเนศ เจริญเมือง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


ผศ. ดร.วีระ สมบูรณ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


รศ.ดร.ปาริชาติ สถาปิตานนท์ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


ดร. สุดา รังกุพันธุ์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


รศ. ดร. สมบูรณ์ ศิริประชัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


ดร.อรศรี งามวิทยาพงศ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


รศ.ใจ อึ้งภากรณ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


ผศ. บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร


อ. วรศักดิ์ มหัทธโนบล คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


ผศ.ดร.อภิชาต สถิตนิรามัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


ดร.ปัทมาวดี ซูซูกิ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


รศ. ดร. วรวิทย์ เจริญเลิศ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


ดร. อภิญญา เฟื่องฟูสกุล คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


ดร.ประภาส ปิ่นตกแต่ง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


รศ.ดร.อรรถจักร สัตยานุรักษ์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


รศ.สายชล สัตยานุรักษ์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


รศ. สมเกียรติ ตั้งนโม มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน – มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


รศ. สมชาย ปรีชาศิลปกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


ดร. ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


ดร. เดชา ตั้งศรีฟ้า คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาตร์


ดร. พัฒนา กิตอาสา มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์


รศ.อังสนา ธงไชย คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


รศ. สมโชติ อ๋องสกุล คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


ดร.ชยันต์ ตันติวัสดาการ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


รศ.ดร.เนาวรัตน์ พลายน้อย คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล


ดร.ศุภกาญจน์ พงศ์ยี่หล้า ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์


รศ. ฉลอง สุนทราวาณิชย์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


รศ. ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


ดร.นฤมล ทับจุมพล คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


ผศ.ดร.ดวงมณี เลาวกุล คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


ผศ. ดร. ชาญณรงค์ บุญหนุน คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร


รศ. ดร.อรทัย อาจอ่ำ สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล


ดร. ทพญ.ศศิธร ไชยประสิทธิ์ คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


ดร. อุดมโชค อาษาวิมลกิจ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


รศ.ดร.โกสุม สายจันทร์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


ผศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เชษฐพัฒนวนิช คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


ดร.วรรณภา ลีระศิริ คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


ผศ.ดร.เยาวนิจ กิตติธรกุล คณะการจัดการสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์


ผศ. ดร.นงเยาว์ เนาวรัตน์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


ดร. พรพิมล ตั้งชัยสิน คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


ดร. วสันต์ ปัญญาแก้ว คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


รศ. ดร. ศิวาลักษ์ ศิวารมณ์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


ผศ. ดร. ไพโรจน์ คงทวีศักดิ์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


ดร. มาลี สิทธิเกรียงไกร สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


ผศ.ดร. เสาวลักษณ์ ชายทวีป คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้


ดร. ชูศักดิ์ วิทยาภัค ภาควิชาภูมิศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


รศ. ดร. สมบูรณ์ เจริญจิระตระกูล คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์


อ.วีรบูรณ์ วิสารทสกุล คณะสังคมสงเคราะห์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


วิภา ดาวมณี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


อาทิตย์ สุริยะวงศ์กุล สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


บุญเลิศ วิเศษปรีชา คณะสังคมสงเคราะห์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


ผศ.วรรณา ศรีวิริยานุภาพ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


อ.ชาตรี ประกิตนนทการ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร


อ.เชษฐา พวงหัตถ์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร


อ.สัญชัย สูติพันธ์วิหาร คณะสิ่งแวดล้อมฯ มหาวิทยาลัยมหิดล


อ.อัจฉริยา เนตรเชย คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร


อ.ยอดพล เทพสิทธา คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร


พระมหาสุทธิ อาภากโร คณะพุทธศาสตร์ มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย


ผศ. สุชาติ เศรษฐมาลินี คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยพายัพ


อ.สุขทวี สุวรรณชัยรบ คณะการทูตและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ม.อเมริกานา นิคารากัว


ผศ.ชูพินิจ เกษมณี คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ


อ. ทวีศักดิ์ เผือกสม สำนักวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์


อ.สุภิญญา กลางณรงค์ นักวิชาการอิสระด้านสื่อ


สมฤทธิ์ ลือชัย นักวิชาการอิสระ


เจษฎา โชติกิจภิวาทย์ นักวิชาการอิสระด้านแรงงาน


วรดุลย์ ตุลารักษ์ นักวิชาการอิสระด้านแรงงาน โครงการสิทธิมนุษยชน ม.เที่ยงคืน


อ. กมลวรรณ ชื่นชูใจ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี


อ. วาทิศ โสตถิพันธุ์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


อ.ไพสิฐ พาณิชย์กุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


อ. บุญชู ณ ป้อมเพ็ชร คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


อ. ศักดิ์ชาย จินะวงศ์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


อ.นัทมน คงเจริญ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


อ.ทศพล ทรรศนกุลพันธ์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


อ. อำนวย กันทะอินทร์ คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


อ.ชัชวาล ปุญปัน คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


อ.ชาญกิจ คันฉ่อง คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


ผศ.อำพล วงศ์จำรัส คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


ผศ.ปราณี วงศ์จำรัส คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


อ.เอกกมล สายจันทร์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


อ. พิกุล อิทธิหิรัญวงศ์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


อ.วีระพันธ์ จันทร์หอม หลักสูตรสื่อศิลปะ ฯ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


อ.ทัศนัย เศรษฐเสรี หลักสูตรสื่อศิลปะฯ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


อ.ชำนาญ จันทร์เรือง นักวิชาการกฎหมาย มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน


อ. ธีรวัฒน์ ขวัญใจ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์


ผศ.สุวิมล รุ่งเจริญ ภาควิชาประวัติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


ภัควดี วีระภาสพงษ์ นักวิชาการอิสระ โครงการสิทธิมนุษยชน มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน


สฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระ


ทพ. วิชัย วิวัฒน์คุณุปการ คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักศึกษาปริญญาเอก มหาวิทยาลัยฮาวาย สหรัฐอเมริกา


อ.ประจักษ์ ก้องกีรติ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


อ. ศรันย์ สมันตรัฐ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์


อ. ธร ปีติดล คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


อ. จันทร์จุฑา สุขี คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


อ. นิภา มหารัชพงศ์ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา


อ. พนิดา อนันตนาคม สาขาวิชาภาษาญี่ปุ่น คณะมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


ผศ.กัญญณัฐฐา อิทธินิติวุฒิ คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


รศ.ศุภชัย สิงห์ยะบุศย์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม


อ. รัตนา โตสกุล คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


กรรณิการ์ กิจติเวชกุล สื่อมวลชนอิสระ นักแปล และผู้สนใจประเด็นสาธารณสุข


ผศ. วงกต วงศ์อภัย คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


อ. กิ่งกาญจน์ สำนวนเย็น คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี


อ. อนุสรณ์ งอมสงัด คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี


อ. ญาเรศ อัครพัฒนานุกูล คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี


ครู ณัฐทินี สอนประสิทธิ์ ครูการศึกษานอกโรงเรียน


อริศรา สิทธิปัน กองห้องสมุด มหาวิทยาลัยแม่โจ้


อ.ธนพรรณ กุลจันทร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


อ.ผุสดี นนทคำจันทร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


ผศ.ลัดดา รุ่งวิสัย คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


นิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ นักวิชาการอิสระ กลุ่มเพื่อนประชาชน


อ.ดุลยภาค ปรีชารัชช วิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม


อ. พฤกษ์ ยิบมันตะสิริ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


นิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ นักวิชาการอิสระ กลุ่มเพื่อนประชาชน


สุชาติ ตระกูลหูทิพย์ นักวิชาการอิสระทางด้านกฎหมาย (ประเด็นแรงงาน)


ศศินันท์ งามธุระ นักศึกษาปริญญาโท คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


วรรณสิริ ทิพยมงคล นักศึกษาปริญญาโท คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


นิฐิณี ทองแท้ นักศึกษาปริญญาโท คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


อาจารย์ สามารถ ศรีจำนงค์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


ชำนาญ ยานะ นักศึกษาปริญญาโท สถาบันวิจัยภาษาฯ มหาวิทยาลัยมหิดล


อ.สันติภาพ ศิริวัฒนไพบูลย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี


ผศ. วรรณา ประยุกต์วงศ์ คณะบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี


ผศ.ธวัชชานนท์ สิปปภากุล คณะศิลปกรรมและออกแบบฯ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน


ผศ. ศรวณีย์ สุขุมวาท ภาควิชาอังกฤษ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


อ.คำรณ คุณะดิลก นักวิชาการอิสระและอาจารย์พิเศษ, สำนักข่าวแประชาธรรม


อ. พฤกษ์ เถาถวิล คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี


อ. เนตรดาว เถาถวิล คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี


--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 27/5/2551


โดย: jenifaae วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:22:07:39 น.  

 
*รายงาน : ข้าวคืนนา ถึงเวลาพันธุกรรมพื้นเมืองกลับบ้าน

สุมนมาลย์ สิงหะ

มูลนิธิชีวิตไท (RRAFA)


*เมื่อการพัฒนาได้ทะยานขึ้น (Take off) มาสู่ยุคเปลี่ยนผ่านสู่ระบบเกษตรอุตสาหกรรม ได้ดึงเอาการเพาะปลูกของเกษตรกรมาอยู่ในระบบพาณิชย์เพื่อการส่งออก ในเวลาเดียวกันก็จำกัดการผลิตให้อยู่ในภาคเศรษฐกิจยังชีพ และขยายการผลิตเพื่อขาย ภาคที่ทุนทำงานเพื่อการขาย กับภาคการเกษตรเพื่อยังชีพ ซึ่งภาคหลังเป็นภาคที่มีส่วนของประเพณีและภูมิปัญญา ส่วนภาคสมัยใหม่เป็นภาคที่เกษตรกรต้องใช้เครื่องจักรกลการเกษตร หรือสายพันธุ์ข้าวเพื่อเพิ่มผลผลิต ในลักษณะวิวัฒน์วนเวียน(1) (Agricultural innovation) จึงเป็นผลที่เกิดขึ้น คือเมื่อวิวัฒนาการเศรษฐกิจสังคมนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงใหม่ แล้วนำไปสู่ความซับซ้อนยิ่งขึ้น ทั้งในเชิงชาติพันธุ์ นิเวศวัฒนธรรมและกระบวนการก่อเกิดเศรษฐกิจทวิภาคในไทย ภายใต้อุดมการณ์เสรีนิยมใหม่

ขณะที่ผลผลิตข้าวไทยออกสู่ตลาดโลก วิธีการดังกล่าวสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้การสร้างสิ่งที่เรียกว่า “ทวิภาคทางเศรษฐกิจ” หน่วยงานราชการสนับสนุนนโยบายในภาคการส่งออก มีการจัดการแบบทุนนิยมซึ่งบริษัทเป็นผู้ครองทุน ทำหน้าที่ควบคุมราคาขาย ค่าแรงและปริมาณการผลิต แม้กระทั่งกระบวนการผลิต เมล็ดพันธุ์ข้าว ปุ๋ยและสารเคมี รวมทั้งที่ดินและน้ำเพื่อการเพาะปลูก ขณะที่ภาคการผลิตในประเทศมีหน่วยครอบครัวทำการผลิต และมีการรับจ้างนอกระบบ เมื่อราคาข้าวในตลาดโลกขยายตัว ภาคภายในประเทศยิ่งหดตัวแคบลง นโยบายของหน่วยงานราชการเพื่อเพิ่มผลิตภาพการผลิตไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่เปลี่ยนวิธีการไปเรื่อยๆ

จากรายงานวิจัย การเมืองเรื่องข้าว(2) ระบุว่า 80%ของภาคเกษตรเป็นเกษตรกรรายย่อยก็จริง และส่วนใหญ่อยู่ในภาคอีสาน โดยที่ประมาณ 15 ล้านคนทำงานในภาคเกษตร อีก 3 ล้านคนทำงานรับจ้าง และแรงงานนอกระบบ ที่เหลือคือ เกษตรกร 12 ล้านคนและมีอายุเกิน 50 ปีขึ้นไป

จากโครงสร้างสัดส่วนอาชีพและประชากร น่าพิจารณาว่าเกษตรมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเลี้ยงดูผู้คนในประเทศและคนทั่วโลก จึงควรมีฐานะและสถานภาพที่ดี แต่ทำไมชาวนาไทยยังมีลักษณะที่เรียกว่า “แบ่งความจนร่วมกัน” ความแตกต่างระหว่างเกษตรกร กับชนชั้นอื่นในสังคมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำไมยังมีชาวนาไร้ที่ทำกินและครัวเรือนชาวนาต้องซื้อข้าวกินในลักษณะ ‘ขายข้าวเปลือกถูก ซื้อข้าวสารแพง’ กันเป็นจำนวนมาก(3)

*‘โครงการข้าวคืนนา รับขวัญแม่โพสพกลับบ้าน’ เกิดขึ้นครั้งแรกในวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา

ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อแสดงถึงสัญลักษณ์และพลังของความเคลื่อนไหวเพื่อวางยุทธศาสตร์เศรษฐกิจและวิถีชีวิตวัฒนธรรมเกษตร โดยมีเครือข่ายเกษตรกรภาคอีสาน เหนือ กลางและภาคใต้ 20 จังหวัด 14 องค์กรพัฒนาเอกชน รวมทั้งกลุ่มผู้บริโภค ได้ร่วมกันฟื้นฟูและสร้างเงื่อนไขแนวทางเก็บรักษาพันธุ์ข้าว ‘พันธุกรรมข้าวพื้นบ้าน’ ที่หลากหลายโดยการทำงานได้รับการประสานความร่วมมือกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

ในเบื้องต้น ธนาคารเมล็ดพันธุ์ของกรมการข้าว ส่วนงานวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าว ได้ส่งมอบคืนพันธุ์ข้าว 104 สายพันธุ์สู่ถิ่นฐานเดิมของพันธุกรรมพื้นบ้าน โดยผู้เข้าร่วมจากทุกภาคส่วนได้ถกเถียงและมองหาการอนุรักษ์ชีวิตและวัฒนธรรม และพัฒนาระบบเกษตรจากรากเหง้า เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร ในสภาวะที่ทุกประเทศต่างประสบภาวะวิกฤติอาหารแพง ในบางประเทศเข้าขั้น ‘hungry Angry’ เช่น เฮติ และอินโดนีเซีย ซึ่งเกิดการจลาจลที่สั่นไหวถึงวิกฤติสังคมและการเมือง

คุณเดชา ศิริภัทร มูลนิธิข้าวขวัญ กล่าวว่า ที่ผ่านมา กรมการข้าวได้วิจัยพัฒนาสายพันธุ์และเก็บรวบรวมพันธุกรรมพื้นบ้านไว้ในธนาคารเมล็ดพันธุ์ โครงการรัฐบาลเองเอาพันธุ์ใหม่มาแทนพันธุ์เก่า ตั้งแต่ปี 2520 เป็นต้นมา พื้นที่ไหนที่ กข.6และสันป่าตองขยายไป พื้นที่นั้นพันธุ์ข้าวพื้นบ้านจะหายไป ข้าว กข.1มาพร้อมโครงการแลกเปลี่ยนพันธุ์ข้าวในระบบชลประทาน จากนั้นพันธุ์พื้นบ้านหมดไปจากท้องถิ่นใน5 ปี บางส่วนหายไปอย่างถาวร แล้วลุกลามไปสู่เขตน้ำฝนอีสาน พันธุ์ข้าวพื้นบ้านเดิมมีอยู่เท่าไหร่แน่เราไม่สามารถรู้ได้ โดยเฉพาะข้าวไร่ซึ่งมากที่สุด อาจมาจากพม่า จีนและลาวซึ่งหลากหลายมาก

“ตอนนี้ ในซีดแบงค์มีรายชื่อไม่ซ้ำอย่างน้อย 6,000ชื่อ คิดว่าประมาณร้อยปีผ่านมา เรามีพันธุ์ข้าวมากกว่าตอนนี้หนึ่งเท่าตัวและที่เหลือหายอย่างถาวร ที่อีสานเราอาจต้องไปตามพันธุ์ข้าวที่ลาว ซึ่งฝากข้าวในอีรี(4) มากที่สุดรองจากอินเดีย และแซงหน้าไทย ตอนนี้เขมรกำลังแซงเรา ความสูญหายมันมากขึ้นเรื่อยๆ ข้าวมีเบอร์เช่นนี้กระจายไปตามสถานีต่างๆ ต่อมามีข้าวให้ผลผลิตสูง (HVF-High Value Foods) ข้าวพันธุ์ผสมใหม่ (hybrid rice)และมีแนวโน้มจะร่วมมือกับบริษัท ธนาคารเมล็ดพันธุ์ควรเป็นกองหนุน แล้วให้ชาวบ้านทำ”

คุณเดชา กล่าวอีกว่า งานวันนี้ยังไม่บรรลุเลยที่เดียว จนกว่าชาวนาไทยจะเอาข้าวเหล่านี้ลงสู่แปลงนาและคัดพันธุ์เอง ปลูกในพื้นที่จริง มันกลายพันธุ์ แล้วเราจะได้พันธุ์ใหม่ๆ และทุกส่วนต้องลงแรงด้วยกัน ยิ่งถ้าเราอยากจะแข่งขัน ต้องเอาขุมทรัพย์ที่แช่แข็งกลับมาและพัฒนาร่วมกับชาวนาแต่ละพื้นที่

ด้านคุณประเสริฐ โกศัลวิตร อธิบดีกรมการข้าว กล่าวว่า กรมการข้าวพร้อมให้การสนับสนุนการพัฒนาพันธุ์พื้นบ้าน อย่างข้าวสังหยดที่ภาคใต้ ถูกกำหนดในสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์แล้ว ต่อมาเหลืองประทิว ลันป่าตอง เสาไห้ และข้าวขาวหอมมะลิห้าของทุ่งกุลา เราหาพันธุ์เด่นและหาสารที่เป็นแร่ธาตุและเน้นเรื่องสุขภาพอนามัย ซึ่งกรมการข้าวไมได้ละเลย เราไปยืมพันธุ์ข้าวจากอีรี่เพื่อคัดพันธุ์ให้ผลผลิตสูง มาผสมกับพันธุ์พื้นบ้านและกระจายสู่พื้นที่ ข้าวจากอีรี่มาผสมพันธุ์กับเหลืองทองบ้านเรา มาเป็น พันธ์ กข.1 หรือปทุมธานี1 มาจากข้าวอีรี่และข้าวขาวดอกมะลิ105 เรานำส่วนดีมาใช้พัฒนาบ้านเรา และต่างประเทศก็มีความต้องการ

ในขณะที่คุณวิลิต เตชะไพบูลย์ ตัวแทนภาคเอกชน กล่าวถึง ‘โครงการข้าวคืนนา รับขวัญแม่โพสพกลับบ้าน’ ว่า งานวันนี้ได้เปิดมิติใหม่ ระบบการผลิตเพื่อการส่งออกเหลือข้าวอยู่ไม่กี่สายพันธุ์ และอ้างว่าให้ผลผลิตต่อไร่สูงแต่ต้องอาศัยปัจจัยการผลิตอย่างอื่นตามไปด้วย ขณะที่พันธุ์ข้าวพื้นบ้านมีความทนทาน การปลูกข้าวจำนวนน้อยมีความเสี่ยงและอาศัยยาฆ่าแมลงตลอดเวลา

“สังเกตพันธุ์ข้าวที่ส่งโรงสี อย่างข้าวชัยนาทมีความเสี่ยงสูง การคัดพันธุ์ที่เราคัดกันมาเหมาะสมทุกอย่างความหอมอร่อยด้วย เกษตรกรอาจต้องกลับไปเริ่มต้นวิจัยด้วยตนเองและคิดถึงความมั่นคงทางอาหารของประเทศ และภูมิคุ้มกันชาวนาต่อระบบลิขสิทธิ์ผูกขาดแล้วเราจะถูกเอาเปรียบ อนาคตพันธุ์ข้าวจะไม่ขึ้นกับบริษัท หรือ จีเอ็มโอ แต่ขึ้นกับพันธุ์ข้าวที่หลากหลายที่เราจะร่วมกันพัฒนาและคืนชีวิตให้กับข้าวพันธุกรรมพื้นบ้าน”

คุณสงกรานต์ จิตตรากรณ์ นักวิชาการเกษตร ที่ปรึกษากรมการข้าวด้านการอนุรักษ์ การปรับปรุงพันธุ์ กล่าวว่า ทั่วโลกมีสายพันธุ์ข้าวกว่า 120,000 พันธุ์ ไทยมี 17,000 พันธุ์แต่ต่างกันจริงๆ 6,000 พันธุ์ หน้าที่ของเราคือทำให้พันธุ์ข้าวบริสุทธิ์ แต่มีความหลากหลายและสำคัญต่อความมั่นคงทางอาหาร ส่วนจีเอ็มโอเรายังไม่มีเทคนิคที่เราทำได้ แม้แต่โกลเด้นไรซ์ เราจะดูความเหมาะสมกับสภาพที่ปลูก เพราะของดีย่อมอันตรายต่อการสูญเสีย จึงต้องมาทำงานร่วมกัน

*ด้านคุณกัญญา ตัวแทนเกษตรกรปลูกข้าวอินทรีย์จังหวัดสุรินทร์ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ชาวนาได้ปรับตัวให้สอดคล้องการบริโภคและการผลิต เกษตรกรแต่ก่อนอย่างน้อยมีพันธุ์ข้าว 5 สายพันธุ์ในแต่ละรอบที่ปลูก

“ที่หมู่บ้านดิฉันมีพันธุ์ข้าว 7 สายพันธุ์ ทำไมต้องหลากหลาย เพราะพันธุ์ข้าวเบาสอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมและนิเวศและวัฒนธรรม ปลายเดือนสิบ เราต้องทำข้าวกระยาสารท(5) หลังออกพรรษา เชื่อมกับศาสนาพุทธ แรงงาน และการเลี้ยงสัตว์ ส่วนหนึ่งเพราะชุมชนเขมรยังอยู่ระหว่างประเพณีเดิมอยู่ จากนั้นข้าวกลาง และข้าวหนักเราต้องเลือกพันธุ์ข้าวกินตลอดปี อยู่ยงคงกระพันกับพื้นที่ คนเขมรจะทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมชุมชนทั้งหมด”

ในขณะที่ คุณวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ที่ผ่านมาเกษตรกรหลายประเทศเองมีการอนุรักษ์พันธุ์ข้าว เพราะไม่ไว้ใจบริษัท และไม่แน่ใจว่ากรมการข้าวจะยืนยง นโยบายเกษตรต้องชัดเจนในการผลิตข้าวอินทรีย์ ซึ่งที่ผ่านมาไม่มีเลย มีแต่การปรับปรุงพันธุ์ที่ตอบสนองปุ๋ยยา ซึ่งขัดกับมาตรฐานเกษตรอินทร์โลกที่ไม่ใช้ปุ๋ยยา และพันธุวิศวกรรม

“ทำอย่างไรที่จะให้ชาวบ้านเป็นนักปรับปรุงพันธุ์ข้าวเอง และชาวนาก็มีศักยภาพ เป็นทั้งนักอนุรักษ์ นักปรับปรุงพันธุ์ ตัวเลขคร่าวๆ มีจังหวัดไม่ต่ำกว่า 20 คน ตอนนี้เป็นนักยุทธศาสตร์ข้าวด้วย และโครงการนี้จะทำให้ชาวบ้านเข้าถึงพันธุ์ข้าวมากขึ้น”

การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ ส่วนงานวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวได้ส่งมอบพันธุ์ข้าว 104 สายพันธุ์กลับไปสู่แปลงนา รับมอบโดยตัวแทนเกษตรกรนักอนุรักษ์จากภาคต่างๆ ภาคเหนือ ได้แก่ นายปั๋น สิทธิจันทร์ บ้านป่าอ้อย อ.สันติสุข จ.น่าน เก็บรักษาพันธุ์ข้าว ข้าวแก้วดอ เล้าแตก กอแระ ขาวใบด่าง ข้าวแพรก ข้าวเลา ข้าวย่น ข้าวแห้งดอ ขาวมะนาว ข้าวเฮา ข้าวน้ำ

ภาคอีสานตอนล่าง มีพ่อบุญช่วย ศรีธร ชาวนาทุ่งกลาร้องไห้ จ.มหาสารคาม เก็บรักษาพันธุ์ข้าวขี้ตม ขาวใบลง ข้าวเล้าแตก ปลาซิว ข้าวหมัก ข้าวฮ้างฮี ฮีดอ ข้าวม่วย ดอกึม ซึ่งอยู่ในกลุ่มเกษตรกรทางเลือกยโสธรเก็บรักษาพันธุ์ข้าว 119 สายพันธุ์ และอาสาสมัครนักอนุรักษ์14ครัวเรือน

ส่วนตัวแทนอีสานใต้ พ่อจันทรศรี กิตติโรธร จากสุรินทร์ อนุรักษ์พันธุ์ปกาอัมบึล(ดอกมะขาม) ลังอองขะเมา เนียงกวงกะเปิดมูน (สาวที่ปิดหน้า)

ภาคกลาง พ่อสะอาด ห้าวหาญ รักษารวม 7สายพันธุ์ มะลิแดง ข้าวดอ หนองแซง หอมมะลิ เหลืองสุรินทร์ ฯล

ภาคใต้ มีพ่อประพัฒน์ จันทร์อักษร ตัวแทนจากภาคใต้ อนุรักษ์ข้าวสังหยด เล็บนก หอมจันทร์ 20 สายพันธุ์

ทั้งนี้ ภายในงานได้มีการทำพิธีกรรมรับขวัญข้าว แม่โพสพคืนนาโดยแต่ละภาคจะมีพิธีกรรมรับขวัญที่สะท้อนการปรับตัว และภูมิปัญญาของชาวนาแต่ละพื้นถิ่นอย่างมีสีสัน

อย่างไรก็ตาม ภารกิจของเกษตรกรยังไม่สิ้นสุด พันธุ์ข้าวพื้นบ้านจากซีดแบงค์จำนวนมากยังรอให้เกษตรกรแต่ละพื้นที่ ไม่ว่านาทาม พื้นที่ลุ่ม พื้นที่ดอน และระบบไร่ในพื้นที่สูงมารับกลับ เพื่อคืนชีวิตและมีโอกาสพัฒนาพันธุกรรมพื้นบ้านต่อไป ซึ่งโจทย์นี้ก็ยังคงวนเวียนทั้งชาวนา ผู้ที่ต้องการบริโภคข้าวอินทรีย์ และพ่อค้า!!!

อ้างอิง

(1) คลิฟฟอร์ด เกียร์ซ นักมานุษยวิทยาชาวอเมริกาเอาแนวคิด วิวัฒน์วนเวียน มาจาก อเล็กซานเดอร์ โกลเดนไวเซอร์ โดยมองสังคมเกษตรที่มีความซับซ้อนขึ้นแต่ไม่ก้าวหน้า ใช้มองการเปลี่ยนผ่านการพัฒนาและประวัติศาสตร์สังคมในหนังสือ Agriculture Inovation: The process of Ecological change in Indonesia Berkeley,Calif:University of California Press,1963

(2) การเมืองเรื่องข้าว ภายใต้อำนาจรัฐทุนผูกขาด ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐและคณะ กรุงเทพฯ : ศูนย์ศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมือง คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์, พ.ศ.2548

(3) รายงานวิจัย ความมั่นคงทางอาหาร มูลนิธิชีวิตไท

(4) สถาบันข้าวนานาชาติ ((International Rice Research Institute:IRRI) มีธนาคารข้าวที่รวบรวมพันธุกรรมทั่วโลก สำนักงานใหญ่อยู่ที่ฟิลิปปินส์

(5) ขนมกระยาสารทในประเพณีวันสารท ตรงกับวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 ในทุกภาคยกเว้นภาคใต้

--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 1/6/2551


โดย: jenifaae วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:22:08:05 น.  

 
* เชิญส่งโครงการ "โครงการสุขแท้ด้วยปัญญา"

โดย : เครือข่ายพุทธิกา เมื่อ : 30/05/2008 12:32 PM ด่วน! โอกาสครั้งสำคัญ
ถ้าคุณ มีความคิดใหม่ๆ มีไฟฝัน มีความมุ่งมั่นอยากทำอะไรดีๆ
ขอเชิญมาร่วมสร้างสรรค์ความสุขให้สังคมไทย
ด้วยการส่ง "โครงการสุขแท้ด้วยปัญญา" มาให้เรา
ส่งโครงการได้ตั้งแต่วันนี้ - 25 กรกฎาคม 2551
40 โครงการ ที่ผ่านการคัดเลือก จะได้รับเงินทุน สนับสนุนการทำโครงการ
ตามความเป็นจริงและความเหมาะสม สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท / โครงการ
ลักษณะของโครงการที่จะขอทุน

ก. เป็นกิจกรรมที่สร้างเสริมสุขภาวะทางปัญญา (สุขแท้ด้วยปัญญา )
ไม่จำกัดรูปแบบกิจกรรม สามารถริเริ่มคิดค้นสร้างสรรค์ได้โดยอิสระและเต็มที่
ข. เป็นกิจกรรมที่มุ่งสร้างเสริมทัศนคติที่ถูกต้อง 4 ประการ ได้แก่
1. การคิดถึงผู้อื่นมากกว่าตนเอง
2. การไม่พึ่งพิงความสุขทางวัตถุอย่างเดียว
3. การเชื่อมั่นในความเพียรของตน ไม่หวังลาภลอย คอยโชค
4. รู้จักคิดอย่างมีเหตุผล และเป็นประโยชน์เกื้อกูล
ค. เป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดผลทั้ง 2 ส่วน คือ
1. คนที่เข้าร่วมกิจกรรมได้เรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างเห็นผล
2. กิจกรรมที่ทำก่อให้เกิดประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมชัดเจนต่อส่วนรวม
ง. กิจกรรมที่ทำจะจัดเพียง 1 ครั้ง (ไม่น้อยกว่า 3 วัน ) หรือ ต่อเนื่องมากกว่า 1 ครั้งก็ได้
จำนวนผู้เข้าร่วมรวมไม่น้อยกว่า 35 คน โดยเน้นผู้เข้าร่วมเป็นเยาวชนคนหนุ่มสาว
จ. กิจกรรมให้จัดดำเนินการระหว่าง วันที่ 16 กันยายน - 31 ธันวาคม 2551

ฉ. กรณีผู้ขอทุนที่ไม่ใช่องค์กรหรือหน่วยงานก็สามารถทำโครงการได้ ทั้งนี้ต้องมีคณะผู้รับผิดชอบและดำเนินโครงการ เป็นทีมอย่างน้อย 6 คน

ช. เป็นโครงการที่ปลอดเหล้าและบุหรี่
สังคมดีขึ้นได้ ถ้าคุณไม่มัวแต่คิด และนิ่งเฉย
สนใจขอรับใบสมัครและสอบถามรายละเอียดได้ที่
เครือข่ายพุทธิกา (ประธานเครือข่าย : พระไพศาล วิสาโล )
90 ซอยอยู่ออมสิน ถนนจรัญสนิทวงศ์ 40 แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด กรุงเทพฯ 10700
โทรศัพท์ / โทรสาร 0-2424-7409 มือถือ 08-0450-8890
อีเมล์ : b_netmail@yahoo.com
เว็บไซต์ : //www.budnet.info

"สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส. )"
โครงการสร้างเสริมสุขภาวะทางปัญญา (สุขแท้ด้วยปัญญา)





*ตามรอยสึนามิโบราณ

ปัจจุบันภัยพิบัติต่างๆ ได้เกิดและมีความรุนแรงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเหตุแผ่นดินไหวที่ประเทศจีน หรือพายุไซโคลนนาร์กีสที่ถล่มประเทศพม่าและในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาประเทศไทยและอีกหลายๆ
ประเทศ ก็ประสบกับภัยพิบัติ "สึนามึ" มาร่วมกันตามรอยสึมามึกันในบทความนี้กันค่ะ.
ผู้เขียน: ผศ.ดร. มนตรี ชูวงษ์ ชมแล้ว: 2,527 ครั้ง
post ครั้งแรก: Fri 16 May 2008, 9:42 pm ปรับปรุงล่าสุด: Fri 16 May2008, 10:36 pm อยู่ในส่วน: วิทย์ทั่วไป, ชีววิทยา, ธรณีวิทยา

สารบัญ
หน้า : 1 ตามรอยสึนามิโบราณ
หน้า : 2 ตามรอยจากจารึกประวัติศาสตร์
หน้า : 3 ร่องรอยทางธรณีวิทยาที่สึนามิ ๒๕๔๗ ทิ้งไว้
หน้า : 4 ตามรอยสึนามิโบราณที่ภูเก็ตและพังงา
หน้า : 5 พบแล้ว "สึนามิโบราณยุคประวัติศาสตร์"

หน้าที่ 1 - ตามรอยสึนามิโบราณ

เรื่องและภาพ : ผศ.ดร. มนตรี ชูวงษ์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เมษายน ๒๕๕๐ ผมได้รับเชิญไปบรรยายเรื่องข้อมูลผลกระทบทางกายภาพและทางธรณีวิทยาจากสึนามิในประเทศไทยเมื่อปี ๒๕๔๗ ที่จัดขึ้นโดยศูนย์วิจัยควอเทอร์นารีแห่งมหาวิทยาลัยวอชิงตัน
เมืองซีแอตเติล สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหน่วยวิจัยทางธรณีวิทยา ธรณีสัณฐานวิทยาที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักแห่งหนึ่งของโลก
คลื่นสึนามึขนาดกวาดตะกอนจากพื้นทะเลเข้ามาบริเวณหาดบางเนียง เขาหลัก พังงา

ผมมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนทัศนะความเห็นในเชิงวิชาการธรณีวิทยาที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยสึนามิทั้งกับนักวิจัย นักศึกษา และอาจารย์จากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน และพบว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายที่บ้านเราไม่ค่อยมีใครสนใจศึกษาค้นคว้าวิจัยเรื่องสึนามิอย่างลึกซึ้งจริงจัง
ในขณะที่นักวิชาการต่างประเทศดูจะเป็นนักล่าข้อมูลใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลาในการนี้ ผมและกลุ่มอาจารย์ นิสิตจากภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ร่วมกันศึกษาธรณีวิทยาสึนามิมาอย่างต่อเนื่อง
ตั้งแต่การติดตามผลกระทบและการฟื้นฟูโดยธรรมชาติในพื้นที่ที่เกิดความเสียหายเช่นบริเวณหน้าหาดต่างๆรวมถึงการค้นหาหลักฐานทางธรณีวิทยาที่น่าจะบ่งชี้ว่าเคยเกิดสึนามิขึ้นในอดีตหรือไม่
เป็นไปได้ไหมว่าการตามรอยทางธรณีวิทยาจะทำให้เราพบว่าสึนามิโบราณเคยเกิดขึ้นมาแล้วในประเทศไทยเพื่อจะอาศัยข้อมูลนี้เป็นฐานในการคาดการณ์สึนามิที่จะเกิดในอนาคต
รวมถึงเป็นข้อมูลทางธรณีวิทยาของการค้นพบครั้งประวัติศาสตร์ที่น่าจะเชื่อมโยงกับการศึกษาประวัติศาสตร์และโบราณคดีต่อไปในอนาคต
ตะกอนสึนามิในอดีตที่พบบริเวณที่ลุ่มต่ำหลังแนวสันทรายเกาะพระทอง พังงา แสดงความต่อเนื่องของชั้นการสะสมตัว ตะกอนสึนามึใหม่บนชั้นตะกอนทรายบริเวณหน้าหาดบางเนียง


โดย: jenifaae วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:22:08:26 น.  

 
*ผีขนุน2008"สก๊อย"ค้ากามริมถนนรับรายได้งาม

ปิดตำนานผีขนุน-ผีมะขามย่านริมคลองหลอด-สนามหลวง เด็กแว้นพาแฟนสาวสก๊อยวัย 14-17 เข้ายึดครองพื้นที่ เป็น"ดอกไม้กลางเมือง"รุ่นใหม่ เบ่งบานต้อนรับหนุ่มออฟฟิศ-เฒ่าหัวงู ขับรถหรูแห่เด็ดดม สนนราคาเริ่มต้น 600 ถึง 1,000 บาท เด็กสาวเปิดใจเพื่อนๆ ชวนกันมาทำ รายได้งามเดือนละหลายหมื่น

สังคมเมืองเสื่อมหนักเมื่อบรรดาเด็กแว้นต่างพาแฟนสาวสก๊อยมาขายตัว เพื่อหาเงินมาเที่ยวเตร่และแต่งรถจักรยานยนต์ซิ่งเล่นเท่านั้น เวลานานกว่า 1 สัปดาห์ที่ "คม ชัด ลึก" ออกสำรวจและเฝ้าสังเกตบริเวณรอบๆ ท้องสนามหลวง ศูนย์รวมของเด็กสก๊อยที่มายืนรอขายบริการ เริ่มตั้งแต่ 5 โมงเย็นของทุกๆ วันจะมีกลุ่มเด็กแว้นขี่รถจักรยานยนต์แต่งซิ่งมีสาวสก๊อยซ้อนท้าย ทยอยมารวมตัวกันรอบๆ สนามหลวง บริเวณ 3 จุดใหญ่ คือ หัวมุมติดสะพานปิ่นเกล้า ตรงข้ามมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และหัวมุมด้านวัดพระแก้ว

แต่ละจุดจะมีเด็กสก๊อยในชุดคล้ายๆ กัน สวมกางเกงยีนขาสั้นบ้างกางเกงขาสั้นลายดอก เสื้อรัดรูปแขนกุดสีสันฉูดฉาดโชว์เนินเนื้อวัยแตกสาว ทยอยออกมายืนอยู่ริมฟุตปาทกลุ่มละ 5-6 คน โดยกระจายกันอยู่เป็นแนวยาว ยิ่งเวลาผ่านไปเด็กสก๊อยต่างทยอยมาสมทบมากขึ้น ซึ่งช่วงที่มีเด็กสาวมากที่สุดตั้งแต่เที่ยงคืนไปจนถึงตีสอง จำนวนถึง 50-60 คน

ส่วนเด็กแว้นเองยังคงวนเวียนอยู่บริเวณใกล้เคียง บ้างรวมตัวกันอยู่ฝั่งตรงข้ามสนามหลวงด้านมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หากใครเคยผ่านไปจะสังเกตเห็นรถจักรยานยนต์แต่งซิ่งจอดเรียงรายอยู่หลายสิบคัน เพื่อคอยเฝ้าดูแลเด็กสาวของพวกตน นานๆ ทีจะเห็นภาพรถจักรยานยนต์กว่า 20-30 คัน แตกฮือออกมาจากสองฝั่งถนนรอบสนามหลวง หมายถึงคนดูต้นทางให้สัญญาณแล้วว่ามีตำรวจสายตรวจขับผ่านมา

"ฟ้า" เด็กสาววัยเพียง 16 ปี เป็นหนึ่งในสก๊อยที่มาขายบริการ เธอเริ่มอาชีพนี้ครั้งแรกเมื่อ 7 เดือนก่อน โดยการชักชวนของเพื่อนๆ ในกลุ่มเด็กแว้น ฟ้าลังเลอยู่นานพอสมควร เพราะทำใจไม่ได้ที่จะต้องมาขายบริการทางเพศ แต่เนื่องจากไม่มีเงินจับจ่ายใช้สอยและเที่ยวเตร่เหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ประกอบกับทนคำรบเร้าของแฟนหนุ่มไม่ไหว จึงจำใจมาขายบริการที่ท้องสนามหลวงตามอย่างเพื่อนๆ ในกลุ่ม

ฟ้าเข้ามาอยู่ในแก๊งรถจักรยานยนต์ซิ่งครั้งแรกเมื่ออายุเพียง 13 ปี เหมือนเช่นเพื่อนสาวในละแวกบ้าน ทำให้รู้จักเพื่อนผู้ชายหลายคน ตั้งแต่นั้นมาเธอกับเพื่อนๆ ก็กินเที่ยวด้วยกันมาตลอด เมื่อเพื่อนในกลุ่มเริ่มจับคู่เป็นแฟนกัน ทุกครั้งที่ฟ้าเห็นเพื่อนนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์สวยๆ แล้วเกิดความอิจฉา อยากมีอยากเป็นแบบนั้นบ้าง สุดท้ายก็มีแฟนหนุ่มเป็นตัวเป็นตน

นับตั้งแต่เข้ามาอยู่ในแวดวงเด็กซิ่ง ฟ้าซึมซับวัฒนธรรมในกลุ่มอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าเรื่องเซ็กส์ ยาเสพติด และการพนันแข่งรถ โดยมีเด็กสาวเป็นเดิมพัน ฟ้าบอกว่าเรื่องที่คนภายนอกมองเป็นเรื่องใหญ่ แต่ในกลุ่มเด็กซิ่งแล้วถือเป็นเรื่องธรรมดา ใครที่กล้าเอาตัวเป็นเดิมพันจะได้รับการยอมรับคนในกลุ่มชนิดว่า เจ๋งที่สุดของแก๊งเลยทีเดียว

"การเปลี่ยนคู่นอน แลกคู่นอนในกลุ่มเด็กแว้นถือเป็นเรื่องธรรมดามาก โดยเฉพาะตอนเมายา เงินที่พ่อแม่ให้ไม่พอใช้ ไหนจะเที่ยว ไหนจะแต่งรถ สุดท้ายทนแรงคะยั้นคะยอจากแฟนไม่ไหวก็เลยมาขายบริการที่สนามหลวง ลูกค้าส่วนใหญ่ขับรถดีๆ ทั้งนั้น ส่วนใหญ่เป็นหนุ่มออฟฟิศ คนแก่ก็มีบ้าง บางคนก็ต่อราคาบางคนก็ไปเลย" ฟ้าบอกกับ "คม ชัด ลึก"

เด็กสาวจะเริ่มทำงานตั้งแต่ 2 ทุ่ม ไปจนถึงตีสาม สนนราคาค่าตัว 600-1,000 บาท ไม่แน่นอนตายตัวขึ้นอยู่กับช่วงเวลาและลูกค้า หากช่วงหัวค่ำยังไม่ค่อยมีเด็กสก๊อยมากนักราคาอาจจะอยู่ที่ 800 บาท หากต้องการให้ทำออรัลเซ็กส์ด้วยต้องจ่ายเพิ่ม 200 บาท พอเริ่มดึกขึ้นมานิดเด็กเริ่มทยอยกันมาราคาก็อาจลดลงมาที่ 600 บาท หรือถ้าวันไหนไม่มีลูกค้าเลยก็อาจจะเหลือแค่ 400 บาทเท่านั้น ในจำนวนนี้ไม่รวมค่าโรงแรมหลังกระทรวงมหาดไทยหรือฝั่งธน อีก 200-450 บาท หากไม่ใช่โรงแรมที่ระบุไว้ก็จะไม่ให้บริการ

คืนหนึ่งๆ ฟ้าจะรับแขกแค่ 3 คน มีรายได้ตกคืนละ 2,000 บาท หากทำทุกวันเดือนหนึ่งจะมีรายได้ถึง 6 หมื่นบาท แต่ฟ้าไม่ได้ทำทุกวัน จะเลือกเฉพาะคืนที่มีลูกค้าเยอะๆ ช่วงวันศุกร์-เสาร์ หรือช่วงวันที่ 15 และ 30 ของเดือน ซึ่งเป็นวันเงินเดือนออก หรือหากเงินหมดก่อนถึงจะกลับมาทำอีก สำหรับเงินที่ได้ก็จะหมดไปกับค่าเช่าบ้าน ค่ากิน ค่าเที่ยว และที่สำคัญคือค่าแต่งรถของแฟนหนุ่ม

ส่วนลูกค้าที่มาใช้บริการส่วนใหญ่นั้น จากการเฝ้าสังเกตจะพบว่าเป็นกลุ่มคนมีฐานะ ขับรถหรูราคาแพงมาจอดเจรจากับเด็กสาวเหล่านี้ไม่ขาดสาย ตั้งแต่หัวค่ำไปจนเกือบรุ่งสาง เมื่อตกลงกันได้แล้วเขาและเธอก็จะขับรถตรงไปยังโรงแรม โดยมีแฟนหนุ่มขี่รถจักรยานยนต์ตามไปรอรับกลับมาขายบริการต่อ ขณะเดียวกันก็คอยดูแลความปลอดภัยหรือป้องกันการถูกเบี้ยวค่าตัว

การเข้ามาของเด็กสก๊อยรอบสนามหลวงส่งผลให้หญิงขายบริการที่มีอายุมากแล้ว ที่ยึดสถานที่แห่งนี้เป็นหัวหาดทำกินมานานต้องขยับขยายไปทำมาหากินอยู่หลังคลองหลอดแทน เนื่องจากสู้ความสวยและสดไม่ไหว ขณะเดียวกันก็จำต้องลดค่าตัวเหลือเพียง 300 บาท ซึ่ง "ใหญ่" เป็นหนึ่งในนั้น เธอถูกเด็กสก๊อยเรียกชนิดค่อนขอดว่า "ป้าใหญ่" แม้จะมีวัยแค่ 38 ปีเท่านั้น

"ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ไม่มีลูกค้ามาเรียกใช้บริการเลย เพราะเด็กรุ่นใหม่มาแย่งที่หมด ฉันและเพื่อนๆ เคยไปยืนอยู่ที่สนามหลวงก็ถูกกลุ่มเด็กแว้นไล่ทำร้ายหรือไม่ก็แกล้งแจ้งตำรวจมาจับ หนักๆ เข้าหญิงสาวที่อายุมากกว่า 30 ปีอย่างฉันก็จำต้องถอยออกมาจากสนามหลวง" ใหญ่กล่าว

พ.ต.ต.สวัสดิ์ ภักดี สว.งานสืบสวนตรวจตราและควบคุม (ชป.2) ศูนย์สวัสดิภาพเด็กเยาวชนและสตรี ยอมรับว่า มีเด็กสาววัย 14-17 ปี มายืนขายบริการทางเพศที่สนามหลวงจริง โดยมาจากพื้นที่เสื่อมโทรมหลายแห่งทั้งย่านฝั่งธน และพระประแดง จากข้อมูลที่มีเด็กสก๊อยเหล่านี้จะมีทั้งเต็มใจและไม่เต็มใจ ที่เลวร้ายที่สุดคือบางคนทำแลกกับยาเสพติด เงินที่ได้มาก็เอาไปใช้จ่ายร่วมกับแฟน บางรายก็จ้างมาเพื่อรับส่ง เรื่องนี้เป็นปัญหาเร่งด่วนที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งแก้ไข เพราะเข้าขั้นวิกฤติแล้ว ลำพังตำรวจคงแก้ไม่ได้ เนื่องจากจับกุมไม่ไหว เพราะรายได้ที่เด็กสาวได้รับมากกว่าค่าปรับเยอะ

"ถึงเวลาที่เราต้องปรับการทำงาน การตามจับกุมคงเสียเวลาเปล่า ค่าปรับไม่เกิน 1,000 บาท แต่ขายบริการวันหนึ่งๆ ได้มากกว่า 2,000 บาท เดือนหนึ่งรับไปหลายหมื่น" พ.ต.ต.สวัสดิ์กล่าว

ด้าน นายมนตรี สินทวิชัย หรือครูยุ่น เลขามูลนิธิคุ้มครองเด็ก กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่า สังคมไทยอยู่ในขั้นวิกฤติ ปัจจัยเรื่องเงินมีผลมากกว่าจิตใจ ทำให้หนุ่มๆ ยอมให้แฟนตัวเองถูกละเมิดเพื่อแลกกับเงิน ซึ่งไม่เคยมียุคไหนเลวร้ายเท่านี้อีกแล้ว วัยรุ่นไม่รู้สึกหวงแหนคนรัก เป็นเรื่องน่ากลัวมาก กลับกันฝ่ายหญิง ก็ไม่แคร์ที่ตัวเองตกเป็นเหยื่อ เชื่อว่าครั้งแรกเด็กสาวอาจจะกลัวและไม่กล้า แต่พอตัดสินใจทำแล้วเห็นว่าเงินได้มาง่ายก็เลยกลายเป็นความเคยชิน

พร้อมกันนี้ นายมนตรีได้เสนอแนวทางแก้ไข 3 ด้าน คือ ครอบครัวอย่าให้ลูกอยู่ไกลตัว ดูแลและให้ความอบอุ่นเพียงพอ เรื่องต่อมาคือระบบการศึกษา เพราะปัจจุบันการศึกษาของไทยอยู่ในขั้นล้มเหลว อย่าให้เด็กหลงใหลกับบริโภคนิยม เห็นเงินเป็นพระเจ้า โดยส่วนตัวมั่นใจว่าเด็กกลุ่มนี้ไม่ใช่เด็กเร่ร่อน มีครอบครัวที่อยู่ชัดเจน เพราะสามารถซื้อรถจักรยานยนต์ได้ สุดท้ายคือนโยบายพัฒนาประเทศ คนกำหนดนโยบายต้องการอะไรมากกว่ากัน ระหว่างความมั่งคั่งหรือความอบอุ่นในสถาบันครอบครัวและชุมชน

ขณะที่นางญาณี เลิศไกล ผอ.สำนักป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้าหญิงและเด็ก กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวว่า ปัญหานี้มีมานานแล้ว พม.ได้ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ตำรวจพื้นที่และบ้านเกร็ดตระการอย่างต่อเนื่อง เรามีหน้าที่คุ้มครองเด็ก ภายหลังจากตำรวจควบคุมตัวเด็กที่ขายบริการแล้ว

"ปกติที่สนามหลวงจะมีหญิงมาขายบริการอยู่นานแล้วเราทราบดี ก็พยายามเอาไฟไปติดให้สว่าง หวังจะปรามคนกลุ่มนี้ แต่บังเอิญว่าช่วงนี้มีกลุ่มเด็กแว้นและเด็กสก๊อยเข้าไปมากกว่าแต่ก่อน เลยเป็นอย่างที่เห็น ทุกวันมีการส่งตัวเด็กเข้าไปบ้านเกร็ดตระการ และเรียกผู้ปกครองมารับรู้รับทราบอยู่แล้ว" นางญาณีกล่าว

นอกจากนี้ "คม ชัด ลึก" ยังออกสำรวจตามแหล่งอันเป็นที่รู้จักของคนเมืองว่ามีการขายบริการอีกหลายแห่ง เช่น หลังคลองหลอด แต่เดิมมีเพียงสาวประเภทสองขายบริการให้แก่แรงงานรายได้น้อย แต่ปัจจุบันมีหญิงสาวอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป ที่ถูกแย่งพื้นที่ทำกินย่านสนามหลวงมาจับจองพื้นที่อยู่บริเวณนี้ ราคาค่าบริการอยู่ที่ 300 บาท ส่วนสาวประเภทสองจะอยู่ที่ 150-200 บาท โดยจะไปจบลงที่โรงแรมละแวกนั้น

บริเวณหน้ากระทรวงกลาโหมไปจนถึงหลังกระทรวงจะมีกลุ่มเกย์กว่า 50 คน วัยตั้งแต่ 15-30 ปี รูปร่างกำยำล่ำสันมายืนรอขายบริการให้แก่สาวแก่แม่ม่ายและบรรดาชายรักชายทั้งหลาย สนนราคาค่อนข้างแพง 500-1,000 บาท โดยใช้โรงแรมหน้ากรุงเทพมหานครเป็นที่ให้บริการ

ขณะที่ หาบส้มตำหน้าหน้าสถานีรถไฟหัวลำโพงยังคงคึกคักและคราคร่ำไปด้วยแม่ค้าหน้าตาจิ้มลิ้ม พอกแป้งหน้าเตอะ ทาปากสีสด ในชุดเสื้อผ้ารัดรูปไฉไลกว่าแม่ค้าส้มตำทั่วไป มีอยู่กว่า 30 หาบ เป็นที่รู้กันดีในหมู่นักเที่ยวว่าพวกเธอมีอาชีพแฝงอะไร ราคาค่าส้มตำแต่ละครกแพงหูฉี่ 750-850 บาท แต่สำหรับบริการอย่างว่าแล้วก็ยังนับว่าถูกกว่าอีกหลายแห่ง หากหาบไหนว่างก็จะมีแม่ค้ารายใหม่สลับสับเปลี่ยนเข้าไปนั่งหน้าแป้นแล้นแทนที่ทันที

ถัดมาบริเวณสวนลุมพินีแหล่งที่นักท่องราตรีรู้จักมักคุ้นกันดี ด้วยมีเด็กสาวรุ่นๆ ไปจนถึงสาวสะพรั่งมากหน้าหลายตามายืนขายบริการไม่ซ้ำหน้ากว่า 100 คน ตั้งแต่ด้านถนนพระราม 4 ไปจนถึงหลังสวน ราคา 600-1,000 บาท ที่นี่มีลูกค้าตั้งแต่ระดับกลางไปจนถึงคนมีฐานะมาใช้บริการ ปัจจุบันหญิงสาวเหล่านี้ส่วนใหญ่จะมีเอเย่นต์คอยดูแล โดยเรียกเก็บค่าหัวคิวจากพวกเธอหลังจากขับรถไปรับที่โรงแรมในซอยสวนพลู

ทว่าที่ไหนก็ดูเหมือนจะสู้หลังโรงแรมสยามเดิม ถนนรอคัลโรด ไม่ได้ ด้วยมีหญิงสาวหน้าตาสะสวยผิวพรรณดีมายืนรอเรียงรายอยู่แน่นขนัด หากขับรถผ่านพานให้คิดว่ามีการปิดถนนชุมนุมประท้วงกันเลยทีเดียว หญิงสาวที่นี่ส่วนใหญ่มีงานประจำอยู่ตามสถานอาบ อบ นวด หรือคาราโอเกะจากทุกสารทิศใน กทม.เมื่อเลิกงานประจำก็จะทยอยมาอยู่กันที่นี่ สนนราคามีหลากหลายตามรูปร่างหน้าตา ตั้งแต่ 1,500 ไปจนถึง 2,000 บาท ยังไม่รวมค่าโรงแรมอีก 400-500 บาท

เมื่อพูดถึงแหล่งขายบริการจะไม่พูดถึงตำนานอย่างวงเวียน 22 ก็กระไรอยู่ ด้วยเป็นที่รู้จักและแหล่งทำกินของหญิงสาวหลากหลายวัยมาอย่างยาวนาน ส่วนใหญ่จะเป็นหญิงสาวสูงวัยเมื่อเทียบกับ 3 แห่งข้างต้น "ป้าใหญ่ คลองหลอด" อาจจะดูสาวสะพรั่งขึ้นมาถนัดตาเมื่อมาที่นี่ ด้วยหญิงสาวส่วนใหญ่วัยกว่า 40 ปีแทบทั้งสิ้น ยืนหลบอยู่ตามซอกตึก ราคา 200-300 บาท ส่วนสาวรุ่นขึ้นมาหน่อยก็จะยืนอยู่หน้าโรงแรมแสงฟ้า ราคาค่าบริการจะอยู่ที่ 600 บาท บวกค่าโรงแรมอีก 200 บาท สุดท้ายคือที่วงเวียนใหญ่ ซึ่งเริ่มเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น เมื่อมีเด็กวัยรุ่นสาวๆ มายืนขายบริการอยู่ไม่น้อย สนนราคาอยู่ที่ 600 บาท ไม่นับรวมค่าโรงแรม


โดย: jenifaae วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:22:08:50 น.  

 
*ไปรษณีย์เปิดบริการรับซ่อมโทรมือถือ

ประหยัดเวลายุคน้ำมันแพง นำร่อง 49 ปณ. ต่างจังหวัดก่อนปูพรมทั่วประเทศ

กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : นางปริษา ปานะนนท์ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) กล่าวว่า ปณท ร่วมมือกับบริษัท ไออีซี อีซี่ ฟิกซ์ จำกัด เปิดจุดให้บริการรับ-ส่งซ่อมโทรศัพท์มือถือ เพื่อเพิ่มความสะดวกสำหรับผู้ใช้มือถือยี่ห้อโนเกีย แอลจี หัวเหว่ย และไอ - โมบาย ในเขตภูมิภาคต่างๆ สามารถส่งซ่อมได้ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ 49 แห่ง

*ทั้งนี้ ผู้ใช้บริการสามารถนำโทรศัพท์ที่ต้องการซ่อม มาที่ไปรษณีย์ใกล้บ้าน แล้วกรอกแบบฟอร์มการใช้บริการ พร้อมกับให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบสภาพเครื่องซ่อม และกลับบ้านมารอรับโทรศัพท์จากศูนย์ ไออีซี ภายใน 1-2 วัน เพื่อยืนยันความเป็นเจ้าของ และอาการของโทรศัพท์ที่ส่งซ่อม โดยผู้ไม่เสียค่าธรรมเนียมในการใช้บริการรับ-ส่งซ่อมโทรศัพท์มือถือที่ไปรษณีย์แต่อย่างใด

หลังจากเครื่องซ่อมเสร็จแล้ว จะมีเจ้าหน้าที่จากไออีซี โทรแจ้งให้มารับเครื่องที่ซ่อมเสร็จแล้ว ณ ที่ทำการไปรษณีย์ หากไม่สะดวกก็สามารถระบุความต้องการ ให้ส่งไปยังที่อยู่ตามแบบฟอร์มที่ผู้ใช้บริการกรอกไว้ได้ โดยมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

นางปริษา กล่าวว่า เบื้องต้นนำร่องจากศูนย์ไปรษณีย์ (ปณ.) จำนวน 49 แห่ง ที่จะเป็นจุดให้บริการสะดวกซ่อมในต่างจังหวัด โดยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ คอลล์เซ็นเตอร์ 1545

นอกจากนี้ ยังเปิดจุดให้บริการตาม ปณ. ในแหล่งท่องเที่ยว ได้แก่ ปณ.พัทยา - แกลง (ระยอง) และเกาะช้าง (ตราด)

รายงานข่าว กล่าวว่า บริษัท ไออีซี อีซี่ฟิกซ์ จำกัด เป็นธุรกิจประเภทบริการ ในเรื่องของการซ่อมโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยได้แยกตัวมาจากหน่วยงานบริการหลังการขาย หรือฝ่าย Easy Fix ของ บมจ. อินเตอร์แนชั่นเนิล เอนจีเนียริง เมื่อปี 2549 โดยมีไออีซี ถือหุ้น 100%




*กิจกรรมในช่วงนี้ครับ

กิจกรรมที่1
เชิญเพื่อนๆที่เชื่อมั่นในการติดต่อสื่อสารกับเพื่อนมนุษย์อย่างสันติ โดยปราศจากความแตกต่างทางด้านร่างกาย ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนภาษามือกับสมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย
(สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินรัชดา ประตู1) ในทุกวันศุกร์ เวลา 17.00-20.00น.
เริ่มเรียนวันแรก ในวันศุกร์ที่13มิ.ย.51 สามารถโทรสำรองที่นั่ง, ปรึกษาการเดินทาง และแจ้งเวลาในการมาถึง (อาจมีการปรับเวลาในอนาคตเพื่อความเหมาะสม)
ได้ที่หมายเลข
0-2690-7733-4
08-3897-1691
08-9022-7597

กิจกรรมที่2

จากเหตุการณ์ “ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย” ไม่รับบริจาคเลือดของชายรักชายและผู้หญิงข้ามเพศ ซึ่งถือว่าเป็นการเลือกปฎิบัตเพราะเหตุแห่งความแตกต่างทางเพศ ประเด็นดังกล่าวทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้อย่างกว้างขวาง ทั้งกลุ่มนักวิชาการ นักเคลื่อนไหวทางสังคมและผู้ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน และเนื่องจาก วันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน 2551 เป็น “วันผู้บริจาคโลหิตโลก 251”

เครือข่ายความหลากหลายทางเพศ และ เพื่อนภาคีที่ร่วมกันทำงาน ขอเชิญชวนผู้ที่ศัทราในความรักของมนุษย์โดยปราศจากการกีดกันเรื่องเพศ, ผู้ที่เชื่อในการรณรงค์การป้องกันHIV/AIDSว่าขึ้นอยู่กับพฤติกรรมเสี่ยงไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง และ ผู้ที่พร้อมเสียสละเพื่อคนส่วนร่วม “ใส่เสื้อสีดำ” มาพบกันระหว่างเวลา 09.30-10.30 น. ณ สวนลุมพินี(จุดนัดพบ สอบถามจากโทรศัพท์ซึ่งให้ไว้ในท้าย e-mail ) แล้วเคลื่อนขบวนไปยังศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน “วันผู้บริจาคโลหิตโลก 2551”

เพื่อร่วมสนับสนุนกิจกรรมมหากุศล “วันผู้บริจาคโลหิตโลก 2551” และ รณรงค์อย่างสันติในการยกเลิกกฎการไม่รับบริจาคเลือดของกลุ่มชายรักชายและผู้หญิงข้ามเพศ

ขอเชิญเพื่อนๆ ชาย-หญิงรักต่างเพศ และ หญิงรักหญิง ในขบวนที่พักผ่อนเพียงพอ ทานอาหารเช้า และไม่ได้ดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอร์ ร่วมบริจาคโลหิต (ผู้ร่วมขบวนที่มีกรุ๊ปเลือดพิเศษ กรุณาแจ้งด้วยนะครับ) ส่วนเพื่อนๆชายรักชายและผู้หญิงข้ามเพศ นอกจากจะเข้าร่วมกิจกรรมอื่นๆในงานแล้วยังช่วยแจกสื่อเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องการติดต่อของเชื้อHIV ,สถานพยาบาลที่สามารถตรวจหาเชื้อHIV และ การเตรียมตัวทางเพศสัมพันธ์ก่อนการบริจาคโลหิต เพื่อเลือดที่มีคุณภาพในการช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์

(เบอร์โทรศัพท์เพื่อสอบถามรายละเอียด 081-3550696, 086-5379769, 086-3599086, 086-9830945)


โดย: jenifaae วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:22:09:12 น.  

 
*คณะอนุกรรมการวิทยุ-โทรทัศน์จี้สมัครเรียกประชุม

คณะอนุกรรมการวิทยุ-โทรทัศน์ ร่อนจม. ถึง สน.นายกฯ จึ้เรียกประชุม เหตุ ก.ม.ออก 3 เดือน ยังเฉย ไม่ยอมให้ทำงาน จงใจสร้างหลุมดำอำนาจให้ “กรมประชาฯ” คุมวิทยุชุมชน ใช้เป็นเครื่องมือต่อสู้ทางการเมือง-ปลุกปั่นเกลียดชัง ไล่จับแต่คนอ่อนแอ

กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : (8มิ.ย.) นายไพโรจน์ พลเพชร คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน ในฐานะคณะอนุกรรมการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ กล่าวว่า เมื่อ พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 ซึ่งมีผลบังคับใช้วันที่ 5 มี.ค ที่ผ่านมา โดยให้ยกเลิก พ.ร.บ.วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ พ.ศ.2498 ทำให้เกิดช่องว่างในการกำกับดูแลกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ เพราะทั้งกรมประชาสัมพันธ์ และ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กทช.) ต่างไม่แน่ใจในอำนาจหน้าที่ จึงไร้หน่วยงาน ดูแลความเหมาะสมในสื่อโทรทัศน์ ทำให้มีการเผยแพร่ภาพความรุนแรง ความไม่เหมาะสมในรูปแบบต่างๆ

“ด้านสื่อวิทยุ ก็มีปัญหาและความขัดแย้งอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะวิทยุชุมชน เพราะขณะที่กรมประชาสัมพันธ์ไม่ดูแลโทรทัศน์ บอกว่าไม่มีอำนาจเนื่องจากมีกฎหมายใหม่แล้ว แต่กลับใช้อำนาจกับสื่อวิทยุชุมชน มีกรณีสั่งปิด ทั้งๆที่หากเห็นว่าไม่มีหน้าที่ดูแลโทรทัศน์ ก็ไม่ควรมีอำนาจกำกับวิทยุชุมชนเช่นกัน การแก้ปัญหาที่เกิด ทำได้โดยเรียกประชุมคณะอนุกรรมการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ ซึ่งบัญญัติไว้ในมาตรา 79 ของ พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงฯ”นายไพโรจน์ กล่าว

นายไพโรจน์ กล่าวอีกว่า คณะอนุกรรมการชุดนี้ฯ มีตัวแทนจากหลายส่วน อาทิ สภาองค์การพัฒนาเด็กและเยาวชน สมาคมสภาคนพิการฯ สหพันธ์องค์กรผู้บริโภค สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ทุกหน่วยงานพร้อมทำงานแก้ปัญหา แต่ติดที่ว่าตั้งแต่กฎหมายออกเกินกว่า 3 เดือนแล้ว ยังไม่เคยเรียกประชุมแม้แต่ครั้งเดียว ไม่ทราบว่าจะปล่อยให้ปัญหาบานปลายไปถึงเมื่อไร คณะอนุกรรมการฯ จึงส่งหนังสือถึงปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานอนุกรรมการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ ให้เรียกประชุมโดยด่วน

“ตอนนี้มันเหมือนมีหลุมดำทางอำนาจ วิทยุชุมชนถูกใช้หากำไรทางธุรกิจ และฝ่ายที่มีอำนาจก็ ใช้วิทยุชุมชนเป็นเครื่องมือต่อสู้ทางการเมือง ใช้การสื่อสารทำให้เกิดความเกลียดชัง ต่อสู้ จนเลยมาตรฐานทางจริยธรรม ยิ่งในภาวะที่บ้านเมืองเกิดการเผชิญหน้าเช่นนี้ มันอันตรายมาก ทำไมภาครัฐ จึงปล่อยให้ทุกอย่างคาราคาซัง ชาวบ้านผู้ที่อ่อนแอถูกจัดการ ถูกยึดคลื่น ซึ่งอาจทำให้เข้าใจได้ว่า อยากให้มันคลุมเครือ จะได้ไม่มีใครมาตรวจสอบ”นายไพโรจน์ กล่าว

ดร.สุรัตน์ เมธีกุล ประธานสภาสถาบันนักวิชาการสื่อสารมวลชน กล่าวว่า เคเบิลทีวีก็เป็นปัญหาต่อเนื่อง เพราะไร้กฎหมายมาดูแล ตรวจสอบ ปัจจุบันมีเคเบิลท้องถิ่นมากหลายสมาคม การให้คณะอนุกรรมการฯทำงานทันที มีความจำเป็นมาก เพราะแม้มีการ ร่าง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ ฉบับใหม่ เพื่อให้มีองค์กรอิสระมาดูแลสื่อทั้งหมด แต่ขณะนี้ พ.ร.บ. ดังกล่าว ยังอยู่ในคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งได้ทราบว่าหลักการการได้มาขององค์กรอิสระนั้น ถูกเปลี่ยนแปลงไปมาก อาจไม่อิสระตามเจตนารมณ์ ดังนั้นเรื่องนี้เป็นปัญหาระยะยาวแน่นอน

รายงานข่าวแจ้งว่า วันที่ 11 มิ.ย. นี้ เวลา 13.00 น. “วิพากษ์ (ร่าง) พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯลฯ กับผลกระทบต่อประชาชน” โดยเฉพาะประเด็นการได้มาของสมาชิกองค์กรอิสระที่จะมาดูแลสื่อทั้งหมด มีผู้เข้าร่วมเสวนา อาทิ ดร.อนุภาพ ถิรลาภ ผอ.สถาบันการบริหาร และการจัดการโทรคมนาคมไทย ศ.เจริญ คัมภีรภาพ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร ดร.จิรพร วิทยศักดิ์พันธ์ นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน และอดีตกรรมาธิการวิสามัญพิจารณากฎหมาย องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ ปี 2543




*"ค่ายรวมพล... เยาวชนทำสื่อฯ" เครือข่ายสื่อของเยาวชนไทย

โดย : โกวิท มีภาทัศน์ เมื่อ : 27/05/2008 05:48 PM

เป็นที่ทราบกันดีว่า ในปัจจุบัน สื่อฯ มีอิทธิพลต่อการกำหนดทิศทางของสังคมเป็นอย่างมาก เพราะ "สื่อฯ" เป็นตัวแปรที่สำคัญในการสร้างความเชื่อ สร้างวาทกรรมต่อผู้คนในสังคม โดยผ่านกระบวนการรับรู้ การผลิตซ้ำ บางครั้ง ถึงขั้นเป็นตัวชี้นำการตัดสินความถูก ความผิด ความดี ความเลว ค่านิยม และทัศนคติ ของผู้คนในสังคมเลยทีเดียว

เรามักจะได้ยินคำกล่าวที่ว่า "ผู้มีสื่อคือผู้มีอำนาจ" นั่นหมายความว่า นอกจากอำนาจของเงินตราแล้วสิ่งที่ผู้คนอยากครอบครองแล้วรองลงมาก็คือ อำนาจในทางสื่อ "สื่อ" นั่นเอง ดังนั้น ผู้มีอิทธิพลจึงอยากครอบงำสื่อ หรือนำมาเป็นเครื่องมือ เพื่อกำหนดการรับรู้ข้อมูล ข่าวสาร ของผู้คนในสังคมให้รับรู้ไปในทิศทางที่ตนต้องการเช่นกัน ดังนั้นการรู้เท่าทันสื่อจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน

ค่ายเยาวชนทำสื่อ "รวมพลเยาวชนทำสื่อ" จึงเกิดขึ้น โดยทีมงานไทยเอ็นจีโอ มูลนิธิกองทุนไทย ภายใต้การสนับสนุนของแผนงานสื่อสร้างสุขภาวะเยาวชน (สสย.) ณ เขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำห้วยตลาด อำเภอ เมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ในระหว่งวันที่ 13 - 14 พฤษภาคม 2551 ที่ผ่านมา โดยการนำเอากลุ่มเยาวชน 3 ชุมชนได้แก่ กลุ่มโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์นางรอง กลุ่มโรงเรียนพิมรัฐประชาสรรค์ กลุ่มเยาวชนรักษ์ป่าหนองถนน ที่เคยผ่านงานค่ายเยาวชนทำสื่อ (รักฅนอ่าน) ของทีมงานฯ ในระยะแรก เพื่อเป็นการรวมยอด ทบทวน ความรู้ความเข้าใจในการผลิตสื่อ ไม่ว่าจะเป็น การเขียนข่าว การจัดรายการวิทยุ การถ่ายภาพ และการนำเสนอข่าวสารข้อมูลที่ผลิตได้ ตลอดจนการนำมาเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายเยาวชนทำสื่อฯ ในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ อีกด้วย

นางสาวสุณัฐษา ถิ่นจะนะ เจ้าหน้าที่ฝ่ายฝึกอบรม มูลนิธิกองทุนไทย กล่าวถึงวัตถุประสงค์การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ว่า แรกเริ่มเดิมที โครงการนี้เกี่ยวข้องในเรื่องของการอ่าน เนื่องจากเด็กไทยมีอัตราการอ่านหนังสือเฉลี่ยต่อคนที่ต่ำมาก และถ้าหากทักษะการอ่านไม่มีประสิทธิภาพแล้วย่อมส่งผลในเรื่องอื่นๆ ตามมา เช่นทักษะการพูด และการเขียน นอกจากนี้การอ่านยังเป็นพื้นฐานสำคัญของการเข้าถึงสื่อ ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลความรู้ ที่หลากหลายด้วย

"ที่ผ่านมาเราจัดค่ายเยาวชนทำสื่อฯ (รักฅนอ่าน) โดยจะคัดเลือกน้องๆ เยาวชนที่มีการรวมกลุ่มทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสื่ออยู่แล้ว อย่างเช่นโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์นางรอง ก็ทำในเรื่องของเว็บไซต์ โรงเรียน กลุ่มเยาวชนรักษ์ป่าหนองถนนก็มีการจัดเสียงตามสาย เราเลยลงไปช่วยฝึกกระบวนการ และทักษะต่างๆ เพื่อเป็นการต่อยอดให้การทำกิจกรรมีศักยภาพที่สูงขึ้น เช่นสอนในเรื่องการถ่ายภาพ เทคนิคยังไง มุมกล้องมีอะไรบ้าง และก็ฝึกการเป็นนักจัดรายการวิทยุ และที่สำคัญคือการอ่าน และการวิเคราะห์ข่าวสารข้อมูลค่ะ"

สุณัฐษายังกล่าวอีกว่า การจัดกิจกรรมในครั้งนี้จึงเป็นการดึงเอาน้องๆ จาก 3 พื้นที่ ให้มารู้จักกันก่อน พอรู้จักกัน มีความสนิทสนมกันแล้วจึงเกิดการทำงานร่วมกันในเวลาต่อมา ซึ่งในค่ายนี้ได้ผลเกินความคาดหมายเพราะนอกจากเยาวชนจะรู้จักกันอย่างทั่วถึงแล้ว ยังได้มีการวางแผนการทำงานร่วมกันโดยได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ มูลนิธิ FXB (บุรีรัมย์ ประเทศไทย) คอยให้ความรู้และคอยเป็นที่ปรึกษากิจกรรมที่ได้วางแผนไว้ในพื้นที่ด้วย

กิจกรรมหลักๆ ที่นำมาเสริมทักษะให้เยาวชนส่วนใหญ่ ยังคงเป็นเรื่องทักษะของการอ่าน การวิเคราะห์ข่าว และการผลิตสื่อ โดยให้เยาวชนแบ่งกลุ่มในการผลิตสือ หนังสือพิม์ และจุลสารกลุ่มละ 1 ฉบับ ซึ่งหากใครสนใจที่จะติดตามข่าวสารความรู้จากชุมชนโดยมุมมองของเยาวชน พร้อมกับชื่นชมความสามารถ ผลงานของน้องๆ หรือให้กำลังใจกันก็อย่าลืมเข้าไปเยี่ยมชมได้ที่ //www.rsalife.com และบางส่วนใน //www.thaingo.org ซึ่งจะทยอยนำผลงานมานำเสนอให้กับผู้สนใจทั่วไป

สุริยชัย โพธิ์ประโคน หรือ "เป็ด" นักเรียนโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์นางรอง "ผมเป็นคนชอบศิลปะ และรักการถ่ายรูป จากการเข้าร่วมค่ายที่ผ่านมา ได้รับเทคนิคในการถ่ายภาพมากขึ้น ค่ายที่ผ่านมาทำให้จากที่เป็นขี้อายไม่กล้าแสดงออก เป็นคนกล้าแสดงออกขึ้น ประทับใจพี่ๆ วิทยากรทุกคน

ผมจะนำความรู้เกี่ยวสื่อไปใช้ในการรับรู้ข่าวสาร วิเคราะห์ข่าวนั้นว่ามันจริง หรือไม่มีเหตุน่าเชื่อถือมากแค่ไหน ผมคิดว่าผมจะใช้ภาพถ่ายนำเสนอชุมชนของตัวผมให้คนภายนอกรับรู้ ค่ายก่อนพี่ๆให้ผมถ่ายรูปที่สะท้อนตัวเองผมถ่ายรูปคนขึ้นต้นมะพร้าวเพราะผมชอบขึ้นต้นมะพร้าวเก็บลูกมากินในเมื่ออยากทานขนม เพราะผมไม่มีเงิน"

ทีปกร กล้าเดช หรือ "ฟิวส์" นักเรียนโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์นางรอง "ผมเองมีหน้าที่ในโรงเรียนคือช่วยดูแลเว็บไชต์ของโรงเรียนผมก็ใช้สื่ออินเตอร์เน็ตในการเผยแพร่เรื่อง โรคเอดส์ว่าผู้ติดเชื้อไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว น่ารังเกลียดไม่ได้ติดต่อกันงายนัก รวมถึงการป้องกัน เพราะผมเคยได้รวมเข้าค่ายและทำงานกับเครือข่ายของมูลนิธิ FXB มาแล้วจึงอยากนำเสนอข้อมูลด้านนี้ผ่านสื่อและอยากใช้จดหมายข่าวติดต่อสื่อสารกันภายในเครือข่ายเยาวชนทำสื่อครั้งนี้"

เด็กหญิงพิมพ์ชนก บุตตนันท์ หรือ "น้องพิมพ์" นักเรียนโรงเรียนพิมพ์รัฐประชาสรรค์ "หนูจะใช้สื่อในการเผยแพร่ความรู้เรื่องโรคเอดส์หรือใช้ตามสถานการณ์ เช่นวันสำคัญต่างๆ คือเราจะจัดการประกวดภายในโรงเรียน แต่งกลอน เขียนเรียงความ รวมถึงการจัดรายการวิทยุภายโรงเรียนของเรา"

นายพิทักษ์ นาหว้า หรือ "น้องหนึ่ง" เยาวชนรักษ์ป่าหนองถนน "กลุ่มพวกผมจะนำสื่อใช้เป็นเครื่องมือในการรณรงค์เรื่องอนุรักษ์ป่าซึ่งเป็นที่เราทำอยู่เช่น เขียนป้ายผ้าอนุรักษ์ป่า ใช้เสียงตามสายประจำหมู่บ้านในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์งานของกลุ่มร่วมถึงใช้ในการให้ความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์ป่าครับ"

นี่คือเสียงเล็กๆ จากเยาวชนที่มีความปราถนาดีต่อท้องถิ่นของตนเอง และอยากให้เยาวชนในท้องถิ่นอื่นๆ ลุกขึ้นมาทำกิจกรรมดีๆ ด้วยเช่นกัน โดยเยาวชนทั้ง 3 พื้นที่ยังได้ทำการตกลงที่จะทำจดหมายข่าวเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกัน อย่างต่อเนื่อง


โกวิท มีภาทัศน์
นักศึกษาฝึกงาน ทีมงานไทยเอ็นจีโอ
รายงาน

หมายเหตุ: โครงการค่ายเยาวชนทำสื่อฯ (รักคนอ่าน)
ได้รับการสนับสนุนจาก แผนงานสื่อสร้างสุขภาวะเยาวชน (สสย.)


โดย: jenifaae วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:22:09:34 น.  

 
*BANGKOK MUSEUM มิวเซียมกรุงเทพฯ

คอลัมน์ สยามประเทศไทย

โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ

อาคารประปาแม้นศรี อยู่ใกล้ภูเขาทอง วัดสระเกศ เป็นอาคารรุ่นเก่าที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ศิลปะสถาปัตยกรรมแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ เหมาะทำเป็นบางกอกมิวเซียม หรือ มิวเซียมกรุงเทพฯ

เรื่องมิวเซียมนี้ผู้บริหารระดับสูงของ กทม. เคย "โม้" ว่าจะให้คณะกรรมการกรุงเทพฯศึกษาเริ่มงานในปีนี้ที่ ศาลาว่าการเสาชิงช้า แต่แล้วมี "หมอผี" ฉกไปสมคบกับ ฝูงเปรตผู้ไม่ประสามิวเซียม แต่อยากได้จ้างเหมาไปทำเงียบๆ ทั้งๆ ไม่จำเป็นต้องเสียเงินและเสียเวลาทำอย่างนี้

กรุงเทพมหานคร (กทม.) ควรขอให้กรรมการ กรุงเทพฯศึกษา ทำโครงการปรับปรุงอาคารประปาแม้นศรีเป็นมิวเซียมที่บอกมา สอดคล้องกับ 5 ยุทธศาสตร์ของ กทม. ใน 2 หัวข้อดังนี้


Charming Bangkok เสริมสร้างเสน่ห์ กทม. เพื่อความสวยงาม ร่มรื่น น่าอยู่ ปลอดภัย มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม โดยจะตั้งคณะกรรมการวัฒนธรรม และภูมิทัศน์ กทม. เพื่อดูแลนโยบายโดยตรง รวมทั้งจัดทำโครงการ กทม. เมืองน่าอยู่ เพื่อรณรงค์ปลุกจิตสำนึกและประชาสัมพันธ์ด้านคุณภาพชีวิตของพลเมือง

นอกจากนี้ ยังให้จัดทำโครงการ "Green Zone ธรรมชาติสะอาด อากาศสดใส" เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ กทม. ซึ่งอยู่ในวาระกรุงเทพฯสีเขียว

Good Life Bangkok ประชาชนอยู่ดีมีความสุข มีวิถี ชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะดำเนินการตามวาระกรุงเทพฯสีเขียวเพื่อผลักดันให้ กทม.เป็นเมืองสีเขียวทั้ง 5 ด้าน คือ Green Society สังคมที่สะดวกประหยัดทันสมัย Green Living สุขภาวะสมบูรณ์ ชีวิตมั่นคง Green Generation สานฝันคนรุ่นใหม่ เรียนรู้ทันโลก Green Community ครอบครัวอบอุ่น ชุมชนผูกพัน และ Green Economy เศรษฐกิจชุมชนเมืองบนความพอเพียง

ผมเคยเข้าใจว่า กรุงเทพฯศึกษา เลิกราไปแล้วหลังผู้บริหารระดับสูงทำ PR ผ่านสื่อต่างๆ ได้หน้าทุกคนอย่างเสมอภาค แต่เรื่องจริงยังไม่ได้ล้มเลิก ปัญหาเกิดขึ้นจาก ฝ่ายเลขาคณะกรรมการ ซึ่งเป็นข้าราชการประจำสำนักวัฒนธรรมฯ ของ กทม.มีปัญหา เพราะ "นาย" ไม่เหลียวแล เลยหมกเรื่องไม่บอกใคร เลยปล่อยให้เฉาไปเฉยๆ

นี่ไง สมตามคำกลอนเก่าบอกว่า อันเพชรดีมีค่าราคายิ่ง ในมือลิงจะรู้ค่าราคาหรือ

ปัญหาว่า "ลิง" เป็นพวกไหน? นายหรือบ่าว?

หน้า 20





*สบท.สัญจร12จังหวัด เปิดเวทีฟังความเดือดร้อนผู้ใช้บริการโทรคม

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 21 พฤษภาคม 2551 10:52 น.

สบท.เปิดเวทีผู้บริโภคโทรคมนาคมสัญจร 12 จังหวัด ครบทุกภาครับฟังความเดือดร้อนผู้ใช้บริการโทรคมนาคม เผยเตรียมปรับปรุงระบบคอลเซ็นเตอร์ 1200 ใหม่ให้สามารถฝากข้อร้องเรียนและติดตามผลได้ ระบุเอไอเอส กสท รับปากเข้าร่วมเวทีผู้บริโภคครบทุกภาค

นายแพทย์ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศ์ศา ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม หรือ สบท. เปิดเผยว่า สบท. จะจัดเวทีสภาผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม จำนวน 12 จังหวัด เพื่อสร้างเครือข่ายผู้บริโภค และประชาสัมพันธ์ สทบ.ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น โดยจะเริ่มเปิดเวทีผู้บริโภคในวันที่ 24 พ.ค. 2551 ที่ภาคตะวันตกในจังหวัดกาญจนบุรี และจบที่ภาคกลางและภาคตะวันออกในจังหวัดสระบุรี ในวันที่ 15ก.ค.2551

“การเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นและสะท้อนปัญหาผู้บริโภคเกี่ยวกับการให้บริการโทรคมนาคม และเพื่อเป็นช่องทางการแก้ไขปัญหา ความเดือดร้อนที่เกิดจากการไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการให้บริการของผู้ประกอบการที่มีต่อผู้บริโภค เพื่อหาแนวทางในการพัฒนาหนทางของการดำเนินการที่มีความเหมาะสมและเป็นธรรมทั้งในด้านปฎิบัติและระดับนโยบาย”นายแพทย์ประวิทย์ กล่าว

นอกจากนี้สบท. ยังมีแผนพัฒนาปรับปรุงคอลเซ็นเตอร์ 1200 สำหรับรับคำร้องเรียนจากผู้บริโภค ซึ่งปัจจุบันมีขีดความสามารถเพียงรับสายตรงจากผู้บริโภค ซึ่งยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ โดยการพัฒนาคอลเซ็นเตอร์ใหม่จะเป็นการลงซอฟต์แวร์เพิ่มเติมเพื่อให้ผู้บริโภคที่ต้องการร้องเรียนสามารถฝากข้อร้องเรียนแก่สถาบัน สามารถติดตามผลการร้องเรียนได้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ การปรับปรุงคอลเซ็นเตอร์ 1200 เป็นอีกวิธีหนึ่งเพื่อเพิ่มช่องทางการร้องเรียนให้กับผู้บริโภคให้ทั่วถึงในพื้นที่ห่างไกลมากขึ้น เพราะปัจจุบันการเข้าถึงสบท. นั้นยังอยู่ในส่วนกลางเป็นส่วนใหญ่ รวมทั้งการจัดเวทีสภาผู้บริโภค สัญจร ก็จะเป็นตัวช่วยรับฟังข้อร้องเรียนผู้บริโภคได้มากขึ้นด้วย

นายแพทย์ประวิทย์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา สบท. ได้รับข้อร้องเรียนเรื่องค่าบริการที่ไม่ได้เกิดจากการเปิดใช้บริการของผู้บริโภคมากที่สุด โดยการแก้ไขปัญหานั้นสามารถดำเนินการได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกรณีที่มียอดชำระค่าบริการไม่สูงมากในหลัก 100-1,000 บาท โดยผู้ประกอบการจะให้ความร่วมมือด้วยการยกหนี้ค่าบริการให้ลูกค้า แต่ในบางกรณีที่มียอดค่าบริการเกิดขึ้นเป็นหลัง 10,000-100,000 บาท นั้นต้องอาศัยการเจรจากับผู้ประกอบการเป็นระยะเวลานาน

“ล่าสุดมีกรณีผู้บริโภคร้องเรียนมาว่าลูกชายซึ่งมีปัญญาทางด้านสมองถูกล่อลวงจากบริการ 1900 1900 ให้โทรใช้งานติดต่อกันเป็นระยะเวลา 3 วัน จนมีค่าบริการเกิดขึ้นถึง 13,000 บาท ผู้บริโภคได้รองเรียนให้ตรวจสอบเนื่องจากบริการดังกล่าวเป็นบริการไม่เหมาะสมเพราะเป็นการพูดคุยในลักษณะเซ็กซ์โฟน และเมื่อ สบท. ขอให้ทีโอทีตรวจสอบพบว่าบริการดังกล่าวให้บริการในลักษณะไม่เหมาะสมจริงและได้สั่งปิดบริการพร้อมจ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้บริโภคเต็มจำนวน”นายแพทย์ประวิทย์ กล่าว

นอกจากนี้ยังมีกรณีผู้บริโภคร้องเรียน เรื่องเสาสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ตั้งอยู่ในบริเวณชุมชน เนื่องจากหวั่นว่าจะเกิดปัญหาคลื่นสัญญาณส่งผลกระทบต่อร่างกายประชาชน ไม่ว่าระบบหัวใจหรือประสาทส่วนอื่นๆ และยังหวั่นว่าจะเกิดเสาโค่นล้มทับบ้านเรือนประชาชนกรณีเกิดพายุฝน โดย สบท. จะมีการหารือร่วมกับผู้ประกอบการเพื่อดำเนินการขอความร่วมมือให้ผู้ประกอบการหลีกเลี่ยงติดตั้งเสาสัญญาณห่างจากบริเวณ โรงเรียน และโรงพยาบาล

ส่วนกรณีที่สบท. มีแนวคิดที่จะเชิญผู้ประกอบการด้านโทรคมนาคมเข้าร่วมรับฟังข้อร้องเรียนผู้บริโภคบนเวทีสภาผู้บริโภคโทรคมนาคมนั้น ขณะนี้บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด(มหาชน) หรือเอไอเอส และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด(มหาชน) ได้ตอบรับเข้าร่วมรับฟังความคิดเห็นในทุกเวที ส่วนผู้ประกอบการรายอื่นๆได้ส่งหนังสือไปแล้วแต่ยังไม่ได้รับการตอบกลับแต่อย่างใด

Company Related Links :
สบท.


โดย: jenifaae วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:22:09:56 น.  

 
*กลุ่มสหภาพฯ ตะวันออก เรียกร้องสิทธิ์ให้กับแกนนำสหภาพ 'คนสร้างฝันฯ' ที่ถูกเลิกจ้าง

กลุ่มสหภาพแรงงานภาคตะวันออกได้ออกแถลงการณ์แสดงความเป็นห่วงในกรณีที่มีการเลิกจ้างลูกจ้างของบริษัทมารูยาซึ อินดัสตรีส์ (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งเป็นผู้ก่อการและสมาชิกของสหภาพแรงงานคนสร้างฝัน ประเทศไทย จำนวน 3 คน เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2551 เป็นต้นมา โดยบริษัทมารูยาซึ อินดัสตรีส์ (ไทยแลนด์) จำกัด นั้นตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด ดำเนินกิจการเกี่ยวกับผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ โดยที่มีลูกค้าหลัก เช่น โตโยต้า, ฟอร์ดและมาสด้า

ในแถลงการณ์ได้กล่าวต่อไปว่า ตลอดระยะเวลาในหลายปีที่ผ่านมาลูกจ้างได้ให้ร่วมมือกับทางบริษัทฯ ในการที่จะทำให้บริษัทฯ ได้มีผลกำไรอย่างสูงสุด ถึงแม้ว่าพนักงานต้องปฏิบัติงานที่ต้องเสี่ยงกับอุบัติเหตุในการทำงานอย่างสูงและต้องทำงานวันละไม่น้อยกว่า 12 ชั่วโมงเป็นระยะเวลาหลายปีตลอดมา พนักงานทุกคนก็ยังเต็มใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความขยันหมั่นเพียร เพื่อให้ผลผลิตเป็นไปตามเป้าหมายตามที่บริษัทฯ ต้องการ

แต่สิ่งที่พนักงานได้รับการตอบแทนคือ มีการเลือกปฏิบัติต่อพนักงานแบ่งแยกแล้วกดขี่ขูดรีด แม้กระทั่ง "ช้อนและส้อมที่ใช้รับประทานอาหารที่โรงอาหารพนักงานยังต้องนำเงินมามัดจำค่าช้อนวันละ 5 บาท" เพื่อนำช้อนมากินข้าว และยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่นายจ้างไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย จนพนักงานสุดที่จะทนได้ จึงต้องมีการรวมตัวกันเพื่อก่อตั้งสหภาพแรงงานโดยใช้ชื่อว่า สหภาพแรงงานคนสร้างฝัน ประเทศไทย และได้รับการจดทะเบียนจากนายทะเบียนจังหวัดระยองในวันที่ 14 พฤษภาคม 2551 วัตถุประสงค์ของการจัดตั้งสหภาพแรงงานนั้น เพื่อต้องการปกป้องเรียกร้องสิทธิ์อันพึงมีพึงได้ให้กับพนักงานทุกคน

ดังนั้น กลุ่มสหภาพแรงงานภาคตะวันออก ซึ่งมีสหภาพแรงงานคนสร้างฝัน ประเทศไทย เป็นสมาชิก จึงเรียนมายังบริษัทมารูยาซึ อินดัสตรีส์ (ไทยแลนด์) จำกัด ได้โปรดพิจารณาให้ความเป็นธรรมกับพนักงานและสมาชิกสหภาพแรงงานฯ ทุกคน และขอให้บริษัทฯ หาข้อยุติการละเมิดสิทธิแรงงานโดยด่วน โดยการรับผู้ก่อการสหภาพแรงงานคนสร้างฝัน ประเทศไทย กลับเข้าทำงานโดยไม่มีเงื่อนไข

จากปัญหาต่อการเลิกจ้างสมาชิกซึ่งเป็นผู้ก่อการสหภาพแรงงานฯ ที่กล่าวมาข้างต้นโดยมีผลการเลิกจ้างตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2551 แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่านายจ้างมีเจตนาที่จะละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของพนักงานในการรวมตัวกันเป็นสหภาพแรงงานฯ ซึ่งเป็นสิทธิ์ของลูกจ้างสามารถกระทำได้ ตามความมาตรา 77 และมาตรา 89 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ 2518 ซึ่งสอดคล้องกับปฏิญญาสากลว่า ด้วยสิทธิมนุษยชนที่ให้ผู้ใช้แรงงานมีสิทธิ์ในการก่อตั้งสหภาพแรงงานและเข้าร่วมเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน และอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ อนุสัญญาหลักฉบับที่ 87 และ 98 ในเรื่องสิทธิเสรีภาพในการรวมตัวและการเจรจาต่อรองร่วม การที่บริษัทฯ เลิกจ้างลูกจ้างในกรณีดังกล่าวนี้ จึงเป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ 2518 อีกทั้งยังเป็นการกระทำที่ขัดต่อปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน

นอกจากนั้นการเลิกจ้างดังกล่าวยังขัดต่อมาตรา 20,121,122 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ 2518 ซึ่งเป็นการเลิกจ้างระหว่างการเตรียมการที่จะยื่นข้อเรียกร้องของสหภาพแรงงาน และเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมตามมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 และยังเป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ ของรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2551 ในมาตรา 64 บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการรวมตัวกันเป็นสมาคม สหภาพ สหพันธ์ สหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร องค์การเอกชน องค์การพัฒนาเอกชน หรือหมู่คณะอื่นฯ

โดยในแถลงการณ์ ได้ระบุต่อไปว่า เพื่อความเป็นธรรมของลูกจ้างทั้งหมด และเพื่อประโยชน์แก่องค์กรของลูกจ้างที่จัดตั้งมาเพื่อประโยชน์ของพนักงานบริษัทมารูยาซึ อินดัสตรีส์ (ไทยแลนด์) จำกัด ทุกคนมีสิทธิ์จัดตั้งและเข้าเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานคนสร้างฝัน ประเทศไทย จึงขอเรียกร้องให้บริษัทมารูยาซึ อินดัสตรีส์ (ไทยแลนด์) จำกัด ปฏิบัติตามกกหมายดังต่อไปนี้

1. ให้บริษัทมารูยาซึ อินดัสตรีส์(ไทยแลนด์) จำกัด รับลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างในกรณีดังกล่าวทั้งหมดเข้าทำงานต่อไปในอัตราค่าจ้างและสวัสดิการที่ได้รับขณะเลิกจ้าง โดยให้ได้รับสิทธิและผลประโยชน์ตามเดิมทุกประการและให้ บริษัทมารูยาซึ อินดัสตรีส์(ไทยแลนด์) จำกัด ชดใช้ค่าจ้างทั้งหมดในระหว่างที่ถูกเลิกจ้าง โดยคิดจากฐานค่าจ้างอัตราสุดท้ายที่ได้รับขณะเลิกจ้างพร้อมดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าบาทต่อปี จนถึงวันที่รับกลับเข้าทำงาน

2. ห้ามมิให้บริษัทมารูยาซึ อินดัสตรีส์(ไทยแลนด์) จำกัด ขัดขวางการดำเนินงานของสหภาพแรงงานคนสร้างฝัน ประเทศไทย ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม

3. ห้ามมิให้บริษัทมารูยาซึ อินดัสตรีส์(ไทยแลนด์) จำกัด ขัดขวางการดำเนินการโดยการกลั่นแกล้งการลงโทษหรือเลิกจ้างลูกจ้างที่เป็นกรรมการและสมาชิกของสหภาพแรงงานฯ ด้วยเหตุผลอันไม่เป็นธรรมอีกต่อไป

4. ให้บริษัทมารูยาซึ อินดัสตรีส์(ไทยแลนด์) จำกัด จัดให้มีการเจรจาหาข้อยุติปัญหาการเลิกจ้างระหว่างผู้แทนของสหภาพแรงงานฯ และผู้แทนของบริษัทฯ เพื่อหาทางออกร่วมกันโดยเร็ว

แรงกดดันจากสภาพการทำงาน

ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวได้สัมภาษณ์ผู้ที่ถูกเลิกจ้างทั้งสามคน คือ นายกฤษ จังชัยวีระยานนท์ อดีตหัวหน้าฝ่ายวางแผนการผลิต, นายชูชาติ ศรีชัยปัน อดีตหัวหน้าฝ่ายคลังสินค้า และนายประมวล โพธิหล้า อดีตหัวหน้าฝ่ายผลิต

ทั้งนี้นายกฤษได้กล่าวว่า บริษัทได้แจ้งเหตุผลในการเลิกจ้างตนเองว่า ตั้งแต่วันที่ 10 มี.ค. จนถึงวันที่ 21 พ.ค. ตนเองได้เข้างานสาย 16 ครั้ง และขาดงานครึ่งวันโดยไม่ได้แจ้งหัวหน้า แต่เขายืนยันว่าได้แจ้งแล้ว ใบลาก็เขียน แต่พออยู่ในไลน์การผลิตใบลาจะมาช้ามาก ซึ่งบริษัทได้อ้างว่าตนเองทำผิดมาตรา 119 ข้อ 4 เรื่องที่ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับของบริษัท ทำให้บริษัทได้รับความเสียหาย

ทั้งนี้ตนเองคิดว่าอาจเป็นการเลือกปฏิบัติ เพราะจริงๆ ถ้าตรวจสอบจะพบว่าพนักงานหลายๆ คนมาสายเดือนหนึ่ง 30 วันทำงานถ้ารวมโอทีด้วยมาสายประมาณ 26 – 27 วัน ก็มี ซึ่งจริงๆ เรื่องเข้างานสายก็จะมีมาตรการหักเงินเบี้ยขยัน หรือหักเงินเดือนอยู่แล้ว โดยบริษัทอ้างว่ามีการตักเตือนด้วยวาจา เตือนด้วยลายลักษณ์อักษรหลายครั้งแล้วแต่ไม่นำพาประการใด

แต่ทั้งนี้นายกฤษกล่าวว่าตั้งแต่ตนเองทำงานมายังไม่เคยโดนใบเตือนจากทางบริษัทเลย

กรณีของนายชูชาตินั้น ทางบริษัทได้ให้เหตุผลว่านายชูชาติได้วางของปะปนกัน โดยมีการถ่ายภาพเก็บไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งชูชาติได้ให้ความเห็นว่าในตอนที่ทำความผิดนั้นทำไมไม่มีการลงโทษ แต่พอมาร่วมกันก่อตั้งสหภาพแรงงานก็เหมือนถูกลงโทษย้อนหลัง

เช่นเดียวกับนายประมวลที่โดนข้อเคลิ้มหลับในเวลาทำงาน (ตอนตีสาม) ตั้งแต่วันที่ 7 ก.พ. แล้ว และตอนที่หลับนั้นนายจ้างยังไม่ได้ให้ใบเตือน เพียงแต่ปลุกขึ้นมาเฉยๆ จากนั้น พอมีข่าวว่ามีการก่อตั้งสหภาพแรงงาน ตนเองถูกเชิญให้ขึ้นไปพูดคุย เขาก็เลยรื้อคดีเก่านี้ขึ้นมาเป็นข้ออ้างในการเลิกจ้าง ซึ่งตนเองเห็นว่าตนเองได้ยอมรับความผิดไปแล้ว แต่เหมือนกลับไปการทำโทษย้อนหลัง

ทั้งนี้ทั้งสามคนได้ให้ข้อสังเกตว่าก่อนที่จะริเริ่มตั้งสหภาพแรงงานนั้น ทางบริษัทเองเริ่มมีการจ้างแรงงานเหมาช่วงเพิ่มมากขึ้นในระยะเวลาสองสามปีที่ผ่านมา และเริ่มมีแรงกดดันต่อแรงงานประจำอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการรื้อค้นร่างกายเพื่อหาสิ่งเสพย์ติด โดยไม่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐดำเนินการร่วม สวัสดิการน้ำดื่มที่ไม่เพียงพอ การมัดจำช้อนก่อนรับประทานอาหารแต่ละมื้อ เป็นต้น

รวมถึงการให้แรงงานเซ็นหนังสือข้อตกลงให้แรงงานยอมรับ ซึ่งทางบริษัทเคยใช้เลขที่หัวประกาศเดิมแต่มีการเปลี่ยนแปลงข้อความหลายครั้ง จนทำให้แรงงานรู้สึกว่าถ้าตนเองเซ็นไปแล้วอาจจะส่งผลกระทบด้านลบแก่ตนเอง หากมีการเปลี่ยนแปลงข้อความในข้อตกลงนั้นอีก ทั้งนี้เมื่อแรงงานไม่ยอมเซ็นก็จะถูกเรียกเข้าไปทีละสิบคนเพื่อพูดคุยให้ยินยอมเซ็น

ซึ่งแรงกดดันทั้งหลายนี้ทำให้แรงงานในบริษัทเริ่มมีการรวมตัวเพื่อตั้งสหภาพในการคุ้มครองสิทธิแก่ตนเอง แต่ผู้ร่วมก่อการทั้งสามกลับถูกเลิกจ้างในที่สุด

โดยการก่อตั้งสหภาพแรงงานคนสร้างฝัน เริ่มมีการพูดคุยกันตั้งแต่วันที่ 25 เม.ย. ยื่นจดทะเบียนวันที่ 2 พ.ค. และได้ทะเบียนเมื่อวันที่ 14 พ.ค. และผู้ร่วมก่อการทั้งสามคนโดนเลิกจ้างในวันที่ 24 พ.ค.

ยื่นข้อเรียกร้องให้บริษัทรับแกนนำสหภาพเข้าทำงาน – ปรับปรุงสภาพการทำงาน

ทั้งนี้สหภาพคนสร้างฝัน ได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อบริษัท มารูยาซึ อินดัสตรีส์ (ไทยแลนด์) จำกัด ดังต่อไปนี้..

ข้อที่ 1 ขอให้บริษัทฯ ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน 2541 และพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฉบับที่ 2 พ.ศ. 2551 ดังนี้

1.1 ให้บริษัทฯ ปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทำงานให้ดีขึ้นกว่าปัจจุบัน

1.2 ให้บริษัทฯ จัดน้ำดื่มที่สะอาดให้เพียงพอ พร้อมแก้วกระดาษ

1.3 ให้บริษัทฯ จัดให้พนักงานที่ทำงานเกี่ยวกับความร้อน เวลาทำงานปกติไม่เกินวันละ 7 ชั่วโมง

1.4 ให้บริษัทฯ ให้บริษัทจัดห้องพยาบาลพร้อมแพทย์และพยาบาลทุกวันที่มีการทำงาน

1.5 กรณีพนักงานลาป่วยไม่ถึงสามวัน ไม่ต้องแสดงใบรับรองแพทย์และให้ได้รับค่าจ้าง

ข้อ 2 ขอให้บริษัทฯ ยกเลิกลายมือชื่อของพนักงานที่ลงในหนังสือยินยอมตามข้อตกลง (ในช่วงการปรับเงินเดือนประจำปี พ.ศ. 2551)

ข้อ 3 ขอให้บริษัทฯ ยกเลิกเงินมัดจำค่าช้อน

ข้อ 4 ขอให้บริษัทฯ ปรับเปลี่ยนคูปองช่วงเวลาการทำงานล่วงเวลาในตอนเย็น ให้เท่ากับกะกลางคืน โดยสามารถแลกเป็นอย่างอื่นได้ในวงเงิน 30 บาท

ข้อ 5 ขอให้บริษัทฯ ปรับขึ้นค่าจ้างประจำปี 2552 ในอัตราดังนี้

เกรด A ปรับขึ้น 8 % และบวกเพิ่มพิเศษอีกคนละ 600 บาท

เกรด B ปรับขึ้น 7.5 % และบวกเพิ่มพิเศษอีกคนละ 600 บาท

เกรด C ปรับขึ้น 7 % และบวกเพิ่มพิเศษอีกคนละ 600 บาท

ข้อที่ 7 ขอให้บริษัทฯ จ่ายเงินโบนัสประจำปีเท่ากับ 4.1 เดือน และบวกเพิ่มพิเศษอีกคนละ 40,000 บาท โดยจ่ายครั้งเดียวในเดือนธันวาคมของทุกปีโดยไม่มีการตัดเกรด

ข้อ 8 ขอให้บริษัทฯ เปลี่ยนรถรับส่งจากรถพัดลมเป็นรถปรับอากาศทุกสาย

ข้อที่ 9 ขอให้บริษัทฯ ปรับเพิ่มค่าข้าว จากเดิม 750 บาท ต่อเดือน เป็น 1,000 บาท ต่อเดือน

ข้อ 10 ขอให้บริษัทฯ ปรับเพิ่มค่ากะกลางคืนจากเดิมคืนละ 90 บาท เป็น 150 บาท

ข้อ 11 ขอให้บริษัทฯ ปรับค่าความร้อนของแผนก Brazing จากเดิม 150 บาทต่อเดือน เป็น 500 บาทต่อเดือน

ข้อ 12 ขอให้บริษัทฯ จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับ บิดา มารดา สามี ภรรยา และบุตร รวมถึงพนักงานในวงเงินที่จ่ายจริงในการรักษาพยาบาลแต่ละครั้ง

ข้อ 13 ขอให้บริษัทฯ บรรจุพนักงานเหมาค่าแรงเป็นพนักงานประจำทุกคน

ข้อ 14 ขอให้บริษัทฯ รับพนักงานที่ถูกเลิกจ้างเนื่องจากเหตุก่อตั้งสหภาพแรงงานฯ ทั้ง 3 คน กลับเข้าทำงานในตำแหน่งและหน้าที่เดิมโดยไม่มีเงื่อนไข

ข้อ 15 ขอให้บริษัทฯ เพื่อความเป็นธรรมและยุติธรรมกับพนักงาน ให้บริษัทฯ กำหนดให้หัวหน้างานที่มีตำแหน่งตั้งแต่ระดับผู้ช่วยผู้จัดการขึ้นไป เป็นผู้มีอำนาจในการให้คุณให้โทษกับพนักงานได้

ข้อ 16 กรณีจะมีการสอบสวนลงโทษพนักงาน ให้คณะกรรมการลูกจ้างเข้าร่วมรับฟังการสอบสวนเพื่อลงโทษพนักงานด้วย

ข้อที่ 17 ข้อตกลงการจ้างใดที่ดีอยู่แล้ว ให้คงไว้นอกจากขัดหรือแย้งกับข้อตกลงฉบับนี้ ให้ใช้ข้อตกลงฉบับนี้แทน

ไฟล์ประกอบ
แถลงการณ์กลุ่มสหภาพแรงงานภาคตะวันออก


--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 28/5/2551


โดย: jenifaae วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:22:10:19 น.  

 
*กำหนดการเปิดตัวมูลนิธิสถาบันประชาธิปไตย

วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2551
ณ ห้องธาราทิพย์ 1-3 โรงแรมอิมพิเรียลธารา ถ.สุขุมวิท 26

********************************************

12.00 น. ลงทะเบียน

13.00 น. – 13.15 น. ประธานมูลนิธิกล่าวเปิดงาน

13.15 น. – 14.15 น. ปาฐกถาหัวข้อ “การสร้างประชาธิปไตยในทัศนะของคนรุ่นใหม่”
โดยหม่อมหลวงณัฎฐกรณ์ เทวกุล

14.15 น.- 14.30 น. พักรับประทานอาหารว่าง

14.30 น.- 15.30 น. เสวนาหัวข้อ “องค์ความรู้ประชาธิปไตยของสังคมไทย”

นำเสวนาโดย - ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ
คณบดีคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

- ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์
คณะนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต

15.30 น. – 17.00 น. ร่วมแสดงความคิดเห็น

17.00 น. จบรายการ




*“โครงการลมหายใจไร้มลทิน กับกิจกรรมประจำปี 2551”

“โครงการลมหายใจไร้มลทิน” โดยสำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส คนพิการ และผู้สูงอายุ (สท.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และ บริษัท สื่อสากล จำกัด ผู้จัดงาน “มหกรรมยานยนต์” ได้ร่วมกันรณรงค์เสริมสร้างค่านิยมแห่งความซื่อสัตย์สุจริตตลอดปี 2550 ด้วยการจัดการประกวด 3 ประเภท ได้แก่ ข้อเขียน “เรื่องจริงของความสุจริตที่ฉันรู้” วีดีทัศน์สารคดีสั้น และการประกวดร้องเพลงประกอบดนตรีตามเพลง “ลมหายใจไร้มลทิน” ซึ่งนับว่าประสบความสำเร็จอย่างสูง มีเยาวชนส่งผลงานเข้าร่วมประกวดเป็นจำนวนมาก
ดังนั้น ในปี 2551 คณะกรรมการโครงการ “ลมหายใจไร้มลทิน” จึงได้เตรียมจัดกิจกรรมต่อเนื่อง เพื่อปลูกจิตสำนึกของเยาวชนไทยให้มีจริยธรรม คุณธรรม พร้อมเสริมสร้างค่านิยมแห่งความซื่อสัตย์สุจริต โดยจะมีการแถลงข่าว และชี้แจงรายละเอียดของกิจกรรม ตามกำหนดการต่อไปนี้

ชื่องาน งานแถลงข่าว “โครงการลมหายใจไร้มลทิน กับกิจกรรมประจำปี 2551”
วัน วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน 2551
เวลา 14.00 – 16.00 น.
สถานที่ อาคารอเนกประสงค์ กรมประชาสัมพันธ์

กำหนดการ

14.00 น. แขกรับเชิญ และสื่อมวลชนลงทะเบียน
14.30 น. พิธีกรกล่าวต้อนรับ
14.40 น. VTR สรุปโครงการลมหายใจไร้มลทิน ปี 2550
14.50 น. แถลงข่าวกิจกรรมโครงการ “ลมหายใจไร้มลทิน” ปี 2551 โดย
นายกิตติ สมานไทย ประธานกรรมการโครงการฯ และ
ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส คนพิการ และผู้สูงอายุ (สท.)
นายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ รองประธานกรรมการโครงการฯ และ
ประธานบริษัท สื่อสากล จำกัด
นางสาวชไมพร ปภัสร์พงษ์ ผู้อำนวยการโครงการฯ
นายเอก วงศ์อนันต์ ประธานสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย
15.30 น. ตอบคำถามสื่อมวลชน
15.40 น. การแสดงของผู้ชนะเลิศการประกวดร้องเพลงประกอบดนตรี
ตามเพลง “ลมหายใจไร้มลทิน” ปี 2550
15.50 น. จบการแถลงข่าว

รายละเอียดเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ: โครงการลมหายใจไร้มลทิน
คุณชไมพร ปภัสร์พงษ์ โทร. 02-641-8444 โทรสาร 02-641-8480
หรือ ประชาสัมพันธ์โครงการฯ: คุณกฤษฎาพร ช่วยบำรุง โทร. 02-559-0650, 081-448-7753
โทรสาร 02-559-0683 อีเมล์: kridsadaporn_c@pmb.co.th


โดย: jenifaae วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:22:10:40 น.  

 
*กำหนดการแข่งขันตอบปัญหาวิชาการ FoSTAT- Nestl? Quiz Bowl 2008

ภายในงาน Food Innovation Asia / ProPak Asia 2008
วันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน 2551 เวลา 09.00 – 16.00 น.
ณ ห้องบอลรูม ชั้น 2 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ

Date TopicLocationInformation contact
08.30 – 09.00 น. ลงทะเบียนหน้าห้องแข่งขัน

09.00 – 09.10 น. เข้าแข่งขันพร้อมกันที่ห้องแข่งขันเพื่อรับฟังกติกาและวิธีการแข่งขัน

09.10 – 09.20 น. กล่าวทักทายและแนะนำความเป็นมา
โดย คุณดรุณี เอ็ดเวิร์ดส
นายกสมาคม FoSTAT และ รองผศช.

09.20 – 09.30 น. กล่าวเปิดการแข่งขัน
โดย ผู้แทนบริษัท เนสท์เล่ ไทย จำกัด
09.30 – 12.00 น. การแข่งขันตอบปัญหาในรอบเช้า 63 ทีมแบบพบกันหมด
*** พักรับประทานอาหารว่างระหว่างการแข่งขัน ***
12.00 – 13.30 น. พักรับประทานอาหารกลางวันตามอัธยาศัย
13.30 – 15.30 น. การแข่งขันตอบปัญหาในรอบบ่าย ระหว่าง 16 ทีมที่ได้รับการคัดเลือกจากรอบเช้า
*** พักรับประทานอาหารว่างระหว่างการแข่งขัน ***
15.30 – 16.00 น. ประกาศผลการแข่งขันได้แก่ ทีมชนะเลิศ, ทีมรองชนะเลิศ และชมเชย
มอบประกาศนียบัตร และรางวัลต่างๆ
โดย คุณดรุณี เอ็ดเวิร์ดส
ผู้แทนจาก บริษัท เนสท์เล่ ไทย จำกัด
Mr. David Aitken
บริษัท Bangkok Exhibition Services Ltd.
กล่าวให้โอวาท โดย ที่ปรึกษาสมาคม FoSTAT
กล่าวปิดงาน โดย คุณดรุณี เอ็ดเวิร์ดส และ บริษัท เนสท์เล่ ไทย จำกัด




*TIEA จัดสัมมนาฟรี ร่างมาตรฐาน วสท. 2004-51 ระบบไฟฟ้าแสงสว่างฉุกเฉินและโคมไฟป้ายทางออกฉุกเฉิน

ด้วยระบบไฟฟ้าแสงสว่างฉุกเฉิน และ โคมไฟป้ายทางออกฉุกเฉิน เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญในการช่วยชีวิตผู้ทำงานในอาคาร หรือ พักอาศัยในอาคารโรงแรม คอนโดมิเนียม หรือ ผู้ใช้อาคารสาธารณะ ศูนย์การค้า ฯลฯ ในการอพยพออกจากอาคารจากเหตุไฟไหม้หรือแผ่นดินไหว ซึ่งถือเป็นระบบสำคัญที่สุดในการตรวจสอบความปลอดภัยของอาคาร แต่อาคารส่วนใหญ่ในประเทศไทย ตรวจสอบพบว่าไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยของระบบดังกล่าว ในโอกาสที่คณะกรรมการจัดทำมาตรฐานได้มีการปรับปรุงมาตรฐานการออกแบบและการติดตั้งจากมาตรฐานฉบับปี พ.ศ. 2544 มาเป็น ร่าง มาตรฐานฉบับใหม่ ปี พ.ศ. 2551 นั้น
ทางสมาคมไฟฟ้าแสงสว่างแห่งประเทศไทย จึงขอเรียนเชิญท่านสื่อมวลชน และ ผู้สนใจเข้าร่วมสัมมนา ร่างมาตรฐาน วสท. 2004-51 ระบบไฟฟ้าแสงสว่างฉุกเฉินและโคมไฟป้ายทางออกฉุกเฉิน และ ร่างมาตรฐาน มอก. XX โคมไฟป้ายทางออกฉุกเฉิน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย (ฟรี) ในวันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน 2551 เวลา 13.00 – 16.30 น. ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 4 อาคาร ว.ส.ท. ถ.รามคำแหง ตามกำหนดการด้านล่าง ( หมายเหตุ รับจำนวนจำกัด และ การจัดสัมมนาฟรีเฉพาะรอบนี้เท่านั้น รอบหลังจากนี้จะต้องเสียเงินลงทะเบียน )
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา เข้าร่วมการสัมมนาดังกล่าว โดยแจ้งชื่อผู้สมัครเข้าร่วมสัมมนาได้ที่ e-mail : sarocha@eit.or.th เพื่อให้ผู้จัดได้เตรียมเอกสารร่างมาตรฐานให้เพียงพอแจกให้กับผู้มาร่วมสัมมนา

กำหนดการประชาพิจารณ์
ร่าง มาตรฐาน วสท. 2004-51 ระบบไฟฟ้าแสงสว่างฉุกเฉินและโคมไฟป้ายทางออกฉุกเฉิน และ
ร่าง มาตรฐาน มอก. โคมไฟป้ายทางออกฉุกเฉิน
วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน 2551
เวลา 13.00 – 16.30 น. ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 4 อาคาร ว.ส.ท. ถ.รามคำแหง

13.00 – 13.30 น. ลงทะเบียน

13.30 – 13.40 น. กล่าวเปิด
โดย นายประสงค์ ธาราไชย : นายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.)
นายไพโรจน์ สัญญะเดชากุล : เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.)

13.40 – 15.15 น. วัตถุประสงค์ความเป็นมา
โดย นายเกียรติ อัชรพงศ์ : ประธานคณะอนุกรรมการมาตรฐานฯ
บรรยาย ประเด็นที่ ร่าง มาตรฐาน วสท. 2004-51 ได้รับการปรับปรุง จาก มาตรฐาน วสท. 2004-44
และ บรรยายสรุปย่อเนื้อหาของมาตรฐาน
โดย นายกิตติ สุขุตมตันติ : กรรมการและเลขานุการ

15.15 – 15.30 น. Coffee break และ ชมนิทรรศการอุปกรณ์ไฟฟ้าแสงสว่างฉุกเฉินและโคมไฟป้ายทางออกฉุกเฉิน

15.30 – 16.00 น. ถาม-ตอบ

16.00 - 16.30 น.- สรุปและปิดการประชุม

ประชาสัมพันธ์
Mobile Tel. 081 839 3520
E-mail ; kitti@it77.com, kitti_suku@hotmail.com


โดย: jenifaae วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:22:11:04 น.  

 
*ผู้บริจาคโลหิตโลก 2551

โดย : เครือข่ายความหลากหลายทางเพศ เมื่อ : 5/06/2008 12:14 PM จากเหตุการณ์ “ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย” ไม่รับบริจาคเลือดของชายรักชายและผู้หญิงข้ามเพศ ซึ่งถือว่าเป็นการเลือกปฎิบัตเพราะเหตุแห่งความแตกต่างทางเพศ ประเด็นดังกล่าวทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้อย่างกว้างขวาง ทั้งกลุ่มนักวิชาการ นักเคลื่อนไหวทางสังคมและผู้ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน และเนื่องจาก วันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน 2551 เป็น “วันผู้บริจาคโลหิตโลก 2551”

ดังนั้นใน วันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน 2551 ระหว่างเวลา 09.30-10.30 น. ณ สวนลุมพินี(จุดนัดพบ สอบถามจากโทรศัพท์ซึ่งให้ไว้ในท้าย e-mail )

เครือข่ายความหลากหลายทางเพศ และ เพื่อนภาคีที่ร่วมกันทำงาน ขอเชิญชวนผู้ที่ศัทราในความรักของมนุษย์โดยปราศจากการกีดกันเรื่องเพศ , ผู้ที่เชื่อในการรณรงค์การป้องกัน HIV/AIDS ว่าขึ้นอยู่กับพฤติกรรมเสี่ยงไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง และ ผู้ที่พร้อมเสียสละเพื่อคนส่วนร่วม “ใส่เสื้อสีดำ” มาพบกันในวันและเวลาดังกล่าว เมื่อถึง 10.30น. จะเคลื่อนขบวนไปยังศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน “วันผู้บริจาคโลหิตโลก 251”

เพื่อร่วมสนับสนุนกิจกรรมมหากุศล “วันผู้บริจาคโลหิตโลก 2551” และ รณรงค์อย่างสันติในการยกเลิกกฎการไม่รับบริจาคเลือดของกลุ่มชายรักชายและผู้หญิงข้ามเพศ

ขอเชิญเพื่อนๆ ชาย-หญิงรักต่างเพศ และ หญิงรักหญิง ในขบวนที่พักผ่อนเพียงพอ ทานอาหารเช้า และไม่ได้ดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอร์ ร่วมบริจาคโลหิต (ผู้ร่วมขบวนที่มีกรุ๊ปเลือดพิเศษ กรุณาแจ้งด้วยนะครับ) ส่วนเพื่อนๆชายรักชายและผู้หญิงข้ามเพศ นอกจากจะเข้าร่วมกิจกรรมอื่นๆในงานแล้วยังช่วยแจกสื่อเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องการติดต่อของเชื้อHIV ,สถานพยาบาลที่สามารถตรวจหาเชื้อHIV และ การเตรียมตัวทางเพศสัมพันธ์ก่อนการบริจาคโลหิต เพื่อเลือดที่มีคุณภาพในการช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์

เบอร์โทรศัพท์เพื่อสอบถามรายละเอียด
081-3550696, 086-5379769, 056-3599086, 086-9830945

(รับสมัคร เจ้าหน้าที่อาสาสมัครเพื่อช่วยเพื่อนๆในการดูแลความเรียบร้อยและอำนวนความสะดวกของผู้ร่วมขบวน ในวันเสาร์ที่ 14 มิ.ย 2551 โดยขอเลือกประชุมในวันศุกร์ที่ 13 มิ.ย. 2551 เวลา 18.00น. สถานที่กรุณาโทรสอบถามจากหมายเลขโทรศัพท์ที่ให้ไว้ในดหมาย)




*งานประกาศผล “ชมนาด บุ๊ก ไพร้ซ์ ( Chommanard Book Prize )” ประจำปีพุทธศักราช2551

งานประกาศผลตัดสิน โล่รางวัลพระราชทานในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ชมนาด บุ๊ก ไพร้ซ์ ( Chommanard Book Prize ) ณ บีทูเอส สาขาเซ็นทรัลเวิลด์
บีทูเอส แหล่งการเรียนรู้ ครบวงจร จำหน่าย หนังสือ เครื่องเขียน และสื่อบันเทิง ร่วมกับ บริษัท สำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น จำกัด ขอเชิญนักเขียนและนักอ่านทั่วประเทศ ร่วมงานประกาศผลตัดสินโล่รางวัลพระราชทานในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี “ชมนาด บุ๊ก ไพร้ซ์ ( Chommanard Book Prize )” ประจำปีพุทธศักราช2551 โครงการชมนาดฯ จัดขึ้นเพื่อที่จะส่งเสริมและเผยแพร่ผลงานเขียนของผู้หญิงไทยสู่ระดับชาติ และนานาชาติ พร้อมเชิญรับฟังการบรรยายเพิ่มเติมความรู้ในหัวข้อ “จะส่งนวนิยายไทยออกสู่ตลาดโลกได้อย่างไร ” โดยเดวิด จอห์นสัน บรรณาธิการผู้เชี่ยวชาญด้านการส่งออกหนังสือไทย : แปลไปสู่ตลาดโลก และริสรวล อร่ามเจริญ นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์ และจำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย
ผู้สนใจสามารถร่วมงาน และรับฟังได้ ในวันอังคารที่ 17 มิถุนายน 2551 เวลา 13.30 น. ณ บริเวณชั้น 3 บีทูเอส สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ ( โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย )

สอบถามเพิ่มเติมที่แผนกฯ โทร.0-2101-7133-34
คุณทิพยาภา ( บี ) 08-1345-8463 / คุณทัตเทพ ( อั้ม ) 08-1991-9057




*สัมมนาพิเศษ เรื่อง “ตอบโจทย์...แก้รัฐธรรมนูญ”

สถาบันพระปกเกล้า จัดสัมมนาพิเศษ เรื่อง “ตอบโจทย์...แก้รัฐธรรมนูญ”
วันที่ 12 มิถุนายน 2551 เวลา 9:00 น.
สถานที่จัดกิจกรรม
โรงแรมแกรนด์อยุธยา

เพื่อวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียของการแก้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 รวมทั้งระดมความคิดเห็นจากทัศนะและมุมมองจากประสบการณ์อันทรงคุณค่าของผู้ร่วมเวทีสัมมนา อาทิ นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์, นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, นายจาตุรนต์ ฉายแสง และ นายคำนูณ สิทธิสมาน ในวันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน 2551 เวลา 9.00 น. ณ โรงแรมแกรนด์อยุธยา ถ.รัชดาภิเษก กรุงเทพฯ ผู้สนใจสำรองที่นั่งฟรีได้ที่ หมายเลขโทรศัพท์ 0-2527-7830-9 ต่อ 2505-2508 หรือ //www.kpi.ac.th

ข้อมูลประชาสัมพันธ์ติดต่อ:
สถาบันพระปกเกล้า
โทรศัพท์: 0.25277830-9 ต่อ 2302 , 2310
โทรสาร: 0.25277822
อีเมล์: ploenpit@kpi.ac.th


โดย: jenifaae วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:22:11:37 น.  

 
*กองทัพเรือ ร่วมกับ สถาบันอุดมศึกษา จัดการประชุมวิชาการประเพณี

กองทัพเรือ จะจัดประชุมวิชาการประเพณีกองทัพเรือ - มหิดล - ธรรมศาสตร์ - เกษตรศาสตร์ ครั้งที่ ๑๒ เรื่อง "วิกฤติและโอกาสจากสภาวะโลกร้อน" ในวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๑ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ หอประชุมกองทัพเรือ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร โดย พลเรือเอก สถิรพันธุ์ เกยานนท์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในพิธี ฯ
กองทัพเรือ ร่วมกับ สถาบันอุดมศึกษาจัดให้มีการประชุมวิชาการประเพณีขึ้น ตามข้อตกลงร่วมมือทางวิชาการ เพื่อช่วยเหลือกันด้านวิชาการและด้านอื่น ๆ ที่แต่ละสถาบันมีศักยภาพ โดยกำหนดจัดให้มีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพการประชุมในแต่ละปี สำหรับการประชุมวิชาการในครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ ๑๒ ซึ่งกองทัพเรือเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในหัวข้อเรื่อง "วิกฤติและโอกาสจากสภาวะโลกร้อน" โดยมี ด็อกเตอร์ สมิทธ ธรรมสโรช เป็นผู้ปาฐกถาพิเศษ จากนั้นเป็นการอภิปราย เรื่อง "การเกิดโรคอุบัติใหม่และโรคอุบัติซ้ำซ้อนจากวิกฤติสภาวะโลกร้อน" โดย ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ประเสริฐ เอื้อวรากุล จากมหาวิทยาลัยมหิดล และการเสนอบทความทางวิชาการของบุคลากรทั้ง ๔ สถาบัน ได้แก่ โครงการไบโอดีเซลจากสบู่ดำ ผลกระทบจากสภาวะโลกร้อนต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการภัยพิบัติและภาวะวิกฤติประเทศไทย ปิดท้ายด้วยบทความเรื่อง "การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในสภาวะโลกร้อนบริเวณประเทศไทย





*ประเทศในเอเชียรวมทั้งประเทศไทย ได้รับเลือกเป็นคณะประศาสน์การขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ

นครเจนีวา (ข่าว ILO ) – ประเทศในเอเชียสามประเทศ รวมประเทศไทย ได้รับเลือกเป็นคณะประศาสน์การ (Governing Body) ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization – ILO) รัฐบาลประเทศบังคลาเทศและสิงคโปร์ ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกประจำ และประเทศไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิกสำรอง

นอกจากนี้ยังมีประเทศออสเตรเลียเป็นสมาชิกประจำและประเทศเกาหลี ปากีสถานและเวียดนามเป็นสมาชิกสำรอง ประเทศญี่ปุ่นมีสถานภาพสมาชิกถาวร ในฐานะประเทศที่มีความสำคัญทางอุตสาหกรรม

นายคิม ยง แว (เกาหลี) และนายโยเจนดรา โมดิ (อินเดีย) ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสำรองของกลุ่มนายจ้าง และนายกวงพิง เจียง (จีน) ได้รับเลือกในกลุ่มลูกจ้าง สมาชิกของกลุ่มนายจ้างและลูกจ้างทำหน้าที่ในฐานะส่วนบุคคล โดยนายคิม ยง แว เป็นรองประธานและผู้บริหารใหญ่ของสมาพันธ์นายจ้างเกาหลี (Korean Employers Federation) ส่วนนายโยเจนดรา โมดิ เป็นประธานและ ECE ของ Great Eastern Energy Corporation และนายกวงพิง เจียง เป็นอธิบดี กรมประสานงานระหว่างประเทศ ของสมาพันธ์แรงงานจีน (All-China Federation of Trade Unions)

การเลือกคณะประศาสน์การจะมีขึ้นทุกสามปี (ครั้งต่อไปในปี 2554) และจะเลือกประธานของคณะประศาสน์การในการประชุมครั้งต่อไปในวันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน 2551

การลงคะแนนเลือกตั้งมีขึ้นในการประชุมใหญ่แรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Conference) ของ ILO ซึ่งมีขึ้นระหว่างวันที่ 28 พฤษภาคม ถึง 13 มิถุนายน ที่นครเจนีวา

คณะประศาสน์การมีสมาชิกประจำ 56 คน (28 คนเป็นผู้แทนจากภาครัฐ 14 คนเป็นผู้แทนฝ่ายนายจ้าง และ 14 คนเป็นผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง) และสมาชิกสำรอง 66 คน (28 คนเป็นผู้แทนจากภาครัฐ 19 คนเป็นผู้แทนฝ่ายนายจ้าง และ 19 คนเป็นผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง) ทั้งนี้ มี 10 ตำแหน่งสมาชิกประจำจากภาครัฐ เป็นตำแหน่งถาวร ประกอบด้วยประเทศที่มีความสำคัญทางอุตสาหกรรม (ประเทศบราซิล จีน ฝรั่งเศส เยอรมันนี อินเดีย อิตาลี ญี่ปุ่น สหพันธรัฐรัสเซีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา) โดยหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่//www.ilo.org/global/What_we_do/Officialmeetings/ilc/ILCSessions/97thSession/pr/lang--en/docName--WCMS_093826/index.htm

คณะประศาสน์การเป็นหน่วยงานบริหารของสำนักงานแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Office ซึ่งเป็นสำนักงานเลขานุการขององค์การฯ) โดยมีการประชุมปีละ 3 ครั้ง ในเดือนมีนาคม มิถุนายน และพฤศจิกายน เพื่อตัดสินนโยบายของ ILO กำหนดวาระการประชุมใหญ่แรงงานระหว่างประเทศ และร่างโครงการและงบประมาณขององค์การฯเพื่อนำเสนอในที่ประชุม

--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 6/6/2551





* "ร่างแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. 2551 - 2555)"

สำนักงาน ก.พ.ร. เชิญภาคส่วนต่าง ๆ แสดงความคิดเห็นต่อ
ร่างแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทยฉบับใหม่


สำนักงาน ก.พ.ร. เตรียมจัดประชุมระดมความคิดเห็นเรื่อง "ร่างแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. 2551 - 2555)" ในวันพุธที่ 11 มิถุนายน 2551 เวลา 09.30 - 14.00 น. ณ ห้องเรดิสันบอลรูม ชั้น 3 โรงแรมเรดิสัน โดยเชิญผู้แทนจากภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งหน่วยงานราชการ องค์กรภาคประชาชน NGO และผู้ทรงคุณวุฒิ ร่วมแสดงความคิดเห็น

หลังจากที่สำนักงาน ก.พ.ร. ได้จัดประชุมระดมความคิดเห็น เรื่อง “ร่างแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. 2551 - 2555)” เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2551 ที่ผ่านมา โดยเชิญกรรมการ ก.พ.ร. และผู้ทรงคณวุฒิจากภาคราชการ ภาคเอกชน และนักวิชาการ มาร่วมแสดงความคิดเห็นและให้ข้อเสนอแนะต่อร่างแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. 2551 - 2555) ที่สำนักงาน ก.พ.ร. ได้จัดทำขึ้น ขณะนี้ สำนักงาน ก.พ.ร. ก็ได้นำความคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่ได้จากการประชุมดังกล่าว มาปรับปรุงและจัดทำเป็นร่างแผนยุทธศาสตร์ฯ ที่มีความครบถ้วนและชัดเจนมากยิ่งขึ้น

และเพื่อให้แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. 2551 - 2555) เป็นกลไกที่สำคัญในการพัฒนาประเทศและระบบราชการ ให้ปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง และเปิดโอกาสให้ภาคส่วนต่าง ๆ ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น ต่อการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว สำนักงาน ก.พ.ร. จึงได้จัดประชุมระดมความคิดเห็นเรื่อง "ร่างแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. 2551 - 2555)" ขึ้น ในวันพุธที่ 11 มิถุนายน 2551 เวลา 09.30 - 14.00 น. ณ ห้องเรดิสันบอลรูม ชั้น 3 โรงแรมเรดิสัน โดยเชิญผู้แทนจากภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งหน่วยงานราชการ องค์กรภาคประชาชน NGO และผู้ทรงคุณวุฒิ ร่วมแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อร่างแผนยุทธศาสตร์ การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. 2551 - 2555) ที่สำนักงาน ก.พ.ร. ได้จัดทำขึ้น

โดยการประชุมดังกล่าวจะแบ่งการประชุมออกเป็นกลุ่มย่อย เพื่อระดมความคิดเห็นต่อยุทธศาสตร์ใน 4 ประเด็นยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย
ยุทธศาสตร์ที่ 1: พัฒนาคุณภาพการให้บริการและการทำงานเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน
ยุทธศาสตร์ที่ 2 : ปรับรูปแบบให้ทำงานเชิงบูรณาการ และแสวงหาความร่วมมือทุกภาคส่วน
ยุทธศาสตร์ที่ 3 : ยกระดับขีดความสามารถและผลิตภาพของภาครัฐให้ทัดเทียมกับนานาชาติ
ยุทธศาสตร์ที่ 4: เสริมสร้างจริยธรรมและธรรมาภิบาลในการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี

อนึ่ง ในการจัดทำร่างแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. 2551 - 2555) สำนักงาน ก.พ.ร. ได้จัดทำขึ้นนั้น ได้นำผลการศึกษาจากโครงการศึกษาวิจัยเพื่อเตรียมการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. 2551 - 2555) และความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคราชการ ภาคเอกชน และนักวิชาการต่าง ๆ มาประกอบการจัดทำร่างแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว พร้อมทั้งเปิดรับฟังความคิดเห็นของภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อนำมาปรับปรุงให้ร่างแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. 2551 - 2555) มีความครบถ้วน สมบูรณ์ และเกิดประโยชน์สูงสุด


วสุนธรา (สลธ.) / รายงาน
กรุณา (สลธ.) / ข้อมูล


โดย: jenifaae วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:22:11:59 น.  

 
*เชิญร่วมฟังปาฐกถาอิศรา อมันตกุล เรื่อง 'บทบาทสื่อไทยในบริบทของอาเซียน'

ขอเชิญร่วมฟังปาฐกถาอิศรา อมันตกุล ประจำปี 2551 เรื่อง 'บทบาทสื่อไทยในบริบทของอาเซียน' โดย ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน ในวันพุธที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๑ เวลา ๑๔.๓๐ น ณ ห้องอิศรา อมันตกุล สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ถนนสามเสน ตรงข้าม รพ.วชิระ รายละเอียด โทร. ๐๒-๖๖๘-๙๔๒๒





*กมธ.การศึกษา ส.ว.จัดเสวนาแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการรับน้องใหม่

คณะกรรมาธิการการศึกษา วุฒิสภา เตรียมจัดสัมมนาเรื่อง“รับน้องใหม่อย่างไรให้สร้างสรรค์” ในวันจันทร์ที่ 16 มิถุนายนนี้ เพื่อเป็นช่องทางหนึ่งในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการรับน้องใหม่ของสถานศึกษาต่างๆ

นายสิริวัฒน์ ไกรสินธุ์ ประธานคณะกรรมาธิการการศึกษา วุฒิสภา เตรียมจัดสัมมนา เรื่อง “รับน้องใหม่อย่างไรให้สร้างสรรค์” ในวันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน 2551 ตั้งแต่เวลา 08.00 – 14.30 นาฬิกา ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ หมายเลข 306-308 ชั้น 3 อาคารรัฐสภา 2 โดยในการจัดสัมมนาครั้งนี้สืบเนื่องมาจากระเบียบและมาตรการต่างๆ ที่ออกมาเพื่อป้องกันปัญหาการรับน้องใหม่ที่น่าสะเทือนใจต่างๆ เช่น การกระทำทารุณ ทำร้ายร่างกายรุ่นน้อง บังคับขู่เข็ญหรือลามกอนาจารรุ่นน้องจนส่งผลกระทบและเกิดความเสียหายทั้งทางตรงและทางอ้อมนั้น อาจจะยังไม่เพียงพอในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น จากเหตุผลดังกล่าวคณะกรรมาธิการการศึกษาจึงเห็นควรให้มีการจัดสัมมนาขึ้น เพื่อระดมความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องหาแนวทางป้องกัน ควบคุม ไม่ให้เกิดปัญหาในการรับน้องใหม่ที่อาจนำไปสู่ความรุนแรง เสียหายไม่สร้างสรรค์ และเพื่อเผยแพร่ทัศนคติ ค่านิยมที่เหมาะสม พัฒนากิจกรรมรับน้องใหม่และกิจกรรมนักศึกษาที่สร้างสรรค์ต่อไป




*Thai PBS จัดงาน "ร่วมคิด ร่วมสร้าง ทีวีไทย ทีวีสาธารณะ ครั้งที่ 1"

ThaiPBS องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย จัดงาน "ร่วมคิด ร่วมสร้าง ทีวีไทย ทีวีสาธารณะ ครั้งที่ 1" ในวันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน 2551 เวลา 8.30 - 17.00 น. ณ ห้องเจ้าพระยา หอประชุมกองทัพเรือ


โดย: jenifaae วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:22:12:28 น.  

 
*บทความ โสภณ พรโชคชัย : เวนคืนเพื่อลูกหลานไทย

โสภณ พรโชคชัย

ประธานกรรมการ มุลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย

ที่มา: บทความนี้เป็นบทส่งท้ายของหนังสือ “ถูกเวนคืน อย่าเสียใจ” หนังสือรวมเรียงความชิงโล่รางวัลพระราชทาน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เรื่อง “ประเมินค่าทรัพย์สินให้เป็นธรรมก่อนการเวนคืนเพื่อพัฒนาชาติ”

ไม่ควรเอาราคาประเมินทุนทรัพย์มาใช้

การเวนคืนเป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาเพราะที่ผ่านมาเรามักจ่ายค่าทดแทนกันตามราคาประเมินทุนทรัพย์ของทางราชการ ซึ่งมักจะต่ำและไม่สอดคล้องกับราคาซื้อขายจริงในท้องตลาด แม้ในปัจจุบันนี้ การเวนคืนส่วนมากจะอ้างอิงราคาตลาดเป็นสำคัญ แต่จากภาพ “ฝันร้าย” ในอดีต ยังตาม “หลอกหลอน” ทำให้ใครก็ตามที่มีโอกาส “โดน” เวนคืน ย่อมจะใจหาย อยู่ดี ซ้ำยังทำให้การแก้ปัญหาดูสับสนขึ้นอีก

เราควรเข้าใจว่า ราคาประเมินทุนทรัพย์ของทางราชการได้รับการจัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการเสียภาษีในระหว่างการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นสำคัญ ประกอบกับทางราชการจัดทำราคาดังกล่าวทุก 4 ปี ในขณะที่สถานการณ์ราคาที่ดินในท้องตลาดเปลี่ยนแปลงเป็นระยะๆ ราคาประเมินทางราชการจึงต่ำมากเมื่อเทียบกับราคาตลาด

อย่างไรก็ตาม ในบางพื้นที่ ราคาประเมินทางราชการกลับสูงกว่าราคาซื้อขายจริงในท้องตลาดก็มี ซึ่งคงเป็นเพราะความผิดพลาดทางเทคนิค หรือเป็นในบางเวลาที่เศรษฐกิจและราคาอสังหาริมทรัพย์ตกต่ำเป็นพิเศษ เช่นในช่วงปี 2540-2542 เป็นต้น ในกรณีนี้เช่นนี้ ผู้ที่ถูกเวนคืนก็อาจดีใจที่ได้ค่าทดแทนที่สูงเกินราคาขาย

เวนคืนคือความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้

การเวนคืนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะการพัฒนาความเจริญต่างๆ จำเป็นต้องมีการตัดถนน สร้างทางด่วน บ่อบำบัดน้ำเสีย สนามบิน คลองประปา และคลองชลประทาน ฯลฯ โดยรัฐบาลทำการการเวนคืนเพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวม

ในประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 (พ.ศ.2443 เป็นต้นมา) เป็นต้นมา มีการเวนคืนบ้านเรือน ย่านการค้า โรงงาน โรงนา ฯลฯ มากมายเพื่อประโยชน์สาธารณะ รัฐบาลก็ได้ออกพระราชบัญญัติการเวนคืนเพื่อปกป้องสิทธิและช่วยเหลือผู้ถูกเวนคืน และได้มีการแก้ไขให้ สอดคล้องกับความเป็นจริงอย่างต่อเนื่อง ดูรายละเอียดได้จากเอกสารของ National Highway Institute <1>

บางกรณีต้องจ่ายสูงกว่าราคาตลาด

หลักสำคัญของการเวนคืนก็คือ ทางราชการต้องจ่ายค่าทดแทนไม่ต่ำกว่าราคาตลาด การบังคับเอาที่ดินไปจากประชาชนผู้ครอบครองโดยจ่ายค่าทดแทนต่ำ ถือเป็นการละเมิด (สิทธิมนุษยชน) และสร้างความไม่ เท่าเทียมกันในสังคม อันจะก่อให้เกิดปัญหาตั้งแต่การดื้อแพ่ง การประท้วง ความไม่สงบในบ้านเมือง โครงการที่พึงดำเนินไปหลังจากการเวนคืนก็กลับล่าช้าและเสียหาย

ในบางกรณีทางราชการยังอาจต้องจ่ายค่าทดแทนสูงกว่าราคาตลาดของทรัพย์สิน เพราะความสูญเสียของผู้ถูกเวนคืนมีมูลค่ามากกว่านั้น เช่น ทรัพย์สินเป็นสถานที่ประกอบกิจการเปิดร้านค้าหรือบริษัท เมื่อถูกเวน-คืนก็ต้องเปลี่ยนหัวจดหมายใหม่ หรือเกิดความยุ่งยากในการขนส่งสินค้า หาแหล่งวัตถุดิบใหม่ ความเสียหายเหล่านี้ควรได้รับการชดเชยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีบางกรณีที่อย่างไรเสียผู้ถูกเวนคืนก็ไม่ยอมย้ายออกอยู่ดี แม้จะทดแทนให้สมราคาตลาดหรือสูงกว่าเพื่อชดเชยความเสียหายอื่นแล้วก็ตาม ทั้งนี้เป็นเพราะความผูกพัน / ปักใจเป็นพิเศษในที่เดิม กรณีการ “ดื้อแพ่ง” จึงถือเป็นเรื่องส่วนตัวที่ยอมรับไม่ได้ในสังคมส่วนรวม และเข้าทำนอง “กีดขวางความเจริญ” ของชุมชน สังคมและประเทศชาติอีกต่างหาก

ผู้ถูกเวนคืนไม่ใช่ผู้เสียสละ

เราควรเข้าใจว่า การเวนคืนนั้นไม่ใช่การที่ผู้ถูกเวนคืนยอมเสียสละอะไรบางอย่างเพื่อชาติ ต่างจาก “รั้วของชาติ” ที่สละชีพเป็นชาติพลี มีบุญ-คุณต่อประเทศ เพราะตราบเท่าที่ผู้ถูกเวนคืนได้รับค่าทดแทนอย่างเป็นธรรมแล้ว ประเทศชาติก็ไม่ได้ติดค้างบุญคุณกับบุคคลเหล่านี้

เรายังควรให้การศึกษาแก่สังคมเพิ่มเติมด้วยว่า ในฐานะพลเมืองของประเทศ บุคคลไม่พึงกีดขวางความจำเป็นของชุมชน (ปัจเจกบุคคลอื่นทุกคนรวมกัน ยกเว้นผู้ถูกเวนคืน) ชุมชนไม่พึงกีดขวางความจำเป็นของเมือง เมืองไม่พึงกีดขวางความต้องการจำเป็นของชาติ หากได้รับการชดเชยที่เหมาะสม ในประเทศที่เจริญแล้ว เราตัดต้นไม้ในบ้านเราเองก็ยังทำไม่ได้ถ้าการนั้นทำให้ชุมชนเสียระบบนิเวศ หรือถ้าเราอยู่ห้องชุด เราจะเปลี่ยนกุญแจโดยพลการไม่ได้ เพราะหากเกิดเหตุร้ายทางนิติบุคคลจะได้เข้าไปช่วยเหลือได้ทันท่วงที <2>

เราไม่ควรสับสนกันระหว่างสิทธิและเสรีภาพในการนับถือศาสนา ความเชื่อ กับหน้าที่ในการปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม สิทธิส่วนบุคคลถูกจำกัดได้ด้วยหน้าที่ต่อส่วนรวมนั่นเอง แต่เราจะยึดถือหลักการเพื่อส่วนรวมนี้ได้ เราก็ต้องบำบัดและชดเชยความสูญเสียส่วนบุคคลของผู้ถูกเวนคืนอย่างสมควร ซึ่งบางครั้งอาจตีค่าเป็นเงินสูงกว่าราคาตลาดด้วยซ้ำไป

หัวใจอยู่ที่การประเมินค่าทรัพย์สิน

อย่างไรก็ตาม ในโครงการเวนคืนในกรุงเทพมหานคร กลับปรากฏว่า เจ้าของที่ดินถึงร้อยละ 90 ไม่เห็นด้วยกับราคาค่าทดแทนที่ได้ประเมินไว้ นี่แสดงว่าเจ้าของที่ดินส่วนหนึ่งอาจได้ราคาค่าทดแทนที่ต่ำเกินจริง แต่ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะไม่เข้าใจการประเมินค่าทรัพย์สินหรือการเวนคืนดีพอจึงไม่ยอมรับราคาค่าทดแทนที่ประเมินได้ แม้อาจเป็นราคาที่เหมาะสมแล้วก็ตาม

การเวนคืนที่ประสบความสำเร็จได้จึงเริ่มต้นที่การประเมินค่า ทดแทนซึ่งอาจมีตั้งแต่ที่ดิน อาคาร ต้นไม้ ไร่นา ฟาร์มปศุสัตว์ โรงงาน โรงนา ตลอดจนอสังหาริมทรัพย์ในเชิงพาณิชย์อื่นๆ ถ้าการประเมินค่าทรัพย์สินดังกล่าวได้รับการยอมรับจากประชาชนว่ามูลค่าที่ประเมินได้นั้นเชื่อถือได้ การเวนคืนก็จะเป็นไปได้ ราบรื่น และประสบความสำเร็จในที่สุด

แต่ในกรณีประเทศไทย โดยที่วิชาชีพประเมินค่าทรัพย์สินยังไม่ได้รับการควบคุมเพื่อผู้บริโภค เราไม่แน่ใจว่าบริษัทผู้ประเมินเชื่อถือได้หรือไม่ เพราะอาจถูกว่าจ้างให้ประเมินสูงหรือต่ำเกินจริง หน่วยราชการที่ประเมินค่าทรัพย์สินจะเชื่อถือได้หรือไม่เพราะเป็นราชการก็อาจต้อง “play safe” เป็นพิเศษ ราคาซื้อขายในท้องตลาดที่อ้างอิงกันเชื่อถือได้หรือไม่ เพราะบางทีอาจเป็นการสร้างราคาขึ้นมาเพื่อนำมาอ้างอิงให้ได้ค่าทดแทนที่สูงหรือต่ำเกินจริง

การพัฒนาวิชาชีพประเมินค่าทรัพย์สิน

ประเทศไทยขาดระบบการแจ้งราคาซื้อขายจริงตามท้องตลาดเพราะถ้าแจ้งจริง ซึ่งมักสูงกว่าราคาประเมินของทางราชการ ประชาชนก็ต้องเสียภาษีสูงขึ้น ประชาชนจึงมักพยายามหลีกเลี่ยง ดังนั้น เราจึงต้องพยายามสร้างฐาน ข้อมูลการซื้อขายที่เป็นจริง วิธีการสร้างก็อาจใช้การลงโทษผู้ที่ไม่แจ้งตามจริงด้วยการปรับให้หนักขึ้น หรืออีกทางหนึ่งก็คือการลดภาษีและค่าธรรมเนียมลง ในการนี้ยังอาจต้องกำหนดให้ทรัพย์สินที่มีมูลค่าเกินกว่าระดับหนึ่ง (เช่น 1, 3 หรือ 5 ล้านบาท) ต้องทำการประเมินค่าทรัพย์สินทุกครั้งก่อนการโอน โดยทางราชการเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเอง เพราะคงคุ้มที่จะเรียกเก็บภาษีและค่าธรรมเนียมโอนได้สูงขึ้นกว่าราคาประเมินของทางราชการ

เมื่อมีฐานข้อมูลการซื้อขายที่เป็นจริงแล้ว ก็ต้องเผยแพร่ให้ประชาชนทั่วไปได้ทราบด้วย เพื่อคนที่คิดจะซื้อ ขาย จำนอง แบ่งแยกมรดก ฯลฯ จะใช้เป็นฐานในการประมาณมูลค่าทรัพย์สินด้วยตนเองในทางหนึ่ง และโดยเฉพาะผู้ประเมินเพื่อการเวนคืนจะสามารถใช้เป็นฐานข้อมูลสำหรับการประเมินค่าทดแทนอีกทางหนึ่ง การเปิดเผยข้อมูลเช่นนี้ในปัจจุบันประเทศไทยยังไม่อนุญาตให้ทำ เพราะถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ทั้งๆ ที่ในอารยประเทศให้เผยแพร่ได้ ผมก็เห็นว่าควรเผยแพร่ เพื่อความโปร่งใส และอาจถือเป็นการป้องกันการฟอกเงินอีกด้วย การมีระบบฐานข้อมูลนี้จึงถือเป็นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับวิชาชีพประเมินค่าทรัพย์สิน (เพื่อการเวนคืน) โดยเฉพาะ

สิ่งที่แปลกอีกอย่างก็คือ เราไม่มีระบบที่มีประสิทธิภาพในการตรวจสอบและลงโทษผู้ประเมินค่าทรัพย์สิน ถ้าไม่มีการควบคุมคุณภาพที่ดี (quality control) ไม่มีการออกสุ่มสำรวจผลการทำงานของบริษัทประเมินต่างๆ ไม่มีการลงโทษตรงไปตรงมาและเด็ดขาด ก็อาจมีบริษัทประเมินหรือผู้ประเมินที่จะกระทำการทุจริตฉ้อฉล ได้โดยที่ผลเสียก็จะตกแก่วิชาชีพและ ผู้ใช้บริการโดยรวม เช่นที่เคยเกิดขึ้นในกรณีต่างๆ ที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่อง ผมก็เคยเสนอไปทาง กลต. ในกรณีต่างๆ เหล่านี้เช่นกัน <3>

ศึกษาและเผยแพร่ความรู้ต่อเนื่อง

ประชาชนควรมีโอกาสทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเวนคืน เพื่อทราบถึงความจำเป็น สิทธิและค่าทดแทนที่ตนควรได้รับด้วยความเป็นธรรม การเผยแพร่ความรู้เหล่านี้จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เราได้เรียนรู้จากสหรัฐอเมริกาว่า กฎหมายเวนคืนที่ดีต้องแก้ไขได้บ่อยๆ ให้สอดคล้องกับความเป็นจริง หากระบบกฎหมายของเรายังตายตัว แก้ไขหรือปรับปรุงเพื่อประโยชน์ของมหาชนอย่างมีประสิทธิภาพไม่ได้ การเวนคืนทรัพย์สินก็อาจกลายเป็นการเพิ่มปัญหาความไม่เป็นธรรมในสังคมมากขึ้น

เทคนิควิทยาการที่สมควรได้รับการเผยแพร่ ได้แก่ การสร้างแบบจำลองทางสถิติเพื่อการประเมินค่าทรัพย์สิน (CAMA: computer-assisted mass appraisal) ซึ่งผมเป็นคนแรกที่สร้างขึ้นเมื่อปี 2533 ในงานศึกษาให้กับสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ <4> ซึ่งสามารถใช้เพื่อการประเมินค่าทดแทนได้ แต่ประเทศไทยในขณะนั้นก็ไม่มีการศึกษาทางด้านนี้อย่างกว้างขวาง เมื่อปี 2537 ผมจึงได้สร้างแบบจำลอง CAMA ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง และจนถึงปี 2540 อ.แคล้ว ทองสม และคณะจึงได้ทดลองสร้างแบบจำลองขึ้นบ้าง <5> และหลังจากนั้นเมื่อผมเป็นอาจารย์สอนวิชาการประเมินค่าทรัพย์สินตั้งแต่รุ่นแรกที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็เริ่มมีการสร้างแบบจำลองเพิ่มเติม แต่ก็ไม่ได้เผยแพร่ให้แพร่หลาย ดังนั้นในประเทศไทยจึงควรจัดการประชุมวิชาการกันทุกปีเพื่อพัฒนาเทคนิควิทยาการใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอ

แก้ที่ระบบการเมืองของประชาชน

การที่ข้าราชการบางส่วนไม่สามารถริเริ่มสร้างสรรค์งานเวนคืนที่เป็นธรรม หรือการที่ระบบกฎหมายของเราเปลี่ยนแปลงช้า ทำให้ผลประโยชน์ของประชาชนเสียหาย รวมทั้งการที่นักวิชาชีพประเมินค่าทรัพย์สินไม่ได้รับการควบคุมเพื่อผู้บริโภค ก็อาจเป็นเพราะระบอบการเมืองที่ผู้มีอำนาจไม่อยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลง อยากให้ระบบบริหาร ระบบรัฐสภาอ่อนแออยู่เช่นนี้ เพื่อให้คงสถานะของที่ผู้ได้เปรียบในสังคม เจ้าที่ดินรายใหญ่ จึงจะได้ประโยชน์อย่างต่อเนื่องเพราะไม่อยากถูกเวนคืน

ดังนั้น โดยที่สุดแล้วเราต้องพัฒนาระบบการเมืองที่เอาประชาชนเป็นที่ตั้ง ให้ประชาชนมีอำนาจผ่านฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร เพื่อจะได้ผลักดันและบังคับใช้กฎหมายที่ยังประโยชน์ต่อประชาชนโดยรวม การนี้จึงต้องเริ่มต้นที่ประชาชน ทำให้ประชาชนรากหญ้ารู้สิทธิและหน้าที่แห่งตน และให้เห็นว่า ตาสีตาสา กับ ผู้มีลาภยศบารมี ล้วนมีเสียงเดียวเท่ากันในประเทศนี้ ไม่มีใครใหญ่และครอบงำใครได้ รณรงค์ให้ประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าตนนั้นคือเจ้าของประเทศที่แท้จริง สามารถเปลี่ยนแปลงกฎหมายเพื่อประโยชน์แห่งตนและส่วนรวมได้

คิดให้ไกลออกไป

ตามกฎหมายเวนคืนปัจจุบัน เราจะเอาที่ดินที่ถูกเวนคืนไปทำประโยชน์ในทางธุรกิจไม่ได้ โดยนัยนี้คงเป็นเพราะกลัวว่าจะเป็นการเอื้อต่อกลุ่มผลประโยชน์ หรือแม้แต่โครงการเมืองใหม่ก็มีอันต้องเป็นหมันเพราะหากเวนคืนที่ดินใครมา จะมาจัดสรรสร้างเป็นเมืองเป็นชุมชนโดยขายเป็นบ้านให้อยู่อาศัยกันไม่ได้

แต่ในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย เวียดนาม และจีน ต่างสามารถเวนคืนที่ดินเอกชนมาพัฒนาในเชิงพาณิชย์ได้ทั้งสิ้น ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ประเด็นสำคัญอยู่ที่การมีระบบตรวจสอบที่ดี เพื่อไม่ให้เอื้อประโยชน์แก่พวกพ้องเป็นสำคัญ การที่การพัฒนาประเทศชาติสะดุดเพราะไม่สามารถเวนคืนทรัพย์สินของปัจเจกบุคคลได้ จะทำให้ความเจริญของประเทศถูกฉุดรั้งและลูกหลานไทยในอนาคตอาจเป็นผู้รับผลร้ายเหล่านี้

เราจึงควรทำความเข้าใจให้ชัดเจนในเรื่องการเวนคืน เพื่อให้การพัฒนาประเทศมีความต่อเนื่อง เพื่อความยั่งยืนของประเทศชาติตลอดไป
……..

อ้างอิง

<1>โปรดดูในเอกสารประกอบการอบรมทางไกลเรื่อง “การประเมินเพื่อการเวนคืน” (Real Estate Acquisition under the Uniform Act) ของ National Highway Institute of the Federal Highway Administration of the US Department of Transport //www.fhwa.dot.gov/REALESTATE/distlearn.htm

<2>ข้อมูลจากคุณนคร มุธุศรี โปรดอ่านได้ในบทความของผู้เขียนเรื่อง “กฎหมายอสังหาริมทรัพย์: เพื่อส่วนรวมจริงหรือ”

ที่ //www.thaiappraisal.org/Thai/Market/Market80.htm

<3>เอกสารนำเสนอ กลต. “How to Standardize Real Estate Valuation Practices in Thailand” เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2541

ที่ //www.thaiappraisal.org/English/ThaiRealEstate/ThaiR1.htm

<4>รายงาน “Valuation and Financial Feasibility of Klong Lad Prao Site, Paper submitted to the Steering Committee, Study of Options for Financing Infrastructure Expansion”, March 1991

<5> ชูสกุล สุวรรณศรี, แคล้ว ทองสม และสมศรี จตุรพิธพรชัย “การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยประเมินมูลค่าที่ดิน”

//192.150.249.121/acc-pdf/x-mba-11-18.html

หมายเหตุ

ดูรวมเรียงความชิงโล่รางวัลพระราชทาน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เรื่อง “ประเมินค่าทรัพย์สินให้เป็นธรรมก่อนการเวนคืนเพื่อพัฒนาชาติ” ทั้งหมดได้ที่นี่ //www.thaiappraisal.org/Thai/essay/essay50.htm

สนใจหนังสือ “ถูกเวนคืน อย่าเสียใจ” ดูรายละเอียดได้ที่ //www.thaiappraisal.org/Thai/Journal/PublicationB12.php

--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 1/6/2551


โดย: jenifaae วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:22:12:54 น.  

 
*บุตร ‘ปรีดี’ ร่วม ‘สภาประชาชน’ แก้ไข รธน. 2550





ที่มาของภาพ: //www.newskythailand.com/board/index.php/topic,1229.0.html

เปิดวิกเวทีสภาประชาชนคึกคัก บุคคลจากหลายวงการเข้าร่วมแสดงความเห็นหนุนแก้รัฐธรรมนูญ 2550 เอา รัฐธรรมนูญ 2540 คืนมาเพียบ รวมทั้ง “สุปรีดา พนมยงค์” บุตรชายอดีตรัฐบุรุษ “ปรีดี พนมยงค์” ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานสภาประชาชนร่วมกับ “นพ.เหวง-ดร.ประภัสสร” ส่วน “สุพจน์ ด่านตระกูล” สื่ออาวุโสเป็นประธานกิตติมศักดิ์

เมื่อ 1 มิถุนายน ที่ผ่านมา นับเป็นการประชุมกันนัดแรกของสภาประชาชน หลังคณะกรรมการประชาชนเพื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 (คปพร.) ได้ประกาศเจตนารมณ์จัดตั้งสภาประชาชนขึ้นเพื่อรับฟังความคิดเห็นในวงกว้างอย่างเป็นรูปธรรม ต่อรายละเอียดที่เห็นควรให้มีการแก้ไขเนื้อหาในรัฐธรรมนูญ 2550 ที่ได้รณรงค์มาแล้วระยะหนึ่ง พร้อมกับได้จัดทำร่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ด้วยจำนวนรายชื่อประชาชน 150,000 รายชื่อ ยื่นต่อสภาผู้แทนราษฎรไปแล้วด้วยก่อนหน้านี้ ซึ่งบรรยากาศของสภาประชาชน ที่ห้องประชุมคุรุสภา เป็นไปอย่างคึกคัก

โดยเวทีสภาประชาชนในวันแรก กำหนดหัวข้อ “ทำไมต้องแก้รัฐธรรมนูญ ทำไมต้องเอารัฐธรรมนูญ 50 คืนไป 40 คืนมา” โดยมีแกนนำ คปพร.เข้าร่วม อาทิ ดร.จรัล ดิษฐาอภิชัย ประธาน คปพร. นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ คปพร. นางประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ ประธานสมาพันธ์ประชาธิปไตย ดร.เมธาพันธ์ โพธิธีรโรจน์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ 2 (นปก.) นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ ประธานสภาสนามหลวงต่อต้านเผด็จการ และ นายสมยศ พฤษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย ฯลฯ

นอกจากนี้ ยังมีผู้มีชื่อเสียงและนักวิชาการเข้าร่วมจำนวนมาก อาทิ นายสุพจน์ ด่านตระกูล นักวิชาการอิสระซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานกิตติมศักดิ์ นายคณิน บุญสุวรรณ อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) 2540 ศ.เกียรติคุณ นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ ที่ปรึกษาสมาพันธ์ประชาธิปไตย และ นายศุขปรีดา พนมยงค์ บุตรชายของนายปรีดี พนมยงค์ อดีตผู้นำคณะราษฎร นายกรัฐมนตรี และรัฐบุรุษอาวุโส

ซึ่งที่ประชุมมีมติให้นายศุขปรีดา พนมยงค์เป็นประธานสภาประชาชน ร่วมกับ นพ.เหวง และ ดร.ประภัสสร อินทรกำแหง นักวิชาการ

‘สุพจน์’ ชี้มีความพยายามบิดเบือน ‘คณะราษฎร’

นายสุพจน์ ด่านตระกูลผู้ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานกิตติมศักดิ์ กล่าวเปิดงานว่า การเมืองไทยทุกวันนี้เมื่อเทียบกับในอดีตเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ที่มีความพยายามบิดเบือนหน้าประวัติศาตร์ของคณะราษฎร เพราะก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สังคมมีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงระหว่างผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง ขณะที่ความขัดแย้งอีกรูปแบบหนึ่งคือ ผู้ปกครองกับผู้ปกครองขัดแย้งกันเอง ขัดแย้งกันระหว่างผลประโยชน์ เช่น พรรคฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาล นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เศรษฐกิจและสังคม

ในปี 2475 เมื่อความขัดแย้งระหว่างผู้ปกครองกับผู้ปกครองระเบิด จึงได้มีการเข้ายึดอำนาจเปลี่ยนการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทยประกาศใช้เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2475 เป็นฉบับสัญญาประชาคม ระบุไว้ว่า อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน

ขณะที่ ศ.เกียรติคุณ นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ ระบุว่า การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยทำให้ประชาชนมีสิทธิในการวิพากษ์วิจารณ์การบ้านการเมือง ประชาชนตื่นตัวกับการเมืองมากขึ้น เพราะกระแสการเมืองไทยในวันนี้มีความสับสนวุ่นวายมาก ดังนั้น จึงต้องมีสภาประชาชนขึ้นมาเพื่อแสดงความเห็นร่วมกัน เพื่อนำเสนอต่อผู้นำเพื่อให้มีการแก้ไขต่อไป ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะทำให้รัฐบาลสามารถทำงานได้อย่างสะดวกขึ้น ประชาชนจึงจำเป็นต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ประเทศเกิดความก้าวหน้าทางการปกครอง และความสงบในชาติ ซึ่งเปิดสภาประชาชนขึ้นก็เพื่อดำเนินการให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย

ด้านนายจรัล ดิษฐาอภิชัย ประธาน คปพร. กล่าวว่า ประชาชนตื่นตัวต่อการเมืองมากขึ้น แม้จะมีเหตุการณ์ที่ต้องตื่นตระหนก แต่ประชาชนก็มารวมตัวกันเพื่อแสดงความคิดเห็นในสภาประชาชนแห่งนี้ อันจะเป็นความหมายมากในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 และต่อจิตใจผู้รักประชาธิปไตยทุกคน โดยการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ยากเย็นกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เพียงแค่เริ่มต้นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ตกไปแล้ว แต่รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนยังอยู่ในสภาและยังดำเนินการต่อไป

นอกจากนี้ นายจรัล ยังกล่าวเชิญชวนผู้ร่วมเสวนาเดินทางไปที่สนามหลวง เพื่อให้กำลังใจประชาชนที่ร่วมกลุ่มชุมนุมและช่วยรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดความรุนแรงขึ้นด้วย หลังเลิกประชุมสภาประชาชนในช่วงก่อนเย็น

ประทีปลั่นมีคนสองกลุ่มคือผู้เรียกร้อง ‘อำนาจอธิปไตย’ และ ‘อำนาจเผด็จการ’

นอกจากนี้ นางประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ กล่าวว่า “เราเป็นเจ้าของประเทศและเรียกร้องสิทธิโดยชอบธรรมกันมาโดยตลอด ตอนนี้มีกลุ่มคนอยู่ 2 กลุ่ม คือผู้เรียกร้องอำนาจอธิปไตย และผู้เรียกร้องเผด็จการ

กลุ่มพันธมิตรฯ เองเรียกร้องไม่ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อไม่ให้เข้าสู่กระบวนการประชาธิปไตย จึงอยากเรียกร้องให้ทุกคนเป็นพลังมวลชนขับเคลื่อนให้รัฐบาลกลับมาใช้รัฐธรรมนูญฉบับเดิม รัฐธรรมนูญฉบับ 2550 เป็นรัฐธรรมนูญที่ส่งเสริมระบอบอำมาตยาธิปไตย ทำให้คนชั้นล่างถูกรอนสิทธิ และในปีที่ผ่านมา เราได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่มีคนกลุ่มน้อยที่เรียกตัวเองว่าพันธมิตรฯ มาปิดกั้นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ให้ไปสู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ เราจึงเป็นตัวแทนของประชาชนที่เสียสละมารวมตัวกัน เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราคือเจ้าของประชาธิปไตย และต้องการรัฐธรรมนูญ 40 กลับคืนมา”

สำหรับ นายชูพงษ์ ถี่ถ้วน ผู้อำนวยการสถานีวิทยุชุมชนคนรู้ใจ ขึ้นกล่าวเปรียบเทียบรัฐธรรมนูญกับระบอบการปกครองเป็นเหงือกกับฟัน โดยระบุว่า รัฐธรรมนูญเป็นฟัน และระบอบเผด็จการเป็นเหงือก ซึ่งหากมีอาการปวดต้องเร่งรักษา หมายถึงว่ารัฐบาลได้เดินมาถูกทางคือ ต้องเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญ และระบอบเผด็จการ เพื่อให้ได้ความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง พร้อมกล่าวว่า การที่กลุ่มพันธมิตรฯ เดินหน้าชุมนุมอย่างนี้เป็นการเดินลงสู่นรกภูมิ

“การเมืองวันนี้ไม่ว่ารัฐธรรมนูญจะเป็นอย่างไรก็เกิดการต่อสู้กัน เราได้รัฐบาลจากการเลือกตั้ง แต่เราไม่ได้อำนาจอย่างสมบูรณ์ จึงอยากจะถามว่าประเทศไทยปกครองด้วยระบอบอะไรกันแน่ แม้เราจะได้ประชาธิปไตยช้า แต่เราก็กำลังเดินไปสู้เป้าหมายประชาธิปไตย ไม่เหมือนพันธมิตรฯ ที่กำลังเดินสู่นรก”

ประภัสสร เชื่อมีนักวิชาการต้องการให้แก้รัฐธรรมนูญจำนวนมาก

ขณะที่ด้านนักวิชาการ ดร.ประภัสสร อินทรกำแหง กล่าวว่า ขณะนี้มีนักวิชาการที่เป็นพลังเงียบในการสนับสนุนให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่จำนวนมาก โดยพร้อมเดินหน้าร่วมแสดงความคิดเห็นหากมีฝ่ายใดต้องการ นอกจากนี้ การที่กลุ่มพันธมิตรฯ เดินหน้าชุมนุมทำให้นักวิชาการสะเทือนใจ เพราะพันธมิตรฯ ต้องการล้มล้างรัฐบาล กลุ่มพันธมิตรฯ เป็นภัย เป็นพวกมาร ที่ปลุกระดมความคิดคนอื่น กะล่อนด้วยการพยายามทำให้คนอื่นเชื่อ ซึ่งผลเสียหายที่เกิดขึ้นคือ ต่างประเทศชะลอการลุงทุนในประเทศไทย เพราะสถานการณ์บ้านเมืองไม่สงบ

ด้าน ดร.เมธาพันธ์ กล่าวว่า ภารกิจของพวกเราในวันนี้คือ นำรัฐธรรมนูญ 2550 คืนไป เพราะไม่เอื้อต่อระบอบประชาธิปไตย ทำลายความเสมอภาคของประชาชน ให้อำนาจตุลาการมากกว่าอำนาจบริหารและนิติบัญญัติ เขียนขึ้นมาเพื่อทำลายศักดิ์ศรีของประชาชน และเพื่อสนับสนุนพรรคการเมืองบางกลุ่ม พร้อมทำลายนักการเมืองบางพรรค พร้อมระบุ หากกลุ่มพันธมิตรฯ ยังคงเดินหน้าเคลื่อนไหว เพราะไม่พอใจการได้มาของพรรคพลังประชาชน และทำตัวเหมือนเป็นเจ้าของประเทศต่อไป คงไม่ยอมอย่างแน่นอน

ด้าน นายสุวิทย์ ประยูรศักดิ์ จากสหภาพแรงงานองค์การค้าคุรุสภา กล่าวว่า รัฐธรรมนูญของประชาชนจะต้องชนะเผด็จการแน่นอน พร้อมชี้ทางประชาชนอย่าตกใจกลัวกับคำกล่าวของพันธมิตรฯ เพราะเป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่มีเหตุผลเพื่อโค่นล้มรัฐบาล นอกจากนี้ การต่อสู้กับระบบทุนล้าหลัง อยู่ในเงื่อนไข 3 ประการ ปัจจุบันสังคมโลกเป็นสังคมทุนนิยม สังคมไทยก็เช่นกัน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นำระบบทุนนิยมมาใช้ ทำให้ประชาชนได้ลืมตาอ้าปาก ประโยชน์ตกอยู่กับพี่น้องคนไทยทุกคน อย่างนี้ก็แสดงว่าระบบทุนนิยมชนะระบบทุนล้าหลัง

โดยในการประชุมสภาประชาชนครั้งต่อไปจะเป็นการเดินสายตามพื้นที่ต่างจังหวัด เพื่อขยายแนวความคิด และหาแนวทางในการแก้ไขรัฐะรรมนุญร่วมกัน โดยจะจัดขึ้นในวันที่ 8 มิถุนายน ที่ จ.ระยอง วันที่ 10 มิถุนายน ที่ จ.ขอนแก่น และวันที่ 15 มิถุนายน ที่หอประชุมคุรุสภา เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร

เรียบเรียงจาก:

//webboard.news.sanook.com/forum/?action=printpage;topic=2370560
--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 3/6/2551




*เรียนภาษามือ .....ฟรี!

โดย : สมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย เมื่อ : 4/06/2008 02:14 PM เชิญเพื่อนๆ ที่เชื่อมั่นในการติดต่อสื่อสารกับเพื่อนมนุษย์อย่างสันติ โดยปราศจากความแตกต่างทางด้านร่างกาย

ร่วมเป็นส่วนหนึ่ง ของการเรียนภาษามือ
กับ
สมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย
(สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินรัชดา ประตู1)

ในทุกวันศุกร์ เวลา 17.00-20.00น.
เริ่มเรียนวันแรก ในวันศุกร์ที่13มิ.ย.51

สามารถโทรสำรองที่นั่ง, ปรึกษาการเดินทาง
และแจ้งเวลาในการมาถึง (อาจมีการปรับเวลาในอนาคตเพื่อความเหมาะสม)

ได้ที่หมายเลข
0-2690-7733-4
08-3897-1691
08-9022-7597


โดย: jenifaae วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:22:13:16 น.  

 
*วิธีใช้น้ำส้มควันไม้

เดลินิวส์ออนไลน์

*ควันที่เกิดจากการเผาถ่านในช่วงที่ไม้กำลังเปลี่ยนเป็นถ่านเมื่อทำให้เย็นลงจนควบแน่นแล้วกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ ของเหลวที่ได้นี้เรียกว่า น้ำส้มควันไม้ มีกลิ่นไหม้ ส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นกรดอะซิติกมีความเป็นกรดต่ำ มีสีน้ำตาลแกมแดง นำน้ำส้มควันไม้ที่ได้ทิ้งไว้ในภาชนะพลาสติกประมาณ 3 เดือนในที่ร่ม ไม่สั่นสะเทือนเพื่อให้น้ำส้มควันไม้ที่ได้ตกตะกอนและแยกตัวเป็น 3 ชั้นคือน้ำมันเบา (ลอยอยู่ผิวน้ำ) น้ำส้มไม้ และน้ำมันทาร์ (ตกตะกอนอยู่ด้านล่าง) แล้วแยกน้ำส้มควันไม้มาใช้ประโยชน์ต่อไป

*จากที่น้ำส้มควันไม้มีสารประกอบต่าง ๆ มากมาย เมื่อนำไปใช้ประโยชน์ทางการเกษตรจะมีคุณสมบัติ เช่น เป็นสารปรับปรุงดิน สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช และสารเร่งการเติบโตของพืช นอกจากนี้มีการนำน้ำส้มควันไม้ไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรม เช่น ใช้ผลิตสารดับกลิ่นตัว ผลิตสารปรับผิวนุ่ม ใช้ผลิตยารักษาโรคผิวหนัง เป็นต้นเนื่องจากน้ำส้มควันไม้มีความเป็นกรดสูง ดังนั้นก่อนที่จะนำไปใช้ควรจะนำมาเจือจางให้เกิดสภาวะที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของการใช้งาน

*คืออัตราส่วน 1: 20 (ผสมน้ำ 20 เท่า) พ่นลงดินเพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่ไม่เป็นประโยชน์และแมลงในดินซึ่งควรทำก่อนการเพาะปลูก 10 วัน อัตราส่วน 1: 50 (ผสมน้ำ 50 เท่า) พ่นลงดินเพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่ทำลายพืชหากใช้ความเข้มข้นที่มากกว่านี้รากพืชอาจได้รับอันตรายได้อัตราส่วน 1: 100 (ผสมน้ำ 100 เท่า) ราดโคนต้นไม้รักษาโรครา และโรคเน่า รวมทั้งป้องกันแมลงมาวางไข่ อัตราส่วน 1: 200 (ผสมน้ำ 200 เท่า) พ่นใบไม้รวมทั้งพื้นดิน รอบ ๆ ต้นพืชทุก ๆ 7-15 วันเพื่อขับไล่แมลงและป้องกันเชื้อราและรดโคนต้นไม้เพื่อเร่งการเจริญเติบโต

*อัตราส่วน 1: 500 (ผสมน้ำ 500 เท่า) พ่นผลอ่อน หลังจากติดผลแล้ว 15 วัน ช่วยขยายผลให้โตขึ้นและพ่นอีกครั้งก่อนเก็บเกี่ยว 20 วันเพื่อเพิ่มน้ำตาลในผลไม้ อัตราส่วน 1: 1,000 (ผสม น้ำ 1,000 เท่า) เป็นสารจับใบเนื่องจากสารเคมีสามารถออกฤทธิ์ได้ดีในสารละลายที่เป็นกรด อ่อน ๆ ช่วยเสริมประสิทธิภาพของสารเคมีทำให้สามารถลดการใช้สารเคมีมากกว่าครึ่ง นำน้ำส้มควันไม้ นอกจากการนำไปใช้ทางด้านเกษตรและปศุสัตว์แล้ว ยังสามารถนำไปใช้ด้านอื่น ๆ ได้ อีกเช่นความเข้มข้น 100 เปอร์เซ็นต์ ใช้รักษาแผลสด แผลถูกน้ำร้อน รักษาโรคน้ำกัดเท้าและเชื้อราที่ผิวหนังผสมน้ำ 20 เท่าราดทำลายปลวกและ มด ผสมน้ำ 50 เท่า ใช้ป้องกันปลวก มด และสัตว์ต่าง ๆ เช่น ตะขาบ แมงป่อง ผสมน้ำ 100 เท่า ใช้ฉีดพ่นถังขยะเพื่อป้องกันกลิ่นและแมลงวัน ใช้ดับกลิ่นในห้องน้ำห้องครัวและบริเวณชื้นแฉะ

*ข้อควรระวังในการใช้น้ำส้มควันไม้ คือก่อนนำน้ำส้มควันไม้ไปใช้ต้องทิ้งไว้จากการกักเก็บก่อนอย่างน้อย 3 เดือน เนื่องจากน้ำส้มควันไม้มีความเป็นกรดสูงควรระวังอย่าให้เข้าตาอาจทำให้ตาบอดได้ น้ำส้มควันไม้ไม่ใช่ปุ๋ยแต่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ดังนั้นการนำไปใช้ทางการเกษตรจะเป็นตัวเสริมประสิทธิภาพให้กับพืชแต่ไม่สามารถใช้แทนปุ๋ยได้ การใช้เพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์และแมลงในดินควรทำก่อนเพาะปลูกอย่างน้อย 10 วัน การนำน้ำส้มควันไม้ไปใช้ต้องผสมน้ำให้เจือจางตามความเหมาะสมที่จะนำไปใช้ การฉีดพ่นน้ำส้มควันไม้ เพื่อให้ดอกติดผล ควรพ่นก่อนที่ดอกจะบาน หากฉีดพ่นหลังจากดอกบานแมลงจะไม่เข้ามาผสมเกสร เพราะกลิ่นฉุนของน้ำส้มควันไม้และดอกจะร่วงง่าย.




*เชิญร่วมฟังบรรยายธรรม

วันพุธ ที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๑
เชิญร่วมฟังบรรยายธรรม โดย
หลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ
วัดป่าสุคะโต จ.ชัยภูมิ
เวลา ๑๗.๐๐ น.
ณ ศาลาปันมี ในโครงการ บานาน่าแฟมิลี่ ปาร์ก ซ.อารีย์ ๑





*จักรภพ เพ็ญแข กับคดีหมิ่นเดชานุภาพ

โดย : ใจ อึ๊งภากรณ์
เมื่อ : 31/05/2008 09:05 PM
กรณีการกล่าวหา จักรภพ เพ็ญแข ว่า "หมิ่นเดชานุภาพ" ที่สมาคมนักข่าวต่างประเทศในเดือนสิงหาคม 2550 เป็นการท้าทายสังคมไทยในสี่ประเด็นที่สำคัญ

1. พลเมืองไทยควรมีสิทธิ์ หรือไม่มีสิทธิ์ ที่จะพูดคุยถึงบทบาทหน้าที่ของสถาบันกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญในประเทศไทย?
2. กฎหมายหมิ่นเดชานุภาพ ถูกใช้โดยใคร เพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองอย่างไร?
3. ตกลงเรามีสถาบันกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ อย่างที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ หรือเรามีระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งขัดกับรัฐธรรมนูญไทย?
4. การใช้กฎหมายหมิ่นเดชานุภาพแบบนี้ โดยพรรคประชาธิปัตย์ร่วมกับพันธมิตรฯ เป็นการกระทำที่ผิดกับหลักประชาธิปไตย และขัดกับรัฐธรรมนูญ ซึ่งปกป้องสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกหรือไม่?

ขอออกตัวก่อนว่าผมเป็นฝ่าย "สองไม่เอา" ผมไม่เคยลงคะแนนเสียงให้ไทยรักไทย และพลังประชาชนแม้แต่ครั้งเดียว และวิพากษ์วิจารณ์ทั้งนายกทักษิณและสมัครมาตลอด และต้องสารภาพว่าครั้งหนึ่งในชีวิต ในช่วงที่ยังโง่อยู่ เคยผิดพลาดไปลงคะแนนเสียงให้พรรคประชาธิปัตย์ ก่อนวิกฤตเศรษฐกิจปี 40 คงไม่ทำอีก

มีใครบ้างที่สนใจว่าจักรภพพูดว่าอย่างไร?

ผมเชื่อว่าหลายคนที่ด่าจักรภพคงไม่สนใจเนื้อหา และอีกจำนวนมากทีมีความเห็นแตกต่างกันไป อาจไม่ได้อ่านต้นฉบับการถอดเทปภาษาอังกฤษที่อยู่ในเว็บไซท์รัฐบาล

*จักรภพกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงของบทบาท อำนาจ และความชอบธรรมในการปกครองของกษัตริย์ ตั้งแต่สุโขทัยถึงปัจจุบัน ในกรณีรัชกาลปัจจุบันมีการอธิบายว่า มีการผสมผสานความเชื่อเกี่ยวกับบทบาทจากทุกยุคในอดีต และบวกเรื่องใหม่เข้าไปคือกษัตริย์ในระบบประชาธิปไตย ปัญหาที่จักรภพเห็นคือ การส่งเสริมความเชื่อเรื่องบทบาทสถาบันกษัตริย์แบบนี้ โดยผู้อุปถัมภ์ในสังคม หรือคนต่างๆ ที่มีอำนาจ ซึ่งไม่ใช่กษัตริย์ ก่อให้เกิดความสับสน และที่สำคัญก่อให้เกิดความขัดแย้งกับระบบประชาธิปไตย เพราะมีการเสนอว่าประชาธิปไตยไทยๆ ต้องเป็น "ประชาธิปไตยภายใต้การนำของกษัตริย์"

ในความเห็นผม "ประชาธิปไตยภายใต้ผู้นำ" (Guided Democracy) เป็นระบบเผด็จการ เราเคยพบสมัย สฤษดิ์ หรือสมัย ซุการ์โน ในอินโดนีเซีย และแน่นอน ประชาธิปไตยภายใต้การนำของกษัตริย์ ต่างจากประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญปัจจุบัน

ในความเห็นของจักรภพ ระบบอุปถัมภ์มีปัญหาเพราะสร้างความเชื่อว่าพลเมืองไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งขัดกับประชาธิปไตย และในความเห็นผม น่าจะขัดกับรัฐธรรมนูญด้วย

จักรภพเสนอต่อไปว่ามีคนระดับสูงในชนชั้นปกครองที่บิดเบือนคำพูดของกษัตริย์ เช่นประธานองค์มนตรี และผู้พิพากษาชั้นสูงฯลฯ และคนเหล่านี้บิดเบือนคำพูดเพื่อประโยชน์ส่วนตน พร้อมสงเสริมความคิดโบราณแบบอุปถัมภ์ ว่าประชาธิปไตยไทยควรเป็นระบบภายใต้การนำของกษัตริย์

ทั้งหมดนี้ที่จักรภพกล่าวถึง ไม่มีหลักฐานอะไรว่าหมิ่นเดชานุภาพ และไม่ต่างจากที่นักวิชาการหลายๆ สาย สอนกันในหลักสูตรรัฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยไทย

ในความเห็นส่วนตัวของผม จักรภพ เป็นคนที่ขาดอุดมการณ์ทางการเมืองที่รักความเป็นธรรม ไม่ใช่นักการเมืองของภาคประชาชน เพราะชื่นชมนายกทักษิณ ซึ่งมีประวัติการละเมิดสิทธิมนุษยชนมานาน และจักรภพก็เข้าร่วมกับคนอย่าง สมัคร ที่มีรอยด่างจาก 6 ตุลา และโกหกเรื่องนี้มาตลอด ดังนั้นผมไม่ค่อยเป็นห่วงอนาคตของจักรภพ เพ็ญแข

แต่ถ้าเขาถูกตัดสินว่าหมิ่นเดชานุภาพจริง มันจะแปลว่า

1. พลเมืองไทยไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดคุยถึงบทบาทหน้าที่ของสถาบันกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญในประเทศไทย ในขณะที่ทหารเผด็จการสามารถทำรัฐประหารและฉีกรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยโดยอ้างถึงสถาบันกษัตริย์ได้

2. กฎหมายหมิ่นเดชานุภาพ จะถูกใช้โดยคนมีอำนาจต่อไป เพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองในการทำลายฝ่ายตรงข้าม โดยไม่เกี่ยวอะไรกับการรักษาปกป้องสถาบันกษัตริย์แต่อย่างใด

3. ชนชั้นปกครองอยากให้เราเชื่อว่าเรามีสถาบันกษัตริย์แบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งขัดกับรัฐธรรมนูญไทย

4. การใช้กฎหมายหมิ่นเดชานุภาพแบบนี้ โดยพรรคประชาธิปัตย์ร่วมกับพันธมิตรฯ เป็นการกระทำที่ผิดกับหลักประชาธิปไตย และขัดกับรัฐธรรมนูญ ซึ่งปกป้องสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก เราต้องประณาม

สิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย เป็นสิ่งที่สำคัญและงดงามยิ่ง เราต้องต่อสู้เพื่อปกป้องมันเสมอ


ใจ อึ๊งภากรณ์
พรรคแนวร่วมภาคประชาชน



โดย: jenifaae วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:22:13:39 น.  

 
*สัมมนา "ความมืดยามเที่ยง : ความรู้ทางรัฐศาสตร์กับทางออกการเมืองไทย"

ขอเชิญผู้สนใจทุกท่านเข้าร่วมฟังการสัมมนาเนื่องในโอกาสคณะรัฐศาสตร์ครบรอบ 59 ปี
วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน 2551

ณ ห้องทวีแรงขำ (ร.103) ชั้น 1 คณะรัฐศาสตร์

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
14.00 – 16.00 น.
สัมมนาเรื่อง

"ความมืดยามเที่ยง : ความรู้ทางรัฐศาสตร์กับทางออกการเมืองไทย"

ผู้ร่วมสัมมนา
รศ.ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มธ.
ศ.ดร. สุรชัย ศิริไกร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มธ.
ดร. เสกสรรค์ ประเสริฐกุล อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มธ.
รศ.ดร. เกษียร เตชะพีระ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มธ.

ผู้ดำเนินการสัมมนา
รศ.ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มธ.


โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น โปรดแจ้งความจำนงได้ที่นางสาวอภิวรรณ หรือนางสุนันทา โทร 02-613-2301 หรือ โทรสาร 02-226-5651






*ความเสี่ยงในการใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช กรณีชาวสวนผลไม้ภาคตะวันออก

โดย : มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) เมื่อ : 3/06/2008 11:15 AM มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) และเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมฟังการนำเสนอและร่วมแลกเปลี่ยนในหัวข้อ

'ความเสี่ยงในการใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช กรณีชาวสวนผลไม้ภาคตะวันออก: ประสบการณ์ภาคสนามและมุมมองจากมานุษยวิทยาการแพทย์'

นำเสนอโดย
- อ.ชิงชัย เมธพัฒน์ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
- นักศึกษาปริญญาเอก คณะมานุษยวิทยา (มานุษยวิทยาการแพทย์) มหาวิทยาลัยวอชิงตัน เมืองซีแอตเติล สหรัฐอเมริกา


ในวันที่จันทร์ที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๑ เวลา ๑๐.๓๐-๑๒.๓๐ น.

ณ ห้องประชุมสำนักงานเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก ๙๑๒ ซ.งามวงศ์วาน ๓๑ (ซอยย่อยที่ ๗) อ.เมือง จ. นนทบุรี โทร ๕๙๑๑๑๙๕-๖

เนื่องจากที่นั่งมีจำนวนจำกัดมากโปรดสำรองที่นั่งและสอบถามรายละเอียดได้ที่ ชลิตา บัณฑุวงศ์ อุณโณ เบอร์โทร ๐๘๐๕๙๔๐๐๓๖



โดย: jenifaae วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:22:14:02 น.  

 
*การเกิด สึนามิ

ที่มา ://www.vcharkarn.com/varticle/267
ผู้เขียน: พวงร้อย

หน้าที่ 1 - สึนามิ คืออะไร

* สึนามิ เป็นภาษาญี่ปุ่นแปลว่า Harbour Wave คำแรก สึ แปลว่า harbour คำที่สอง นามิ แปลว่า คลื่น ปัจจุบันใช้เป็นคำเรียก กลุ่มคลื่นที่มีความยาวคลื่นมากๆขนาดหลายร้อยไมล์ นับจากยอดคลื่นที่ไล่ตามกันไป เกิดขึ้นจากการที่น้ำทะเลในปริมาตรเป็นจำนวนมากมายมหาศาล ถูกผลักดันให้เคลื่อนที่ในแนวดิ่ง ด้วยเหตุมาจากการเคลื่อนไหวของเปลือกโลกส่วนที่อยู่ใต้ทะเลลึก บางครั้งก็เรียกว่า seismic wave เพราะส่วนใหญ่เกิดจากการเคลื่อนไหวดังกล่าว เรามักจะสับสนกับคำว่า สึนามิ กับ tidal wave ซึ่งเกิดจากน้ำขึ้นน้ำลง แต่ สึนามิ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับการขึ้นลงของน้ำเลย

สึนามิ ส่วนใหญ่ เกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกใต้ทะเลอย่างฉับพลัน อาจจะเป็นการเกิดแผ่นดินถล่มยุบตัวลง หรือเปลือกโลกถูกดันขึ้นหรือยุบตัวลง ทำให้มีน้ำทะเลปริมาตรมหาศาลถูกดันขึ้นหรือทรุดตัวลงอย่างฉับพลัน พลังงานจำนวนมหาศาลก็ถ่ายเทไปให้เกิดการเคลื่อนตัวของน้ำทะเลเป็น คลื่นสึนามิ ที่เหนือทะเลลึก จะดูไม่ต่างไปจากคลื่นทั่วๆไปเลย จึงไม่สามารถสังเกตได้ด้วยวิธีปกติ แม้แต่คนบนเรือเหนือทะเลลึกที่ คลื่นสึนามิ เคลื่อนผ่านใต้ท้องเรือไป ก็จะไม่รู้สึกอะไร เพราะเหนือทะเลลึก คลื่นนี้ สูงจากระดับน้ำทะเลปกติเพียงไม่กี่ฟุตเท่านั้น จึงไม่สามารถแม้แต่จะบอกได้ด้วยภาพถ่ายจากเครื่องบิน หรือยานอวกาศ

นอกจากนี้แล้ว สึนามิ ยังเกิดได้จากการเกิดแผ่นดินถล่มใต้ทะเล หรือใกล้ฝั่งที่ทำให้มวลของดินและหิน ไปเคลื่อนย้ายแทนที่มวลน้ำทะเล หรือภูเขาไฟระเบิดใกล้ทะเล ส่งผลให้เกิดการโยนสาดดินหินลงน้ำ จนเกิดเป็นคลื่น สึนามิ ได้ ดังเช่น การระเบิดของภูเขาไฟ คระคะตัว ในปี ค.ศ. ๑๘๘๓ ซึ่งส่งคลื่น สึนามิ ออกไปทำลายล้างชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนในเอเชีย มีจำนวนผู้ตายถึงประมาณ ๓๖,๐๐๐ ชีวิต

นอกเหนือไปจากนั้น ในกรณีที่มีความเป็นไปได้ไม่สูงมากนัก คือการที่เกิดอุกกาบาตตกใส่โลก ดังเช่นที่เกิดขึ้นเมื่อ ๖๕ ล้านปีมาแล้ว ทำลายล้างชีวิตบนโลกเป็นส่วนใหญ่ สรุปแล้วก็คือ สึนามิ จะเกิดขึ้นเมื่อ น้ำทะเลในปริมาตรมหาศาล ถูกผลักดันให้เคลื่อนออกจากตำแหน่งเดิมในแนวดิ่ง อย่างฉับพลันกระทันหันชั่วพริบตา ด้วยพลังงานมหาศาล น้ำทะเลก็จะกระจายตัวออกเป็นคลื่น สึนามิ ที่เมื่อไปถึงฝั่งใด ความพินาศสูญเสียก็จะตามมาอย่างตั้งตัวไม่ติด

*ลักษณะทางกายภาพของคลื่นสึนามิ

l ความยาวคลื่น คือระยะห่างจากยอดคลื่นหนึ่งไปยังยอดคลื่นถัดไป

P คือคาบเวลาระหว่างยอดคลื่นหนึ่งเดินทางมาถึงที่ที่ยอดคลื่นก่อนหน้าเพิ่งผ่านไป

Amplitude ของคลื่น คือความสูงของยอดคลื่นนับจากระดับน้ำทะเล

ความเร็วของคลื่น (velocity - V) คลื่นทะเลทั่วๆไปมีความเร็วประมาณ ๙๐ กม./ชั่วโมง แต่ คลื่น สึนามิ อาจจะมีความเร็วได้ถึง ๙๕๐ กม./ชั่วโมง ซึ่งก็พอๆกับความเร็วของเครื่องบินพาณิชย์ทีเดียว โดยจะขึ้นอยู่กับความลึกที่เกิดแผ่นดินถล่มใต้ทะเล ถ้าแผ่นดินไหวยิ่งเกิดที่ก้นทะเลลึกเท่าไหร่ ความเร็วของ สึนามิ ก็จะสูงขึ้นมากเท่านั้น เพราะปริมาตรน้ำที่ถูกเคลื่อนออกจากที่เดิม จะมีมากขึ้นไปตามความลึก คลื่น สึนามิ จึงสามารถเคลื่อนที่ผ่านท้องทะเลอันกว้างใหญ่ได้ภายในเวลาไม่นาน

*คลื่น สึนามิ ต่างจากคลื่นทะเลทั่วๆไป คลื่นทะเลทั่วไปเกิดจากลมพัดผลักดันน้ำส่วนที่อยู่ติดผิว จะมีคาบการเดินทางเพียง ๒๐-๓๐ วินาทีจากยอดคลื่นหนึ่งไปยังอีกยอดหนึ่ง และระยะห่างระหว่างยอดคลื่น หรือความยาวคลื่น มีเพียง ๑๐๐-๒๐๐ เมตร

แต่คลื่น สึนามิ มีคาบตั้งแต่ สิบนาทีไปจนถึงสองชั่วโมง และ ความยาวคลื่นมากกว่า ๕๐๐ กิโลเมตรขึ้นไป คลื่น สึนามิ ถูกจัดว่า เป็นคลื่นน้ำตื้น คลื่นที่ถูกจัดว่าเป็น คลื่นน้ำตื้น คือ คลื่นที่ ค่าอัตราส่วนระหว่าง ความลึกของน้ำ และ ความยาวคลื่น ต่ำมาก

อัตราการสูญเสียพลังงานของคลื่น จะผกผันกับความยาวคลื่น(ระยะห่างระหว่างยอดคลื่น)ยกกำลังสอง เนื่องจาก สึนามี มีความยาวคลื่นมากๆ ยิ่งยกกำลังสองเข้าไปอีก จึงสูญเสียพลังงานไปน้อยมากๆในขณะที่มันเคลื่อนตัวผ่านผืนสมุทร

และเนื่องจาก สึนามิ เป็น คลื่นน้ำตื้น จะมีความเร็วเท่ากับ
V = ึg * d

g คืออัตราเร่งของแรงโน้มถ่วงโลก ซึ่งมีค่า 9.8 เมตร/วินาที2 และ d คือความลึกของพื้นทะเล


สมมติว่า แผ่นดินไหวเกิดที่ท้องทะเลลึก ๖,๑๐๐ เมตร สึนามิจะเดินทางด้วยความเร็วประมาณ ๘๘๐ กม./ชม. จะสามารถเดินทางข้ามฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิคด้วยเวลาน้อยกว่า ๒๔ ชั่วโมงเสียอีก

*เมื่อ สึนามิ เดินทางมาถึงชายฝั่ง ก้นทะเลที่ตื้นขึ้นก็จะทำให้ความเร็วของคลื่นลดลง เพราะความเร็วของคลื่นสัมพันธ์กับค่าความลึกโดยตรง แต่คาบยังคงที่ พลังงานรวมที่มีค่าคงที่ ก็ถูกถ่ายเทไปดันตัวให้คลื่นสูงขึ้น

จาก ค่าความเร็ว V = l/P

ค่า V ลดลง, P คงที่ ค่า l ก็ต้องลดลง ผลก็คือ น้ำทะเลถูกอัดเข้ามาทำให้คลื่นสูงขึ้น ขึ้นอยู่กับสภาพชายฝั่งว่าเป็นอ่าวแคบหรือกว้าง ในชายฝั่งที่แคบ คลื่นสึนามิ จะมีความสูงได้หลายๆเมตรทีเดียว

ถ้ายอดคลื่นเข้าถึงฝั่งก่อน ก็จะเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า dragdown คือดูเหมือนระดับน้ำจะลดลงอย่างกระทันหัน ขอบน้ำทะเลจะหดตัวออกจากฝั่งไปเป็นร้อยๆเมตรอย่างฉับพลัน และในทันที่ที่ยอดคลื่นต่อมาไล่มาถึง ก็จะเป็นกำแพงคลื่นสูงมาก ขึ้นอยู่กับโครงร่างของชายหาด จะมีความสูงของคลื่นต่างกัน ดังนั้น คลื่นสึนามิ จากแหล่งเดียวกัน จะเกิดผลที่ต่างกันกับชายหาดที่ไม่เหมือนกันได้ น้ำที่ท่วมเข้าฝั่งกระทันหัน อาจไปไกลได้ถึง ๓๐๐ เมตร แต่คลื่น สึนามิ สามารถเดินทางขึ้นไปตามปากแม่น้ำหรือลำคลองที่ไหลลงทะเลตรงนั้นได้ด้วย หากรู้ตัวว่าจะมีคลื่นสึนามิ ผู้คนเพียงแต่อพยพออกไปจากฝั่งเพียงแค่เดิน ๑๕ นาที และให้อยู่ห่างจากแหล่งน้ำที่ไหลลงทะเลเข้าไว้ ก็จะปลอดภัยแล้ว

* การเคลื่อนที่ของเปลือกโลกที่เรียกว่า Subduction (ภาพโดย USGS)

การเกิดแผ่นดินถล่มใต้ท้องทะเลลึก มักจะมาจากการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลกสองแผ่นที่ดันเข้าหากัน แรงเสียดทานจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อถึงจุดที่แรงปะทะจากแผ่นเปลือกโลกมีเหนือค่าแรงเสียดทานแล้ว ก็จะเกิดการเคลื่อนตัวอย่างฉับพลัน การเคลื่อนตัวที่แผ่นหนึ่งมุดเข้าใต้อีกแผ่น เรียกว่า Subduction ทำให้เปลือกโลกตรงรอยต่อ ถูกหนุนสูงขึ้นหรือทรุดฮวบยวบตัวลง น้ำทะเลเหนือส่วนนั้นก็ถูกดันหรือดูดเข้ามาแทนที่อย่างฉับพลัน การเคลื่อนตัวของน้ำในปริมาตรหลายๆล้านตัน ทำให้เกิดคลื่นสะท้อนออกไปทุกทิศ เป็นแหล่งกำเนิดของ คลื่นสึนามิ นั่นเอง

ขอขอบคุณ
วิชาการ.คอม



โดย: jenifaae วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:22:14:26 น.  

 
*บูรณาการแพทย์แผนปัจจุบัน ใช้ 'ใบตอง' ปิดแผลไหม้แทนผ้าก๊อซ

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 28 พฤษภาคม 2551 14:51 น.

*'ใบตอง' วิเศษพิชิตแผลไหม้ ภูมิปัญญาชาวบ้านบูรณาการการแพทย์แผนปัจจุบันใช้ปิดแผลไฟไหม้แทนผ้าก๊อซ ไม่ติดแผลเวลาแกะล้างแผล ช่วยให้แผลหายเร็ว พบผู้ป่วยพึ่งพอใจ 100% ทั้งยังประหยัดเงินค่าทำแผลได้เท่าตัว

วันนี้ (27 พ.ค.) ที่โรงแรมปรินซ์ พาเลซ ในการประชุมวิชาการกระทรวงสาธารณสุข นางอรทัย ไพรบึง พยาบาลวิชาชีพ 7 ศูนย์สุขภาพชุมชนปราสาทเยอ อำเภอไพรบึง จ.ศรีสะเกษ ได้นำเสนอผลงานวิชาการในสาขานวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์เรื่อง ใบตองวิเศษพิชิตแผล แคร์ความรู้สึก โดย นางอรทัย กล่าวว่า ได้นำใบตองมาใช้ในการทำแผลแทนการใช้ผ้าก๊อซ โดยจะนำมาปิดแผลให้กับผู้ป่วยที่มีแผลไฟไหม้ในระดับเบื้องต้น คือ ระดับ 1 และระดับ 2 ทำให้เวลาล้างแผล ผู้ป่วยจะไม่ทุกข์ทรมานจากการที่ผ้าก๊อซติดกับแผล ซึ่งใบตองมีคุณสมบัติที่ดีเป็นผิวมัน ไม่หยาบ หรือขรุขระเหมือนใบไม้ชนิดอื่น ที่สำคัญคือทำให้แผลหายเร็วกว่าปกติ เพราะเมื่อไม่มีการกระชากดึงแผล เซลล์ที่กำลังเติบโตของแผลก็จะไม่ถูกทำลาย อีกทั้งใบตองมีความชุ่มชื้นที่แผลไฟไหม้ต้องการ

นางอรทัย กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ผลการศึกษาความพึงพอใจสำหรับผู้รับบริการในการปิดแผลไหม้ด้วยใบตอง จำนวน 37 คน ในปี 2549 จนถึงปัจจุบัน พบว่า ผู้ป่วยมีความพึงพอใจ 100% ซึ่งบอกตรงกันว่าไม่ปวดแสบแผล เย็นสบาย เวลาแกะแผลไม่เจ็บ และอุบัติการณ์ความเสี่ยงที่ติดเชื้อนั้น เป็น 0% ทั้งนี้ หากใช้ผ้าก๊อซการหายของแผลจะประมาณ 5-10 วัน แต่แผลที่ใช้ใบตองจะใช้เวลาไม่เกิน 5 วันเท่านั้น อีกทั้งยังไม่ต้องใช้น้ำเกลือในการแกะแผล ซึ่งปกติใช้ประมาณ 50-100 ซีซี เมื่อรวมต้นทุนในการพยาบาลบาดแผลไฟไหม้จากต้นทุนการใช้ผ้าก๊อซจำนวน 911 บาท แต่หากใช้ใบตองมีต้นทุนเพียง 385 บาทเท่านั้น

'ในระดับศูนย์สุขภาพชุมชนไม่สามารถเบิกผลิตภัณฑ์ที่ป้องกันไม่ให้ผ้าก๊อซติดแผลได้ จึงได้นำแนวคิดการปิดแผลไหม้จากตึกศัลยกรรมการดูแลไฟไหม้ของโรงพยาบาลศิริราชมาประยุกต์ใช้ อีกทั้งใบตองเป็นวัสดุที่หาได้ง่ายในพื้นที่ อย่างผู้ป่วยคนหนึ่งเจอน้ำมันเบนซินราดขาทั้ง 2 ข้าง มีอาการทุกข์ทรมานมากเวลาล้างแผล เพราะแผลติดกับผ้าก็อซ จนวันที่ 3 ที่ล้างแผลได้มากหากเราจึงได้ใช้ใบตอง ทำให้เขาไม่ต้องเจ็บปวดอีกต่อไป' นางอรทัย กล่าว

นางอรทัย กล่าวด้วยว่า เบื้องต้นจะต้องนำใบตองมาล้างทำความสะอาด จากนั้นก็ตัดใบตองตามขนาดของแผล และทำความสะอาดด้วยแอลกอฮอล์ 70% จึงนำมาปิดแผลแล้วปิดตามด้วยผ้าก๊อซ เพื่อให้ไม่ลื่นหลุด อย่างไรก็ตาม ใบตองก็ยังมีข้อจำกัดสำหรับแผลที่อยู่ในบริเวณที่ระบายเหงื่อได้ดี เช่น แขน ขา ลำตัว แต่ไม่สามารถพันบริเวณรักแร้ ข้อมือ ข้อพับต่างๆ ได้

'หากคนทั่วไปในเมืองต้องการจะใช้ใบตองควรทำความสะอาดให้ดี หากนำมาปฐมพยาบาลแผลไฟไหม้ควรทาว่านหางจระเข้หนา 2-5 มิลลิเมตรแล้วนำใบตองมาปิด ถือเป็นการประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นบูรณาการกับเทคนิคการรักษาพยาบาลแผนปัจจุบัน ซึ่งผู้รับบริการมีความพึงพอใจในรูปการให้บริการแนวใหม่ควรมีการขยายผลสำเร็จของนวัตกรรมสู่เครือข่ายบริการสุขภาพในระดับปฐมภูมิ' นางอรทัย กล่าว




*สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลง ลงบอกแผ่นดินไหว

วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 18 ฉบับที่ 6391 ข่าวสดรายวัน

*ก่อนหน้าแผ่นดินไหวที่บริเวณเมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน จีนก็เคยเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่มาแล้ว โดยเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ.2519 เกิดแผ่นดินไหวที่เมืองถังซาน คราวนั้นมีผู้เสียชีวิตถึง 240,000 คน

นายฟู่ เหวิน หรัน ผู้ที่รอดชีวิตจากโศกนาฏกรรมที่ถังซานเล่าว่า ก่อนเกิดแผ่นดินไหว บรรดาสัตว์พากันแสดงอาการแปลกๆ อย่างกบและคางคกนับหมื่นตัวออกมาเพ่นพ่านที่เสฉวน "ตอนนั้นผมทำไร่อยู่ ได้ยินเสียงหมาป่าเห่าหอนตลอดเวลา พวกงู หนูออกมาจากใต้ดิน ส่วนม้า วัวตื่นตระหนกและเตะคอกอย่างรุนแรง น้ำในบ่อแห้งลงอย่างรวดเร็ว และกลับมาเต็มบ่อ ก่อนแผ่นดินไหวเมื่อเวลา 15.42 น. เพียงไม่กี่ชั่วโมง"

ดร.จอร์จ พาราราส-คารายันนิส จากสถาบันสึนามิของโฮโนลูลู กล่าวว่า แผ่นดินอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านกายภาพและเคมี ทำให้เหล่าสัตว์ทราบว่ากำลังจะเกิดแผ่นดินไหว การศึกษาพฤติกรรมสัตว์อาจทำให้เราทราบถึงภัยที่กำลังจะเกิดขึ้น เพราะแม้ปัจจุบันจะมีเครื่องมือตรวจจับแผ่นดินไหวมากมาย แต่ก็ยังไม่เคยมีการคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำ

นายฟู ปัจจุบันอายุ 66 ปี ยังเล่าต่อว่า "ผู้คนอารมณ์ยังร้อนรุนแรง มีคนทะเลาะกัน ชกต่อยกันในคืนก่อนแผ่นดินไหวหลายคู่" ด้านนายฉางชิง อายุ 71 กล่าวเพิ่มเติมว่า "คืนก่อนแผ่นดินไหวเวลาตีสอง อากาศร้อนจัด ชาวบ้านลุกขึ้นมาอาบน้ำกันหลายคน แต่เมื่อเกิดแผ่นดินไหวไปแล้ว น่าแปลกใจที่อากาศเย็นลงทันที" เป็นไปได้ว่า อาจเป็นเพราะจู่ๆ ก็เกิดคลื่นความร้อนโดยไม่ทราบสาเหตุ

ในเหตุแผ่นดินไหวหลายแห่งทั่วมุมโลก มีรายงานว่า อุณหภูมิสูงขึ้น ซึ่งนักวิทยาศาสตร์คาดว่า เป็นเพราะแรงดันใต้แผ่นดิน นอกจากนี้ ยังมีแสงสว่างวาบบนท้องฟ้า เหมือนกับแสงไฟจากการระเบิด หรือที่เรียกว่า "แสงแผ่นดินไหว" นักวิทยาศาสตร์บางคนมีความเห็นว่า ผู้ที่เห็นแสงนี้เกิดจากความผิดปกติทางจิต ขณะที่นักปฐพีวิทยาเชื่อว่าเป็นแสงที่เกิดจากสนามแม่เหล็กจากใต้พื้นดิน


โดย: jenifaae วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:22:14:54 น.  

 
*การสัมมนา หัวข้อ “ธุรกิจนวัตกรรม... ทางรอดในสมรภูมิทะเลสีเลือด”

วันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน 2551 เวลา 14.00 - 17.00 น.
ณ ห้อง Meeting Room 1-2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

จัดโดย
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ร่วมกับ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ

วิทยากร :

• นายตัน ภาสกรนที
ประธานกรรมการ บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
• นายแดน ศรมณี
กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟาร์อีสท์ ดีดีบี จำกัด (มหาชน)
• นายดนัย จันทร์เจ้าฉาย
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไดเร็กท์ มีเดีย กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด




*การฝึกอบรมการวิจัย 3 หลักสูตร

ศูนย์ศึกษาและฝึกอบรมการวิจัย จัดโครงการฝึกอบรม โดยมี 4 หลักสูตร ดังนี้
1. หลักสูตร 'เทคนิคการสร้างแบบสอบถาม' วันที่ 21-23 พฤษภาคม 2551 ณ โรงแรมกานต์มณี พาเลซ สะพานควาย กทม.
2. หลักสูตร 'เทคนิคการสุ่มตัวอย่าง' วันที่ 18-20 มิถุนายน 2551 โรงแรมอลิซาเบธ สะพานควาย กทม.
3. หลักสูตร 'การเขียนรายงานวิจัย บทความทางวิชาการ บทคัดย่อ และบทสรุปสำหรับผู้บริหาร' วันที่ 25-27 มิถุนายน 2551 โรงแรมอลิซาเบธ สะพานควาย กทม.

<< รายละเอียดโครงการ และใบสมัคร >>


ทั้งนี้ จึงใคร่ขอเรียนเชิญผู้สนใจเข้าร่วมการฝึกอบรมดังกล่าว ส่งใบสมัครพร้อมค่าลงทะเบียนไปยังศูนย์ศึกษาและฝึกอบรมการวิจัย เลขที่ 72 ซอยโกสุรวมใจ 14 ถนนโกสุมรวมใจ หลักสี่ เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ 10210 โทรสำรองที่นั่งได้ที่ 0-2503-7631, 0-2503-8680
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร 0-2503-7631


วช. ขอเชิญเข้ารับการฝึกอบรม 3 โครงการ


ด้วยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จะจัดการฝึกอบรมเกี่ยวกับการวิจัย 4 โครงการ ได้แก่
1. โครงการฝึกอบรมเรื่อง 'นักวิจัยที่ดีสู่สังคมไทย' จำนวน 2 รุ่น ๆ ละ 500 คน
รุ่นที่ 1 วันที่ 23 มิถุนายน 2551รับเพิ่มได้อีก 2 คน
รุ่นที่ 2 วันที่ 30 มิถุนายน 2551รับเพิ่มได้อีก 3 คน
2. โครงการฝึกอบรมเรื่อง 'การเรียนรู้การวิจัยในศักยภาพใหม่' จำนวน 2 รุ่น ๆ ละ 50 คน
รุ่นที่ 1 วันที่ 24-25 มิถุนายน 2551
รุ่นที่ 2 วันที่ 26-27 มิถุนายน 2551
3. โครงการฝึกอบรมเรื่อง 'การทำวิจัยตามรอยเบื้องพระยุคลบาท' จำนวน 2 รุ่น ๆ ละ 50 คน
รุ่นที่ 1 วันที่ 18-20 สิงหาคม 2551
รุ่นที่ 2 วันที่ 25-27 สิงหาคม 2551
ทั้ง 3 โครงการ (ไม่มีค่าลงทะเบียน) ฝึกอบรม ณ ห้องรวยเพชร โรงแรมมารวย การ์เด้น กรุงเทพฯ แต่จำกัดผู้เข้าอบรมแต่ละหน่วยงาน แยกตามแต่ละโครงการ

<< รายละเอียดและใบสมัคร >>


ทั้งนี้ ขอเชิญผู้สนใจส่งใบสมัครเข้าอบรมไปยัง วช. ทางโทรสาร 0-2940-6289 ภายในวันที่ 30 พฤษภาคม 2551
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร 0-2561-2445 ต่อ 480, 489


โดย: jenifaae วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:22:15:22 น.  

 
*ใจ อึ๊งภากรณ์ - สมาชิกพรรคแนวร่วมภาคประชาชน

สมศักดิ์ โกศัยสุข พิภพ ธงไชยและสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ไม่ยอมร่วมประณามสื่อผู้จัดการตามคำขอของนักวิชาการและผู้นำภาคประชาชน 130 คน
นี่คือท่าทีและคำตอบของ สมศักดิ์ โกศัยสุข พิภพ ธงไชย และ สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ต่อข้อเรียกร้องที่ให้เขาออกมาร่วมประณามสื่อ ผู้จัดการ กรณีที่ยุให้พวกฝ่ายขวาก่อความรุนแรงต่อคนที่คิดต่าง เหมือนกรณี ดาวสยาม ในเหตุการณ์ ๖ ตุลา
เมื่อนักข่าวเลี้ยวซ้าย ถาม:สมศักดิ์ โกศัยสุข ตอบว่า "ตอนนี้ผมไม่ว่าง"
สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ตอบว่า "ผมไม่ให้สัมภาษณ์ เพราะกลัวว่าจะบิดเบือนคำสัมภาษณ์ของผม พรุ่งนี้คุณไปหาผมที่บ้านพระอาทิตย์(สำนักงานของสนธิ ลิ้มทองกุล และผู้จัดการ) เราจะมีประชุมแกนนำพันธมิตรฯ"
หลังจากการประชุมพันธ์มิตรฯ ที่สำนักงานของ ผู้จัดการ ในวันที่ 22 พฤษภาคมดังกล่าว แกนนำพันธมิตรฯ ซึ่งรวมถึงสมศักดิ์ โกศัยสุข พิภพ ธงไชย และ สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ประกาศว่าจะจัด "ชุมนุมใหญ่" เพื่อพิทักษ์รัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2550 (ของเผด็จการทหาร) และระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในวันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม 2550 โดยอ้างว่า "มีกระบวนการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างกว้างขวาง ที่มาในหลายรูปแบบ เช่น เว็บไซต์จำนวนมาก สื่อสิ่งพิมพ์ ซีดี แผ่นปลิว"
และก่อนหน้านั้น เทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ (พรรคของ ส.ส. สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์) ได้ออกมา "เผย" โฉม 29 เว็บไซต์ "สุ่มเสี่ยง" และอ้างว่าเป็นเว็บไซต์ "อันตราย" ที่ส่อเค้าหมิ่นเบื้องสูง พร้อมทั้งจี้ให้ รัฐบาล และ กระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศ จัดการ ...ใน 29 เว็บไซต์นั้นมี ประชาไท มหาวิทยาลัยที่ยงคืน และฟ้าเดียวกัน ซึ่งเป็นเว็บไซท์ภาคประชาชนที่มีความอิสระแท้จากอิทธิพล ทักษิณ พรรคพลังประชาชน หรือพันธมิตร
เราต้องสรุปว่า สมศักดิ์ โกศัยสุข พิภพ ธงไชย และ สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ เห็นด้วยกับพฤติกรรมการส่งเสริมความรุนแรงกับคนคิดต่างของสื่อ ผู้จัดการ และยังเห็นชอบกับการนำแนวขวาตกขอบของ สนธิ ลิ้มทองกุล ที่เชิดชู "ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์" เพื่อข่มขู่ ทำร้าย ปิดปาก เซ็นเซอร์ความคิดอิสระของคนในภาคประชาชน ตามแนวทางที่สมัคร สุนทรเวช น.ส.พ.ดาวสยาม วิทยุยานเกราะ ลูกเสือชาวบ้าน นวพล และกระทิงแดง เคยใช้ในเหตุการณ์นองเลือด ๖ตุลา ๒๕๑๙ เรามีทางเลือกที่มากกว่า และดีกว่า แค่พันธมิตร/สมัคร/ทักษิณ/สนธิ/พลังประชาชน/ทหาร!!
ถึงเวลาแล้วที่สมาชิกธรรมดา ขององค์กรภาคประชาชน คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงาน และองค์กรอื่นๆ ที่รักประชาธิปไตยและความเป็นธรรม จะต้องตั้งคำถามกับการนำของ สมศักดิ์ โกศัยสุข พิภพ ธงไชย และ สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ เพื่อพิจารณาปลีกตัวออกจากอิทธิพลพันธมิตรฯ และสร้างกระแสอิสระของภาคประชาชน ที่ไม่สนับสนุน ทักษิณ พลังประชาชน ทหารเผด็จการ หรือ สนธิ ลิ้มทองกุล
เราต้องเดินหน้ารณรงค์ให้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ โดยการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ต้องรณรงค์เพื่อรัฐสวัสดิการ ต้องมีการเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้าจากคนรวยอย่างสนธิกับทักษิณ ต้องถอนทหารตำรวจจากภาคใต้เพื่อสร้างสันติภาพ ต้องขึ้นค่าจ้างให้ทันกับอัตราเงินเฟ้อ ต้องปกป้องอาชีพของเกษตรกรและชาวประมงรายย่อย ต้องให้สิทธิกับแรงงานข้ามชาติ ต้องยกเลิกกฎหมายหมิ่นเดชานุภาพ ไม่ใช่มาหลงทาง ตกเป็นเหยื่อในข้อขัดแย้งระหว่างนายทุนชนชั้นปกครองสองซีก

ใจ อึ๊งภากรณ์
สมาชิกพรรคแนวร่วมภาคประชาชน

รายละเอียดผู้ลงชื่อทั้งหมด ในจดหมายเปิดผนึก
ดูได้ในเว็บไซท์ประชาไท //www.prachatai.com

ดูวิดีโอใหม่ เรื่องพันธมิตรประชาชนเพื่อ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเผด็จการ ที่
//www.youtube.com/watch?v=BTqw_rGBkzo






*เวทีสาธารณะ:กฎหมายความปลอดภัยทางชีวภาพ (GMO)

โดย : องค์กรร่วมจัด เมื่อ : 9/06/2008 10:31 AM
จากการที่ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายเฉพาะเพื่อการควบคุมการใช้เทคโนโลยีของสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม หรือ GMOs และที่ผ่านมาได้พบการหลุดรอดของพืชดัดแปลงพันธุกรรมอย่างน้อย 3 ชนิด ได้แก่ ฝ้าย มะละกอและข้าวโพด เป็นต้น โดยที่หน่วยงานภาครัฐยังไม่ได้ดำเนินการใดๆ เพื่อเยียวยาการหลุดรอดที่เกิดขึ้นในอดีต รวมทั้งยังไม่มีหลักประกันถึงความปลอดภัย ต่อระบบการเกษตร และการรักษาฐานทรัพยากรอาหารของประเทศ ที่ดีเพียงพอก่อนที่จะมีการใช้เทคโนโลยีของสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม

ดังนั้นภาคประชาชนร่วมกับเครือข่ายนักวิชาการจึงได้ดำเนินการเพื่อยกร่างกฎหมายว่าด้วยปลอดภัยทางชีวภาพของสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมของภาคประชาชนขึ้น ในการนี้ คณะทำงานผลักดันกฎหมายทางชีวภาพประกอบด้วย

- มูลนิธิชีววิถี (BioThai)
- เครือข่ายอโศก
- เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก
- มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย)
- กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
– สมาคมการค้าเกษตรอินทรีย์
- สหพันธ์องค์กรผู้บริโภค
- มูลนิธิชีวิตไท (RRAFA)
- มูลนิธิข้าวขวัญ
- มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค

ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมเวทีสาธารณะ
ว่าด้วยเรื่อง กฎหมายความปลอดภัยทางชีวภาพ
ความจำเป็นต่อการรักษาฐานทรัพยากรอาหารของประเทศ

ในวันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน 2551 ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กรุงเทพฯ

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ขอใบสมัครเพื่อเข้าร่วมเวที ได้ที่
คุณจักรกฤษณ์ พูลสวัสดิ์กิติกูล โทรศัพท์ 083-0066234 หรือ 02-985 3837 หรือ jukkrit@biothai.net
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ //www.food-resources.org หรือ //www.biothai.net

หมายเหตุ สงวนสิทธิ์ในการเข้าร่วมเวทีเฉพาะผู้ที่ส่งใบสมัคร
หรือแจ้งความจำนงในการเข้าร่วมประชุมก่อนวันที่ 15 มิถุนายน 2551 เท่านั้น


โดย: jenifaae วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:22:15:49 น.  

 
*เชื่อป่าว แมลงสาบที่แท้จริงเปนมนุษย์ต่างดาว‏?

"แมลงสาป" สัตว์โลกหกขาที่น่าพิศวง ซึ่งปรากฎร่องรอยบนพิภพนี้นับแต่ยุคไดโนเสาร์ เหตุใดมันจึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถก้าวข้ามผ่านกาลเวลาเหลื้อทิ้งลูกหลานสืบพันธุ์มาได้จนปัจจุบัน ในที่ปริศนานี้ก็ได้ถูกไขลง เหตุเพราะมันมิใช่สิ่งมีชีวิตบนพื้นโลกนี้นี่เอง

นักวิชาการกล่าวว่า ได้มีการทำวิจัยมานานแล้ว และมีเหตุผลหลายประการซึ่งชี้ให้เห็นได้ว่า แท้จริงแล้วแมลงสาปเป็นสิ่งมีชีวิตจากอวกาศ

เช่น

สามารถอดอาหารได้เป็นเวลานานมากๆ โดยยังสามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยความรวดเร็วในระดับปกติ

มีพลังชีวิตในระดับสูงและความทนทานต่อการเจ็บปวดต่างๆได้ดี ซึ่งจากการวิจัย ชี้ให้เห็นว่า แม้จะถูกตัดหัว มันก็ยังสามารถมีชีวิตต่อไปได้อีก 7วัน ซึ่งพลังชีวิตระดับนี้นั้น มีไว้ก็เพื่อให้สามารถรับแรงกดดันในชั้นบรรยากาศนอกดาวเคราะห์นั่นเอง

และปริศนาสุดท้าย ว่าเหตุใด แม้จะมีปีก แต่เจ้าแมลง6ขาชนิดนี้กลับบินได้ในระดับที่เรียกได้ว่าไม่สูงนักนั้น

เหตุผลก็เพราะว่า ในขณะมีชีวิตในอวกาศนั้น จะอยู่ในสภาพไร้ซึ่งแรงโน้มถ่วง ทำให้มันสามารถบินได้อย่างอิสระและรวดเร็วโดยไม่ต้องใช้พลังงานมากนัก ซึ่งทำให้มันสามารถกักเก็บพลังงานในการท่องอวกาศไปได้เป็นอย่างมาก เหตุนี้ เมื่อเข้ามาอยู่ภายใต้ขแรงดึงดูดของดาวเคราะห์ มันจึงทำได้เพียงต่อต้านพลัง G (gravity) ได้ในระดับหนึ่งเพียงเท่านั้น

อนึ่งแม้จะสอบยันลงความกันในหมู่นักวิทยาศาสตร์ระดับสูงแล้วว่าการวิจัยต่างๆชี้ผลไปในทิศทางเดียวกัน แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังคงทำการทดลองเกี่ยวกับเจ้าแมลงน่าพิศวงตัวนี้ต่อไปอีกเพื่อไขปริศนาความลับต่างๆของมันออกมาให้ได้มากที่สุด

ยกตัวอย่างเช่น

คณะวิจัยผู้ทรงภูมิคณะหนึ่ง ได้อยากทราบว่า แมลงสาปใช้อวัยวะส่วนใดในการฟังเสียง

พวกเขาจึงได้เลือกทำการทดลอง โดยแบ่งออกเป็น4ตัวอย่างที่น่าสนใจและคาดว่าน่าใช่มากที่สุด

ตัวอย่างแรก พวกเขาทำการเด็ดหนวดของมันออก

ตัวอย่างที่สอง พวกเขาเด็ดปีกมันออก

ตัวอย่างที่3 เขาผ่าหัวของแมลงสาปตัวนั้นออกมาเลย

และตัวอย่างสุดท้ายพวกจัดการแยกขาออกจาตัว

โดยการทดลองก็ไม่ได้สลับซับซ้อนอย่างใดมากมายนัก ซึ่งก็คือหลังจากเตรียมตัวอย่างเรียบร้อยแล้วก็นำไปบรรจุไว้ในกล่องโลหะ4เหลี่ยมซึ่งกักกั้นเสียงและแสงได้เป็นอย่างดี

จากนั้นพวกเขาก็จะเปิดกล่องของตัวอย่าง และตะโกนใส่กล่องทีละกล่องเพื่อดูว่า แมลงสาปที่ขาดส่วนใดไป จะไม่แสดงปฏิกิริยาตอบสนองต่อเสียงที่ดังขึ้น

พวกเขาเปิดกล่องใบที่1ขึ้น พร้อมทั้งส่งเสียงร้องว่า "Go go go!!"

ตัวอย่างที่หนึ่งตกใจและออกวิ่งทันที

หนวดจึงมิใช่อุปกรณ์ในการรับเสียงของแมลงสาป

กล่องที่บรรจุตัวอย่างที่2จึงถูกเปิดขึ้น

สิ้นเสียง "Go go go!!" ตัวอย่างที่2ก็ออกวิ่งอย่างว่องไว

ปีกจึงมิใช่อุปกรณ์รับเสียงของแมลงสาปเช่นกัน

หมดตัวอย่างไปครึ่งหนึ่ง คณะวิจัยเริ่มอ้อนวอนต่อพระเจ้า ขอให้การทดลองของพวกเขาประสพผลสำเร็จ

แต่ตัวอย่างที่สามยังคงออกวิ่งโดยไม่แสดงความสงสารต่อกลุ่มนักวิทยาศาสตร์แต่อย่างใดภายหลังได้รับเสียงตะโกน

คณะวิจัยเริ่มพากันหมดหวัง แต่ยังเหลือตัวอย่างสุดท้าย พวกเขาจึงได้แต่ฝากความหวังไว้และทำการทดลองต่อไป

แต่ปรากฎว่า มันได้ผล!! ไม่น่าเชื่อ ตัวอย่างสุดท้ายไม่ออกวิ่ง แม้จะได้รับการตะโกนใส่ซ้ำๆ อยู่ถึง5รอบ

เหล่านักวิทยาศาสตร์ต่างพากันโห่ร้องดีใจที่ผลการทดลองประสพผลสำเร็จในตัวอย่างสุดท้าย หรือก็คือ แมลงสาปตัวที่ถูกแยก "ขา" ออกจากตัวของมัน

และในไม่กี่วันต่อมาพวกเค้าก็แถลงผลการวิจัยต่อสาธารณชนว่า "ขา" คือส่วนที่แมลงสาปใช้ในการรับฟังเสียงนั่นเอง

นี่เป็นเพียงหนึ่งในงานวิจัยหลายๆชิ้นของเหล่านักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายเกี่ยวกับแมลงสาปซึ่งเราได้ติดตามมาบอกกล่าวให้ท่านได้ทราบ

ต่อไป หากเราได้ข่าวคืบหน้าเกี่ยวกับงานวิจัยชิ้นใด เราจะติดตามเพื่อนำมาบอกกล่าวกับท่านต่อไปครับ

ขอบคุณที่สละเวลาอันมีค่ามารับฟังผลงานวิจัยเหล่านี้

แล้วพบกันใหม่เมื่อการวิจัยอันยิ่งใหญ่เสร็จสิ้นครับ




*ไฟเขียวเซ็นทรัลยืดสัญญา30ปี "สันติ"สั่งรถไฟเพิ่มผลตอบแทน

ประชาชาติธุรกิจ ออนไลน์ - วันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 4004 (3204)

"สันติ พร้อมพัฒน์" สวนคณะกรรมการตามมาตรา 13 พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ หนุนต่อสัญญาเช่าที่ดินห้างเซ็นทรัลย่านพหลโยธิน 30 ปี แทน 20 ปี แต่ให้การรถไฟฯเจรจาต่อรองขอผลตอบแทนเพิ่มจากที่เซ็นทรัลเสนอแค่ 1.4 หมื่นล้าน ชี้เป็นทางเลือกที่ทำให้การรถไฟฯได้ประโยชน์สูงสุด เมินนำโมเดลต้นแบบจุฬาฯ-มาบุญครองมาใช้

นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จากที่การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ได้รายงานความคืบหน้าของการเจรจาเช่าที่ดิน 47.22 ไร่ บริเวณสามเหลี่ยมพหลโยธิน ระหว่างการรถไฟฯกับบริษัท เซ็นทรัลอินเตอร์พัฒนา จำกัด ตนพิจารณาแล้วเห็นว่าข้อเสนอของเซ็นทรัลที่ขอต่ออายุสัญญาเช่าที่ดินผืน ดังกล่าวอีกเป็นเวลา 30 ปี มีความเป็นไปได้มากที่สุดและน่าจะทำให้การรถไฟฯได้ประโยชน์สูงสุด แม้จะมีความเห็นแตกต่างไปจากข้อเสนอของคณะกรรมการมาตรา 13 ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535 และบริษัทที่ปรึกษาที่เห็นว่าการต่อสัญญาที่ 20 ปีการรถไฟฯได้ประโยชน์สูงสุด แต่จะให้การรถไฟฯเจรจาต่อรองผลตอบแทนเพิ่มจาก 14,000 ล้านบาทที่เซ็นทรัลเสนอ เพราะดูแล้วต่ำเกินไป น่าจะได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นอีก

สาเหตุที่คิดว่าการต่อสัญญาให้เซ็นทรัล 30 ปีเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะก่อนหน้านี้ตนได้ถามคณะกรรมการว่า เพราะเหตุใจจึงคิดว่าการต่อสัญญาเช่า 20 ปีดีที่สุด ปรากฏว่าคณะกรรมการตอบคำถามไม่ได้

นอกจากนี้ทางเลือกในการต่อสัญญาเช่าให้ 20 ปีนั้น ถ้าหากเจรจากับเซ็นทรัลแล้วเซ็นทรัลรับไม่ได้ ก็จะต้องเปิดประมูลหาผู้เช่ารายใหม่ ถึงตอนนั้นจะให้เช่ากี่ปี ซึ่งคณะกรรมการชี้แจงว่าหากเจรจากับเซ็นทรัลไม่ได้ข้อยุติก็จะเปิดประมูลแบบฟรีสไตล์ เอกชนที่จะเข้าร่วมประมูลจะขอเช่าที่ 20 ปี หรือ 30 ปีก็ได้ ซึ่งน่าจะมีปัญหาเพราะถ้าหากมีคนเสนอ 30 ปี แล้วการรถไฟฯตกลงให้เช่า กลุ่มเซ็นทรัลอาจจะฟ้องร้องได้ เพราะเวลาเจรจากับเซ็นทรัลไม่ยอมให้เช่า 30 ปี ซึ่งอาจจะผิดสัญญา

ที่สำคัญกรณีเปิดประมูลหาผู้เช่ารายใหม่ ถ้าไม่มีใครเสนอตัวประมูลเช่า ใครจะรับผิดชอบ หรือถ้าใช้ทางเลือกที่ 20 ปีเป็นหลัก แล้วตกลงกับเซ็นทรัลไม่ได้ จนเวลาล่วงเลยไปถึงวันครบกำหนดสัญญาเช่าในเดือนธันวาคมนี้ การรถไฟฯก็อาจต้องว่าจ้างให้เซ็นทรัลบริหารพื้นที่ดังกล่าวต่อ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นต้องนำมาพิจารณาด้วยว่าจะต้องจ้างบริหารนานเท่าใด ต้องจ่ายค่าจ้างคิดเป็นจำนวนเท่าใด ฯลฯ

นายสันติกล่าวว่า ที่น่าสังเกตคือ แม้คณะกรรมการตามมาตรา 13 แห่ง พ.ร.บ. ร่วมทุนฯ และบริษัทที่ปรึกษาจะเห็นว่า 20 ปีเหมาะสม แต่บริษัทที่ปรึกษาก็ขอสงวนความเห็น โดยระบุเป็นหมายเหตุว่า ความเห็นทั้งหมดเป็นเพียงข้อเสนอแนะ และจะไม่รับผิดชอบถ้าหากมีปัญหาเกิดขึ้น

แตˆระยะเวลาเช่า 20 ปีนั้น ถือว่าเป็นระยะเวลาที่สั้น เพราะกว่าจะปรับปรุงอาคารใหม่ ต้องใช้เวลา 5-10 ปีกว่าจะแล้วเสร็จ ซึ่งเอกชนอาจจะมองว่าไม่คุ้มกับการลงทุนที่ต้องใช้เงินนับหมื่นล้านบาท ตนจึงเห็นว่าไหนๆ ก็จะต่อสัญญากับเซ็นทรัลแล้ว ก็น่าจะเจรจาที่ระยะเวลา 30 ปี ซึ่งเป็นการให้เช่าแบบระยะยาวไปเลยจะคุ้มกว่า เพราะบริษัทจะได้ลงทุนเพิ่ม ทำให้บริเวณนั้นดูสง่าขึ้น แต่ถ้าให้เช่าระยะสั้นบริษัทก็คงจะไม่ลงทุนเพิ่มแน่นอน

"ผมไม่เห็นด้วยกับโมเดลของจุฬาฯที่ต่อสัญญาเช่าที่ดินให้ห้างมาบุญครองที่ 20 ปี เพราะทราบว่าสาเหตุที่จุฬาฯทำแบบนั้น เป็นเพราะมีเป้าหมายว่าในอีก 20 ปีข้างหน้าจะมีการทุบทิ้งแล้วพัฒนาที่ดินผืนนั้นเป็นคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ เพราะด้านหลังห้างมาบุญครองยังมีพื้นที่ผืนติดกันอีก 20 ไร่ ปัจจุบันเป็นสระว่ายน้ำ"

นายสันติกล่าวต่อว่า ที่ดินบริเวณสามเหลี่ยมพหลโยธินซึ่งเป็นที่ตั้งของ เซ็นทรัลถือเป็นที่ดินที่มีศักยภาพมาก และจะมีศักยภาพมากขึ้นไปอีกถ้าหากได้รับการปรับปรุงหรือลงทุนเพิ่มเติม แต่จะนำไปเปรียบเทียบกับที่ดินของห้างมาบุญครองไม่ได้ เพราะบริเวณนั้นเป็นทำเลที่เป็นศูนย์ กลางความเจริญมากกว่า มีห้างสรรพสินค้าจำนวนมากที่ช่วยเสริมศักยภาพซึ่งกันและกัน ทั้งมาบุญครอง, สยามสแควร์, สยามพารากอน, สยามดิสคัฟเวอรี่, เซ็นทรัลเวิลด์ แต่บริเวณพหลโยธินมีเพียงแค่ห้างเซ็นทรัลเดี่ยวๆ ถ้าทำให้เซ็นทรัลเป็นที่ที่คนทั่วไปหมดความรู้สึกที่อยากจะเข้าไปจับจ่ายใช้สอย ในอนาคตจะปลุกกระแสได้ยาก และความนิยมจะไม่ต่อเนื่อง

แหล่งข่าวจากการรถไฟฯเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้บริษัทที่ปรึกษาเสนอแนะให้การรถไฟฯคิดค่าเช่าจากการต่อสัญญาเช่าที่ดินผืนนี้ โดยคิดแบบมูลค่าปัจจุบัน ผลตอบแทนระยะเวลาเช่า 20 ปีอยู่ที่ 11,500 กว่าล้านบาท ระยะเวลา 30 ปีอยู่ที่ 13,500 กว่าล้านบาท ไม่รวมมูลค่าอนาคตที่จะได้ในแต่ละปี รวมทั้งค่าปรับปรุงอาคารและส่วนแบ่งรายได้ที่การรถไฟฯจะได้รับแต่ละปี ขณะที่เซ็นทรัลเสนอผลตอบแทนการเช่า 20 ปี ที่ 8,500 ล้านบาท และ 30 ปีที่ 14,000 ล้านบาท

แหล่งข่าวจากบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า การต่อรองสัญญาเช่าที่ดินบริเวณศูนย์การค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว เป็นเรื่องปกติที่ยังไม่ได้ข้อยุติโดยเร็ว เพราะทั้งรัฐและเอกชนต้องใช้ฐานข้อมูลที่แฟร์ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย แต่ CPN เชื่อมั่นว่าวินาทีนี้เซ็นทรัลก็คงเดินหน้ากับที่ดินผืนนี้ต่อไป เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มกันทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งนี้ในส่วนของเซ็นทรัล ผู้บริหารระดับสูงของ ตระกูลจิราธิวัฒน์ ที่เป็นผู้ประสานงานและตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะ คือนายสุทธิชาติ จิราธิวัฒน์ ที่ค่อนข้างมีประสบการณ์ และเข้าใจในเรื่องการติดต่อประสานงานกับหน่วยงานรัฐเป็นอย่างดี คาดว่าในที่สุดแล้วทุกอย่างจะลงเอยด้วยดีและสามารถตกลงกันได้

"เมื่อรัฐบาลใหม่มา อะไรๆ ก็ต้องเปลี่ยนไปบ้าง แต่ไม่มีอะไรที่น่าวิตกกังวล เพราะการรถไฟฯได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาสำรวจและสรุปข้อมูลไว้แล้วเป็นฐานในการพิจารณา จะ 20 ปี หรือ 30 ปี ก็แล้วแต่การต่อรอง" แหล่งข่าวกล่าว

หน้า 1


โดย: jenifaae วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:22:16:21 น.  

 
*วัดความเสี่ยง... Great Depression ในมุมมองกระแสหลัก-เศรษฐศาสตร์วิพากษ์

ในยามนี้ ประเด็นที่เป็นหัวข้อวิจารณ์ในแวดวง นักเศรษฐศาสตร์มากที่สุด หนีไม่พ้นความเสี่ยงที่โลกจะเดินย่ำรอย "วิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก" หรือไม่ บางมุมมองปฏิเสธความเป็นไปได้ในความเสี่ยงนี้ แต่นักเศรษฐศาสตร์ก็มองเศรษฐกิจในมุมที่ติดลบและเชื่อว่าความเสี่ยงที่โลกจะเผชิญภาวะดังกล่าวอยู่แค่คืบ

คำทำนายเหล่านี้ ฝ่ายไหนถูก ฝ่ายไหนเดาผิด แล้วประเทศไทยจะได้รับผลกระทบหนักเบาเช่นไร

"ประชาชาติธุรกิจ" ได้ตั้งคำถามเหล่านี้ไปยัง นักเศรษฐศาสตร์ 2 สำนักของประเทศไทย ด้านหนึ่งมองในมิติของเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก อีกด้านสะท้อนแนวคิดออกมา ในมิติของเศรษฐศาสตร์วิพากษ์ ซึ่งแต่ละมิติล้วนให้แง่คิดและมุมมองที่น่าสนใจติดตาม

*ศ.ดร.ตีรณ พงษ์มฆพัฒน์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นนักเศรษฐศาสตร์อีกท่านหนึ่งที่ช่วยย้อนอดีตเกี่ยวกับ the great depression ให้ฟังว่า เป็นวิกฤตการณ์เศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์โลกหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งมีลักษณะเด่น 2 ประการ คือ เศรษฐกิจหดตัวรุนแรง และเกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะบางประเทศ

หลังจากผ่านพ้นวิกฤตการณ์ great depression มาแล้ว แม้จะเกิดปัญหาเศรษฐกิจใหญ่ๆ ตามมาอีก แต่เกิดขึ้นเฉพาะบางประเทศ เช่น ในช่วง 1980 มีบางประเทศในละตินอเมริกามีปัญหา พอช่วงปลาย 1990 ต้นปี 2000 ก็เกิดปัญหาที่อาร์เจนตินา ซึ่งเข้าข่ายรุนแรง แต่ปัญหาไม่ได้ขยายตัวกระทบไปทั่วโลกเมื่อเทียบกับ 1930 หรือแม้แต่วิกฤตการณ์น้ำมัน 2 ครั้งซึ่งมีผลกระทบรุนแรงแต่ก็ไม่ถึงขั้นรุนแรงเท่ากับgreat depression คือ เศรษฐกิจไม่ได้หดตัวเกิน 20%

"ความรุนแรงของวิกฤตการณ์ในปี 1930 ทำให้มีคนตั้งมาตรฐานไว้ระดับหนึ่งว่า ถ้าเศรษฐกิจหดตัวเกิน 20% เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 1 ปี ถึงจะเรียกว่าเจอ great depression ส่วนตอนนี้ถือว่ายังไม่เข้าใกล้ great depression เพราะเศรษฐกิจไม่ได้ชะลอตัวแรงขนาดติดลบ 20% และสถานการณ์ตอนนี้ก็ต่างกัน"

ศ.ดร.ตีรณอธิบายเพิ่มเติมว่า สถานการณ์ในตอนนั้นเกิดจาก สาเหตุหลักๆ 2-3 ประการ คือ 1.มีความพยายามเข้าสู่ระบบมาตรฐานทองคำ เพราะช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ระบบมาตรฐานทองล่มสลายไปแล้ว แต่ประเทศต่างๆ มีความพยายาม จะให้ค่าเงินของตัวเองเป็นที่ยอมรับ สกุลเงินหลักอย่างเงินดอลลาร์ และเงินปอนด์ จึงพยายามไปนำค่าเงินไปผูกกับทองคำ โดยเฉพาะอังกฤษ แต่ปัญหาคือ ทองคำมีไม่พอหนุนหลัง ทำให้อังกฤษลดปริมาณเงิน เพื่อให้ทองคำที่มีอยู่เพียงพอหนุนกับค่าเงิน ทำให้เงินปอนด์อังกฤษเหมือนกับ "paper money"



เพราะฉะนั้นอังกฤษจึงปรับขึ้นดอกเบี้ยสูงมาก เพื่อหวังดึงคน ให้หันมาฝากเงินในประเทศตัวเองมากกว่าการไปซื้อทองคำ นี่ก็เป็นปัญหาหนึ่งทำให้ประเทศทั่วโลกเผชิญปัญหาเหมือนๆ กัน ที่ไม่สามารถรักษาค่าเงินตัวเองเมื่อเทียบกับทองคำ ก็ต้องพยายามขึ้นดอกเบี้ย กลายเป็นสาเหตุทำให้ภาวะเศรษฐกิจหดตัวในเวลาต่อมา

สาเหตุประการที่ 2 คือ นโยบายทางเศรษฐกิจ หลักใหญ่คือประเทศต่างๆ ในสมัยนั้นมีการปล่อยสินเชื่อจำนวนมาก เหมือนประเทศไทยขณะนี้ ที่พยายามให้ดอกเบี้ยถูกกระตุ้นเศรษฐกิจ มีความพยายามก่อหนี้ก่อสิน สิ่งนั้นเกิดขึ้นมากใน 1920 ในท้ายสุดคนเหล่านี้ก็ไม่มีเงินที่จะมาจ่ายหนี้สิน ก็ต้องตัดรายจ่ายของตัวเอง สถานการณ์เศรษฐกิจจึงเริ่มชะลอตัว ที่สำคัญนโยบายในหลายประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐ ก็พยายามลดปริมาณเงิน เนื่องจากมีปัญหาเรื่องการปล่อยกู้เยอะ แบงก์เริ่มล้ม ขณะที่ทางการก็ไม่ได้เข้ามาช่วยรักษา ไม่ให้แบงก์ล้ม ทำให้อัตราดอกเบี้ยสูงมาก

เศรษฐกิจของสหรัฐ และยุโรป ในช่วงหลังสงครามโลก ครั้งที่ 1 จึงเริ่มเผชิญปัญหา และในปี 1929 ก็ชัดเจนว่าภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว คนเริ่มตัดค่าใช้จ่าย เริ่มชำระหนี้ไม่ได้ แต่ความรุนแรงเกิดขึ้นในปี 1930-1932 ช่วงนี้เริ่มเป็น "great depression" จริงๆ คือเศรษฐกิจถลำลึกลงไปถึงจุดต่ำสุด และกว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นก็ใช้เวลานาน อย่างสหรัฐกว่า จะกลับมาฟื้นก็ประมาณปี 1937-1939 ซึ่งถือว่าหลายปี

หากดูจาก 2 สาเหตุของการเกิด the great depression แล้วเทียบเคียงกับสถานการณ์ปัจจุบันที่กำลังเกิดในสหรัฐ อาจดูคล้ายๆ กับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในสมัยนั้น แต่ ศ.ดร.ตีรณยืนยันว่า แค่คล้ายๆ กันแต่ไม่เหมือนกัน โดยจุดที่แตกต่างกันคือ สมัยนั้นเศรษฐกิจของโลกขึ้นอยู่กับภาคเกษตรเยอะ ประมาณ 1 ใน 5 เป็นเศรษฐกิจภาคเกษตร

ดังนั้น เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัวความต้องการสินค้าเกษตรก็ชะลอตัวตาม ทำให้เกิดการระบาดของเศรษฐกิจแพร่ไปทั่วโลก เพราะประเทศกำลังพัฒนาซึ่งอยู่ในภาคเกษตรมีรายได้จากการส่งออกไปประเทศพัฒนาเป็นสำคัญ เมื่อผลิตสินค้าแล้วขาย ไม่ได้ เนื่องจากประเทศพัฒนามีปัญหาเศรษฐกิจ จึงเกิดแรงกระทบทั่วโลกรุนแรงมาก

แต่ปัจจุบันนี้ แม้สหรัฐจะได้รับผลกระทบในภาคอสังหาริมทรัพย์ แต่มีสาขาอุตสาหกรรม และสาขาเทคโนโลยี ที่เข้มแข็ง ทำให้เศรษฐกิจตกไม่แรง นอกจากนี้ปัจจุบันราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่อยู่ระดับสูง ช่วยให้ประเทศกำลังพัฒนาไม่ได้รับผลกระทบรุนแรง เพราะตลาดส่งออกสินค้าเกษตรไม่ค่อยได้รับผลกระทบ เพราะฉะนั้นความรุนแรง ความอันตราย ไม่มากเท่าช่วงนั้น แต่ก็เป็นอะไรซึ่งต้องระมัดระวัง

ความแตกต่างประเด็นที่สอง คือ การดำเนินนโยบายที่แก้ปัญหาไม่ตรงจุด หรือการทำนโยบายผิดพลาด (policy mistake) เกิดยากกว่าในอดีต ต้องยอมรับว่าในอดีตความเข้าใจทางนโยบายไม่ได้ก้าวหน้าอย่างปัจจุบัน

โดยเฉพาะประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) "เบอร์นันเก้" ถือว่าเป็นคนที่มีความรู้เรื่อง great depression ของสหรัฐดีมากคนหนึ่ง ไม่แพ้ใคร เพราะฉะนั้นรู้ดีว่า จำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือสภาพคล่องแก่ระบบสถาบันการเงินทันที (emergency loan) หรือต้องใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำเข้ามาช่วยทันที

"จะเห็นว่าเบอร์นันเก้ตัดสินใจลดดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว เพราะเขารู้ว่านี่คือ สิ่งสำคัญที่ทำไม่ให้เกิด collapse ถ้าเทียบกับในอดีตช่วง 1930 นักเศรษฐศาสตร์ มีความเข้าใจนโยบายไม่ทันต่อสถานการณ์ และในสมัยนั้นนักเศรษฐศาสตร์แบ่งออกเป็น 3 ค่าย"

ค่ายใหญ่สุดคือ Neo Classic ซึ่งเชื่อในกลไกตลาดที่ว่า ทุกอย่างปรับตัวได้ด้วยตัวมันเอง ค่ายที่สองคือ คนที่มีอิทธิพลในการทำนายคือ Keynesian ที่คิดว่าต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่ใช่ปล่อยไปเฉยๆ แต่ว่าความคิดของเคนส์เป็นความคิดทางเลือกในสมัยนั้น เป็นการคิดใหม่ แต่ยังไม่ได้นำนโยบายมากระทำจริง

และค่ายที่สาม คือ Marxist มองคล้ายๆ กับเคนส์ ว่า ปัญหา great depression เป็นปัญหาโครงสร้าง แต่มองว่าเศรษฐกิจตกต่ำเป็นเพราะภาวการณ์บริโภคที่น้อยเกินไป เกิดจากระบบทุนนิยมที่สร้างรายได้ให้กับประชาชนน้อยเกินไป ช่วยแต่คนรวย และเศรษฐกิจขยายตัว แต่คนได้ประโยชน์คือนักธุรกิจ และคนรวย ส่วนคนจนไม่ได้ เมื่อคนจนส่วนใหญ่ไม่มีรายได้เพียงพอมาซื้อสินค้าที่ผลิตออกมาจากระบบทุนนิยม ท้ายสุดก็เกิดภาวการณ์บริโภคที่ตกต่ำ (under consumption) แต่ว่าแนวคิด แบบมาร์ก ก็ไม่ได้นำไปสู่การแก้ไขทางนโยบาย

"ในปัจจุบันเราเห็นแล้วว่า นโยบายการเงินสามารถนำมาแก้ปัญหาได้ในระดับพอสมควร ยกเว้นปัญหาโครงสร้างแก้ไม่ได้ แต่ช่วยผ่อนคลายได้"

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เศรษฐกิจ ในปัจจุบัน ตัวจุดชนวนคือ ตลาดอนุพันธ์ที่เกิดปัญหามาจากตราสารซีดีโอซึ่งมีซับไพรมหนุนหลัง ประเด็นนี้ ศ.ดร.ตีรณยอมรับว่า ตรงนี้ไม่มีนโยบายแก้ไขได้ตรงจุด กลายเป็นจุดอ่อนของระบบ การใช้มาตรการ ดอกเบี้ยเป็นมาตรการเดียวที่เฟดพอทำได้ แต่ไม่ใช่มาตรการที่ตรงจุด เป็นเพียงมาตรการผ่อนคลายเรื่องสภาพคล่องมากกว่า เนื่องจากไม่สามารถทำให้หนี้เสียเป็นหนี้ดีได้

เพราะฉะนั้นท้ายที่สุด เฟดคงต้องยอมให้เศรษฐกิจมีปัญหาไประยะหนึ่ง เพราะการที่จะเข้าไปช่วยตลาดอนุพันธ์โดยตรงมีผลเสียมากกว่าผลดี จึงยังมีความเสียหายที่เกิดขึ้นจากอนุพันธ์ มันต้องใช้เวลาในการปรากฏ กว่าจะถึงรอบบัญชีต้องใช้เวลา เพราะฉะนั้นคาดคะเนได้ว่ายังมีอีกหลายธนาคารอาจมีปัญหางบดุล

ศ.ดร.ตีรณบอกว่า เท่าที่เคยประเมินไว้ ช่วงที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวจากปัญหาซับไพรมจะมีระยะเวลาประมาณ 2 ปี ที่มองว่า 2 ปีเพราะว่า จะมีรอบบัญชีปรากฏ และจะมีการสูญเสียบ้าน สูญเสียกรรมสิทธิ์ มันจะค่อยๆ ทยอยเกิด จะไม่เกิดทันที เพราะฉะนั้น "จุดต่ำสุด" ยังมาไม่ถึง ดังนั้นในช่วง 2 ปี ก็คงลุกลามไปทุกประเทศ แต่จะกระทบมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับประเทศนั้นมีความเชื่อมโยงการส่งออกแค่ไหน

"บทเรียนของโลกวันนี้คือ ต้องเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในยุค 1930 กับปัจจุบัน คือการลงทุนที่มากเกินไป เพราะฉะนั้นแนวความคิดที่จะให้ดอกเบี้ยต่ำๆ เพื่อกระตุ้นการลงทุนที่ไม่มีประสิทธิภาพเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง ผมไม่อยากเห็น ธปท. รัฐบาลฟังนักธุรกิจให้ลดดอกเบี้ยไปนานๆ ถ้าลด ควรลดในช่วงเหตุผลด้านเสถียรภาพ ไม่ใช่สนับสนุนการลงทุนที่ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่เช่นนั้นจะเกิดเหมือนช่วง 1920" ศ.ดร.ตีรณสรุปทิ้งทาย


แหล่ง : ประชาชาติธุรกิจ (www.matichon.co.th/prachachart)
โดย : WebMaster
วันที่ : 28/3/2551


โดย: jenifaae วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:22:16:46 น.  

 
*โครงการตลาดประกอบฝันปี 4 เชิญร่วมพิสูจน์ผลงานของเยาวชนคนรุ่นใหม่กว่า 30 กลุ่ม

โดย : YIY เมื่อ : 11/06/2008 01:30 PM

"สังคมที่อยากเห็น... เป็นไปได้"

กลุ่มวายไอวาย ขอเชิญเพื่อน-พี่-น้อง-เครือข่ายทุกท่าน
ร่วมพิสูจน์ผลงานของเยาวชนคนรุ่นใหม่กว่า 30 กลุ่ม
จาก 3 รุ่น ของ "โครงการตลาดประกอบฝัน (ยิ้ม)"
ที่ได้ริเริ่มและดำเนินโครงการเพื่อสังคมทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง

และพบกับโครงการนวัตกรรมทางสังคม
ที่ได้รับคัดเลือกจากโครงการ "ยิ้ม 4"

ในวันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน 2551
เวลา 10.00 – 11.30 น.
ณ อุทยานการเรียนรู้ (TK Park)
ชั้น 8 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

ดำเนินรายการโดย:
คุณแวนด้า - ดวงธิดา นครสันติภาพ
พิธีกรรายการกบนอกกะลา

นศุกร์ที่ 13 มิถุนายน 2551
เวลา 10.00 – 11.30 น.
ณ อุทยานการเรียนรู้ (TK Park)
ชั้น 8 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

ดำเนินรายการโดย:
คุณแวนด้า - ดวงธิดา นครสันติภาพ
พิธีกรรายการกบนอกกะลา




*ประชุมวิชาการ:“มิติ “เพศ” ในประชากรและสังคม”

โดย : สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหิดลฯ เมื่อ : 11/06/2008 02:45 PM
สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล จัดประชุมวิชาการประจำปี ครั้งที่ 4 “ประชากรและสังคม 2551”

วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม 2551 เวลา 8.30 – 16.30 น.
ห้องกรุงธนบอลรูม โรงแรมรอยัล ริเวอร์ เชิงสะพานซังฮี้ กรุงเทพฯ

ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมสัมมนาวิชาการภายใต้หัวข้อเรื่อง ““มิติ “เพศ” ในประชากรและสังคม”

ภาคเช้า - การเสนอรายงานเรื่อง "อสมดุลทางเพศ"

1. ความไม่สมดุลของประชากรชายและหญิงในประชากรไทย
2. ผลการสำรวจพฤติกรรมทางเพศและความรู้เรื่องโรคเอดส์ของประชากรไทย พ.ศ.2549
3. เซ็กส์ครั้งแรกของคนไทย...ต้องการหรือถูกบังคับ คู่นอนคือใคร และใช้ถุงยางหรือไม่?
4. ภาวะการมีบุตรยาก : ประเด็นสังคมที่มากกว่าเรื่องเพศ
5. เพศสัมพันธ์หลังวัยเจริญพันธุ์: การเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติหรือตามสังคม
ผู้ให้ความเห็นต่อบทความ : รองศาสตราจารย์แพทย์หญิง บุณยรัตพันธ์ และนายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน

ภาคบ่าย - การเสนอรายงานเรื่อง "การควบคุมเรื่องเพศกับเพศวิถีที่เปลี่ยนไป"

6. การควบคุมเรื่องเซ็กส์กับเพศวิถีที่เปลี่ยนไป
7. เพศศึกษาควรสอนอะไร
8. การเลี้ยงดูบุตรของพ่อแม่ : มิติของความแตกต่างทาง “เพศ” และ “เพศภาวะ”ของบุตร
9. เพศ เหล้า และวัยเรียน : บทสังเคราะห์องค์ความรู้จากงานวิจัยระดับมหภาคและจุลภาค และนัยยะที่ผู้ใหญ่ควรเข้าใจ
10. รสนิยมทางเพศของวัยรุ่นไทยยุคไซเบอร์
11. เซ็กส์กับสุขภาพทางเพศในพนักงานบริการหญิง
12. เข้าใจและเข้าถึงโลกทัศน์เพศวิถีของผู้ติดเชื้อเอชไอวีด้วยมุมมองเพศวิถี

ผู้ให้ความเห็นต่อบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร. นภาภรณ์ หะวานนท์ และ ดร.วราภรณ์ แช่มสนิท

ค่าใช้จ่ายเข้าร่วมประชุม 300 บาท
สำหรับนักศึกษา 100 บาท

สนใจเข้าร่วมประชุม ติดต่อ
สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
โทรศัพท์ 0-2441-0201-4 ต่อ 108, 109, 115 และ 220
โทรสาร 0-2441-9333, 0-2441-5221

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ //www.ipsr.mahidol.ac.th/content/Home/ConferenceIV/Home.htm

ภายในวันที่ 20 มิถุนายน 2551

ติดตามรายละเอียด >>


โดย: jenifaae วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:22:17:10 น.  

 
*เชิญเข้าร่วมประชุมปฏิบัติการการจัดทำรายงานประเทศตามอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ

โดย : กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม เมื่อ : 10/06/2008 11:12 AM
ด้วย กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำรายงานประเทศตามอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการจัดทำร่างรายงานประเทศฯ ดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ จึงขอเรียนเชิญตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์และท่านผู้ทำงานเกี่ยวข้องกับกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย เข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อรับฟังความคิดเห็นต่อร่างรายงานดังกล่าว ในวันที่ ๑๙-๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๑ ณ ห้องแกรนด์ฮอลล์ ๒ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ

หากมีข้อสงสัยประการใด กรุณาติดต่อ นางสาวศิริอร อารมย์ดี โทรศัพท์ ๐ ๒๕๐๒ ๘๒๐๙-๑๑ และขอความกรุณาส่งแบบตอบรับการประชุมได้ที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ โทรสาร ๐ ๒๕๐๒ ๘๒๐๗ ภายในวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๑

กำหนดการ
การประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อรับฟังความเห็นต่อร่างรายงานประเทศ ตามอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ (International Convention on the Elimination of All Forms of Racial Discrimination)

วันที่ ๑๙ – ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๑
ณ ห้องแกรนด์ฮอลล์ ๒ โรงแรมรามาการ์เดนส์ ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ

วันพฤหัสบดีที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๑
๐๙.๐๐ - ๑๐.๐๐ น. ลงทะเบียน
๑๐.๐๐ - ๑๐.๔๕ น. พิธีเปิดการประชุม

ประธาน ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวรายงานโดยอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ (นางสุวณา สุวรรณจูฑะ)

ประธานกล่าวเปิดประชุมและปาฐกถานำ เรื่อง การสร้างความเท่าเทียมทุกชาติพันธุ์ภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ

๑๐.๔๕ – ๑๑.๐๐ น. กล่าวต้อนรับและให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับอนุสัญญาและความคาดหวัง โดย ศาสตราจารย์วิทิต มันตาภรณ์
๑๑.๐๐ - ๑๒ .๐๐ น. ชี้แจงการประชุมเชิงปฏิบัติการ
โดย คณะที่ปรึกษา

๑๒.๐๐ - ๑๓.๐๐ น. อาหารกลางวัน
๑๓.๐๐ - ๑๕.๐๐ น. การประชุมกลุ่มย่อย

กลุ่มที่ ๑ ประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง แนวทางสร้างความเข้าใจในอนุสัญญาฯ โดย คณะอนุกรรมการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์

กลุ่มที่๒ ประชุมเชิงปฏิบัติการพิจารณาร่างรายงาน โดย คณะอนุกรรมการจัดทำร่างรายงาน

๑๕.๐๐ - ๑๕.๑๕ น. พักรับประทานอาหารว่าง
๑๕.๑๕ - ๑๗.๐๐ น. การประชุมกลุ่มย่อย ( ต่อ )
๑๘.๐๐ - ๑๙.๓๐ น. อาหารเย็น
๑๙.๓๐ – ๒๐.๓๐น. เตรียมการแสดงนิทรรศการชนเผ่า

วันศุกร์ที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๑
๐๘.๐๐ - ๐๙.๓๐ น. ลงทะเบียน
๐๙.๓๐ - ๑๐.๓๐ น. พิธีเปิดการประชุม

ประธาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
• กล่าวรายงานโดยปลัดกระทรวงยุติธรรม
• ประธานกล่าวเปิดประชุม
• การแสดงทัศนะต่ออนุสัญญาฯของผู้แทนผู้เข้าประชุมเชิงปฏิบัติการ

๑๐.๓๐ - ๑๐.๔๕ น. พักรับประทานอาหารว่าง
๑๐.๔๕ - ๑๒ .๐๐น. เสนอร่างรายงานผลการดำเนินงานของประเทศไทยตามอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ โดย นางสีน้อย เกษมสันต์ ณ อยุธยา และคณะ ประธานการประชุม รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนจิตรา สายสุนทร (รอการยืนยัน)

๑๒.๐๐ - ๑๓.๐๐ น. อาหารกลางวัน
๑๓.๐๐ - ๑๕.๐๐ น. การวิพากษ์ร่างรายงาน
ประธานการประชุม นางจิราพร บุนนาค
๑๕.๐๐ - ๑๕.๑๕ น. พักรับประทานอาหารว่าง
๑๕.๑๕ - ๑๖.๓๐ น. การวิพากษ์ร่างรายงาน ( ต่อ )
๑๖.๓๐ น. พิธีปิดการประชุม โดยอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ (นางสุวณา สุวรรณจูฑะ)

แบบตอบรับการเข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการ

เพื่อรับฟังความคิดเห็นต่อร่างรายงานประเทศตามอนุสัญญา
ว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ

วันที่ 19-20 มิถุนายน พ.ศ. 2551
ณ ห้องแกรนด์ฮอลล์ 2 โรงแรมรามาการ์เด้นส์ ถนนวิภาวดีรังสิต โดย กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม

นาย/นาง/นางสาว..................................... นามสกุล ..........................................
ตำแหน่ง..................................................... หน่วยงาน...............................................
โทร.................................โทรสาร ............................. โทรศัพท์มือถือ...........................
E-mail Address…………………………………….……….

 สามารถเข้าร่วมประชุมได้
 ไม่สามารถเข้าร่วมประชุมและไม่มอบผู้แทน
 ไม่สามารถเข้าร่วมประชุมและมอบผู้แทนได้แก่

นาย/นาง/นางสาว...................................... นามสกุล ...............................................
ตำแหน่ง................................................ หน่วยงาน....................................................
โทร.................................โทรสาร .......................... โทรศัพท์มือถือ.................................
E-mail Address……………………………..……………….

 พักค้างคืนจำนวน.........คืน ได้แก่ วันที่ ....... ถึงวันที่........... มิถุนายน 2551
 ไม่พักค้าง
 อาหารมุสลิม
 อาหารมังสวิรัติ

กรุณาส่งแบบตอบรับกลับมาที่ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ
ภายในวันที่ 16 มิถุนายน 2551 :
โทรสาร 02 502 8207
โทรศัพท์ 0 2502 8209
ศิริอร/มรุต: ผู้ประสานงาน


โดย: jenifaae วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:22:17:34 น.  

 
*เผย รบ.ไทยโอ๋เต็มที่บริษัทไอซีทีเข้า ร่วมเทเลคอม เอเชีย 2008

สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (22 พ.ค.) รัฐบาล โดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที จัดพิธีลงนามความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ หรือ ไอทียู ในการจัดงาน "ไอทียู เทเลคอม เอเชีย 2008" ระหว่างวันที่ 2-5 ก.ย.นี้ ณ อิมแพค เมืองทองธานี โดยมีผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงไอซีที และตัวแทนจากบริษัทเอกชนในวงการด้านไอซีทีเข้าร่วมเป็นสักขีพยาน
นายมั่น กล่าวว่า งานไอทียู เทเลคอม เอเชีย 2008 ถือว่า เป็นสุดยอดนิทรรศการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่ย้ายฐานความเชื่อมั่นในการจัดงานจากตลาดในแถบตะวันตกมายังภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ที่เป็นภูมิภาคที่มีอัตราการขยายตัวของตลาดไอซีทีที่สูงและรวดเร็ว รวมทั้งยังมีมูลค่าการลงทุนในธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมสูงสุดและมีการพัฒนาความสามารถของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่ไม่หยุดนิ่ง

*รมว.ไอซีที กล่าวต่อว่า งานนี้ จะเป็นเวทีสำคัญในการแสดงศักยภาพและความพร้อมทางธุรกิจเทคโนโลยีโทรคมนาคมของประเทศไทยและประเทศต่างๆ ทั่วโลกและยังเป็นการประชุมเพื่อต่อยอดการวางแผนและกำหนดนโยบายด้านไอซีทีร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของตลาด โดยรัฐบาลไทยจะเป็นผู้สนับสนุนและอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดงาน

นายมั่น กล่าวอีกว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. เมื่อวันที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยและไอทียูในการจัดงานครั้งนี้ และได้มอบหมายให้ รมว.ไอซีทีเป็นผู้ลงนามความตกลงในนามรัฐบาลไทยกับ ไอทียูในเรื่องต่างๆ เช่น การตรวจลงตราและการเข้าประเทศสำหรับผู้เข้าร่วมงาน รวมทั้งการอำนวยความสะดวกในการผ่านขั้นตอนศุลการกรและยกเว้นภาษีอากรการนำเข้า-ส่งออกชั่วคราว ตลอดจนการรักษาความปลอดภัย การจัดการด้านการขนส่งและที่พัก เป็นต้น

ด้านนายณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ สสปน. กล่าวว่า สสปน. เจรจาดึงงานไอทียู เทเลคอม เอเชีย 2008 เข้ามาได้สำเร็จ และยังสนับสนุนเงินทุนในการจัดงานเนื่องจากการจัดงานดังกล่าว เป็นการตอกย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการจัดงานแสดงสินค้านานาชาติแห่งหนึ่งของโลกและยังจะทำรายได้เข้าประเทศสูงถึง 3,000 ล้านบาท

ผู้อำนวยการ สสปน. กล่าวต่อว่า งานไอทียู เทเลคอม เอเชีย 2008 เป็นงานแสดงสินค้าและนิทรรศการที่นำเสนอเรื่องราวต่างๆ แห่งวงการอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งเอเชีย โดยมีการนำเสนอนวัตกรรมมากมาย เช่น เครือข่ายบรอดแบนด์และการสื่อสารแบบเคลื่อนที่ โดยคาดว่า จะมีผู้เข้าร่วมชมงานประมาณ 25,000 คน มีบริษัทออกแสดงสินค้า 200-250 บริษัท และมีผู้เข้าร่วมประชุม 750 คน จาก 40 ประเทศ






* ฤกษ์งามยาม 'วิสาขะ' 'ทำอะไรให้โลก ?' อีก 'พรธรรมนำชีวิต'

เดลินิวส์ออนไลน์

*เวียนมาบรรจบอีกครั้งแล้ว สำหรับ "วันวิสาขบูชา" วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ซึ่งปี 2551 นี้ตรงกับวันที่ 19 พ.ค. วิสาขบูชาเป็น "วันสำคัญสูงสุดของพระพุทธศาสนา" วันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 6 เป็นวันที่ พระพุทธเจ้า ประสูติ-ตรัสรู้-ปรินิพพาน ซึ่งตั้งแต่ปี 2547 ทางองค์การสหประชาชาติได้มีมติยกย่องให้วันวิสาขบูชาเป็น "วันสำคัญสากลของโลก" และในวันนี้พระสงฆ์ก็จะใช้เป็นอีกหนึ่งฤกษ์สำคัญในการเผยแผ่ธรรม...

น่าเสียดายที่ปีนี้ "แม่ทัพธรรม" ขาดไปหนึ่ง

"หลวงพ่อปัญญา" สิ้นไปเมื่อ 10 ต.ค. 2550

การละสังขารของ หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ หรือ พระพรหมมังคลาจารย์ ด้วยสิริอายุ 96 ปีเศษ ถือเป็นการสูญเสีย "พระนักเทศน์-นักเผยแผ่ธรรม" ในระดับแม่ทัพธรรม ไปอีกหนึ่งรูป อย่างไรก็ดี หากลองย้อนดูเรื่องราวของพระนักเทศน์รูปนี้อย่างพิจารณา ท่านก็ได้ทิ้ง "พรธรรมที่เข้าใจง่าย-ทำง่าย" ไว้ให้ไม่น้อย

ย้อนดู-พลิกดูในหนังสือ "ชีวิตของข้าพเจ้า และคำบรรยายพุทธศาสน์ พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ)" หลวงพ่อได้เล่าถึงเส้นทางการเป็นพระนักเทศน์ของท่านไว้ว่า... เริ่มเป็นนักเทศน์ตอนที่ได้เป็นนักธรรมชั้นโท ขณะนั้นกำลังเตรียมสอบนักธรรมชั้นเอกซึ่งต้องท่องพระปาติโมกข์ให้ได้ มีพระองค์หนึ่งบอกว่าถ้าจะท่องปาติโมกข์ให้ดี ต้องไปหัดท่องหัดอ่านที่วัดปากนคร จ.นครศรีธรรมราช ท่านจึงเดินทางไปที่วัดนี้

ในวันที่ต้องรับหน้าที่ขึ้นเทศน์ครั้งแรกนั้น เป็นวันพระ 8 ค่ำ เห็นญาติโยมมากันหลายคน ท่านจึงถามญาติโยมว่า "มาทำไม" ได้คำตอบว่า "มาฟังเทศน์" ท่านจึงถามต่อว่า "แล้วใครเทศน์" ญาติโยมก็ตอบว่า "ท่านเทศน์" ตรงนั้นถึงได้รู้ตัวว่าท่านจะต้องขึ้นเทศน์ ก็เพราะญาติโยมบอกนั่นเอง

"บอกว่าเทศน์ไม่เป็น เขาก็บอกว่าได้นักธรรมโทแล้ว ต้องเทศน์ได้ เกณฑ์ให้ขึ้นธรรมาสน์เทศน์ พอขึ้นนั่งบนธรรมาสน์จับพัดให้ศีล มันสั่นเอาเลยเชียว สั่นจนธรรมาสน์ไหว ให้ศีลเรียบร้อย แล้วก็เทศน์ทั้งสั่นอย่างนั้น เทศน์ปรู๊ดไปเลย ไม่รู้ว่าอะไร ญาติโยมก็บอกเทศน์คล่อง เขาก็ฟังสนุกไปเลย นี่เป็นครั้งแรก" ...หลวงพ่อเล่าไว้ ซึ่งจากการขึ้นเทศน์ครั้งแรก ต่อมาหลวงพ่อปัญญาก็มีโอกาสได้ "เทศน์คู่" ที่วัดหน้าพระลาน เป็นการเทศน์แบบองค์หนึ่งตั้งถาม อีกองค์ต้องตอบ ปุจฉา-วิสัชนาสลับไป

การเริ่มหัดเทศน์ในระยะแรก ท่านเล่าไว้ว่า... ที่นครศรีธรรมราชดีอย่างหนึ่ง เนื่องจากรอบพระธาตุมีวิหารคดเรียกว่าระเบียง ระเบียงวิหารคดนี้เป็นที่ฝึกนักเทศน์ มีธรรมาสน์มาก โยมตั้งธรรมาสน์ไว้ พระสงฆ์ก็ขึ้นธรรมาสน์เทศน์ บางธรรมาสน์มีคนฟัง 3 คน บางธรรมาสน์ 5 คน 10 คน 20 คนก็มี ซึ่งการหัดเทศน์ชั้นนี้หลวงพ่อเทียบว่าเหมือนกับฝึกไต่บันไดดารา นักเทศน์ใหม่ ๆ มักจะเทศน์ธรรมาสน์ 3 คนก่อน แต่ตัวท่านไม่ไต่

"อาตมาไม่ได้ไต่ลำดับอย่างนั้น เอาก็เอาขั้นใหญ่เลย ไปเทศน์ธรรมาสน์ติดเชิงพระธาตุด้านตะวันออก วันไหนคิดอะไรไม่ออกก็แบกหนังสือไปอ่าน ฟังดูเพราะพริ้งก็ใช้ได้"

เรื่องการเทศน์ของหลวงพ่อปัญญานั้น ท่านเล่าไว้เป็นเกร็ดน่าสนใจ เช่น สมัยที่ท่านไปพำนักที่วัดอุทัย จ.สงขลา ซึ่งเป็นวัดที่ทรุดโทรมที่สุด วันเข้าพรรษามีคนมาฟังเทศน์แค่ 2 คน เป็นสามี-ภรรยากัน หลวงพ่อปัญญาก็เทศน์ให้ฟัง เป็นการเทศน์ที่เรียกว่าเทศน์ปฏิภาณ ไม่ถือหนังสือ ซึ่งถือว่าแหวกขนบที่เคยทำกันมา

ในยุคนั้นการเทศน์โดยไม่ถือหนังสือคัมภีร์คนมักจะถือว่าเป็นการว่าเอาเอง ไม่ใช่คำสอนพระพุทธเจ้า แต่สำหรับหลวงพ่อปัญญาพอเทศน์แล้วญาติโยมยอมรับว่าท่านจำแม่น ท่องมาได้หมด จึงมีคนอยากฟังท่านเทศน์เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ชื่อเสียงในการเทศน์ของหลวงพ่อปัญญาแพร่หลายมากขึ้นเป็นลำดับ

"คราวหนึ่งเทศน์ที่ศาลาวัดแห่งหนึ่ง ศาลาหักโครมลงไปเลย เขาก็ลือกันว่า แหม พระนักเทศน์คู่นี้ เทศน์กันจนศาลาหักไปเลย" ...หลวงพ่อปัญญาเล่าไว้ถึงยุคที่ท่านตระเวนเทศน์เผยแผ่ธรรมพร้อมกับพระคู่เทศน์คือ "ท่านนาค" ซึ่งไปเทศน์ที่ไหนก็จะมีคนฟังอย่างล้นหลาม

ด้วยเป็นการเผยแผ่หลักธรรมแบบน่าติดตาม-เข้าใจง่าย

ปี 2492 หลวงพ่อปัญญาไปจำพรรษาที่ จ.เชียงใหม่ และเริ่มเผยแผ่ธรรมรูปแบบใหม่ด้วยการ "ปาฐกถา" ซึ่งในเวลาต่อมาแม้จะมาจำพรรษาที่วัดชลประทานรังสฤษฏ์แล้ว ก็ยังยึดถือปฏิบัติต่อเนื่องเรื่อยมา โดยท่านอธิบายไว้ว่า อีกสาเหตุที่ใช้การปาฐกถา ไม่เรียกการเทศน์ ก็เนื่องจากท่านคิดว่าใช้ปาฐกถาจะดีกว่า เพราะ "พูดให้ฟังง่าย ตรงไปตรงมา ผิดว่าผิด ถูกว่าถูก อันใดควรแก้ไขก็แก้ ไม่ต้องเกรงใจใคร"

อีกเรื่องเกี่ยวกับการเผยแผ่ธรรมของหลวงพ่อปัญญาที่ถือว่าสร้างปรากฏการณ์ใหม่ คือการ "ยืน" ซึ่งช่วยดึงให้ญาติโยมสนใจและเข้าใจหลักธรรม แม้ในช่วงที่ท่านเริ่มทำจะถูกติเตียน แต่ท่านคิดว่าไม่เสียหายอะไร จึงปฏิบัติเรื่อยมา โดยท่านระบุไว้ในหนังสือตอนหนึ่งว่า... "สิ่งใดเป็นประโยชน์ละก็ทำเข้าไปเถอะ"

"คน ๆ หนึ่งเกิดมาแล้ว ทำอะไร มีชีวิตอยู่ด้วยอะไร เพื่ออะไร ตายไปเมื่อไร ได้ทำอะไรทิ้งไว้ในโลกบ้าง เพื่อจะได้เป็นการเตือนคนข้างหลัง เหมือนเราเหยียบรอยไว้ให้คนอื่นเห็น แล้วคนอื่นเขาจะได้เดินตามรอยนั้นต่อไป" ...เป็นอีกส่วนจากคำกล่าวของ "หลวงพ่อปัญญา" ที่ดูธรรมดา...แต่ไม่ธรรมดา

"วิสาขบูชา" ก็เป็นอีกหนึ่งฤกษ์งามยามมงคลของชีวิตได้

"ทำอะไรดี ๆ ทิ้งไว้ให้โลกบ้าง" มิใช่เรื่องยากเย็นเข็ญใจ

มาทำเพื่อให้เป็น "พรธรรมนำชีวิตให้มีสุข" กันเถอะ !!!.



โดย: jenifaae วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:22:17:58 น.  

 
*เชิญร่วมงาน “วันรวมใจ เพื่อนมิตร 514”

โดย : ไฟลามทุ่ง เมื่อ : 7/06/2008 10:03 AM
กำหนดการ “วันรวมใจ เพื่อนมิตร 514”
งานพบปะสังสรรค์เพื่อระดมทุนสนับสนุนการพัฒนา
“ศูนย์เรียนรู้และท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ประวัติศาสตร์ ค่าย 514”
วันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน 2551 เวลา 14.30 – 18.30 น.
ณ ห้องประชุม สำนักกฎหมายธรรมนิติ ชั้น 4 อาคารนายเลิศ ถนนวิทยุ

สำนักกฎหมายธรรมนิติ
ชั้น ๔ อาคารนายเลิศทาวเวอร์ ๒/๔ ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ ๑๐๓๓๐
โทร. : (๖๖๒) ๒๕๒ ๑๒๖๐, ๖๕๕ ๐๗๑๑ โทรสาร : (๖๖๒) ๒๕๒ ๑๑๐๔, ๖๕๕ ๐๗๐๘ อีเมล : info [at] dlo.co.th

14.30 น. – ลงทะเบียน

15.00 น. – พบปะสังสรรค์ สลับ ชม DVD รายงานพิเศษ ชุด “ฟื้นตำนานนักรบประชาชนลุ่มน้ำตาปี” (ที่เคยออกอากาศทางทีวีไทย - ทีวีสาธารณะ) และชุด “งานวันเปิดศูนย์เรียนรู้ ค่าย 514” บันทึกภาพโดย ส.ทน และเลือกชม- ช็อป หนังสือ ซีดี เสื้อยืด หมวก ฯลฯ

15.30 น. – การบรรเลงเดี่ยวทรัมเปต เพลง “แองเตอร์นาสิองนาล” และ “มาร์ชปฏิวัติชาติไทย” โดย อานนท์ (เฟย) ห่อสกุลสุวรรณ นักศึกษาวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหิดล (บุตรชายคุณสุข 508) ผู้เรียบเรียงเสียงประสาน เพลง“มาร์ชปฏิวัติชาติไทย” เวอร์ชั่นล่าสุดที่ดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ “ไฟลามทุ่ง”

15.45 น. - เล่าขานตำนานเพลง “แองเตอร์นาสิองนาล” โดย คุณพลากร จิรโสภณ

16.00 น. – บทกวี 514 แห่งความทรงจำ ชุด “ว่าครั้งหนึ่ง เคยร่วมสาน ร่วมเสกสร้าง” โดย คุณออน

16.15 น. - เสวนา “ย้อนอดีตประสบการณ์ทำข่าว พคท.สุราษฎร์ธานี ปี 2522-23” โดย คุณจิราภรณ์ เจริญเดช อดีตผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ เดอะ เนชั่น (ปัจจุบัน บรรณาธิการข่าว หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ) และ คุณเดือน อดีตผู้สื่อข่าวไฟลามทุ่ง สหายผู้ทำหน้าที่ต้อนรับผู้สื่อข่าวจากในเมือง ปี 2522 - 23

17.00 น. – เสวนา “สนุกกับการจัดการท่องเที่ยวชุมชน: กรณีศึกษาบ้านหนองขาว” นำเสวนาโดย นายสัตวแพทย์สมชัย วิเศษมงคลชัย (ส.สน) อดีตนายกสมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย ผู้เชี่ยวชาญการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์อย่างยั่งยืน

17.45 น. – จบรายการ




*สถาบันพระปกเกล้า จัดสัมมนาพิเศษ เรื่อง “ตอบโจทย์...แก้รัฐธรรมนูญ”

โครงการสัมมนาพิเศษ วิทยาลัยการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

เรื่อง “ตอบโจทย์......แก้รัฐธรรมนูญ”

วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน 2551 เวลา 09.00 - 12.30 น.

ณ ห้องพิมานเมฆบอลรูม ชั้น 3 โรงแรมเดอะแกรนด์ อยุธยา ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพมหานคร

วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน 2551

เวลา 08.00 - 08.45 น. ลงทะเบียน

เวลา 09.00 – 09.15 น. รองศาสตราจารย์วุฒิสาร ตันไชย รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า กล่าวเปิดงาน

เวลา 09.15 – 12.00 น. การอภิปราย เรื่อง “ตอบโจทย์.....แก้รัฐธรรมนูญ”

ผู้ร่วมอภิปราย

1. นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและการกีฬา

2. นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี

3. นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา

4. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

5. ศาสตราจารย์ ดร.จรัส สุวรรณมาลา คณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

6. รองศาสตราจารย์ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช อาจารย์คณะนิติศาสตร์

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ผู้ดำเนินการอภิปราย

นายภัทร จึงกานต์กุล

เวลา 12.00 – 12.30 น. เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาซักถามและแสดงความคิดเห็น

เวลา 12.30 น. เป็นต้นไป รับประทานอาหารกลางวัน

…………………………………………………..

หมายเหตุ กำหนดการอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม

**เอกสารสรุปการสัมมนาจะนำเสนอทางเว็บไซด์ของสถาบันพระปกเกล้า //www.kpi.ac.th





*สัมมนาเรื่อง“ความมืดยามเที่ยง : ความรู้ทางรัฐศาสตร์กับทางออกการเมืองไทย”

ขอเชิญผู้สนใจทุกท่านเข้าร่วมฟังการสัมมนาเนื่องในโอกาสคณะรัฐศาสตร์ครบรอบ 59 ปี
วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน 2551

ณ ห้องทวีแรงขำ (ร.103) ชั้น 1 คณะรัฐศาสตร์

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
14.00 – 16.00 น.
สัมมนาเรื่อง

“ความมืดยามเที่ยง : ความรู้ทางรัฐศาสตร์กับทางออกการเมืองไทย”

ผู้ร่วมสัมมนา
รศ.ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มธ.
ศ.ดร. สุรชัย ศิริไกร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มธ.
ดร. เสกสรรค์ ประเสริฐกุล อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มธ.
รศ.ดร. เกษียร เตชะพีระ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มธ.

ผู้ดำเนินการสัมมนา
รศ.ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มธ.

โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น โปรดแจ้งความจำนงได้ที่นางสาวอภิวรรณ หรือนางสุนันทา โทร 02-613-2301 หรือ โทรสาร 02-226-5651


โดย: jenifaae วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:22:18:26 น.  

 
*ร่วมสืบสานวัฒนธรรมท่องถิ่น ในการแสดง “มโนราห์พื้นบ้านภาคใต้”

เอกชัย ศรีวิชัย ขุนพลเพลงพื้นบ้านผู้อนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรมของภาคใต้ จับมือสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ จัดแสดงฟรี!! “การแสดงมโนราห์” เพื่อสืบสานคุณค่าและความงามของศิลปะการแสดงวัฒนธรรมพื้นบ้านภาคใต้ที่แฝงไปด้วยคติและความเชื่อมากมาย พร้อมพบกับวันดี ศรีนคร มโนราห์ตัวอ่อนที่กำลังมีชื่อโด่งดังอยู่ในภาคใต้ พร้อมทีมงานคุณภาพอีกมากมาย ในวันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน เวลา 18.00-20.00 น. ณ มิวเซียมสยาม พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ (กระทรวงพาณิชย์เดิม) ถนนสนามไชย งานนี้คุณเอกชัยฝากขอดังๆ ให้แฟนๆ ช่วยมาดูกันเยอะๆ เพราะให้ดูกันฟรีๆ แบบไม่เสียตังค์ แถมคนแสดงก็ไม่รับค่าตัว เพราะต้องการมาให้ความรู้จากใจจริง ผู้สนใจติดต่อสำรองที่นั่งล่วงหน้าได้ที่เบอร์ 02-6222599 ต่อ 504, 517

“กิจกรรมวันศุกร์” เป็นกิจกรรมเสริมความรู้ที่มิวเซียมสยาม พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้จัดขึ้นเป็นประจำ ทุกวันศุกร์ โดยจะสร้างสรรค์หัวข้อกิจกรรมจากประเด็นของนิทรรศการ “เรียงความประเทศไทย” และจะเปลี่ยนหัวข้อกิจกรรมทุกสัปดาห์ เพื่อให้ผู้เข้าชมได้มีส่วนร่วมในการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์และสนุกสนาน

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
เจดับบลิวที พับบลิค รีเลชั่นส์
กมลชนก วัฒนะธารี (กบ) โทร. 0-2204-8071, 081-994-9450
ปัญญ์ณัฐ ศิวะพรพันธ์ (ตี่) โทร. 0-2204-8217, 081-172-2342





*"29 เว็บไซต์"สุ่มเสี่ยง!

มติชนออนไลน์ - วันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11029

เริ่มต้นสัปดาห์ ด้วยประเด็นร้อนๆ ที่ "เทพไท เสนพงศ์" ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาเปิดเผย "29 เว็บไซต์อันตราย" ที่ส่อเค้าหมิ่นเบื้องสูง พร้อมทั้งจี้ให้ "รัฐบาล" และ "เจ้ากระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศ" ออกมาแสดงความรับผิดชอบ

โดยทั้ง 29 เว็บไซต์ดังกล่าว 1.//www.youtube.com/StopleseMajeste มีเนื้อหาที่กล่าวถึงสถาบันเป็นภาษาอังกฤษ มีคลิปวิดีโอและรูปภาพที่มีการตัดต่อที่ไม่เหมาะสม 2.www.2519me.com เว็บไซต์ของ "คนเดือนตุลา" ภาคเหนือตอนบน มีเนื้อหาการปลุกระดมมวลชนให้สร้างเครือข่ายคอมมิวนิสต์ทำลายสถาบัน ภายใต้ชื่อ "สำนักคิดไทยใหม่" (ส.ค.ม.) 3.//hello-siam.blogspot.com บล็อคส่วนตัวบนโลกไซเบอร์ ของ "เจ้าน้อย ณ สยาม" ที่เปิดให้คนที่อยากโชว์วิทยายุทธ์การเขียนทุกรูปแบบ

4.//rukchard.blogspot.com บล็อคที่เขียนถึงระบบศักดินาไทย 5.//chakridynasty.googlepages.com เว็บไซต์ที่จดทะเบียนโดเมนในสหรัฐอเมริกา มีทั้งภาคภาษาอังกฤษและภาษาไทยพูดถึงการบริหารแผ่นดินของราชวงศ์ไทยตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงปัจจุบัน 5.//www.midnightuniv.org/ (เว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน) 6.//www.serichon.com/ (เว็บไซต์เสรีชน) 7.//www.prachatai.com/05/th/home/ (เว็บไซต์ประชาไท)

8.//www.sapaprachachon.blogspot.com/ เว็บไซต์สภาประชาชน ที่ยืนยันว่าเป็นเว็บไซต์ของประชาชน ไม่ได้ถูกจัดตั้งจากพรรคการเมืองใด ก่อนหน้านี้ เคยลงเนื้อหาที่มีลักษณะต่อต้านเผด็จการ 9.//s125.photobucket.com/albums/p73/nicolejung99/? เว็บไซต์ที่รวบรวม "ภาพการ์ตูนการเมือง" ที่เนื้อหาบางส่วนโจมตีผู้ใหญ่ในบ้านเมือง

เว็บไซต์ที่เหลือ ได้แก่ 10.//www.weloveudon.net/ (เว็บไซต์กลุ่มคนรักอุดร) //www.tlt-global.com/web/ (เว็บไซต์ไทยรักประเทศไทย ในสหรัฐอเมริกา) 11.//www.secondclass111.com/index.php?option=com_frontpage&Itemid=1 (เว็บไซต์บ้านเลขที่ 111 คนถูกตัดสิทธิ แต่มีสิทธิห่วงใหญ่บ้านเมือง) และ 12.//thai-journalist-democratic-front.com/ (ทวงคืนรัฐธรรมนูญ 2540)

13.//www.sameskybooks.org/ 14. //www.newskythailand.com 15.//www.chupong.net/ 16.//www.sapaprachachon.blogspot.com/ 17.//www.pcc-thai.com/web2/ 18.//www.datopido.newsit.es/ 19. //thai-journalist-democratic-front.com 20.//www.Sapaprachachon.org/index.thml 21.//www.mvnews.net/home.php 22.//www.cptradio.com/ 23.//www.thaipeoplevoice.org/ 24.//www.nationsiam.com/frontpage/Itemid,1/

25.//www.arayachon.org/ 26.//www.siamreview.net/ 27.//www.warotah.blogspot.com/ 28.//www.killerpress.wordpress.com/ และ 29.//www.gunner2007.wordpress.com/

หน้า 11


โดย: jenifaae วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:22:18:51 น.  

 
*ผลทดสอบอัตราสิ้นเปลืองของน้ำมัน 3 ประเภท(95 / gasohal 95 / E20

เขียน: 200 แรงม้า
ผลทดสอบอัตราสิ้นเปลืองของน้ำมัน 3 ประเภท(95 / gasohal 95 / E20)
นิตยสาร Auto Build ทดสอบความสิ้นเปลืองของน้ำมัน 3 ประเภท โดยใช้รถเก๋ง Mazda 3 2.0 ลิตร 3 คันได้ผลดังนี้(ระยะทาง 360 กม.)
คันที่ 1 ใช้เบนซิน 95 (32.69บาท/ลิตร) เฉลี่ย 12.3 กม/ล ใช้น้ำมันไป 29.26 ลิตร เป็นเงิน 956.5 บาท
คันที่ 2 ใช้แก๊สโซฮอว์ 95 (29.69 บาท/ลิตร) เฉลี่ย 11.8 กม/ล ใช้น้ำมันไป 30.5 ลิตร เป็นเงิน 905.5 บาท
คันที่ 3 ใช้ E 20 (26.69 บาท/ลิตร) เฉลี่ย 10.5 กม/ล ใช้น้ำมันไป 34.28 ลิตร เป็นเงิน 915 บาท
รถทุกคันขับตามสภาพปกติใช้ความเร็วระหว่าง 100-140
สรุป ได้ว่าแม้ อี 20 จะราคาถูกกว่า 95 ถึงลิตรละ 6 บาท แต่มีอัตราสิ้นเปลืองมากกว่าถึงเกือบ 20 % ทำให้สูญเงินแตกต่างกันน้อยมาก
ส่วนแก๊สโซฮอว์ 95 ราคาถูกกว่า 95 อยู่ 3 บาท และแพงกว่า อี 20 อยู่ 3 บาท แต่ด้วยอัตราสิ้นเปลืองอยู่ระหว่างกลาง พอคิดเป็นเงินกลับประหยัดได้ดีที่สุด


โดย: jenifaae วันที่: 22 มิถุนายน 2551 เวลา:22:19:16 น.  

 
*อาจารย์242คน 32สถาบันเสนอ4ทางออกวิกฤต

อาจารย์ 242 คน 32 สถาบันเสนอ 4 ทางออกวิกฤต"เลี่ยงปะทะ-รัฐ ผู้ชุมนุมหยุดเพิ่มเงื่อนไขใช้กำลัง-รัฐบาลต้องประกาศชะลอแก้รธน. หนุนตั้งกมธ.สภาศึกษาก่อนแก้ไข-หยุดแทรกแซงคดี'ทักษิณ'

กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายเจษฎ์ โทณะวณิก อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ น.ส.การดี เลียวไพโรจน์ อาจารย์คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เป็นตัวแทนแถลงข่าวถึงข้อเสนอแนวทางการแก้ปัญหาบ้านเมือง จากอาจารย์มหาวิทยาลัย 242 คน จาก 32 สถาบัน

นายเจษฎ์ แถลงว่าจากสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบันเพื่อให้เป็นทางออกของบ้านเมืองตามกติกาและวิถีทางของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ โดยไม่เกิดความขัดแย้งแตกหักที่จะนำบ้านเมืองไปสู่สถานการณ์ที่เลวร้ายไปมากกว่านี้ อาจารย์มหาวิทยาลัย 242 คนจาก 32 สถาบัน ขอเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา ดังนี้

1.ขอให้ทุกฝ่ายไม่ใช้ความรุนแรง รัฐบาลต้องไม่ปราบปรามหรือสลายการชุมนุม ไม่ใช้กองกำลังติดอาวุธควบคุมผู้ชุมนุม ขณะที่นายกรัฐมนตรีต้องไม่ใช้ท่าทีแข็งกร้าวดังเช่นในวันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม 2551 ที่ผ่านมา ส่วนประชาชนไม่ว่าฝ่ายใด ต้องไม่ใช้ความรุนแรงและหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่จะนำไปสู่ความรุนแรง

2.ขอให้ทุกฝ่ายไม่สร้างเงื่อนไขที่ก่อให้เกิดความไม่ไว้วางใจหรือความขัดแย้งเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะรัฐบาลต้องไม่ใช้อำนาจกลั่นแกล้งหรือล้างแค้นผู้ซึ่งเคยอยู่ตรงข้ามเพราะจะทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจและความขัดแย้งเพิ่มมากขึ้น

3.พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมที่เป็นธรรมต่อทุกฝ่ายและไม่ล่าช้าเกินไป โดยรัฐบาลต้องไม่แทรกแซงไม่ว่าด้วยวธีการใดๆ และเมื่อผลออกมาทุกฝ่ายต้องยอมรับ

และข้อ 4.ในส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นขอให้รัฐบาลและส.ส.ฝ่ายรัฐบาลประกาศชะลอการแก้ไขรัฐธรรมนูญออกไปก่อน เพื่อให้มีการศึกษาว่าควรจะแก้ไขหรือไม่อย่างไร รวมทั้งสนับสนุนให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของรัฐสภาขึ้นมาทำหน้าที่ศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยต้องรับฟังทุกฝ่ายและใช้ความรู้ในการศึกษา และขอให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยรูปแบบจะเป็นสภาร่างฯหรืออย่างไรให้มีการศึกษาและนำเสนอต่อสาธารณะต่อไป

"การแก้ปัญหาความขัดแย้งในระบอบประชาธิปไตย ต้องใช้วิถีทางประชาธิปไตยเท่านั้น มิเช่นนั้นบ้านเมืองจะยิ่งถอยหลังและถลำลึกไปมากกว่านี้ ทุกฝ่ายจึงต้องยึดมั่นในวิถีทางประชาธิปไตย เคารพกติกา และรัฐบาลต้องยึดถือ เอาประโชน์ของประเทศชาติและส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ทั้งต้องฟังเสียงข้างน้อยและเสียงท้วงติงด้วย ขอให้สังคมไทยพิจารณาข้อเสนอนี้เพื่อเราจะช่วยกันนำพาประเทศชาติออกจากวิกฤตการณ์ที่ยาวนานมากกว่า 2 ปีได้โดยเร็ว" นายเจษฎ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า การเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นการต่อยอดจากโครงการริบบิ้นขาว ซึ่งถูกหลายฝ่ายวิจารณ์ว่าเป็นการลอยตัวอยู่เหนือปัญหา นายเจษฎ์ กล่าวว่า กลุ่มริบบิ้นสีขาว เดินบนแนวทางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ซึ่งยืนยันว่าไม่ได้เป็นกลางเพราะในโลกนี้น้อยคนที่จะหลุดพ้นเข้าสู่ความเป็นกลางอย่างแท้จริง แต่ไม่ใช่เราจะไม่ทำอะไร เพราะเชื่อว่าการที่เราให้การศึกษาประชาชนโดยไม่ด่าทอใคร ก็เป็นการเคลื่อนไหวอย่างหนึ่ง ทั้งนี้เชื่อว่าหลังจากนี้จะมีกลุ่มที่มีลักษณะเดียวกับริบบิ้นขาวเกิดขึ้นเป็นสิบเป็นร้อยกลุ่มเพื่อสร้างทางออกให้สังคม

"ข้อเสนอครั้งนี้ของนักวิชาการครั้งนี้ไม่ใช่ให้ถอยคนละก้าวหรือครึ่งก้าว แต่เป็นการเสนอเพื่อก้าวไปข้างหน้าอย่างสร้างสรรค์ ไม่ใช่ก้าวเข้าไปชนกัน" นายเจษฎ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า ลักษณะใดที่เรียกว่าเป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม นายเจษฎ์ กล่าวว่า กระบวนการยุติธรรมที่เป็นธรรมต้องเป็นอิสระตั้งแต่ต้นทาง ตั้งแต่ตำรวจ อัยการ และศาล ในเส้นทางทั้งหมดต้องไม่มีฝ่ายการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้อง ทุกฝ่ายในสังคมต้องช่วยกันปกป้องกระบวนการยุติธรรมให้มีความอิสระ โปร่งใส ตรวจสอบได้




*เครือข่ายเพื่อนทีวีสาธารณะเสนอให้เปิดเวทีแสดงวิสัยทัศน์ว่าที่กรรมการทีวีสาธารณะ

เครือข่ายเพื่อนทีวีสาธารณะ นักวิชาการนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ต มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา มหาวิทยาลัยรามคำแหง และสถาบันพัฒนบริหารศาสตร์ จัดเวทีเสวนาวิชาการ “กรรมการนโยบายโทรทัศน์ไทย คุณสมบัติที่ตอบเจตนารมณ์ทีวีไทย ทีวีสาธารณะ” วันที่ 9 มิถุนายน 51 เวลา 13.30 – 16.30 ณ ห้องประชุมพวงแสด คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

โดยเครือข่ายเพื่อนทีวีสาธารณะ ได้เสนอประเด็นต่อคณะกรรมการสรรหาฯดังนี้

ประเด็นที่ ๑ คณะกรรมการสรรหาฯต้องให้ความสำคัญการมีส่วนร่วมของประชาชน ต่อกระบวนสรรหาคณะกรรมการนโยบายฯ

จัดให้มีการแสดงวิสัยทัศน์ผ่านสื่อมวลชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทีวีไทย ทีวีสาธารณะ เพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมรับรู้กระบวนการสรรหาฯ อย่างเป็นรูปธรรม

ประเด็นที่ 2 เรื่องคุณสมบัติคณะกรรมการนโยบายฯ ที่เวทีเสวนาวิชาการได้ร่วมกันเสนอคือ

- ต้องการให้พิจารณาคุณสมบัติที่สอดคล้องกับบทบาทหน้าที่ ของคณะกรรมการนโยบาย โดย คำนึงถึงประสบการณ์ ผลงาน ในเชิงสาธารณะ ไม่เฉพาะเพียงพิจารณาการแสดงวิสัยทัศน์ในวันนั้นเท่านั้น

- ต้องมีจิตสาธารณะ และเข้าใจหลักธรรมาภิบาล

- ต้องไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนในขั้วธุรกิจ ขั้วการเมือง ทั้งในทางตรงและทางแฝง เช่น จะต้องไม่มีวาระซ่อนเร้นมารับใช้การเมือง กลุ่มผลประโยชน์ และเป็นตรายางให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

- ต้องคิดนอกกรอบ เข้าใจศิลปะการนำเสนอรายการรูปแบบต่างๆ ไม่จำเป็นต้องยึดรูปแบบการนำเสนอข่าว และรายการตามสถานีช่องอื่น เช่น เวลาข่าวไม่จำเป็นต้องยึดติดกับเวลา prime time

- ต้องไม่ใช่งานอดิเรกหลังเกษียณหรือเพื่อเกียรติยศของวงศ์ตระกูล

- ต้องสามารถร่วมกันเป็นทีมได้

รศ.ดร.ปาริชาติ สถาปิตานนท์ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ผู้ที่จะเข้ามา เป็นคณะกรรมการนโยบายฯ ต้อง “ทำโทรทัศน์สาธารณะ ไม่ใช่ทำโทรทัศน์เพื่อสาธารณะ” คือไม่ใช่เป็นการผลิตรายการเพื่อให้คนดูอย่างเดียว แต่ต้องมีกระบวนการเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการคิด การทำ

นายธีรภาพ โลหิตกุล นักเขียนสารคดีและนักจัดรายการวิทยุ อดีตนักผลิตรายการโทรทัศน์ กล่าวว่า ผู้ที่จะเข้ามาเป็นคณะกรรมการนโยบาย “ต้องไม่เติมไปด้วยสาระ แต่ขาดศิลปการนำเสนอ จนกลายเป็นโทรทัศน์เพื่อการศึกษา” ต้องเข้าใจศิลปะการนำเสนอรายการ การเล่าให้เรื่องให้น่าสนใจ ยืนยันว่าทีวีสาธารณะเป็น ความรู้คู่ความรื่นรมย์ เหมือนกับที่ ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช กล่าวไว้ว่า Play and learn รวมกันแล้วคือ เพลิน

นายกาจ ดิษฐาอภิชัย ราษฎรจาก จ.พัทลุงแสดงความเห็นว่า คณะกรรมการนโยบายฯที่จะเข้ามาต้องหลุดออกจากกรอบ วิธีคิดเดิม ของหน่วยงาน องค์กรที่สังกัด หากเข้ามาสู่ทีวีสาธารณะต้องเปลี่ยนใหม่ เพื่อรับใช้สาธารณะจริง

ด้านนายสุทธิชัย เอี่ยมเจริญยิ่ง ประธานเครือข่ายธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม นำเสนอความคิด หลัก 4 ต้อง 3 ไม่ ดังนี้

4 ต้อง

๑.ต้องมีจิตสาธารณะ และต้องเข้าใจหลักธรรมาภิบาล

2.ต้องทำงานเป็นทีมได้

3.ต้องเข้าใจบทบาทหน้าที่กรรมการอย่างชัดเจน บางท่านเก่งบริหาร แต่ไม่เก่งที่จะกำกับดูแลบริหาร ในบทบาทบริหารไม่ใช่เข้าไปล้วงลูก ต้องดูแลกำกับ

4. ต้องเข้าใจหน้าที่ของความรับผิดชอบ ต้องปฎิบัติหน้าที่อย่างรอบคอบระมัดระวัง ซื่อสัตย์ต่อองค์กร ปฎิบัติตามกฎหมาย และเคารพมติกรรมการ ต้องเปิดเผยโปร่งใสให้ประชาชนรับรู้

3 ไม่

๑.จะต้องไม่มีวาระซ่อนเล้นมารับใช้การเมือง กลุ่มผลประโยชน์ ต้องตรวจสอบประวัติข้อมูลสู่ประชาชนถึงจะรู้ว่าเป็นอย่างไร

2.จะต้องไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน

3.จะต้องไม่มานั่งเพื่อเป็นตรายาง ต้องเข้ามาทำงานอย่างจริงจัง

ทั้งนี้เครือข่ายเพื่อนทีวีสาธารณะฯจะเข้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมการสรรหารฯที่สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี วันที่ 12 มิถุนายน 2551ก่อนการเริ่มแสดงวิสัยทัศน์

--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 11/6/2551


โดย: jenifaae วันที่: 6 กรกฎาคม 2551 เวลา:17:01:27 น.  

 
*เครือข่ายเพื่อนทีวีสาธารณะเสนอให้เปิดเวทีแสดงวิสัยทัศน์ว่าที่กรรมการทีวีสาธารณะ



เพลง ดวงตาอาธรณ์ ศิลปิน ชูเกียรติ ฉาไธสง

ดวงตาอาทร/ชูเกียรติ

บทเพลงที่ผมชอบร้องยามจับกีต้าร์..


ตาสบดวงตา มองซึ้งในตา

บอกความฝันใฝ่ มอบความจริงใจ

ฝากเพลงนี้ไปให้เธอ...


ในคืนหม่นหมอง ฟ้าร้องครวญคร่ำ

ฉ่ำชื่นฝนพรำ ดุจจะตอกย้ำ

ถึงความอาลัย....


เราเกิดมาร่วมกัน ในสังคมอธรรม

ชีวิตเหมือนฟ้าดำ มีแต่หม่นหมอง

รักในคราวลำเค็ญ ยินแต่เสียงกู่ร้อง

มวลดอกไม้ทั้งผอง ต่างต้องโรยรา..


ฝากเพลงกับแสงเดือน

ย้ำเตือนให้เข้าใจ..

ฝากรัก ฝากสายใย

จากใจที่มุ่งหวัง


ตาสบดวงตา มองซึ้งถึงใจ

แม้จะไกลจะใกล้ แต่ความจริงใจ

ยังอยู่ในใจเสมอ

จึงเขียนบทเพลงบทนี้ให้เธอ

มอบเสนอไออุ่น ดับความทารุณ

จากสังคมทราม..


ยามเรามองดวงดาว ดั่งเรามองตากัน

มอบฝากความผูกพัน แด่ดาวดวงนั้น

แม้จะทุกข์เพียงใด เราจะยิ้มให้กัน

ดุจดวงดาวหมื่นพัน สาดส่องแสงพราว….

Credit : Blog คุณเมธา




*ประโยชน์มากมายจาก.......มะนาว

คลิกที่นี่...


โดย: jenifaae วันที่: 6 กรกฎาคม 2551 เวลา:17:01:45 น.  

 
*ปิดถนนวันที่ 24 มิถุนายน 2551

Dear All,

Please be informed that Thailand will host 91st Lions Clubs International
Convention and expected 25,000 delegates.

Date & venues are as follow;

- DEG Seminar from 17-23 June 2008 at Pattaya Convention Center
PEACH.
- Convention from 23-27 June 2008 at Muangthong-Thani Convention
Center, Bangkok.

There will be a parade form all of delegates on 24th June 2008 from 16.00
hrs.- 20.00 hrs. starting from Chulalongkorn Soccer Field and routing will
pass Phyathai Road, Rama I Road then parade to National Stadium. This
parade will affect roads as follow;

1. Both sides of Phyathai Road from Samyan to Phyathai intersection.

2. Both sides of Rama VI Road from Wat Duang-khae to Rama Hospital
intersections.
3. Both sides of Rama IV Road from Hualamphong Railways Station to
Klongtoey intersections.
4. Both sides of Rama I Road from Kasadsuk intersections to Chidlom
intersections.
5. Both sides of Anri Dunant Road.
6. Si-phya Road to Samyan.
7. Petch-buri Road from Yomraj Express way to Pratunam.

Associates who drive to work please see attached traffic map for your
information.

(See attached file: traffic map on 24.06.2008.ppt)





*โสภณ แฉธุรกิจน้ำมันรวมหัวโก่งราคาโกยกำไรเพิ่ม900%

Credit : thammarat

อดีตผู้บริหาร บางจาก แฉนักการเมือง - ขรก. ปั่นหุ้นผูกขาด ชี้คนไทยทุกข์2ต่อจากปั่นราคาน้ำมันดิบแพงลิ่ว เผยก่อนขายรัฐวิสาหกิจปี45 กำไรโรงกลั่นรวม2หมื่นล้าน หลังแปรูปเพิ่ม1.7แสนล้าน

*นายโสภณ สุภาพงษ์ นายประพันธ์ คูณมี อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) และ นายโสภณ สุภาพงษ์ อดีตผู้บริหารบริษัท บางจาก จำกัด(มหาชน) และเป็นอดีต ส.ว. ร่วมเสวนาในรายการ สภาท่าพระอาทิตย์ ภาคพิเศษ บนเวที พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ณ เชิงสะพานมัฆวาน มีนายสำราญ รอดเพชร และนายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที เป็นผู้ดำเนินรายการ

นายโสภณ กล่าวถึงปัญหาราคาน้ำมันแพงว่า น้ำมันเป็นค่าใช้จ่ายของทุกคนในประเทศ ค่าน้ำมันมันอยู่ในต้นทุนทุกอย่างในการดำเนินชีวิต ทั้งค่ารถ ค่านม ค่าส่วยรถเมล์ ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ถ้าจะสังเกตเมื่อสองวันที่ผ่านมา รัฐบาลออกแถลงการณ์ว่าจะต้องมีนโยบายอะไรๆ ซึ่งก็เหมือนกับรัฐบาลต่างๆ แล้วก็เป็นนโยบายแก้ไขที่เหมือนสมัยตนเป็นคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ สมัยรัฐบาลพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ องคมนตรีและรัฐบุรุษ ก็ลอกกันมาแล้วมันก็ไม่ค่อยได้ผล

นายโสภณ กล่าวว่าแต่สิ่งหนึ่งที่ไม่พูดให้ตรง เหมือนกันทุกรัฐบาลคือ ตอนนี้น้ำมันดิบซึ่งมีคุณภาพกลุ่มดีที่สุดในโลกที่อเมริกา ราคา 137 เหรียญสหรัฐต่อบาเรลแล้ว เพราะฉะนั้นราคาในประเทศก็ต้องขึ้นไปอย่างนี้ ทำไมไม่บอกประชาชนตรงๆ น้ำมันที่ราคา 137เหรียญฯ นี้ เท่ากับ 27 บาทต่อลิตร คือน้ำมันเวลาที่เราพูดว่า 27เหรียญต่อลิตร เราเอา 20สตางค์ต่อลิตร คูณเข้าไปได้เลย จะรู้เลยว่าที่พูดกันไม่รู้เรื่องนั้น จริงๆ มันเท่าไหร่ ก็บอกไปเลยว่าน้ำมันดิบที่สหรัฐที่แพงที่สุดในโลกนั้น 27เหรียญต่อลิตร

คำถามก็คือ แล้วทำไมเราต้องซื้อน้ำมันในประเทศถึง 40 บาทต่อลิตร ทำไมมันต่างกันมากขนาดนั้น ส่วนต่างมันเป็นมายังไง มันถูกต้องเป็นธรรมหรือไม่ อันนี้ทำให้ประชาชนเข้าใจแล้วเป็นธรรม

นายโสภณ กล่าวอีกว่าแล้วธรรมชาติของราคาน้ำมันในต่างประเทศขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง จะได้นั่งเตรียมตัวกัน ไม่ต้องมาหลอกกัน ไม่ต้องมานั่งหวังลมๆ แล้งๆ แล้ว สำคัญว่าในประเทศจะจัดการให้เป็นธรรมอย่างไร เรื่องเหล่านี้ควรให้ข้อมูลกับประชาชนเพื่อควบคุมความเป็นธรรมให้ได้ เขาจะพูดให้สับสนวุ่นวาย แต่เมื่อไม่ว่าจะยักย้าย ถ่ายเทหรือรวมอะไรแล้วเนี่ย ก็พบว่าในปีแล้วโรงกลั่นน้ำมันในประเทศทั้งหมด ซึ่งมี 7 โรง ปตท.มีโรงแยกแก๊สอีกโรง รวมเป็น 8 โรง

ใน 5 โรงที่เป็นของเอกชน ปตท.เป็นเจ้าของ อีก 2 โรงของเอกชน รวมทั้ง 7 โรงกลั่นปีที่แล้วมีกำไรหลังหักภาษีแล้วรวมกัน 169,438 ล้านบาท

"ต้องเรียนว่าใครที่จะมาพูดเท็จในทีวีหลังจากที่ผมพูด หรือมาพูดเท็จอย่างเมื่อคืนนี้ ถ้าเป็นผู้บริหารบริษัทอาจจะผิดกฎหมายเลยก็ได้ เพราะตัวเลขรายงานกำไรเป็นแสนแต่มาบอกว่าขาดทุนกำไร ที่มีนี้เป็นตัวเลขกำไรที่ทุกบริษัทต้องแจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ กับกระทรวงพาณิชย์ตามกฎหมาย แล้วจะมาบอกว่ารายงานที่แจ้งไม่จริง เป็นไปไม่ ได้เพราะผูกพันตามกฎหมาย แล้วถามว่ากำไรเกือบ 1.7 แสนล้านบาทเนี่ย มันผิดปกติหรือไม่" นายโสภณ ระบุ

จากนั้น นายยุทธิยง ได้อ่านตัวเลขกำไรจากน้ำมันเมื่อปีที่ผ่านมาตามรายงานที่นายโสภณ ได้รับมาระบุว่า บริษัทโรงกลั่น ปตท.หรือบริษัทสตาร์ กำไร 12,236 ล้านบาท บริษัทระยองคือโรงกลั่นบริษัทลูกของปตท. 18,018 ล้านบาท บริษัทไทยออยล์ 19,174 ล้านบาท บริษัทบางจาก 1,764 ล้านบาท บริษัทไออาร์พีซี 12,986 ล้านบาท บริษัท เอสโซ่ 7,053 ล้านบาท บริษัทอาร์พีซี 101 ล้านบาท บริษัทปตท.รวมโรงแยกก๊าซแอลพีจี 97,804 ล้านบาท รวมเบ็ดเสร็จธุรกิจน้ำมันในประเทศนี้ กำไรปีที่แล้ว 169,438 ล้านบาท

นายโสภณ กล่าวเสริมว่า นั่นเป็นเพียงข้อมูล แต่ถ้าเราดูอีกตัวคือตัวเลขกำไรรวมของทุกบริษัทเหล่านี้ย้อนหลังไปเมื่อปี 2544 ก่อนมีการเอารัฐวิสาหกิจไปขาย จะเห็นว่าตัวเลขกำไรรวม 7-8 โรงกลั่นนั้นกำไรเพียง 20,330 ล้านบาท และปี2545 จำนวน 22,099 ล้านบาท ซึ่งยอดสองปีนั้นถือเป็นกำไรสูงสุดตั้งแต่ตั้งประเทศไทยมา ย้อนไป 40-50 ปีก็ไม่เคยเท่านี้

"แต่หลังจากมีการเอารัฐวิสาหกิจไปขาย หลังจากมีการเล่นหุ้น คนขายก็ไปซื้อหุ้นที่ตัวเองเอาไปขายด้วย ก็มีข้าราชการผู้ใหญ่รวมทั้งนักการเมืองก็เกิดการผูกขาด ในต่างประเทศนี่การจะเป็นเจ้าของโรงกลั่นหลายๆ โรงเขาไม่ให้นะ เพราะเขาถือเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน จะเห็นว่าคณะกรรมการนโยบายพลังงานฯ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และนักการเมืองที่อยู่นั้น ส่วนหนึ่งเข้าไปเป็นกรรมการ ประธานและถือหุ้นบริษัทโรงกลั่นเอกชน แล้วตัวเองก็ตั้งราคา คุมสูตรราคา บางคนก็ใช้ภรรยาถือ ถ้าไปดูรายชื่อผู้ถือหุ้นจะพบ"

นายโสภณ กล่าวต่อว่าหลังจากทำอย่างนี้ ในปี 2545 กำไรระดับสองหมื่นล้านก็เพิ่มขึ้นมาเป็น 5 หมื่นกว่าล้านบาท ปี 2547 ก็เพิ่มขึ้นอีกเป็นแสนสองหมื่นล้านบาท ขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งปี 2550 กำไร 169,438 ล้านบาท ปตท. เข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี45 พอปี46 ก็มีการกำหนดสูตรราคาน้ำมันและให้เงินชดเชยโรงกลั่นจนประชาชนเป็นหนี้อยู่แสนล้าน โรงกลั่นก็กำไรมหาศาล

"เพราะฉะนั้นคนที่ตั้งราคา ทำสิ่งพวกนี้แล้วเป็นประธานกรรมการ เล่นหุ้นแล้วมาตั้งราคาให้ประชาชนเราเรียกประโยชน์ทับซ้อน จะเห็นว่ากำไรเพิ่มขึ้นประมาณ 9 เท่า หรือประมาณ 900% ขณะที่ถ้าดูยอดขายรวมจะเพิ่ม 7% ความหมายคือมันผิดปกติมาก บางโรงกลั่นกำไรเพิ่ม 40 เท่า มีข้าราชการผู้ใหญ่ ที่หุ้นเขาราคา 75 บาท แต่ตัวเองถือได้ 10บาท ยิ่งตั้งราคาให้มีกำไรเพิ่มขึ้น หุ้นตัวเองก็ได้กำไรด้วย"

นายโสภณ ในเรื่องน้ำมัน ก็มีเรื่องน้ำมันดิบในต่างประเทศแล้วก็มีการปั่นราคา กินกำไร แล้วเมื่อเอาเข้ามาในประเทศต่างๆ ก็แย่แล้ว แพงมหาศาลเลย แต่ประเทศ ไทยทุกข์ยากกว่านั้นเพราะว่า ผู้ที่ดูแลน้ำมันในประเทศกลับร่วมกันหากินซ้ำไปอีก ในระหว่างที่วุ่นวายเดือดร้อนแทนที่จะร่วมสุขร่วมทุกข์ ปรากฏว่าสุขอย่างเดียว กำไรขึ้น 7 หมื่นล้านเป็นแสนล้านอย่างนี้ มันไม่มีใครดูแลหรือไง ก็พบว่าคนดูแลได้ประโยชน์จากราคา ไม่ได้ประโยชน์จากราคาต่ำ ได้ประโยชน์จากราคาสูง

สมัยก่อนที่จะมีทุนสามานย์ ถ้าใครจะหากินกับรัฐวิสาหกิจฯ ก็เพียงขอเงินไปตีกอล์ฟเพราะไม่มีหุ้น พอมีหุ้น แทนที่จะไปคุมรัฐวิสาหกิจที่ถูกขายหุ้นไปเป็นบริษัท ก็ ถูกบริษัทคุมและสั่ง วิธีสั่งก็คือผลประโยชน์ร่วม

อดีตผู้บริหารบริษัทบางจาก อธิบายด้วยว่า ถ้าเป็นรายเล็กรายน้อยเจ้าของปั๊มแย่ เพราะโรงกลั่นตั้งราคาสูงให้ขาดทุนไปเรื่อยๆ จะได้ร้องบีบรัฐบาล บีบกระแสข่าว แต่ที่ โรงกลั่นกำไร แต่มาทำภาพค่าการตลาดแย่แล้ว แล้วขึ้นกำไรก็เป็นของตัวเองทั้งสองขา เหมือนราคาอาหารในครัวต้นทุน10 บาท ตั้งราคาหน้าร้าน12บาท แล้วในครัวก็บอก ขาดทุนสองบาท ทั้งที่จริงๆหน้าร้านแล้วในครัวก็เจ้าของเดียวกัน

นายโสภณ กล่าวว่า ปัญหาสำคัญของราคาน้ำมันตอนนี้คือ เราต้องการคนสุจริตมาช่วยดูให้เรา เพราะมันอยู่ในตลาดเก็งกำไร ไม่เอาประโยชน์ทับซ้อนบนความทุกข์ยากของประชาชน ดูอย่างเม็กซิโก เวเนซูเอล่า ถึงได้ยึดคืนกิจการน้ำมันหมด แล้วหนำซ้ำยังไม่ขายให้เอสโซ่ด้วย

นายโสภณ กล่าวต่อว่า เมื่อน้ำมันดิบเข้ามาในเมืองไทย มันก็มีโรงกลั่น ทำตลาด โรงกลั่นก็มีการกำหนดสูตรราคาที่จะกำหนดยังไงก็ได้ เพราะเราซื้อเป็นน้ำมันดิบ ไม่ได้ซื้อสำเร็จรูปจากสิงคโปร์ จะตั้งยังไงก็ได้ ไม่จำเป็นต้องอิงราคาจากสิงคโปร์ ทุกวันนี้เราสามารถกลั่นน้ำมันได้มากเกินกว่าความต้องการภายในประเทศ แถมยังส่งไปขายที่ สิงคโปร์ด้วย แต่วันนี้เราตั้งราคาสูงกว่าในสิงคโปร์ถึง 4เหรียญ หมายถึงส่งไปขายถูกกว่าขายในประเทศเสียด้วยซ้ำ

"วิธีแก้ปัญหาราคาน้ำมันขณะนี้ คิดว่าเราควรใช้กลไกทำราคาได้ ถ้าคนคุมกลไกราคาสุจริต"

อดีตผู้บริหารบางจากกล่าว และเพิ่มเติมด้วยว่า เมื่อปี 2546 รัฐบาลได้ตั้งสูตรราคาน้ำมัน แล้วก็ตั้งกองทุนน้ำมันกู้เงินมา แล้วก็สงเงินชดเชยให้บริษัทโรงกลั่น จนกองทุนเป็นหนี้อยู่แสนล้าน เงินประชาชนทั้งนั้นนะ แล้วจากนั้นก็มาเก็บเงินประชาชนคืน ทำมา อย่างนี้ กิจการน้ำมันก็ร่ำรวยมหาศาลจากสูตร


โดย: jenifaae วันที่: 6 กรกฎาคม 2551 เวลา:17:02:07 น.  

 
*รู้ค่าของ "ข้าว"

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 6 พฤษภาคม 2551 14:35 น.




ราคาสินค้าเกษตรทั่วโลกกำลังพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทยที่กำลังมีข่าวเรื่องข้าวจะขึ้นราคา น้ำตาลจะขึ้นราคา จนหลายๆ คนเริ่มแตกตื่นและเริ่มกักตุนสินค้าจำเป็นเหล่านี้ไว้ในครัวเรือน กักตุนไว้กินเองก็ไม่ว่าอะไร แต่กักตุนไว้เพื่อขายคนอื่นในราคาแพงๆ นี่เขาเรียกว่าพ่อค้าหน้าเลือด เป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรเลียนแบบอย่างยิ่ง

พูดถึงเรื่องข้าวขึ้นมาก็ต้องบอกว่า สำหรับคนไทยแล้ว "ข้าว" ถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ต่อให้ไปอยู่ในต่างแดนที่ไม่นิยมกินข้าว คนไทยเราก็ต้องหาทางหุงข้าวกินเองให้ได้ อีกทั้งข้าวก็ยังมีความสำคัญในด้านวัฒนธรรมประเพณีไทย เรามีพระแม่โพสพ ซึ่งถือเป็นเทพีประจำต้นข้าวที่ชาวนาต้องเคารพนับถือบูชา ตอนเด็กๆแม่เรามักจะสอนให้กินข้าวให้หมด และไหว้ขอบคุณพระแม่โพสพหลังกินข้าวอิ่มทุกวัน

ข้าวนั้นนอกจากจะให้คาร์โบไฮเดรตเป็นหลักแล้ว ก็ยังมีแร่ธาตุแคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก ใยอาหาร โดยเฉพาะในข้าวกล้องจะมีใยอาหารมากกว่าข้าวชนิดอื่น และให้วิตามินบี 1 บี 2 และ บี 3 น้ำข้าวที่ได้จากการหุงข้าวแบบเช็ดน้ำ สามารถนำมาดื่มแก้ท้องร่วง ปวดท้อง ช่วยขับปัสสาวะ ข้าวตังก้นหม้อจากการหุงข้าวแบบเช็ดน้ำ แล้วข้าวตรงก้นหม้อจะสุกจนเกือบไหม้ติดก้นหม้อ ก็นำไปต้มเป็นน้ำข้าวตัง ดื่มแก้กระหาย บำรุงกำลัง กระตุ้นน้ำย่อยได้ดี ข้าวตอกที่ได้จากการนำข้าวเปลือกคั่วจนเปลือกแตกหลุด ใช้เป็นยาเจริญอาหาร บำรุงกำลัง น้ำนมข้าวในรวงข้าวที่ยังไม่แก่มาบีบคั้นน้ำ แล้วนำมากวนกับน้ำตาลเล็กน้อย ดื่มแก้อ่อนเพลีย แก้ฟื้นไข้ บำรุงกำลังได้เช่นกัน

ในช่วงที่ราคาข้าวกำลังพุ่งสูงขึ้นแบบนี้ คนไทยเราก็ยังต้องกินข้าวอยู่ดี ดังนั้นจะมีอะไรดีไปกว่าการรู้คุณค่าของข้าวด้วยการกินข้าวให้หมดทุกเม็ด และสอนลูกสอนหลานท่องให้ขึ้นใจว่า "ข้าวทุกจาน อาหารทุกอย่าง อย่ากินทิ้งขว้าง เป็นของมีค่า..."






*ฟังเสกสรรค์ ประเสริฐกุลพูดเรื่องพุทธธรรม

โสภณ พรโชคชัย {2}

ผมได้มีโอกาสไปฟัง อ.เสกสรรค์แสดงปาฐกถาข้างต้น ได้ข้อคิดที่น่าสนใจหลายประการ ผมฟังท่าน นพ.เสม พริ้งพวงแก้ว กล่าวเปิดงานอย่างเปี่ยมเมตตาว่า "หน้าที่ของคนแก่ (เช่นท่าน) ก็คือทำอย่างไรให้คนหนุ่มสาวดีกว่าเราให้ได้" นี่เป็นคำพูดที่ท้าทายความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง และได้มาฟังคำกล่าวปิดงานของ อ.สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ที่ว่า เราไม่ควรเชื่อสิ่งที่ฟังทันที ควรตั้งคำถามและไตร่ตรองก่อน ผมจึงเขียนบทความนี้และส่งให้ อ.เสกสรรค์ได้ดูในวันรุ่งขึ้นของการแสดงปาฐกถา แต่ท่านก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรมา ผมจึงขออนุญาตเผยแพร่ให้เกิดบรรยากาศ "สังคมอุดมปัญญา" ที่ใช้วิจารณญาณไตร่ตรอง

โลกาภิวัฒน์ที่ถูกทำให้สับสน

อ.เสกสรรค์กล่าวว่าโลกาภิวัฒน์ทำให้วัฒนธรรมท้องถิ่น วัฒนธรรมชาติถูกทำลาย ผู้คนนิยมวัตถุกันมากขึ้น กระตุ้นชีวิตแบบไร้รากและอวดอัตตา ผมว่าปรากฏการณ์เช่นนี้มีมานานก่อนกระแสโลกาภิวัฒน์เสียอีก วัฒนธรรมที่เข้มแข็งกว่าย่อมครอบงำวัฒนธรรมที่อ่อนแอกว่า เช่น สาวชนบทนิยมหนุ่มชาวเมือง วัยรุ่นไทยยุค 2500 คลั่งเอลวิส วัยรุ่นสมัย อ.เสกสรรค์ก็เห่อญี่ปุ่น สาวฉันทนาทำงานแลกยีนส์ตัวโปรด หรือพ่อค้าชอบขี่รถเบนซ์ เป็นต้น

นอกจากนั้นที่ อ.เสกสรรค์กล่าวว่าการศึกษาขั้นสูงเป็นเพียงบัตรเครดิต ก็เป็นจริงมาตั้งแต่สมัย "ฉันจึงมาหาความหมาย" ของ อ.วิทยากร เชียงกูล เมื่อเกือบ 40 ปีมาแล้ว {3} ความเสื่อมถอยของการรักษาศีลธรรมก็ไม่ใช่เพิ่งมีให้เห็นในยุคนี้ ในช่วงสงครามที่ผู้คนต้องช่วงชิงเพื่อความอยู่รอด มีความโหดร้ายและเสื่อมทรามมากกว่าช่วงโลกาภิวัฒน์ยิ่งนัก อาจกล่าวได้ว่าวัฒนธรรมของชาติมักถูกเก็บไว้มิดชิดและนำมาแสดงเฉพาะในยามที่ต้องการแสดงอัตลักษณ์ เช่น การรำวงเพื่ออวดอ้างความเป็นไทยในต่างแดน เป็นต้น

การที่บางครั้งผู้ใหญ่กลัวว่าคนหนุ่มสาวจะไม่รู้จักกลั่นกรองเรื่องโลกาภิวัฒน์นั้น โดยหยิบยกเอาข้อด้อยหรือตัวอย่างคนหนุ่มสาวบางกลุ่มมาอ้างอิง เป็นสิ่งที่ควรทบทวนใหม่ คนหนุ่มสาวลองของใหม่แสดงถึงการมีความคิดก้าวหน้า ไม่ย่ำอยู่กับที่ เราต้องเชื่อมั่นในวิจารณญาณในการรับรู้และปรับแก้ของคนหนุ่มสาว เราก็ต้องเชื่อมั่นในกระบวนการขัดเกลาทางสังคมของประชาชนโดยไม่รู้สึกขัดใจกับตัวเราในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่ ไม่เช่นนั้นเราก็จะกลายเป็น "ไดโนเสาร์ – เต่าล้านปี" เช่นที่เราเคยมองผู้ใหญ่ยุคก่อนเรา


รัฐบาลอ่อนแอลง?

ท่านกล่าวว่าโลกาภิวัฒน์ทำให้รัฐชาติอ่อนแอลง แต่ด้านดีก็ทำให้ประชาชนได้รับการปลดปล่อย ท่านยังว่า รัฐบาลประชาธิปไตยหรือเผด็จการของไทยก็ไม่อาจต้านทานกระแสโลกาภิวัฒน์ได้ เพราะผู้บริหารประเทศไม่ได้ถูกออกแบบมาให้มีความสามารถดังกล่าว ผมไม่แน่ใจว่าในโลกนี้จะมีรัฐบาลใดได้ถูกออกแบบมาดังที่ อ.เสกสรรค์วาดหวัง และผมแปลกใจที่ขนาด อ.เสกสรรค์ในฐานะดุษฎีบัณฑิตทางด้านรัฐศาสตร์และอดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ยังไม่เชื่อมั่นในการบริหารกลไกของรัฐ

กรณีการค้าข้ามชาติที่ส่งผลสะเทือนในบางด้านและบางระดับก็มีมานานแล้ว ตั้งแต่สนธิสัญญาบาวริ่ง {4} ในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อ 100 ปีที่แล้ว เพียงแต่ในสมัยนั้นอัตราความเร็วของความเปลี่ยนแปลงอาจช้ากว่า อย่างไรก็ตามอำนาจรัฐของไทยก็ยังคงอยู่ และจำนวนประเทศเพื่อนบ้านที่เคยเป็นอาณานิคมก็กลับมีอธิปไตยเพิ่มขึ้น การสมคบกันระหว่างชนชั้นนายทุนใหญ่ของไทยกับนายทุนข้ามชาติก็มีมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมี และการสลายตัวของความเป็นชาติในอนาคต ซึ่งอาจกินเวลาอีกหลายร้อยหลายพันปี ก็คงพอคาดเดาความเป็นไปได้ แต่คงไม่ใช่ในช่วงสั้น ๆ ที่ยังมีการรบพุ่งอย่างเข้มข้นระหว่างชาติและศาสนาเช่นทุกวันนี้


โลกาภิวัฒน์ไม่ได้ดี/เลว

ในความเป็นจริง กระแสและรูปธรรมของโลกาภิวัฒน์ ไม่ได้ดีหรือเลวในตัวมันเอง อ.เสกสรรค์อาจกล่าวว่า อินเตอร์เน็ตก็ไม่เสรี ถือเป็นกองหนุนของทุนนิยมโลก สื่อต่าง ๆ ก็เป็นการโฆษณาสินค้าและความคิดแบบทุนนิยม แต่ความจริงก็คือ สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสื่อเท่านั้น ขึ้นอยู่กับคนนำไปใช้ และแน่นอนที่ในยุคที่นายทุนเป็นใหญ่ เวทีของสื่อเหล่านี้ย่อมมีนายทุนเป็นผู้แสดงหลัก แต่ผู้เห็นเป็นอื่นก็สามารถใช้เวทีเหล่านี้เช่นกัน

สิ่งที่พระเจ้ามิลินกับพระนาคเสนถกกันเมื่อ 2,000 ปีมาแล้ว {5} หรือการเผยแพร่ความเชื่อทางศาสนาที่เพิ่งเริ่มเมื่อมีการตั้งพุทธสมาคมแห่งกรุงลอนดอนเมื่อปี 2467 ที่ อ.เสกสรรค์ยกขึ้นมาอ้าง คงไม่แพร่หลายเท่าปัจจุบันนี้หากไม่มีอินเตอร์เน็ทและกระแสโลกาภิวัฒน์เข้ามาช่วย และจากการแลกเปลี่ยนกันนี้ ทำให้เกิดการบูรณาการธรรมะครั้งใหญ่ที่สกัดเอาแต่แก่นธรรมโดยละทิ้งลักษณะและจารีตของแต่ละนิกายออกไป

เป็นที่น่ายินดีที่เดี๋ยวนี้ พุทธศาสนิกชนก็นำอินเตอร์เน็ตอันเป็นรูปธรรมของโลกาภิวัฒน์มาใช้กันเพิ่มขึ้น แต่สิ่งที่พึงตรวจสอบก็คือ เราได้ทำอย่างเข้มข้น ต่อเนื่อง หรือได้ใช้อย่างหลากหลายหรือไม่ "ธรรมกาย" เป็นองค์กรหนึ่งที่น่าสนใจยิ่งในการใช้สื่อโลกาภิวัฒน์อย่างมีประสิทธิภาพสูงยิ่ง มีเว็บไซต์หลากหลาย และยังมีสื่อโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมของตนเองด้วย {6} จนเผยแพร่ความคิดไปได้อย่างกว้างไกลและมีประสิทธิผล แต่เสียดายบางท่านอาจไม่เห็นข้อดีนี้เพราะเพียงแค่ไม่ชอบ "ธรรมกาย"

อย่างไรก็ตามการที่พุทธศาสนิกชนบางส่วนไม่สามารถเผยแพร่ธรรมะออกไปได้กว้างไกลนั้น ไม่ใช่เพราะขาดทักษะด้านโลกาภิวัฒน์เท่านั้น แต่อยู่ที่การติดกรอบของตนเอง มีอัตตาสูง ซึ่งทำให้คนอื่นปฏิเสธตั้งแต่แรกพบแล้ว เช่น "แฟชั่น" การแต่งกาย ทรงผม ภาษาและการพูด หรือการแสดงออกที่ตายตัวเฉพาะกลุ่ม ซึ่งผิดกับภาพลักษณ์ของพระพุทธเจ้าที่สามารถทำให้ผู้คนศรัทธาและประทับใจตั้งแต่แรกพบ


ข้อเท็จจริงเรื่องการฆ่าตัวตาย

อ.เสกสรรค์กล่าวว่า การฆ่าตัวตายในประเทศไทยมีเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ นี่เป็นความเข้าใจผิด ในปี 2549 มีผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จประมาณ 5.7 ต่อประชากรหนึ่งแสนคน เป็นตัวเลขที่ลดลงจากปี 2548 ที่ 6.3 คน ปี 2547 ที่ 6.9 คน และปี 2546 ที่ 7.1 คนต่อประชากรหนึ่งแสนคน {7} และหากเปรียบเทียบกับทั่วโลก ไทยจัดอยู่อันดับที่ 72 จาก 100 ประเทศ ซึ่งถือว่าต่ำมาก ประเทศอันดับต้น ๆ ได้แก่ ลิทัวเนีย (91.7 คน) รัสเซีย (82.5 คน) เบเรรุส (73.1 คน) ศรีลังกา (61.4 คน) ญี่ปุ่น (50.6 คน) และ คิวบา (36.5 คน) ซึ่งเป็นประเทศที่มีความเครียดหรือปัญหาความมั่นคงภายใน {8}

เรื่องความเชื่อว่าการฆ่าตัวตายมีมากขึ้น อาจดูเป็นเพียงความเข้าใจผิดเล็ก ๆ แต่ที่ผมขอบ่งชี้ก็เพราะว่าเรามักใช้ความเข้าใจผิดที่ขาดข้อมูลและการไตร่ตรองเท่าที่ควรนี้มาสร้างความรู้สึกที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ผู้ที่ฟังโดยศรัทธาในตัวผู้พูดก็อาจเกิดความเชื่อหรือความหลงตาม ๆ กันไปโดยขาดการพิสูจน์หรือใช้วิจารณญาณ


การหันเข้าหาศาสนา

มีปรากฏการณ์ให้เห็นอยู่ทั่วไปที่คนไม่มีศาสนาหันมานับถือศาสนา หรือบางคนก็เปลี่ยนศาสนา ทั้งนี้เป็นเพราะความตกต่ำสุดขีดในชีวิตการงานและครอบครัว อ.เสกสรรค์ก็เคยเล่าว่า ". . . เผชิญความทุกข์อันเนื่องมาจากการคิดต่างจากกระแสหลัก การยืนต้านสังคม . . . อย่างต่อเนื่องยาวนาน มันพาผมมาถึงจุดที่หมดแรง กระทั่งนำไปสู่ชีวิตส่วนตัวที่ล้มเหลว . . . ผมกับภรรยาได้แยกทางเดินกัน . . . มันสั่นคลอนความรู้สึกนึกคิดของผมถึงขั้นราก. . ." {9} "ผมล้มแรง ๆ มาหลายครั้งแล้ว" และท่านเองก็เคยรู้สึกเป็น "สิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์" {10} นี่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของ อ.เสกสรรค์ซึ่งไม่แตกต่างจากบุคคลทั่วไป

ท่านยังกล่าวว่า "(ประมาณปี 2545) . . . ได้พาผมย้ายความคิดจากทางโลกมาสู่ทางธรรมมากขึ้นแบบรู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง . . . ผมแปลกใจมากเพราะเดิมเป็นคนที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาเยอะ อย่าให้ผมพรรณนาเลยว่าทำอะไรมาบ้าง ผมเป็นคนที่ทำบาปมาเยอะมาก วันดีคืนดีพบตัวเองมีจิตใจแบบนี้ มันอธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่าเป็นไปได้อย่างไร" {11} ข้อนี้พึงอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่น่าแปลกใจ เป็นการกลับเข้าสู่ภาวะปกติของมนุษย์ที่ผ่านการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาจนเกินควรนั่นเอง


ศาสนากับการเยียวยา

ท่านชี้ให้เห็นว่า คนเราต้องสร้างสันติสุขในใจด้วยการกอบกู้สติสัมปชัญญะ ผมเชื่อว่าคนปกติที่ไม่ยึดติดกับอัตตาจนเกินไปหรือไม่ได้เตลิดไปไกลด้วยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมากมาย ก็มีสติอยู่แล้ว ในแง่หนึ่งศาสนาสามารถใช้บำบัดผู้ป่วยทางจิตหรือผู้ติดยาเสพติด และยังสามารถใช้เยียวยาสังคมได้ด้วย อย่างไรก็ตามบางครั้งศาสนากลายเป็นสิ่งเสพติดที่ผู้เสพจำนวนหนึ่งรู้สึกดีในขณะเสพ เช่น นั่งสมาธิหรือสมาคมอยู่ในกลุ่มผู้นับถือลัทธินิกายเดียวกัน แต่เมื่ออยู่ในสังคมทั่วไป ก็กลับมารุ่มร้อนเหมือนเดิม

อ.เสกสรรค์บอกว่า พุทธธรรมอยู่เหนือวิทยาศาสตร์ที่ยังอธิบายหลายอย่างไม่ได้ ท่านว่าวิทยาศาสตร์เข้าใจแต่สิ่งภายนอกตัวและกายภาพ แต่ปฏิเสธการดำรงอยู่ของจิต ข้อนี้ผมขอเห็นแย้งเพราะทั้งปรัชญาจิตนิยมและวัตถุนิยมต่างเห็นการดำรงอยู่ของทั้งวัตถุและจิต เพียงแต่ให้น้ำหนักต่างกัน วิทยาศาสตร์แบ่งเป็นวิทยาศาสตร์ธรรมชาติและวิทยาศาสตร์สังคม พุทธศาสตร์ก็เป็นวิทยาศาสตร์สังคมที่สามารถพิสูจน์ได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ที่พระพุทธเจ้าเชื้อเชิญให้พิสูจน์มานับ 2551 ปีแล้ว กาลามสูตรก็แสดงถึงความเป็นวิทยาศาสตร์โดยเนื้อแท้ {12}

ช่วงหนึ่งของปาฐกถา ท่านกล่าวว่าองค์ทะไลลามะแห่งทิเบต {13} ได้รับการยอมรับแม้กระทั่งจากคนในรัฐบาลของสหรัฐอเมริกา เพราะพระองค์สอนให้คนทั่วโลกรักและเข้าใจจีนทั้งที่จีนจะรังแกทิเบต ข้อนี้ผมขอมองต่างมุม กล่าวคือ การที่สหรัฐอเมริกายกย่ององค์ทะไลลามะ ก็เพื่อเป็นเครื่องมือต่อสู้ทางการเมืองระหว่างประเทศกับจีน สหรัฐอเมริกาเชื่อคำสอนของพระองค์จริงหรือ คำสอนของพระองค์เป็นแค่คำหวานหรือไม่ ท่านติช นัท ฮันห์ พระนิกายเซ็นชาวเวียดนามก็ยังเคยพาชาวยิวกับชาวปาเลสไตน์ไปแลกเปลี่ยนความเห็นกันด้วยความรักและความเมตตาเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้ผล {14}


ตัวตนของ อ.เสกสรรค์

ท่านเคยเป็นผู้นำนักศึกษาในเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 (สมัยนั้นผมเรียนอยู่ ม.ศ.2) เคยเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ในช่วง ปี 2518 – 2523 บุคคลทั่วไปอาจยึดติดกับภาพผู้นำนักศึกษาของท่านมากไป ความจริงมีผู้นำหลายคนในช่วงนั้น และอุดมการณ์ของคนหนุ่มสาวในยุคนั้นก็เป็น "แฟชั่น" ที่ไม่มีรากหยั่งลึกอะไร และการเข้าร่วมกับพรรคข้างต้น ก็มีผู้เข้าร่วมมากมาย หลายคนสร้างวีรกรรมยิ่งกว่าท่าน ท่านเองก็ไม่ใช่ผู้นำพรรค การพ่ายแพ้ของพรรคก็ไม่ได้เป็นเพราะท่านแต่อย่างใด เราไม่ควรผูกท่านไว้กับภาพลักษณ์ 10 ปีแรก ๆ ของท่าน

แม้ อ.เสกสรรค์มีงานเขียนมากมาย {15} แต่ส่วนใหญ่ไม่ใช่ผลงานทางวิชาการที่ต่อยอดความรู้ทางคณะรัฐศาสตร์ที่ท่านรับราชการอยู่ รายการเอกสารและวีดีทัศน์ของท่าน ณ สำนักหอสมุดกลาง ธรรมศาสตร์ แม้จะมีถึง 58 รายการ แต่ส่วนมากเป็นบทกวีหรืองานอื่น {16} ข้อนี้อาจแตกต่างจากนักวิชาการอื่นที่เป็นอดีตผู้นำนักศึกษาที่มักมีผลงานวิชาการมากมาย เช่น รศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ ศ.ดร.สมบัติ ธำรงค์ธัญวงศ์ ศ.ดร.ธงชัย วินิจกุล รศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข เป็นต้น ผมเข้าใจว่าฐานะของอาจารย์มหาวิทยาลัยไทยอาจมีอิสรภาพมาก แต่หากเป็นในสหรัฐอเมริกา ข้าราชการที่เขียนหนังสืออื่นออกมาขายอาจถูกตรวจสอบในประเด็นการใช้เวลาและทรัพยากร


การมีส่วนร่วม

ในงานแสดงปาฐกถานี้ ผู้จัดงานขอให้ผู้เข้าร่วมงาน "บริจาคตามกำลังทรัพย์" ผมสอบถามดูทราบว่ามีผู้เข้าร่วมประมาณ 200 คน ผมยืนนับเงินที่บริจาคในกล่องพลาสติกได้ประมาณ 6,000 บาท แสดงว่าคนหนึ่งบริจาคเป็นเงิน 30 บาท และผมได้ใส่เพิ่มอีก 1,000 บาท อย่างไรก็ตามเชื่อว่าต้นทุนการจัดงานทั้งค่าดูแลสถานที่ ของชำร่วยวิทยากร การประสานงาน การประชาสัมพันธ์ แรงงานของผู้จัดงาน ฯลฯ รวมกันแล้วคงเป็นเงินจำนวนไม่น้อย

แต่ผู้จัดงานก็คงไม่คิดหวังเอากำไรจากการนี้และยินดีให้เปล่าเพื่อการกุศล แต่ผู้เข้าร่วมก็ควรเล็งเห็นถึงต้นทุนของสิ่งที่เรามารับ ด้วยการร่วมบริจาค เพื่อไม่เป็นการเบียดเบียนและที่สำคัญเป็นการสมทบทุนสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมต่อไป จิตสำนึกการจ่ายเพื่อรับบริการนี้สำคัญมากในการยกระดับจิตใจโดยเริ่มที่ตัวเราเองก่อนโดยเฉพาะกลุ่มที่มุ่งหวังช่วยคนอื่น เช่น องค์กรอาสาสมัครเอกชนต่าง ๆ

ในตอนท้ายของการแสดงปาฐถกา ทั้ง อ.เสกสรรค์และ อ.สุลักษณ์ต่างก็ชี้ให้เห็นว่า เราต้องศึกษาให้รู้จริงก่อนเชื่อ ถือเป็นคำสอนที่พึงสังวรเป็นอย่างยิ่ง การเชื่อโดยศรัทธาครูอาจารย์โดยขาดการใช้วิจารณญาณก็เป็นข้อเตือนใจหนึ่งในกาลามสูตร ผมเชื่อว่าเราต้องมีข้อมูลที่แน่นหนา ตรวจสอบได้ และมีการศึกษาวิจัยโดยใช้ปัญญาพิจารณา การเชื่อตาม ๆ กันโดยไม่ได้ศึกษาสภาพที่เป็นจริงก็ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยที่ อ.เสกสรรค์เคยสังกัด พังมาแล้ว อย่าให้พุทธศาสตร์กลายเป็นไสยศาสตร์ จิตนิยมหรือสิ่งที่ปฏิเสธวิทยาศาสตร์ไปเป็นอันขาด


หมายเหตุ:

{1} ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล แสดงปาฐกถาเสมพริ้งพวงแก้ว ครั้งที่ 14 เรื่อง "พุทธธรรมในยุคโลกาภิวัตน์" จัดโดย มูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2551 ณ เรือนร้อยฉนำ คลองสาน กรุงเทพมหานคร โปรดดู File เสียงที่//www.semsikkha.org/semmain/3-report/org_report/ram/sem_lec14th/lecture.wmaหรืออ่านสรุปได้ที่//www.prachatai.com/05web/th/home/11182
{2} โสภณ พรโชคชัย เป็นผู้ประเมินค่าทรัพย์สินและนักวิจัยด้านอสังหาริมทรัพย์และการพัฒนาเมือง จบวิทยาศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตด้านการวางแผนพัฒนาเมือง จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย ขณะนี้เป็นประธานกรรมการมูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย กรรมการหอการค้าไทยสาขาอสังหาริมทรัพย์ สาขาจรรยาบรรณและสาขาเศรษฐกิจพอเพียง และเป็นกรรมการสมาคมผู้ประเมินค่าทรัพย์สินอาเซียน และกรรมการที่ปรึกษาสถาบันประเมินค่าทรัพย์สินสหรัฐอเมริกา Email: sopon@thaiappraisal.org
{3} อ.วิทยากร เชียงกูล เขียน "ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง ฉันจึงมาหาความหมาย ฉันหวังเก็บอะไรไปมากมาย สุดท้ายให้กระดาษฉันแผ่นเดียว"ที่https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=birdwithnolegs&month=04-2007&date=17&group=4&gblog=4

{4} สัญญาบาวริ่ง ในสมัยรัชกาลที่ 5 โปรดดูที่//home.kku.ac.th/history/suwit/course/418113.pdf
{5} โปรดดูรายละเอียดที่ มิลินทปัญหา วรรคที่ 1-7//www.dhammathai.org/milin/milin01.phpและ//www.geocities.com/i4058980/milin/ml12.htm
{6} โปรดดูรายละเอียดที่//www.dmky.com/
{7} ข่าว "เผยสถิติฆ่าตัวตายคนไทยลด จับตา 'ระยอง' มาแรงเสี่ยงแซงทุกจังหวัด"//www.dmh.go.th/sty_libnews/news/view.asp?id=7653
{8} โปรดดูตารางขององค์การอนามัยโลก//www.who.int/mental_health/prevention/suicide/suiciderates/enและดูเพิ่มเติมในแผนที่โลกที่//www.who.int/mental_health/prevention/suicide/suicideprevent/en

{9} จากวารสาร ปาจารยสาร ตุลาคม-พฤศจิกายน 2549 หน้า 44-45

{10} โปรดดูบทความ "ความปวดร้าวของค้างคาว"//www.suvinai-dragon.com/way_kwampuad.html
{11} ตามข้อ 8

{12} กาลามสูตร 10 คือ อย่าปลงใจเชื่อ 1.ด้วยการฟังตามกันมา 2.ด้วยการถือสืบ ๆ กันมา 3.ด้วยการเล่าลือ 4.ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์ 5.ด้วยตรรก 6.ด้วยการอนุมาน 7.ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล 8.เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน 9.เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าเชื่อ และ 10.เพราะนับถือว่าท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา เราจะเชื่อก็ต่อเมื่อพิจารณาเห็นด้วยปัญญา (ที่มาคือ //larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/002684.htm)

{13} โปรดดูรายละเอียดเกี่ยวกับองค์ทะไลลามะที่//www.skyd.org/html/priest/dalai.html
{14} โปรดดู บทความ "ธรรมะจากท่านติช นัท ฮันห์"//www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ID=8401&Key=HilightNews

{15} โปรดดูรายการหนังสือประมาณ 30 เล่ม และบทความอีกบางส่วนได้ที่//www.geocities.com/siamintellect/intellects/sakesan/articles.htm
{16} โปรดดู//search.library.tu.ac.th/ipac20/ipac.jsp?profile=pridi&menu=search&submenu=advanced#focusและพิมพ์ชื่อ อ.เสกสรรค์ ที่ Author Keyw


โดย: jenifaae วันที่: 6 กรกฎาคม 2551 เวลา:17:02:28 น.  

 
*บูรพา“บาหลี” ณ ที่งดงามตราตรึง

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 9 มิถุนายน 2551 13:41 น.

โดย : เหล็งฮู้ชง



หากเอ่ยถึงบรรดา“เกาะสวรรค์” ที่ไม่ใช่แนวเกาะสวาท หาดสวรรค์ ผมยกให้“บาหลี”นอนมาเป็นอันดับต้นๆ เพราะเกาะแห่งนี้มีมนต์เสน่ห์ตราตรึงมากมาย ทั้งธรรมชาติ วิชีวิต และศิลปวัฒนธรรม จนทำให้นักเดินทางหลายๆคนใฝ่ฝันถึงว่าในชีวิตนี้น่าจะหาโอกาสไปเยือนสักครั้ง

บาหลี เป็นเกาะที่อยู่ระหว่างกลางของเกาะชวาและเกาะลอมบอก ประเทศอินโดนีเซีย ชาวบาหลีส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดู-บาหลี ทำให้เกาะแห่งนี้มีวิถี วัฒนธรรม ประเพณี อันเป็นเอกลักษณ์แตกต่างออกไปจากอินโดนีเซีย ประดุจดังเกาะสวรรค์ทางการท่องเที่ยวในสายตาของใครหลายๆคน(รวมทั้งตัวผมด้วย)

แต่...อนิจจา สวรรค์ทางการท่องเที่ยวบนบาหลีต้องล่มไปคราว เมื่อเกิดการก่อวินาศกรรมขึ้นในเดือน ตุลาคม 2545

แต่...เมื่อกาลเวลาได้เยียวยาให้บาหลีฟื้นตัวกลับคืนสู่เกาะสวรรค์อีกครั้ง ซึ่งหลังจากผมไปเที่ยวที่ ปรัมบานันและบุโรพุทโธในยอกยาการ์ตาแล้ว ผมเดินทางกลับสู่กรุงจาการ์ต้าเมืองหลวงอินโดฯอีกครั้งเพื่อมาต่อเครื่อง เดินทางสู่บาหลีด้วยสายการบินราคาประหยัด อินโด แอร์เอเชีย

ประมาณ 1 ชั่วโมงต่อจากนั้นผมก็เหินฟ้าข้ามทะเลจากจาการ์ต้ามาสู่เกาะบาหลี ซึ่งการเที่ยวบาหลีในครั้งนี้มีเป้าหมายหลักอยู่ที่บาหลีฝั่งตะวันออกที่มีสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆงามๆและสำคัญๆให้เลือกชมกันมากมาย อีกทั้งยังเป็นดินแดนที่ชาวบาหลีนีสเชื่อว่าเป็นทิศมงคลที่สุดอีกด้วย

ในเย็นวันแรกที่บาหลีคณะทัวร์ของเราเลือกไปตั้งหลักพักค้างคืนกันแถว แคนดิดาสา(Candidasa) อดีตหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆเมื่อราว 30 กว่าปีที่แล้ว ที่ปัจจุบันปรับเปลี่ยนเป็นหนึ่งในย่านที่พักขึ้นชื่อแห่งบาหลี

ครั้นวันรุ่งขึ้นมาถึงคณะของเรารีบออกท่องบาหลีฝั่งบูรพาในทันที โดยจุดแรกพวกเราไปแวะเที่ยวที่หมู่บ้านเทงกานัน (Tenganan Village) หมู่บ้านท่องเที่ยววัฒนธรรมสไตล์บาหลีอันโด่งดัง มีอายุเก่าแก่กว่า 700 ปี



ชาวหมู่บ้านเทงกานันสืบเชื้อสายมาจากชนพื้นเมืองดั้งเดิม ซึ่งเมื่อเดินเข้าเขตหมู่บ้านผมพบว่า ชาวบ้านที่นี่ยังคงยังคงรูปแบบวัฒนธรรมประเพณีวิถีความเป็นอยู่เอาไว้อย่างเหนียวแน่น บ้านแต่ละหลังที่นี่จะปลูกสร้างลดหลั่นเรียงรายกันไปตามเนินเขา มีลานกลางหมู่บ้านเป็นพื้นที่สาธารณะให้ชาวบ้านใช้สอยร่วมกัน นับเป็นลานบ้านแห่งชีวิตเลยทีเดียว เพราะบนลานแห่งนี้มีภาพชีวิตและภาพชาวบ้านในชุดพื้นเมืองให้ชมกันเพียบ ทั้งภาพชาวบ้านเดินหาบฟืน หาบมะพร้าว ทูนของไว้บนศีรษะอย่างสมดุล ภาพเด็กๆวิ่งเล่นซุกซน หนุ่มๆเลี้ยงไก่ชน หญิงสาวเลี้ยงลูกน้อย คุณยายนั่งสงบนิ่ง นอกจากนี้ยังมี ควาย หมา นก ไก่ หมู ที่ชาวบ้านนำมาปล่อยมาเลี้ยงไว้ในลานแห่งนี้ให้ชมกันหลายจุดทีเดียว

และแน่นอนว่าเมื่อมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเยือนมากมาย ชาวบ้านที่นี่ย่อมไม่ละเลยต่อการทำธุรกิจท่องเที่ยวชุมชนเล็กๆน้อยๆเพื่อสร้างรายได้ ซึ่งก็มีทั้ง งานจักรสาน กระบุง ตะกร้า ของที่ระลึก หุ่นกระบอก งานศิลปะ หน้ากากหลากสีสันหลายรูปแบบ ไข่เพ้นท์สี ฯลฯ


ส่วนงานฝีมือที่ผมเห็นว่าแปลกใหม่ไม่น้อย(สำหรับคนไทย)ก็เห็นจะเป็น การเขียนลอนตะ (Lanta) ที่เป็นการเขียนภาพบนใบลานด้วยหมึกจากแมคคาดีเมียนัทอย่างสวยงามยอดเยี่ยมของศิลปินพื้นบ้าน ในขณะที่งานฝีมือด้านการทอผ้ากริงซิง(Gringsing) อันเป็นเอกลักษณ์ที่หมู่บ้านเทงกานันนี่ถือว่าขึ้นชื่อลือชามาก แถมสนนราคาก็ไม่แพง เล่นเอาสาวๆหลายคนช้อปกันกระเป๋าแทบกระจาย

หลังชื่นชมวิถีพื้นบ้านบาหลีที่เทงกานันแล้ว ช่วงสายเราออกเดินทางต่อไปยังพระราชวังทามัน อูจุง (Taman Ujung) ที่อยู่ทางตอนใต้ของเมืองอัมลาปุระ(Amlapura)ไปประมาณ 5 กม.

พระราชวังทามัน อูจุง สร้างโดยกษัตริย์ อนัค อากุง อังลุราห์(Anak Agung Anglurah) กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์การังกาเซ็ม เป็นพระราชวังริมทะเลอันสวยงาม ทั้งตัวพระราชวังที่งดงามงานศิลปกรรมแบบตะวันตกผสมบาหลี


สำหรับอาคารพระราชวังแห่งนี้ส่วนใหญ่สร้างขึ้นมาใหม่หลังถูกแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี ค.ศ. 1979 จนเสียหายยับเยิน แต่กระนั้นในพื้นที่พระราชวังแห่งนี้ก็ยังมีซากอาคารเก่าแก่รุ่นแรกสร้าง
อายุร่วมพันปีให้เดินขึ้นไปยลความเก่าและชมวิวจากเบื้องบนลงมา ซึ่งบนนี้จะมองเห็นวิวทิวทัศน์อันสวยงามรอบข้างที่ด้านหนึ่งเป็นทะเลและอีกด้านหนึ่งเป็นขุนเขาโอบล้อม
ในเมืองอัมลาปุระยังมีอีกหนึ่งพระราชวังเก่าแก่ให้เที่ยวกันนั่นก็คือ ปุรี อากุง การังกาเซ็ม(Puri Agung Karangasem) ที่งดงามชวนชมตั้งแต่ด้านหน้าทางเข้า ซึ่งเป็นซุ้มประตูซ้อน 4 ชั้นตั้งตระหง่าน มีรูปปั้นเทพเจ้าบาหลีอันสวยงามประดิษฐานอยู่ ณ 2 ฝั่งของประตู


พระราชวังแห่งนี้มีขนาดกะทัดรัดแต่ว่างดงามร่มรื่น ซึ่งเมื่อเดินเข้าเขตพระราชวัง ด้านซ้ายจะพบกับศาลาลอนดอน(Bale London) ที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมอังกฤษ ถัดไปเป็นมาสเกอร์ดาม (Maskerdam) หรืออาคารหลัก ที่ผู้ปกครองชาวดัตช์ยินยอมให้เรียกขานชื่อนี้ หลังราชวงศ์การังกาเซ็มสามารถโค่นราชวงศ์บาหลีที่มีอยู่เดิมลงได้ ภายในอาคารจัดแสดงกึ่งๆพิพิธภัณฑ์ มีรูปภาพ โคมไฟ ข้าวของ ให้ชมกันพอประมาณ

ในขณะที่ฝั่งตรงข้ามนั้นเป็น ศาลากัมบัง (Bale Kambang) ตั้งอย่างโดดเด่นกลางสระน้ำที่ในวันผมไปนั้นดูเขียวชอุ่มไปด้วยใบบัว จอก แหน ซึ่งเหมาะแก่การเดินไปนั่งพักรับลมเย็นๆยิ่งนัก



จากปุรี อากุง การังกาเซ็ม คณะเราไปแวะกินข้าวเที่ยงกันระหว่างทางก่อนเดินทางข้ามเมืองไปยัง วัดเบซากิห์(Pura Basakih) ที่อยู่ในเขตเมืองการังกาเซ็ม

วัดเบซากิห์หรือเบซากีฮ์ เป็นสถานที่ไฮไลท์สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของบาหลี เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองที่ใหญ่ที่สุด สำคัญที่สุด และศักดิ์สิทธิ์ที่สุดบนบาหลี ที่หากใครไปเที่ยวบาหลีแล้วต้องไม่พลาดด้วยประการทั้งปวง

วัดแห่งนี้ถือเป็นวัดหลวง(Mother Temple)เก่าแก่ประจำเกาะ สร้างขึ้นราว ค.ศ. 8 ตั้งอยู่บนความสูงราว 1 พันเมตรเหนือระดับน้ำทะเล บนเส้นทางขึ้นปากปล่องภูเขาไฟกุนุง อากุง

หลายๆคนยกให้เบซากิห์เป็นดังอาณาจักรแห่งกุนุง อากุง เพราะมีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล ภายในเบซากิห์ประกอบด้วยวัดเล็กวัดน้อยจำนวนมากถึง 23 วัด มีวัดเปนาทารัน อากุง ที่อยู่ตรงกลางเป็นไฮไลท์



อ้อ...เนื่องจากวัดเบซากิห์เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มากของชาวบาหลี การจะขึ้นไปเที่ยวชมจึงต้องเคร่งครัดหน่อย คือต้องแต่ตัวสุภาพ มิดชิด ห้ามนุ่งกระโปรงสั้น-กางเกงขาสั้นขึ้น ห้ามใส่เสื้อแขนกุดสายเดี่ยว โดยทางวัดจะมีโสร่ง ผ้าคลุมไว้บริการ ส่วนในบางพื้นที่ของวัดหากไม่ใช่ชาวฮินดูทางวัดเขาห้ามเข้าโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะบริเวณลานศักดิ์สิทธิ์ของวัดแห่งนี้

เอาล่ะเมื่อรู้กฎข้อบังคับของเขาแล้วทีนี่ผมก็ไม่รีรอเดินขึ้นสู่วัดเบซากิห์ในทันที ระหว่างทางจะมีรูปปั้นทวยเทพตั้งอยู่เป็นจุดๆไป ครั้นพอเข้าเขตพื้นที่วัดก็จะน่าตื่นตื่นใจในความอลังการ และมนต์เสน่ห์ของงานศิลปะ สถาปัตยกรรมแบบฮินดู-บาหลีอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นช่องประตูแบบไม่มีทับหลังหรือคาน หลังคาโบสถ์ วิหาร ศาลา ที่มุงด้วยวัสดุพื้นถิ่น โดยอาคารบางหลังแสดงความสำคัญด้วยการซ้อนชั้นหลังคาขึ้นไปสูงหลายชั้น

นอกจากงานศิลปกรรมแล้ว วัดเบซากิห์ยังถือเป็นจุดชมวิวชั้นดี ทั้งวิวของมุมเงย(มองขึ้นไป) หรือวิวมุมสูงทึ่มองลงมา เห็นหลังคาวัดสูงต่ำสร้างเรียงราย ส่วนวิวที่ไกด์ของเราบอกว่าดีที่สุดนั้นเป็นในช่วงเช้าราว 7-8 โมง ที่จะมองเห็นวัดเบซากิห์ตั้งตระหง่านท่ามกลางฉากหลังของภูเขาไฟกุนุง อากุง อันงดงาม แต่หลังจากนั้นเมฆหมอกก็จะเข้าปกคลุมบดบังยอดภูเขาไฟจนไม่อาจเห็นได้อย่างชัดเจน



สำหรับภูเขาไฟกุนุง อากุง (Gunung Agung)นั้น เป็นภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นที่ชาวบาหลีนับถือเป็นภูเขาไฟศักดิ์สิทธิ์ที่สุดสำคัญที่สุดและสูงที่สุดในบาหลี คือสูงถึง 3,142 เมตร เปรียบเสมือนดังจุดศูนย์กลางของโลก

ภูเขาไฟลูกนี้ได้ระเบิดครั้งล่าสุด(ครั้งสุดท้าย)เมื่อค.ศ. 1963 ซึ่งเป็นการระเบิดอย่างรุนแรงในช่วงคราบรอบ 100 สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อบาหลี คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 2,000 คน และมีผู้ไร้ที่อยู่อาศัยนับแสนคน เมืองหลายเมืองได้รับความเสียหายจากภูเขาไฟครั้งนี้

แต่น่าแปลกที่วัดเบซากิห์ที่อยู่ห่างจากปากปล่องภูเขาไฟเพียง 6 กิโลเมตร กลับได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อย เนื่องจากก้อนหินลาวาที่ไหลพรั่งพรูลงมาได้ถูกแนวท่อนไม้ที่สร้างเป็นแนวกำแพงวัดกั้นไว้อย่างเหลือเชื่อ นับเป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์สำหรับชาวบาหลีนีสไม่น้อยเลย

แต่จะว่าไปหลายๆเรื่องราวในโลกนี้ต่างก็เกิดจากความมหัศจรรย์มิใช่หรือ?


*****************************************

บาหลี มีเวลาเร็วกว่าเมืองไทยและกรุงจาร์กาต้าเมืองหลวงของอินโดฯ 1 ชั่วโมง บนบาหลีใช้เงินสกุลรูเปียของอินโดนีเซีย มีอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 1 บาท ประมาณ 250-300 รูปเปีย(ตามการขึ้นลงของค่าเงิน) นอกจากบาหลีฝั่งตะวันออกแล้วบนบาหลียังมีสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่ออีกมากมาย อาทิ หาดคูต้า, หาดนูซา ดัว,หาดซานูร์,วัดทานาร์ลอต,วัดอูลัน ดานู บาตูร์,เมืองอูบุด เป็นต้น


โดย: jenifaae วันที่: 6 กรกฎาคม 2551 เวลา:17:02:51 น.  

 
*มหัศจรรย์ “บุโรพุทโธ”

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 2 มิถุนายน 2551 16:00 น.

โดย : เหล็งฮู้ชง



แม้ไม่ใช่ 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก แต่มหาเจดีย์ “บุโรพุทโธ”(โบโรบูดูร์(Borobudur) หรือบรมพุทโธ)ก็จัดได้ว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ในระดับน้องๆของสิ่งมหัศจรรย์แห่งโลก ในขณะที่ชาวอินโดนีเซียนต่างยกให้มหาเจดีย์แห่งนี้เป็นสิ่งมหัศจรรย์สำคัญของประเทศและเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของอินโดนีเซีย

จากจาการ์ต้า เมืองหลวงของอินโดฯ(ได้นำเสนอข้อมูลบางส่วนของเมืองนี้ไปในตอนที่แล้ว) ผมเดินทางด้วยสายการบินราคาประหยัดในประเทศ(อินโดฯแอร์ เอเชีย)มุ่งหน้าสู่สนามบินเมืองโซโล เพื่อจะเดินทางต่อด้วยรถบัสต่อสู่เมือง ยอกยาการ์ตา(Yogyakata) หรือยอกยา เมืองเก่าแก่ศูนย์กลางศิลปวัฒนธรรมชวาอันเป็นที่ตั้งของบุโรพุทธโธอันลือลั่น


แต่ว่าก่อนจะไปถึงยังบุโรพุทโธไฮไลท์สำคัญของทริปนี้ เราไปแวะเที่ยวที่ “วิหารปรัมบานัน”(Candi Prambanan)กันก่อน

วิหารปรัมบานัน ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านปรัมบานัน ทางทิศตะวันออกของเมืองยอกยา ปรัมบานันเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าบุโรพุทโธ เพราะเป็นเทวสถานในศาสนาฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซีย

วิหารแห่งนี้มีเทวาลัยหลักขนาดใหญ่ 3 หลังด้วยกัน คือ องค์ประธานหลังกลางที่ใหญ่ที่สุด เด่นที่สุด และสูงที่สุด(ประมาณ 47 เมตร) เป็นเทวาลัยที่สร้างขึ้นถวายแด่พระอิศวร อีก 2 หลังเล็กลงมา แบ่งเป็นเทวาลัยทิศเหนือที่สร้างถวายแด่พระนารายณ์ และเทวาลัยทิศใต้ที่สร้างขึ้นถวายแด่พระพรหม


นอกจากนี้ปรัมบานันยังมีเทวาลัยขนาดเล็กรายรอบอีกร่วม 250 หลังเป็นองค์ประกอบ รวมไปถึงรูปปั้นรูปสลักอีกมากมาย ซึ่งด้วยความเก่า ความเก๋า ความขลัง ความงาม ความยิ่งใหญ่อลังการ และความสำคัญแห่งรอยอดีตในศาสนาฮินดู ทำให้วิหารปรัมบานันได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก ในปี ค.ศ.1991

หลังซึมซับความยิ่งใหญ่อลังการของวิหารปรัมบานันกันจนถึงเวลาอันควรแล้ว ผมก็ออกเดินทางต่อไปยังบุโรพุทโธในเขต Magelan ในทันที

ประมาณ 1 ชั่วโมงต่อจากนั้น ผมได้มายืนยังบริเวณทางเข้าบุโรพุทโธที่แหงนหน้ามองขึ้นไปเห็นบุโรพุทโธที่ตั้งตระหง่านโดดเด่นเป็นสง่าบนเนินดินธรรมชาติอยู่ลิบๆ ครับ...เมื่อเห็นอย่างนั้นเราก็ไม่รอช้ารีบจ้ำอ้าวก้าวเดินเข้าสู่มหาเจดีย์บุโรพุทโธอย่างไม่รีรอ


ระหว่างทางมีคนเดินสวนขึ้น-ลง เจดีย์กันขวักไขว่ดูไม่ต่างอะไรกับงานมหกรรมย่อยๆเลย เพราะวันนั้นเป็นวันเสาร์ จึงมีนักเรียน นักศึกษา ประชาชน และนักท่องเที่ยว มาเที่ยวชมบุโรพุทโธกันอย่างเนื่องแน่น ซึ่งนี่ถือเป็นการการันตีความยิ่งใหญ่ของมหาเจดีย์แห่งนี้ได้เป็นอย่างดี

สำหรับมหาเจดีย์แห่งนี้ ไกด์ประจำบุโรพุทโธอธิบายให้ผมฟังว่า นี่เป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างเชิดหน้าชูตาอย่างยิ่งแห่งอินโดนีเซีย ได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1991

ตามประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าบุโรพุทโธน่าจะสร้างขึ้นในระหว่าง ค.ศ. 778 ถึง 850 โดยกษัตริย์ราชวงศ์ไศเลนทร์


บุโรพุทโธเป็นงานพุทธสถานแบบฮินดูชวาที่ผสมผสานศิลปะแบบอินเดียกับอินโดนีเซียให้เข้ากันได้อย่างกลมกลืนลงตัว องค์เจดีย์มีลักษณะเป็นรูปทรงดอกบัว(สื่อถึงสัญลักษณ์แห่งพุทธศาสนา) ส่วนแผนผังนั้นเชื่อว่าน่าจะหมายถึงคติจักรวาลและอำนาจของพระพุทธเจ้า อันได้แก่พระพุทธเจ้าผู้สร้างโลกตามคติพุทธมหายาน นอกจากนี้บุโรพุทโธยังมีความลี้ลับบางประการทั้งทางการก่อสร้างและการสื่อสัญลักษณ์ที่ ณ วันนี้ ยังรอให้นักวิชาการได้ค้นคว้าศึกษาตีความกันต่อไป

บุโรพุทโธแบ่งเป็น 3 ชั้นหลักด้วยกัน ซึ่งเปรียบเหมือนชีวิตที่แบ่งออกเป็น 3 ช่วง คือ กามาธาตุ(กามธาตุ) รูปธาตุ และอรูปธาตุ

เอาล่ะ เมื่อรู้เรื่องราวคร่าวๆของมหาเจดีย์แห่งนี้แล้ว ทีนี้ก็ได้เวลาลุยถั่วชมบุโรพุทโธกันแล้ว


จุดแรกก่อนขึ้นไปยังมหาเจดีย์ ผมเดินไปหามุมถ่ายรูปตามแสงบริเวณสนามหญ้ารอบๆก่อนเดินละเลียดสำรวจชมซุ้มพระพุทธรูปมากมาย จากนั้นจึงเดินหน้าต่อไปสู่มหาเจดีย์ชั้นแรก คือ กามาธาตุหรือขั้นตอนที่มนุษย์ยังผูกพันอย่างใกล้ชิดกับความสุขและความร่ำรวยทางโลก ชั้นนี้เปรียบเสมือนส่วนฐานของเจดีย์ มีภาพสลักหินนูนต่ำกว่า 160 ภาพให้เดินชมได้โดยรอบ โดยภาพที่เด่นๆชวนชมในชั้นนี้ก็มี ภาพวิถีชีวิตประจำวันของชาวชวา ภาพแสดงถึงบาปบุญคุณโทษ กฎแห่งกรรมต่างๆ เป็นต้น

แต่ถ้าใครอยากชมภาพสลักหินนูนต่ำอย่างหลากหลาย ขอแนะนำว่าที่ชั้น 2 หรือชั้น รูปธาตุ ที่เปรียบเสมือนขั้นตอนการหลุดพ้นจากกิเลสในทางโลกของมนุษย์เพียงบางส่วน ที่ชั้นนี้มีภาพสลักสวยๆงามๆบนระเบียงให้ชมกันเพียบถึง 1,400 ภาพ(ยาวทั้งหมดเกือบ 4 กม.) ภาพในชั้นนี้ส่วนใหญ่จะเป็นภาพพุทธประวัติที่ได้รับอิทธิพลศิลปะอินเดียในสมัยหลังยุคคุปตะ เน้นการสลักภาพบุคคลที่ดูค่อนข้างอวบอ้วนแต่แฝงความสงบอยู่ในที


อนึ่งการเดินขึ้นชมบุโรพุทโธนั้นผมว่าแค่พอเหงื่อซึมเท่านั้น ไม่ถึงกับเหนื่อยหนาสาหัส ซึ่งเมื่อเดินต่อไปก็จะสู่ชั้นไฮไลท์ในชั้น 3 หรือชั้น อรูปธาตุ ที่เปรียบเสมือนการหลุดพ้นของมนุษย์ ไม่ผูกพันใดๆในทางโลกอีกต่อไป

บนชั้น 3 มีฐานเป็นลานทรงกลม เจดีย์เล็ก ๆ 3 แถว 72 องค์รายล้อมรอบเจดีย์องค์ใหญ่(แถวแรก 16 องค์, แถวสอง 24 องค์,แถวสาม 32 องค์) ซึ่งมีหลายคนตีความว่าอาจจะสื่อถึงการหลุดพ้นใน 3 ระดับคือ นิพพาน ปรินิพพาน และมหานิพพาน ส่วนเจดีย์องค์ใหญ่ยักษ์ตรงกลางนั้นน่าจะหมายถึงแกนจักรวาล


สำหรับเจดีย์องค์เล็กๆจำนวนมาก บนชั้น 3 นี้ หากสังเกตดีๆจะพบว่ามีลักษณะค่อนข้างต่างไปจากเจดีย์บ้านเรา คือเป็นเจดีย์ยอดตัด(ไม่ใช่ยอดแหลมเหมือนบ้านเรา) และเป็นเจดีย์โปร่ง ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปนั่งปางมารวิชัย ซึ่งถือเป็นเกราะกำบังการลักลอบตัดเศียร และการทำลายพระพุทธรูปได้เป็นอย่างดี

แต่กระนั้นก็มีเจดีย์อยู่ 2 จุด ที่พังทลายไปเผยให้เห็นองค์พระพุทธรูปภายใน ซึ่งตอนหลังกลายเป็นมุมถ่ายถ่ายรูปยอดฮิตของนักท่องเที่ยวไป ส่วนเจดีย์อีก 1 องค์ที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือ เจดีย์ที่ผมเรียกว่า“เจดีย์พระพุทธอธิษฐาน” เพราะในเจดีย์องค์นั้นจะมีพระพุทธรูปที่ชาวอินโดฯเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์ สามารถลูบคลำอธิษฐานขอพรให้สมหวังได้ ส่วนใครเจ็บไข้ได้ป่วยตรงส่วนไหนของร่างกายก็ให้ลูบคลำตรงส่วนนั้น ซึ่งก็ทำให้พระพุทธรูปองค์นี้เริ่มเป็นมันเลื่อมๆแล้วเพราะมีคนมาลูบขอพรกันเป็นประจำ

นี่แหละความเชื่อความหวัง ไม่ว่าชาติไหนในโลกก็มีเหมือนกันทั้งนั้น


อ้อ!!! มีอย่างหนึ่งบนบุโรพุทโธที่อาจดูขัดตาชาวพุทธอย่างเราๆท่านๆนั่นก็คือ การที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ทั้งชาวอินโดนีเซียนและชาวต่างชาติที่ไม่ใช่ชาวพุทธ ต่างปฏิบัติต่อองค์พระพุทธรูปเหมือนรูปปั้นทั่วไปไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างที่เรานับถือ แต่หากมองด้วยใจเป็นธรรมนั่นเป็นเพราะประชากรอินโดนีเซียนส่วนใหญ่เป็นมุสลิม(ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติก็นับถือศาสนาอื่น) นอกจากนี้หากเรานำหลักคิดแบบพุทธมาเป็นแนวทางสิ่งที่เราเห็น ณ เบื้องหน้านี้ต่างเป็นสิ่งสมมติทั้งสิ้น

ส่วนถ้าใครมองโลกด้วยความเป็นจริงก็จะพบว่ามีบางสิ่งควรให้การยกย่องต่อชาวอินโดฯไม่น้อยเลย เพราะแม้ว่าส่วนใหญ่ชาวอินโดฯจะเป็นมุสลิม แต่ว่าพวกเขา(เท่าที่ได้สอบถามจากนักท่องเที่ยวหลายๆคน)ต่างก็ภาคภูมิใจในพุทธศาสนาสถานแห่งนี้ ไม่เพียงเท่านั้นพวกเขายังได้ดูแลรักษามหาเจดีย์บุโรพุทโธให้อยู่ในสภาพที่ค่อนข้างดี

ในขณะที่บ้านเราที่เป็นเมืองพุทธ แต่กลับปรากฏว่านับจากอดีตถึงปัจจุบันยังคงมีข่าวการทำร้าย ทำลาย พุทธศาสนสถานและศาสนสถานอื่นๆอยู่เสมอมา

อา...เพราะเหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น!?!


*****************************************

บุโรพุทโธ เป็นศาสนสถานสำคัญของอินโดนีเซียตั้งอยู่ในเมืองยอกยาการ์ตา อู่วัฒนธรรมแห่งชวา ที่นอกจากปรัมบานันและบุโรพุทโธแล้วยังมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ อาทิ ภูเขาไฟเมอร์ราพี, Kraton หรือวังสุลต่าน, วังตามันซารี ส่วนเมืองโซโลที่อยู่ใกล้เคียงนั้นก็ได้ชื่อว่าเป็นเมืองบาติก(ปาเต๊ะ)ที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก อินโดฯใช้เงินสกุลรูเปีย มีอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 1 บาท ประมาณ 250-300 รูปเปีย(ตามการขึ้นลงของค่าเงิน) เทียบเวลาตรงกับเมืองไทย ทั้งนี้ผู้สนใจข้อมูลท่องเที่ยวเกี่ยวกับอินโดนีเซียสามารถสอบถามได้ที่ สถานทูตอินโดนีเซียประจำประเทศไทย โทร. 0-2252-3135-9


โดย: jenifaae วันที่: 6 กรกฎาคม 2551 เวลา:17:03:17 น.  

 
*กู้ภัยสะเทือนน้ำ-สะเทือนบก หลักสูตร"SAREX 2008" ช่วยอากาศยาน-เรือเดินทะเล

สดจากสนามข่าว

คมกฤช ราชเวียง รายงาน


*ประเทศไทยเป็นภาคีขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (INTERNATIONAL CIVIL AVIATION ORGANIZATION) หรือ ICAO ซึ่งมีภาระผูกพันเกี่ยวกับการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัย (SEARCH AND RESCUE หรือ SAR) ในอนุสัญญาการบินพลเรือนระหว่างประเทศข้อที่ 25 ได้กำหนดให้รัฐภาคี ต้องจัดให้มีมาตรการเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลืออากาศยานประสบภัยในอาณาเขตของตน

นอกจากนั้น ในภาคผนวกแห่งอนุสัญญาดังกล่าวยังกำหนดให้รัฐภาคีจัดตั้งศูนย์ประสานงาน (RCC) เพื่อเป็นหน่วยกลางในการอำนวยการและประสานงานเกี่ยวกับการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานประสบภัย

เพื่อเวลามีเหตุจะได้เข้าปฏิบัติหน้าที่ได้ทันท่วงที

ส่วนการค้นหาและช่วยเหลือทางทะเล (MARITIME SEARCH AND RESCUE) ประเทศไทยเป็นภาคีขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ มีอนุสัญญาฉบับหนึ่งที่เกี่ยวกับด้านการค้นหาและช่วยเหลือ ได้กำหนดให้เรือที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกับเรือที่ประสบภัย เมื่อได้รับทราบข่าวให้ตรงไปช่วยเหลือ ซึ่งก็เป็นประเพณีเก่าแก่ของชาวเรืออยู่แล้ว

ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าว กรมการขนส่งทางอากาศ จะเป็นศูนย์ประสานงานการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานและเรือที่ประสบภัย, กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงคมนาคม เป็นผู้จัดหน่วยค้นหาและช่วยเหลือ, กระทรวงกลาโหมและกระทรวงคมนาคมและกรมอุตุนิยมวิทยา เป็นผู้จัดหน่วยระวังภัย โดยมีเขตพื้นที่รับผิดชอบในการค้นหาช่วยเหลือกู้ภัยครอบคลุมถึงแนวพรมแดนของประเทศไทยและอ่าวไทย ตลอดจนพื้นที่ส่วนหนึ่งของทะเลอันดามัน ตามข้อบังคับของคณะกรรมการการบินพลเรือนฉบับที่ 12

และเพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงมีการฝึกซ้อมกู้ภัยขึ้นระหว่างวันที่ 30-31 พ.ค. เพื่อเตรียมรับสถานการณ์ โดยใช้ชื่อในการฝึกว่า SAREX 2008 ประจำปี 2551 ช่วยเหลืออากาศยานและเรือที่ประสบภัย ครั้งที่ 28 โดยมีสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นศูนย์กลางในการประสาน ใช้พื้นที่สนามบินหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ภายในรัศมี 50 ไมล์ เป็นพื้นที่สมมติเหตุการณ์ ซึ่งงานนี้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการฝึกซ้อมถึง 33 หน่วย ภายใต้สถานการณ์สมมติ คือเรือประมงประสบอุบัติเหตุบริเวณพื้นที่อ่าวไทยตอนบนและอากาศยานประสบอุบัติเหตุตกในบริเวณพื้นที่ป่าเขา

ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเข้มข้น

*โดยการฝึกซ้อมเหตุการณ์สมมติทางบก ศูนย์ประสานงานช่วยเหลือได้รับแจ้งข่าวจากหอบังคับการบินหัวหิน ว่าเครื่องบินโดยสารชนิด 2 เครื่องยนต์แบบ King Air บรรทุกผู้โดยสาร 10 คน บินขึ้นจากประเทศพม่าในเวลา 01.47 น. จะถึงปลายทางท่าอากาศยานหัวหิน ประเทศไทยในเวลา 02.37 น. ซึ่งต่อมาเวลา 02.30 น. นักบินวิทยุแจ้งว่าเครื่องยนต์มีปัญหา และหลังจากนั้นการติดต่อสื่อสารก็ขาดหายไป โดยรายงานครั้งสุดท้ายได้รับแจ้งว่าเครื่องบินบินอยู่ที่ความสูง 9,000 ฟุต ห่างจากสนามบินหัวหินประมาณ 35 ไมล์ ทางหอบังคับการบินคาดว่าเครื่องตก จึงประสานงานไปยังหน่วยบินตำรวจหัวหินเพื่อขอความช่วยเหลือ ซึ่งหลังรับแจ้งเหตุเพียงไม่กี่นาที เครื่องบินทั้งของกองทัพอากาศ กองทัพบก กองบินฝนหลวง จึงออกบินค้นหา จนกระทั่งพบจุดที่เครื่องตก แต่ไม่สามารถลงไปช่วยเหลือได้ เพราะเป็นป่าทึบ จึงจำเป็นต้องส่งชุดช่วยเหลือลงไปโดยการโรยตัวทางเชือก จึงเป็นหน้าที่ของหน่วยกู้ภัยต้องใช้เฮลิคอปเตอร์บินเข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบเหตุออกมาได้

ส่วนสถานการณ์สมมติทางทะเล ตำรวจน้ำปราณบุรีได้รับแจ้งเหตุจากวิทยุประมง จ.ประจวบคีรีขันธ์ ว่าเรือประมงชื่อสมุทร 1 ออกทำการประมงอยู่บริเวณอ่าวไทยตอนบนห่างจากฝั่ง 20 ไมล์ทะเล ในเวลาประมาณ 11.00 น. ไต้กงเรือแจ้งขอความช่วยเหลือว่า ถังแก๊สบนเรือระเบิด มีไฟลุกไหม้อย่างรุนแรง จากนั้นวิทยุก็ขาดหายไป ตำรวจน้ำปราณบุรีได้นำเรือตรวจการณ์ หมายเลข 631 ออกให้ความช่วยเหลือ พร้อมประสานงานให้กองบินตำรวจพร้อมนำประดาน้ำกู้ภัยออกเดินทางไปช่วยเหลือ ซึ่งจากการตรวจค้นบริเวณที่ได้รับแจ้งสามารถช่วยเหลือลูกเรือที่ประสบภัยได้อย่างทันท่วงที

ทั้งสองภารกิจใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที

*นอกจากนี้ บรรยากาศการฝึกยังมีการจัดนิทรรศการการบิน การกู้ภัย รวมถึงมีการนำอากาศยานของหน่วยงานต่างๆ ที่ใช้ในการกู้ภัย มาแสดงโชว์และทำการบินให้ประชาชนได้รับชมอีกด้วย

การฝึกกู้ภัยทางอากาศและทางทะเลครั้งนี้ นับว่าผ่านพ้นไปด้วยดี พล.ต.ท.วัชรพล ประสารราชกิจ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะประธานการจัดงานฝึก SAREX 2008 กล่าวว่า การฝึกเป็นการฝึกประจำทุกปี โดยปีนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นแกนกลางในการฝึก เพื่อให้เกิดความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือกู้ภัย สร้างความมั่นใจให้เจ้าหน้าที่เมื่อถึงเวลาปฏิบัติงานจริง จะได้สามารถทำงานได้อย่างมืออาชีพ นอกจากนั้น ยังเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารในการกู้ภัย ระหว่างภาครัฐเอกชน รวมถึงเทคโนโลยีใหม่เพื่อให้การกู้ภัยมีประสิทธิภาพมากขึ้น

"อย่างกรณีเครื่องบินสายการบินวันทูโก ประสบเหตุตกรันเวย์ที่ จ.ภูเก็ต หลังเกิดเหตุ 2 เดือน เรามีการประชุมสัมมนาว่าหน่วยกู้ภัยของหน่วยงานต่างๆ ได้เรียนรู้อะไรบ้าง ครั้งนั้นตำรวจได้ทำหน้าที่ของตนเองสมบูรณ์หรือไม่อย่างไร รวมถึงหน่วยงานอื่นได้ด้วย และยังรวมถึงการตรวจหาเอกลักษณ์บุคคลด้วย ซึ่งยืนยันว่าประเทศไทยมีประสิทธิภาพในการช่วยเหลือกู้ภัยสูงพอสมควร ในการฝึกครั้งนี้มีหน่วยงานกู้ภัยต่างประเทศ มาร่วมสังเกตการณ์ด้วย และในอนาคตเราจะเพิ่มโปรแกรมการฝึกช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติด้วย เพราะในปัจจุบันเกิดเหตุการณ์ภัยธรรมชาติอย่างต่อเนือง เพื่อเมื่อเกิดเหตุเจ้าหน้าที่จะได้ปฏิบัติการช่วยเหลือได้อย่างถูกต้องรวดเร็ว" พล.ต.ท.วัชรพล กล่าว

สำหรับประชาชนที่พบเหตุอากาศยานและเรือที่ประสบภัย สามารถแจ้งข้อมูลข่าวสารได้ที่ศูนย์ประสานงานการค้นหาและช่วยเหลือฯ กรมการขนส่งทางอากาศได้ตลอด 24 ช.ม. โดยแจ้งที่หมายเลขโทรศัพท์ 0-2286-0594, 0-2285-5451, 0-2286-0506 โทรสาร 0-2287-3186 อีเมล์ BKKRCC@AVIATION.GO.TH หรือแจ้งผ่านเจ้าหน้าที่หน่วยราชการได้ทุกหน่วย

ต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตาเพื่อลดความสูญเสีย

หน้า 2





*อนาคตมีสิทธิใช้มือถือฟรีแต่ต้องทนกับโฆษณาผ่านมือถือ

กสท เผย เทคโนโลยี 3จี ทำให้รูปแบบการใช้ชีวิตคนเปลี่ยนไป อนาคตมีสิทธิใช้มือถือฟรีแต่ต้องทนกับโฆษณาผ่านมือถือ

นายพิศาล จอโภชาอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง “3จี พลิกโทรคมนาคม : คนไทยได้อะไร?” ซึ่งจัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ว่า เมื่อเทคโนโลยีการสื่อสารแบบ 3จีเข้ามา รูปแบบการใช้ชีวิตของคนไทยจะเปลี่ยนไปเป็นแบบ “โมบาย ไลฟ์สไตล์” ซึ่งสามารถเข้าใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือได้ทุกที่ทุกเวลา ซึ่งจะเป็นการใช้งานวอยซ์ โอเวอร์ ไอพี วิดีโอสตรีมมิ่ง และการเล่นเกมออนไลน์บนมือถือ และในอนาคตเมื่อ 3จีได้รับความนิยมมาก ๆ ประชาชนก็อาจได้ใช้โทรศัพท์มือถือฟรีโดยไม่ต้องจ่ายค่าบริการ เพราะมือถือจะกลายเป็นช่องทางการรับรู้ข่าวสารที่ติดตัวไปทุกที่ โดยรายได้ต่าง ๆ จะมาจากการโฆษณาบนมือถือ

ด้านนายสรรค์ชัย เตียวประเสริฐกุล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการตลาด บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า เทคโนโลยี 3จี ไม่ได้เป็นการพลิกธุรกิจโทรคมนาคม เป็นเพียงวิวัฒนาการของระบบโทรคมนาคมที่สามารถรองรับการใช้งานได้มากขึ้น และการที่ประเทศไทยมี 3จีจะทำให้คนไทยเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (บรอดแบนด์) ได้มากขึ้น เพราะ 3จี ทำให้การใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือมีความเร็วสูงถึง 6-7 เมกะบิต/วินาที

นายมั่น พัธโนทัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวว่า จะพยายามผลักดันการให้บริการโทรศัพท์มือถือ 3จี เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม การแก้ไขกฎหมาย พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (กสช.) พ.ศ. 2535 ได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอ คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติ คาดจะสามารถประกาศใช้ได้ในเดือน ก.ย. และสามารถคัดเลือกคณะกรรมการได้ภายในสิ้นปีนี้

นายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร เลขา ธิการคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) กล่าวว่า กทช.สามารถออกใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม ประเภทโทรศัพท์มือถือ 3จี และไวแม็กซ์ (WiMAX) ได้ภายในสิ้นปี 2551 โดยในเดือน มิ.ย.-ส.ค.นี้ จะทำประชาพิจารณ์ เปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วม และตรงกับความจำเป็นและความต้องการใช้งานของประชาชนมากที่สุด เนื่องจากการให้ใบอนุญาตแต่ละครั้งจะมีอายุประมาณ 10-15 ปี จึงต้องทำอย่างรอบคอบ

ขณะเดียวกัน ในงานนิทรรศการเกี่ยวกับไวแม็กซ์ ในไทเป เวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์ ที่ไต้หวัน ได้จัดแสดงชิพ-เซ็ท ไวแม็กซ์ที่จะนำมาติดตั้งในแล็ปท็ อปเพื่อรองรับการใช้งาน โดยไต้หวันมีกำหนดเปิดให้บริการไวแม็กซ์ในต้นปีหน้า.


โดย: jenifaae วันที่: 6 กรกฎาคม 2551 เวลา:17:03:47 น.  

 
*ภัควดี รายงาน: วิกฤตการณ์อาหารโลก (ตอนที่ 1)

ภัควดี วีระภาสพงษ์

แปลจาก

Ian Angus, FOOD CRISIS (Part One), Socialist Voice; May, 14 2008: //www.zcommunications.org/znet/viewArticle/17632

“ถ้ารัฐบาลไม่มีปัญญาลดค่าครองชีพ รัฐบาลก็ควรลาออกไปซะ ถ้าตำรวจและกองทหารสหประชาชาติอยากยิงเราทิ้ง ก็โอเค ยิงเลย เพราะถ้าเราไม่ตายด้วยลูกกระสุน ก็ต้องอดตายอยู่ดี”

---คำพูดของผู้ประท้วงคนหนึ่งในกรุงปอร์โตแปรงซ์ ประเทศเฮติ

ในประเทศเฮติ ประชาชนส่วนใหญ่ได้รับแคลอรีจากอาหารน้อยกว่าปริมาณต่ำสุดที่จำเป็นต่อสุขภาพถึง 22% บ้างก็บรรเทาความหิวโหยด้วยการกิน “คุ้กกี้ดิน” ที่ทำจากดินเหนียวกับน้ำผสมน้ำมันพืชกับเกลือนิดหน่อย [1]

ขณะเดียวกัน ในประเทศแคนาดา รัฐบาลกลางยอมจ่ายเงินถึง 225 ดอลลาร์ต่อหมู 1 ตัวที่เกษตรกรเพาะเลี้ยงหมูคัดมาฆ่าทิ้ง นี่เป็นส่วนหนึ่งในแผนการลดการผลิตหมูให้น้อยลง เกษตรกรเพาะเลี้ยงหมู ซึ่งถูกบีบคั้นจากราคาเนื้อหมูตกต่ำและต้นทุนอาหารที่สูงขึ้น ต่างตอบรับนโยบายนี้อย่างกระตือรือร้น กระทั่งเงินชดเชยการฆ่าหมูน่าจะหมดก่อนโครงการสิ้นสุดในเดือนกันยายนนี้ด้วยซ้ำ

เนื้อหมูที่ได้จากการฆ่าล้างผลาญครั้งนี้ บางส่วนคงนำไปให้ธนาคารอาหารตามท้องถิ่น แต่ส่วนใหญ่จะถูกทำลายหรือนำไปผลิตเป็นอาหารสัตว์เลี้ยง ไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดส่งไปให้เฮติบ้างเลย

นี่คือโลกอันโหดร้ายของระบบเกษตรกรรมแบบทุนนิยม โลกที่คนบางกลุ่มทำลายอาหารทิ้งเพราะราคาต่ำเกินไป ขณะที่คนอีกกลุ่มต้องกินดินกินทรายเพราะราคาอาหารสูงเกินไป

ราคาอาหารสูงเป็นประวัติการณ์

เราตกอยู่ท่ามกลางปัญหาราคาอาหารเฟ้อทั่วโลกอย่างไม่เคยพบเห็นมาก่อน ราคาอาหารพุ่งสูงสุดในรอบหลายทศวรรษ อาหารเกือบทุกชนิดได้รับผลกระทบจนราคาพุ่งขึ้นอย่างถ้วนหน้า แต่ที่สะเทือนมากเป็นพิเศษคือราคาธัญญาหารที่เป็นอาหารหลักสำคัญที่สุดของมนุษย์ นั่นคือ ข้าวสาลี ข้าวโพดและข้าว

องค์การอาหารและเกษตรกรรมของสหประชาชาติให้ข้อมูลว่า ระหว่างเดือนมีนาคม ค.ศ. 2007 จนถึงเดือนมีนาคม ค.ศ. 2008 ราคาธัญพืชพุ่งขึ้นไปถึง 88% น้ำมันและไขมัน 106% และนม 48% ดัชนีราคาอาหารของ FAO โดยรวมเพิ่มขึ้นไปถึง 57% ในเวลาแค่ปีเดียว และราคาที่เพิ่มขึ้นมานี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

แหล่งข้อมูลอีกแห่งหนึ่งคือ ธนาคารโลก ให้ข้อมูลว่า ในช่วง 36 เดือนก่อนเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008 ราคาข้าวสาลีในตลาดโลกเพิ่มขึ้น 181% และราคาอาหารในโลกโดยรวมเพิ่มขึ้นถึง 83% ธนาคารโลกคาดหมายว่า ราคาอาหารส่วนใหญ่จะสูงกว่าระดับราคาใน ค.ศ. 2004 ไปจนถึง ค.ศ. 2015 เป็นอย่างน้อย

ข้าวเกรดที่ได้รับความนิยมที่สุดของประเทศไทยเคยขายในราคา 198 ดอลลาร์ต่อตันเมื่อ 5 ปีก่อน และ 323 ดอลลาร์ต่อตันเมื่อปีที่ผ่านมา ในวันที่ 24 เมษายน ราคาพุ่งไปจรดระดับ 1,000 ดอลลาร์ต่อตันแล้ว

ในตลาดท้องถิ่น ระดับราคายิ่งแพงลิบโลก ในประเทศเฮติ ราคาตลาดของข้าวขนาดถุง 50 กก. เพิ่มขึ้นสองเท่าในเวลาแค่สัปดาห์เดียวเมื่อปลายเดือนมีนาคม

ราคาที่เพิ่มขึ้นแบบนี้คือหายนะสำหรับประชาชน 2.6 พันล้านคนทั่วโลก ซึ่งมีรายได้น้อยกว่า 2 ดอลลาร์ต่อวัน และใช้จ่ายรายได้ 60-80% ไปกับอาหาร มีคนหลายร้อยล้านคนไม่มีกิน

ในเดือนที่ผ่านมา ผู้หิวโหยจึงขอเป็นฝ่ายรุกบ้าง

ลงไปสู่ท้องถนน
ในเฮติ วันที่ 3 เมษายน ผู้ประท้วงในเมืองเลส์กาแยสทางภาคใต้รวมตัวกันสร้างเครื่องกีดขวาง ดักสกัดรถบรรทุกข้าว ชิงอาหารออกมาแจกจ่ายกัน รวมทั้งพยายามเผาค่ายทหารสหประชาชาติ คลื่นการประท้วงลุกลามไปถึงเมืองหลวงปอร์โตแปรงซ์อย่างรวดเร็ว คนหลายพันเดินขบวนมาที่ทำเนียบประธานาธิบดี ตะโกนเป็นจังหวะว่า “เราหิว!” คนจำนวนมากเรียกร้องให้ถอนกองทหารสหประชาชาติออกไปและเอา ฌอง-แบร์ทรองด์ อรีสตีด อดีตประธานาธิบดีผู้ลี้ภัยที่ถูกอำนาจต่างชาติโค่นลงจากรัฐบาลใน ค.ศ. 2004 กลับคืนมา
ประธานาธิบดีเรอเน เปรวาล ซึ่งตอนแรกบอกว่าปัญหานี้เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ต้องยอมประกาศลดราคาค้าส่งของข้าวลง 16% นี่เป็นแค่มาตรการขายผ้าเอาหน้ารอด เพราะการลดราคามีระยะเวลาแค่หนึ่งเดือน อีกทั้งไม่ได้ผูกมัดผู้ค้าปลีกให้ลดราคาตามไปด้วย
การประท้วงในเฮติเป็นภาพสะท้อนการประท้วงคล้าย ๆ กันของประชาชนผู้หิวโหยในกว่า 20 ประเทศ
ในประเทศบูร์กินาฟาโซ ทวีปแอฟริกา การนัดหยุดงานครั้งใหญ่เป็นเวลาสองวันของสหภาพแรงงานและเจ้าของร้านค้า เรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาราคาข้าวและธัญญาหารอื่น ๆ “อย่างมีประสิทธิภาพ”
ในบังคลาเทศ คนงานกว่า 20,000 คนจากโรงงานสิ่งทอในเมืองฟาตุลเลาะห์นัดหยุดงานเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลลดราคาอาหารและขึ้นค่าแรง พวกเขาขว้างปาก้อนอิฐก้อนหินใส่ตำรวจที่ยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุม
รัฐบาลอียิปต์ส่งกองกำลังหลายพันนายเข้าไปในนิคมอุตสาหกรรมสิ่งทอมาฮัลลาที่ตั้งอยู่ตรงสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ เพื่อสกัดไม่ให้มีการนัดหยุดงานเพื่อเรียกร้องค่าแรงเพิ่ม ลดราคาอาหารและเรียกร้องอิสระในการก่อตั้งสหภาพแรงงาน ประชาชนสองคนถูกฆ่าตายและกว่า 600 คนถูกจำคุก
ในเมืองอาบีจาน ประเทศไอวอรีโคสต์ ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาใส่กลุ่มผู้หญิงที่สร้างเครื่องกีดขวาง เผายางรถยนต์และปิดทางหลวงสายหลัก ประชาชนหลายพันคนเดินขบวนไปที่ทำเนียบประธานาธิบดี ตะโกนว่า “เราหิว” และ “ชีวิตราคาแพงเกินไป ท่านกำลังฆ่าเรา”
ในปากีสถานและประเทศไทย รัฐบาลต้องส่งกองทหารติดอาวุธเข้าไปป้องกันไม่ให้คนจนปล้นชิงอาหารจากไร่นาและยุ้งฉาง
การประท้วงแบบเดียวกันเกิดขึ้นในแคเมอรูน เอธิโอเปีย ฮอนดูรัส อินโดนีเซีย มาดากัสการ์ มอริเตเนีย ไนเจอร์ เปรู ฟิลิปปินส์ เซเนกัล ประเทศไทย อุซเบกิสถาน และแซมเบีย ในวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา ประธานธนาคารโลกกล่าวแก่ที่ประชุมในกรุงวอชิงตันว่า มีถึง 33 ประเทศที่อาจเกิดความไม่สงบทางสังคมเพราะราคาอาหารที่พุ่งสูงขึ้น
บรรณาธิการอาวุโสของนิตยสาร ไทม์ เตือนว่า:
“ภาพมวลชนผู้หิวโหยสิ้นหวังกรูออกไปตามท้องถนนและโค่นล้มรัฐบาลสมัยการปฏิวัติฝรั่งเศสอาจดูเหมือนน่าประหลาดและเป็นไปไม่ได้นับตั้งแต่ระบบทุนนิยมได้ชัยชนะเด็ดขาดในสงครามเย็น.....กระนั้นก็ตาม ข่าวพาดหัวในช่วงเดือนที่ผ่านมาชี้ให้เห็นว่า ราคาอาหารที่พุ่งทะลุฟ้ากำลังเป็นปัจจัยคุกคามเสถียรภาพของรัฐบาลหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก....หากเงื่อนไขแวดล้อมทำให้รัฐบาลไม่สามารถเลี้ยงดูเด็ก ๆ ที่ยากจนหิวโหย พลเมืองสามัญชนเฉื่อยเนือยทั้งหลายก็อาจกลายเป็นแนวหน้ามวลชนที่ไม่มีอะไรจะสูญเสียอีกแล้วได้ในทันที” [2]

อะไรอยู่เบื้องหลังปัญหาราคาอาหารเฟ้อ?

นับตั้งแต่ทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา การผลิตอาหารมีความเป็นโลกาภิวัตน์และกระจุกตัวมากยิ่งขึ้น ประเทศเพียงไม่กี่ประเทศครอบงำการค้าธัญญาหารหลักของโลก การส่งออกข้าวสาลีถึง 80% มาจากประเทศผู้ส่งออก 6 ประเทศ เช่นเดียวกับการส่งออกข้าวถึง 85% มีสามประเทศผลิตข้าวโพดส่งออกถึง 70% สภาพการณ์นี้ทำให้กลุ่มประเทศยากจนที่สุดในโลก กลุ่มประเทศที่ต้องนำเข้าอาหารเพื่อความอยู่รอด ต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของแนวโน้มทางเศรษฐกิจและนโยบายในประเทศผู้ส่งออกอาหารไม่กี่ประเทศ เมื่อใดที่ระบบการค้าอาหารโลกเกิดใช้การไม่ได้ คนจนก็ต้องแบกรับภาระทั้งหมด

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา การค้าธัญญาหารในโลกมีแนวโน้มที่นำมาสู่วิกฤตการณ์ครั้งนี้ มีแนวโน้มสี่ประการด้วยกันขัดขวางความเติบโตของการผลิตและดันราคาให้สูงขึ้น

จุดสิ้นสุดของการปฏิวัติเขียว: ในช่วงทศวรรษ 1960 และ 1970 เพื่อบรรเทาความไม่พอใจของเกษตรกรในเอเชียใต้และอุษาคเนย์ สหรัฐฯ ทุ่มเงินและความช่วยเหลือทางเทคโนโลยีให้การพัฒนาภาคเกษตรกรรมในอินเดียและประเทศอื่น ๆ “การปฏิวัติเขียว” ทั้งเมล็ดพันธุ์ใหม่ ปุ๋ย ยาฆ่าศัตรูพืช เทคโนโลยีทางการเกษตรและโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้การผลิตอาหาร โดยเฉพาะข้าว เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตื่นตะลึง ผลผลิตต่อเฮกตาร์ (1 เฮกตาร์ = 6.175 ไร่) ขยายตัวอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งทศวรรษ 1990

ทุกวันนี้ การที่รัฐบาลช่วยคนจนปลูกข้าวให้คนจนด้วยกันกิน กลายเป็นนโยบายที่ไม่เป็นที่นิยมเสียแล้ว ทั้งนี้เพราะความเชื่อว่า “ตลาด” จะจัดการทุกปัญหาเอง นิตยสาร The Economist รายงานว่า “สัดส่วนงบประมาณที่ให้แก่ภาคเกษตรในประเทศกำลังพัฒนาลดลงราวครึ่งหนึ่งในช่วง ค.ศ. 1980-2004” [3] เงินอุดหนุนและเงินวิจัยพัฒนาเหือดหายไป ความเติบโตในด้านการผลิตก็หยุดนิ่งตามไปด้วย

ด้วยเหตุนี้ มีถึง 7 ปีในรอบ 8 ปีที่ผ่านมาที่โลกบริโภคธัญญาหารมากกว่าที่ผลิตได้ นั่นหมายความว่า รัฐบาลกับผู้ค้าข้าวดึงข้าวไปจากคลังสำรองที่ปรกติใช้เป็นหลักประกันในกรณีเก็บเกี่ยวไม่ได้ผล ปริมาณสำรองของธัญญาหารในโลกขณะนี้ลดลงจนถึงจุดต่ำสุดเท่าที่เคยมีมา หากเกิดปัญหาเลวร้ายในภาคเกษตรโลกขึ้นมาเมื่อไร ตาข่ายรองรับก็มีเหลืออยู่น้อยมาก

ความเปลี่ยนแปลงในภูมิอากาศโลก: นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศอาจทำให้ผลผลิตอาหารในส่วนต่าง ๆ ของโลกลดลงไปถึง 50% ในช่วง 12 ปีข้างหน้า แต่นั่นไม่ใช่แค่ปัญหาของอนาคตเท่านั้น

ออสเตรเลียเคยเป็นผู้ส่งออกธัญญาหารรายใหญ่ที่สุดอันดับสองของโลก แต่ความแห้งแล้งขั้นเลวร้ายติดต่อกันหลายปีทำให้การเพาะปลูกข้าวสาลีลดลงไปถึง 60% ส่วนการผลิตข้าวแทบหายไปหมดเกลี้ยง

ในบังคลาเทศ เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา พายุไซโคลนครั้งร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายทศวรรษ ทำลายข้าวไปถึงล้านตันและสร้างความเสียหายแก่นาข้าวสาลี จนทำให้ทั้งประเทศต้องพึ่งพิงอาหารนำเข้ามากกว่าเดิม

ตัวอย่างอื่น ๆ เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เห็นได้ชัดว่า วิกฤตการณ์ของภูมิอากาศโลกเกิดขึ้น ณ บัดนี้แล้ว และมันส่งผลกระทบต่ออาหาร

เชื้อเพลิงเกษตร: ตอนนี้ในสหรัฐฯ แคนาดาและยุโรป มีนโยบายอย่างเป็นทางการที่จะแปรรูปอาหารให้เป็นน้ำมัน เพียงแค่รถยนต์ของสหรัฐฯ ประเทศเดียวก็เผาผลาญข้าวโพดมากเท่ากับความต้องการข้าวโพดนำเข้าของกลุ่มประเทศยากจนที่สุด 82 ประเทศรวมกัน [4]

เอธานอลและไบโอดีเซลได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลอย่างมหาศาล จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ธัญพืชอย่างข้าวโพดจะถูกดึงออกไปจากห่วงโซ่อาหารและไหลลงสู่ถังน้ำมันแทน นอกจากนี้ การลงทุนในภาคเกษตรทั่วโลกก็ยังหันเหไปสู่ปาล์มน้ำมัน ถั่วเหลือง คาโนลาและพืชให้น้ำมันชนิดอื่น ๆ ความต้องการเชื้อเพลิงเกษตรดันราคาพืชผลเหล่านี้สูงขึ้นโดยตรง ในขณะเดียวกันก็ดันราคาธัญญาหารชนิดอื่นสูงขึ้นโดยอ้อม เพราะมันกระตุ้นให้เกษตรกรหันมาปลูกพืชที่ใช้ผลิตเชื้อเพลิงเกษตรแทน

ดังเช่นผู้เพาะเลี้ยงสุกรของแคนาดาประสบมาแล้ว เชื้อเพลิงเกษตรทำให้ต้นทุนการผลิตเนื้อหมูสูงขึ้น เนื่องจากข้าวโพดเป็นส่วนประกอบหลักของอาหารสัตว์ในภูมิภาคอเมริกาเหนือ

ราคาน้ำมัน: ราคาอาหารผูกโยงกับราคาน้ำมัน เพราะอาหารสามารถนำไปแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงทดแทนน้ำมันได้ แต่ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นก็ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตอาหารด้วย ปุ๋ยและยาฆ่าแมลงผลิตจากปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติ ก๊าซและน้ำมันดีเซลยังเป็นเชื้อเพลิงหลักในการเพาะปลูก เก็บเกี่ยวและส่งไปขาย [5]

ประมาณ 80% ของต้นทุนการเพาะปลูกข้าวโพดเป็นต้นทุนที่หมดไปกับน้ำมัน ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ราคาอาหารสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน

* * *

ในช่วงปลายปี ค.ศ. 2007 การลงทุนที่ลดลงในภาคเกษตรของโลกที่สาม ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นและความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ ทำให้ความเติบโตในการผลิตชะลอตัวลงและราคาอาหารสูงขึ้น หากการเก็บเกี่ยวได้ผลดีและการส่งออกขยายตัวมากขึ้น วิกฤตการณ์ก็พอบรรเทาเบาบางไปได้ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้น เชื้อไฟของปัญหานี้คือข้าว ซึ่งเป็นอาหารหลักของคนถึง 3 พันล้านคน

เมื่อต้นปีนี้ อินเดียประกาศว่า จะยับยั้งการส่งออกข้าวเกือบทั้งหมดชั่วคราว เพื่อสะสมปริมาณอาหารสำรองในประเทศ เพียงไม่กี่สัปดาห์ต่อมา เวียดนาม ซึ่งผลผลิตข้าวได้รับความเสียหายจากการระบาดของแมลงศัตรูพืชครั้งใหญ่ในช่วงเก็บเกี่ยว ก็ประกาศงดส่งออกข้าว 4 เดือนเพื่อสร้างหลักประกันว่า จะมีข้าวเพียงพอสำหรับตลาดภายในประเทศ

ตามปรกติ อินเดียกับเวียดนามส่งออกข้าวประมาณ 30% ของข้าวทั้งหมดในตลาดโลก ดังนั้น การประกาศงดส่งออกข้าวของสองประเทศจึงทำให้ตลาดข้าวในโลกที่ตึงตัวอยู่แล้วเกิดอาการสั่นสะเทือนทันที ผู้ซื้อข้าวเริ่มกว้านซื้อข้าวในตลาดทั้งหมดเท่าที่หาซื้อได้ กักตุนข้าวทุกชนิดเพราะคาดหมายว่าราคาในอนาคตจะสูงขึ้น รวมทั้งตั้งราคาซื้อขายข้าวล่วงหน้าสำหรับการเก็บเกี่ยวครั้งต่อไป ราคาข้าวจึงทะยานขึ้น ในช่วงกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา รายงานข่าวกล่าวว่า มีการทุ่มซื้อสัญญาซื้อขายข้าวล่วงหน้า “อย่างบ้าคลั่ง” ในคณะกรรมการการค้าชิคาโก และข้าวเริ่มขาดแคลน แม้กระทั่งตามชั้นวางสินค้าซูเปอร์มาร์เก็ตในแคนาดาและสหรัฐฯ

ทำไมต้องลุกฮือ?

สมัยก่อนก็เคยมีปัญหาราคาอาหารพุ่งสูงขึ้นมาก่อน อันที่จริง หากเราคำนวณอัตราเงินเฟ้อเข้าไปด้วย ราคาธัญญาหารโลกในช่วงทศวรรษ 1970 มีราคาสูงกว่าสมัยนี้ด้วยซ้ำ ถ้าเช่นนั้น เหตุใดอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งกระฉูดตอนนี้จึงกระตุ้นให้เกิดการประท้วงของประชาชนไปทั่วโลก?

คำตอบก็คือ นับตั้งแต่ทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา กลุ่มประเทศร่ำรวยที่สุดในโลกอาศัยองค์กรโลกบาลทั้งหลายที่ตนมีอำนาจควบคุม ร่วมกันบ่อนทำลายกลุ่มประเทศยากจนที่สุดอย่างเป็นระบบ จนกระทั่งกลุ่มประเทศยากจนหมดความสามารถในการเลี้ยงดูประชากรและคุ้มครองตนเองในภาวะวิกฤติเช่นนี้

เฮติเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดและน่าตระหนก

มีการปลูกข้าวในเฮติมาหลายร้อยปี และเมื่อราวยี่สิบปีก่อนนี้เอง เกษตรกรเฮติสามารถผลิตข้าวได้ถึง 170,000 ตันต่อปี เพียงพอต่อการบริโภคในประเทศถึง 95% ถึงแม้ชาวนาไม่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลเลย แต่เช่นเดียวกับประเทศปลูกข้าวทุกประเทศในสมัยนั้น ตลาดข้าวท้องถิ่นได้รับการคุ้มครองจากกำแพงภาษี

ค.ศ. 1995 ในยามที่เฮติต้องการเงินกู้อย่างเร่งด่วน กองทุนการเงินระหว่างประเทศจึงตั้งเงื่อนไขบังคับให้เฮติตัดลดกำแพงภาษีข้าวนำเข้าจาก 35% เหลือ 3% ซึ่งเป็นอัตราต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศหมู่เกาะแคริบเบียน ผลที่ตามมาคือการทะลักทลายเข้าไปของข้าวจากสหรัฐฯ ซึ่งขายในราคาต่ำกว่าข้าวที่ปลูกในประเทศเฮติถึงครึ่งหนึ่ง ชาวนาหลายพันคนสูญเสียที่ดินและวิถีชีวิต ทุกวันนี้ ข้าวที่บริโภคในเฮตินำเข้ามาจากสหรัฐฯ ถึงสามในสี่ [6]

ข้าวสหรัฐฯ ไม่ได้ครองตลาดเฮติเพราะรสชาติดีกว่า หรือเพราะผู้ปลูกข้าวของสหรัฐฯ มีประสิทธิภาพมากกว่า ข้าวสหรัฐฯ ชนะเพราะการส่งออกข้าวได้รับเงินอุดหนุนมากมายมหาศาลจากรัฐบาลสหรัฐฯ ใน ค.ศ. 2003 ผู้ปลูกข้าวอเมริกันได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลถึง 1.7 พันล้านดอลลาร์ เฉลี่ยประมาณ 232 ดอลลาร์ต่อนาข้าว 1 เฮกตาร์ [7] เงินก้อนนี้ส่วนใหญ่ไหลเข้ากระเป๋าเจ้าที่ดินรายใหญ่และบรรษัทธุรกิจเกษตรที่เป็นกลุ่มคนจำนวนน้อย ทำให้ผู้ส่งออกข้าวของสหรัฐฯ สามารถขายข้าวได้ในราคาต่ำกว่าต้นทุนการผลิตที่แท้จริงถึง 30-50%

กล่าวสั้น ๆ คือ เฮติถูกบีบจนรัฐบาลต้องยกเลิกการคุ้มครองภาคเกษตรกรรมภายในประเทศ ส่วนสหรัฐฯ ก็อาศัยการคุ้มครองของรัฐบาลจนเข้าไปครอบงำตลาดข้าวในเฮติได้

เรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นในรูปแบบต่าง ๆ ทั่วโลก กลุ่มประเทศร่ำรวยในซีกโลกเหนือบังคับให้กลุ่มประเทศยากจนและมีหนี้สินรุงรังในซีกโลกใต้ต้องจำใจใช้นโยบาย “เปิดเสรี” จากนั้น กลุ่มประเทศร่ำรวยก็ฉวยโอกาสจากการเปิดเสรีเข้าไปครอบครองตลาด ในประเทศร่ำรวยที่สุด 30 ประเทศในโลก ทุนอุดหนุนจากรัฐบาลคิดเป็นรายได้ของภาคเกษตรถึง 30% หรือรวมกันเป็นมูลค่าถึง 280 พันล้านดอลลาร์ต่อปี [8] ซึ่งเป็นความได้เปรียบอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ในตลาด “เสรี” ที่ประเทศร่ำรวยเป็นผู้เขียนกฎเกณฑ์ขึ้นมา

เกมการค้าอาหารในโลกล้วนเต็มไปด้วยกลลวง ประเทศยากจนเหลือแต่ภาคเกษตรที่หดตัวและไร้การคุ้มครอง

นอกจากนั้น ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศไม่ยอมให้เงินกู้แก่ประเทศยากจน หากประเทศเหล่านั้นไม่ยอมรับ “โครงการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ” (Structural Adjustment Programs--SAP) ซึ่งบังคับให้ผู้รับเงินกู้ต้องลดค่าเงิน ตัดลดภาษี แปรรูปสาธารณูปโภค และลดหรือยกเลิกโครงการให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกร

ทั้งหมดนี้มาพร้อมกับคำมั่นสัญญาว่า กลไกตลาดจะสร้างความเติบโตและความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจให้ กระนั้น ในความเป็นจริง ความยากจนรังแต่เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่การช่วยเหลือภาคเกษตรกรรมกลับหดหายไป

“การลงทุนในโครงการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรและการขยายการผลิตเริ่มลดน้อยลง และในที่สุดก็หายไปจากพื้นที่ชนบทส่วนใหญ่ของทวีปแอฟริกาที่อยู่ภายใต้ SAP ความใส่ใจที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของเกษตรกรรายย่อยไม่มีเหลืออีกแล้ว ไม่เพียงแต่รัฐบาลที่ระงับการช่วยเหลือ แม้แต่เงินช่วยเหลือจากต่างประเทศก็หดหายไปด้วย เงินอุดหนุนของธนาคารโลกที่ให้แก่ภาคเกษตรกรรมลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด จากสัดส่วน 32% ของเงินกู้ยืมทั้งหมดใน ค.ศ. 1976-8 เหลือแค่ 11.7% ใน ค.ศ. 1997-9” [9]

ในสมัยก่อนเมื่อราคาอาหารเฟ้อ อย่างน้อยที่สุด คนจนก็สามารถเข้าถึงอาหารที่ตนเองเป็นผู้เพาะปลูก หรืออาหารที่ปลูกในท้องถิ่นและหาซื้อได้ในราคาที่ท้องถิ่นกำหนด ในวันนี้ หลายประเทศในแอฟริกา เอเชียและละตินอเมริกา นั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อีกแล้ว ตลาดโลกเป็นผู้กำหนดราคาในท้องถิ่น และอาหารที่หาซื้อได้ก็มักนำเข้ามาจากแหล่งผลิตห่างไกล
* * *
อาหารไม่ใช่แค่สินค้าอย่างหนึ่ง อาหารคือหัวใจในการอยู่รอดของมนุษย์ สิ่งที่มนุษย์พึงคาดหวังจากรัฐบาลหรือระบบสังคมในขั้นต่ำสุดก็คือ ระบบเหล่านี้ควรพยายามป้องกันไม่ให้เกิดความอดอยากหิวโหย ระบบเหล่านี้ไม่ควรส่งเสริมนโยบายใด ๆ ที่ทำให้คนอดอยากเข้าไม่ถึงอาหาร

นี่คือเหตุผลที่ประธานาธิบดีอูโก ชาเวซแห่งเวเนซุเอลาพูดถูกอย่างยิ่ง เมื่อเขากล่าวถึงวิกฤตการณ์อาหารในวันที่ 24 เมษายนว่า นี่คือ “บทพิสูจน์ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดที่แสดงให้เห็นความล้มเหลวครั้งประวัติศาสตร์ของระบบทุนนิยม”

เราต้องทำอะไรบ้างเพื่อยุติวิกฤตการณ์ครั้งนี้และอย่าปล่อยให้มันเกิดขึ้นมาอีก? ตอนที่สองของบทความจะพิจารณาคำถามนี้

Ian Angus เป็นบรรณาธิการของเว็บไซท์ Climate and Capitalism

--------------------------------------------------------------------------------
Footnotes

[1] Kevin Pina. "Mud Cookie Economics in Haiti." Haiti Action Network, Feb. 10, 2008. //www.haitiaction.net/News/HIP/2_10_8/2_10_8.html

[2] Tony Karon. "How Hunger Could Topple Regimes." Time, April 11, 2008. //www.time.com/time/world/article/0,8599,1730107,00.html

[3] "The New Face of Hunger." The Economist, April 19, 2008.

[4] Mark Lynas. "How the Rich Starved the World." New Statesman, April 17, 2008. //www.newstatesman.com/200804170025

[5] Dale Allen Pfeiffer. Eating Fossil Fuels. New Society Publishers, Gabriola Island BC, 2006. p. 1

[6] Oxfam International Briefing Paper, April 2005. "Kicking Down the Door." //www.oxfam.org/en/files/bp72_rice.pdf

[7] Ibid.

[8] OECD Background Note: Agricultural Policy and Trade Reform. //www.oecd.org/dataoecd/52/23/36896656.pdf

[9] Kjell Havnevik, Deborah Bryceson, Lars-Erik Birgeg?rd, Prosper Matondi & Atakilte Beyene. "African Agriculture and the World Bank: Development or Impoverishment?" Links International Journal of Socialist Renewal, //www.links.org.au/node/328


*ที่มาภาพประกอบหน้าแรก children.foreignpolicyblogs.com
--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 31/5/2551


โดย: jenifaae วันที่: 6 กรกฎาคม 2551 เวลา:17:04:52 น.  

 
*ภัควดี รายงาน: วิกฤตการณ์อาหารโลก (ตอนที่ 2)

ภัควดี วีระภาสพงษ์

แปลจาก
Ian Angus, “FOOD CRISIS (Part Two): Capitalism, Agribusiness, and the Food Sovereignty Alternative,” Socialist Voice; May, 15 2008.
//www.zcommunications.org/znet/viewArticle/17642

“ไม่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งไหน ไม่มีสงครามที่ไหนในโลก ที่ประชาชนจำนวนมากต้องเสียชีวิตทุก ๆ นาที ทุกๆ ชั่วโมงและทุกๆ วัน มากเท่ากับประชาชนที่ต้องตายเพราะความหิวโหยและความยากจนบนโลกของเรา”

--ฟิเดล คาสโตร 1998

เมื่อจลาจลเพราะอาหารปะทุขึ้นในเฮติเมื่อเดือนที่แล้ว ประเทศแรกที่ขานรับปัญหาคือเวเนซุเอลา ในเวลาแค่ไม่กี่วัน เครื่องบินก็บินขึ้นจากกรุงคารากัส บรรทุกอาหารจำนวน 364 ตันส่งไปให้

ประธานาธิบดีอูโก ชาเวซแห่งเวเนซุเอลากล่าวว่า ประชาชนชาวเฮติ “กำลังประสบชะตากรรมจากการโจมตีของระบบจักรวรรดิทุนนิยมโลก....เราทั้งหมดจึงต้องสร้างความสมานฉันท์ที่แท้จริงและลึกซึ้งขึ้นมา นี่คือความช่วยเหลือน้อยนิดที่เราพอจะทำให้เฮติได้”

การกระทำของเวเนซุเอลาถือเป็นจารีตดีงามของความสมานฉันท์ในหมู่มนุษย์ เมื่อประชาชนหิวโหย เราควรช่วยเหลือพวกเขาเท่าที่ทำได้ ตัวอย่างของเวเนซุเอลาควรได้รับการสรรเสริญและเอาเยี่ยงอย่าง

กระนั้นก็ตาม ถึงแม้ความช่วยเหลือมีความจำเป็นแค่ไหน แต่มันก็แค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อแก้ไขปัญหาความอดอยากในโลกอย่างแท้จริง เราต้องเข้าใจและเปลี่ยนแปลงระบบที่เป็นต้นเหตุ

อาหารไม่ได้ขาดแคลน

การวิเคราะห์ของเราต้องเริ่มต้นที่จุดนี้ นั่นคือ อาหารในโลกไม่ได้ขาดแคลนเลย

ตรงกันข้ามกับคำขู่ของโธมัส มัลธัสและสาวกของเขาในสมัยศตวรรษที่ 18 งานศึกษาชิ้นแล้วชิ้นเล่าชี้ให้เห็นว่า การผลิตอาหารของโลกล้ำหน้าการเติบโตของประชากรเสมอมา และมีอาหารเหลือเฟือที่จะเลี้ยงดูทุก ๆ คน ตามข้อมูลขององค์การอาหารและเกษตรกรรมของสหประชาชาติ โลกผลิตอาหารเพียงพอที่จะทำให้คนทุกคนได้รับอาหารมากกว่า 2800 แคลอรีต่อวัน ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานขั้นต่ำสุด และมากกว่าที่เคยผลิตได้ในสมัยทศวรรษ 1960 ถึง 18% แม้ว่าประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นอย่างมากก็ตาม [1]

ดังที่สถาบัน Food First กล่าวว่า “ปริมาณอาหารในโลกทุกวันนี้ เราต้องใช้คำว่าเหลือเฟือ ไม่ใช่ขาดแคลน” [2]

กระนั้นก็ตาม เวลามีความอดอยากเกิดขึ้นในโลก หนทางแก้ไขที่มีการนำเสนอมากที่สุดกลับเป็นการใช้เทคโนโลยีใหม่เพื่อเพิ่มผลผลิตอาหาร

องค์กรพันธมิตรเพื่อการปฏิวัติเขียวในแอฟริกา ซึ่งได้รับเงินทุนจากมูลนิธิบิลล์และเมลินดา เกตส์กับมูลนิธีร็อกกีเฟลเลอร์ มีเป้าหมายที่จะพัฒนา “สายพันธุ์พืชอาหารหลักของแอฟริกาที่ให้ผลผลิตและมีความทนทานมากกว่าเดิม....เพื่อให้เกษตรกรรายย่อยของแอฟริกาสามารถผลิตพืชผลมากขึ้น หลากหลายขึ้นและพึ่งพิงตัวเองได้มากขึ้น” [3]

ในทำนองเดียวกัน สถาบันวิจัยข้าวนานาชาติที่ตั้งอยู่ในกรุงมะนิลา ก็ริเริ่มโครงการหุ้นส่วนรัฐกับเอกชน “เพื่อเพิ่มผลผลิตข้าวทั่วทั้งทวีปเอเชีย โดยอาศัยการพัฒนาอย่างเร่งรัดและการนำเทคโนโลยีข้าวสายพันธุ์ผสมมาใช้” [4]

ประธานธนาคารโลกสัญญาว่าจะช่วยกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาให้สามารถ “เข้าถึงเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ที่จะช่วยเพิ่มผลผลิต” [5]

การวิจัยทางวิทยาศาสตร์มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการพัฒนาในภาคเกษตรกรรม แต่การริเริ่มที่ทึกทักไว้ล่วงหน้าว่า เมล็ดพันธุ์ใหม่กับสารเคมีคือสิ่งที่จำเป็น เป็นการทึกทักที่ไม่น่าเชื่อถือและไม่มีความเป็นวิทยาศาสตร์เลย ข้อเท็จจริงที่อาหารในโลกเพียงพอต่อการเลี้ยงดูประชากรทั้งหมดอยู่แล้ว ชี้ให้เห็นว่าวิกฤตการณ์อาหารไม่ใช่ปัญหาทางเทคนิค แต่เป็นปัญหาทางสังคมและการเมืองต่างหาก

แทนที่จะตั้งคำถามว่า จะเพิ่มผลผลิตอย่างไร คำถามแรกของเราควรถามอย่างนี้มากกว่าว่า ในเมื่อมีอาหารมากมายอยู่แล้ว ทำไมคนกว่า 850 ล้านถึงยังหิวโหยและประสบภาวะทุโภชนาการ? ทำไมมีเด็ก 18,000 คนอดตายทุกๆ วัน?

ทำไมอุตสาหกรรมอาหารโลกไม่มีปัญญาเลี้ยงดูผู้หิวโหย?

ระบบกำไร

เราสามารถสรุปคำตอบด้วยประโยคเดียว นั่นคือ อุตสาหกรรมอาหารโลกไม่ได้ดำเนินงานเพื่อเลี้ยงดูผู้หิวโหย แต่มันดำเนินงานเพื่อสร้างกำไรแก่บรรษัทธุรกิจเกษตรต่างหาก

ยักษ์ใหญ่ด้านธุรกิจเกษตรบรรลุเป้าหมายของตนเป็นอย่างดี กำไรของภาคธุรกิจเกษตรในปีนี้พุ่งกระฉูดกว่าปีที่แล้ว ในขณะที่ประชาชนอดอยากตั้งแต่เฮติจนถึงอียิปต์และเซเนกัลต้องพรั่งพรูออกสู่ท้องถนนเพื่อประท้วงราคาอาหาร ตัวเลขต่อไปนี้นับเฉพาะสามเดือนแรกของปี ค.ศ. 2008 [6]

การค้าข้าว
บริษัทอาร์เชอร์ แดเนียลส์ มิดแลนด์ (เอดีเอ็ม) กำไรขั้นต้น: 1.15 พันล้านดอลลาร์ มากกว่าปีก่อน 55%

บริษัทคาร์กิลล์ รายได้สุทธิ: 1.03 พันล้านดอลลาร์ มากกว่าปีก่อน 86%

บริษัทบุงเก กำไรขั้นต้นรวม: 867 ล้านดอลลาร์ มากกว่าปีก่อน 189%


การค้าเมล็ดพันธุ์และยากำจัดวัชพืช
บริษัทมอนซานโต กำไรขั้นต้น: 2.23 พันล้านดอลลาร์ มากกว่าปีก่อน 54%

บริษัทดูปองท์ รายได้ประกอบการก่อนเสียภาษี: 786 ล้านดอลลาร์ มากกว่าปีก่อน 21%

การค้าปุ๋ย

บริษัทโปแตช รายได้สุทธิ: 66 ล้านดอลลาร์ มากกว่าปีก่อน 185.9%

บริษัทโมเสค กำไรสุทธิ: 520.8 ล้านดอลลาร์ มากกว่าปีก่อน 1,200%

บริษัทที่ระบุชื่อข้างต้นและนอกเหนือจากนี้อีกไม่กี่บริษัท คือกลุ่มบริษัทที่ผูกขาดหรือเกือบผูกขาดการซื้อขายผลิตภัณฑ์ด้านการเกษตรทั่วโลก การค้าข้าวในโลก 85% อยู่ในความควบคุมของ 6 บริษัท มี 3 บริษัทควบคุมการค้าโกโก้ 83% 3 บริษัทควบคุมการค้ากล้วย 80% [7] เอดีเอ็ม คาร์กิลล์และบุงเกควบคุมข้าวโพดทั่วโลกไว้ในมือ หมายความว่าสามบริษัทนี้เท่านั้นที่เป็นผู้ตัดสินว่าในแต่ละปี จะแบ่งสัดส่วนพืชผลมากแค่ไหนไปผลิตเอธานอล น้ำตาล อาหารสัตว์หรืออาหารมนุษย์

ดังที่คณะบรรณาธิการขององค์กร Hungry for Profit เขียนไว้ว่า “อำนาจมหาศาลของบรรษัทธุรกิจเกษตร/อาหารยักษ์ใหญ่ทำให้พวกนั้นสามารถควบคุมต้นทุนวัตถุดิบที่ซื้อจากเกษตรกร ในขณะเดียวกันก็ดันราคาอาหารที่ขายต่อประชาชนทั่วไปให้อยู่ในระดับสูงจนกอบโกยกำไรเป็นกอบกำ” [8]

ในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา บรรษัทธุรกิจเกษตรข้ามชาติได้ผ่าตัดและปรับโครงสร้างภาคเกษตรกรรมโลกอย่างขนานใหญ่ โดยอาศัยอำนาจเหนือตลาดโดยตรงและใช้รัฐบาล ธนาคารโลก ไอเอ็มเอฟและองค์การการค้าโลกเป็นเครื่องมือโดยอ้อม บรรษัทเหล่านี้เข้าไปเปลี่ยนแปลงวิถีการเพาะปลูกและการจัดจำหน่ายทั่วโลก ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นส่งผลให้เกิดกำไรอย่างน่ามหัศจรรย์ ในขณะเดียวกันก็ทำให้ความอดอยากในโลกเลวร้ายลงและวิกฤตการณ์กลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

การโจมตีวิถีเกษตรแบบดั้งเดิม

วิกฤตการณ์อาหารในวันนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาโดดๆ มันเป็นรูปการหนึ่งของวิกฤตการณ์ภาคเกษตรที่สั่งสมมาหลายทศวรรษ

ดังที่เราเห็นมาแล้วในตอนที่ 1 ของบทความนี้ ตลอดสามทศวรรษที่ผ่านมา กลุ่มประเทศร่ำรวยในซีกโลกเหนือบังคับให้กลุ่มประเทศยากจนเปิดตลาด จากนั้นก็ทุ่มตลาดด้วยอาหารที่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล สร้างความเสียหายร้ายแรงแก่ภาคเกษตรกรรมในโลกที่สาม

แต่การปรับโครงสร้างภาคเกษตรกรรมโลกเพื่อผลประโยชน์ของบรรษัทธุรกิจเกษตรยักษ์ใหญ่ไม่ได้ยุติแค่นั้น ในช่วงเวลาเดียวกัน กลุ่มประเทศซีกโลกใต้ก็ถูกโน้มน้าว ชักจูงและข่มขู่ให้หันมาใช้นโยบายเกษตรกรรมที่ส่งเสริมการเพาะปลูกเพื่อการส่งออกแทนที่การผลิตอาหารบริโภคในประเทศ รวมทั้งสนับสนุนอุตสาหกรรมเกษตรขนาดใหญ่ที่เพาะปลูกพืชเชิงเดี่ยว ผลาญน้ำอย่างไม่บันยะบันยัง ทั้งยังใช้ปุ๋ยและยาฆ่าแมลงอย่างหนัก วิถีเกษตรกรรมดั้งเดิมที่เคยดำเนินไปโดยชุมชนและเพื่อชุมชน ถูกเบียดขับออกไปและแทนที่ด้วยระบบอุตสาหกรรมเกษตรที่ดำเนินโดยและเพื่อธุรกิจเกษตร

ความเปลี่ยนแปลงนี้คืออุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางการทำเกษตรกรรมอย่างมีเหตุผล ซึ่งจะช่วยขจัดความอดอยากให้หมดสิ้นไป

การมุ่งเน้นเกษตรกรรมเพื่อการส่งออกก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่น่าเศร้าและไร้สาระ ประชาชนหลายล้านคนในประเทศที่ส่งออกอาหารกลับไม่มีจะกิน อาทิเช่น ในอินเดีย หนึ่งในห้าของประชากรต้องอดมื้อกินมื้อและเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีถึง 48% ประสบภาวะทุโภชนาการ ทั้ง ๆ ที่อินเดียส่งออกข้าวสารมูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์และข้าวสาลีมูลค่า 322 ล้านดอลลาร์ใน ค.ศ. 2004 [9]

ในประเทศอื่นๆ ที่ดินเพื่อการเกษตรที่เคยใช้ผลิตอาหารบริโภคภายในประเทศ เดี๋ยวนี้กลับนำไปใช้ปลูกของฟุ่มเฟือยสำหรับซีกโลกเหนือ ในประเทศโคลอมเบีย มีประชากร 13% ประสบภาวะทุโภชนาการ แต่โคลอมเบียเป็นผู้ผลิตและส่งออกดอกไม้ตัดแต่งถึง 62% ของดอกไม้ทั้งหมดที่ส่งไปขายในสหรัฐอเมริกา

ในหลายกรณี ผลลัพธ์ของการเปลี่ยนไปเพาะปลูกเพื่อการส่งออก ก่อให้เกิดผลกระทบที่คงน่าหัวเราะหากมันไม่ใช่เรื่องเสียหายร้ายแรงขนาดนี้ ประเทศเคนยาเคยผลิตอาหารเพียงพอเลี้ยงตัวเองมาจนกระทั่งราว 25 ปีก่อน แต่ในปัจจุบัน เคนยาต้องนำเข้าอาหารถึง 80% ในขณะที่สินค้าส่งออกของเคนยา 80% เป็นผลผลิตทางการเกษตรอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหาร [10]

การเปลี่ยนไปสู่อุตสาหกรรมเกษตรเสือกไสประชาชนหลายล้านคนออกจากที่ดินทำกิน กลายเป็นแรงงานว่างงานที่ต้องใช้ชีวิตยากจนในสลัมขนาดมหึมาที่รายล้อมรอบเมืองใหญ่ๆ ในโลก

ประชาชนที่รู้จักที่ดินดีที่สุดกลับต้องพรากจากผืนดิน ไร่นาถูกปิดล้อมกลายเป็นโรงงานกลางแจ้งขนาดยักษ์ที่ผลิตเพื่อส่งออกเท่านั้น คนหลายร้อยล้านต้องพึ่งพิงอาหารที่เพาะปลูกห่างออกไปหลายพันไมล์ เพียงเพราะภาคเกษตรกรรมในประเทศถูกปรับเปลี่ยนให้ตอบสนองความต้องการของบรรษัทธุรกิจเกษตร ช่วงเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นว่า ระบบนี้เปราะบางเพียงใด การตัดสินใจของอินเดียที่จะสะสมปริมาณข้าวสำรองถึงกับทำให้คนหลายล้านคนที่อยู่ห่างออกไปครึ่งซีกโลกเข้าถึงอาหารไม่ได้เลยทีเดียว

หากจุดประสงค์ของภาคเกษตรกรรมคือการเลี้ยงดูประชาชน ความเปลี่ยนแปลงของภาคเกษตรกรรมโลกในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาก็เป็นเรื่องไร้เหตุผล อุตสาหกรรมเกษตรในโลกที่สามผลิตอาหารได้มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ด้วยต้นทุนที่ต้องขับไสประชาชนหลายล้านออกจากที่ดินทำกินไปใช้ชีวิตอดมื้อกินมื้อ รวมทั้งต้นทุนของการสร้างมลภาวะต่ออากาศและน้ำ รวมทั้งทำลายหน้าดินอย่างต่อเนื่องเพื่อผลิตอาหารตามความพอใจของเรา

ตรงกันข้ามกับข้ออ้างของธุรกิจเกษตร การวิจัยทางวิทยาศาสตร์เกษตรล่าสุด รวมทั้งประสบการณ์ของจริงยาวนานเป็นทศวรรษในคิวบา พิสูจน์ให้เห็นว่า ไร่นาขนาดเล็กและขนาดกลางที่ใช้วิธีการนิเวศเกษตรกรรมแบบยั่งยืน สามารถให้ผลผลิตมากกว่าและทำลายสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าอุตสาหกรรมเกษตรขนาดใหญ่ [11]

อุตสาหกรรมเกษตรเดินหน้าต่อไปได้ ไม่ใช่เพราะมันให้ผลผลิตมากกว่า แต่เพราะมันให้ผลผลิตชนิดเดียวกันในปริมาณที่คาดการณ์ได้ อีกทั้งเป็นผลผลิตที่ทนทานต่อการขนส่งไปสู่ตลาดห่างไกล นั่นคือจุดที่กำไรเกิดขึ้น และกำไรเท่านั้นที่สำคัญ โดยไม่ต้องคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดต่อดิน น้ำและอากาศ หรือแม้กระทั่งผู้คนที่หิวโหย

การต่อสู้เพื่ออธิปไตยทางอาหาร

ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการยัดเยียดของบรรษัทธุรกิจเกษตรข้ามชาติและตัวแทนของมัน มิใช่ดำเนินไปโดยปราศจากแรงต่อต้าน พัฒนาการที่สำคัญที่สุดในช่วง 15 ปีที่ผ่านมาคือ การเกิดองค์กร La V?a Campesina (องค์การชาวนาโลก) ซึ่งเป็นองค์กรร่มที่ครอบคลุมองค์กรของเกษตรกรรายย่อยและชาวนามากกว่า 120 องค์กรใน 56 ประเทศ นับตั้งแต่ขบวนการแรงงานไร้ที่ดินหรือ MST ในบราซิลไปจนถึงสหภาพเกษตรกรแห่งชาติในแคนาดา

โครงการแรก ๆ ของ La V?a Campesina คือการท้าทาย “การประชุมสุดยอดอาหารโลก” ซึ่งเป็นการประชุมที่สหประชาชาติจัดขึ้นใน ค.ศ. 1996 เกี่ยวกับปัญหาความอดอยากในโลก โดยมีตัวแทนเข้าร่วมจาก 185 ประเทศ ผู้เข้าร่วมประชุมครั้งนั้นสัญญา (แต่หลังจากนั้นก็ไม่ทำอะไรเลย) ว่าจะขจัดความอดอยากและทุโภชนาการด้วยการสร้างหลักประกันให้แก่ “ความมั่นคงทางอาหารที่ยั่งยืนสำหรับประชาชนทุกคน” [12]

ดังเช่นการจัดประชุมแบบนี้ทุกครั้ง ชนชั้นแรงงานผู้ได้รับผลกระทบอย่างแท้จริงกลับถูกกีดกันออกจากการประชุม นอกห้องประชุม องค์กร La V?a Campesina เสนอ “อธิปไตยทางอาหาร” เป็นทางเลือกสำหรับความมั่นคงทางอาหาร La V?a Campesina บอกว่า เพียงแค่การเข้าถึงอาหารยังไม่เพียงพอ สิ่งที่จำเป็นยิ่งกว่านั้นคือการเข้าถึงที่ดินทำกิน น้ำและทรัพยากร ประชาชนที่ได้รับผลกระทบต้องมีสิทธิที่จะรับรู้และตัดสินใจในนโยบายเกี่ยวกับอาหาร อาหารเป็นสิ่งสำคัญเกินกว่าจะปล่อยให้อยู่ในกำมือของกลไกตลาดโลกและการชักใยของธุรกิจเกษตร ความหิวโหยในโลกจะยุติได้ก็ด้วยการฟื้นฟูวิถีเกษตรครอบครัวขนาดเล็กและขนาดกลางขึ้นมาใหม่ เพื่อให้มันเป็นองค์ประกอบหลักในการผลิตอาหาร [13]

หัวใจสำคัญในข้อเรียกร้องของขบวนการอธิปไตยทางอาหารก็คือ อาหารควรเป็นแหล่งโภชนาการสำหรับชุมชนและประเทศที่เป็นแหล่งเพาะปลูกเป็นอันดับแรก ตรงกันข้ามกับนโยบายการค้าเสรีที่เน้นการส่งออก อธิปไตยทางอาหารเน้นการบริโภคภายในประเทศและการเลี้ยงตัวเอง

อธิปไตยทางอาหารไม่ใช่การเรียกร้องให้ปิดประเทศทางเศรษฐกิจหรือย้อนกลับไปสู่ชนบทในอุดมคติอย่างที่นักวิจารณ์บางคนกล่าวหา อันที่จริง อธิปไตยทางอาหารคือโครงการปกป้องและขยายสิทธิมนุษยชน การปฏิรูปที่ดิน และการคุ้มครองโลกจากการฆ่าล้างผลาญทางนิเวศวิทยาของระบบทุนนิยม นอกเหนือจากเรียกร้องการเลี้ยงตัวเองและสร้างความเข้มแข็งให้วิถีเกษตรกรรมแบบครอบครัวแล้ว ข้อเรียกร้องอธิปไตยทางอาหารของ La V?a Campesina ยังครอบคลุมประเด็นต่อไปนี้ด้วย:

สร้างหลักประกันให้ทุกคนเข้าถึงอาหารที่ปลอดภัย มีคุณค่าและเหมาะสมทางวัฒนธรรมในปริมาณและคุณภาพที่เพียงพอ เพื่อดำรงชีวิตอย่างมีสุขภาพดีเหมาะสมต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

เกษตรกรไร้ที่ดิน โดยเฉพาะผู้หญิง ควรเป็นเจ้าของและควบคุมที่ดินที่ตนทำกิน รวมทั้งคืนดินแดนแก่ชาวพื้นเมือง

ดูแลการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะที่ดิน น้ำและเมล็ดพันธุ์ ยุติการพึ่งพิงสารเคมี การเพาะปลูกพืชเชิงเดี่ยวเพื่อขาย และการผลิตเข้มข้นแบบอุตสาหกรรม

คัดค้านนโยบายขององค์การการค้าโลก ธนาคารโลกและไอเอ็มเอฟ ที่เอื้อให้บรรษัทข้ามชาติเข้ามาควบคุมภาคเกษตร ต้องกำกับดูแลและเก็บภาษีทุนเก็งกำไร รวมทั้งบังคับให้บรรษัทข้ามชาติรักษาจรรยาบรรณในการประกอบธุรกิจอย่างเคร่งครัด

ยุติการใช้อาหารเป็นอาวุธ ยกเลิกการเบียดขับให้ประชาชนพลัดถิ่น การอพยพเข้าเมืองโดยไม่เต็มใจและการกดขี่รังควานเกษตรกร

สร้างหลักประกันให้ชาวนาและเกษตรกรรายย่อย โดยเฉพาะผู้หญิงในชนบท สามารถมีสิทธิ์มีเสียงโดยตรงในการวางนโยบายการเกษตรทุกระดับ [14]

ข้อเรียกร้องอธิปไตยทางอาหารของ La V?a Campesina ถือเป็นโครงการเกษตรที่ทรงพลังสำหรับศตวรรษที่ 21 ขบวนการแรงงานและฝ่ายซ้ายทั่วโลกควรให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ตลอดจนสนับสนุนการรณรงค์ของเกษตรกรและชาวนาในการปฏิรูปที่ดิน รวมทั้งต่อต้านการทำให้อาหารและการเกษตรกลายเป็นอุตสาหกรรมและโลกาภิวัตน์

ยุติการทำสงครามต่อเกษตรกรในโลกที่สาม

ภายในกรอบข้างต้น ประชาชนในซีกโลกเหนือควรเรียกร้องให้รัฐบาลของตนยุติการกระทำใด ๆ ที่สร้างความอ่อนแอหรือทำลายวิถีเกษตรกรรมในโลกที่สาม

ยุติการนำอาหารมาผลิตเป็นเชื้อเพลิง ดังที่ La V?a Campesina ชี้ให้เห็นด้วยคำพูดง่ายๆ และชัดเจนว่า “อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงเกษตรคือความไร้สาระทางเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม เราควรหยุดพัฒนามันเสียที ผลิตผลทางการเกษตรควรนำมาใช้เป็นอาหารเป็นอันดับแรก” [15]

ยกเลิกหนี้สินของโลกที่สาม เมื่อวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา แคนาดาประกาศให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาปัญหาขาดแคลนอาหารในเฮติเป็นเงิน 10 ล้านดอลลาร์แคนาดา [16] ถึงแม้นี่เป็นการกระทำเชิงบวก แต่ในปี ค.ศ. 2008 เฮติต้องจ่ายเงินอีก 5 เท่าของเงินช่วยเหลือเป็นดอกเบี้ยเงินกู้ต่างประเทศที่สูงถึง 1.5 พันล้านดอลลาร์ หนี้สินเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในยุคเผด็จการทหารของรัฐบาลดูวาลิเยร์ที่กลุ่มประเทศจักรวรรดินิยมให้การสนับสนุน

สถานการณ์หนี้สินของเฮติก็ไม่ต่างจากประเทศโลกที่สามอื่นๆ ทั้งยังไม่ใช่กรณีร้ายแรงด้วย หนี้ต่างประเทศโดยรวมทั้งหมดของกลุ่มประเทศโลกที่สามใน ค.ศ. 2005 อยู่ที่ 2.7 ล้านล้านดอลลาร์ และการจ่ายหนี้ในปีนั้นมีมูลค่ารวมกันถึง 513 พันล้านดอลลาร์ [17] หากยุติการไหลออกของเงินจ่ายหนี้ได้ทันทีและไม่มีเงื่อนไข จะช่วยให้ประเทศเหล่านี้มีทรัพยากรในการเลี้ยงดูผู้หิวโหยและฟื้นฟูการทำเกษตรกรรมในประเทศขึ้นมาใหม่

เอา WTO ออกไปจากภาคเกษตรกรรม ข้อตกลงภาคเกษตรกรรม (Agreement on Agriculture—AoA) ขององค์การการค้าโลกคือการนำนโยบายอาหารแบบถอยหลังเข้าคลองของธนาคารโลกกับไอเอ็มเอฟมายัดเยียดและบังคับใช้กับประเทศยากจน ดังที่ Afsar Jafri แห่งสถาบัน Focus on the Global South เขียนไว้ว่า ข้อตกลงนี้ “เข้าข้างระบบเกษตรกรรมของบรรษัทธุรกิจเกษตร ซึ่งใช้ทุนเข้มข้นและเน้นการส่งออก” [18] นั่นไม่น่าประหลาดใจเลย เนื่องจากเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ที่เป็นผู้ร่างและต่อรองในข้อตกลงนี้ เคยเป็นรองประธานของบริษัทธุรกิจเกษตรยักษ์ใหญ่อย่างคาร์กิลล์มาก่อน

เราควรยกเลิก AoA กลุ่มประเทศโลกที่สามควรมีสิทธิในการยกเลิกนโยบายเปิดเสรีที่ธนาคารโลกไอเอ็มเอฟและดับเบิลยูทีโอยัดเยียดให้ รวมทั้งข้อตกลงการค้าเสรีทวิภาคีอย่างนาฟตาและคาฟตาด้วย

การกำหนดชะตากรรมตนเองของซีกโลกใต้ ความพยายามของสหรัฐอเมริกาที่จะบ่อนทำลายและล้มล้างรัฐบาลต่อต้านจักรวรรดินิยมในกลุ่ม ALBA เช่น เวเนซุเอลา โบลิเวีย คิวบา นิการากัวและเกรนาดา คือการสืบทอดประวัติศาสตร์ยาวนานของประเทศซีกโลกเหนือที่ไม่ต้องการให้ประเทศโลกที่สามมีอำนาจควบคุมชะตากรรมของตนเอง ดังนั้น ขบวนการต่อต้านการแทรกแซงที่เคลื่อนไหว “ในท้องของเจ้าสัตว์ร้าย” (หมายถึงในสหรัฐอเมริกา) จึงเป็นกุญแจสำคัญในการต่อสู้เพื่ออธิปไตยทางอาหารของโลก

* * *

กว่าร้อยปีที่แล้ว คาร์ล มาร์กซ์เคยเขียนไว้ว่า ถึงแม้ระบบทุนนิยมส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีก็ตาม แต่ “ระบบทุนนิยมกลับต่อต้านวิถีเกษตรกรรมที่มีเหตุผล....วิถีเกษตรกรรมที่มีเหตุผลอยู่ร่วมกับระบบทุนนิยมไม่ได้” [19]

วิกฤตการณ์อาหารและเกษตรกรรมในวันนี้ยืนยันข้อตัดสินข้างต้นเป็นอย่างดี ระบบที่เห็นกำไรสำคัญกว่าความจำเป็นของมนุษย์ กำลังเบียดขับผู้ผลิตหลายล้านออกจากที่ดิน กัดกร่อนความอุดมสมบูรณ์ของโลก พร้อม ๆ กับใส่ยาพิษในอากาศและน้ำ ทำให้ประชาชนเกือบพันล้านคนต้องหิวโหยและขาดอาหาร

วิกฤตการณ์อาหารและเกษตรกรรมมีรากเหง้ามาจากระบบที่ต่อต้านมนุษย์อย่างไร้เหตุผล เพื่อเลี้ยงดูโลกใบนี้ ชนชั้นแรงงานในเมืองและชนบทต้องจับมือกันกำจัดระบบนี้ให้สิ้นซาก

Footnotes

[1] Frederic Mousseau, Food Aid or Food Sovereignty? Ending World Hunger in Our Time. Oakland Institute, 2005. //www.oaklandinstitute.org/pdfs/fasr.pdf.
International Assessment of Agricultural Knowledge, Science and Technology for Development. Global Summary for Decision Makers. //www.agassessment.org/docs/Global_SDM_210408_FINAL.pdf

[2] Francis Moore Lappe, Joseph Collins, Peter Rosset. World Hunger: Twelve Myths. (Grove Press, New York, 1998) p. 8

[3] "About the Alliance for a Green Revolution in Africa."
//www.agra-alliance.org/about/about_more.html

[4] IRRI Press Release, April 4, 2008. //www.irri.org/media/press/press.asp?id=171

[5] "World Bank President Calls for Plan to Fight Hunger in Pre-Spring Meetings Address." News Release, April 2, 2008

[6] ตัวเลขเหล่านี้นำมาจากรายงานประจำไตรมาสล่าสุดของบริษัท ซึ่งเผยแพร่อยู่ในเว็บไซท์ของบริษัทเหล่านั้น เนื่องจากมันรายงานตัวเลขด้วยบรรทัดฐานแตกต่างกันไป จึงไม่อาจเปรียบเทียบระหว่างบริษัทได้ ทำได้เพียงเปรียบเทียบกับรายงานก่อนหน้านี้ของบริษัทนั้น ๆ

[7] Shawn Hattingh. "Liberalizing Food Trade to Death." MRzine, May 6, 2008. //mrzine.monthlyreview.org/hattingh060508.html

[8] Fred Magdoff, John Bellamy Foster and Frederick H. Buttel. Hungry for Profit: The Agribusiness Threat to Farmers, Food, and the Environment. Monthly Review Press, New York, 2000. p. 11

[9] UN Food and Agriculture Organization. Key Statistics Of Food And Agriculture External Trade. //www.fao.org/es/ess/toptrade/trade.asp?lang=EN&dir=exp&country=100

[10] J. Madeley. Hungry for Trade: How the poor pay for free trade. Cited in Ibid

[11] Jahi Campbell, "Shattering Myths: Can sustainable agriculture feed the world?" and " Editorial. Lessons from the Green Revolution." Food First Institute. //www.foodfirst.org

[12] World Food Summit. //www.fao.org/wfs/index_en.htm

[13] La V?a Campesina. "Food Sovereignty: A Future Without Hunger." (1996) //www.voiceoftheturtle.org/library/1996%20Declaration%20of%20Food%20Sovereignty.pdf

[14] Paraphrased and abridged from Ibid

[15] La V?a Campesina. "A response to the Global Food Prices Crisis: Sustainable family farming can feed the world." //www.viacampesina.org/main_en/index.php?option=com_content&task=view&id=483&Itemid=38

[16] เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดขึ้น ในปีนี้ แคนาดาจะใช้งบประมาณราว 1 พันล้านดอลลาร์ให้แก่สงครามและการยึดครองที่ผิดกฎหมายในอัฟกานิสถาน

[17] Jubilee Debt Campaign. "The Basics About Debt." //www.jubileedebtcampaign.org.uk/?lid=98

[18] Afsar H. Jafri. "WTO: Agriculture at the Mercy of Rich Nations." Focus on the Global South, November 7, 2005. //www.focusweb.org/india/content/view/733/30/

[19] Capital, Volume III. Karl Marx & Frederick Engels, Collected Works, Volume 37, p. 123



Ian Angus เป็นบรรณาธิการของเว็บไซท์ Climate and Capitalism

--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 3/6/2551


โดย: jenifaae วันที่: 6 กรกฎาคม 2551 เวลา:17:05:18 น.  

 
*"จีนศึกษาในประเทศไทย และไทยศึกษาในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน"

จีนเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่ และมีความสำคัญต่อสังคมโลก จึงได้มีการกล่าวขวัญถึงจีนในแง่มุมต่างๆ มากมาย เช่น เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก หนึ่งในสี่ของชาวโลกเป็นชาวจีน มีภาษาเขียนและวัฒนธรรมที่เกาะกันเป็นกลุ่มใหญ่ มีพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก มีฐานทางเศรษฐกิจที่ใหญ่โต ขณะเดียวกันจีนมีบทบาทในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งของภูมิภาคเอเชีย นอกจากนี้จีนยังมีบทบาทเป็นมหาอำนาจทางการเมืองของโลก เป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ มีบทบาทความสำคัญในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศทั่วโลก ในด้านความมั่นคงจีนเป็นหนึ่งในชาติมหาอำนาจ 5 ชาติที่มีอาวุธนิวเคลียร์อย่างเปิดเผย จีนยังเป็นแหล่งที่มาของภูมิปัญญาตะวันออก แหล่งกำเนิดวิทยาการความรู้ มีนักปราชญ์ที่มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของคนเป็นจำนวนมาก มีองค์ความรู้ทางด้านปรัชญาเมธีตะวันออก ที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าโลกตะวันตก มีภูมิปัญญาที่เกิดจากวรรณคดีที่ยิ่งใหญ่มากมาย ที่คนไทยได้ซึมซับจากการได้อ่าน ได้ชมในรูปของความบันเทิง อีกประการหนึ่งที่สำคัญคือ “จีน-ไทย เปรียบเหมือนพี่น้องกัน” ชาวไทยเชื้อสายจีนมีการติดต่อไปมาหาสู่กับจีนแผ่นดินใหญ่อยู่เป็นประจำ มีขนบธรรมเนียมที่สอดคล้อง และประชาชนทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอย่างยาวนานในประวัติศาสตร์

จากความสำคัญในหลายด้านของจีนที่กล่าวมา จึงสมควรอย่างยิ่งที่เราจะต้องรู้จักจีนให้ดียิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ของเราเอง และเพื่อประโยชน์ต่อวงการจีนศึกษาในประเทศไทย ขณะที่การเรียนรู้ เข้าใจจีนมากขึ้น เปรียบเหมือน “การรู้เขา รู้เรา” อันจะก่อให้เกิดความสัมพันธ์อันดีงามระหว่างทั้งสองประเทศ

กำหนดการ

วันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม 2551

08.30 - 09.30 น. ลงทะเบียน

09.30 - 09.45 น. พิธีเปิดการประชุม

กล่าวรายงาน : รองศาสตราจารย์ ดร. สมชาย ชคตระการ ผู้อำนวยการสถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา

กล่าวเปิดงาน : ศาสตราจารย์ ดร. สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

09.45 - 10.30 น. - ปาฐกถาพิเศษ “ไทยศึกษาในประเทศจีน : ภาพรวม ” โดย Prof. Pei Xiaorui - Department of Oriental, School of Foreign Studies, Peking University

10.30 - 10.45 น. พักรับประทานอาหารว่าง

10.45 - 11.30 น. - ปาฐกถาพิเศษ “ จีนศึกษาในประเทศไทย : ภาพรวม ”โดย ศาสตราจารย์ ดร.สุรชัย ศิริไกร กีรตยาจารย์แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

11.30 - 12.00 น. ซักถาม / แสดงความคิดเห็น

12.00 - 13.30 น. พักรับประทานอาหารกลางวัน

13.30 - 15.00 น. - ไทยศึกษาในประเทศจีน : การเมือง การปกครอง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดย Prof. Dr. Zhang Xizhen - Department of International, School of International, Peking University

- จีนศึกษาในประเทศไทย : ด้านการเมือง การปกครอง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดย รองศาสตราจารย์ ดร. จุลชีพ ชินวรรโณ รองอธิการบดีฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

15.00 - 15.15 น. พักรับประทานอาหารว่าง

15.15 - 16.30 น. - ไทยศึกษาในประเทศจีน : ด้านสังคมวัฒนธรรม โดย Prof. Xiayuan Zhang - The Institute of South East Asian Studies, Yunnan Academy of Social Sciences

- จีนศึกษาในประเทศไทย : ด้านสังคมวัฒนธรรม โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ พรชัย ตระกูลวรานนท์ - คณบดีคณะสังคมวิทยาและมนุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

* พิธีกร : อาจารย์ปิยะมาศ สรรพวีรวงศ์ - คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

17.30 - 19.00 น. งานเลี้ยงต้อนรับ และร่วมรับประทานอาหารเย็น

- การแสดงดนตรีไทย - จีน

วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม 2551

09.00 - 10.30 น. - ไทยศึกษาในประเทศจีน : ด้านเศรษฐกิจ โดย Dr. Shen Minghui - The Institute of Asian-Pacific Studies (IAPS) of CASS

- จีนศึกษาในประเทศไทย : ด้านเศรษฐกิจ โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อักษรศรี พานิชสาส์น - คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

10.30 - 10.45 น. พักรับประทานอาหารว่าง

10.45 - 12.00 น. - ไทยศึกษาในประเทศจีน : ด้านการศึกษา / แลกเปลี่ยน ระหว่างไทย - จีน โดย Prof. Dr. Xiao Xiqiang College of International Students,Nanjing Normal University

- จีนศึกษาในประเทศไทย : ด้านการศึกษา โดย อาจารย์ วรศักดิ์ มหัทธโนบล - คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

12.00 - 13.00 น. รับประทานอาหารกลางวัน

13.00 - 15.00 น. อภิปรายเรื่อง “จีนศึกษาในประเทศไทย และไทยศึกษาในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน” โดย - ศาสตราจารย์ ดร.สุรชัย ศิริไกร - กีรตยาจารย์แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

- ศาสตราจารย์ ฟู่เจิงโหย่ว ผู้อำนวยการสถาบันขงจื่อ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

- รองศาสตราจารย์ ศุภรัตน์ เลิศพาณิชย์กุล มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

- อาจารย์รสสุคนธ์ ขันธ์นะภา ประธานโครงการจีนศึกษา สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษาฯ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

* พิธีกร : อาจารย์ศิริเพ็ชร ทฤษณาวดี คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

17.30 - 19.00 น. งานเลี้ยงสังสรรค์และร่วมรับประทานอาหารเย็น


ผู้สนใจเข้าร่วมสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โครงการจีนศึกษา สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษาฯ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต อ.คลองหลวง จ. ปทุมธานี โทร.0-2564-5000-3 โทรสาร.0-2564-4888,0-2564-4777

e-mail: ieas@asia.tu.ac.th , //www.asia.tu.ac.th


โดย: jenifaae วันที่: 6 กรกฎาคม 2551 เวลา:17:05:44 น.  

 
*จดหมายชี้แจงจากสมาคมหยาดฝน กรณี บ้านหยงสตาร์

จากกระทู้ //www.thaingo.org/webboard/view.php?id=13282


1. สมาคมหยาดฝนไม่เคยส่งคนไปทำงานในตำบลหยงสตาร์เลย ดังนั้น ผู้นั้นไม่ใช่ตัวแทนของสมาคมหยาดฝน

2. สมาคมหยาดฝนไม่เคยส่งเสริมปลูกหญ้าทะเล ไม่ว่าที่หยงสตาร์หรือที่ไหน

3. โครงการทั้ง 2 โครงการในตารางท้ายบทความนั้น สมาคมหยาดฝนให้คำแนะนำองค์กรชุมชน และองค์กรชุมชนนำเสนอผ่านระบบราชการ ได้แก่ อำเภอนาโยง และสำนักงานทรัพยากรจังหวัดตรัง สมาคมหยาดฝนไม่เคยถือเงิน หรือมีอำนาจในการจัดการ แต่ดำเนินงานโดยส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง

4. งบประมาณที่นำเสนอในบทความนั้น ยังไม่เห็นการอนุมัติเลย ยังเป็นเพียง "โครงการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง" ทราบว่ายังไม่มีการอนุมัติ หรือเบิกจ่าย และไม่แน่ว่าจะได้รับการอนุมัติหรือไม่

5. เรื่องป่าชายเลนชุมชนนั้น สมาคมหยาดฝนไม่เคยไปร่วมทำงานกับประชาชนในหยงสตาร์มาก่อน และไม่เคยเกี่ยวข้องกับการนำทหารไปบังคับประชาชนแต่อย่างใด

6. สมาคมหยาดฝนเสริมชุมชนในการจัดการป่าชายเลนหลายแห่งในจังหวัดตรัง ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ดีสำหรับคนที่รู้จักสมาคมหยาดฝนว่า สมาคมหยาดฝนไม่เคยใช้วิธีการดังกล่าวอ้าง เพราะไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใด ปัจจุบันแนวทางการจัดการป่าชายเลนโดยชุมชนเป็นที่ยอมรับ และขยายผลออกไปอย่างกว้างขวาง

7. เรื่องการทำประมงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเพื่ออนาคตของลูกหลานในวันข้างหน้านั้น เป็นสิ่งที่ประชาชนผู้มองการณ์ไกล และเห็นภัยร้ายจากการทำประมงดังกล่าว ได้หยุดใช้เครื่องมือดังกล่าวจำนวนมากแล้ว สมาคมหยาดฝนไม่เคยทำงานร่วมกับประชาชนในตำบลหยงสตาร์ และไม่เคยบีบบังคับให้เขาเหล่านั้นเลิกใช้เครื่องมือดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตาม ทราบว่าเครื่องมือหลายชนิดขัดต่อ พรบ.ประมง ซึ่งผู้ที่ดำเนินการเรื่องนี้ ควรเป็นเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง

8. ผู้ที่เขียนบทความนี้ ยังไม่รู้จักสมาคมหยาดฝน ได้ข้อมูลไม่ถูกต้อง แต่โวยวายกล่าวร้ายโดยขาดสติสัมปชัญญะ ไม่คำนึงถึงจริยธรรมว่าการใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่นเป็นบาป และทางสมาคมหยาดฝนยังเคยสงสัยว่า ผู้เขียนบทความนี้รับจ้างใครมาหรือเปล่า เพราะไม่เคยรู้จักกัน หรือสมาคมหยาดฝนจะขัดแย้งกับพี่น้องชาวหยงสตาร์ ก็ไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใด

9. ถ้าอยากรู้ข้อเท็จจริงเพิ่มขึ้น หากไม่กล้ามาพบสมาคมหยาดฝน ก็ขอให้สอบถามจากผู้ปฏิบัติงานของโครงการต่างๆ หรือหน่วยราชการที่อยู่ในพื้นที่ดูให้ละเอียดอีกครั้ง หรือหากประสงค์จะพบกับสมาคมหยาดฝน ก็พร้อมที่จะปรึกษาหารือกับผู้เขียนตลอดเวลา


พิศิษฐ์ ชาญเสนาะ
นายกสมาคมหยาดฝน

21 พฤษภาคม 2551


โดย: jenifaae วันที่: 6 กรกฎาคม 2551 เวลา:17:06:08 น.  

 
เบื่อ


โดย: เบื่อพัทมิตร IP: 118.173.241.241 วันที่: 12 พฤศจิกายน 2551 เวลา:12:31:13 น.  

 
*ขอเชิญร่วมการประชุมวิชาการ เรื่อง "วิกฤติของชาติ : ประเทศไทยจะไปทางใด ?"

๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องประชุม ๒๐๒ อาคารจามจุรี ๔ จุฬาลงกรณ์
//www.chula.ac.th/chula/th/news/news060252.html

เนื่องในโอกาสวันสถาปนาศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอเชิญร่วมการประชุมวิชาการ เรื่อง "วิกฤติของชาติ : ประเทศไทยจะไปทางใด ?" วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา 13.00-16.00 น. ณ ห้อง 212 ชั้น 2 อาคารมหิตลาธิเบศร* จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยผู้ทรงคุณวุฒิที่ให้เกียรติมาร่วมเสวนา : มรว.ปรีดิยาธร เทวกุล ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน ผศ.ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร
และยังได้รับเกียรติจาก ศ.นพ.จรัส สุวรรณเวลา สามารถสำรองที่นั่งได้ที่ (โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย)

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทรศัพท์ 0-2218-2880, 0-2218-2897
// //www.uns.chula.ac.th E-mail: unisearch@chula.ac.th
(*อยู่ระหว่างคณะเศรษฐศาสตร์และคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี สามารถจอดรถได้ที่ อาคารจามจุรี สแควร์)
//www.it.chula.ac.th/news/detail.php#1233892940

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอเชิญร่วมฟังการสัมมนาวิชาการ เรื่อง "เหตุการณ์ผู้อพยพชาวโรฮิงญาจากพม่า : ระหว่างมนุษยธรรมกับความมั่นคงเพื่อทางออกที่เป็นไปได้และยั่งยืน" โดยวิทยากรจากภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนสำนักงานข้าหลวงผู้ลี้ภัยสหประชาชาติ กรรมการสิทธิมนุษยชนฯ สื่อมวลชน และนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านผู้อพยพย้ายถิ่น ในวันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา 08.30- 12.30 น. ณ ห้องประชุมจุมภฏ-พันธุ์ทิพย์ ชั้น 4 อาคารประชาธิปก-รำไพพรรณี

ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมได้ฟรี สอบถามรายละเอียดได้ที่สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาฯ โทร. 02-2187164-65




*IT CEO สัญจร ครั้งที่ 3 : เป็นหนี้ .... ดีอย่างไร?

จัดโดย ฝ่ายสมาชิกสัมพันธ์

วัตถุประสงค์
เนื่องด้วยวิกฤติเศรษฐกิจในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อธุรกิจไทยโดยรวม โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) มีความจำเป็นต้องปรับตัวให้สอดรับ กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก เป็นกลุ่มแรกที่จะได้รับผลกระทบก่อน จึงต้องหาวิธีที่จะปรับตัวรับสถานการณ์ดังกล่าวอย่างเร่งด่วน เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) เป็นเครื่องมือที่สำคัญอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้การดำเนินธุรกิจของเอสเอ็มอี มีความสามารถคลื่นมรสุมทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน ด้วยงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด หรือแทบจะไม่มีเลยเราจะวางแผนการใช้ไอทีอย่างไรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อธุรกิจของเรา นอกจากนี้เรื่องของการวางแผนบริหารจัดการการลงทุนให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งถ้ามีการจัดการที่ดีแล้วก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะช่วยใ ห้การบริหารจัดการมีความผ่อนคลายและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
จากทั้งสองประเด็นนี้มีความสอดคล้องกันที่จะช่วยให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สามารถลดต้นทุนและขยายโอกาสทางธุรกิจได้ในยุคเศรษฐกิจที่มีความอ่อนไหวจากปัจจัยต่างๆมากมาย รายการ IT CEO จึงได้จับเอาสองประเด็นนี้มาจัดให้เป็นเรื่องราวที่จะนำเสนอในรายการ IT CEO สัญจร ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของผู้ฝังรายการ และผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมทั่วไป
กำหนดการ
13.00-13.30 ลงทะเบียน

13.30-13.45 กล่าวเปิดงานโดยผู้ดำเนินรายการ IT CEO: พันธุ์ทิตต์ สิรภพธาดา และ วิชัยวรณาวงศ์

13.45-14.45 บรรยายเรื่อง "เป็นหนี้ .... ดีอย่างไร"
คุณวันนบ สาริสระ
ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายการตลาด, บริษัท เอสเอ็มเอฟแอล ลิสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด

14.45-15.00 พักรับประทานอาหารว่างและเครื่องดื่ม

15.00-15.30
บรรยายเรื่อง "ดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ (Operation efficiency)"
โดย คุณอุทัยพัฒน์ รัตนภูผา
Chief Business Development Manager Small and Medium Enterprise,
บริษัท ซิสโก้ ซิสเต็มส์ (ประเทศไทย) จำกัด
15.30-15.45

ถาม-ตอบ

กลุ่มเป้าหมาย: ซีอีโอผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และผู้ ที่มีส่วนในการพัฒนาการใช้ไอทีขององค์กร
ค่าใช้จ่าย : ฟรีตลอดงาน
ผู้สนับสนุน

บริษัท ซีสโก้ ซิสเต็มส์ (ประเทศไทย) จำกัด สนับสนุน สถานที่จัดงาน และอุปกรณ์ทางเทคนิค
นิตยสาร Opensource2day สนับสนุนการประชาสัมพันธ์
เว็บไซต์ //www.thaiseminars.com สนับสนุนการประชาสัมพันธ์ และระบบลงทะเบียนออนไลน์
การลงทะเบียนสำรองที่นั่ง

สำรองที่นั่งทางโทรศัพท์ คุณกนกพร หรือ คุณธัญญวัฒน์ หมายเลขโทรศัพท์ 02-620-0518-9 (วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 9.00 - 18.00 น.)

อีเมล์ is-thailand-sdr@cisco.com
สำรองที่นั่งผ่านระบบออนไลน์ เว็บไซต์ //www.thaiseminars.com คลิกลงทะเบียนออนไลน์

วันและเวลา: 19/02/09, 13:00 — 15:45
สถานที่: ห้องประชุม Micky และ Minee
บริษัท ซิสโก้ ซีสเต็มส์ (ประเทศไทย) จำกัด ชั้น 28 อาคาร ดิออฟฟิศเศส แอท เซ็นทรัลเวิลด์
999/9 ถนน พระราม 1 ปทุมวัน กรุงเทพ, 10330
ประเทศไทย
//www.cisco.com/web/TH/about/map_th.html

ยังมีที่นั่งว่างอีก: 43 จากทั้งหมด 50
กรุณาลงทะเบียนก่อนวัน: 17/02/2009 23:00:00


โดย: jenifaae วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:23:12:43 น.  

 
*ฮวงจุ้ยบ้านดีปี 52

Category : อบรม, สัมมนา

คอร์สอบรม หรือ สัมมนาต่างๆ
Date: 14 February 2009
เวลา: 09.00 - 12.00

สถานที่: SF World Cinema


สวัสดีป๊ฉลู แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ขอเชิญลูกบ้านร่วมสัมมนา
ฮวงจุ้ยเชิงวิทยาศาสตร์ สำหรับบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม
สิทธิพิเศษสำหรับลูกบ้าน ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ จำกัดเพียง 300 ที่นั่ง

URL address: //www.lh.co.th/LHWeb/page/front_th/home/fengsui_landingpage.html




*กิจกรรม "Museum of love"

พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จัดกิจกรรม "Museum of love" เพื่อสร้างความบันเทิงเชิงวิชาการให้แก่ผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ภายในงานพบกับการบรรยายพิเศษในหัวข้อ "กษัตริย์ผู้มั่นคงในรัก" โดย รศ.ม.ร.ว.พฤทธิสาณ ชุมพล และสำหรับผู้ที่มาเป็นคู่รัก คู่ซี้จะได้เข้าร่วมสนุกกับกิจกรรม "คู่รักมักใจตรงกัน" พร้อมรับของรางวัลพิเศษ ในวันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา 15.00 -18.00 น. ณ พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ถ.หลานหลวง

ขอรายละเอียดเพิ่มติดต่อ
บริษัท นิโอ ทาร์เก็ต จำกัด
คุณอรุนฤดี พันขวง 02-631-2290 # 310




*Eduzones Expo 2009

Category : อบรม, สัมมนา

คอร์สอบรม หรือ สัมมนาต่างๆ
Date: 3 April 2009
Until: 5 April 2009
เวลา: 10.00 - 19.00

สถานที่: ชั้น 4-5 เซ็นทรัล ลาดพร้าว กทม.

สุดยอดเทคนิคการเลือกคณะอย่างไรติดชัวร์
สุดยอดสาขาแห่งอนาคต อาชีพไหนหางานง่าย รายได้สูง
สุดยอดทุนดีดี ฟรีทั่วโลก
สุดยอดวิธีเลือกเรียนในไทยหรือจะไปต่อนอก

URL address: //expo.eduzones.com/2009/




*สัมมนาเรื่อง "นัดพบผู้ผลิตสื่อ a day with EGAZINE"

จัดโดย นักศึกษาระดับปริญญาโท ภาควิชาเทคโนโลยีการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์

วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา 13.00 – 17.00 น.

ณ ห้องประชุมคาสตรอล ชั้น 8 อาคารเรียนรวม 3

คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี

เวลา กำหนดการ

12.30 – 13.00 น. ลงทะเบียนผู้เข้าร่วมสัมมนา

13.00 – 13.10 น. ประธานโครงการกล่าวรายงานโครงการสัมมนา

13.10 – 13.30 น. คณะบดีคณะครุศาสตร์ฯกล่าวเปิดงานสัมมนา

13.30 – 15.15 น. หัวข้อ "กระบวนการผลิตสิ่งพิมพ์ประเภท MAGAZINE"

โดย คุณทรงกลด บางยี่ขัน บรรณาธิการบริหารของหนังสือ a day

และ คุณทรงพล จั่นลา ที่ปรึกษาบรรณาธิการศิลปกรรม ของหนังสือ

a day จากบริษัท เดย์โพเอทส์ จำกัด

15.15 – 15.30 น. แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และกิจกรรมถาม – ตอบ / ข้อเสนอแนะ

15.30 – 15.45 น. พักรับประทานอาหารว่าง

15.45 – 16.45 น. หัวข้อ "ความเป็นมาและขั้นตอนการผลิต E-MAGAZINE"

โดย คุณพงศธร ลิมานนท์ ผู้ก่อตั้ง //www.thaiegazine.com

16.45 – 17.00 น. แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และกิจกรรมถาม – ตอบ / ข้อเสนอแนะ

17.00 น. ปิดการสัมมนา


โดย: jenifaae วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:23:13:45 น.  

 
*การสัมมนาความสัมพันธ์ไทย-จีน เรื่อง "สตรีกับการแก้ไขปัญหาความยากจน และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม"

ณ ธนาคารกสิกรไทย สำนักงานใหญ่ ถนนราชบูรณะ วันที่ 11 ก.พ. เวลา 09.00 น. @ มีความสนใจทำการศึกษาวิจัยเรื่องผู้หญิงไทยกับความยากจนมานาน ดร.สายสุรี จุติกุล ผู้หญิงเก่งที่ไม่เคยหยุดนิ่งจะไปบรรยายเรื่อง "ความยากจนกับสตรี" ในงานสัมมนาความสัมพันธ์ไทย-จีน ให้ บัณฑูร ล่ำซำ ที่ธนาคารกสิกรไทย วันที่ 11 ก.พ. เวลา 10.30 น.




*การสัมมนาหัวข้อ Carbon Footprint: LCA Applications toward Sustainable Manufacturing for Thai Industries

ด้วยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ร่วมกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม จะจัดการสัมมนาหัวข้อ Carbon Footprint: LCA Applications toward Sustainable Manufacturing for Thai Industries ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2552 ณ Monet Room ชั้น 4 โรงแรมโนโวเทล กรุงเทพ สยามแสควร์ เพื่อประยุกต์ใช้ฐานข้อมูลบัญชีรายการสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย (Thai National Life Cycle Inventory Database) ในการเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตและแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย โดยเน้นด้าน การคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon Footprint) ฉลากสิ่งแวดล้อมประเภทที่ 3 (Eco-label Type III) และ เทคนิคการประเมินประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจ (Eco-efficiency) อีกทั้งยังเป็นกิจกรรมที่จะเป็นตัวอย่างให้กับประเทศเพื่อนบ้าน และกระตุ้นให้เกิดเครือข่ายความร่วมมือด้านการประเมินวัฏจักรชีวิตและการใช้หลักการ EcoDesign ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN eco-LCA Network) ค่าลงทะเบียนฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น รับสมัครจำนวน 80 ท่าน โดยให้สิทธิ์แก่ผู้ที่ส่งใบสมัครก่อนเท่านั้น


<< รายละเอียด กำหนดการ ใบสมัคร แผนที่ >>


ทั้งนี้ จึงใคร่ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมการสัมมนาดังกล่าว กรอกข้อความลงในใบสมัคร และส่งทางโทรสาร 0-2564-6505
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่คุณอธิวัตร จิรจริยาเวช ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ โทร. 02-5646500 ต่อ 4857 E-mail: athiwatj@mtec.or.th และงานฝึกอบรม (คุณพลธร เวณุนันท์ ) โทร. 0-2564-6500 ต่อ 4514 E-mail: ponlathw@mtec.or.th




*อบรมโครงการบริการวิชาการแฟชั่นเพื่อชุมชน

ศูนย์บริการวิชาการ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ร่วมกับ คณะศิลปกรรมศาสตร์ จัดอบรมโครงการบริการวิชาการแฟชั่นเพื่อชุมชน (ฝึกอบรมเพื่อการบริการบุคคลภายนอก) ในเรื่องการออกแบบแฟชั่นเครื่อง แต่งกายและเครื่องประดับ อันจะส่งผลต่อการพัฒนาศักยภาพของธุรกิจแฟชั่นและสำหรับบุคคลที่สนใจหรือ อยู่ในธุรกิจแฟชั่นให้มีความรู้ความเข้าใจในการออกแบบและการพัฒนาแฟชั่นมากขึ้น จำนวน 20 หลักสูตร โดยสามารถสมัครได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2552 และเริ่มอบรมตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2552
ถึงวันที่ 29 มีนาคม 2552 ณ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
สนใจติดต่อโทร. 02-259-5511, 02-649-5059
//cas.swu.ac.th/data/Binder1.pdf




*รวมพลธุรกกิจไอทีไทยครั้งใหญ่

ซิป้า จับมือ เอทีเอสไอ โชว์ซอฟต์แวร์กว่า 200 โซลูชั่น หวังกระตุ้นตลาดซอฟต์แวร์ในประเทศ ชี้อาจารย์และนักศึกษาควรไปดู เพื่อปฏิวัติการเรียนการสอน ลดภาระผู้ประกอบการจ่ายค่าอบรม

ดร.รุ่งเรือง ลิ้มชูปฏิภาณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ ซิป้า กล่าวว่า ซิป้าร่วมกับสมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย (เอทีเอสไอ) ใช้งบประมาณ 16 ล้านบาท เพื่อ "ไทยแลนด์ ซอฟต์แวร์ แฟร์ 2009" ระหว่างวันที่ 20-22 ก.พ. ที่ รอยัลพารากอนฮอลล์ มีผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ไทยกว่า 200 ราย มาเสนอซอฟต์แวร์ โซลูชั่นเด่น ๆ หวังกระตุ้นตลาดซอฟต์แวร์ไทยและสร้างความเข้มแข็งให้ผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ไทยก่อนดันสู่ตลาดซอฟต์แวร์โลก

สำหรับการจัดงานดังกล่าวถือเป็นการ จัดแสดงโซลูชั่นซอฟต์แวร์ที่ใหญ่ระดับภูมิภาค ครั้งแรกของประเทศ โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ประกอบการรายย่อย (เอสเอ็มอี) หน่วยงานรัฐบาล และนักศึกษา ทั้งเป็นการสร้างโอกาสให้กับผู้ ประกอบการซอฟต์แวร์ไทยได้พบกับนักลงทุน ต่างชาติ คาดว่าจะมีการใช้จ่ายภายในงานไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท

นายสมเกียรติ อึงอารี นายกสมาคมเอทีเอสไอ กล่าวว่า ปัจจุบันความต้องการใช้งานซอฟต์แวร์ที่อยู่บนเว็บแอพพลิเคชั่นมีปริมาณมาก ดังนั้น นักศึกษาที่เรียนเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ควรไปงานนี้ เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับการสร้างโซลูชั่นที่ตรง กับความต้องการของตลาด ขณะที่อาจารย์มหา วิทยาลัยควรไปเรียนรู้การทำงานจริงของผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ เพื่อปฏิรูปหลักสูตรสร้างนักศึกษาที่เรียนจบให้เริ่มงานได้ทันทีโดยบริษัทไม่ต้องส่งไปฝึกอบรมก่อนเริ่มงาน เพราะปัจจุบันบริษัทซอฟต์แวร์ต้องใช้เงินส่งนักศึกษาจบใหม่ไปอบรมประมาณ 1 แสนบาท/คน ซึ่งเป็นต้นทุนที่สูง.


โดย: jenifaae วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:23:14:20 น.  

 
* "14 กุมภา วันรักลูกวันจุดประกายลูก...สู่ดวงดาว"

ต้อนรับเทศกาลแห่งความรักด้วยความรักจากบุพการี เชิญชวนคุณพ่อ คุณแม่ มาร่วมสร้างโอกาส ในชีวิตให้ลูกของท่านไปกับการรับฟังบรรยายพิเศษฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย (บรรยายเป็นภาษาอังกฤษ) ในหัวข้อ "14 กุมภา วันรักลูกวันจุดประกายลูก...สู่ดวงดาว" จากวิทยากรที่มีชื่อเสียง

อดัม คู (Adam Khoo) ผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนรู้อันดับหนึ่งของสิงคโปร์ ซึ่งประสบความสำเร็จ ในการสร้างศักยภาพให้เด็ก ๆ มาแล้วทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย พ่อแม่จะเข้าใจความคิดของลูก และ ร่วมสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็ก ทำให้ลูกค้นพบตัวเองรู้จักเป้าหมายในชีวิต เรียนรู้เทคนิคการใช้ สมองทั้งสองซีก การอ่านจับใจความอย่างเข้าใจภายในเวลารวดเร็ว เพื่อเพิ่มศักยภาพในการเรียนรู้ วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา 13.30 – 16.30 น. ณ ห้องประชุม 101 อาคาร 3 คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สอบถามเพิ่มเติมได้และสำรองที่นั่ง ได้ที่หมายเลข โทรศัพท์ 02-636-3211 - 4

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่:
คุณแก้ว 089 477 1903 E-mail : kaew_1531@hotmail.com
คุณแอ๊นท์ 081 839 8881 E-mail : shelbysilvia@yahoo.com





* โครงการธรรมยาตราเดินป่าแสวงหาปรีชาญาณ ผสานจิตวิญญาณชนเผ่า

ตามรอยทางกำเนิดชีวิตและวิถีเผ่าชนคนปกาเกอะญอ สัมผัสธรรมชาติป่าบนดอยสูง ดินแดนนักต่อสู้เพื่อสิทธิในผืนป่าของ (ชุมชน) พี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์

เชิญท่านที่สนใจร่วมเดินธรรมยาตราเรียนรู้ป่าและชีวิตของคนอยู่ป่าที่งดงาม เรียบง่าย ณ บ้านแม่ลานคำ บ้านขุนวิน ผ่านป่าดิบชื้น ป่าก่อสมบูรณ์ตามไหล่เขา และปลีกวิเวกท่ามกลางธรรมชาติแห่งขุนห้วยขุนวิน ต้นน้ำแม่วาง นำการเดินทางโดยปราชญ์ชาวบ้าน พะตี่แดง ยอดฉัตรมิ่งบุญ พะตี่อิแหละ บัวเสาวรส พะตี่คกิคกุ และคุณพฤ โอ่โดเชา


กำหนดการ

โครงการธรรมยาตราเดินป่าแสวงหาปรีชาญาณ ผสานจิตวิญญาณชนเผ่า

ระหว่างวันที่ 19-24 กุมภาพันธ์ 2552/2009


วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ 2552

20.00 น. - ออกเดินทางจากกรุงเทพมหานคร (รถทัวร์ กรุงเทพ-เชียงใหม่)


วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2552

07.00 น. - ถึงเชียงใหม่ ทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมทาง และพักผ่อนตามอัธยาศัย ณ ศูนย์มิสซังเชียงใหม่

บ่าย - เดินทางออกจากเชียงใหม่ โดยรถกระบะไปยัง อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่

เย็น - ถึง หมู่บ้านแม่ลานคำ

ทำความรู้จักชาวบ้านและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชนเผ่าปกาเกอะญอ

- แบ่งปันประสบการณ์ระหว่างกัน พักแรมในหมู่บ้าน

วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2552

เช้า - ออกเดินตามเส้นทางป่า ไปยังหมู่บ้านขุนวิน

บ่าย - สัมผัสและเรียนรู้ความเป็นอยู่วิถีชาวบ้าน รวมถึงรับฟังแลกเปลี่ยนกับชาวบ้านในเรื่องการพัฒนาที่ส่งผลกระทบต่อชุมชน

เย็น - พักแรมในหมู่บ้านขุนวิน

วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2552 (ธรรมยาตราผสานจิตวิญญาณกับธรรมชาติ)

เช้า - เดินป่าเรียนรู้การใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติจากชาวบ้านในท้องถิ่นผ่าน ป่าก่อสมบูรณ์ที่ค่อนข้างดิบ ชื้นและที่ทำกินชาวบ้าน

บ่าย - ถึงจุดพักแรม ขุนห้วยขุนวิน พูดคุยทำความเข้าใจ และเตรียมความพร้อมสำหรับการปลีกวิเวก

เย็น - พักแรมในป่า ณ ขุนห้วยขุนวิน

วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2552

- ปลีกวิเวก อดอาหาร ภาวนาเพื่อป่าและชุมชน พักแรมในป่า ณ บริเวณขุนห้วยขุนวิน

วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ 2552

เช้า - ออกเดินทางจากป่าที่พักแรมบริเวณขุนห้วยขุนวิน ไปยัง หมู่บ้านขุนวิน

บ่าย - โดยสารรถกระบะออกจากหมู่บ้านขุนวิน ไปยังเชียงใหม่และเดินทางกลับกรุงเทพ
โดยสวัส ดิภาพ


ค่าลงทะเบียน

(ค่าเดินทางจากกทม.-เชียงใหม่-สะเมิง-แม่วาง-เชียงใหม่-กทม. ที่พักและอาหาร) ๒,๕๐๐ บาท/ท่าน

* ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากคณะเซนต์ปอล เดอ ชาร์ตร ๒๐,๐๐๐ บาท *


ติดต่อขอทราบรายละเอียดได้ที่ คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อการพัฒนา แผนกกลุ่มชาติพันธุ์

๑๒๒/๑๑ ชั้น ๗ ซ.นาคสุวรรณ ถ.นนทรี แขวงยานนาวา กรุงเทพฯ ๑๐๑๒๐

โทรศัพท์ ๐-๒๖๘๑-๓๙๐๐-๒ ต่อ ๑๗๐๒, ๐๘๔-๖๑๑-๗๒๐๗

อีเมล์ cegthai@yahoo.com, cegthai@hotmail.com เว็บไซต์ //cegthai.cbct.net

รับสมัครภายในวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒
//www.thaingo.org/prboard_1/view.php?id=7989


โดย: jenifaae วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:23:15:04 น.  

 
* งาน "วันครอบครัวชีวจิต 83 ปี อาจารย์สาทิส ชาวชีวจิต Reunion"

นิตยสารชีวจิตขอเชิญผู้รักสุขภาพทุกท่านร่วมงาน "วันครอบครัวชีวจิต 83 ปี อาจารย์สาทิส ชาวชีวจิต Reunion"
ในวันเสาร์ที่ 14 มีนาคม 2552
เวลา 9.00-15.00 น.
ณ อมรินทร์คอร์ปเปอเรทปารค์ ตลิ่งชัน
ภายในงานมีกิจกรรมให้ร่วมสนุกมากมาย อาทิ ปาฐกถาพิเศษจากอาจารย์สาทิส อินทรกำแหง, วง สินเจริญบราเธอร์, นุ้ย สุจิรา พร้อมร่วมกันบริจาคเงินและสิ่งของกับนิตยสารชีวจิต เพื่อผู้ประสบพิษเศรษฐกิจปี 2552
ที่สำคัญ ฟรี!! ตลอดงาน

ผู้ที่สนใจสำรองที่นั่งด่วนโดยแฟกซ์แบบตอบรับด้านล่างกลับมาที่ 02-422-9999 ต่อ 4545
หรือติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-422-9999 ต่อ 4128 หรือ 4150 และ //www.cheewajit.com




*งานสัมมนาเรียนรู้ธุรกิจออนไลน์เชิงสร้างสรรค์

ธนาคารกรุงเทพขอเชิญนิสิต นักศึกษาและผู้สนใจธุรกิจออนไลน์เข้าร่วมงานสัมมนาเรียนรู้ธุรกิจออนไลน์เชิงสร้างสรรค์ จัดโดยบริษัทอินโฟจิเนชั่น เพื่อสร้างเวทีแห่งการเรียนรู้ สู่แนวทางในการเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ที่ชัดเจน รู้ทัน แข่งขันได้

งานสัมมนากำหนดจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา 8.45 - 17.00 น. ณ ห้องบัวหลวง ชั้น 30 ธนาคารกรุงเทพ สำนักงานใหญ่สีลม

กำหนดการและการลงทะเบียน
รอบเช้า (8.45 - 11.45 น.)
สำหรับผู้ที่ไม่เคยมีพื้นฐานความรู้หรือประสบการณ์การทำธุรกิจออนไลน์มาก่อนและสนใจเรียนรู้เบื้องต้น

08.45 - 09.15 - ลงทะเบียน
09.15 - 09.30 - กล่าวเปิดงาน
09.30 - 10.20 - สร้างธุรกิจออนไลน์ง่ายๆ สไตล์ Amazon
10.20 - 10.35 - Coffee Break
10.35 - 11.00 - รับซื้อเช็คต่างประเทศและรับเงินโอนค่าคอมมิชชั่นธุรกิจ Affiliate Marketing ผ่านธนาคารกรุงเทพ
สาขานิวยอร์ก
11.00 - 11.45 - สร้างรายได้ด้วย Google AdSense
คลิกที่นี่ เพื่อลงทะเบียนเข้าร่วมงานสัมมนารอบเช้า
หมายเหตุ: ท่านที่ประสงค์จะเข้าร่วมสัมมนาในรอบเช้า กรุณาลงทะเบียนกับธนาคารกรุงเทพและรับการยืนยันที่นั่ง กรณีมีผู้ลงทะเบียนเกินกว่าจำนวนที่นั่ง ซึ่งรับได้สูงสุดรอบละ 600 ท่าน ผู้ที่เกินจะอยู่ในรายชื่อสำรองจนกว่าจะได้รับการยืนยันทางอีเมลหากมีที่ว่าง
รอบบ่าย (12.30 - 17.00 น.)
สำหรับผู้ที่มีพื้นฐานความรู้หรือประสบการณ์การทำธุรกิจออนไลน์มาแล้วและสนใจเรียนรู้เทคนิคใหม่ ท่านสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานสัมมนาได้ที่ //www.infogination.com

12.30 - 13.00 - ลงทะเบียน
13.00 - 13.15 - กล่าวเปิดงานงาน
13.15 - 14.00 - Affiliate 2009: What's Coming
14.00 - 14.50 - Hotel Affiliate Key Success 2009
14.50 - 15.10 - Coffee Break
15.10 - 16.00 - SEO Movement 2009: Something like that!
16.00 - 16.45 - Google AdSense Optimization
16.45 - 17.00 - ถาม-ตอบ
หมายเหตุ: ท่านที่ประสงค์จะเข้าร่วมสัมมนาในรอบบ่าย กรุณาลงทะเบียนที่ //www.infogination.com ตั้งแต่ 7 กุมภาพันธ์ 2552
เป็นต้นไป โดยท่านจะได้รับการยืนยันที่นั่งจากบริษัทอินโฟจิเนชั่น จำกัด กรณีมีผู้ลงทะเบียนเกินกว่าจำนวนที่นั่ง ซึ่งรับได้สูงสุดรอบละ 600 ท่าน ผู้ที่เกินจะอยู่ในรายชื่อสำรองจนกว่าจะได้รับการยืนยันทางอีเมลหากมีที่ว่าง
พิเศษเฉพาะในงานนี้เท่านั้น!
รับฟรี! บัตรกำนัล Swensen มูลค่า 100 บาท เมื่อนำสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงเทพพร้อมบัตรประชาชนสมัครใช้บริการบัวหลวง ไอแบงก์กิ้ง หน้างานสัมมนา และ Log on เข้าใช้บริการ ภายใน 31 มีนาคม 2552*
*ตามเงื่อนไขธนาคาร

คำแนะนำในการเดินทาง ผู้เข้าสัมมนาสามารถนำรถมาจอดได้ที่ธนาคารกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ สีลม บริเวณชั้น 5 - 7 แต่เนื่องจากที่จอดรถมีจำนวนจำกัด เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว โปรดใช้บริการ BTS และลงที่สถานีศาลาแดง หรือสถานีช่องนนทรี

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
บริษัท พีอาร์ 360 องศา จำกัด
โทร. 66 (2) 742 2044
แฟกซ์ 66 (2) 742 2292


โดย: jenifaae วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:23:15:46 น.  

 
*งานสัมมนา "SHIFT to Brighter Future with SAP Business One"

บริษัท อิกตัส จำกัด ขอเชิญทุกท่านเข้าร่วมงานสัมมนา "SHIFT to Brighter Future with SAP Business One" ในวันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา 13:15-17:00 น. ณ. SAP Thailand Office อาคารลิเบอร์ตี้ สแควร์ ชั้น 9 ถนนสีลม

งานนี้เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังมองหาวิธีในการลดต้นทุนองค์กร พัฒนารูปแบบการดำเนินธุรกิจ และเข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยนำระบบสารสนเทศเข้ามาเชื่อมโยงการทำงานของทุกหน่วยงานเข้าด้วยกันเพื่อให้การบริหารจัดการต้นทุนเป็นไปอย่างมีคุณภาพ ก้าวพ้นวิกฤตเศรษฐกิจปัจจุบัน และเตรียมพร้อมสำหรับการเติบโตในอนาคต

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานสัมมนาในครั้งนี้พร้อมทั้งสำรองที่นั่งได้ที่
คุณอัญชลี รติสุขพิมล (ส่วนการตลาด)
โทร. 02-9662093-7 ต่อ 6040
อีเมล์. unchalee_r@ictus.co.th




*สัมมนากิจกรรม IP TALK เดือนกุมภาพันธ์ 2552

สมาคมทรัพย์สินทางปัญญาฯ ขอเรียนเชิญท่านและพนักงานในหน่วยงานของท่านเข้าร่วมสัมมนากิจกรรม IP TALK

เดือนกุมภาพันธ์ 2552 ในหัวข้อ "การละเมิดลิขสิทธิ์ในงานภาพยนตร์" (INFRINGEMENT OF CINEMATOGRAPHIC WORKS) บรรยายไทย โดย คุณเทียนชัย ปิ่นวิเศษ ผู้อา นวยการประจา ประเทศไทย สมาคมผู้สร้างภาพยนตร์แห่งสหรัฐอเมริกา ในวันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา 14.00—16.00 น ณ. ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 13 ศาลทรัพย์สินทางปัญญา ถนนพญาไท กรุงเทพฯ จำนวน 60 ที่นั่ง ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ //www.ipat.or.th/images/News/IP-TALK-MEMBER-30-01-09.pdf.

สมาคมทรัพย์สินทางปัญญา
เบอร์โทรศัพท์ : 02-653-5755




* เสวนา เรื่อง นวัตกรเชิงอุปนัย ( Inductive Innovator)

หัวข้อเสวนาทางวิชาการ CITU FORUM ครั้งที่ 4
เรื่อง นวัตกรเชิงอุปนัย ( Inductive Innovator)
โดย อาจารย์ ดร.ธีระ ชินภัทร รามเดชะ
อาจารย์ประจำหลักสูตรบริหารเทคโนโลยี

วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ 2552
ห้องบรรยาย C5 ชั้น 5 วิทยาลัยนวัตกรรม
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ท่าพระจันทร์

13.00 น. ลงทะเบียน
13.30 น. ผู้ดำเนินรายการ เชิญ รศ. ม.ร.ว. พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรม
กล่าวเปิดการเสวนา เรื่อง นวัตกรเชิงอุปนัย ( Inductive Innovator)
และ แนะนำวิทยากร
13.45 น. เริ่มการเสวนา
16.00 น. เปิดให้ซักถาม และ สรุปการเสวนา
16.30 น. จบรายการ

สอบถามรายละเอียด ที่ อ.วิภา ดาวมณี
อีเมล์ csi_edu@yahoo.com

โครงการ CITU Forum ครั้งที่ 4
วิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


ที่มา
เพื่อส่งเสริมงานวิจัยของอาจารย์ และเผยแพร่ความรู้ ความชำนาญ ตลอดจนสร้างองค์ความรู้ใหม่ที่ให้ประโยชน์ทางวิชาการ อันสอดรับกับวิสัยทัศน์ ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งเป็นสถาบันวิชาการชั้นนำของประเทศในระดับนานา ชาติ ที่มีความเป็นเลิศในการผลิตบัณฑิต การสร้างองค์ความรู้ และการแก้ปัญหาของ ประเทศ และมีพันธกิจในการสร้างนวัตกรรม ทางด้านการศึกษา และผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพวิทยาลัยนวัตกรรม จึงรวบรวบผลงานทักษะและประสบการณ์ ของอาจารย์ในวิทยาลัยมาถ่ายทอดสู่นักศึกษา คณาจารย์ นักวิชาการ และนักวิจัย ในรูปแบบการประชุมวิชาการ โดยอาจารย์ประจำของวิทยาลัยจะนำผลงานวิจัย หรืองานเขียนทางวิชาการมากำหนดเป็นหัวข้อการประชุม โดยประยุกต์ให้เข้ากับสถานการณ์ทางสังคม และเศรษฐกิจในปัจจุบัน และสาธารณชนผู้สนใจ

วัตถุประสงค์
ส่งเสริมงานวิจัยของอาจารย์วิทยาลัยนวัตกรรม
ส่งเสริมเอกลักษณ์ของวิทยาลัย และสร้างชื่อเสียงทางด้านวิชาการ
เผยแพร่งานวิจัยที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ประยุกต์องค์ความรู้สู่สังคม และชุมชน

เนื้อหา
การ เสวนาทางวิชาการครั้งที่ 4 นี้ จะเน้นเนื้อหา ที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรของวิทยาลัยนวัตกรรม ในหัวข้อ นวัตกรเชิงอุปนัย ( Inductive Innovator) โดย อาจารย์ ดร.ธีระ ชินภัทร รามเดชะ อาจารย์ประจำหลักสูตรบริหารเทคโนโลยี จะร่วมนำการเสวนาโดยอาศัยหลักการในการพัฒนาระบบสารสนเทศ คือ การออกแบบระบบที่ดี และสามารถนำไปดำเนินการพัฒนาเพื่อสนองตอบต่อวัตถุประสงค์ของผู้ใช้ได้อย่าง ถูกต้องและครบถ้วน โดยเฉพาะการนำฐานข้อมูลสำหรับระบบสารสนเทศเพื่อการประมวลผลมาประยุกต์ใช้ เพื่อการนำประสบการณ์เชิงนวัตกรรมของนักบริหารในการคิด ริเริ่ม สร้างสรรค์ มาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ

การออกแบบฐานข้อมูลในที่นี้จะมีความหมายครอบคลุมถึงการออกแบบฐานข้อมูลใน ระดับแนวคิด (conceptual level) และการออกแบบฐานข้อมูลในระดับภายในหรือเชิงกายภาพด้วย (internal level หรือ physical level) อย่างไรก็ตาม การออกแบบฐานข้อมูลที่ดีและสมบูรณ์นั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างทำได้ยาก ปัจจัยสำคัญในการออกแบบฐานข้อมูล คือ ความสามารถในการสรรหาวิธีเพื่อแก้ไขปัญหานั้น ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งโดยทั่วไปการออกแบบฐานข้อมูลเพื่อนำมาใช้งานภายในองค์กรสามารถจำแนกได้ 2 วิธี คือ วิธีอุปนัย (inductive approcah) และวิธีนิรนัย (deductive approach) การออกแบบฐานข้อมูลด้วยวิธีอุปนัยเป็นการออกแบบฐานข้อมูลด้วยการเก็บรวบรวม ข้อมูลและ/หรือโปรแกรมที่มีการใช้งานอยู่แล้วภายในหน่วยงานต่าง ๆ ขององค์กรมาเชื่อมโยงเข้าด้วยกันเพื่อจัดทำเป็นระบบฐานข้อมูลขององค์กร ซึ่งการใช้วิธีการเดียวกันนี้กับการสร้างสรรค์บุคลากรที่เป็นนักคิดด้านวัต กรรม หรือ นวัตกร ก็คือการศึกษาจากประสบการณ์การทำงานของแต่ละบุคคล แล้วนำมาประมวลผล เพื่อสร้างระบบฐานข้อมูลที่สมบูรณ์ ก่อนนำไปสร้างตัวแบบที่มีประสิทธิภาพ

รูปแบบกิจกรรม
การเสวนาทางวิชาการ-แลกเปลี่ยนเชิงวิชาการ

กำหนด วัน-เวลา-สถานที่
วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 ระหว่างเวลา 13.30 น.-16.30 น. ณ ห้องบรรยาย C5 ชั้น 5 อาคารหอสมุดเดิม วิทยาลัยนวัตกรรม ม.ธรรมศาสตร์

ผลที่คาดว่าจะได้รับ
บรรลุ ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ เป็นบริการทางวิชาการที่สอดรับกับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย และช่วยสร้างบรรยากาศทางวิชาการภายในวิทยาลัย

ผู้รับผิดชอบโครงการ
อาจารย์วิภา ดาวมณี
อาจารย์ ดร.เกรียงไกร วัฒนาสวัสดิ์

ที่ปรึกษา
รอง คณบดีฝ่ายวางแผนและวิจัย และ ผอ.หลักสูตร


โดย: jenifaae วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:23:16:30 น.  

 
* ขอเชิญร่วมงานเชิดชูเกียรติ ศาสตราจารย์ ดร.อัญญา ขันธวิทย์

ศาสตราจารย์ในสาขาวิชาการเงินและการธนาคาร ระดับ 11 ในโอกาสที่ดำรงตำแหน่งศาสตรเมธาจารย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) และร่วมฟังปาฐกถาพิเศษ เรื่อง
"การพยากรณ์หุ้นไทยในช่วงตลาดผันผวน"

วันพุธที่

25 กุมภาพันธ์ 2552 ณ ห้อง 201 คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
ในโอกาสที่ ศาสตราจารย์ ดร.อัญญา ขันธวิทย์ ศาสตราจารย์ในสาขาวิชาการเงินและการธนาคาร ระดับ 11 เป็นคนแรกที่ได้รับคัดเลือก ให้ได้รับทุนแห่งความเป็นเลิศทางวิชาการและดำรง ตำแหน่ง ศาสตรเมธาจารย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) (MFC Asset
Management Professor of Finance and Banking) คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) จึงจัดงานเชิดชูเกียรติ ศาสตรเมธาจารย์ คนแรกขึ้น ในโอกาสเดียวกันนี้ ศาสตราจารย์ ดร.อัญญา ขันธวิทย์
จะกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "การพยากรณ์หุ้นไทยในช่วงตลาดผันผวน" ในวันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ 2552
ณ ห้อง 201 คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ตาม
รายละเอียดในกำหนดการคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงขอเรียนเชิญท่านเข้าร่วมงานเชิดชูเกียรติและฟังปาฐกถาพิเศษดังกล่าว

โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ได้จัดพิมพ์หนังสือเรื่อง "การพยากรณ์หุ้นไทยในช่วงตลาดผันผวน" ซึ่งเขียนโดย ศาสตราจารย์ ดร.อัญญา ขันธวิทย์ เพื่อ เป็นเอกสารมอบให้แก่ผู้เข้าร่วมงานด้วย

ผู้สนใจแจ้งความจำนงเข้าร่วมงานเชิดชูเกียรติและฟังปาฐกถาได้ ทาง website
(แจ้งความจำนงที่นี่) ภายในวันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2552
งานเชิดชูเกียรติ ศาสตราจารย์ ดร.อัญญา ขันธวิทย์ ศาสตราจารย์ในสาขาวิชาการเงินและการธนาคาร ระดับ 11
ในโอกาสที่ได้รับทุนแห่งความเป็นเลิศทางวิชาการเพื่อดำรงตำแหน่งศาสตรเมธาจารย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) (MFC Asset Management Professor of Finance and Banking)
และ ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "การพยากรณ์หุ้นไทยในช่วงตลาดผันผวน"

วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ 2552 ณ ห้อง 201 คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
8:00 – 8:30 น. ลงทะเบียน
8:40-8:45 น. อาจารย์ลิษา สวาทยานนท์ ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิเทศสัมพันธ์กล่าวต้อนรับ และเชิญคณบดีเปิดงาน
8:45 – 9:00 น. รองศาสตราจารย์เกศินี วิฑูรชาติ คณบดี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กล่าวเปิดงาน
9:00 – 9:15 น. ดร. พิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) กล่าวตอบรับ
9:15 – 9:25 น. คณบดี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ลงนามความร่วมมือ และถ่ายภาพ
9:25 – 9:45 น. ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ กล่าวขอบคุณ และเชิญผู้ร่วมงานชมภาพแสดงกระบวนการ
สรรหา "ศาสตรเมธาจารย์ MFC" พร้อมเกียรติประวัติ แผนงาน และภาพของผู้ที่ได้รับการคัดเลือก
9:45 – 10:00 น. คณบดี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
และกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) แสดงความยินดีกับ ศาสตรเมธาจารย์ MFC
10:00-10:15 น. พักกาแฟ
10:15 น. ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ เชิญ ศาสตรเมธาจารย์ MFC ขึ้นกล่าวปาฐกถา
10:15 – 12:15 น. ศาสตราจารย์ ดร.อัญญา ขันธวิทย์ ศาสตราจารย์ในสาขาวิชาการเงินและการธนาคาร ระดับ 11 ศาสตรเมธาจารย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) กล่าวปาฐกถา เรื่อง "การพยากรณ์หุ้นไทยในช่วงตลาดผันผวน"
12:15 น. ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ กล่าวขอบคุณ ศาสตรเมธาจารย์ MFC และปิดงาน


โดย: jenifaae วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:23:17:05 น.  

 
*Action4change Camp กลับมาแล้วววว

ค่ายนักรณรงค์สำหรับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยเกิดขึ้นจากมือคุณ!!

ถ้าคุณเบื่อการเมือง ถ้าคุณหน่ายผู้ใหญ่ เราขอท้าให้คุณลุกขึ้นมาทำให้โลกนี้ดีขึ้นด้วยตัวของคุณเอง!!!

กับโครงการนักรณรงค์รุ่นใหม่เพื่อการเปลี่ยนแปลงขององค์การแอ็คชั่นเอด ประเทศไทย ที่จะพาคุณไปทำความรู้จักกับวิธีการสื่อสารกับสาธารณะเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง ค่ายสื่อสารเพื่อสร้างสรรค์ค่ายแรกจะเริ่มขึ้นในวันที่ 18-20 พ.ค. 2552 ที่จะถึงนี้ หากคุณเป็นคนรุ่นใหม่ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมปลายหรือมหาวิทยาลัย และอยากเป็นส่วนหนึ่งของเยาวชนแอ็คชั่นเอดอาจจะต้องเร่งมือปั๊มใบสมัคร ^^

ถ้าคุณอยากเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากพลังของคุณ
ติดต่อรับใบสมัครได้ที่

พี่อุ้ม ฝ่ายเยาวชน องค์การแอ็คชั่นเอดประเทศไทย
โทร. 02-2796601-2 ต่อ 113 หรือ 080-5211555
Email: actionforchange2009@gmail.com
ดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่
//www.action4change.comและ//www.actionaidthailand.org
กำหนดปิดรับสมัครค่ายแรกภายในวันที่ 25 เมษายน 2552





*พุทธเถรวาทจากเสมาหิน

มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ขอเชิญร่วมฟังเสวนาเรื่อง

ไทยเป็นเมืองพุทธ
และคนไทยนับถือพุทธศาสนาแบบเถรวาท
เถรวาทเป็นอย่างไร? มาจากลังกาหรือไม่?
หาคำตอบจาก...

"พุทธเถรวาทจากเสมาหิน"


โดย
ศรีศักร วัลลิโภดม

วลัยลักษณ์ ทรงศิริ
ดำเนินการอภิปราย


วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2552
เวลา 18.00-19.30 น.
ณ ร้านหนังสือริมขอบฟ้า มุมอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม 0-2280-3340 หรือ 0-2281-1988

เว็บไซต์ //www.lek-prapai.org


โดย: jenifaae วันที่: 14 พฤษภาคม 2552 เวลา:21:19:11 น.  

 
*“Wake up ตื่นรู้สู่อนาคต” ใช้ชีวิตตื่นๆ แบบคนรุ่นใหม่

“ตื่นรู้สู่อนาคต” 25-29 เม.ย. 52 ณ ค่ายเพชรรัชต์ สระบุรี

กิจกรรมธรรมะตามแนวทางท่านติช นัท ฮันห์สำหรับคนวัยทีน อายุ 15-25 ปี มาร่วมเรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตด้วยความตื่นรู้ ลืมความหลับไหล สนุกสนานและสร้างสรรค์ และแลกเปลี่ยนกับเพื่อนวัยเดียวกันทั้งชาวไทยและประเทศเพื่อนบ้านกว่า 400 คน พร้อมคณะนักบวชรุ่นใหม่กว่า 50 ท่านจากหมู่บ้านพลัม ประเทศยุโรป อเมริกา และเอเชียที่พร้อมแลกเปลี่ยนจากหัวใจกับทุกๆ คน งานนี้แค่มีเพื่อนๆ กับลมหายใจก็เพียงพอแล้ว ชุดขาวไม่ขาวไม่เกี่ยว

สมัครก่อน 10 เมษายน 52

สอบถามได้ที่ 085-318-2939, 086-688-4984, awakeningsource@yahoo.com หรือ //www.thaiplumvillage.org




*ปิดเทอมใหญ่ ชวนน้องทำหนัง เล่าเรื่องวัยเรา…ให้พวกเขาเข้าใจ

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ให้ความสำคัญกับกิจกรรมของเยาวชนในช่วงปิดภาคเรียน และมีกลุ่มเยาวชนที่สนใจทางด้านสังคมวัฒนธรรมให้ความสนใจเข้าร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก อาทิเช่น กิจกรรม “ปิดเทอมพาน้องไปวาดภาพ” กิจกรรม “ล่องเรือเลียบคลอง มองคนผ่านเลนส์” และกิจกรรม “มาทำสารคดีเล่าวัฒนธรรมกันเถอะ : Let s Make A documentary ” ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ให้เยาวชนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เข้ามาเรียนรู้มานุษยวิทยาผ่านการผลิตสารคดีด้วยตนเอง ซึ่งมีผลตอบรับที่ดีจากเยาวชนและบุคคลทั่วไป

ในช่วงปิดภาคเรียนนี้ ศูนย์ฯ เห็นว่า กิจกรรมการทำสารคดียังคงเป็นกิจกรรมที่สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง และมีผลออกมาเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน อีกทั้งยังเป็นการถ่ายทอดความรู้ทางมานุษยวิทยาให้กับเยาวชน ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญที่ดำเนินการมาโดยตลอด จึงจัดกิจกรรม “มาทำสารคดีเล่าวัฒนธรรมกันเถอะ” เป็นปีที่2 โดยใช้ชื่อว่า “มาทำสารคดีเล่าวัฒนธรรมกันเถอะ ตอน เล่าเรื่องวัยเราให้พวกเขาเข้าใจ ” โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.4-ม.6 )

การทำสารคดีในครั้งนี้อยู่ภายใต้แนวความคิดที่ว่า ให้วัยรุ่นเล่าเรื่องวัยของตนเองในรูปแบบสารคดี (ไม่กำหนดรูปแบบการนำเสนอ) โดยมีเป้าหมายเพื่อให้วัยรุ่นบอกเล่าความคิด มุมมองความคิด ทัศนคติ ความรู้สึก ของวัยรุ่น ผ่านสารคดี ที่พวกเขาได้สร้างสรรค์ขึ้นมา และคาดหวังให้คนทั่วไปที่ได้ชมสารคดี และมองวัยรุ่นสมัยนี้ ไม่ว่าด้วยอคติ หรือ มุมมองที่ธรรมดา ได้ทราบถึงความรู้สึกนึกคิดแท้จริงของวัยรุ่น ที่ช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต มุมมองความคิดจะมีความต่างจากผู้ใหญ่อย่างชัดเจนถือเป็นวัฒนธรรมเฉพาะกลุ่มและเฉพาะช่วงอายุ

รูปแบบกิจกรรมเป็นการอบรมและลงสนามปฏิบัติการรวมทั้งหมด 18 วัน (ระหว่างวันที่ 20 เมษายน – 7 พฤษภาคม 2552) โดยเป็นความร่วมมือจากมูลนิธิหนังไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดรับสมัครเยาวชนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 3 เมษายน 2552 คัดเลือกโดยการทดสอบและสัมภาษณ์วันที่ 10 เมษายน และประกาศรายชื่อเยาวชนที่มีสิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรมวันที่ 13 เมษายน 2552

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร 0 2880 9429 ต่อ 3808,3812 หรือที่ //www.sac.or.th


โดย: jenifaae วันที่: 14 พฤษภาคม 2552 เวลา:21:24:55 น.  

 
*สัมมนาทางวิชาการ เรื่อง “การพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงวัยด้วยคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต”

วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม 2552 เวลา 09.30 -16.00 น. ณ กรุงเทพมหานคร
ลงทะเบียนเข้าร่วมสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง “การพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงวัยด้วยคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต”

//www.ictforall.org/sign.asp
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ นายทศพนธ์ นรทัศน์ e-Mail: thossaphol@ictforall.org
หรือ โทร. 08-1261-0726

Copyright 2009 ชมรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อความเท่าเทียมกัน (ICT for All Club)
ขอเชิญผู้สูงวัย (อายุ 50 ปีขึ้นไป) และนักวิชาการทุกท่านที่สนใจ เข้าร่วมสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง “การพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงวัยด้วยคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต” วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม 2(จะแจ้งให้ทราบภายหลัง แต่คาดว่าจะเป็นที่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)
552 เวลา 09.30 -16.00 น.




*2, 7, 8 เมษายน 2552 กิจกรรมประจำวันวุฒิสภา

วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน 2552 เวลา 08.30-16.00 นาฬิกา คณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การสื่อสารและโทรคมนาคม วุฒิสภา จัดสัมมนารับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเรื่อง "ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ทางเลือกทางรอดธุรกิจไทย” ณ โรงแรมเรดิสัน ห้องจตุรทิศ แกรนด์ บอลรูม ชั้น 3 ซอยแสงจันทร์ ถนนพระราม 9
เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ

วันอังคารที่ 7 เมษายน 2552
เวลา 08.30-15.00 นาฬิกา คณะกรรมาธิการการแรงงานและสวัสดิการสังคม วุฒิสภา จัดสัมมนาเรื่อง “ก้าวข้ามวิกฤต โอกาสทางธุรกิจ โอกาสแรงงานไทย” ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ หมายเลข 306-308 ชั้น 3 อาคารรัฐสภา 2

วันพุธที่ 8 เมษายน 2552
เวลา 08.30 – 14.30 นาฬิกา คณะกรรมาธิการพัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา จัดโครงการเชิดชูเกียรติและสร้างความตระหนักถึงการตอบแทนคุณผู้สูงอายุและมีการจัดสัมมนา เรื่อง “ผู้สูงอายุผู้ทรงคุณค่า ... หรือเป็นเพียงไม้ใกล้ฝั่ง” ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ หมายเลข 306 – 308 ชั้น 3 อาคารรัฐสภา 2




*โครงการค่ายเยาวชน “เมล็ดพันธุ์สันติวิถี รุ่นที่ 2”

มหาวิทยาลัยมหิดล โดยศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี ร่วมกับศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) จัดโครงการค่ายเยาวชน “เมล็ดพันธุ์สันติวิถี รุ่นที่ 2” โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างความเข้าใจ ปรับทัศนคติที่ดีต่อกัน และกระชับความสัมพันธ์ระหว่างเยาวชนที่อยู่ในภูมิภาคต่างๆ ตลอดจนส่งเสริมความรู้ความเข้าใจ และทักษะด้านภาวะผู้นำ เพื่อให้เยาวชนได้เรียนรู้ ยอมรับ เข้าใจ ตัวตนและสังคม (Self and Society) และเคารพ ในความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ภาษา ศาสนา และวัฒนธรรม ทั้งได้เรียนรู้เรื่อง ความขัดแย้ง ความรุนแรง สันติภาพและสันติวิธี และนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันและการทำงานได้อย่างเหมาะสม

โครงการค่ายเยาวชน “เมล็ดพันธุ์สันติวิถี รุ่น 2 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 6 เมษายน – 1 พฤษภาคม 2552 ณ ไร่หวานสนิท รีสอร์ท ต.ท่ามะปราง อ.แก่งคอย จ.สระบุรี รับสมัครเยาวชนอายุ 17 – 25 ปี จำนวน 35 คน โดยคัดมาจากพื้นที่ จชต. 20 คน และจากภาคอื่นๆ 15 คน ทั้งนี้จะมีพิธีเปิดโครงการฯ ในวันที่ 6 เมษายน 2552 เวลา 09.00 น. ณ ห้อง 530 ชั้น 5 สำนักงานอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา โดยมี ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงาน




*งาน “วันแห่งครอบครัว ประจำปี 2552

ด้วยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๓ กำหนดให้วันที่ ๑๔ เมษายนของทุกปีเป็นวันแห่งครอบครัว มีวัตถุประสงค์เพื่อให้มีการจัดกิจกรรมรณรงค์ให้ประชาชนเห็นความสำคัญของสถาบันครอบครัว เร่งรณรงค์ให้สมาชิกในครอบครัวใช้เวลาอย่างมีคุณภาพ ด้วยการอยู่พร้อมหน้าและทำกิจกรรมต่างๆร่วมกัน เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งในสถาบันครอบครัว โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบต่อกลุ่มเป้าหมายต่างๆ ได้แก่ กลุ่มเด็ก เยาวชน ผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้ด้อยโอกาส และสตรี ที่ล้วนต่างก็เป็นสมาชิกภายในครอบครัวทั้งสิ้น

โดยปีนี้ ได้กำหนดจัดงาน “วันแห่งครอบครัว ประจำปี 2552 : สายใยรักแห่งครอบครัว คือ สายใยแห่ง…ครอบครัวร่มเย็นสังคมไทยมีสุข” ขึ้นในวันที่ 8 เมษายน 2552 ณ ห้องรอยัลจูบิลี บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี โดยได้รับพระกรุณาธิคุณจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พร้อมด้วยพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ เสด็จเป็นองค์ประธาน และทรงพระราชทานเข็มเชิดชูเกียรติแก่ครอบครัวร่มเย็น 122 ครอบครัวทั่วประเทศ


โดย: jenifaae วันที่: 14 พฤษภาคม 2552 เวลา:21:25:54 น.  

 
*การแสดงดนตรีเพลงปฏิวัติ “ความรักและความเสียสละ อันบริสุทธิ์เพื่อชาติและประชาชน”

วันเสาร์ที่ 25 เมษายน 2552 เวลา 17:00 - 22:00 น.
ณ ห้องบอลรูม 2 อาคารประชุม หอการค้าไทย-จีน ถ.สาทรใต้

ลักษณะพิเศษของการจัดงานครั้งนี้ก็คือ เป็นการแสดงดนตรีของนักปฏิวัติ "ของแท้" ที่ยังแสดงมาตลอด 30 ปีที่ผ่านมา การร่วมกันร้องเพลง (บางเพลง) และปิดท้ายด้วยการรำวงร่วมกันอีกด้วย

งานแสดงดนตรีนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ไม่ใช่งานรณรงค์ทางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่ใช้ดนตรีและเพลงปฏิวัติมาเพื่อการสมทบทุนจัดกิจกรรมแสดงความรักและความกตัญญู และการให้ความช่วยเหลือในการยังชีพ การรักษาพยาบาล ตลอดจนการฌาปนกิจแก่นักต่อสู้อาวุโสที่ขาดแคลนทุนทรัพย์

การสมทบทุนเป็นการบริจาคตามความสมัครใจของผู้เข้าชม คณะผู้จัดงานและนักร้อง-นักดนตรีก็ไม่ได้รับค่าตอบแทนใด ๆ หรือไม่ได้หักค่าใช้จ่ายด้านสถานที่ การจัดเตรียมงานหรือค่าใช้จ่ายอื่นใด

สุดท้ายนี้คณะผู้จัดงานจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านจะไปร่วมงานหรือร่วมสนับสนุนเจตนาดีและบริสุทธิ์ใจของคณะผู้จัดงานในครั้งนี้ โปรดช่วยกันชักชวน - บอกต่อเพื่อนสนิทมิตรสหายด้วย และขอบพระคุณท่านล่วงหน้า มา ณ โอกาสนี้


ด้วยความขอบคุณ
คณะผู้จัดงาน

Email: cpt.song@gmail.com
URL://cpt.igetweb.com




*Free Wildlife’ นิทรรศการภาพถ่ายและภาพเขียนเอกภาพสัตว์ป่า

ร่วมเป็นเกียรติในวันเปิดงานนิทรรศการศิลปะและภาพถ่าย ‘Free Wildlife’ เพื่อการช่วยเหลือสัตว์เอเซีย ...หลายชีวิตบนโลกที่กำลังวิกฤต โดยภายในงานจะมีการแถลงข่าวเปิดงานโดยได้รับเกียรติจากบุคคลสำคัญของเมืองไทย อาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ และ ดร.ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ผู้เคลื่อนไหวและคลุกคลีในแวดวงศิลปะ ,สิ่งแวดล้อม และการช่วยเหลือเกื้อกูลต่อสรรพชีวิตที่ด้อยโอกาสหรือถูกกระทำ และตัวแทนจากสถานทูตออสเตรเลีย ได้ให้เกียรติมาร่วมกันเป็นประธานเปิดงานนิทรรศการครั้งสำคัญของเมืองไทยและเอเซียในวันอังคารที่ 7 เมษายน 2552 นี้ เวลา 17.00 – 20.00 น. ณ หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร เขตปทุมวัน

ภายในงานจะมีการแสดงภาพเขียนและภาพถ่ายที่สื่อถึงสรรพชีวิตแห่งป่าที่กำลังจะสูญพันธุ์และที่ใกล้สูญพันธุ์จากการถูกลักลอบฆ่าและค้าสัตว์ป่า โดยการผนึกกำลังร่วมพิทักษ์สัตว์ป่าของเหล่าศิลปินไทยชื่อดัง 9 ท่าน และช่างภาพนานาชาติกว่า 10 ท่านมาร่วมกันถ่ายทอดภาพชีวิตของสัตว์ป่าในงานนิทรรศการครั้งยิ่งใหญ่ครั้งนี้ นอกจากนั้นจะมีการเสวนาในหัวข้อเรื่อง ‘วิกฤตสัตว์ป่าเอเซีย’ พร้อมฉายวีดีทัศน์บันทึกเรื่องจริงจากป่าเป็นไฮไลท์หนึ่งในงานดังกล่าวด้วย
---------------------------------------------------------------------------------------

‘Free Wildlife’ นิทรรศการภาพถ่ายและภาพเขียนเอกภาพสัตว์ป่า

วันเวลา : วันอังคารที่ 7 - วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน 2552
สถานที่ : ชั้น 3

การแสดงภาพเขียนและภาพถ่ายที่สื่อถึงสรรพชีวิตแห่งป่าที่กำลังจะสูญพันธุ์และใกล้สูญพันธุ์จากการถูกลักลอบฆ่าและค้าสัตว์ป่า โดยการผนึกกำลังร่วมพิทักษ์สัตว์ป่าของเหล่าศิลปินไทยชื่อดัง 9 ท่าน และช่างภาพนานาชาติกว่า 10 ท่านมาร่วมกันถ่ายทอดภาพชีวิตของสัตว์ป่าในงานนิทรรศการครั้งยิ่งใหญ่ครั้งนี้ นอกจากนั้นจะมีการเสวนาในหัวข้อเรื่อง ‘วิกฤตสัตว์ป่าเอเซีย’ พร้อมฉายวีดีทัศน์บันทึกเรื่องจริงจากป่าเป็นไฮไลท์หนึ่งในงานดังกล่าวด้วย จัดโดยมูลนิธิเอกภาพสัตว์ป่า


‘Free Wildlife’ Paintings and photographs of wildlife
Time & Date : 7th – 30th May 2009
Location : Floor 3rd

The exhibition displays the paintings and photos of the nearly extinct wildlife from being hunted and traded illegally. Experience the wild animal life through the paintings of 9 Thai famous artists and the photographs from 10 international photographers, plus a talk in topic ‘Asian Wildlife Crisis’ and a highlight video showing facts from the wood. The event held by wildlife unity foundation

-------------------------------------------------------------------------------------
หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ตั้งอยู่บริเวณสี่แยกปทุมวัน หัวมุม ถ.พระราม 1 และ ถ.พญาไท ตรงข้ามห้างมาบุญครอง และสยามดิสคัฟเวอรี่ มีทางเดินเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า BTS สนามกีฬาแห่งชาติ

เปิดบริการ – อังคาร-อาทิตย์ (หยุดวันจันทร์) เวลา 10.00-21.00 น.

ที่อยู่ - เลขที่ 939 ถ.พระราม 1 แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330

โทร.02 2146630-8 โทรสาร 02 2146639 เว็บไซต์ //www.bacc.or.th


Bangkok Art and Culture Centre is located at the Pathumwan Intersection, facing the MBK and Siam Discovery Centres. The 3rd floor entrance is connected to the BTS, the National Stadium Station.

Opening hours : 10 a.m. – 9 p.m. (closed Mondays)
Adress : 939 Rama 1 Road, Wangmai, Pathumwan, Bangkok 10330

Tel. 02 2146630-8 Fax 02 2146639 or //www.bacc.or.th


โดย: jenifaae วันที่: 14 พฤษภาคม 2552 เวลา:21:26:57 น.  

 
*สัมมนาเรื่อง “The Executive Foundation Seminar in WRAP and Social Systems Management”

กำหนดการ
สัมมนาเรื่อง “The Executive Foundation Seminar in WRAP
and Social Systems Management”
วันที่ 12 พฤษภาคม 2552
เวลา 13.00 – 16.30 น.
ณ ห้องประชุมใหญ่ สถาบันฝึกอบรมการค้าระหว่างประเทศ กรมส่งเสริมการส่งออก

*******************************

เวลา 12.30 – 13.00 น. ลงทะเบียน
เวลา 13.00 – 15.30 น. - Social and ethical issues facing organizations
- How to establish, maintain and implement a Social System
for manufacturing
- The requirements of WRAP principles and
UCEC/Universal Code of Ethical Conduct
- The benefits of a Social Systems certified company
- A brief overview of local and national labor, health
and safety law
โดย…Mr.Michael A.Lavergne
Asia Regional Director
Worldwide Responsible Accredited Production (WRAP)
เวลา 15.45 – 16.45 น. เตรียมความพร้อมสู่ CSR และมาตรฐาน WRAP
โดย....คุณนิสานพธีป กังวาล
ผู้อำนวยการกลุ่มงานรับรองมาตรฐานแรงงาน
สำนักพัฒนามาตรฐานแรงงาน
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
กระทรวงแรงงาน

*******************************

หมายเหตุ 1. เวลา 15.30 – 15.45 น. พักรับประทานอาหารว่าง น้ำชา กาแฟ
2. หัวข้อการบรรยาย และวิทยากรอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม




*งานเปิดตัว //www.thaigoodgovernance.org

ศูนย์บริการวิชาการธรรมาภิบาลและโครงการปริญญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการพัฒนาธรรมาภิบาล มหาวิทยาลัยราชภัฎจันทรเกษม ได้จัดงานเปิดตัว //www.thaigoodgovernance.org เพื่อให้สารธารณชนโดยทั่วไปได้รู้จักและเข้าไปใช้บริการ โดยได้จัดเป็นกิจกรรมงานเสวนาทางวิชาการ เรื่อง "วันนี้ของ คตส. กับก้าวที่สองของการพัฒนาธรรมาภิบาล" ในวันพุธที่ 22 เมษายน 2552 ณ ห้องกำแพงเพชร 2 โรงแรมโซฟีเทล เซ็นทารา แกรนด์ กรุงเทพฯ เวลา 08.30-12.00น. โดยการจัดงานครั้งนี้ ศูนย์บริการวิชาการธรรมาภิบาลและโครงการฯ ขอเรียนเชิญท่านร่วมเป็นเกียรติและเข้าร่วมเสวนาตามรายละเอียดดังนี้
ผู้ร่วมสนทนารับเชิญ คุณวิชา มหาคุณ, คุณสัก กอแสงเรือง และคุณเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ
ดำเนินการเสวนา รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์
08.30-09.00น. ลงทะเบียน
09.00-09.05น. พิธีกรกล่าวนำเข้าสู่รายการ แนะนำกิจกรรมการเสวนาและกติการ่วม
แสดงความคิดเห็น/ซักถาม
09.05-09.10น. DVD นำสู่รายการและแนะนำผู้ดำเนินรายการ และผู้ร่วมสนทนา
09.10-10.00น. คุยกันเบาๆ เล่าความหลัง และความก้าวหน้าของแต่ละคดีในวันนี้
10.00-11.00น. ผลที่เกิดขึ้นต่อการเมืองและสังคมไทย
11.00-12.00น. เปิดการซักถาม/แสดงความคิดเห็น
*** หมายเหตุ มีเอกสารประกอบการเปิดตัวเว็บไซต์
สำรองที่นั่งได้ที่ : 0-2541-4591(ภายวันที่ 20 เมษายน 2552)

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 0-2541-4591 samitanan


โดย: jenifaae วันที่: 14 พฤษภาคม 2552 เวลา:21:28:35 น.  

 
*กิจกรรมนานาชาติเนื่องในวันวิสาขบูชาโลก เรื่อง “พระพุทธศาสนากับการแก้วิกฤติการณ์ของโลก”

วันที่ ๔-๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

ณ หอประชุมพุทธมณฑล อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ต.ลำไทร อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา

และศูนย์ประชุมสหประชาชาติ ถนนราชดำเนินนอก กรุงเทพมหานคร


วันอาทิตย์ ที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๒


แขกผู้มีเกียรติต่างประเทศเดินทางถึงประเทศไทย และลงทะเบียน


วันจันทร์ ที่ ๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๒


๐๘.๐๐ น.
ผู้เข้าร่วมประชุมเดินทางถึงหอประชุมพุทธมณฑล

๐๘.๐๐ น.
สมเด็จพระพุฒาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช

เดินทางถึงพุทมณฑล

๐๘.๓๐ น.
ผู้นำชาวพุทธเข้าสู่หอประชุมตามลำดับประเทศ

- ฉายวีดีทัศน์

๐๘.๔๕ น.
สมเด็จพระพุฒาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เดินทางถึงหอประชุมพุทธมณฑล

คณะกรรมการจัดงานถวายการต้อนรับ และนำเข้าสู่หอประชุมพุทธมณฑล
จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย
พระธรรมโกศาจารย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลังกรณราชวิทยาลัยประธานคณะกรรมการดำเนินการจัดประชุมชาวพุทธนานาชาติ เนื่องในวันวิสาขบูชา วันสำคัญสากลของโลก กล่าวถวายรายงาน
ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช กล่าวสัมโมทนียกถา
ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เดินทางกลับ

๐๙.๓๐ น.
พระธรรมโกศาจารย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

ประธานคณะกรรมการดำเนินการจัดประชุมชาวพุทธนานาชาติ เนื่องในวันวิสาขบูชา

วันสำคัญสากลของโลก กล่าวต้อนรับ

๐๙.๔๕ น.
สุนทรพจน์และสาส์นจากพระสังฆราช ประมุขสงฆ์ และผู้นำชาวพุทธ

๑๑.๐๐ น.
ฉันภัตตาหารเพล และรับประทานอาหารกลางวัน

๑๒.๐๐ น.
ถ่ายภาพหมู่

๑๓.๓๐ น.
พร้อมกันที่หอประชุมพุทธมณฑล เจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา

๑๔.๐๐ น.
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินถึงหอประชุมพุทธมณฑล

ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการจัดงานเฝ้ารับเสด็จฯ
ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย
ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี กราบบังคมทูลถวายรายงาน
พระราชดำรัสเปิดการประชุม
เสด็จฯ กลับ

๑๕.๐๐ น.
ฯพณฯ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวสุนทรพจน์

๑๕.๒๐-๑๘.๓๐ น.
สุนทรพจน์และสาส์นจากพระสังฆราช ประมุขสงฆ์ และผู้นำชาวพุทธ


วันอังคาร ที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

๐๘.๐๐ น.
ผู้เข้าร่วมประชุมเดินทางถึงมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ต.ลำไทร

อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา

๐๘.๓๐ น.
การสัมมนาและประชุมกลุ่มย่อย ประกอบด้วย

กลุ่มที่ ๑ พระพุทธศาสนากับการแก้ปัญหาวิกฤติสิ่งแวดล้อม

กลุ่มที่ ๒ พระพุทธศาสนากับแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ

กลุ่มที่ ๓ พระพุทธศาสนากับการแก้วิกฤติการเมือง และพัฒนาสันติภาพ

กลุ่มที่ ๔ สมาคมมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนานานาชาติกับการร่วมมือ
ด้านการศึกษา

กลุ่มที่ ๕ โครงการร่วมมือการจัดทำพระไตรปิฎกฉบับสากลเพื่อแจก
ในโรงแรมทั่วโลก

กลุ่มที่ ๖ แหล่งข้อมูล และเครือข่ายทางอีเลกทรอนิกทางพระพุทธศาสนา

๑๑.๓๐ น.
ฉันภัตตาหารเพล และรับประเทศอาหารกลางวัน

๑๒.๓๐ น.
การสัมมนาและประชุมกลุ่มย่อย (ต่อ)

๑๗.๓๐ น.
รับประทานอาหารเย็น

๑๙.๐๐ น.
ชมการแสดงทางวัฒนธรรมนานาชาติ


วันพุธ ที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๒

๐๘.๐๐ น.
ผู้เข้าร่วมประชุมเดินทางถึงศูนย์ประชุมสหประชาชาติ

๐๘.๓๐ น.
เจริญพระพุทธมนต์ และเจริญจิตตภาวนา

๐๙.๐๐ น.
พระธรรมโกศาจารย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

ประธานคณะกรรมการดำเนินการจัดประชุมชาวพุทธนานาชาติ เนื่องในวันวิสาขบูชา

วันสำคัญสากลของโลก กล่าวต้อนรับ

๐๙.๑๐ น.
สุนทรพจน์และสาส์นจากบุคคลสำคัญ

? เลขาธิการองค์การสหประชาชาติหรือผู้แทน

? เลขาธิการองค์การยูเนสโก หรือผู้แทน

? เลขาธิการบริหารองค์ สำนักงานภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก

๑๐.๐๐ น.
ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี กล่าวสุนทรพจน์

๑๐.๔๕ น.
สุนทรพจน์และสาส์นจากผู้นำประเทศต่าง ๆ

๑๑.๓๐ น.
ฉันภัตตาหารเพล/ รับประทานอาหารกลางวัน

๑๒.๓๐ น.
ถ่ายภาพหมู่

๑๓.๐๐ น.
รายงานการสัมมนาเชิงปฏิบัติการของกลุ่มต่างๆ พร้อมทั้งซักถาม

๑๕.๐๐ น.
สมเด็จพระพุฒาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช

กล่าวอนุโมทนากถาและกล่าวปิดการประชุม

๑๖.๐๐ น.
เดินทางไปร่วมประกอบพิธีธรรมยาตรา และเวียนเทียน ณ ลานหน้าองค์พระศรีศากยะทศพลญาณ ประธานพุทธมณฑลสุทรรศน์ พุทธมณฑล

วันพฤหัสบดีที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

เดินทางกลับประเทศ

//www.icundv.com/programme.php


โดย: jenifaae วันที่: 14 พฤษภาคม 2552 เวลา:21:29:37 น.  

 
*จุฬาฯจัดเสวนา “ภัยแล้ง โลกร้อน มหันตภัยใกล้ตัว”

สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาฯ จัดเสวนาวิชาการเรื่อง“ภัยแล้ง โลกร้อน มหันตภัยใกล้ตัว” ในวันอังคารที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๒ เวลา ๑๓.๓๐ – ๑๖.๓๐ น. ณ ห้องประชุม ๒ อาคารสถาบัน ๓ เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเพื่อเตรียมตัวรับมือกับภัยพิบัติต่างๆ และร่วมกันหาทางแก้ไขปัญหาภัยแล้ง และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้น โดยมีการบรรยายในหัวข้อต่างๆได้แก่ “ภัยแล้ง โลกร้อน มหันตภัยใกล้ตัว” โดย ดร.แสงจันทร์ ลิ้มจิรกาล ผู้อำนวยการหลักสูตรสหสาขาสิ่งแวดล้อม การพัฒนา และความยั่งยืน จุฬาฯ “แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและภัยธรรมชาติ” โดย ดร.สมชาย ใบม่วง ผู้อำนวยการสำนักพยากรณ์อากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา “ผลกระทบจากภัยแล้งด้านผลผลิตทางการเกษตรและแนวทางแก้ไข” โดย นางลาวัลย์ จิระพงษ์ ผู้อำนวยการส่วนบริหารศัตรูพืช สำนักพัฒนาคุณภาพสินค้าเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ “การวางแผนเพื่อลดผลกระทบและ การป้องกันภัยพิบัติจากสภาวะโลกร้อน” โดย นายอนุชา โมกขะเวส อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวง มหาดไทย

ผู้สนใจเข้าร่วมการเสวนาฟรี สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาฯ โทร. ๐-๒๒๑๘-๘๑๓๕





*การผึกอบรมเชิงปฏิบัติการทดสอบน้ำมันเชื้อเพลิง ไบโอดีเซลสำหรับประชาชน

วัตถุประสงค์

เพื่อให้ประชาชนเข้าใจคุณสมบัติต่าง ๆ ของน้ำมันไบโอดีเซล และยอมรับการนำ
น้ำมันไบโอดีเซลมาใช้ทดแทนน้ำมันดีเซลจากปิโตรเลียม
หลักการ และเหตุผล
เนื่องจากในปัจจุบันสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงสูงขึ้นเข้าสู่สภาวะวิกฤติ รัฐบาลจึงมี
นโยบายให้นำพลังงานทดแทนมาใช้เพื่อบรรเทาปัญหาดังกล่าว ไบโอดีเซลเป็นแหล่งพลังงานหนึ่งที่
รัฐบาลสนับสนุนให้นำมาทดแทนน้ำมันดีเซลจากปิโตรเลียม โดยในปัจจุบันได้นำน้ำมันไบโอดีเซล
มาผสมกับน้ำมันดีเซลในอัตราส่วน 5% เรียกว่า B5 และพบว่ามีแนวโน้มที่จะผสมสัดส่วนของ
น้ำมันไบโอดีเซลให้สูงขึ้น
วันเวลา และสภานที่ในการฝึกอบรม
วันพุธที่ 13 พฤษภาคม 2552 9.00-16.00น ณ ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
จำนวนผู้เข้าอบรมที่สามารถรับได้ 20 ท่าน
ค่าลงทะเบียน ไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น
กำหนดการ
8.30-9.00 ลงทะเบียนรับเอกสารประกอบการอบรม
9.00-9.10 พิธีการเปิดการอบรม
9.10-9.50 พลังงานทดแทนในปัจจุบัน
9.50-10.00 พักรับประทานอาหารว่าง
10.00-11.00 ไบโอดีเซล และการวิเคราะห์คุณสมบัติต่าง ๆ
11.00-12.00 ปฏิบัติการผลิตน้ำมันไบโอดีเซล
12.00-13.00 รับประทานอาหารกลางวัน
13.00-14.30 ปฏิบัติการทดสอบน้ำมันไบโอดีเซล
14.30-14.40 พักรับประทานอาหารว่าง
14.40-16.00 ปฏิบัติการทดสอบน้ำมันไบโอดีเซล (ต่อ)
16.00-16.30 ตอบคำถามข้อสงสัย และประเมินผล
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม: ดร.ชนาธิป สามารถ, ดร.วราวุธ ติยพงศ์พัฒนา 02-5644440 ต่อ 2418
แบบลงทะเบียน
การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการทดสอบน้ำมันเชื้อเพลิงไบโอดีเซลสำหรับประชาชน
ชื่อ-นามสกุล
ตำแหน่ง
สถานที่ทำงาน
ที่อยู่
เบอร์โทรศัพท์ที่ทำงาน โทรสาร
โทรศัพท์มือถือ
อีเมลล์
ต้องการให้จองที่พัก (หัองพักภายในมหาวิทยาลัย)
ต้องการ ไม่ต้องการ
จำนวนห้อง ห้อง ระยะเวลา คืน
รับจำนวนจำกัดเพียง 20 คนเท่านั้น กรุณาแฟกซ์แบบลงทะเบียนมาที่หมายเลข
โทรศัพท์ 02-5644483 หรือโทรแจ้งมาที่หมายเลข 02-5644440 ต่อ 2418 อ.ดร.
ชนาธิป สามารถ หรือ อ.ดร.วราวุธ ติยพงศ์พัฒนา หมดเขตลงทะเบียน 30
เมษายน 2552
แจ้งผลการตอบรับให้เข้าร่วมฝึกอบรมภายในวันที่ 3 พฤษภาคม 2552




*เรื่อง “แนวทางการส่งเสริมและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในเขตทหารอย่างยั่งยืน”

วันจันทร์ที่ 20 เมษายน 2552 เวลา 08.00-14.00 นาฬิกา คณะกรรมาธิการการท่องเที่ยว วุฒิสภา จัดเสวนาเรื่อง “แนวทางการส่งเสริมและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในเขตทหารอย่างยั่งยืน” ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ หมายเลข 306-608 ชั้น 3 อาคารรัฐสภา 2


โดย: jenifaae วันที่: 14 พฤษภาคม 2552 เวลา:21:30:27 น.  

 
*นิทรรศการภาพถ่ายชิงถ้วยพระราชทาน ครั้งที่ 6

โดย : หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร

สถานที่ : โถงชั้น 1 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
พิธีมอบรางวัล : พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุเสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีประทานรางวัลแก่ผู้ชนะการประกวด ในวันอาทิตย์ ที่ 19 เมษายน 2552 เวลา 16.30 น. ณ ห้องเอนกประสงค์ ชั้น 1

จัดแสดงภาพรางวัลและภาพเข้ารอบจัดนิทรรศการ จำนวน 268 ภาพ ตลอดจนกิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับศิลปะและเทคนิคการถ่ายภาพ เช่น การอบรม เสวนา ฯลฯ ให้แก่ผู้สนใจที่เข้ามาร่วมงานโดยสมาคมถ่ายภาพกรุงเทพจัดประกวดภาพถ่ายทั่วประเทศ และได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับตัดสินภาพครั้งนี้ สนใจอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ //www.bpsthai.com และ //www.bpsthai.multiply.com




*กำหนดการสัมมนานำเสนอรายงานการวิจัยโครงการสนับสนุนทุนวิจัยเพื่อพัฒนานักวิจัยรุ่นใหม่ ปี 2551

วันที่ 20-24 เมษายน 2552
ณ ห้องประชุมไพลิน สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่ง มก. ชั้น 3 อาคารสุวรรณวาจกกสิกิจ

วันจันทร์ที่ 20 เมษายน 2552
09.00 - 09.45 พิธีเปิดการสัมมนา
- รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย กล่าวรายงานการสัมมนา
- อธิการบดี กล่าวเปิดการสัมมนา
- เยี่ยมชมโปสเตอร์แนะนำนักวิจัยและงานวิจัย
- ถ่ายภาพร่วมกับนักวิจัย
กลุ่มที่ 1 : กลุ่มโครงการวิจัยคณะเกษตร/คณะเกษตร กพส./คณะประมง
09.45 - 10.20 1) ร-ม 24.51/ผลของ glucono-delta-lactone ต่อคุณลักษณะและการเกิดเจลของส้มฟัก
(อ.ศิริพร เรียบร้อย ภาควิชาคหกรรมศาสตร์ คณะเกษตร)
10.20 - 10.55 2) ร-ม 25.51/การศึกษาความสัมพันธ์ของพืชสกุล Phyllanthus โดยใช้ข้อมูลทางสัณฐานวิทยา และเทคนิคทางชีวโมเลกุล
(อ.ชินวัฒน์ ยัพวัฒนพันธ์ ภาควิชาพืชสวน คณะเกษตร)
10.55 - 11.30 3) ร-ม 26.51/การจำแนกไส้เดือนฝอยรากปม (Meloidogyne spp.)ในแหล่งปลูกมันฝรั่งของจังหวัดตากโดยใช้เทคนิคอณูชีวโมเลกุล
(อ.บัญชา ชิณศรี ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร)
11.30 - 12.05 4) ร-ม 27.51/การจัดการโรคเหี่ยวจากแบคทีเรียของมะเขือเทศและพืชเศรษฐกิจโดยการอบดินด้วยวิธีชีวภาพ
(อ.อุดมศักดิ์ เลิศสุชาตวนิช ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร)
12.05 - 13.00 พัก รับประทานอาหารกลางวัน
13.00 - 13.35 5) ร-ม 28.51/การใช้แบคทีเรียปฏิปักษ์ และสารสกัดค้างคาวดำ และการปรับปรุงธาตุอาหารพืชเพื่อควบคุมโรคและแมลงสำคัญของพืชตระกูลกะหล่ำ
(อ.สุพจน์ กาเซ็ม ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร)
13.35 - 14.10 6) ร-ม 31.51/การศึกษาผลของสารช่วยการอุ้มน้ำต่อน้ำหนักเนื้อและลักษณะทางประสาทสัมผัสของหอยแมลงภู่ (Perna viridis) ลวกสุก
(อ.นันทิภา พันธุ์สวัสดิ์ ภาควิชาผลิตภัณฑ์ประมง คณะประมง)
14.10 - 14.45 7) ร-ม 30.51/การจำแนกไส้เดือนดินที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจในประเทศไทย 4 ชนิดโดยใช้เครื่องหมายดีเอ็นเอ
(อ.วิริยา ลุ้งใหญ่ ภาควิชาสัตวบาล คณะเกษตร)
14.45 - 15.20 8) ร-ม 20.51/ปัจจัยพื้นฐานที่มีผลต่อประสิทธิภาพการเลี้ยงโคนมของเกษตรกร:กรณีศึกษาสมาชิกสหกรณ์โคนมกำแพงแสน จำกัด
(อ.คนึงรัตน์ คำมณี ภาควิชาส่งเสริมและนิเทศศาสตร์เกษตร คณะเกษตร กพส.)

วันอังคารที่ 21 เมษายน 2552
กลุ่มที่ 2 : กลุ่มโครงการวิจัยคณะสัตวแพทยศาสตร์/คณะสัตวแพทยศาสตร์ กพส.
/คณะเทคนิคการสัตวแพทย์
09.00 - 09.35 1) ร-ม 10.51/การศึกษาความชุกและปัจจัยเสี่ยงต่อโรค Giardiasis จากอุจจาระโคนมในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย
(อ.เทวินทร์ อินปั๋นแก้ว ภาควิชาปรสิตวิทยา คณะสัตวแพทยศาสตร์)
09.35 -10.10 2) ร-ม 13.51/ความหลากหลาย ความชุกชุมตามฤดูกาลและการจัดการแมลงศัตรูในฟาร์มโคนม
(อ.จำนงจิต ผาสุข ภาควิชาปรสิตวิทยา คณะสัตวแพทยศาสตร์)
10.10 - 10.45 3) ร-ม 11.51/เภสัชจลนศาสตร์ของยาเอนโรฟลอซาซินและเมตาบอไลท์ในพลาสมาปลานิลจากการฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ
(อ.อุสุมา เจิมนาค ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะสัตวแพทยศาสตร์)
10.45 - 11.20 4) ร-ม 12.51/การศึกษาระดับยาเอนโรฟลอซาซินในเนื้อเยื่อปลานิล
(อ.อักษร เจริญสันต์ ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะสัตวแพทยศาสตร์)
11.20 - 11.55 5) ร-ม 45.51/การศึกษาความชุกของการติดเชื้อไวรัสโลหิตจางติดต่อในม้าในเขตจังหวัดนครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี และกาญจนบุรี
(อ.ขนิษฐา เพชรอุดมสินสุข ภาควิชาเวชศาสตร์คลินิกสัตว์ใหญ่และสัตว์ป่า คณะสัตวแพทยศาสตร์ กพส.)
11.55 - 13.00 พัก รับประทานอาหารกลางวัน
13.00 - 13.35 6) ร-ม 46.51/ความหลากหลายทางพันธุกรรมและความสัมพันธ์ของการตรวจพบเชื้อ Anaplasma platys กับจำนวนเกล็ดเลือด
(อ.ปรีดา เลิศวัชระสารกุล ภาควิชาพยาธิวิทยา คณะสัตวแพทยศาสตร์ กำแพงแสน)
13.35 - 14.10 7) ร-ม 15.51/การศึกษาความแปรผันของยีน Bm86 ในทางเดินอาหารส่วนกลาง (Midgut) ของเห็บโค Rhipicephalus (Boophilus) microplus ในประเทศไทย
(อ.ศราวรรณ แก้วมงคล สาขาวิชาเทคนิคการสัตวแพทย์ คณะเทคนิคการสัตวแพทย์)
14.10 - 14.45 8) ร-ม 16.51/ความชุกและความไวต่อยาต้านจุลชีพของเชื้อสเตร็พโตค็อคคัสซูอิส ที่แยกได้จากสุกรในโรงฆ่าสัตว์ภาคเหนือของประเทศไทย
(อ.ณัฐกานต์ ลักษณ์กิจเจริญ สาขาวิชาเทคนิคการสัตวแพทย์ คณะเทคนิคการสัตวแพทย์)
14.45 - 15.20 9) ร-ม 17.51/ความชุกของแอนติบอดีต่อการติดเชื้อ Toxoplasma gondii ในสุกรจากโรงฆ่าทางภาคเหนือของประเทศไทย
(อ.สมัคร สุจริต สาขาวิชาเทคนิคการสัตวแพทย์ คณะเทคนิคการสัตวแพทย์)
15.20 – 15.55 10) ร-ม 43.51/ภัยคุกคามของสารกำจัดศัตรูพืชที่ตกค้างในหนูนาย่าง
(อ.วิมลรัตน์ อินศวร สาขาวิชาเทคนิคการสัตวแพทย์ คณะเทคนิคการสัตวแพทย์)


วันพุธที่ 22 เมษายน 2552
กลุ่มที่ 3 : กลุ่มโครงการวิจัยคณะวิศวกรรมศาสตร์/คณะวิศวกรรมศาสตร์ กพส.
/คณะวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ สกลนคร
09.00 - 09.35 1) ร-ม 5.51/การใช้เลเซอร์ไดโอดในการวัดคุณสมบัติการส่งผ่านแสงเพื่อแยกชนิดและตรวจวัดคุณภาพของพลาสติกที่นำกลับมาใช้ใหม่
(อ.สุเนตร พรานนท์สถิต ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์)
09.35 -10.10 2) ร-ม 36.51/การเลือกสถานที่ตั้งแหล่งให้บริการที่มีขีดความสามารถในการให้บริการจำกัดภายใต้สภาวะที่ลูกค้าสามารถรับบริการจากแหล่งให้บริการเพียงแห่งเดียวด้วยวิธีฮิวลิสติกส์
(อ.จันทร์ศิริ สิงห์เถื่อน ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์)
10.10 - 10.45 3) ร-ม 6.51/การประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในงานออกแบบและงานวิเคราะห์เพื่อการวิเคราะห์หาสภาวะการผลิตที่เหมาะสมในกระบวนการฉีดเป่าขึ้นรูป
(อ.สมเจตน์ พัชรพันธ์ ภาควิชาวิศวกรรมวัสดุ คณะวิศวกรรมศาสตร์)
10.45 - 11.20 4) ร-ม 21.51/การศึกษาเพื่อพัฒนารูปแบบการปลูกหญ้าแฝกในการควบคุมการเกิดร่องน้ำลึก
(อ.วิษุวัฒก์ แต้สมบัติ ภาควิชาวิศวกรรมชลประทาน คณะวิศวกรรมศาสตร์ กพส.)
11.20 - 11.55 5) ร-ม 44.51/การจัดเส้นทางขนส่งสินค้าหลากหลายผลิตภัณฑ์ให้มีระยะทางต่ำสุดบนเงื่อนไขความแตกต่างของบรรจุภัณฑ์ของสินค้า
(อ.ศักดิ์ดา คำจันทร์ สาขาวิศวกรรมเครื่องกลและการผลิต คณะวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ สกลนคร)
11.55 - 13.00 พัก รับประทานอาหารกลางวัน
กลุ่มที่ 4 : กลุ่มโครงการวิจัยคณะวนศาสตร์/โครงการจัดตั้งวิทยาเขตกระบี่
13.00 - 13.35 1) ร-ม 32.51/การถ่ายฝากยีนต้านทานยาปราบศัตรูพืชไกลโฟเซสเข้าสู่ยูคาลิปตัสคามาลดูเลนซิส
(อ.พฤทธิ์ ราชรักษ์ ภาควิชาชีววิทยาป่าไม้ คณะวนศาสตร์)
13.35 - 14.10 2) ร-ม 19.51/ความหลากหลายของพืชและศักยภาพของทรัพยากรการท่องเที่ยวในป่าชายเลนเทศบาลตำบลคลองพน ต.คลองพน อ.คลองท่อม จ.กระบี่
(อ.วาทินี กฤษณะพันธ์ ภาควิชาวนวัฒนวิทยา คณะวนศาสตร์)
14.10 - 14.45 3) ร-ม 1.51/การศึกษาค่าปัจจัย K, C และ CP ในสมการสูญเสียดินสากลจากแปลงทดลองโดยการใช้เครื่องกำเนิดฝนในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่ถาง จังหวัดแพร่
(อ.สมนิมิตร พุกงาม ภาควิชาอนุรักษ์วิทยา คณะวนศาสตร์)
14.45 - 15.20 4) ร-ม 2.51/การประยุกต์ใช้เทคนิคการสำรวจระยะไกล และระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์เพื่อประมาณค่าการคายระเหยน้ำและสมดุลของพลังงานในพื้นที่ที่มีการใช้ประโยชน์ที่ดินที่แตกต่างกัน
(อ.ปิยพงษ์ ทองดีนอก ภาควิชาอนุรักษ์วิทยา คณะวนศาสตร์/โครงการจัดตั้งวิทยาเขตกระบี่)


วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน 2552
กลุ่มที่ 5 : กลุ่มโครงการวิจัยคณะวิทยาศาสตร์
09.00 - 09.35 1) ร-ม 3.51/การเพิ่มเสถียรภาพของสารกรองรังสียูวีโดยใช้ไซโคลเดกตริน
(อ.ธิตินันท์ กาพย์เกิด ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์)
09.35 -10.10 2) ร-ม 4.51/ลักษณะทางโมเลกุลของแมลงปอบ้านในพื้นที่นาข้าวภาคกลางประเทศไทย
(อ.อภิสิทธิ์ ทิพย์อักษร ภาควิชาสัตววิทยา คณะวิทยาศาสตร์)
10.10 - 10.45 3 )ร-ม 34.51/การวิเคราะห์หาโปรตีนที่มีความสำคัญต่อการแสดงออกของยีนในสาหร่ายเซลล์เดียว Chlamydomonas reinhardtii
(อ.โชติกา หยกทางวัฒนา ภาควิชาชีวเคมี คณะวิทยาศาสตร์)
10.45 - 11.20 4) ร-ม 35.51/การศึกษากลุ่มยีนที่เกี่ยวข้องกับการกำจัดสารพิษประเภทแอลดีไฮด์ในข้าว
(อ.ชลธิชา ตันติธาดาพิทักษ์ ภาควิชาชีวเคมี คณะวิทยาศาสตร์)
11.20 - 11.55 5) ร-ม 33.51/ไอโซโทปของธาตุร่องรองของกลุ่มแร่ในหินแปรทับศิลาไนส์ จังหวัดกาญจนบุรี ภาคตะวันตกของประเทศไทย
(อ.ประหยัด นันทศีล ภาควิชาวิทยาศาสตร์พื้นพิภพ คณะวิทยาศาสตร์)
11.55 - 13.00 พัก รับประทานอาหารกลางวัน
กลุ่มที่ 6 : กลุ่มโครงการวิจัยคณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ กพส.
13.00 - 13.35 1) ร-ม 14.51/การแสดงออกของยีนสร้างโปรตีนสารพิษของเชื้อ Bacillus thuringiensis ในเชื้อ Escherichia coli
(อ.อานนท์ ธรรมสิทธิรงค์ สายวิชาวิทยาศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ กพส.)
13.35 - 14.10 2) ร-ม 39.51/ผลกระทบของการจัดการน้ำต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากพื้นที่ปลูกข้าวในเขตภาคกลางของประเทศไทยโดยอาศัยแบบจำลองทางคณิตศาสตร์
(อ.เครือมาศ สมัครการ สายวิชาวิทยาศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ กพส.)
14.10 - 14.45 3) ร-ม 40.51/การประเมินคุณภาพน้ำบริเวณทางน้ำเข้าและทางน้ำออกของเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ด้วยแมลงน้ำกลุ่มไทรคอบเทอร่า
(อ.แตงอ่อน พรหมมิ สายวิชาวิทยาศาสตร์ คณะศิลปศาสร์และวิทยาศาสตร์ กพส.)
14.45 - 15.20 4) ร-ม 41.51/การคัดเลือกแบคทีเรียที่ผลิตน้ำตาลหายาก
(อ.อรวรรณ ชุณหชาติ สายวิชาวิทยาศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ กพส.)
15.20 - 15.55 5) ร-ม 42.51/การโคลนและการหาลำดับเบสของโทรโปไมโอซินจากกุ้งก้ามกราม
(อ.พริมา พิริยางกูร สายวิชาวิทยาศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ กพส.)


วันศุกร์ที่ 24 เมษายน 2552
กลุ่มที่ 7 : กลุ่มโครงการวิจัยคณะมนุษยศาสตร์/คณะศึกษาศาสตร์/คณะศึกษาศาสตร์
และพัฒนศาสตร์ กพส./คณะวิทยาการจัดการ ศรีราชา
09.00 - 09.35 1) ร-ม 38.51/การตั้งชื่อภาษาไทยของผักพื้นบ้านในจังหวัดสระบุรี
(อ.อุมาภรณ์ สังขมาน ภาควิชาภาษาศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์)
09.35 -10.10 2) ร-ม 7.51/พฤติกรรมการใช้ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยในการดูแลสุขภาพของนิสิตและบุคลากรมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน
(อ.ประเสริฐศักดิ์ กายนาคา ภาควิชาพลศึกษา คณะศึกษาศาสตร์)
10.10 - 10.45 3) ร-ม 8.51/พฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพด้านการบริโภคอาหารของบุคลากรมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน
(อ.นันท์นภัส เกตน์โกศัลย์ ภาควิชาพลศึกษา คณะศึกษาศาสตร์)
10.45 - 11.20 4) ร-ม 9.51/การพัฒนารูปแบบโปรแกรมกิจกรรมนันทนาการเพื่อแก้ปัญหาเยาวชนติดเกม
(อ.นพรัตน์ ศุทธิถกล ภาควิชาพลศึกษา คณะศึกษาศาสตร์)
11.20 - 11.55 5) ร-ม 22.51/รูปแบบการฝึกประสบการณ์วิชาชีพเกษตรและสิ่งแวดล้อมโดยใช้งานฟาร์มเป็นฐานของสถาบันอุดมศึกษาเกษตรในภูมิภาคตะวันตก
(อ.นิรันดร์ ยิ่งยวด ภาควิชาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และชุมชน คณะศึกษาศาสตร์และพัฒนศาสตร์ กพส.)
11.55 - 13.00 พัก รับประทานอาหารกลางวัน
13.00 - 13.35 6) ร-ม 23.51/การพัฒนาตู้อิเล็กทรอนิกส์เพื่อแนะนำวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมและประเพณีไทยสำหรับการท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
(อ.ธีรศักดิ์ สร้อยคีรี ภาควิชาครุศึกษา คณะศึกษาศาสตร์และพัฒนศาสตร์ กพส.)
13.35 - 14.10 7) ร-ม 18.51/แนวคิดธุรกิจ การลงทุนและผลตอบแทนของผู้ประกอบการเกสเฮ้าส์ประเภทบ้านดิน เขตพื้นที่อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน
(อ.พัชนิจ เนาวพันธ์ สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ ศรีราชา)




*ชวนน้อง ม.ปลาย เรียนEng.ฟรี! เตรียมพร้อมก่อนสอบเข้ามหา’ลัย

ผศ.ประฤดา จิตพิทักษ์ ประธานสาขาวิชาภาษาอังกฤษ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เล่าถึงกิจกรรมดังกล่าวว่า เป็นการสนองนโยบายของมหาวิทยาลัยในเรื่องบริการชุมชน ซึ่งได้จัดต่อเนื่องทุกปี และปีนี้เปิดอบรมภาษาอังกฤษให้แก่นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เริ่มเรียน 22 เม.ย. ถึง 7 พ.ค.นี้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น พร้อมมอบประกาศนียบัตรให้ผู้ผ่านการอบรมด้วย

“เรามุ่งให้ความรู้แก่เยาวชนที่สนใจ เพื่อสร้างพื้นฐานด้านภาษา และเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการสอบเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา อีกทั้งยังส่งเสริมให้นักเรียนใช้เวลาว่างช่วงปิดภาคเรียนให้เกิดประโยชน์” ผศ.ประฤดา กล่าว

สำหรับหัวข้อการอบรม ได้แก่ Daily life, Memorable Events, My Future Plans, If I Were a Superstar…, When Was USA Discovered?, Let’s Talk 1 & 2, Listen & Talk เรียนทุกวันจันทร์ถึงวันศุกร์ เวลา 09.00 - 12.00 น.

ผู้สนใจสมัครได้ด้วยตนเอง หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ห้อง 335 สาขาวิชาภาษาอังกฤษ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม (วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 09.00 - 15.30 น.) โทร. 0 2942-6900-99 ต่อ 3024.

‘รัตติกาล’
rattikarnt@dailynews.co.th


โดย: jenifaae วันที่: 14 พฤษภาคม 2552 เวลา:21:31:28 น.  

 
*การอบรมโครงการศิริราชสอนเลี้ยงลูก

ศูนย์รับเลี้ยงและพัฒนาเด็กศิริราช ร่วมกับ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ขอเชิญบุคลากรศิริราชและผู้สนใจทั่วไปเข้าฟังการอบรมโครงการศิริราชสอนเลี้ยงลูก ทุกวันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือน (เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2552 – มีนาคม 2553)

เวลา 13.00 - 16.00 น. ณ ห้องประชุมตรีเพ็ชร์ อาคาร ๑๐๐ ปี สมเด็จพระศรีนครินทร์ ชั้น 15 โรงพยาบาลศิริราช

(สมัครและลงทะเบียนรับเอกสาร และอาหารว่าง ฟรี )

17 พฤษภาคม 2552 “ลูกน้อยแรกเกิด – 1 ปี ดูแลอย่างไร ” อ.พิกุล ขำศรีบุศ

28 มิถุนายน 2552 “3 ปีแรกจังหวะทองของพัฒนาการ” อ.ทิพยา ถนัดช่าง

19 กรกฎาคม 2552 “การเตรียมการเรียนรู้ของลูกวัยอนุบาล” ดร.วรนาถ รักสกุลไทย

9 สิงหาคม 2552 “สมองดี เริ่มที่การเลี้ยงดูด้วยนมแม่” ศ.คลินิก นพ.วีระพงษ์ ฉัตรานนท์

อ.ธิดารัตน์ วงศ์วิสุทธิ์

13 กันยายน 2552 “เลี้ยงลูกอย่างไรให้ได้ดีและมีความสุข” ผศ.นพ.ชาตรี วิฑูรชาติ

อ. จิราภา เวคะวนิชย์

11 ตุลาคม 2552 “รู้เรื่องภูมิแพ้ เพื่อลูกปลอดภัย” ศ.พญ.นวลอนงค์ วิศิษฏสุนทร

22 พฤศจิกายน 2552 “ถอดรหัส จัดการปัญหาพฤติกรรมของลูกน้อย” อ.พญ.จริยา ทะรักษา

20 ธันวาคม 2552 “โรคเด็กที่น่ารู้และวัคซีนที่น่าใช้” รศ.พญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ

17 มกราคม 2553 “รู้ทัน...รับมือ...ปัญหาพฤติกรรมของเด็กวัยเรียน” อ.พญ.จริยา ทะรักษา

14 กุมภาพันธ์ 2553 “เล่นง่ายๆ แต่ได้สาระ” อ.ธนบดี สมจิตรพรหม

14 มีนาคม 2553 “เคล็ดลับพิชิตปัญหาสารพันการกิน” รศ.กรรณิการ์ วิจิตรสุคนธ์

(ลูกกินน้อย...กินมาก...กินยาก...กินนาน) ผศ.นพ.ชาตรี วิฑูรชาติ

28 มีนาคม 2553 “ภัยเงียบ “โรคอ้วนและเบาหวานในเด็ก” รศ.พญ.สุภาวดี ลิขิตมาศกุล




*19 , 20 , 21 , 25, 28 เมษายน 2552 อาคารหอประชุมกรมประชาสัมพันธ์

วันที่ 19 เมษายน 2552 / เวลา : 08:30 น.

กองการเจ้าหน้าที่ กรมประชาสัมพันธ์ จัดอบรม ภาควิชาความรู้ความสามารถทั่วไป (ภาค ก) ในวันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2552 เวลา 08.30-16.30 น. ณ ห้องอเนกประสงค์ 1,2 ชั้น 1 อาคารหอประชุมกรมประชาสัมพันธ์

แถลงข่าว การจัดนิทรรศการ การประกวด การอนุรักษ์พระบูชา พระเครื่องและเหรียญคณาจารย์

วันที่ 20 เมษายน 2552 / เวลา : 14:00 น.

กปส.ได้จัดทำโครงการ จัดแถลงข่าว การจัดนิทรรศการ การประกวด การอนุรักษ์พระบูชา พระเครื่องและเหรียญคณาจารย์ ในวันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2552 เวลา 14.00 น. ณ ห้องอเนกประสงค์ ชั้น 1 อาคารหอประชุมกรมประชาสัมพันธ์

โครงการฝึกอบรม หลักสูตร การวิเคราะห์ข่าว เพื่อการประชาสัมพันธ์

วันที่ 21 เมษายน 2552 / เวลา : 13:00 น.

ส่วนการประชาสัมพันธ์(สกส.) สำนักพัฒนาการประชาสัมพันธ์ จัดโครงการฝึกอบรม หลักสูตร การวิเคราะห์ข่าว เพื่อการประชาสัมพันธ์ ในวันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2552 เวลา 13.00-16.00 น. ณ ห้องอเนกประสงค์ 3 ชั้น 2 อาคารหอประชุมกรมประชาสัมพันธ์

พิธีมอบรางวัล ครอบครัวประชาธิปไตยตัวอย่าง ประจำปี 2552

วันที่ 21 เมษายน 2552 / เวลา : 12:30 น.

คณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาประชาธิปไตย ในคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ จัดพิธีมอบรางวัล ครอบครัวประชาธิปไตยตัวอย่าง ประจำปี 2552 เวลา 12.30-16.00 น. ณ หอประชุม ชั้น 3 อาคารหอประชุมกรมประชาสัมพันธ์ ( โดย ฯพณฯ องคมนตรี พลอากาศเอกกำธน สินธวานนท์ ) และท่านผู้หญิงพึงใจ สินธวานนท์ เป็นประธาน

การแสดงละครพันทาง เรื่อง ผู้ชนะสิบทิศ ตอน รัวกลองรบ

วันที่ 25 เมษายน 2552 / เวลา : 14:00 น.

สมาคมติดตามการพัฒนาสตรีในประเทศไทย (ตพส.) จัดการแสดงละครพันทาง เรื่อง ผู้ชนะสิบทิศ ตอน รัวกลองรบ ในวันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2552 เวลา 14.00 น. ณ หอประชุม ชั้น 3 อาคารหอประชุมกรมประชาสัมพันธ์

ขอเชิญเข้าร่วมเสวนา เรื่อง ภัยแล้ง โลกร้อน มหันตภัยใกล้ตัว

วันที่ 28 เมษายน 2552 / เวลา : 13:30 น.

สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอเชิญเข้าร่วมเสวนา เรื่อง ภัยแล้ง โลกร้อน มหันตภัยใกล้ตัว ในวันที่ 28 เมษายน 2552 เวลา 13.30 - 16.30 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 2 อาคารสถาบัน 3 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.0-2218-8135 , 086-9737529


โดย: jenifaae วันที่: 14 พฤษภาคม 2552 เวลา:21:32:21 น.  

 
*เสวนาเรื่อง “ภาวะผู้นำ...พลังขับเคลื่อนสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ด้วย KM (Knowledge Management) รุ่นที่ 2

งานจัดการความรู้ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล ขอเชิญคณะกรรมการปฏิบัติการเข้าร่วมเสวนา เรื่อง “ภาวะผู้นำ...พลังขับเคลื่อนสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ด้วย KM (Knowledge Management)” รุ่นที่ 2 ในวันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน 2552 เวลา 13.00 –15.30 น. ณ ห้องประชุมสิรินธร อาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น G

วัตถุประสงค์การจัดงานเสวนาครั้งนี้

เพื่อให้เกิดความเข้าใจ และนำเครื่องมือ Learning Organization & Knowledge Management ไปใช้ในระดับหน่วยงานให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีของหน่วยงาน อีกทั้งสอดคล้อง และเชื่อมโยงกับทิศทาง เป้าหมาย และกลยุทธ์ของคณะฯ

13.00 – 13.10 น. ลงทะเบียน

13.10 – 13.20 น. พิธีเปิด

โดย : ศาสตราจารย์คลินิกนายแพทย์ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์

คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

13.20 – 15.00 น. การเสวนาในประเด็น

Ø ทำไมต้องขับเคลื่อนองค์กรแห่งการเรียนรู้ด้วย KM

Ø การเชื่อมโยงหรือบูรณาการ KM (Knowledge Management) กับการบริหารจัดการ

Ø สร้างความตระหนัก Lo with KM และการสนับสนุน

Ø บทบาทภาวะผู้นำที่ช่วยขับเคลื่อนองค์กรไปสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้

ผู้ร่วมเสวนา

1. ศ.พญ.ดวงมณี เลาหประสิทธิพร รองคณบดีฝ่ายพัฒนาคุณภาพ

2. ดร.ปรอง กองทรัพย์โต ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาคุณภาพ บริษัท สแปนชั่น จำกัด

3. ดร.บุญดี บุญญากิจ ที่ปรึกษาสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ

ผู้ดำเนินการ

นางวราพร แสงสมพร หัวหน้างานจัดการความรู้

15.00 – 15.30 น. แลกเปลี่ยนเรียนรู้และซักถาม

15.30 น. พิธีปิด

โดย : รองคณบดีฝ่ายพัฒนาคุณภาพ




*อบรมการให้ความรู้ก่อนสมรส เรื่อง “ชีวิตคู่ – น่ารู้ น่าเรียน”

ภาควิชาสูติศาสตร์ – นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล ขอเชิญคู่สมรสและผู้สนใจเข้าร่วมอบรมการให้ความรู้ก่อนสมรส เรื่อง “ชีวิตคู่ – น่ารู้ น่าเรียน” ในวันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน 2552 เวลา 08.00 – 15.30 น. ณ ห้องบรรยายเติมบุนนาค อาคารเรียนสูติศาสตร์ – นรีเวชวิทยา

สมัครได้คุณสริญญา สุขะมงคล และคุณภัทราภรณ์ ชรันธร โทร. 0 2419 4736 – 7, 0 2411 3011, 0 2411 3356 ตั้งแต่วันนี้ถึง 23 เมษายน 2552




*การอบรมเชิงปฏิบัติการ “การจัดการภัยพิบัติระดับชุมชนสำหรับครูในโรงเรียนต้นแบบ”

วันพุธ ที่ 22 – วันศุกร์ ที่ 24 เมษายน 2552 ณ โรงแรมธรรมรินทร์ธนา จังหวัดตรัง


คณะทำงานโครงการชุมพร้อมรับภัยพิบัติ สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย จัดกิจกรรม “การอบรมเชิงปฏิบัติการ - การจัดการภัยพิบัติระดับชุมชนสำหรับครูในโรงเรียนต้นแบบ” ขึ้น ในวันพุธ ที่ 22 – วันศุกร์ ที่ 24 เมษายน 2552 ณ โรงแรมธรรมรินทร์ธนา จังหวัดตรัง เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในกระบวนการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติโดยชุมชน ให้กับครูในโรงเรียนต้นแบบ ให้เกิดความรู้ความเข้าใจในการดำเนินการให้โรงเรียนพร้อมรับภัยพิบัติ ร่วมวางแผนชุมชนพร้อมรับภัยพิบัติกับคณะกรรมการชุมชน รวมถึงสามารถนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับไปถ่ายทอดให้กับนักเรียนและบรรจุในหลักสูตรการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

โดยมี ครูและผู้แทนโรงเรียนต้นแบบ จำนวน ๓๘ คน จาก ๔ จังหวัด คือจังหวัดสตูล ระนอง พังงา และตรัง ซึ่งมี โรงเรียนบ้านเกาะพยาม จังหวัดระนอง โรงเรียนบ้านกลาง จังหวัดพังงา โรงเรียนบ้านแหลมมะขาม จังหวัดตรัง และโรงเรียนบ้านบุโบย กับโรงเรียนบ้านบันนังปุเลา จังหวัดสตูล เข้าร่วมในกิจกรรมฯ ดังกล่าวด้วย”




*“ความรักและความเสียสละ อันบริสุทธิ์เพื่อชาติและประชาชน”

วันเสาร์ที่ 25 เมษายน 2552 เวลา 17:00 - 21:00 น. ณ อาคารศรีจุลทรัพย์ (ห้องบอลรูม ชั้น10) ถ.พระราม 1

การเปลี่ยนแปลงสถานที่จัดงาน "การแสดงดนตรีเพลงปฏิวัติ"
โดย : คณะผู้จัดงาน เมื่อ : 8/04/2009 11:02 AM
รายละเอียด และสำรองที่นั่งล่วงหน้า ตามเว็บข้างล่างนี้
//cpt.igetweb.com:80/


โดย: jenifaae วันที่: 14 พฤษภาคม 2552 เวลา:21:33:24 น.  

 
*ฟังเสียงชาวเล ผ่านภาพถ่าย

แต่ไหนแต่ไรมา ชาวเล มอแกน อูรักราโว้ย หรือในชื่อเรียกอื่นๆ ล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่มชนผู้มีอิสรภาพ โลกของมอแกนประกอบด้วยป่าอันอุดม ชายหาดที่เวิ้งว้างและแนวปะการัง เป็นโลกคนละอย่างกับผู้คนบนผืนแผ่นดินใหญ่ แต่ในปัจจุบันหลังคลื่นสินามึมีคนพยายามเข้าไปจัดการวิถีชีวิตใหม่ให้กับพวกเขา วิถีที่ต่างไปจากชีวิตดั้งเดิม วัฒนธรรมดั้งเดิม ซึ่งชาวเลตัวจริงเสียงจริงอยากจะมาบอกกล่าวถึงสิ่งที่พวกเขารู้สึกผ่านภาพถ่ายชุด Moken Reflection (1894-2007) โดย Dr.Jacques Ivanoff และทีมงาน IRASEC ที่ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถานทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย สถาบัน IRASEC (Research Institute on Contemporary Southeast Asia) และเทศกาลวัฒนธรรมฝรั่งเศส-ไทย ร่วมกันจัดขึ้นเพื่อกระตุ้นทรรศนะของสาธารณชนที่มีต่อกลุ่มชนไร้พรมแดน

สนใจเข้าชมนิทรรศการ ได้ระหว่างนี้ถึง 7 สิงหาคมที่ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร สอบถามโทร. 0-2880-9429 ต่อ 3811




*ปิดรับพิจารณาบทคัดย่อการสัมมนาวิชาการนานาชาติ "ภาพหลอกหลอน ณ ชายแดนใต้ของไทย: การเขียนประวัติศาสตร์ปาตานีและโลกอิสลาม"

11-12 ธันวาคม 2552
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

โครงการภูมิภาคศึกษา มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์, ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ, และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ใคร่เรียนเชิญส่งบทคัดย่อ สำหรับบทความนำเสนอในการสัมมนาทางวิชาการระดับนานาชาติเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ "ปาตานี"

นับตั้งแต่ปัญหาความรุนแรงระลอกใหม่ได้ปะทุขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้นับตั้งแต่ช่วงต้นปี พ.ศ. 2547 เป็นต้นมา แวดวงวิชาการ สื่อสารมวลชน และรวมถึงรัฐบาล ได้มุ่งให้ความสนใจต่ออิทธิพลของศาสนาอิสลาม (โดยเฉพาะในมิติอุดมการณ์ทางการเมืองบนฐานของศาสนาอิสลาม) ที่มีต่อความขัดแย้งดังกล่าว ภายใต้กระแสสนใจดังกล่าวนี้ สิ่งสำคัญหนึ่งที่ขาดหายไปในการถกเถียงอภิปรายในปัจจุบันต่อปัญหาความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย คือสำนึกทางประวัติศาสตร์ของกลุ่ม "ผู้ก่อการ" และผู้คนทั่วไปในพื้นที่ โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ชาตินิยมอันสัมพันธ์กับอดีตรัฐสุลต่านมลายูแห่งปาตานี ซึ่งมีอิทธิพลต่อการก่อรูปของสำนึกทางประวัติศาสตร์ดังกล่าว

เฉกเช่นคำอธิบายในงานเขียนชิ้นสำคัญของอิบรอฮิม ชุกรี เรื่อง Sejarah Kerajaan Patani Melayu (ประวัติศาสตร์ราชอาณาจักรมลายูปาตานี) ประวัติศาสตร์นิพนธ์ชาตินิยมมลายูปาตานีสร้างมุมมองต่อประวัติศาสตร์ปาตานีในมิติของการต่อสู้อย่างต่อเนื่องยาวนานเพื่อเป็นเอกราชจากรัฐสยาม บรรยายปาตานีในฐานะรัฐการค้าซึ่งทรงอำนาจ รุ่งเรือง และเป็นอิสระ รวมถึงเป็นศูนย์กลางสำคัญของความรู้และปวงปราชญ์อิสลามในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กระทั่งต้องตกอยู่ภายใต้แอกของสยามในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 - ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 นับแต่นั้นเป็นต้นมา ปาตานีได้สืบสานการต่อสู้เพื่อเป็นอิสระจากการปกครองและความอยุติธรรมของสยาม ประวัติศาสตร์นิพนธ์ปาตานีภายใต้คำอธิบายดังกล่าว มีความคล้ายคลึงกับประวัติศาสตร์นิพนธ์แบบชาตินิยมในอดีตรัฐอาณานิคมอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หากเพียงแต่เปลี่ยนศัตรูอันเป็นเป้าหมายแห่งการต่อสู้จากเจ้าอาณานิคมตะวันตกเป็นรัฐสยาม ขณะที่เรื่องราวก็ฉาบทาด้วยความขมขื่น และการโหยหาอดีตอันรุ่งเรืองและคงอิสรภาพ ทั้งนี้ คำอธิบายประวัติศาสตร์ปาตานีแบบดังกล่าว ตรงกันข้ามอย่างสุดขั้วกับประวัติศาสตร์ฉบับทางการของไทย ซึ่งอธิบายปาตานีในฐานะเมืองขึ้นหนึ่งของสยามนับตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์
เป้าหมายสำคัญของการสัมมนาฯ ครั้งนี้ คือเพื่อการนำเสนอและอภิปรายอย่างวิพากษ์วิจารณ์ต่อสำนึกและการเขียนประวัติศาสตร์มลายูปาตานี รวมถึงเพื่อการประเมินอิทธิพลและบทบาทของประวัติศาสตร์ต่อผู้คนและอุดมการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยปัจจุบัน

การสัมมนาฯ จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11-12 ธันวาคม 2552 ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

คณะผู้จัดการสัมมนาฯ ใคร่ขอบคุณต่อการเผยแพร่รายละเอียดเกี่ยวกับการสัมมนาฯ ครั้งนี้ไปสู่ผู้ใส่ใจต่อปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ นักวิจัย นักศึกษา นักวิชาการ ฯลฯ ทั้งนี้ รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสัมมนาฯ สามารถติดตามได้จากเว็บไซต์ //www.patani-conference.net

รายละเอียดการส่งบทคัดย่อ (Abstract) เพื่อรับการพิจารณาการนำเสนอบทความ
• เปิดรับบทคัดย่อ จนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2552
• สามารถส่งบทคัดย่อเป็นภาษาไทย, มลายู (รูมี) หรืออังกฤษ
• ความยาวไม่เกิน 1 หน้ากระดาษ
• ส่งบทย่อ: davisakd.puaksom@gmail.com หรือ history@chula.ac.th
• ประกาศผลการพิจารณาบทคัดย่อ ต้นเดือนมิถุนายน 2552
• กำหนดส่งบทความ สำหรับผู้ที่ผ่านการพิจารณาบทคัดย่อ ถึงสิ้นเดือนตุลาคม 2552
• บทความสามารถเขียนเป็นภาษาไทย, มลายู (รูมี) หรืออังกฤษ
• การนำเสนอบทความในการสัมมนา นำเสนอเป็นภาษาไทย หรืออังกฤษ

คณะผู้จัดการสัมมนาฯ




*โครงการบริการวิชาการสารสนเทศศาสตร์สู่สังคม

หลักการและเหตุผล

เนื่องในสองทศวรรษการศึกษาทางไกลสารสนเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ได้มีการพัฒนาคนให้มีความรู้ด้านสารสนเทศศาสตร์มาอย่างต่อเนื่องเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาสังคม เพื่อรวบรวมองค์ความรู้และเผยแพร่ความรู้ด้านสารสนเทศศาสตร์ให้กว้างขวางจึงได้จัดกิจกรรมสัมมนาวิชาการ การจัดทำหนังสือ และการจัดกิจกรรมวิชาการแก่สังคม การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพทั้งภายในและภายนอกองค์กรมีความสำคัญยิ่งต่อความก้าวหน้าและความสำเร็จในงานสารสนเทศและห้องสมุด หากผู้ปฎิบัติงานในห้องสมุดทักษะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานและการบริการที่เป็นเลิศ

วัตถุประสงค์

1 เพื่อเผยแพร่ความรู้ด้านสารสนเทศศาสตร์การศึกษาทางไกล

2 เพื่อพัฒนาสมรรถนะบรรณารักษ์ห้องสมุดประชาชน โดยการรวมแนวคิดจากชุดฝึกอบรมทั้ง 3 ชุดคือ ชุดการวิจัย ชุดภาษาอังกฤษ และชุดการสื่อสารและการประชาสัมพันธ์สำหรับบรรณารักษ์ห้องสมุดประชาชน

กิจกรรมการฝึกอบรม

การฝึกอบรมเพื่อถ่ายทอดความรู้และทักษะ 3 วัน โดยใช้เอกสารประกอบการฝึกอบรม

หัวข้อการฝึกอบรม

การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในงานสารสนเทศ

(โดยผสมผสานการใช้ความรู้ด้านการประชาสัมพันธ์ ภาษาอังกฤษ และการวิจัย จากชุดฝึกอบรมบรรณารักษ์ห้องสมุดประชาชนทั้งสามชุด)

กำหนดการ รับสมัครรุ่นละ 30 คน

รุ่นที่ 1 วันที่ 27-29 กรกฎาคม 2552

สถานที่ อาคารสัมมนา มสธ

รุ่นที่ 2 วันที่ 5-7 สิงหาคม 2552

สถานที่ ศูนย์วิทยพัฒนา มสธ จันทบุรี

รุ่นที่ 3 วันที่ 19-21 สิงหาคม 2552

สถานที่ อาคารสัมมนา มสธ

ผู้รับผิดชอบโครงการ

รองศาสตราจารย์ ดร น้ำทิพย์ วิภาวิน nwipawin@gmail.com

วิทยากร

ศาสตราจารย์ ดร ชุติมา สัจจานันท์ และ คณะ

ผลที่คาดว่าจะได้รับ

1 ทำให้พัฒนาการของแขนงวิชาสารสนเทศศาสตร์การศึกษาทางไกลเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง

2 ทำให้ผู้ใช้สารสนเทศได้รับความรู้และทักษะจากชุดฝึกอบรมด้านสารสนเทศศาสตร์

(โปรดส่งรายชื่อผู้สนใจมาที่สาขาวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช โทรสาร 02-5033564

หรือ รองศาสตราจารย์ ดร น้ำทิพย์ วิภาวิน nwipawin@gmail.com ภายในเดือนมิถุนายน 2552 โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย)


โดย: jenifaae วันที่: 25 สิงหาคม 2552 เวลา:21:12:33 น.  

 
*กิจกรรม Thailand Research Symposium 2009

ด้วยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จะจัดงานการนำเสนอผลงานวิจัยแห่งชาติ 2552 ในระหว่างวันที่ 26-30 สิงหาคม 2552 ณ ศูนย์ประชุมบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ ราชประสงค์ กรุงเทพฯ โดยกำหนดจัดกิจกรรม Thailand Research Symposium 2009 เพื่อเปิดโอกาสให้นักวิจัย นักวิชาการ นักศึกษานำเสนอผลงานผ่านการประชุมทางวิชาการระดับประเทศ ใน 2 รูปแบบ Oral และ Poster

ข้อมูลเพิ่มเติม: //tresearch.nrct.go.th

ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนส่งเสริมและพัฒนาการวิจัย โทร. 0-2561-2445, 0-2579-1370-9 ต่อ 569, 565, 458




*รอบรู้กับการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง

ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการผู้ดูแลและผู้ป่วยโรค
หลอดเลือดสมอง เรื่อง "รอบรู้กับการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง" รุ่นที่ 1 ระหว่างวันที่ 30 - 31 กรกฎาคม 2552 ณ ห้องประชุม
สิรินธร อาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น G

วัตถุประสงค์

1. เพื่อให้ผู้ดูแลและครอบครัวมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องโรคหลอดเลือดสมองมากขึ้น

2. เพื่อมีความรู้ความเข้าใจเรื่องโรคสมองเสื่อมและภาวะกระดูกพรุนภายหลังการเกิดโรคหลอดเลือดสมองมากขึ้น เพื่อสามารถป้องกัน
และตระหนักรู้ถึงปัญหาดังกล่าวได้ดีขึ้น

3. สามารถดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองต่อเนื่องได้อย่างครบถ้วนและถูกต้อง


หมายเหตุ : สามารถดาวน์โหลดรายละเอียดได้ตามเอกสารประกอบแนบท้าย หรือ
สอบถามรายละเอียด โทร. 0 2419 7508 , 8627




*สัมมนาฟรี ผลิตภัณฑ์เหล็กโครงสร้างในประเทศและต่างประเทศ

จัดโดย: สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย
วันที่อบรม สัมมนา:
วันที่ 24 กรกฎาคม 2552 เวลา 8.30 - 16.00 น.

วิทยากร:
ผศ.ดร. สุทัศน์ ลีลาทวีวัฒน์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
Mr. Dean Borg Zamil Steel Building (Thailand)
คุณสมภพ สุวรรณหงสกุล บจก.บลูสโคป สตีล (ประเทศไทย)
คุณ ณัฐพล สุทธิธรรม บริษัท ไอเอ็มเอ็มเอส จำกัด
สถานที่จัดอบรม สัมมนา:
ณ ห้องสัมมนา 101 อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมสนับสนุน

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่:
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
คุณ รัชวดี
โทรศัพท์ 02-712-4402-7 ต่อ 124 โทรสาร 02-713-6293
e-mail: ratchawadee@isit.or.th




*การสำรวจความคิดเห็นจากการสัมภาษณ์รายบุคคล ในบริเวณพื้นที่ที่จะเวนคืน

นายชาตินัย เนาวภูต ผู้อำนวยการสำนักโยธา กทม. แจ้งว่า กรุงเทพมหานครจะดำเนินการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ตามโครงการขยายทางหลวงท้องถิ่นสาย ซ.รามอินทรา 39 และ ถ.สุขาภิบาล 5 ในท้องที่แขวงอนุสาวรีย์ และแขวงท่าแร้ง เขตบางเขน ซึ่งปัจจุบันได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณพื้นที่ที่จะต้องเวนคืน เพื่อดำเนินการขยายทางหลวงท้องถิ่น สายซอยรามอินทรา 39 และ ถ.สุขาภิบาล 5 ประกาศใช้บังคับมีอายุ 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2551 ถึงวันที่ 24 มีนาคม 2554 ทั้งนี้เพื่อให้การดำเนินการเวนคืนเป็นไปตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 57 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติให้การดำเนินการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ต้องจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างทั่วถึงก่อนการดำเนินการ ดังนั้นกรุงเทพมหานครจึงจะจัดให้มีการเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ด้วยการสำรวจความคิดเห็นจากการสัมภาษณ์รายบุคคล ในบริเวณพื้นที่ที่จะเวนคืน พร้อมประชุมปรึกษาหารือกับตัวแทนของกลุ่มบุคคลทิ่เกี่ยวข้องหรือมีส่วนได้เสีย ซึ่งกำหนดจะจัด การประชุมในวันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม 2552 เวลา 10.00 น. ณ ศาลาการเปรียญวัดศิริพงษ์ธรรมนิมิตร แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กทม.



*งานไอทีงานใหม่กำลังจะมา Bangkok ICT & Broadcasting EXPO 2009

กรุงเทพฯ 3 ก.ค. - นายบุญรักษ์ สรัคคานนท์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย เปิดเผยว่า 6 สมาคม 1 มูลนิธิด้านไอซีที และโทรคมนาคม เตรียมจัดงาน Bangkok ICT & Broadcasting EXPO 2009 ซึ่งจะเป็นการแสดงนวัตกรรมด้านไอซีทีและอุตสาหกรรมบรอดคาสท์และคอนเทนต์ของ ประเทศไทยทั้งระบบ โดยมีกำหนดจัดขึ้นพร้อมกับงาน Broadcasting & Contents EXPO 2009 ระหว่างวันที่ 5-9 สิงหาคมนี้ เวลา 10.00-20.00 น. อาคารชาเลนเจอร์ 2 อิมแพคเมืองทองธานี
สำหรับการจัดงานครั้งนี้ เพื่อร่วมกันส่งเสริมและพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและโทรคมนาคมของประเทศ
ให้ มีความก้าวหน้าทัดเทียมนานาประเทศและก้าวทันเทคโนโลยี อีกทั้งยังเป็นการช่วยส่งเสริมและพัฒนาวิชาชีพในงานด้านไอซีที ด้านอุตสาหกรรมการผลิต ด้านการบริการ การพัฒนาวิชาชีพ ตลอดจนการรักษาผลประโยชน์ของผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการ แบ่งเป็น 3 โซน โซน 1 นิทรรศการแสดงความล้ำหน้าทาง เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของสมาคมฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โซน 2 สัมมนาจากผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีระดับโลก อาทิ ประธานสมาคมเวิลด์ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี แอนด์ เซอร์วิส (WITSA) และโซน 3 นำสินค้าและนวัตกรรมด้านไอซีทีมาจำหน่ายราคาพิเศษจากบริษัทในและต่างประเทศ ที่มาร่วมงานกว่า 200 บริษัท คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงาน 200,000 คน มีเงินหมุนเวียนกว่า 4,000 ล้านบาท
สำหรับ 6 สมาคม 1 มูลนิธิ ประกอบด้วย สมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย สมาคมสื่อสาธารณะแห่งประเทศไทย สมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทย สมาคมโทรทัศน์ดาวเทียม (ประเทศไทย) สมาคมสิทธิผู้บริโภค และมูลนิธิสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย.-




*สัมมนา เรื่อง “ปัญหาภัยธรรมชาติด้านแผ่นดินไหว อุทกภัย และดินโคลนถล่ม”

วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม 2552 เวลา 08.30-14.00 นาฬิกา คณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษามาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาพื้นที่การเกษตรและชุมชนที่ประสบภัยธรรมชาติ วุฒิสภา จัดสัมมนา เรื่อง “ปัญหาภัยธรรมชาติด้านแผ่นดินไหว อุทกภัย และดินโคลนถล่ม” ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ หมายเลข 306-308 ชั้น 3 อาคารรัฐสภา 2


โดย: jenifaae วันที่: 25 สิงหาคม 2552 เวลา:21:14:33 น.  

 
*ฟังเสียงชาวเล ผ่านภาพถ่าย

แต่ไหนแต่ไรมา ชาวเล มอแกน อูรักราโว้ย หรือในชื่อเรียกอื่นๆ ล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่มชนผู้มีอิสรภาพ โลกของมอแกนประกอบด้วยป่าอันอุดม ชายหาดที่เวิ้งว้างและแนวปะการัง เป็นโลกคนละอย่างกับผู้คนบนผืนแผ่นดินใหญ่ แต่ในปัจจุบันหลังคลื่นสินามึมีคนพยายามเข้าไปจัดการวิถีชีวิตใหม่ให้กับพวกเขา วิถีที่ต่างไปจากชีวิตดั้งเดิม วัฒนธรรมดั้งเดิม ซึ่งชาวเลตัวจริงเสียงจริงอยากจะมาบอกกล่าวถึงสิ่งที่พวกเขารู้สึกผ่านภาพถ่ายชุด Moken Reflection (1894-2007) โดย Dr.Jacques Ivanoff และทีมงาน IRASEC ที่ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถานทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย สถาบัน IRASEC (Research Institute on Contemporary Southeast Asia) และเทศกาลวัฒนธรรมฝรั่งเศส-ไทย ร่วมกันจัดขึ้นเพื่อกระตุ้นทรรศนะของสาธารณชนที่มีต่อกลุ่มชนไร้พรมแดน

สนใจเข้าชมนิทรรศการ ได้ระหว่างนี้ถึง 7 สิงหาคมที่ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร สอบถามโทร. 0-2880-9429 ต่อ 3811




*ปิดรับพิจารณาบทคัด


โดย: jenifaae วันที่: 25 สิงหาคม 2552 เวลา:21:14:51 น.  

 
*กิจกรรมพิพิธพาเพลินเชิญเที่ยว ตอน เที่ยวย่านพิพิธภัณฑ์

สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (สพร.) จะจัดกิจกรรมพิพิธพาเพลินเชิญเที่ยว ตอน เที่ยวย่านพิพิธภัณฑ์ วันเสาร์ที่ ๒๕ – อาทิตย์ที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๒ เวลา ๙.๓๐ น. – ๑๘.๓๐ น. แต่ละวันจะมีรถรางและมัคคุเทศก์นำชม ๔ รอบ คือ ๑๐.๐๐ น., ๑๑.๐๐ น., ๑๒.๐๐ น., และ ๑๓.๐๐ น.
เรียนรู้ และร่วมกิจกรรมสัญจรบริเวณเกาะรัตนโกสินทร์ เที่ยวชมพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ มิวเซียมสยาม พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร พิพิธภัณฑ์รัชกาลที่ ๖ พิพิธภัณฑ์ป้อมพระสุเมรุ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป์ เป็นต้น โดยการนั่งรถรางจำลองที่มีมัคคุเทศก์นำชม นอกจากนี้ยังมีเกมตอบคำถามและกิจกรรมสร้างสรรค์ผลงานที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการเที่ยวชมในรูปแบบต่างๆ เช่น คำประพันธ์ประเภทร้อยแก้ว ร้อยกรอง เพลง งานจิตรกรรม ประติมากรรม สื่อผสมงานออกแบบเครื่องประดับ เสื้อผ้า อาคารสถาปัตยกรรม กราฟิก Clips video หรือ ภาพถ่ายต่างๆ เพื่อรับของรางวัลจากมิวเซียมสยาม
สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ ใคร่ขอความอนุเคราะห์จากท่านประชาสัมพันธ์ให้แก่บุคลากรนิสิตและผู้สนใจทั่วไปเข้าร่วมกิจกรรมในวัน เวลา ดังกล่าว
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและสำรองที่นั่งได้ที่ ๐ ๒๒๒๕ ๒๗๗๗ ต่อ ๔๑๑ หรือ ๔๑๔ อีเมล์ info@ndmi.or.th และ เว็บไซต์ //www.ndmi.or.th




*ศาลายาเสวนานโยบายสาธารณะ ครั้งที่ 3“เหลียวมองผลกระทบ...ก่อนคิดถึงอนาคต CL”

มหาวิทยาลัยมหิดลร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) โครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (Health Intervention and Technology Assessment Program หรือ HITAP) สำนักงานวิจัยเพื่อการพัฒนาหลักประกันสุขภาพไทย (สวปก.) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดงานเสวนา “เหลียวมองผลกระทบ...ก่อนคิดถึงอนาคต CL” ในวันพุธที่ 29 กรกฎาคม 2552 เวลา 13.00 – 16.30 น. ณ ห้องเดอะ อโนมา แกรนด์ โรงแรมอโนมา กรุงเทพฯ เพื่อเผยแพร่ผลการศึกษาประเมินผลกระทบจากมาตรการใช้สิทธิตามสิทธิบัตรยาในประเทศไทย ระหว่างปี 2549-2551

ทั้งผลกระทบด้านสุขภาพ ด้านเศรษฐกิจ และด้านสังคม ซึ่ง HITAP ได้ทำการศึกษา รวมถึงสถานการณ์ปัจจุบันของมาตรการการใช้สิทธิตามสิทธิบัตรยาในประเทศไทย เปิดโอกาสให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้ชี้แจง และเพื่อเสนอแนะกลยุทธ์สำหรับการพิจารณาการบังคับใช้สิทธิบัตรยาในอนาคตแก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินนโยบายดังกล่าวในอนาคตมีความเหมาะสมยิ่งขึ้น โดยคาดว่ากลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมจะมีประมาณ 100 – 200 คน ทั้งจากสื่อมวลชน สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ องค์การเภสัชกรรม NGO ด้านเอดส์ มะเร็ง มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค พรรคการเมือง ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสุขภาพแห่งชาติ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรม บริษัทยา กลุ่มธุรกิจ นักวิชาการ และข้าราชการที่เป็นกลุ่มตัวอย่างในการทำวิจัย สมาคมแพทย์และสถานทูตผู้ให้ข้อมูล คณะอนุกรรมการ CL (วุฒิสภา) สสส. และคณะกรรมการคัดเลือกยา โดยรูปแบบจะเป็นการเปิดงานด้วย VTR (ความยาว 15-20 นาที) ต่อด้วยการเปิดเวทีเสวนา และเปิดเวทีให้ซักถาม ตามลำดับ


วิทยากรผู้ร่วมเสวนา ได้แก่

1. นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน

ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาการคุ้มครองการวิจัยในมนุษย์

2. นายแพทย์บูรณัฐย์ สมุทรักษ์

โฆษกพรรคประชาธิปัตย์

3. เภสัชกรธีระ ฉกาจนโรดม

นายกสมาคมผู้วิจัยและผลิตเภสัชภัณฑ์ (PREMA)


ประเด็น VTR

เปิดเรื่องด้วยผลงานวิจัยเรื่องสิทธิบัตรยา ที่ HITAP ได้ดำเนินการ ความยาว 20 นาที ต่อด้วยการสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่

1. นายแพทย์สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ

ผู้ทรงคุณวุฒิด้านควบคุมป้องกันโรค สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข

ประเด็นการสัมภาษณ์

- สถานการณ์ปัจจุบันในการนำเข้ายาสามัญที่นำมาใช้แทนยาต้นแบบ

- ราคายาสามัญที่นำเข้า

- การกระจายยาสามัญที่นำเข้าสู่โรงพยาบาลต่างๆ

- ปัญหาและอุปสรรคในการนำเข้าและกระจายยาสามัญ

2. นายแพทย์พิพัฒน์ ยิ่งเสรี

เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา

ประเด็นการสัมภาษณ์

- สถานการณ์ปัจจุบันในเรื่องการขึ้นทะเบียนยาสามัญที่นำมาใช้แทนยาต้นแบบ

- ปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นในการขึ้นทะเบียนยา

- การให้ความมั่นใจกับประชาชนเรื่องความปลอดภัยของยาสามัญที่ขึ้นทะเบียน

3. นายแพทย์วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

ประเด็นการสัมภาษณ์

- สถานการณ์เกี่ยวกับคนไข้ที่ได้รับยาสามัญที่นำมาใช้แทนยาต้นแบบในช่วงปีที่ผ่านมา

- การป้องกันปัญหายาสามัญรั่วไหลไปยังภาคเอกชน

- แนวโน้มการใช้มาตรการเพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงยากลุ่มใหม่ๆในอนาคตนั้น เป็นอย่างไร จะใช้การทำ CL หรือเลือกใช้มาตรการอื่นๆแทน

กำหนดการงานเสวนา

เรื่อง “เหลียวมองผลกระทบ...ก่อนคิดถึงอนาคต CL”

วันที่ 29 กรกฏาคม 2552 เวลา 13.00-16.30 น.

ณ ห้องเดอะ อโนมา แกรนด์ โรงแรมอโนมา กรุงเทพฯ

เวลา 13.00 - 13.30 น. ลงทะเบียน พร้อมรับประทานอาหารว่าง

เวลา 13.30 – 14.10 น. พิธีกร คุณกิตติ สิงหาปัด กล่าวต้อนรับ ชี้แจงวัตถุประสงค์การจัดงาน และเกริ่นเข้าเนื้อหา ใน VTR ความยาว 20 นาที

เวลา 14.10 – 15.40 น. เปิดเวทีการแถลงข่าว ผู้ร่วมแถลงข่าวประกอบด้วย

1. นพ.วิชัย โชควิวัฒน ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาการคุ้มครองการวิจัยในมนุษย์

2. นพ.บูรณัฐย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์

3. เภสัชกรธีระ ฉกาจนโรดม นายกสมาคมผู้วิจัยและผลิตเภสัชภัณฑ์ (พรีม่า)

เวลา 15.40 – 16.30 น. เปิดเวทีให้ซักถาม ปิดเวทีการแถลงข่าว


โดย: jenifaae วันที่: 25 สิงหาคม 2552 เวลา:21:15:55 น.  

 
*ขอเชิญประชุมสมัชชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนา ครั้งที่ 8

ด้วยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จะจัดการประชุมสมัชชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนา ครั้งที่ 8 "สร้างชาติด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.)" ในวันที่ 24 กรกฎาคม 2552เวลา 8.00-17.00 น. ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค โดยท่านนายกรัฐมนตรีให้เกียรติเป็นประธานเปิดการประชุม

ทั้งนี้ ขอเชิญผู้สนใจโปรดแจ้งตอบรับการเข้าร่วมสัมมนาไปที่สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โทรสาร 0-2354-3718 ภายในวันที่ 17 กรกฎาคม 2552

ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร. 0-2354-4466 ต่อ 515, 516, 518 E-mail:permsuk@most.go.th,tanat@most.go.th,pisut@most.go.th




*เปิดรับสมัครผู้กล้าทดลองวัคซีนหวัด09

องค์การเภสัชฯเตรียมเปิดรับอาสาสมัครทดลองวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 สัปดาห์หน้า เผยจะทดลองทั้งในคนและสัตว์ 120 วันก่อนนำออกมาใช้ คาดล็อตแรกผลิตใช้ได้เดือน ธ.ค. โดยมีเป้าหมายผลิตให้ได้ 10 ล้านโดส "อภิสิทธิ์" ยอมรับไม่สามารถฉีดให้ประชาชนได้ทุกคนเพราะของมีจำกัดพูดไม่ชัดผู้บริหารได้สิทธิ์ฉีดก่อนหรือไม่

//www.ryt9.com/s/psum/610907/




*สัมมนาเรื่อง "ปัญหาภัยธรรมชาติด้านแผ่นดินไหว อุทกภัย และดินโคลนถล่ม"

กมธ.วิสามัญแก้ปัญหาพื้นที่ประสบภัยธรรมชาติ วุฒิสภา เตรียมจัดสัมมนาหาแนวทางแก้ไขปัญหา

14 ก.ค. 52 ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษามาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาพื้นที่การเกษตร และชุมชนที่ประสบภัยธรรมชาติ วุฒิสภา เชิญชวนผู้เกี่ยวข้อง และประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบร่วมสัมมนา หวังหาแนวทางแก้ปัญหา 27 ก.ค. นี้

นายชลิต แก้วจินดา ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษามาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาพื้นที่การเกษตร และชุมชนที่ประสบภัยธรรมชาติ วุฒิสภา เปิดเผยว่า กมธ.จะจัดให้มีการสัมมนาเรื่อง "ปัญหาภัยธรรมชาติด้านแผ่นดินไหว อุทกภัย และดินโคลนถล่ม"ในวันที่ 27 กรกฎาคม 2550 เวลา 08.30-14.00 นาฬิกา ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการหมายเลข 306-308 ชั้น 3 อาคารรัฐสภา 2 เนื่องจากเห็นว่า ขณะนี้พื้นที่เกษตร ชุมชนเมืองและภาคธุรกิจ ได้รับความเสียหายจากปัญหาดังกล่าวมาก ซึ่งภาครัฐจะต้องช่วยกันหาแนวทางแก้ไข ทั้งนี้ กรรมาธิการคาดว่า การสัมมนาดังกล่าวจะสามารถหากแนวทางบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนอย่างได้ผล




*ขอเชิญสัมมนา "ล้วงตับจับกระแสแนวโน้ม e-Commerce 2009"

ตามที่ท่านได้ให้ความสนใจและสมัครเป็น "สมาชิก สสว." นั้น สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ขอขอบพระคุณในความสนใจและเข้าร่วมเป็น สมาชิก สสว. โดย สสว. จะเร่งดำเนินการวางแผนและจัดให้มีกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ เพื่อมอบให้แก่ท่านในโอกาสต่อไป

สำหรับกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ที่ สสว. จะขอมอบแก่ท่านในขณะนี้ คือ ตลาดดอทคอม จะจัดงานสัมมนา "ล้วงตับจับกระแสแนวโน้ม e-Commerce 2009" ในวันที่ 1 สิงหาคม 2552 เวลา 9.00 - 17.00 น. ณ ห้องสุขสามัคคี ชั้น 8 ธนาคารกสิกรไทย สำนักพหลโยธิน

พิเศษสำหรับสมาชิก สสว.

คูปอง Google Adword มูลค่า 1,500 บาท เพื่อใช้ทำโฆษณาบนหน้าเว็บไซต์ ของ Google จำนวน 100 คูปอง
ฟรีโดเมนเนม .in.th จาก Dotarai 1 ปี จำนวน 100 โดเมนเนม
อีบุ๊ค "e-Marketing Mini Course การทำการตลาดออนไลน์ ทำเว็บไซต์ให้ดังทั่วโลก"
อีบุ๊ค "คู่้มือสำหรับผู้เริ่มต้นใช้โปรแกรมเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องมือค้นหาของ Google" (ทำเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรก Google)

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่
ฝ่ายการตลาด บริษัทตลาดดอทคอม
คุณเสาวลักษณ์
โทรศัพท์ 0-298-0999 ต่อ 1160
E-mail: savalak@tarad.com
ผู้สนใจเข้าร่วมงานกรุณาลงทะเบียนที่ : //www.tarad.com/activity/july-activity/ecommerce.html

แจ้งข่าวสารโดย : คุณเก่งกิจ อิ่มเสมอ
ศูนย์สารสนเทศและเทคโนโลยี
สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
โทร. 0-2278-8800 ต่อ 514
//cms.sme.go.th/cms/c/journal_articles/view_article_content?article_id=01-OTHER-150709




*เสวนาเรื่อง มานุษยวิทยาประวัติศาสตร์

ภาควิชาประวัติศาสตร์ร่วมกับภาควิชาปรัชญา

คณะศิลปศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ได้จัดเสวนาวิชาการในหัวข้อชุด
ประวัติศาสตร์กับปรัชญา
ระหว่างเดือนมิถุนายนและเดือนสิงหาคม2552
ในวันจันทร์ระหว่างเวลา 15:00-18:00
น. ณ ห้อง 301 คณะศิลปศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ท่าพระจันทร์
---------------------------------
27 ก.ค.52

"มานุษยวิทยาประวัติศาสตร์"

โดย อ. ดร. ยุกติ มุกดาวิจิตร
คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

วิจารณ์โดย ดร. วิศรุต
พึ่งสุนทร คณะศิลปศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


โดย: jenifaae วันที่: 25 สิงหาคม 2552 เวลา:21:17:01 น.  

 
*กิจกรรม Thailand Research Symposium 2009

ด้วยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จะจัดงานการนำเสนอผลงานวิจัยแห่งชาติ 2552 ในระหว่างวันที่ 26-30 สิงหาคม 2552 ณ ศูนย์ประชุมบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ ราชประสงค์ กรุงเทพฯ โดยกำหนดจัดกิจกรรม Thailand Research Symposium 2009 เพื่อเปิดโอกาสให้นักวิจัย นักวิชาการ นักศึกษานำเสนอผลงานผ่านการประชุมทางวิชาการระดับประเทศ ใน 2 รูปแบบ Oral และ Poster

ข้อมูลเพิ่มเติม: //tresearch.nrct.go.th

ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนส่งเสริมและพัฒนาการวิจัย โทร. 0-2561-2445, 0-2579-1370-9 ต่อ 569, 565, 458




*รอบรู้กับการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง

ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการผู้ดูแลและผู้ป่วยโรค
หลอดเลือดสมอง เรื่อง "รอบรู้กับการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง" รุ่นที่ 1 ระหว่างวันที่ 30 - 31 กรกฎาคม 2552 ณ ห้องประชุม
สิรินธร อาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น G

วัตถุประสงค์

1. เพื่อให้ผู้ดูแลและครอบครัวมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องโรคหลอดเลือดสมองมากขึ้น

2. เพื่อมีความรู้ความเข้าใจเรื่องโรคสมองเสื่อมและภาวะกระดูกพรุนภายหลังการเกิดโรคหลอดเลือดสมองมากขึ้น เพื่อสามารถป้องกัน
และตระหนักรู้ถึงปัญหาดังกล่าวได้ดีขึ้น

3. สามารถดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองต่อเนื่องได้อย่างครบถ้วนและถูกต้อง


หมายเหตุ : สามารถดาวน์โหลดรายละเอียดได้ตามเอกสารประกอบแนบท้าย หรือ
สอบถามรายละเอียด โทร. 0 2419 7508 , 8627




*สัมมนาฟรี ผลิตภัณฑ์เหล็กโครงสร้างในประเทศและต่างประเทศ

จัดโดย: สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย
วันที่อบรม สัมมนา:
วันที่ 24 กรกฎาคม 2552 เวลา 8.30 - 16.00 น.

วิทยากร:
ผศ.ดร. สุทัศน์ ลีลาทวีวัฒน์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
Mr. Dean Borg Zamil Steel Building (Thailand)
คุณสมภพ สุวรรณหงสกุล บจก.บลูสโคป สตีล (ประเทศไทย)
คุณ ณัฐพล สุทธิธรรม บริษัท ไอเอ็มเอ็มเอส จำกัด
สถานที่จัดอบรม สัมมนา:
ณ ห้องสัมมนา 101 อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมสนับสนุน

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่:
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
คุณ รัชวดี
โทรศัพท์ 02-712-4402-7 ต่อ 124 โทรสาร 02-713-6293
e-mail: ratchawadee@isit.or.th




*การสำรวจความคิดเห็นจากการสัมภาษณ์รายบุคคล ในบริเวณพื้นที่ที่จะเวนคืน

นายชาตินัย เนาวภูต ผู้อำนวยการสำนักโยธา กทม. แจ้งว่า กรุงเทพมหานครจะดำเนินการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ตามโครงการขยายทางหลวงท้องถิ่นสาย ซ.รามอินทรา 39 และ ถ.สุขาภิบาล 5 ในท้องที่แขวงอนุสาวรีย์ และแขวงท่าแร้ง เขตบางเขน ซึ่งปัจจุบันได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณพื้นที่ที่จะต้องเวนคืน เพื่อดำเนินการขยายทางหลวงท้องถิ่น สายซอยรามอินทรา 39 และ ถ.สุขาภิบาล 5 ประกาศใช้บังคับมีอายุ 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2551 ถึงวันที่ 24 มีนาคม 2554 ทั้งนี้เพื่อให้การดำเนินการเวนคืนเป็นไปตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 57 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติให้การดำเนินการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ต้องจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างทั่วถึงก่อนการดำเนินการ ดังนั้นกรุงเทพมหานครจึงจะจัดให้มีการเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ด้วยการสำรวจความคิดเห็นจากการสัมภาษณ์รายบุคคล ในบริเวณพื้นที่ที่จะเวนคืน พร้อมประชุมปรึกษาหารือกับตัวแทนของกลุ่มบุคคลทิ่เกี่ยวข้องหรือมีส่วนได้เสีย ซึ่งกำหนดจะจัด การประชุมในวันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม 2552 เวลา 10.00 น. ณ ศาลาการเปรียญวัดศิริพงษ์ธรรมนิมิตร แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กทม.



*งานไอทีงานใหม่กำลังจะมา Bangkok ICT & Broadcasting EXPO 2009

กรุงเทพฯ 3 ก.ค. - นายบุญรักษ์ สรัคคานนท์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย เปิดเผยว่า 6 สมาคม 1 มูลนิธิด้านไอซีที และโทรคมนาคม เตรียมจัดงาน Bangkok ICT & Broadcasting EXPO 2009 ซึ่งจะเป็นการแสดงนวัตกรรมด้านไอซีทีและอุตสาหกรรมบรอดคาสท์และคอนเทนต์ของ ประเทศไทยทั้งระบบ โดยมีกำหนดจัดขึ้นพร้อมกับงาน Broadcasting & Contents EXPO 2009 ระหว่างวันที่ 5-9 สิงหาคมนี้ เวลา 10.00-20.00 น. อาคารชาเลนเจอร์ 2 อิมแพคเมืองทองธานี
สำหรับการจัดงานครั้งนี้ เพื่อร่วมกันส่งเสริมและพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและโทรคมนาคมของประเทศ
ให้ มีความก้าวหน้าทัดเทียมนานาประเทศและก้าวทันเทคโนโลยี อีกทั้งยังเป็นการช่วยส่งเสริมและพัฒนาวิชาชีพในงานด้านไอซีที ด้านอุตสาหกรรมการผลิต ด้านการบริการ การพัฒนาวิชาชีพ ตลอดจนการรักษาผลประโยชน์ของผู้ให้บร%


โดย: jenifaae วันที่: 25 สิงหาคม 2552 เวลา:21:17:13 น.  

 
*Inner eyes นิทรรศการภาพข้างใน

กำหนดที่เหมือนไม่มีกำหนด

Inner eyes นิทรรศการภาพข้างใน
เปิดงานอย่างง่ายๆ
โดยผู้ชายสามคน เสกสรรค์ ประเสริฐกุล กำธร เภาวัฒนสุข สมิทธิ ธนานิธิโชติ
สนทนาสบายๆ เรียบง่ายเป็นกันเอง วันที่ 21 กรกฎาคม เวลา 17.00น. ชั้นสอง ณ Hemlock ART Restaurant ถนนพระอาทิตย์ กรุงเทพฯ
'ภาพข้างใน'
ภาพถ่ายสะท้อนความคิด ชีวิตที่ดำเนินไปทุกวันๆ สิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่แค่สิ่งที่เห็น
สิ่งที่คาดหวังอาจจะไม่ได้ยิน คิดว่ารู้อาจไม่รู้ คิดว่าเข้าใจอาจไม่ใช่อย่างที่คิด

'ภาพข้างใน' นิทรรศการภาพถ่ายโดย เสกสรรค์ ประเสริฐกุล กำธร เภาวัฒนสุข สมิทธิ ธนานิธิโชติ

จัดแสดงตั้งแต่วีนที่ 17 กรกฎาคม - 31 สิงหาคม 2552 ณ Hemlock Restaurant& Gallery ถนนพระอาทิตย์ กรุงเทพฯ

17.00-24.00 น. ทุกวัน ยกเว้นวันอาทิตย์ สอบถามเพิ่มเติม 02-2827507




*สัมมนาทางวิชาการสัตว์ป่าสวนสัตว์ ครั้งที่ 3

ภายใต้หัวข้อ “ZPO Research and Conservation Conference and Partners Meeting”

ณ ห้องประชุมอาคารพิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์ดุสิต
วันที่ 30-31 กรกฏาคม 2552

การประชุมครั้งนี้ ทางองค์การสวนสัตว์ จะรับผิดชอบในเรื่อง ของว่าง และอาหารกลางวัน ตลอดการประชุม โดยไม่เสียค่าลงทะเบียนใดๆทั้งสิ้น

แบบตอบรับ

สัมมนาทางวิชาการสัตว์ป่าสวนสัตว์ ครั้งที่ 3


ภายใต้หัวข้อ “ZPO Research and Conservation Conference and Partners Meeting”

ณ ห้องประชุมอาคารพิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์ดุสิต

วันที่ 30-31 กรกฏาคม 2552

ชื่อ (นาย,นาง,น.ส.)................................... นามสกุล...........................

ตำแหน่งทางวิชาการ (เช่น ผศ., รศ., ศ...)..............................

ตำแหน่ง.............................. ..................สังกัด/หน่วยงาน..................

สถานที่ติดต่อได้สะดวก.......................................

โทรศัพท์..................................โทรสาร........................

มือถือ............................E-mail.....................................

การประชุมครั้งนี้ ทางองค์การสวนสัตว์ จะรับผิดชอบในเรื่อง ของว่าง และอาหารกลางวัน ตลอดการประชุม โดยไม่เสียค่าลงทะเบียนใดๆทั้งสิ้น โดยแบบตอบรับสามารถดาวน์โหลดเพิ่มเติม ได้ที่ //www.zoothailand .org

กรุณากรอกรายละเอียดให้ครบถ้วน ชัดเจน และแจ้งกลับมายัง ส่วนอนุรักษ์ วิจัย และการศึกษา องค์การสวนสัตว์

ภายในวันที่ 17 ก.ค. 2552

ติดต่อ คุณฐานุตรา ธนะภพ หรือ คุณวีรพัฒน์ ภูศรี

ส่วนอนุรักษ์ วิจัย และการศึกษา องค์การสวนสัตว์ 71 ถ.พระราม5 เขตดุสิต กรุงเทพฯ 103000

โทรศัพท์ 02-2827111-3 ต่อ 161-163, 086-6777-060 (mobile) โทรสาร 02-2829104, 02-2826125

E-mail : vinboxx@hotmail.com




*เสวนา “บทบาทผู้หญิงในการเมืองของการเลือกตั้งในหมู่บ้าน: มุมมองทางประวัติศาสตร์”

ขอเชิญผู้สนใจทั่วไปเข้าร่วมเสวนาเรื่อง
“บทบาทผู้หญิงในการเมืองของการเลือกตั้งในหมู่บ้าน: มุมมองทางประวัติศาสตร์”
(The Role of Women in Village Electoral Politics: A Historical Perspective)
โดย ศาสตราจารย์แคทเทอรีน เอ. บาววี (Katherine A. Bowie)
ศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม 2552 เวลา 13:30-15:30 น.
สถานที่ โครงการบัณฑิตศึกษา คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ชั้น 3 อาคารเอนกประสงค์ 3 (ตึกหอสมุดเดิม)
บรรยายเป็นภาษาไทย
จัดโดยโครงการบัณฑิตศึกษา คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์




*กมธ.สาธารณสุข วุฒิสภา จัดโครงการเสวนาเรื่อง”ปราการพิทักษ์สุขภาพชุมชน”

ประธานคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา เตรียมจัดเสวนาเรื่อง ”ปราการพิทักษ์สุขภาพชุมชน” หลังไข้หวัดใหญ่ 2009 ระบาดจนมีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตเพิ่มขึ้น หวังให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกระดับและประชาชนมีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม 21 ก.ค. นี้

นายแพทย์อนันต์ อริยะชัยพาณิชย์ ประธานคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา กล่าวว่า คณะกรรมาธิการฯจะร่วมกับคณะอนุกรรมาธิการศึกษาปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศ วุฒิสภา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) จัดเสวนาเรื่อง ”ปราการพิทักษ์สุขภาพชุมชน” ในวันอังคารที่ 21 กรกฎาคม 2552 เนื่องจากขณะนี้มีการระบาดของไข้หวัดใหญ่ H1N1 ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ซึ่งนับวันจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งนี้ การจัดเสวนามีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนปัญหาสุขภาพที่เกิดจากโรคติดต่ออุบัติใหม่และโรคติดต่ออุบัติซ้ำ ตลอดจนเพื่อให้ทราบถึงบทเรียนที่ผ่านมา และปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงการผลักดันการสร้างพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้องของประชาชนให้เป็นวาระแห่งชาติ

นายแพทย์อนันต์ กล่าวด้วยว่าการจัดเสวนาดังกล่าวจะมีขึ้นในเวลา 08.30 – 16.00 นาฬิกา ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการหมายเลข 306-308 ชั้น 2 อาคารรัฐสภา 2 โดยมี ศ.พิเศษ ประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภากล่าวเปิดการเสวนา และจะมีการอภิปรายหัวข้อ “ปัญหาคุกคามสุขภาพของประชาชนในชุมชนยุคใหม่” การอภิปรายหัวข้อ “ถอดบทเรียนในการปกป้องสุขภาพชุมชน” และช่วงบ่ายวันเดียวกัน จะมีการอภิปรายหัวข้อ “ระเบียบวาระแห่งชาติ : ปราการพิทักษ์สุขภาพชุมชน ถึงเวลาหรือยัง”


โดย: jenifaae วันที่: 25 สิงหาคม 2552 เวลา:21:18:18 น.  

 
*งานดนตรีไทยอุดมศึกษา ครั้งที่ 37 ภายใต้คำขวัญว่า “ดุริยารมย์ อุดมศึกษา”

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับเกียรติจากสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ให้เป็นเจ้าภาพจัดงานดนตรีไทยอุดมศึกษา ครั้งที่ 37 ภายใต้คำขวัญว่า “ดุริยารมย์ อุดมศึกษา”
ในระหว่างวันที่ 30-31 ตุลาคม 2552
และจัดกิจกรรมทางวิชาการเกี่ยวกับดนตรีพิธีกรรมในวันที่ 29 ตุลาคม 2552 เวลา 09.00-21.00 น.
ณ อาคารยิมเนเซียม 1 (สถาบันพัฒนา SMEs) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
ศาสตราจารย์ ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับเกียรติจาก สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ให้เป็นเจ้าภาพจัดงานดนตรีไทยอุดมศึกษา ครั้งที่ 37 และเพื่อร่วมเฉลิมฉลองในวาระ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ครบรอบ 75 ปี แห่งการสถาปนามหาวิทยาลัย อีกทั้งเพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจหลักของมหาวิทยาลัย ในด้านทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ในโอกาสดังกล่าว มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดงานดนตรีไทยอุดมศึกษา ครั้งที่ 37 นี้ ในวันที่ 30 ตุลาคม 2552 เวลา 15.00 น. หลังจากที่พระองค์ท่านไม่ได้เสด็จฯงานดนตรีไทยอุดมศึกษาฯ มาเป็นเวลา 4 ปี แล้ว
อาจารย์ ดร.อนุชา ทีรคานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันไทยคดีศึกษา กล่าวเพิ่มเติมว่า งานดนตรีไทยอุดมศึกษาครั้งที่ 37 กำหนดจัดงาน ในระหว่างวันที่ 30-31 ตุลาคม 2552 เวลา 09.00-21.00 น. ณ อาคารยิมเนเซียม 1 (สถาบันพัฒนา SMEs) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ซึ่งจะมีสถาบันการศึกษาต่าง ๆ เข้าร่วมงานประมาณ 80 สถาบัน โดยจะมีกิจกรรมหลากหลาย อาทิ การแสดงดนตรีไทย บนเวทีหอประชุม การแสดงดนตรีเวทีย่อย การสัมมนาวิชาการ นิทรรศการเครื่องดนตรีชิ้นเอก การออกร้านหนังสือ และร่วมจำหน่าย สินค้าทางวัฒนธรรม เพื่อรองรับนักดนตรีไทยจากสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศ ตลอดจนนักวิชาการ นิสิต นักศึกษา นักเรียน และ ผู้สนใจทั่วไป ทั้งจากกรุงเทพมหานคร และปริมณฑลที่เข้าร่วมงาน นอกจากนี้ สถาบันไทยคดีศึกษา ยังจะจัดให้มีการสัมมนาทางวิชาการ เรื่องดนตรีพิธีกรรม ประกอบด้วย การบรรยายพิเศษโดยผู้ทรงคุณวุฒิ และการนำเสนอผลการศึกษาค้นคว้าของนักวิชาการและนักศึกษา รวมทั้งการสาธิตดนตรีพิธีกรรมของภูมิภาคและกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในประเทศไทย ในวันที่ 29 ตุลาคม 2552 เวลา 09.00-20.30 น. ณ อาคารยิมเนเซียม 1 (สถาบันพัฒนา SMEs) มธ. ศูนย์รังสิตด้วย
ผู้สนใจเข้าร่วมงาน สอบถามรายละเอียดได้ที่
สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โทร. 0-2613-3201-5 ต่อ 17
และงานประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โทร. 0-2564-4440 ต่อ 1117-8




*พิธีเปิดและปาฐกถาพิเศษเรื่อง “พระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกับผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์”

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม 2552
เวลา 09.00 – 12.00 น.
ห้องซาลอน บี
โรงแรมสวิสโฮเต็ล เลอ คองคอร์ด กรุงเทพฯ
ดร. สมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดและปาฐกถาพิเศษเรื่อง “พระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกับผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์” ซึ่งจัดขึ้นโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ โดยเชิญ แคล้ว ทองสม ผู้อำนวยการสำนักประเมินราคาทรัพย์สิน กรมธนารักษ์ มาร่วมเป็นวิทยากรด้วย ในวันพุธที่ 22 กรกฎาคม 2552 เวลา 09.00–12.00 น. ที่ห้องซาลอน บี โรงแรมสวิสโฮเต็ล เลอ คองคอร์ด กรุงเทพฯ

โรงแรมสวิสโฮเต็ล เลอ คองคอร์ด กรุงเทพฯ
204 ถนนรัชดาภิเษก ห้วยขวาง
กรุงเทพมหานคร 10320
โทรศัพท์ 0 2694 2222 ต่อ 1212-4
โทรสาร 0 2694 2214
E-mail: marcom.bangkok@swissotel.com
Website: //www.swissotel.com/bangkok-leconcorde




*งานสัมมนาบริษัทกลุ่ม System Integrator

DMaSStech บริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับระบบป้ายดิจิตอล (Digital Signage) ครบวงจร โดยที่ผ่านมามีผลประกอบและการเติบโตที่มากขึ้น จนได้รับสิทธิ์ในการเป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยของระบบ hardware และ software ของบริษัท CAYINTECH ไต้หวัน เพื่อเป็นการเพิ่มเครือข่ายการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น บริษัทฯ จึงจัดให้มีงานสัมมนาบริษัทกลุ่ม
System Integrator ขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้

วัตถุประสงค์
1. เพื่อเปิดตัวและแนะนำบริษัท DMaSStech ในฐานะตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ CAYIN อย่างเป็นทางการ
2. เพื่อนำเสนอข้อมูลด้านการเติบโตและ Trend ของ Digital Signage แก่บริษัทคู่ค้า
3. เพื่อนำเสนอสินค้าและ Solution DMaSStech ทั้งหมดรวมทั้ง turnkey solution ที่เกี่ยวข้อง
4. เพื่อเพิ่มจำนวนบริษัทที่เป็น potential reseller ของ DMaSStech
5. เพื่อนำเสนอ Business model สำหรับการทำธุรกิจระหว่าง DMaSStech กับ บริษัทคู่ค้า

กลุ่มผู้เข้าร่วมงาน
บริษัท System Integrator, IT solution และที่เกี่ยวข้อง จำนวน 50 บริษัท

วันเวลา สถานที่
วันพุธที่ 22 กรกฎาคม 2552 13.00-17.00 ณ ห้องฟอร์จูน 4 โรงแรม แกรนด์ เมอร์เคียว ฟอร์จูน ถนนรัชดา

รายละเอียดของงาน
เป็นงานที่แสดงและให้เห็นโอกาสทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้นจากจำนวนการเพิ่มขึ้นของการใช้งาน Digital Signage แบบต่างๆ โดยนำเสนอ Solution ของ DMaSStech ที่เน้นในเรื่อง Digital signage hardware และ software ในแต่ละรุ่น เพื่อดึงดูดให้บริษัทคู่ค้าเกิดการนำไปเสนอกับลูกค้า end user พร้อมสร้างเครือข่าย reseller ของ DMaSStech โดยในงานจะประกอบไปด้วย ผลิตภัณฑ์ของ DMaSStech เป็นหลัก คือ Cayin และเสริมด้วย partner ในอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง เช่น จอ LCD การติดตั้งและ decorate และการนำเสนอข้อมูลทางธุรกิจจากตัวแทนจากบริษัท CAYINTECH ซึ่งบินตรงมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ รวมทั้งเปิดโลกของ Digital Signage Content โดย อ.เวทิต ทองจันทร์ คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม
นอกจากการบรรยายแล้ว ยังมีตัวอย่างสินค้าบางส่วนให้ผู้เข้าร่วมงานได้ชมและสั่งจองเพื่อเป็น demo ในราคาพิเศษด้วย พร้อมแจกของที่ระลึก

กำหนดการ

13.00 น. ลงทะเบียน
13.30 น. เปิดงานโดย คุณเสถียร ทันต์เจริญกิจ กรรมการผู้จัดการ กล่าวถึงที่มาและวัตถุประสงค์ของงาน
13.45 น. แนะนำ บริษัท DMaSStech
14.00 น. แนะนำ บริษัท Cayintech ผู้ไว้วางใจ DMaSStech ให้เป็นตัวแทนรายเดียวในประเทศไทย
14.15 น. แนะนำ Digital Signage opportunity
14.30 น. แนะนำ Product & Solution จาก DMaSS
15.15 น. Tea break
15.30 น. แนะนำการนำไปใช้และการนำเสนอ content โดย อ.เวทิต ทองจันทร์ หัวหน้าภาควิชา Digital
Media คณะนิเทศศาสตร์ ม.สยาม
15.50 น. แนะนำ ผลิตภัณฑ์จอ LCD SAMSUNG
16.10 น. Business Model
16.30 น. สอบถามข้อสงสัย / จับรางวัล

**ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ

ผู้ประสานงาน: คุณกองทิพย์ สาแก้ว Email: sale1.dmass@gmail.com
บริษัท ดีแมสเทค จำกัด 1350/131 อาคารไทยรงค์ทาวเวอร์ ชั้น10 ถนนพัฒนาการ สวนหลวง กรุงเทพฯ 10250
02-7195581, โทรสาร 02-7195582 //www.dmassthailand.com




*กำหนดการสัมมนาและเจรจาธุรกิจ งาน “นวัตกรรมกล้วยไม้” นานาชาติ

ระหว่างวันที่

24-26 กรกฎาคม 2552
ห้องฟีนิกส์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี

**************************************************************************************

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม 2552 คณะวิทยากรเดินทางถึงประเทศไทย
วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม 2552 การสัมมนานวัตกรรมตลาดกล้วยไม้
08.30-09.00 น. ลงทะเบียน
09.00-09.30 น. พิธีเปิด โดย…………………..
09.30-10.00 น. พักรับประทานอาหารว่าง
10.00-12.00 น. การอภิปรายคณะการตลาดกล้วยไม้ไทยและแนวโน้มในอนาคต สมาคมผู้ส่งออกดอกกล้วยไม้ไทย กระทรวงพาณิชย์ (โดยกรมส่งเสริมการส่งออก ประสานงาน) ข้อกีดกัน คุณทิพากร แสงอุทัย (บ.Excel Orchid)
คุณประยูร พลอยพรหมมาศ (บ.Prayoon Orchids) ผู้ดำเนินการอภิปราย
12.00-13.00 น. รับประทานอาหารกลางวัน
13.00 – 14.00 น. - ตลาดไม้ดอกไม้ประดับญี่ปุ่นในสภาวะปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต
โดย Mr. Susumu Sugiyama, Japan Flower Trade Association (JFTA)
14.00 – 15.00 น. - การตลาด การควบคุมคุณภาพและแนวทางการนำกล้วยไม้ไทยเข้าสหภาพยุโรป (Union Fleurs ประสานงานผ่านทาง สทป. เกษตร บรัสเซล)
15.00-15.30 น. พักรับประทานอาหารว่าง
15.30-16.30 น. - จีน (ตลาด) (สศก. ประสานงานวิทยากรจากประเทศจีนและสมาคมผู้ส่งออกดอกกล้วยไม้ ไทย)
- ตลาดกล้วยไม้ในออสเตรเลีย (สทป.เกษตร แคนเบอรา ประสานงาน จะสนับสนุนค่าเครื่องบิน)
16.30-17.30 น. - ทางเลือกในการขนส่งสินค้าระยะไกล เรือ หรือเครื่องบิน (ดอกและต้นกล้วยไม้)
(Transportation options for far away markets: airfreight versus sea freight)
โดย Mr. Eelke Westra, Post-harvest technologist, Agritechnology & Food Innovations of Wageningen UR, Netherlands
หมายเหตุ ชื่อวิทยากรที่ตอบรับเบื้องต้นแล้วจะพิมพ์ด้วยอักษรตัวหนา

วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม 2552 การเจรจาธุรกิจ
08.30-09.30 น. ลงทะเบียน
09.30-12.00 น. การเจรจาธุรกิจ (ผู้นำเข้าจากต่างประเทศ และผู้ส่งออกไทย)
12.00-13.00 น. รับประทานอาหารเที่ยงร่วมกับผู้ส่งออกกล้วยไม้
13.00-17.00 น. การเจรจาธุรกิจ (ต่อ)

วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม 2552 การสัมมนานวัตกรรมการผลิตกล้วยไม้
08.30-09.00 น. ลงทะเบียน
09.00-09.30 น. พิธีเปิด โดย อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร
09.30-10.00 น. พักรับประทานอาหารว่าง
10.00-12.00 น. การอภิปรายคณะการผลิตกล้วยไม้ไทยและแนวโน้มในอนาคต คณะผู้อภิปรายจาก
ผู้ดำเนินการอภิปรายกรมวิชาการเกษตร
: การผลิตกล้วยไม้ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
: ทิศทางการพัฒนากล้วยไม้ในระบบ cluster เทคโนโลยีการผลิต และทิศทางในอนาคต สมาคมพฤกษชาติฯ
: แนวทางการผลิตและการพัฒนาพันธุ์กล้วยไม้ในอนาคต
12.00-13.00 น. รับประทานอาหารกลางวัน
13.00-14.00 น. - ความก้าวหน้าในการผลิตกล้วยไม้ในไต้หวัน โดย Prof. Fure-Chyi Chen: National Pingtung University of Science and Technology
14.00-15.00 น. - ความก้าวหน้าในการผลิตกล้วยไม้ในออสเตรเลีย (ประสานงานโดยทูตเกษตร ณ กรุงแคนเบอรา ซึ่งจะสนับสนุนค่าตั๋วเครื่องบินให้)
15.00-15.30 น. พักรับประทานอาหารว่าง
15.30-16.30 น. - การเก็บรักษาพันธุ์กล้วยไม้แบบแช่แข็งเพื่อการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนในอนาคต (Orchid Seed Stores for Sustainable Use)
โดย Mr. Philip Seaton from the Kew botanic garden, สหราชอาณาจักร (ดร.ครรชิต ประสานงาน)
16.30 – 17.30 น. - --------------------------------------------------------------------------------------

วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม 2552 การทัศนศึกษาดูงาน
08.30-17.00 น. นำผู้นำเข้าและวิทยากรดูงานการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อกล้วยไม้ สวนต้นกล้วยไม้ สวนดอกกล้วยไม้ และบริษัทส่งออกกล้วยไม้

วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม 2552
08.30-17.00 น. เยี่ยมชมบริษัทส่งออกกล้วยไม้ ตามนัดหมายกับผู้ส่งออก
เดินทางกลับประเทศ
หมายเหตุ ชื่อวิทยากรที่ตอบรับเบื้องต้นแล้วจะพิมพ์ด้วยอักษรตัวหนา


โดย: jenifaae วันที่: 25 สิงหาคม 2552 เวลา:21:19:05 น.  

 
*Bangkok Kids Learning Expo 2009

พบกับอาณาจักรการเรียนรู้กว้างกว่าที่คิด กับอิสระแห่งการเรียนรู้ พร้อมสัมผัสกับ 4 เส้นทาง ส่งเสริมทักษะของพ่อแม่เพื่อสร้างเสริมการเรียนรู้ของลูก ในแบบ Free Play for Learning จากโซนต่าง ๆ มากมาย อาทิ - Free Play for Reading อิสระการเรียนรู้ผ่านตัวอักษรการเรียนรู้โลกกว้างผ่านการอ่าน - Free Play for Movement อิสระการเรียนรู้กับทุกการเคลื่อนไหวเสริมทักษะในการใช้ชีวิตให้กล้าคิด กล้าเผชิญ - Free Play for Freedom อิสระการเรียนรู้สู่โลกกว้างอย่างอิสระและเสริมสร้างการเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง - Parental Skill สร้างทักษะพ่อแม่เพื่อพัฒนาการและศักยภาพในแบบครบเครื่อง เตรียมความพร้อมให้กับพ่อแม่ในการดูแลลูกและแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูก พร้อมเผชิญโลกกว้างได้ปลอดภัย




*Interior in Trend 09 งานแสดงการตกแต่งภายในและผลิตภัณฑ์เพื่อการตกแต่ง ครั้งที่ 26

บริษัท ทีทีเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ภาย ใต้การสนับสนุนของสมาคมมัณฑนากรแห่งประเทศไทย และสภาวิชาการสถาปัตยกรรมภายในและออกแบบภายในแห่งประเทศไทย จะจัด งานแสดงสินค้า "Interior in Trend'09" งานแสดงการตกแต่งภายในและผลิตภัณฑ์เพื่อการตกแต่ง ครั้งที่ 26 ในระหว่างวันที่ 10 - 13 กันยายน 2552 ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน "Interior in Trend '09" ได้มีการปรับปรุงและพัฒนากิจกรรมต่าง ๆ เพื่อช่วยส่งเสริมให้งานนี้เป็นสื่อการตลาดที่สำคัญและสร้างความคุ้มค่าทาง ธุรกิจให้กับทุกภาคส่วนในวงการตกแต่งภายในมากที่สุด อาทิ -กิจกรรมการส่งเสริมวิชาการ -กิจกรรมส่งเสริมวิชาชีพ -กิจกรรมส่งเสริมผู้แสดงสินค้า -กิจกรรมส่งเสริมผู้ชมงาน -การแจกแบบตกแต่งภายในฟรี บริษัท ทีทีเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จึงขอเรียนเชิญท่านเข้าร่วมแสดงผลิตภัณฑ์-บริการในงาน"Interior in Trend '09"เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์และกระตุ้งให้เกิดการขยายตัวทางการตลาดของ ผลิตภัณฑ์-บริการที่เกี่ยวข้องกับวงการตกแต่งภายในประเทศไทยให้มากขึ้น จัดโดย บริษัท ทีทีเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ชั้น 6 เอ.อี.เฮ้าส์ 200/12-14 ถนนรามคำแหง 4 แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กรุงเทพ ฯ 10250 โทรศัพท์ +66 2717 2477 โทรสาร +66 2729 8759 URL //www.TTFIntl.com E-mail info@TTFIntl.com อีเมลนี้จะถูกป้องกันจากสแปมบอท แต่คุณต้องเปิดการใช้งานจาวาสคริปก่อน
เริ่มวันที่ 10 ก.ย. 2552 ถึง วันที่ 13 ก.ย. 2552




*งาน "มหกรรมภาษาและวัฒนธรรม" (Education & Culture Festival 2009) "

โรงเรียนภาษาและวัฒนธรรม สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น) กำหนดจัดงาน "มหกรรมภาษาและวัฒนธรรม" (Education & Culture Festival 2009) " ขึ้น ในวันเสาร์ที่ 1 – อาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม 2552 เวลา 11.00 – 17.00 น. ที่ อุทยานการเรียนรู้ TK park ชั้น 8 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับภาษาและ วัฒนธรรมไทย ญี่ปุ่น อังกฤษ จีน และเกาหลี ซึ่งเป็นที่มาของการสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างกัน
ภายในงานมีจัดนิทรรศการ การเสวนา การสาธิตกิจกรรมสาระความรู้ ความบันเทิง การแสดงและเกมต่างๆ จาก 5 ภาษา 5 วัฒนธรรม ไทย ญี่ปุ่น อังกฤษ จีน เกาหลี อาทิ ฝึกเขียนอักษรไทยโบราณ อักษรจีนมงคล อักษรเกาหลี เขียนพู่กันญี่ปุ่น วาดภาพพู่กันจีน พับกระดาษโอริกามิ ประดิษฐ์การ์ดอวยพร ประดิษฐ์ตุ๊กตาดอกบัว ถักเชือกจีน ทดลองใส่ชุดกี่เพ้า ชุดฮันบก เรียนภาษาญี่ปุ่น จีน อังกฤษ เกาหลี ชมการแสดงไอคิโด้ เทควันโด้แดนท์ รำพัดจีน รำโอกินาวา หุ่นยนต์ สาธิตการแต่งชุดกิโมโนและทำผมสไตล์ญี่ปุ่น สาธิตการแต่งชุดไทย สาธิตและสอนเต้นรำ รวมทั้งร่วมฟังการเสวนาในหัวข้อเรื่อง "เปิดโลกภาษาญี่ปุ่นกับเอริน" และ "สนุกกับภาษาจีน" โดยผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นต้น
สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0-2259-9160 ต่อ 1641
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 02259-9160 ต่อ 1641 ประชาสัมพันธ์




*ขอเชิญทุกท่านเข้าร่วมงานบรรยายพิเศษ สู่ความเป็นเลิศด้านการศึกษาต่อต่างประเทศ

ทรู คอฟฟี่ ร่วมกับ เมนเทอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ศูนย์แนะแนวการศึกษาต่อระดับแนวหน้าของเมืองไทยทั้งนี้ เพื่อตอกย้ำการเป็น Knowledge provider เพิ่มพูนความรู้ให้กับลูกค้าภายใต้ คอนเซ็ปต์ "Innovative Learning House" ขอเชิญทุกท่านเข้าร่วมงานบรรยายพิเศษ สู่ความเป็นเลิศด้านการศึกษาต่อต่างประเทศ ภายใต้หัวข้อ Get an update on the latest fashion trend in Autumn and Winter 2009 and some tips to choose the right colors and graphic design in your daily life เพื่อเอาใจผู้หลงใหลแฟชั่นที่จะศึกษาต่อด้านศิลปะและการออกแบบในประเทศอังกฤษ ในวันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม 2552 ณ ร้านทรูไลฟ์ สาขาสยาม สแควร์ ซอย 3 เวลา13.00 – 15.00 น. ตามกำหนดการดังนี้

12.45 – 13.00 น. ลงทะเบียน

13.00 – 13.15 น. พิธีกรกล่าวแนะนำผู้บริหารและแขกรับเชิญ

13.15 – 13.50 น. บรรยายหัวข้อ "Get an update on the latest fashion trend in Autumn and Winter 2009"
โดยคุณมัญชุมาศ นำเบญจพล
ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยชื่อดังระดับโลกด้านศิลปะและการออกแบบแห่งมหานครลอนดอน Central Saint Martins College of Art and Design, University of the Arts London
ดีไซน์เนอร์และเจ้าของห้องเสื้อชื่อดัง munchu's

13.50 – 14.30 น. บรรยายหัวข้อ "How to choose the right colors and graphic design for your daily life"
โดยคุณศริญญา ลิมป์ทองทิพย์
ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยชื่อดังระดับโลกด้านศิลปะและการออกแบบแห่งมหานครลอนดอน Chelsea College of Art and Design, University of the Arts London

14.30 – 15.00 น. ช่วงถาม – ตอบ

สื่อมวลชนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่:
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น
สื่อมวลชนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่:
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น
พิมลพรรณ ศิริวงศ์วานงาม
โทร: +66 (0) 2699 2772
อีเมลล์: pimolpan_sir@truecorp.co.th
โปรดปราน เสริญวงศ์สัตย์ (ผิง)
โทร: +66 (0) 2699 2774
อีเมลล์: prodpran_ser@truecorp.co.th
บริษัท ธนบุรินทร์ เอเชีย แปซิฟิค จำกัด
เกษมศรี ยูเฟมิโย (081 611 4696)
โทร: +66 (0) 2231 6158
อีเมลล์: kasemsri@thanaburin.co.th
ธิดาพร จำรัสคำ (081 734 0473)
โทร: +66 (0) 2231 6159
อีเมลล์: tidaporn@thanaburin.co.th
ศูนย์แนะการศึกษาต่อต่างประเทศ เมนเทอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล
รัชฏาภรณ์ พิชัยศรีสวัสดิ์
โทร: +66 (0) 255 5157-9
อีเมลล์: ratchadaporn@mentor.ac




*สัมมนาวิชาการนานาชาติเรื่อง "ไทย-ฟิลิปปินส์ : ความสัมพันธ์แนบแน่นเหนือกาลเวลา"

" ไทย-ฟิลิปปินส์: ความสัมพันธ์แนบแน่นเหนือกาลเวลา "

วันที่ 7 สิงหาคม 2552 เวลา 8.00 – 16.30 น. ณ ห้อง 105 อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาฯ ขอเชิญร่วมงานสัมมนาวิชาการนานาชาติ เรื่อง "ไทย-ฟิลิปปินส์ : ความสัมพันธ์แนบแน่นเหนือกาลเวลา" (Thailand and The Philippines : Ties Beyond Times) เวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านประวัติศาสตร์ การเมือง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการค้าการลงทุน ของนักวิชาการไทย-ฟิลิปปินส์ ในโอกาสครบรอบ 60 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ฟิลิปปินส์ และฟังปาฐกถาพิเศษที่น่าสนใจเรื่อง "ประชาธิปไตยในฟิลิปปินส์ : บทเรียนสำหรับไทย" รวมทั้งประเด็นสัมมนาเรื่อง "สายน้ำ-เส้นทางการค้า-ความสัมพันธ์ทางการค้า-โอกาสและความท้าทาย" เป็นต้น

ขอเชิญร่วมการสัมมนาวิชาการนานาชาติ ในโอกาสครบรอบ 60 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ฟิลิปปินส์ วันที่ 7 สิงหาคม 2552 เวลา 8.00 – 16.30 น. ณ ห้องประชุม 105 อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาฯ ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ และสถานทูตฟิลิปปินส์ประจำประเทศไทย จัดการสัมมนาวิชาการนานาชาติ เรื่อง "ไทย-ฟิลิปปินส์: ความสัมพันธ์แนบแน่นเหนือกาลเวลา" (Thailand and The Philippines: Ties Beyond Times) เพื่อเป็นเวทีให้นักวิชาการได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางด้านประวัติศาสตร์ การเมือง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และการค้าการลงทุน เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปี ความสัมพันธ์ไทยกับฟิลิปปินส์ ซึ่งไทยได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับฟิลิปปินส์เป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เมื่อวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 1949 (พ.ศ. 2492) ตลอดระยะเวลามีความสัมพันธ์ราบรื่นและใกล้ชิดโดยความสัมพันธ์ในระดับทวิภาคีมีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วม (Joint Commission) เพื่อหารือร่วมกันในความร่วมมือทางการทหาร การฝึกอบรมด้านสิ่งแวดล้อมและพัฒนาชุมชนให้แก่บุคลากรฟิลิปปินส์ การแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมผ่านสื่อมวลชนที่เดินทางมาไทยสม่ำเสมอ ส่วนในระดับภูมิภาคและพหุภาคี ได้ร่วมกันให้ความสนับสนุนและร่วมมือด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยวกับประเทศต่างๆ ในกรอบเขตการค้าเสรีอาเซียน องค์กรการค้าโลกและสหประชาชาติ หัวข้อการสัมมนาประกอบด้วย ปาฐกถาเรื่อง "ประชาธิปไตยในฟิลิปปินส์ : บทเรียนสำหรับประเทศไทย"

โดยนักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิฟิลิปปินส์ "สายน้ำ : เส้นทางการค้าไทย-ฟิลิปปินส์" "ระบบความเชื่อระดับท้องถิ่นในไทยและฟิลิปปินส์" "ความสัมพันธ์ทางการค้า : โอกาสและความท้าทาย" และเวทีเสวนาเรื่อง "ประชาชนกับประชาชน" โดยนักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิไทย-ฟิลิปปินส์ และเอกอัครราชทูตฟิลิปปินส์ประจำประเทศไทย ผู้เข้าร่วมการสัมมนาประกอบด้วยนักวิชาการไทยและนานาชาติ นักการทูต นักธุรกิจ และผู้สนใจ ติดต่อสอบถามรายละเอียดเข้าร่วมการสัมมนา (ฟรี) ได้ที่สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาฯ โทร. 02-2187464-65




*การแก้ปัญหาในอุตสาหกรรมด้วยการจัดการโซ่อุปทาน

15 ส.ค. 52 การแก้ปัญหาในอุตสาหกรรมด้วยการจัดการห่วงโซ่อุปทาน
โดย ผศ.ดร.มาโนช โลหเตปานนท์ ผศ.ดร.สีรง ปรีชานนท์
เวลา 09.00 - 16.00 น. ณ ห้อง 209 ตึก 3 คณะวิศวกรรมศาสตร์

ฟรี สนใจเข้าร่วมอบรม ติดต่อสอบถามและสำรองที่นั่งได้ที่

คุณนาฏยา บุญช่วยฉัน โทร. 02-218-6344 ด่วน! จำนวนจำกัด

15 ส.ค.52 การแก้ปัญหาในอุตสาหกรรมด้วยการจัดการโซ่อุปทาน
9.00-16.00 น. โดย ผศ.ดร.มาโนช โลหเตปานนท์ และ ผศ.ดร.สีรง ปรีชานนท์

การบรรยายสำหรับผู้บริหาร หรือเจ้าของกิจการที่เป็นผู้ผลิตสินค้าขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ในด้านการแก้ปัญหาเกี่ยวกับห่วงโซ่อุปทาน เช่น การวางแผนจัดซื้อจัดหา การผลิต การแปรรูป การจัดส่ง รู้จักความต้องการของลูกค้า ความสอดคล้องระหว่าง

แผนธุรกิจและแผนโซ่อุปทาน ทำอย่างไรให้เดินไปในทิศทางเดียวกัน

จำนวนรับ 80 คน โดยเป็นกลุ่มผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมทั้งขนาดกลางและขนาดใหญ่ รวมถึงนักศึกษาและประชาชนผู้สนใจ

สถานที่จัดอบรม ห้อง 209 ตึก 3 คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ

สามารถติดต่อได้โคยตรงที่
คุณนาฏยา บุญช่วยฉัน ศูนย์บริการวิชาการ
คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถนนพญาไท ปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
โทรศัพท์ 02-218-6344 โทรสาร 02-218-6404
อีเมลล์ larngear@eng.chula.ac.th


โดย: jenifaae วันที่: 25 สิงหาคม 2552 เวลา:21:20:09 น.  

 
*สัมมนาเชิงปฏิบัติการ "Training of the Trainer on e-Marketing"

ระหว่างวันที่ 21-23 และ 28-30 สิงหาคม 2552 ณ อาคารวิทยพัฒนา สคพ.
Training&Workshop
Start: 2009-08-21 09:00
End: 2009-08-30 17:00
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) จัดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการในหลักสูตร TRAINING OF THE TRAINER ON E-MARKETING ระหว่าง วันที่ 21 – 23 และ 28 – 30 สิงหาคม 2552 ณ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา ชั้น 8 อาคารวิทยพัฒนา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จุฬาซอย 12 ถนนพญาไท กรุงเทพฯ

วัตถุประสงค์
เพื่อเสริมสร้างความรู้ ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญให้แก่ผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และบุคลากรอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการทำกลยุทธ์การตลาดออนไลน์อย่างเหมาะสมและ ถูกวิธี ตลอดจนสามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองจนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์ทางการตลาด อิเล็กทรอนิกส์ของไทย (Thailand e-Marketing Specialist: TEMS) และนำความรู้ที่ได้รับไปเผยแพร่ โดยร่วมมือกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า รวมถึงสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (ITD) ในการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการตลาดอิเล็กทรอนิกส์ให้แก่ผู้ประกอบการไทย ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคต่อไปในอนาคต
เนื้อหาการสัมมนา
โครงสร้างหลักสูตรมุ่งเน้นสำหรับพัฒนาผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์ทางการตลาดอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งประกอบด้วยเนื้อสาระดังต่อไปนี้
- ขั้นตอนการทำ e-Marketing
- กลยุทธ์การตลาดออนไลน์
- กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการตลาดออนไลน์
- ประสบการณ์และหลักปฏิบัติที่ดีเกี่ยวกับ e-Marketingในนิวซีแลนด์

--------------------------------------------------------------------------------

คุณสมบัติของผู้เข้ารับการสัมมนา
การคัดเลือกบุคคลเข้ารับการสัมมนา จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ผู้ประกอบการ และอาจารย์ โดยใช้หลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

ผู้ประกอบการ (จำนวน 24 คน)

มีวุฒิการศึกษาขั้นต่ำปริญญาตรี
มีประสบการณ์ในการประกอบธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ อย่างน้อย 1 ปี
มีความรู้ด้านภาษาอังกฤษดี
อาจารย์ (จำนวน 6 คน)
มีประสบการณ์ในการสอนด้านการตลาด หรือพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ อย่างน้อย 1ปี
ติดต่อสอบถาม
หากท่านต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (คุณสลิลา) โทรศัพท์ 0 2547 5960 หรือ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (คุณพันธ์รบและคุณอาภากร) โทรศัพท์ 0 2160 5103-6 ต่อ 205 และ 211

**ส่งใบสมัครพร้อมหลักฐานในการสมัครทางไปรษณีย์ลงทะเบียนมายังสถาบัน ระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (สคพ.) ส่วนงานฝึกอบรม อาคารสำนักงานจัตุรัสจามจุรี ชั้น 16 ถนนพญาไท เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 ภายในวันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม 2552




*ฟรีอบรม 1-2-3 CRM: 3 ขั้นตอนสู่การใช้งานระบบ CRM System อย่างมีประสิทธิภาพด้วย Ai-CRM

บริษัท เอ ไอ ซิสเต็ม ยินดีนำเสนอการอบรมในวันที่ 31 กรกฎาคม 2009 09:30-17:00 ณ ศูนย์การศึกษาสาทรธานี มหาวิทยาลัยรังสิต โดยในการอบรมทางวิทยากรจะให้ความรู้ ความเข้าใจในเรื่องของ CRM ให้กับผู้เข้าอบรม ตั้งแต่กระบวนการ CRM และการนำ CRM มาใช้ในองค์กร นอกเหนือจากนั้น วิทยากรจะอบรมการใช้งาน Ai-CRM System ซึ่งเป็น Software Package CRM ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผู้เข้าอบรม สามารถใช้งาน รวมถึงยกตัวอย่าง Case Study ขององค์กรที่มีการใช้งานระบบ เพื่อให้ผู้เข้าอบรม สามารถใช้ระบบงานได้จริง และเริ่มใช้งานได้ทันที โดยระบบ CRM นี้ สามารถอบรมและใช้งานจริงเสร็จภายใน 3 วัน ไม่ทำให้การมองหาและใช้งานระบบ CRM เป็นเรื่องยากอีกต่อไป

ผู้เข้าอบรมทุกท่าน จะได้รับ User Account ในการใช้งานระบบ Ai-CRM System Version SaaS
(ใช้งานผ่าน Internet) ฟรี
ท่านที่สนใจ สามารถติดต่อสำรองที่นั่งในการอบรมได้ที่เบอร์ติดต่อด้านล่าง หรือ ที่เว็บไซต์ //www.ai-crm.com

คุณ เกรียงไกร สุทธินราธร หรือ คุณ สกาวรัตน์ ลิ้มประเสริฐ
บริษัท เอ ไอ ซิสเต็ม จำกัด
อาคาร จีพี เฮ้าส์ ชั้น 2
71 ถนน ทรัพย์ แขวง สี่พระยา เขต บางรัก กรุงเทพฯ 10500
โทร: 0-2637-1142 - 3
Fax: 0-2637-1141
Email: sales@aisyst.com
marketing@aisyst.com
Website: //www.aisystem.co.th
//www.aisyst.com
//www.ai-crm.com



*งานสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 4

The 4th National Moral Marketplace and Assembly
งานสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 4 Jul. 30-Aug. 1, 2009 at Hall 9
Moral Marketplace and Assembly showcases innovations about moral support.S
Contact Organizer :
Center for the Promotion of National Strength on
Moral Ethics and Values
URL: //www.moralcenter.or.th




*งานสัมมนา ภายใต้ชื่อโครงการ : สัมมนาเชิงปฏิบัติการ ยกเครื่ององค์กรสู่ความเป็นเลิศ

ขอเชิญผู้ประกอบการและผู้สนใจทั่วไป ร่วมงานสัมมนา ภายใต้ชื่อโครงการ : สัมมนาเชิงปฏิบัติการ ยกเครื่ององค์กรสู่ความเป็นเลิศ ในวันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฏาคม 2552 เวลา 08.30-17.00 น. วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล

ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย : SME BANK และ สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม (ช่องเถ้าแก่) ร่วมกับ หน่วยงานพันธมิตร หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ผู้จัดการ 360 องศา และ ดร.สุกิตติ เอื้อมหเจริญ จัดสัมมนาเพื่อการพัฒนาผู้ประกอบการไทยขึ้น ภายใต้ชื่อ โครงการ : สัมมนาเชิงปฏิบัติการ ยกเครื่ององค์กรสู่ความเป็นเลิศ โดยกำหนดให้มีขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฏาคม 2552 เวลา 08.30-17.00 น. ณ ห้อง 603-604 ชั้น 6 วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU)

สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-2629-5412, 084-460-9009 (ผู้เข้าร่วมสัมมนาไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น)

ติดต่อสำรองที่นั่ง คุณตุ๊กตาและคุณ อรุณี

โทร 02-629-5412

มือถือ 084-710-1521 / 081-406-6854 ตลอด 24 ชั่วโมง




*กำหนดจัดงานแถลงข่าว “รางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่” ประจำปี 2552

เป็นที่ทราบกันดีว่า คุณภาพของทรัพยากรมนุษย์เป็นปัจจัยสำคัญในการนำประเทศให้สามารถพัฒนาได้ทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ และการพัฒนาประเทศจะดำเนินต่อไปจนสามารถยืนหยัดด้วยตนเองได้อย่างมั่นคงนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งสร้างบุคลากรทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักวิทยาศาสตร์พื้นฐาน มูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดีเด่นในพระบรมราชูปถัมภ์ได้ตระหนักในความจริงดังกล่าว จึงริเริ่มให้มีรางวัล “นักวิทยาศาสตร์ดีเด่น” ตั้งแต่ปี 2525 เป็นต้นมา ซึ่งได้สร้างความตื่นตัวและความภูมิใจในความสามารถของนักวิทยาศาสตร์ไทยเป็นลำดับ

การมีรางวัล “นักวิทยาศาสตร์ดีเด่น” นอกจากจะเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรตินักวิทยาศาสตร์ที่มีผลงานดีเด่นแล้ว ยังเป็นการสร้างปูชนียบุคคลเพื่อให้เยาวชนรุ่นหลังได้ยึดถือไว้เป็นแบบอย่าง ที่สำคัญคือเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างบุคลากรด้านการวิจัยที่จะเป็นผู้สร้างองค์ความรู้ใหม่ให้เกิดขึ้นภายในประเทศ และสามารถนำองค์ความรู้ที่ได้ไปใช้ในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนของประเทศต่อไป

สำหรับปีนี้มูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์ กำหนดจัดงานแถลงข่าว “รางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่” ประจำปี 2552 ขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฏาคม 2552 ณ ห้องกมลทิพย์ (ชั้น 2) โรงแรมสยามซิตี้ (รายละเอียดในกำหนดการ)

ในฐานะที่ท่านเป็นผู้หนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่ข่าวสารดังต่างๆ มูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์ ใคร่ขอเรียนเชิญท่านร่วมงานในวันเวลาดังกล่าว

กำหนดการแถลงข่าว

10.00 – 10.30 น. ลงทะเบียน/รับประทานชา-กาแฟ ณ ห้องกมลทิพย์

10.30 – 10.45 น. ดร. กอปร กฤตยากีรณ ประธานมูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวแนะนำมูลนิธิฯ และ เปิดการแถลงข่าว
คุณวีนัส อัศวสิทธิถาวร ผู้อำนวยการสำนักงานสื่อสารองค์กร เอสซีจี
ดร. ชาตรี ศรีไพพรรณ ที่ปรึกษาอาวุโสสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
ผศ. วุฒิพงศ์ เตชะดำรงสิน รองผู้อำนวยการ
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการสนับสนุนเงินรางวัลแก่มูลนิธิฯ

10.45 – 11.15 น. ศาสตราจารย์ ดร. ยอดหทัย เทพธรานนท์
ประธานคณะกรรมการรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่น
ประกาศผลรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นประจำปี พ.ศ. 2552
(VDO Presentation นักวิทยาศาสตร์ดีเด่น ประจำปี 2552)
นักวิทยาศาสตร์ดีเด่น ประจำปี พ.ศ. 2552 กล่าวสรุปผลงานวิจัย

11.15 – 11.45 น. ศาสตราจารย์ ดร. วิชัย บุญแสง
ประกาศผลรางวัลนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ประจำปี พ.ศ. 2552
(VDO Presentation นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ ประจำปี 2552)
นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ ประจำปี พ.ศ. 2552 กล่าวสรุปผลงานวิจัย

11.45 – 12.00 น. อธิการบดี หรือผู้แทนต้นสังกัดของนักวิทยาศาสตร์ดีเด่น และนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่
กล่าวแสดงความยินดี
ถ่ายรูปผู้ได้รับรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ร่วมกัน และสื่อมวลชนสัมภาษณ์ผู้ได้รับรางวัล

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 0 – 2270 – 1350 - 4


โดย: jenifaae วันที่: 25 สิงหาคม 2552 เวลา:21:20:57 น.  

 
* Food Focus Thailand Roadmap # 5: Seafood Edition อุตสาหกรรมอาหารทะเล

วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2552 ห้องจูปิเตอร์ ชาเลนเจอร์ฮอล์ เมืองทองธานี
เวทีกลางในการพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เน้นเรื่องราวในอุตสาหกรรมอาหารทะเลของประเทศไทยและภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกในแง่มุมที่ครบวงจร “จากน่านน้ำสู่ผู้บริโภค” เนื่องด้วยกฎหมายอาหารทะเลในทุกวันนี้เกิดขึ้นมากมาย เพื่อเป็นการประกันว่าผู้บริโภคจะได้รับประทานผลิตภัณฑ์ที่มีความปลอดภัย จึงถึงเวลาแล้วที่ผู้ประกอบการต้องตื่นตัวและปรับแนวการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน นอกจากนั้นยังมีเนื้อหานวัตกรรมทันสมัยของเทคโนโลยีในกระบวนการผลิต มุมมองด้านความปลอดภัย กฎหมายใหม่ และอีกหลากหลายมุมมอง

โปรแกรมการสัมมนา
08.30-09.00 ลงทะเบียน
09.00-10.00 กฎหมายน่านน้ำและตลาดการส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารทะเลในปี 2552-2553
โดย: ดร. วราภรณ์ พรหมพจน์
ผู้อำนวยการกองประมงต่างประเทศ กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
10.00-10.15 ปัญหาหลักด้านการผลิตของโรงงานอาหารทะเล และแนวทางแก้ไข
10.15-10.30 ผลิตภัณฑ์อาหารทะเลโดนใจในตลาดสำคัญของโลก
10.30-11.00 พักรับประทานอาหารว่าง พร้อมเยี่ยมชมสินค้าและบริการ
11.00-12.00 มุมมองตลาดทูน่า: ทำอย่างไรให้เติบโตและยั่งยืน
โดย : คุณมารุต เจริญศรี
อาจารย์พิเศษ มหาวิทยาลัยศิลปากร
12.00-13.00 พักรับประทานอาหารกลางวัน
13.00-13.10 มาตรฐานที่จำเป็นสำหรับอุตสาหกรรมการแปรรูปสัตว์น้ำ
13.10-13.20 การตรวจจับโลหะปลอมปนในโรงงานอาหารทะเล
13.20-14.20 วิธีการตรวจสอบคุณภาพด้านจุลินทรีย์สำหรับการส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารทะเลไปยังประเทศญี่ปุ่น
โดย: ผศ. ดร. พงษ์เทพ วิไลพันธ์ ภาควิชาผลิตภัณฑ์ประมง คณะประมง
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
14.20-15.20 ปัญหาและอุปสรรคในการจัดทำระบบ HACCP ในโรงงานผลิตภัณฑ์อาหารทะเล
โดย: รศ.ดร. อดิศร เสวตวิวัฒน์
คณะอุตสาหกรรมเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
15.20-16.00 พักรับประทานอาหารว่าง พร้อมเยี่ยมชมสินค้าและบริการ
16.00-17.00 การบริหารจัดการโลจิสติกส์สำหรับผลิตภัณฑ์อาหารทะเลส่งออก
โดย: คุณไพบูลย์ พลสุวรรณา ประธานสภาผู้ขนส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย
17.00-17.10 ปิดการสัมมนา และจับรางวัลผู้โชคดี
หมายเหตุ: ขอสงวนสิทธิ์เปลี่ยนแปลงโปรแกรมตามความเหมาะสม
สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
คุณสุรีรัตน์
02-1921250-2#101
Be Media Focus (Thailand) Co., Ltd.
3/211 Moo-Ban Setthasiri Prachachuen, Prachachuen Road, Tasai, Muang Nonthaburi, Nonthaburi 11000 Thailand
T. 66 2 192 1250-2
F. 66 2 192 1315
//www.foodfocusthailand.com
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 02-1921250-2 ขนุน




*สัมมนาเรื่อง “คาร์บอนเครดิตกับกาดำเนินธุรกิจและการพัฒนาประเทศไทย”

ประธานคณะกรรมาธิการการพลังงาน วุฒิสภา เผย ร่วมกับกระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดสัมมนา เรื่อง “คาร์บอนเครดิตกับการดำเนินธุรกิจและการพัฒนาประเทศไทย” หวังให้ได้แนวทางและวิธีการส่งเสริมและพัฒนาโครงการ CDM 7 ส..ค. นี้

พลเอกเลิศรัตน์ รัตนวานิช ประธานคณะกรรมาธิการการพลังงาน วุฒิสภา กล่าวถึงการจัดสัมมนาเรื่อง “คาร์บอนเครดิตกับการดำเนินธุรกิจและการพัฒนาประเทศไทย” ในวันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม นี้ว่า กมธ.จะร่วมกับกระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดสัมมนาดังกล่าวขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ “คาร์บอนเครดิต” และรับฟังข้อคิดเห็นจากผู้แทนในภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการดำเนินการ การส่งเสริมและพัฒนาโครงการกลไกพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanism : CDM) เพื่อดำเนินธุรกิจคาร์บอนเครดิต นอกจากนี้ ยังเป็นการกระตุ้นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและรับผิดชอบ รวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงเพื่อดำเนินการหาแนวทางและวิธีการในการส่งเสริมและพัฒนาโครงการ CDM ทั้งนี้ หลังจากการจัดสัมมนาแล้วกมธ.จะสรุปและประมวลผลเพื่อเป็นข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ เสนอต่อวุฒิสภาเพื่อพิจารณาต่อไป

ประธานคณะกรรมาธิการการพลังงาน วุฒิสภา กล่าวด้วยว่า การสัมมนาจะมีขึ้นตั้งแต่เวลา 08.00-14.30 น. ณ โรงแรมเรดิสัน ถนนพระราม 9 กรุงเทพมหานคร โดยมี ศ.พิเศษ ประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา เปิดการสัมมนา และจะมีการอภิปรายและแสดงความคิดเห็นเรื่องต่าง ๆ อาทิ แนวทางและสถานะของโครงการ CDM หลังปี 2012 , เงื่อนไขในการจัดทำข้อเสนอโครงการ CDM , ปัญหาและอุปสรรคของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมในการดำเนินธุรกิจคาร์บอนเครดิต, นโยบายการเก็บภาษี ,ประสบการณ์ดำเนินโครงการ CDM รวมทั้งปัญหาอุปสรรคและแนวทางแก้ไข และหลังจากนั้น ก็จะเปิดโอกาสให้มีการซักถามต่อไป




*สัมมนา เรื่อง “โอกาสและลู่ทางธุรกิจไทยในตลาดคาร์บอนเอเชีย

หอการค้าไทย จัดสัมมนา เรื่อง “โอกาสและลู่ทางธุรกิจไทยในตลาดคาร์บอนเอเชีย ขึ้น ในวันพุธที่ 29 กรกฎาคม 2552 เวลา 09.30 -12.00 น. ณ ห้อง Activity Hall อาคารบรรเจิด ชลวิจารณ์ ราชบพิธ โดย คณะกรรมการพลังงานทางเลือก หอการค้าไทย

กำหนดการ

09.30 – 10.00 น. ลงทะเบียน
10.00 – 10.30 น. - พิธีเปิดสัมมนา และบรรยายพิเศษ
โดย คุณเริ่มพงษ์ บูรณฤกษ์ ประธานคณะกรรมการทางเลือก หอการค้าไทย
10.30 – 11.00 น. - การจัดการก๊าซเรือนกระจกและตลาดคาร์บอนในประเทศไทย
โดย คุณศิริธัญญ์ ไพโรจน์บริบูรณ์
ผอ.องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)
11.00 – 11.20 น. - โอกาสของประเทศไทยในตลาดคาร์บอนเอเชีย
โดย Mr. Ralp Hendrice, General Manager,Koelnmesse Pte Ltd
11.20 – 12.00 - ประโยชน์จาการค้าคาร์บอนเครดิต กับการสนับสนุนทางการเงิน
โดย คุณประเสริฐสุข จามรมาน
รอง ผอ. องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)




*สัมมนา SME ครึ่งปี 2552 เรื่อง ‘การปรับตัวในยุคเศรษฐกิจโลกวิกฤต’

ด้วยธนาคารกรุงเทพ ผู้ริเริ่มและเล็งเห็นถึงความสำคัญกับภาคธุรกิจ SME ด้วยการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่ตอบสนองความต้องการและสามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการ อีกทั้งการจัดกิจกรรมรูปแบบต่าง ๆ ในการส่งเสริมให้ธุรกิจ SME ในประเทศไทยให้สามารถพัฒนาและก้าวหน้าได้อย่างมั่นคง ดังเช่นการก่อตั้งชมรมบัวหลวงเอสเอ็มอี ที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2546 เพื่อให้เป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการด้วยกัน
ในโอกาสนี้ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมกับชมรมบัวหลวงเอสเอ็มอี จัดสัมมนา SME ครึ่งปี 2552 เรื่อง ‘การปรับตัวในยุคเศรษฐกิจโลกวิกฤต’ ขึ้นในวันพุธที่ 29 กรกฎาคม 2552 เวลา 12.30 – 17.00 น. ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ โดยมี คุณโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร บรรยายเรื่อง ‘ทิศทางเศรษฐกิจไทยในยุคเศรษฐกิจโลกวิกฤต’ พร้อมการอภิปราย เรื่อง ‘ยุทธศาสตร์ธุรกิจในยุคเศรษฐกิจโลกวิกฤต’ โดย ดร.วราทัศน์ วงศ์สุรไกร รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท โรงเส้นหมี่ชอเฮง จำกัด คุณชเล วุทธานันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สิ่งทอซาติน จำกัด คุณจงสฤษดิ์ คุ้นวงศ์ ผู้จัดการทั่วไป กลุ่มบริษัท จุลไหมไทย จำกัด โดยคุณชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวต้อนรับ
ธนาคารขอเรียนเชิญท่านและหรือผู้สื่อข่าวในสังกัดของท่านร่วมเข้ารับฟังการสัมมนาดังกล่าว และขอขอบพระคุณทุกท่านที่ได้ให้ความอนุเคราะห์ในการร่วมกิจกรรม นำเสนอข้อมูลข่าวสารความเคลื่อนไหวของธนาคารและผู้บริหารด้วยดีเสมอมา หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับเกียรติจากทุกท่านในกิจกรรมครั้งนี้

อภิวัฒน์ ปุณโณปกรณ์ (หมี)
ฝ่ายการประชาสัมพันธ์
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณพร้อมพร เวชชาชีวะ (พี่แตง) โทร.0-2230-2709




*สัมมนาเพื่อรับฟังความคิดเห็น เรื่อง “นำเข้าเครื่องในสัตว์คนไทยได้เสียอย่างไร”

วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม 2552 เวลา 08.00-14.00 นาฬิกา คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา จัดสัมมนาเพื่อรับฟังความคิดเห็น เรื่อง “นำเข้าเครื่องในสัตว์คนไทยได้เสียอย่างไร” ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการหมายเลข 306-308 ชั้น 3 อาคารรัฐสภา 2




*กำหนดการสัมมนา"จัดทัพฝ่าวิกฤต กำหนดทิศธุรกิจท่องเที่ยว"

วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม 2552 เวลา 12.00 – 17.00 น.

ณ ห้องบอลรูม โซน A ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ

12.00-13.00 น. ลงทะเบียน พร้อมรับ Welcome Drink

13.00-13.15 น. กล่าวเปิดงานสัมมนา
โดย คุณปกรณ์ พรรธนะแพทย์
รองกรรมการผู้จัดการ บมจ. ธนาคารกสิกรไทย

13.15-14.15 น. เสวนาพิเศษ หัวข้อ "เพิ่มวิสัยทัศน์ทางธุรกิจ พลิกวิกฤตท่องเที่ยวไทย"
โดย คุณเพ็ญสุดา ไพรอร่าม/ ตัวแทน
รองผู้ว่าการด้านบริหารรักษาการผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
คุณประกิจ ชินอมรพงษ์
นายกสมาคมโรงแรมไทย
คุณสุรพล ศรีตระกูล
นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว
ดำเนินรายการโดย
คุณอดิศักดิ์ ศรีสม
ผู้ดำเนินรายการกรองสถานการณ์ทางโทรทัศน์ ช่อง 11

14.15-15.15 น. เสวนา หัวข้อ "เสริมเขี้ยวเล็บทางธุรกิจ พิชิตเทคนิคทางการจัดการ"
โดย วิทยากรของธนาคารกสิกรไทย

15.15-16.45 น. บรรยาย หัวข้อ "ติดปีกความคิด บริหารธุรกิจ 360°"
โดย อ.เนตรา เทวบัญชาชัย
หัวหน้าหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการการท่องเที่ยวและการโรงแรม วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล

17.00 น. กล่าวปิดงานสัมมนา

โปรโมชั่นพิเศษสำหรับผู้ร่วมงาน !!!

จะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมแรกเข้า ส่วนลดในการทำธุรกรรมต่างๆ สิทธิพิเศษได้รับคืนเข้าบัญชี (Cash Back) ในการสมัครใช้บริการ K-Smart Tourism Solutions (บริการจัดการด้านการเงิน, บริการร้านค้ารับบัตร, บริการ Payment Gateway, บริการโอนเงินต่างประเทศ และบริการอัตราแลกเปลี่ยน)

ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวที่สนใจ

สามารถสำรองที่นั่งผ่าน K-Biz Contact Center โทร 0-2888-8822

ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

(ด่วน! ที่นั่งจำนวนจำกัด)


โดย: jenifaae วันที่: 25 สิงหาคม 2552 เวลา:21:21:57 น.  

 
*สัมมนาเรื่อง "โอกาสและลู่ทางธุรกิจไทยในตลาดคาร์บอนเอเชีย"

หอการค้าไทย ในฐานะองค์กรภาคเอกชนที่ส่งเสริมและอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินธุรกิจจนทำให้เกิดสภาวะอากาศแปรปรวนและกระทบต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์ จึงร่วมกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) และ Koelnmesse Pte Ltd จัดสัมมนาเรื่อง "โอกาสและลู่ทางธุรกิจไทยในตลาดคาร์บอนเอเชีย" ในวันพุธที่ 29 กรกฎาคม 2552 เวลา 9.30-12.00 น. ณ ห้อง Activitiy Hall อาคารบรรเจิด ชลวิจารณ์ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ถนนราชบพิธ กรุงเทพฯ เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดการก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกระบวนการต่างๆ ในการดำเนินธุรกิจ และประโยชน์จากการค้าคาร์บอนเครดิตที่ผู้ประกอบการจะได้รับ ซึ่งเป็นช่องทางใหม่ในการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนเพื่อเป็นการปลูกจิตสำนึกให้ผู้ประกอบการได้ตระหนักถึงความร่วมมือในการลดภาวะโลกร้อนที่กำลังเป็นปัญหาสำคัญของโลกในปัจจุบัน
ทั้งนี้ ผู้สนใจเข้าร่วมรับฟังการสัมมนาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นสามารถส่งแบบตอบรับไปที่ ฝ่ายการจัดงานแสดงสินค้า หอการค้าไทย โทรสาร 0-2622-1880, 0-2622-2376 หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-2622-1860 ต่อ 203-207 ภายในวันที่ 24 กรกฎาคม 2552 โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น (รับจำนวนจำกัด) ด้วยจักขอบคุณยิ่ง

เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง //www.carbonforumasia.com/


กำหนดการสัมมนา
เรื่อง "โอกาสและลู่ทางธุรกิจไทยในตลาดคาร์บอนเอเชีย"
วันพุธที่ 29 กรกฎาคม 2552 เวลา 9.30 น. - 12.00 น.
ณ ห้อง Activity hall อาคารบรรเจิด ชลวิจารณ์ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

09:30 - 10:00 - ลงทะเบียน
10:00 - 10:30 - พิธีเปิดการสัมมนา และบรรยายพิเศษ
โดย นายเริ่มพงษ์ บูรณฤกษ์ ประธานคณะกรรมการ พลังงานทางเลือก
หอการค้าไทย
10:30 - 11:00 - การจัดการก๊าซเรือนกระจกและตลาดคาร์บอนในประเทศไทย
โดย นายศิริธัญญ์ ไพโรจน์บริบูรณ์
ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)
11:00 - 11:20 - โอกาสของประเทศไทยในตลาดคาร์บอนเอเชีย
Mr Ralph Hendrich, General Manager, Koelnmesse Pte Ltd
11:20 - 11:40 - ประโยชน์จากการค้าคาร์บอนเครดิต กับการสนับสนุนทางการเงิน
โดย รองผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก
(คุณประเสริฐสุข จามรมาน)

11:40 - 12:00 - ถาม - ตอบ

หมายเหตุ บริการอาหารว่าง ชา-กาแฟ
เอกสารประกอบการสัมมนา




*บรรยายสาธารณะ เรื่อง ราชมรรคา “เส้นทาง” หรือ “ถนน”

“บรรยายสาธารณะ” โดยมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์
Lek-Prapai Viriyapant Foundation public lecture series
นำเสนอการบรรยายกึ่งเคร่งเครียดกึ่งผ่อนคลาย สบายๆ แบบมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์
ค้นหาความหมาย ข้อมูล เรื่องราวบอกเล่าที่สัมพันธ์กับความเปลี่ยนแปลงของสังคม
เหมาะสำหรับผู้ต้องการขบคิดและถกเถียงอย่างสร้างสรรค์และไม่ชอบด่วนสรุปเพื่อหาข้อยุติ
ทุกวันพุธ กลางๆ เดือน หลังอาหารเที่ยง
เชิญมาร่วมฟังบรรยาย ฟรี (รับจำนวนจำกัด)
เว็บไซต์ : //www.lek-prapai.org
สำรองที่นั่งได้ที่ E-mail : lek_prapai@yahoo.com ติดต่อสอบถาม 0-2280-3340
ณ ห้องประชุม ชั้น 2 อาคารพัฒนาธุรกิจโบรกเกอร์ เชิงสะพานวันชาติ ใกล้ห้องอาหารดรรชนี แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพฯ

เรื่อง ราชมรรคา “เส้นทาง” หรือ “ถนน”
ศรีศักร วัลลิโภดม

วันพุธที่ 19 สิงหาคม 2552 เวลา 13.00-15.00 น.

ราชมรรคา ที่ถูกฟื้นขึ้นมาโดยนวนิยายของ อ็องเดร มาลโรซ์ ในเรื่อง La Voie royale นักประพันธ์และนักการเมืองคนสำคัญของฝรั่งเศส กลับกลายเป็นหลักฐานข้อมูลทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ที่น่าเชื่อถือ?
มีงานวิจัยเผยแพร่มาระยะหนึ่งที่เสนอว่า “ราชมรรคา” ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ คือ “ถนน” ที่สร้างขึ้นเพื่อเชื่อมต่อเมืองพระนครในเขมรต่ำสู่เมืองพิมายในที่ราบสูงโคราช สำหรับข้อเสนอที่ว่าเส้นทางดังกล่าวเป็นถนนที่สามารถมองเห็นได้จากภาพถ่ายดาวเทียม รวมทั้งการสำรวจที่พบแนวคันดิน สะพาน อโรคยศาล และแหล่งถลุงเหล็ก
พบกับนักวิชาการผู้เดินเท้าศึกษาแผ่นดินอีสานและเขมรมาอย่างยาวนาน อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม จะมาอธิบายว่า Route และ Road สำหรับนัยะทางวิชาการมีความแตกต่างกันอย่างไรในสังคมโบราณของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้




*"English and History" With Students from Harvard Law School

"English and History"
ขอเชิญนักเรียน นิสิต นักศึกษา และบุคคลทั่วไป
ที่สนใจการเมืองและกิจกรรมเพื่อสังคม

เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมพิเศษทุกวันศุกร์
ของมูลนิธิ 14 ตุลา และเครือข่าย
พบกับกิจกรรมพิเศษ!!

"English and History"
With Students from Harvard Law School

กิจกรรมครั้งที่ 2 วันที่ 31 กรกฏาคม 2552 เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป
ที่ห้องประชุมอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา มูลนิธิ 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว

***** ท่านที่ไม่ได้เข้าร่วมในครั้งที่ 1 สามารถเข้าร่วมในครั้งที่ 2

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและลงชื่อเข้าร่วมกิจกรรม ฟรี!!
ได้ที่ 02-622-1013-5
หรือ //www.14tula.com

ด่วน รับจำนวนจำกัด..
ใครอยากเก่งภาษา เชิญมากับเรา...

สมคบคิดและเปิดพื้นที่ให้โดย
มูลนิธิ 14 ตุลา
October 14 Foundation
ศูนย์ประสานงานเยาวชนเพื่อประชาธิปไตย (YPD)
Young People for Democracy Movement, Thailand
คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน (ครส.)
Campaign Committee for Human Rights (CCHR.)
//www.14tula.com
//www.oknation.net/blog/ypd
//www.oknation.net/blog/humanrights

Click to DOWNLOAD ใบสมัคร





*ฟังเสวนา "เรือมอญ" ยิปซีแห่งท้องน้ำ

มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ขอเชิญฟังเสวนา


"เรือมอญ"
ยิปซีแห่งท้องน้ำ

โดย
ลุงหมื่น จักรกลม
นพดล แสงปลั่ง

วันศุกร์ที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๒
เวลา ๑๗.๓๐ - ๑๙.๓๐ น.

ณ ร้านหนังสือริมขอบฟ้า มุมอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
สอบถามเพิ่มเติม ๐๒-๒๘๐๓๓๔๐ และ ๐๒-๒๘๑๑๙๘๘
เว็บไซต์//www.lek-prapai.org




*อาสา... ไปปลูกป่าอาหารสัตว์

วันที่ 21-23 สิงหาคม 2552
ณ อุทยานแห่งชาติรามคำแหง จ.สุโขทัย

เมื่อถึงฤดูฝน การปลูกป่าก็มีขึ้นอีกแล้วค่ะ ทางชมรมสร้างสุขเพื่อสังคมและอุทยานแห่งชาติรามคำแหง ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมปลูกป่า เพื่อเป็นอาหารให้แก่สัตว์ป่าที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ งานนี้เราชาวมูลนิธิกองทุนไทย จึงขอเชิญชวนเพื่อนอาสาทุกคนไปร่วมกิจกรรม “อาสาไปปลูกป่าอาหารสัตว์” ภายในพื้นที่อุทยานฯ กับพวกเขากันค่ะ ซึ่งต้นไม้ที่เราจะปลูกเป็นจำพวกที่ให้ผล (สัตว์กินได้) เช่น กล้วย มะเฟือง หวาย มะค่าโมง เป็นต้น

กำหนดการ

21 สิงหาคม 2552

05.00 น. รวมพลที่มูลนิธิกองทุนไทย เพื่อออกเดินทาง
05.30-11.30น. เดินทางไปอุทยานแห่งชาติรามคำแหง
11.30-12.00 น. กล่าวต้อนรับโดยหัวหน้าอุทยานแห่งชาติ พร้อมชมสไลด์โชว์แนะนำสถานที่
12.00-12.45 น ว่าด้วยเรื่องของการกิน เก็บ กวาด ล้างเลย
12.45-16.45 น. เตรียมการและเตรียมของ

• เตรียมและตรวจเช็คอุปกรณ์
- เตรียมกล้าไม้ (กรอกถุงดำ ปักชำ ผสมดิน ขุดตอ ถากเมล็ด) มะค่าโมง/หว้า/มะไฟ/มะม่วงป่า/มะขามป้อม/กล้วยป่า/ตะขบ/ไทร/กระท้อน/ไผ่/
- • ปั้นลูก ลูก ให้ดี เพื่อชีวิตใหม่ที่ยาวไกล 1,000 ลูก เตรียมดิน ผสมมูลสัตว์ แกลบดิบ ขยายจุลินทรีย์ ยัดเมล็ด ปั้นกลมๆ
- เตรียมปืนเก็บเสียง ขัดลำกล้อง ขึ้นลำ ง้างนก ตั้งกล้อง เล็งศูนย์

16.45-17.45 น. แยกย้ายพักผ่อนชมธรรมชาติ
17.45-19.00 น. ช่วยกันทำกับข้าวช่วยกันกินกับข้าว และช่วยกันเก็บกับข้าว
19.00-21.00 น. ชวนคุย ช่วยคิด ปลูกต้นไม้แก้วิกฤติชาติ จริงหรือ ?
21.00 หลับเอาแรง เพราะพรุ่งนี้ต้องเดินอีกไกล

22 สิงหาคม 52

06.00 -07.45 น. สัมผัสบรรยากาศเดินเท้าเส้นทางศึกษาธรรมชาติ
08.00- 08.45 น. อาหารเช้า
08.45-09.00 น. ปลดระวาง ถ่ายน้ำหนัก ลำเลียงกล้าไม้ พร้อมอุปกรณ์
09.00 -09.30 น. เดินทางสู่พื้นที่ปลูกป่า เดินรถ เดินเท้า เดินหาบ
09.30-10.00 น. จัดกระบวนทัพวางแผนการปลูกไม้ 5 ชั้น
10.00-12.00 น. ปลูก ปลูก แล้วก็ปลูกป่าอาหารสัตว์
12.00-13.00 น. Have a lunch “ L N F ” Lanna Food
13.00-15.00 น. เตรียมปืนเก็บเสียงพร้อมบรรจุลูกกระสุน วางแนวรุกหน้ากระดานตเรียงหนึ่ง..........ยิง / ร่วมสร้างโรงปุ๋ยจุลินทรีย์ชีวภาพ ขึ้นโครง มุงคา

17.00-17.30 น. กลับถึงที่พัก พักผ่อน ชมสวนสมุนไพร
17.45-19.30 น. ช่วยกันทำกับข้าวช่วยกันกินกับข้าว ช่วยกันเก็บกับข้าว
19.30-22.00 น. แลกเปลี่ยนเรียนรู้ “ขาดทุนคือกำไร ยิ่งให้ ยิ่งได้มา”
22.00 น. นอน นอน นอน บังอรเอาแต่นอน

23 สิงหาคม 52

07.00 -07.45 น. Cooking Team working
08.00-08.30 น. Break fast เบรกฟาด
08.30-09.15 น. เก็บสัมภาระ เก็บรายละเอียด แลกเปลี่ยนอีเมล
09.15-10.30 น. บอกลาสถานที่
10.30-11.45 น. เยี่ยมชมอุทยานประวัติศาตร์ แบบเต็มๆ ตาซะที
12.00 น รวมกันเรา สนุก แยกกันอยู่เรา มีทุน คบหากันแล้วมัน คุ้น เพิ่มความสุขให้แก่กัน.

สมทบค่าใช้จ่าย ท่านละ 1,950 บาท
ค่าเดินทาง 1,050 บาท (ไป-กลับ กรุงเทพ ถึง อุทยานฯ และพาเที่ยว โดยรถตู้)
ค่าอาหาร 480 บาท (อาหาร 6 มื้อๆละ 80 บาท)
ค่าประกันอุบัติเหตุ 100 บาท
ค่าบำรุงที่พัก/ตอบแทนแม่บ้าน 120 บาท
สมทบอุปกรณ์ 200 บาท


สมัครร่วมกิจกรรม หรือ บริจาคสนับสนุนกิจกรรมได้ที่
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาเพชรบุรีตัดใหม่
ชื่อบัญชี มูลนิธิกองทุนไทย
เลขบัญชี 043-2 47734-4

กรุณาส่งหลักฐานการโอนเงินมาที่
โทรสาร 0-2718-1850 หรือ givegang@gmail.com พร้อมแจ้งชื่อ-นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ติดต่อกลับด้วยคะ

การเตรียมตัวอาสาสมัคร

กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่ต้องลุยกันหนักหน่อยค่ะ ยังงัยก็ต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมนะค่ะ
- ของใช้ส่วนตัว และยาประจำตัว
- อุปกรณ์การนอน เช่น ถุงนอน ผ้าห่ม เราจะนอนรวมกันที่อุทยานแห่งชาติฯ
- อุปกรณ์กันแดด เช่น หมวก ครีมกันแดด เสื้อแขนยาว
- อุปกรณ์กันฝน เช่น เสื้อกันฝน
- เสื้อผ้า/ชุดที่เลอะเปอะเปื้อนได้
- กลางคืนยุงน่าจะเยอะ เตรียมยาทากันยุงไปด้วยนะคะ
- ต้องเป็นคนอยู่ง่าย กินง่าย สำหรับอาหารต้องช่วยกันทำกินเองค่ะ
- ความพร้อมของร่างกาย และจิตใจอาสา
- ขอความร่วมมืออาสาไม่นุ่งสั้น ใส่เสื้อสายเดี่ยวคะ

สอบถามรายละเอียดได้ที่ ฝ่ายส่งเสริมการให้ มูลนิธิกองทุนไทย
โทรศัพท์ 02-3144112-3 ต่อ 301
ขอสาย พี่ตือ แอ๋ว หรือคุยกับ แอปเปิ้ล 080-2923883 ติดต่อทาง givegang@gmail.com

เราสร้างโอกาสร่วมกันในการพัฒนาสังคม
พบกันกิจกรรมหน้า... เร็วๆๆ นี้ “บ้านปลา กู้แผ่นดิน” บ้านเปร็ดใน จ.ตราด และ “ปะติดปะต่อเส้นทางศึกษาธรรมชาติ” บ้านห้วยระหงษ์ จ. เพชรบูรณ์


โดย: jenifaae วันที่: 25 สิงหาคม 2552 เวลา:21:22:53 น.  

 
*การเปิดตัวโครงการ "เศรษฐ'ธรรมศาสตร์ ตลาดวิชา" และหนังสือ "...เศรษฐศาสตร์จึงต้องเป็นเศรษฐศาสตร์การเมือง"

คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขอเรียนเชิญทุกท่านเข้าร่วมการเปิดตัวโครงการ "เศรษฐ'ธรรมศาสตร์ ตลาดวิชา" หนังสือ "...เศรษฐศาสตร์จึงต้องเป็นเศรษฐศาสตร์การเมือง" รวมบทความเศรษฐศาสตร์การเมืองคัดสรรของ ทวี หมื่นนิกร และการเสวนาเรื่อง "ทวี หมื่นนิกร กับเศรษฐศาสตร์การเมืองไทย" ในวันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ.2552 เวลา 13.30 - 16.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 5 คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

คณะเศรษฐศาสตร์ขอขอบพระคุณในความอนุเคราะห์ของท่านเป็นอย่างสูง มา ณ โอกาสนี้

คณะทำงานจัดการองค์ความรู้และสื่อสารสาธารณะ คณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์

การเปิดตัวโครงการ "เศรษฐ'ธรรมศาสตร์ ตลาดวิชา" และหนังสือ "...เศรษฐศาสตร์จึงต้องเป็นเศรษฐศาสตร์การเมือง" รวมบทความเศรษฐศาสตร์การเมืองคัดสรรของ ทวี หมื่นนิกร

และการเสวนาเรื่อง "ทวี หมื่นนิกร กับเศรษฐศาสตร์การเมืองไทย"

กำหนดการ: วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ.2552 ณ ห้องประชุมชั้น 5 คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

13.00 - 13.30 น. ลงทะเบียน

13.30 - 14.00 น.
การเปิดตัวโครงการ "เศรษฐ'ธรรมศาสตร์ ตลาดวิชา" และหนังสือ "...เศรษฐศาสตร์จึงต้องเป็นเศรษฐศาสตร์การเมือง" รวมบทความเศรษฐศาสตร์การเมืองคัดสรรของ ทวี หมื่นนิกร

โดย รศ.ดร.ปัทมาวดี ซูซูกิ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

อ.ปกป้อง จันวิทย์ ผู้อำนวยการคณะทำงานจัดการองค์ความรู้และสื่อสารสาธารณะ คณะเศรษฐศาสตร์ มธ. และบรรณาธิการหนังสือ

ดำเนินรายการโดย คุณภิญโญ ไตรสุริยธรรมา บรรณาธิการสำนักพิมพ์ openbooks

14.00 - 16.00 น.
เสวนาเรื่อง "ทวี หมื่นนิกร กับเศรษฐศาสตร์การเมืองไทย"
โดย ศ.ดร.อภิชัย พันธเสน
ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย
ดำเนินรายการโดย อ.ปกป้อง จันวิทย์




*โครงการปฏิบัติธรรมด้วยการทำ กิจกรรม : สร้างห้องน้ำให้สร้างห้องน้ำให้สถานปฏิบัติธรรม

ชุดโครงการฉลาดทำบุญ กับ โครงการปฏิบัติธรรมด้วยการทำ
กิจกรรม : สร้างห้องน้ำให้สร้างห้องน้ำให้สถานปฏิบัติธรรม
8-9 สิงหาคม 2552 จ.สมุทรสงคราม

จากสภาพสังคมที่แข่งขันเพื่อความอยู่รอดโดยเฉพาะในเมืองใหญ่นั้น ได้สร้างทัศนคติให้คนจำเป็นต้อง สะสมทั้งทรัพย์สินเงินทอง หน้าที่การงาน ความมั่นคง รวมถึงการได้อยู่เหนือคนอื่น เป็นเหตุให้ภาพของความช่วยเหลือเกื้อกูลกันเริ่มเลือนหายและน้อยลงไปทุกที
กระแสการทำบุญเพื่อการสะสมบุญ ทำให้หลายคนทุ่มเททรัพย์เพียงเพื่อหวังจะได้รับกลับมาในรูปแบบอื่นหรือแม้ แต่ได้รับหลังความตาย การทำบุญในทัศนคติของหลายคนจึงไม่แตกต่างจากการลงทุนในระบบธุรกิจที่ต้องการ ผลตอบแทน ยิ่งลงทุนมากก็หวังจะได้ผลตอบแทนมาก รวมถึงการแข่งขันทำบุญเพื่อเกียรติยศชื่อเสียง สิ่งเหล่านี้ล้วนนำมาซึ่งความไม่เข้าใจความหมายของการทำบุญ ที่สำคัญคือกลายเป็นค่านิยมที่กำลังตกทอดไปสู่คนรุ่นใหม่ที่เห็นตัวอย่างและ เข้าใจไปในทางเดียวกัน หลายหน่วยงานกำลังวิตกกังวลถึงสภาวะการดังกล่าวและด้วยสังคมไทยส่วนใหญ่เป็น สังคมชาวพุทธ การทำบุญเป็นสิ่งหนึ่งซึ่งพุทธศาสนิกชนใกล้ชิด และเป็นมรดกทางความคิดชิ้นสำคัญ การแสวงหาธรรมะผ่านการทำบุญจึงอยู่ที่ความเข้าใจและการกระทำซึ่งเป็นที่มา ของโครงการ " ปฏิบัติธรรมจากการทำ "

จังหวัดสมุทรสงครามเป็นจังหวัดที่มีวัดอยู่มากมายและมีวัดที่เป็นที่รู้จัก อยู่หลายแห่ง แต่บ้านคลองคต อ. เมืองสมุทรสงคราม เป็นชุมชนที่ยังอยู่ห่างจากวัด และการเปลี่ยนแปลงถนนเพื่อการสร้างทางหลวงสายหลัก เป็นทางคู่ขนาน ทำให้ชุมชนถูกแบ่งเป็นสองฟากถนนซึ่งข้ามไปมาลำบาก การไปวัดอีกฟากหนึ่งของถนนก็ไม่สามารถเดินไปได้ หรือทางรถยนต์ก็ต้องไปกลับรถทั้งขาไปและขากลับไกลมาก นอกจากนี้ถนนในหมู่บ้านยังเป็นลูกรังไม่มีรถประจำทางผ่าน ผู้ที่ไม่มีรถก็จะไปวัดลำบากยิ่งขึ้น เมื่อมีชาวชุมชนได้บริจาคที่ดินให้สร้างสำนักสงฆ์ขึ้น ชาวชุมชนจึงกระตือรือร้นเป็นอย่างมากที่จะมีสถานที่สำหรับสถานปฏิบัติธรรม ปฎิบัติภาวนา และอบรมเยาวชนในชุมชนและชุมชนใกล้เคียงอื่นๆรวมทั้งจากภายนอกมาใช้ประโยชน์ ชาวชุมชนจึงเริ่มสร้างศาลาสงฆ์และศาลาโรงธรรม ครัว ห้องน้ำชั่วคราวโดยใช้ไม้ไผ่และหลังคามุงจากชั่วคราวไปก่อน
บ้านจิตอาสา มูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทย ร่วมกับ เครือข่ายพุทธิกา "โครงการฉลาดทำบุญ" จึงดำเนินโครงการเชิงอาสาสมัครใช้ชื่อโครงการ "ปฏิบัติธรรมจากการทำ" เพื่อสร้างห้องน้ำทำและทำพื้นทางเดินสำหรับผู้มาปฏิบัติธรรม ด้วยเล็งเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อชุมชน เป็นศูนย์รวมจิตใจชุมชน งานพัฒนาเยาวชน และผู้สนใจภายนอกที่จะมาใช้สถานที่ปฎิบัติธรรมภาวนาในระยะยาวต่อไป โดยแบ่งเป็น 2 กิจกรรม เพื่อความสะดวกต่อการเข้าร่วมกิจกรรมของอาสาสมัคร ดังนี้
กิจกรรมที่ 1 กิจกรรมสร้างห้องน้ำ 8-9 สิงหาคม 2552
กิจกรรมที่ 2 กิจกรรมทำพื้นทางเดิน 29-30 สิงหาคม 2552
โดยมีการปฏิบัติธรรมสอดแทรกในกิจกรรมหลัก และสนับสนุนให้เป็นกิจกรรมของครอบครัว (ผู้ใหญ่และเด็ก)เพื่อสร้างความรักความเข้าใจจากงานอาสาสมัครและนำสู่การ ปรับใช้ในชีวิตจริงได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม และความพร้อม ทั้งแรงกาย แรงใจ แรงทรัพย์ ด้วยเป็นกิจกรรมที่ไม่มีงบประมาณสนับสนุน งบประมาณทั้งหมดจึงเกิดจากความร่วมมือของอาสาสมัครและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง จากหลายภาคส่วน

สถานที่ดำเนินโครงการ
สำนักปฏิบัติธรรมแม่พิมพร สาขาวัดอินทาราม บ้านคลองคต หมู่ 1 ต.คลองโคน อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม
กิจกรรมที่ 1 กิจกรรมสร้างห้องน้ำ
ระหว่างวันที่ 8 – 9 สิงหาคม 2552
เปิดรับอาสาสมัคร 30 คน / สร้างห้องน้ำจำนวน 6 ห้อง
กำหนดการ

วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม 2552
07.00-08.00 รวมพลจุดนัดพบ หน้าคิงเพาเวอร์ ซอยรางน้ำ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
08.00-09.30 เดินทางถึงสำนักปฏิบัติธรรมแม่พิมพร บ้านคลองคต หมู่ 1 ต.คลองโคน อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม
09.30-10.00 ทำความรู้จักชุมชนจากตัวแทนชุมชน / แบ่งงานและหน้าที่
10.00-12.00 กิจกรรมสร้างห้องน้ำ
12.00-13.00 รับประทานอาหารกลางวัน
13.00-17.00 ลงมือทำกิจกรรมต่อจนเสร็จ
17.00-18.30 อาบน้ำ และ รับประทานอาหารเย็นร่วมกัน
18.30-19.00 เวลาส่วนตัว
19.00-20.30 พูดคุย สรุปงาน
20.30 พักผ่อน / เดินหรือนั่งเรือชมหิ่งห้อยตามความสมัครใจ ( ไม่เสียค่าใช้จ่าย )

วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม 2552
07.00-08.00 รับประทานอาหารเช้า
08.00-12.00 กิจกรรมสร้างห้องน้ำ ( ต่อ )
12.00-13.00 รับประทานอาหารกลางวัน
13.00-15.00 เก็บงานและเก็บกวาดสถานที่
15.00-16.00 สรุปบทเรียน
16.00 เดินทางกลับ
อาสาสมัครสมทบค่าใช้จ่าย 1,000 บาท
ค่าใช้จ่าย 1,000 บาท ที่เรียกเก็บจากอาสาสมัครประกอบด้วย
- ค่าเดินทาง ( รถตู้ ) ไปกลับ 460 บาท
- ค่าอาหาร 4 มื้อ ( 4 X 50 ) 200 บาท
- ค่าประกันอุบัติเหตุและเบ็ดเตล็ด 140 บาท
- ค่าวัสดุอุปกรณ์ 200 บาท
รวม 1,000 บาท
สมทบค่าใช้จ่าย
โดยสามารถโอนค่าใช้จ่ายสำรองที่นั่งได้โดย โอนเข้าบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาอรุณอมรินทร์
ชื่อบัญชี เครือข่ายชาวพุทธเพื่อพระพุทธศาสนาและสังคมไทย ประเภทบัญชี ออมทรัพย์
เลขที่บัญชี ๑๕๗ - ๑ - ๑๗๐๗๔ - ๓
และแฟกซ์สลิปใบโอนเงิน พร้อมเขียนชื่อ , เบอร์โทรศัพท์ , และชื่อกิจกรรมที่ท่านจะไปมาที่ Fax. 02-883-0592
การสนับสนุนอื่นๆ
เนื่องจากการก่อสร้างให้เป็นไปตามกำลังศรัทธา และการออกแบบร่วมกันของชุมชน ผู้สนับสนุนสามารถสมทบทุนได้ตามกำลังศรัทธา โดยร่วมสนับสนุนบริจาคสมทบทุน ได้ตามหมายเลขบัญชีด้านบน และ แฟกซ์สลิปใบโอนเงิน พร้อมเขียนชื่อ , เบอร์โทรศัพท์ , และ เขียนกำกับว่าสมทบทุนกิจกรรมสร้างห้องน้ำให้สถานปฏิบัติธรรม วันที่ 8-9 สิงหาคม แล้ว Fax มาที่ 02-883-0592

สิ่งจำเป็นสำหรับกิจกรรม ที่ต้องเตรียม
1.อุปกรณ์ป้องกันยุง ( ยาทากันยุง , เสื้อผ้าปกคลุม )
2.เต้นท์ ( ถ้ามี ) เนื่องจากมุ้งมีจำกัด
3.เสื้อผ้าสำหรับทำงาน ( เลอะได้ )
4.รองเท้าแตะ
5.ไฟฉาย
6.อุปกรณ์ส่วนตัวหรือยาประจำตัว
สิ่งที่ไม่ควรนำไป
1.สิ่งของมีค่าที่ไม่จำเป็น เนื่องจากที่พักไม่ได้เป็นห้องปิดมิดชิด
หมายเหตุ
1.กิจกรรมเปิดกว้างสำหรับอาสาสมัคร ทุกเพศทุกวัยและทุกศาสนา
2.กรุณาแจ้งข้อมูลส่วนตัวที่จำเป็นให้ทราบล่วงหน้า เช่นประเภทของอาหาร หรือโรคประจำตัว ฯลฯ
3.พื้นที่มีสัญญาณโทรศัพท์ ทุกระบบ
การเดินทาง
นัดเจอเวลา 07.00 น. หน้าคิงพาวเวอร์ ซอยรางน้ำ อนุเสาวรีย์
เครือข่ายพุทธิกาเพื่อพระพุทธศาสนาและสังคม
90 ซ.อยู่ออมสิน ถ.จรัญสนิทวงศ์ 40
แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด กรุงเทพฯ10700
โทร.02-883-0592,02-886-9881,086-300-5458
e - mail b_netmail@yahoo.com
หมายเหตุ
1.กิจกรรมเปิดกว้างสำหรับอาสาสมัคร ทุกเพศทุกวัยและทุกศาสนา
2.กรุณาแจ้งข้อมูลส่วนตัวที่จำเป็นให้ทราบล่วงหน้า เช่นประเภทของอาหาร หรือโรคประจำตัว ฯลฯ
3.พื้นที่มีสัญญาณโทรศัพท์ ทุกระบบ


โดย: jenifaae วันที่: 25 สิงหาคม 2552 เวลา:21:23:41 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jenifaae
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Editor
บทความ ความคิดเห็นที่นำลง"สนามหลวงแก็งค์" ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เพียงเราเห็นว่าน่าสนใจและเป็นประโยชน์ในทางข้อมูล ข่าวสาร
หากท่านมีข้อคิดเห็นประการใด โปรดแจ้งให้เราทราบ จักขอบคุณยิ่ง
"สนามหลวงแก็งค์"
kunkorn : Facebook



"Sanamluang's Gang"
"สนามหลวงแก๊งค์"

kunkorn : Facebook

     เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนให้เกิดการศึกษา การเรียนรู้ เผยแพร่ ส่งเสริม สนับสนุน รวบรวมข้อมูล ข่าวสาร อนุรักษ์ รักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย วิถีชีวิต และปรัชญา คุณค่าจิตวิญญาณที่งดงาม สืบสานต่อยอดกันมานานนับพันๆปี และกำลังถูกทำลายด้วยอิทธิพลจากแนวคิดเชิงวัตถุนิยมแบบตะวันตก

● เพื่อการศึกษาหาความรู้ ส่งเสริม สนับสนุน ให้เกิดการศึกษา เรียนรู้ สิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบ และนำมาเผยแพร่แก่มวลมนุษยชาติ อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง มิใช่เพียงวิทยาศาสตร์เชิงวัตถุเพียงอย่างเดียว เพราะถือว่าพระพุทธเจ้า ทรงค้นพบความจริงของธรรมชาติ ทั้งหมดทั้งสิ้น ที่มนุษย์ธรรมดาสามัญอย่างเราๆ ท่านๆ ยังเป็นเพียงผู้รู้ แค่หางอึ่งที่ยังอยู่ในกะลาครอบ แต่บังอาจด่วนสรุป ขัดแย้งกับ สิ่งที่องค์ศาสดาทรงค้นพบมากว่าสองพันปี จนทำให้บังเกิดความสับสน ลดความน่าเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ

● สนามหลวงแก๊งค์ ต้องขออนุญาตและขอขอบคุณท่านเจ้าของข่าวสาร ข้อมูล ที่เราได้นำลงในสนามหลวงแก๊งค์ ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยจิตคารวะ ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็เพื่อให้สนามหลวงแก๊งค์ เป็นแหล่งในการเผยแพร่ ข้อมูล ข่าวสารที่เป็นประโยชน์และเพื่อเป็นวิทยาทานแก่สาธารณชน แต่หากท่านเจ้าของข้อมูล ข่าวสารที่ สนามหลวงแก๊งค์ นำลงไม่มีความประสงค์ให้นำลง ขอได้โปรดแจ้งความประสงค์ เรายินดีที่จะถอดออกต่อไป

ด้วยจิตคารวะ
www.sanamluang.bloggang.com
kunkorn : Facebook


ดาวหาง
     เป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นในห้วงมหาจักรวาลอันยิ่งใหญ่ ลี้ลับไร้ขอบเขต ทุกครั้งที่ดาวหางปรากฏ มันจะส่งสัญญาณแห่งความพินาศ มหันตภัย ธรรมชาติ ความตาย ความเจ็บป่วย สงคราม ความขัดแย้ง การกดขี่ การเอารัดเอาเปรียบ การคดโกง การเบียดเบียนของมนุษย์บนพื้นพิภพใบนี้

     มันคือสัญญาณเตือนภัยที่มนุษย์ไม่อาจจะควบคุมได้ ทั้งภัยทางธรรมชาติและภัยที่เกิดขึ้นจากมนุษย์สร้างกันขึ้นมาเองในทุกรอบพันปี

     ไม่ว่ามนุษย์จะคิดว่าตัวเองเก่งกาจสามารถ ฉลาดสักเพียงไหน ก็ไม่อาจหลีกพ้นมหันตภัยเหล่านี้ไปได้
     ดังนั้น จงเชื่อและปฎิบัติตามอย่างไม่ลังเลต่อคำสอนของศาสดาของเราอย่างจริงจังเถิด

     แม้จอมจักรพรรดิ จอมราชันย์ หรือจอมทรราชที่ยิ่งใหญ่ในอดีต ก็ต้องตายร่างกายเน่าเปื่อยเป็นผุยผง และในที่สุดวิญญาณของเขาก็ต้องชดใช้กรรม ด้วยการถูกไฟนรกเผาผลาญโดยไม่มีข้อยกเว้นทั้งทั้งสิ้น

     จงอย่าอหังการ์ว่าตัวเองเก่ง ฉลาด และยิ่งใหญ่กว่าคำสอนของพระศาสดา ไม่มีมนุษย์ตนใดที่จะพ้นจากกฎแห่งธรรมชาติได้ มนุษย์ที่เก่งกว่าเรา เขาได้ตายร่างกายทับถมปฐพีแห่งนี้นับไม่ถ้วนแล้ว


     ● ขออนุญาตนำภาพวาด "วีระชนบนพานรัฐธรรมนูญ" ของ คุณสถาพร ไชยเศรษฐ ศิลปินอิสระ อดีตแนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย ซึ่งวาดเนื่องในโอกาส 2 ปี 14 ตุลา มาเป็นส่วนหนึ่งของหัว "สนามหลวงบล็อก"                


บริการดูดวง



"สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" มีความภาคภูมิใจในความสำเร็จตามอุดมการณ์ของเรา ที่ได้ตั้งเอาไว้ว่า "เราจะใช้วิชาความรู้ในด้านการพยากรณ์เพื่อให้เป็นประโยชน์สำหรับการให้การปรึกษาของผู้คนที่กำลังประสบปัญหา ความเดือดเนื้อร้อนใจ หรือการเผชิญกับปัญหานั้นๆได้อย่างไรดี

มนุษย์เกิดแต่กรรม มนุษย์มีกรรมเป็นเหตุ เมื่อเราประสบเคราะห์กรรม ปัญหาอยู่ที่ว่าหากเราทราบเสียก่อน ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่าการไม่ทราบ อย่างน้อยก็ทำให้เราระมัดระวังตัว อย่างน้อยก็ทำให้เราหลีกเลี่ยงเพื่อทำให้เราเผชิญกับกรรมน้อยลงไป อย่างน้อยก้ทำให้เรารู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมันมีที่มา มันมีที่ไปของมัน

มีนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์วัตถุจิตนิยม มักโจมตีอยู่เสมอว่า การดูดวง เป็นเรื่องของความงมงาย หมอดูคู่กับหมอเดา หมายถึงว่า เขาไม่เชื่อในเรื่องของวิชาโหราศาสตร์เพราะคิดไปว่ามันเป็นเรื่องเดียรัจฉานวิชาบ้าง เป็นการคาดเดาเอาเองบ้าง คิดว่ามันเป็นวิชาที่ใช้สถิติสุ่มเอาบ้าง ไม่เชื่อว่าวิชาโหราศาสตร์จะสามารถไขปริศนาแห่งรหัสลับของดวงดาว จักรวาล และธรรมชาติรอบตัว

แสดงว่าเขาลืมไปว่า อัลเบิร์ต ไอสไตน์ และสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกรอบตัวเรา ตั้งแต่เล็กเท่าอะตอม (จุลจักรวาล)จนถึงมหาจักรวาล ล้วนมีความผูกพัน ล้วนมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งแยกกันไม่ออก เพียงแต่ว่า กับอะไร เมื่อไร อย่างไร เท่านั้น

กรรมเป็นผลจากการกระทำของเราในอดีตชาติ จะดีหรือจะร้ายก็เพราะเราทำ เป็นสิ่งที่เราจะต้องได้รับผลแห่งการกระทำเหล่านั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โหรฯเป็นเพียงผู้แปลรหัสของดวงดาวและธรรมชาติรอบตัว เพื่อเผยแผนที่ชีวิตของเรา และสามารถมองเห็นช่องทางที่จะเลี่ยงหลบสิ่งเลวร้าย ให้ลดน้อยถอยลงหรือพบพานแต่สิ่งที่ดีดี

การสะเดาะเคราะห์ หรือพิธีการตัดกรรมที่กำลังกล่าวขานถึงก็คือการขออโหสิกรรม ลดการอาฆาตจองเวรกับเจ้ากรรมนายเวรที่กำลังจ้องจองเวรด้วยความอาฆาตพยาบาทที่ถูกเรากระทำในอดีตชาติ ไม่ใช่เป็นการตัดทอนผลกรรมที่เราทำให้หมดไปหรือให้ลดลง เพราะกรรมที่เรากระทำไม่สามารถตัดทอนลงไปได้



สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์พยากรณ์เที่ยงตรง แม่นยำเชื่อถือได้ วิเคราะห์พยากรณ์อย่างเป็นระบบ ไม่เลื่อนลอย ยึดมั่นในอุดมการณ์ของครูที่ท่านได้กำชับให้นำเอาวิชาการพยากรณ์มาช่วยเหลือแนะนำ บรรเทาทุกข์ของผู้คนมากกว่าการพยากรณ์เพื่อการค้า

ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าประเทศใด? ชาติใด ภาษาใด? สมัยไหน? ชนชั้นวรรณะใด? ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสัว นักธุรกิจ นักการค้า แม่บ้าน นักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ หรือไม่เว้นแต่นายพล นายพัน รัฐมนตรี หรือระดับผู้นำประเทศ ล้วนแต่เคยดูดวงด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ว่า เราจะเชื่ออย่างงมงายหรือจะเชื่อโดยใช้เหตุผลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ โดยนำเอาคำพยากรณ์มาใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการดำเนินชีวิต หรือทำธุรกิจ การค้า หรือเพื่อการทำสงครามฯ

"สนามหลวงแก็งค์" ไม่สนับสนุนให้เชื่อเรื่อง "ดวง" อย่างงมงาย แต่เราสนับสนุนให้ใช้คำ "พยากรณ์"อย่างมีวิจารณญาณประกอบการตัดสินใจอย่างมีสติ ใช้ "ปัญญา"อย่างมี "เหตุผล"

หลังจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม จนต้องมีการเข้าจองคิวดูดวงเป็นจำนวนมาก ณ ขณะนี้ ไม่ใช่แต่เฉพาะคนไทยในประเทศที่เข้ามาใช้บริการจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"เท่านั้น

แต่ยังมีคนไทยที่อยู่หลายประเทศทั่วโลกเข้ามาดูดวง ตรวจสอบชื่อ นามสกุลมากมาย ทั้งนี้คงเป็นเพราะผู้ที่เข้ามา"ดูดวง" กับ "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับความพอใจในคำพยากรณ์ที่ถูกต้อง แม่นยำ แนะนำแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมตามหลักโหราศาสตร์ จึงได้มีการบอกเล่า แนะนำชักชวนกันปากต่อปากเป็นจำนวนมาก

ปัจจุบันนี้ มีผู้เข้ามาเยี่ยมชมwww.sanamluang.bloggang.com มีจำนวนถึง 118 ประเทศ โดยเข้ามาเปิดดูหน้า "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"คิดเป็นร้อยละ 80 ของ pageviews ต่างๆใน www.sanamluang.bloggang.comจัดทำบล็อกครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2550 มีผู้เข้าชมจำนวนทั้งสิ้น 579,020 ครั้ง จากจำนวน 262,960 visitors (ข้อมูล ณ เวลา 12.00 น.ของวันพุธที่ 6 ตุลาคม 2553)

ส่วนใหญ่ลูกค้าที่โทรเข้ามาเกือบ 98% เมื่อโทรฯ เข้ามาดูดวงแล้ว จะสามารถนัดวัน เวลาดูดวงได้โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด อาจจะมีอยู่บ้างเพียงไม่กี่รายที่โทรฯเข้ามาเพื่อสอบถามรายละเอียดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

อาจจะเนื่องมาจากไม่คุ้นเคยการทำธุรกิจแบบออนไลน์ โดยมีการโอนเงินก่อน ไม่ไว้ใจ หรือไม่กล้า ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก ประมาณ 2%

สำหรับที่เมลฯมาถามและเงียบไป ไม่สามารถทราบจำนวนได้ อาจเนื่องจากเป็นรายที่โทรเข้ามานัดอีกทางหนึ่งก็เป็นได้

สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์ ยังมีอาจารย์ผู้สอนวิชาโหราศาสตร์ ผ่านประสบการณ์ในการดูดวงหลายปีคิดเป็นจำนวนหลายพันดวง

แน่นอน แม่นยำกระชับ ชัดเจน หากไม่ทราบเวลาตกฟากท่านก็ยังสามารถดูได้ รายที่กำลังประสบเคราะห์หามยามร้าย ท่านก็จะช่วยแนะนำและแก้ไขเรื่องเลวร้ายให้กลายเป็นดีด้วยศาสตร์แห่งความลี้ลับของโหราศาสตร์ โดยไม่ต้องเสียเงินสะเดาะเคราะห์ สามารถดูได้ถึงขนาดปัญหาเรื่องคู่ครอง เรื่องเคราะห์ เรื่องหน้าที่การงาน โดยใช้ "วิชาโหราศาสตร์ดวงไทย"อันเป็นสุดยอดของวิชาโหราศาตร์โบราณของไทย

นอกจากนั้น เรายังมี ซินแส ที่เชี่ยวชาญเรื่องการดูฮวงจุ้ย ทำเลปลูกบ้าน อาคารสำนักงาน ดูฤกษ์ยาม แต่งงาน คลอดบุตร ขึ้นบ้านใหม่ เปิดกิจการต่างๆโดยใช้วิชาโหราศาสตร์จีนโบราณผสานตำราดวงไทย ซึ่งซินแสท่านมีประสบการณ์การดูดวงมาไม่น้อยกว่า 45 ปี ผ่านการดูให้กับนักธุรกิจชื่อดังของเมืองไทย และนักธุรกิจชั้นนำจากฮ่องกงหลายราย

ติดต่อ 081-4834367 หรือ workingmailhome@hotmail.com
--------------------------------------------
● ปรึกษาปัญหากฏหมาย
ละเมิด,สัญญา,อายัดทรัพย์ ยึดทรัพย์
--------------------------------------------
● ปัญหาติดต่อราชการ
บริการปรีกษาเรื่อง ภาษีป้าย ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน ค่าธรรมเนียมต่างๆ และการติดต่อราชการต่างๆ ของสำนักงานเขต
--------------------------------------------
● พิมพ์รายงาน,ค้นหาข้อมูล,

● งานพิมพ์ Lay-Out,Art Work
--------------------------------------------
สำนักพิมพ์ดาวหาง
www.sanamluang.bloggang.com




รับวาดรูปเหมือน และสอนวาดรูป
โดยอาจารย์ ผู้ชำนาญ

ราคาย่อมเยา

















หลังเกิดเหตการณ์ 14 ตุลา 2516 นิสิต นักศึกษา ปัญญาชน ต่างหลั่งไหลดั่งสายน้ำ ล้นขอบ ออกจากเมือง เข้าสู่ ชนบท เหตุเกิดเมื่อ กลางปี พ.ศ.2516 จนถึง พ.ศ.2519 นักศึกษากลุ่มหนึ่ง ได้ พบกันโดยบังเอิญ และ ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับชาวบ้าน ณ หมู่บ้าน แม่ตะมาน ตำบลกื๊ดช้าง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้ ชื่อโครงการว่า "โครงการหมู่บ้านสหกรณ์แม่ตะมาน"
เชิญ พบ และติดตาม กับเรื่องราว และบทสรุป อันควรเป็นจุดเริ่มต้น ต่อไปใน

     เมล็ดพันธุ์ประชาธิปไตย ที่ถูกหว่านทั่วท้องทุ่งแห่งประชาไทย มาบัดเดี๋ยวนี้ เมื่อต้องฝน ต้องลม แห่งกาลเวลาพัดผ่าน จาก 2516 , 2519 2535,จน 2540 ถึง 2550บางเมล็ดพันธุ์ก็ยังขาวพิสุทธิ์สดใส บ้างเมล็ดพันธุ์เปลี่ยนสี บ้างก็ดอกสีเหลือง บ้างก็ดอกสีแดง บ้างก็ดอกสีม่วงก้มี สีเขียว สีน้ำเงิน หรือบ้างก็อาจเฉาโรยรา หรือบ้าง ผสมผสานกลายพันธุ์ ก็มีไม่น้อย
มาบัดเดี๋ยวนี้ มันไม่ใช่ จิต วิญญาณ แห่ง 14 ตุลา เดิมเสียแล้ว ไม่ใช่พันธุ์เดียวกัน อย่าได้ เอ่ยอ้างเลย ว่า วิญญาณ 14 ตุลา ยังคง...มันประชาธิปไตย ที่ไม่ บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนอย่างเดิมเสียแล้ว.....
..แต่มันเป็น.ประชาธิปไตย...เพื่อใคร..??


“ทุกวันนี้ เราจะรับรู้ ได้เห็น ได้ยินแต่เรื่องเลวร้าย ในสังคม
เราจึงขอบันทึกสิ่งที่ดีๆ ต่างๆ เหล่านี้ ด้วยจิตคารวะ และขอเป็นกำลังใจให้เกิดสิ่งที่ดีงามเหล่านี้ต่อไป”>>>



อ่านงานเขียนเกี่ยวกับภาพยนตร์หลากหลายประเทศทั่วโลก ที่นี่ >>>





*จำนวนผู้ชมทั้งสิ้น* สถาปนาบล็อค 21 ก.ค.2550
Friends' blogs
[Add jenifaae's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.