Group Blog
 
 
กุมภาพันธ์ 2551
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
242526272829 
 
22 กุมภาพันธ์ 2551
 
All Blogs
 
คลังข่าวและสัมมนา 4

*ชวนดูหนัง เรื่อง "Children of Heaven" และ "Mrs.Doubtfire"
โดย : ชมรมเครือข่ายครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว ชมรมเครือข่ายครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว ชวนครอบครัว ดูหนังดี ๆ เพื่อครอบครัว
เรื่อง "Children of Heaven" และ "Mrs.Doubtfire"
ในวันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2551 ณ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ตลิ่งชัน

"ชีวิตไม่ได้ง่ายดั่งภาพยนตร์ ช่วยกันไขปัญหาจากแผ่นฟิล์มสู่ชีวิตจริง"
พร้อมวงเสวนา "ดูหนัง ดูละคร ย้อนดูครอบครัว"
นำทีมโดย คุณนันทขว้าง ศิรสุนทร นักวิจารณ์ภาพยนตร์ ,แพทย์หญิงปริชวัน จันทรศิริ จิตแพทย์เด็กโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ , คุณทนงศักดิ์ ศุภการ ดารานักแสดง
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ คุณพัชรี 0-2954-2346-7 หรือ //www.thaisingleparent.com
//www.thaisingleparent.com/?act=content&type=calendar&show=calendar&news_id=141
ฟรี
"ดูหนัง ดูละคร
ย้อนดูครอบครัว"
ณ ศูนย์มานุษยสิริธร
วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2551
ตั้งแต่เวลา 9.00-17.00 น.


กำหนดการ
09.00-09.30 น. ลงทะเบียน
09.30-12.00 น. ชมภาพยนตร์ครอบครัวเรื่อง "Children of Heaven"
12.00-13.00 น. รับประทานอาหารกลางวันตามซุ้มต่างๆ
(มีคูปองจำหน่ายอาหาร รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายเป็นทุนให้กับครอบครัวเลี่ยงเดี่ยวเพื่อนำไปบำเพ็ญสาธารณประโยชน์)
13.00-14.30 น. เวทีเสวนา "ดูหนัง ดูละคร ย้อนดูครอบครัว"
14.30-17.00 น. ชมภาพยนตร์สะท้อนชีวิตครอบครัว เรื่อง "Mrs. Doubtfire"

แขกรับเชิญในวงเสวนาได้แก่
คุณนันทขว้าง สิรสุนทร (นักวิจารณ์ภาพยนตร์)
พญ.ปริชวัน จันทร์ศิริ (จิตแพทย์เด็ก)
คุณรัศมี มณีนิล (นักเขียน, DJ 92.0 FM) ผู้ดำเนินรายการ
ภายในงานเพลิดเพลินกับบูทต่างๆ
ที่ให้สาระความรู้ ความบันเทิง
สำรองที่นั่งด่วนภายในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2551
โทร 0-2954-2346-7


*โหรสวนทาง ทายดวงเมือง
หมดปีหมูเก่า เข้าสู่ปีหนูใหม่ บรรดาโหราจารย์ชื่อดัง พร้อมใจช่วยทำนายอนาคตประเทศไทย ปี 2551 ยังมีทั้งสุขและทุกข์คละเคล้า เริ่มที่นายแสงเพชร เสนีย์บดินทร์ นำทีมทายดวงเมืองว่าปี 2551 ดาวใหญ่จะย้ายราศี 2 ดวงคือ ดาวพฤหัสบดี ย้ายจากราศีพิจิก ราศีมรณะเข้าสู่ราศีธนู ราศีแห่งความดีงาม ส่งผลให้ประเทศดีขึ้น อีกดวง ราหูย้ายจากราศีกุมภ์จรเข้าสู่ ราศีมังกร ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจหลายด้าน
เมื่อถามถึงสภาพการเมืองไทยปีหน้า นายแสงเพชรทำนายว่า ไตรมาสแรกของปี รัฐบาลใหม่จะเต็มไปด้วยความขัดแย้ง รัฐบาลเก่าและทหารยังมีอำนาจอยู่อีก ต้องพ้นไตรมาสแรกทุกอย่างจึงลงตัว การเจรจาประสานผลประโยชน์ ทางการเมืองจะเข้มข้น แล้วประสานผลประโยชน์กันได้ ในช่วงนี้รัฐบาลต้องระวังอย่าใช้อารมณ์เจรจากับมิตรประเทศ สำหรับรัฐบาลใหม่ ช่วงที่ดาวอังคารเดินวิปริตเล็งดาวเสาร์อยู่นี้ ถ้าเป็นนาวาก็ต้องโต้คลื่น ที่น่าจับตาในช่วงเดือนเมษายนนี้คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะมีเซอร์ไพรส์ อาจจะเดินทางกลับมา
ส่วนเศรษฐกิจไทย นายแสงเพชรทายทักไว้น่ายินดี เมื่อในช่วงเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์เงินจะกลับมาแข็งค่า เศรษฐกิจจะเริ่มดี การท่องเที่ยวฟื้นตัว การส่งออกพุ่งทะยาน โดยเฉพาะด้านอาหารและการฝีมือ สินค้าโอท็อปจะคึกคัก รากหญ้าจะมีรายได้ดี การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ ฟื้นตัว กว่าจะหมดสมัยของรัฐบาลชั่วคราว โปรเจกต์รถไฟยังเป็นของแสลง ในไตรมาสที่สอง ต้องระวังเรื่องการเก็งกำไรช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายน หุ้นที่พุ่งแล้วเบรกอย่างแรงในเดือนเมษายน ในเดือนพฤษภาคมตลาดหุ้นจะบูมสุดขีด เศรษฐกิจจะดี รัฐบาลได้รับความเชื่อถือจากต่างประเทศ การส่งออกฟื้นตัว การค้าปลีกข้ามชาติจะมีข้อยุติได้ระดับหนึ่ง
โหราจารย์รายต่อมา คือ อาจารย์สุชาติ หรือ พ.อ. สุชาติ ศุภประเสริฐ ที่ขอทายแบบไม่ไว้หน้าเกี่ยวกับดวงเมืองไทยปีหน้าว่า ตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2550 ดาวอังคารจะโคจรใกล้โลกมาก ทำให้เกิดการใช้กำลังสู้รบแบบจรยุทธมากขึ้น ภาคใต้จะทวีความรุนแรง ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคมจะรุนแรงที่สุดในรอบปี จะเกิดอุบัติเหตุเพราะอิทธิพลของดาวอังคาร ที่จะเข้าสู่ราศีสิงห์ปะทะกับดาวเสาร์ และเล็งดาวมฤตยู ทำให้เกิดไฟไหม้ มีการวางเพลิง ในเดือนมกราคม พระผู้ใหญ่จะมรณภาพ หรือบุคคลสำคัญจะเสียชีวิต
ส่วนดวงการเมืองนั้น พ.อ.สุชาติ ระบุว่า รัฐบาลที่มาใหม่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างเผ็ดร้อน มีการสาดโคลนเข้าหากัน เกิดการแย่งชิงอำนาจกันขนาดหนัก เรียกได้ว่าเป็นรัฐบาลที่ยุ่งยากและเดือดร้อนที่สุด ส่วนอดีตนายกฯทักษิณนั้นอาจกลับมาได้ แต่ดวงยังตกอยู่
ด้านเศรษฐกิจ พ.อ.สุชาติ กลับมองต่างจากคนแรก เพราะทายว่าสภาพเศรษฐกิจยังไม่ค่อยดีนัก จะเกิดอัคคีภัย วาตภัย อุบัติภัยบ่อย จะมีคนเสียชีวิตในต่างประเทศจำนวนมาก ด้านคมนาคม ดาวพุธอยู่ในเรือนวินาศ ทั้งรถไฟ รถทัวร์ ขนส่งต่างๆ จะเดือดร้อน ราคาน้ำมันยังเพิ่มสูงขึ้น จะเกิดการเรียกร้องขอสิทธิของพนักงาน โรงงานทอผ้า อุตสาหกรรมทั้งหนักและเบาจะแย่ลง ก่อนที่จะถึงวันที่ 30 เมษายน ดาวราหูเข้าเล็งกับดาวเสาร์ ซึ่งดีในเรื่องอบายมุขทุกประเภทรุ่งเรือง การส่งออกจะแย่ ธุรกิจที่จะให้คุณในปีนี้คือ ด้านการค้าขายกับต่างประเทศ กิจกรรมทางด้านการศาสนาจะลดอุณหภูมิความร้อนในด้านต่างๆ ได้
โหราจารย์ท่านที่ 3 อาจารย์ณรงค์ หรือนายณรงค์ เมฆหิรัญศิริ โหราศาสตร์ดวงดาวบนท้องฟ้า ทายดวงเมืองไว้ ตั้งแต่เดือนมกราคมไปจนถึงเมษายน การเมืองยังวุ่นวายอยู่ แล้วจะค่อยดีขึ้น เพราะมีดาวดวงเมืองคอยปกป้องและคุมเหตุการณ์ให้สงบ สำหรับกรณีภัยพิบัติ ซึ่งส่งผลมาจากดาวเสาร์อยู่ในตำแหน่งภพราศีสิงห์ ซึ่งเป็นราศีไฟ จะมีเรื่องเกี่ยวกับอัคคีภัย อาจจะเป็นกรณีไฟไหม้ตึกสูง มีปัญหาภัยแล้งที่จะเกิดขึ้นมากกว่าทุกปี และถ้าเป็นดวงคน ถ้าจะเดินทางก็ให้ระวังการเดินทางเกี่ยวกับเรือ
ส่วนการเมืองนั้น อาจารย์ณรงค์บอกว่า หลังจากจัดตั้งรัฐบาลแล้ว ผลจากดาวอังคารเป็นสุดยอดในกระบวนดาวขุนพลทั้งหมด สมัยกรีกโบราณ ถือเป็นทหารเอกของกษัตริย์ซีซาร์ ถ้าเดินผิดปกติและทำมุมกับดวงเมือง มักจะมีการปฏิวัติ รัฐประหาร นักการเมืองได้รับเลือกตั้งเข้ามา แม้จะมีนักการเมืองหน้าเก่าๆ เข้ามามากพอสมควร แต่การเล่นการเมืองคราวนี้วิสัยทัศน์จะเปลี่ยนไปในทางที่ดี ความยั่งยืนรัฐบาลชุดนี้ หากพ้น 2 ปีไปได้ก็อยู่ครบเทอมแล้วอาจารย์ณรงค์ ก็ทำนายเรื่องปากท้องคนไทยในปีหน้าไว้ว่า เศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นเรื่อยๆ หลังจากเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม รับรองว่าจะดีขึ้นมากๆ โดย เฉพาะการค้ากับต่างประเทศ เรียกได้ว่าต่างชาติจะเกิดความเชื่อมั่นกับประเทศไทยมากขึ้น การค้าขายกับต่างชาติ และการลงทุนต่างชาติในบ้านเราก็จะดีขึ้น เพราะในเดือนกรกฎาคมจะมีการปรับนโยบายหรือโครงสร้างเกี่ยวกับต่างชาติให้ดีขึ้น
ด้านอาจารย์วารินทร์ หรือนายวารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ ณ วิหารหลวงปู่เกวาลัน หมู่บ้านสุขิโต จ.เชียงใหม่ ที่เหล่าทหารใน คมช.ให้ความเคารพนับถือ ร่วมวงทายดวงเมืองด้วยเช่นกันว่า ปัญหาบ้านเมืองจะวุ่นวายไม่จบสิ้น เหมือนกับการตามล้างตามผลาญซึ่งกันและกัน จะเกิดจากภัยธรรมชาติเพราะมนุษย์เป็นผู้ทำลายความสมบูรณ์ ต่างๆ ของธรรมชาติ จะมีน้ำท่วม แผ่นดินไหว ดวงเมือง จะมีการสูญเสียบุคคลสำคัญของบ้านเมือง
ด้านการเมือง อาจารย์วารินทร์ทายว่า กลุ่มอำนาจเก่าจะกลับเข้ามาบริหารบ้านเมือง เพียงระยะเวลาหนึ่ง จะเกิดประหัตประหารกัน ภายในเดือนกุมภาพันธ์จะหาเหตุที่จะทำร้ายซึ่งกันและกัน หลังเดือนกุมภาพันธ์จะเกิดการปะทะกันของประชาชน เหมือนกับการล้างแค้น ทหารจะปฏิวัติอีกครั้ง แนวทางแก้ไขปัญหา ต้องอาศัยการหันหน้ามาพูดคุยกัน ถ้ายังแบ่งแยกเป็นกลุ่มเมื่อเข้าสภาก็ยังทะเลาะกันไม่จบสิ้นนอกจากมารวมกันจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ สำหรับดวงของนายสมัคร สุนทรเวช ถ้าเป็นนายกรัฐมนตรีจะเกิดความวุ่นวาย สาเหตุเพราะมีกรรมติดตัว ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ โอกาสที่จะเดินทางกลับประเทศไทยนั้น ไม่มี โดยเฉพาะในปี 2551
ขณะที่ “ดร.โกร่ง” นายวีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตมือเศรษฐกิจยุคป๋าเปรม ที่หันมาเอาดีด้านโหราศาสตร์ ก็ขอทายดวงเมืองว่า ดาวพฤหัสฯยังโคจรอยู่ในราศีธนู ไปทับดาวเสาร์ดาวดวงเมืองจะเกิดความขัดแย้งขึ้นอย่างรุนแรงในระหว่างผู้ปกครองกับประชาชน จะมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง และดาวเสาร์ จะเดินอยู่ในราศีสิงห์ เบียฬดาวอังคารที่เป็นเจ้าเรือนลัคนาของดวงเมือง ซึ่งสถิตอยู่ในราศีพฤษภ ทำให้ประชาชนกับทหารมีการปะทะกันรุนแรง ทหารจะมีบทบาทในบ้านเมืองต่อไป และความวุ่นวายยังคงมีอยู่
นายวีรพงษ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส อาศัยปัจจัยแวดล้อมทางเศรษฐกิจทายว่า เศรษฐกิจของไทยกำลังเลื่อนลง การลงทุนที่แท้จริงของประเทศขยายตัวในอัตราที่ต่ำมาก ด้านสถาบันการเงิน สถาบันการเงินอาจล้มได้ ปัจจัยที่สำคัญอีกประการที่บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจในปีนี้จะเผชิญปัญหายุ่งยาก ภาวะเศรษฐกิจโลกจะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ สำหรับประชาชนทั่วไป ต้องเผชิญกับความยากลำบาก เนื่องจากราคาสินค้า และน้ำมัน เครื่องมือเพื่อความอยู่รอด ให้ท่องคาถาว่า “ต้องขยัน ประหยัด และรู้จักพอดี”
ปิดท้ายที่ พระพรหมวชิรญาณ (ประสิทธิ์ เขมงฺกโร สุทธิพันธุ์) กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัด ยานนาวา ทำนายอนาคตโดยใช้หลักธรรมทางศาสนาว่า บ้านเมืองกำลังจะเริ่มต้นใหม่ หลังจากมีปัญหามานาน สิ่งใดที่ไม่เข้ารูปเข้ารอย จะฝ่าวิกฤติไปได้ระดับหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างมาจากเหตุมีปัจจัย ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
พระพรหมวชิรญาณ ยังมองอนาคตเศรษฐกิจไทยด้วยว่า เศรษฐกิจจะค่อยๆกระเตื้องขึ้น ส่วนจะดีขึ้นมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับความร่วมมือของคนในชาติว่า จะมีมากน้อยเพียงใด ด้านสังคม ถ้าการเมืองดี เศรษฐกิจดี ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง จะไปสู่บทสรุปที่เป็นหลักธรรมพระพุทธเจ้าที่ว่า ทุกอย่างมาจากเหตุ มีปัจจัยก็มีผล ปัญหาชาติบ้านเมืองสะสมกันมานาน จะมาแก้ในระยะเวลาอันสั้นคงยาก แต่ถ้าผู้นำที่ขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งตระหนักถึงหลักธรรมที่กล่าวมานี้ จะช่วยประเทศ



*'จากสมานฉันท์สู่ทะเลาะกันอย่างสันติ' โดย เกษียร เตชะพีระ
คงดีถ้าคนไทยเราจะสมานฉันท์กันได้ในปีใหม่นี้ แต่เมื่อดูผลการเลือกตั้งครั้งล่าสุดประกอบกับแนวโน้มการเมืองรอบหลายปีหลังแล้ว ผมคิดว่าเราควรตั้งเป้าต่ำลงมาให้สอดคล้องกับความเป็นจริง
คือเอาแค่ให้คนไทยทะเลาะกันอย่างสันติได้ก็พอ! ทั้งนี้ เพราะคะแนน ส.ส. แบบสัดส่วนของพรรคพลังประชาชนในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไป เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.ศกก่อน จำนวน 12,331,381 เสียงนั้นแสดงซ้ำและต่อยอดแบบแผนปรากฏการณ์: -
-11 ล้านเสียงของพรรคไทยรักไทยในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2544
-19 ล้านเสียงของพรรคไทยรักไทยในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2548
-16 ล้านเสียงของพรรคไทยรักไทยในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ.2549 และ
-10.7 ล้านเสียงที่ไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ.2550

ตัวเลขคะแนนเสียงเหล่านี้เมื่อนำมาวางเคียงข้างคะแนน ส.ส.แบบสัดส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ที่ประกาศตนเป็นขั้วตรงข้ามกับพรรคไทยรักไทยในอดีต และพรรคพลังประชาชนในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด จำนวน 12,138,960 คะแนนแล้ว ก็จะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างขัดแย้งทางการเมืองอย่างหนักแน่นชัดเจนคงเส้นคงวาระหว่างประชาชน 2 กลุ่มใหญ่ในสังคมไทย - โดยแต่ละกลุ่มต่างก็มีจำนวนพอฟัดพอเหวี่ยงกันกว่าสิบล้านคน-ชนิดที่มิอาจปฏิเสธลบล้างได้ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ก็ตาม
ผมคิดว่านี่คือการแสดงออกทางการเมืองอย่างเป็นรูปธรรมของความขัดแย้งทางชนชั้นในสังคมไทยปัจจุบัน ระหว่าง [ชนชั้นนายทุนใหญ่รุ่นใหม่ + ชนชั้นเกษตรกร-แรงงานนอกระบบในเมือง - ที่มีพรรคไทยรักไทยในอดีตและพรรคพลังประชาชนทุกวันนี้เป็นตัวแทน] VS. [ชนชั้นนำแต่เดิม + คนชั้นกลาง - ที่มีพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคขนาดกลาง และเล็กอื่นๆ เป็นตัวแทน]
หากฟังคำว่า 'ชนชั้น' แล้วแสลงใจ จะเรียกเสียใหม่ว่าเป็นความขัดแย้งเชิง 'โครงสร้าง' ก็ได้ กล่าวคือโดยเนื้อแท้แล้วมันไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัว ส่วนกลุ่มพรรคพวกหรือส่วนเครือข่ายอุปถัมภ์, มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจตจำนงทางอัตวิสัยของใคร ที่จะขอให้เลิกทะเลาะกัน เลิกแล้วต่อกันและหันหน้ามารักกัน แล้วจะพลันทำจริงตามนั้นได้, แต่เป็นความขัดแย้งที่ตั้งวางหยั่งรากอยู่ในฐานะ, ผลประโยชน์และความสัมพันธ์ของแต่ละกลุ่มแต่ละฝ่ายกับกลุ่มอื่นๆ ฝ่ายอื่นๆ ในโครงสร้างทางเศรษฐกิจสังคมและการเมืองทางภาววิสัยของประเทศ
พวกเขาต่างเชื่อมโยงสัมพันธ์กับรัฐ, ทุน, โลกาภิวัตน์, และทรัพยากรทางเศรษฐกิจสังคมแตกต่างกันไปโดยฐานะตำแหน่งที่แต่ละกลุ่มตั้งอยู่ในโครงสร้าง และเพราะความแตกต่างนี้แหละที่ทำให้พวกเขาลุกขึ้นมาขัดแย้งกันทางการเมือง ความขัดแย้งนี้จะดำรงคงอยู่และแสดงออกไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่โครงสร้างนั้นยังคงอยู่ หรือจนกว่ามันจะถูกปรับเปลี่ยนแก้ไขไป
การเมืองไทยได้เข้าสู่ยุคการเมืองเรื่องชนชั้น (class politics) อย่างเปิดเผยแจ่มชัดแล้ว การสมานฉันท์หรือเลิกทะเลาะกันจึงเกิดขึ้นได้ยากภายใต้โครงสร้างทางเศรษฐกิจสังคมและการเมืองอย่างที่เป็นอยู่ ในสภาพเช่นนี้ ประเด็นสำคัญน่าจะอยู่ตรงจะหาทางจัดการอย่างไรให้ความขัดแย้งนั้นไม่ลุกเลยลามปามไปสู่ความรุนแรง ทว่าอยู่ในกรอบของการเมืองเรื่องชนชั้นตามวิถีทางประชาธิปไตย (democratic class politics) หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือทำอย่างไรจะให้คนไทยต่างชนชั้นสามารถทะเลาะกันอย่างสันติได้มากกว่า
ประสบการณ์อันพลิกผันปั่นป่วนของการเมืองไทยในรอบสองสามปีที่ผ่านมาได้ให้บทเรียนแก่เราว่าเพื่อให้คนไทยต่างกลุ่มต่างชนชั้นสามารถทะเลาะกันได้อย่างสันติ เพื่อให้การเมืองเรื่องชนชั้น ในสังคมไทยดำเนินไปได้ตามวิถีทางประชาธิปไตย มีเงื่อนไขจำนวนหนึ่งที่ทุกกลุ่มทุกฝ่ายพึงธำรงรักษาและปกป้องไว้ให้ได้ กล่าวคือ: -
1) กองทัพต้องไม่ใช้กำลังเข้าแทรกแซงยุ่งเกี่ยวความขัดแย้งทางการเมือง
ความจริงแล้วทุกฝ่ายต้องไม่ใช้กำลังรุนแรงเข้ามาล่วงล้ำก้าวก่ายบิดผันหักเหบงการบังคับให้กระบวนการทางการเมืองเฉไฉไขว้เขวไปจากครรลองปกติโดยชอบของมัน - แต่ก่อนอื่นและเหนืออื่นใด เราต้องเน้นหนักไปที่กองกำลังติดอาวุธของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง
มีพระบรมราโชวาท 2 องค์เมื่อเร็วๆ นี้ ที่พระราชทานพระราชดำริเกี่ยวกับการใช้กำลังอาวุธของกองทัพอย่างน่าสนใจ ได้แก่พระบรมราโชวาทพระราชทานแก่นายทหารและนายตำรวจชั้นนายพลที่ได้รับพระราชทานยศสูงขึ้นและเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณ ณ ศาลาดุสิดาลัย พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 21 ธันวาคมศกก่อน ความตอนหนึ่งว่า:-
'ท่านเป็นทหารไม่ได้หมายความว่าท่านจะต้องประหัตประหารใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ แต่ว่าท่านจะต้องทำคำ (ปฏิญาณ) ให้ศักดิ์สิทธิ์ และถ้าทำด้วยมีความเข้มแข็ง ในกรณีใดก็ตาม ท่านก็จะปลอดภัย และทำให้บ้านเมืองปลอดภัย ทำให้บ้านเมืองมีความสุข มีความเรียบร้อย'
(อ้างจาก 'ให้ ทหาร-ตำรวจ เข้มแข็ง ในหลวงรับสั่ง
'บ้านเมืองในระยะนี้ดูท่าทางไม่ค่อยเรียบร้อยนัก', ประชาไทออนไลน์, 22 ธ.ค.2550)
และพระบรมราโชวาทพระราชทานแก่ตุลาการศาลทหารฯที่เข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณ ณ ศาลาดุสิดาลัย พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 17 ธันวาคมศกก่อน ความบางตอนว่า: -
'.....ทหารถือว่ามีอาวุธ แต่ความยุติธรรมของตุลาการ ก็เท่ากับเป็นอาวุธอีกอย่าง ถ้าท่านรักษาความดีของตุลาการก็จะไม่ต้องใช้อาวุธที่ประหัตประหาร ฉะนั้น ท่านได้ปฏิบัติปฏิญาณตนก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะว่าเป็นการยืนยันว่าท่านมีหน้าที่และหน้าที่ท่านจะสำคัญมากสำหรับประเทศชาติ จะทำให้ประเทศชาติมีความสุขความสงบอยู่ตลอด ไม่จำเป็นที่ประหัตประหารกัน.....
'.....ถ้ามีคนเอาเปรียบคนอื่น จะทำให้บ้านเมืองไปไม่รอด ก็ขอให้ท่านดูแลความยุติธรรม ไม่ใช่ในกองทัพท่านเอง แต่ว่าทั่วไป จะได้ไม่ต้องประหัตประหารกัน.....
'ประเทศไทยอยู่เย็นเป็นสุขมานาน แต่ว่าเดี๋ยวนี้ก็รู้สึกว่าคนเขาจะเอาเปรียบกัน ในการเอาเปรียบกันไม่ดี จะต้องให้มีคนไม่เอาเปรียบ รักษาความสงบสุขต่อไป ขอให้ท่านมีความสำเร็จดีในงานของท่าน และมีความเข้มแข็ง รักษาความยุติธรรม ไม่ใช่ในกองทัพท่านเอง แต่ทั่วไป ให้คนเขาไว้ใจว่าทหารเป็นผู้ที่รักษาความยุติธรรม.....
'กองทัพจะรักษาประเทศชาติได้ ไม่ใช่ด้วยอาวุธประหัตประหาร แต่ว่าด้วยความดี.....'
(อ้างจาก 'บ้านเมืองต้อง'ยุติธรรม' 'ในหลวง'ตรัส ปฏิบัติตัวตามใจชอบไม่ได้',
มติชนรายวัน, 18 ธ.ค.2550, น.1)
2) ทุกฝ่ายต้องไม่ดึงสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเครื่องมือกำจัดคู่ขัดแย้งทางการเมือง
ดังตอนหนึ่งในคำพิพากษาศาลชั้นต้นคดีหมายเลขดำที่ อ.1065/2549 และ อ.1875/2549 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการและอดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และนายขุนทอง ลอเสรีวณิช บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณาหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.328 ประกอบ พ.ร.บ.การพิมพ์ พ.ศ.2484 ม.48 เมื่อวันที่ 25 ธันวาคมศกก่อน ว่า: -
'.....ทางนำสืบจำเลยที่ 1 และพฤติการณ์การกล่าวปราศรัยของจำเลยที่ 1 ตามวัตถุพยานของจำเลยที่ 1 ก็ดี การแต่งกายของจำเลยที่ 1 ไม่ว่าสีของเสื้อที่ใช้สีเหลือง อันเป็นสีประจำพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และตัวอักษรที่หน้าอกเสื้อคำว่า 'เราจะสู้เพื่อในหลวง' ก็ดี ล้วนพยายามสร้างภาพของโจทก์และผู้สนับสนุนโจทก์ ให้มีภาพยืนอยู่ตรงข้ามกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และพยายามสร้างภาพของจำเลยกับพวกให้อิงแอบแนบชิดกับสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นสถาบันสูงสุดที่ประชาชนคนไทยทุกหมู่เหล่าต้องเทิดทูน เพื่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์กับพวกไม่จงรักภักดี ทำตัวเสมอพระมหากษัตริย์ หรือไม่ถวายพระเกียรติพระมหากษัตริย์ เป็นการแยกประชาชนคนไทยที่จงรักภักดี บางส่วนให้เป็นฝ่ายตรงข้ามสถาบันพระมหากษัตริย์ นับเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อประเทศชาติ
'การที่จำเลยที่ 1 พยายามดึงสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพเทิดทูนสูงสุดของประชาชนทุกหมู่เหล่ามาเป็นเครื่องมือในการกำจัดโจทก์กับพวกในทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พฤติการณ์แห่งคดีมีลักษณะร้ายแรง และเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคล หรือคณะบุคคลอื่นๆ อีกต่อไป จึงไม่รอการลงโทษจำเลยที่ 1.....'
(อ้างจาก 'อ้างสถาบัน-สร้างความแตกแยก จำคุก 'สนธิ' 3 ปี หมิ่น 'ทักษิณ'',
ประชาไทออนไลน์, 25 ธ.ค.2550)
3) ทุกฝ่ายต้องช่วยกันพิทักษ์ปกป้องและขยับขยายพื้นที่สิทธิเสรีภาพกับพื้นที่ประชาธิปไตยอันเป็นสมบัติร่วมทางการเมืองของประชาชน
ระบอบเสรีประชาธิปไตยเป็นกรอบกติกาและวิถีทางจัดการความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างชนชั้นต่างๆ ให้คลี่คลายไปได้โดยสันติ เพื่อให้ระบอบดังกล่าวดำเนินงานไปได้ จักต้องปกป้องรักษาพื้นที่ 2 ส่วนในสังคมเอาไว้ให้เข้มแข็งมั่นคงและหาทางขยับขยายมันให้กว้างขวางออกไป ได้แก่: -
พื้นที่สิทธิเสรีภาพ - ซึ่งก่อนอื่นหมายถึงสิทธิเสรีภาพเหนือร่างกาย ชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลพลเมืองและหลักนิติธรรม และ พื้นที่ประชาธิปไตย - ซึ่งก่อนอื่นหมายถึงหลักความเสมอภาคและอำนาจอธิปไตยของประชาชน
ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา พื้นที่สิทธิเสรีภาพและพื้นที่ประชาธิปไตยต่างผลัดกันถูกคุกคามจำกัดลิดรอนอย่างหนักหน่วงตามลำดับ หะแรกโดยรัฐบาลประชาธิปไตยไม่เสรีของนายกฯ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และต่อมาโดยอำนาจนอกรัฐธรรมนูญและเผด็จการครึ่งใบของคณะรัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ.2549 และรัฐบาลนายกฯ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
น่าสังเกตว่าทุกครั้งที่พื้นที่สิทธิเสรีภาพและพื้นที่ประชาธิปไตยถูกบีบกดให้หดตัว ปฏิกิริยาตอบกลับในแง่ความขัดแย้งทางชนชั้นก็ยิ่งลุกลามร้อนแรง และการเมืองไทยก็ยิ่งล่อแหลมเข้าใกล้ความรุนแรงไปอีกขีดขั้นหนึ่ง


*โลกร้อน... ปรากฏการณ์ที่สร้างความหวาดผวาต่อมนุษยชาติ
ทั้งๆที่หลายปีที่ผ่านมา ธรรมชาติได้ส่งสัญญาณเตือนถึงมหันตภัยภัยที่จะเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า จากปรากฏการณ์เรือนกระจก ก๊าซเรือนกระจก ที่ส่งผลให้สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง หรือ Climate Change แต่คนส่วนใหญ่กลับไม่สำเหนียกถึงหายนภัยที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ตัว และพร้อมจะคุกคามโลก ขนาดเกิดกรณี น้ำแข็งที่ขั้วโลกละลายและจะทำให้น้ำทะเลสูงขึ้น รวมถึงปรากฏการณ์อื่นๆที่ส่งผลกระทบต่อความสมดุลทางธรรมชาติ หลายคนยังฟังเพียงผ่านๆ และคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว
แต่ยิ่งนานวันผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศจากสภาวะโลกร้อน ก็ยิ่งพ่นพิษรุนแรง และลุกลามเพิ่มขึ้น แม้จะแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ เช่น เกิดสภาวะ เย็นจัดผิดปกติ น้ำท่วมมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เกิดไฟป่าบ่อยขึ้น ความแห้งแล้งยาวนานขึ้น ฤดูหนาวไม่หนาวจัด ฤดูใบไม้ผลิมาถึงเร็วขึ้น ฤดูใบไม้ร่วงมาถึงช้าลง ต้นไม้ออกดอกเร็วขึ้น โรคภัยไข้เจ็บลุกลาม ปะการังฟอกขาว การทับถมของหิมะลดลง สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกหายไป พืชและสัตว์ต่างถิ่นรุกราน แนวชายฝั่งสึกกร่อน ป่าในเขตภูเขาสูงแห้งแล้ง ฯลฯ
ความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน จากภัยทางธรรมชาติเหล่านี้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า และทุกครั้งก็เหมือนจะยิ่งเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ คือ การยืนยัน และตอกย้ำชัดเจนจนไม่อาจปฏิเสธได้แล้วว่า
วิกฤตการณ์โลกร้อน....เปิดฉากคุกคามมนุษยชาติอย่างหฤโหด!
*และวันนี้ภัยธรรมชาติ กลายเป็นภัยใกล้ตัวของสังคมโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว
ผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเกิดขึ้นอย่างมากมาย และเกือบจะทั่วทุกมุมโลก ทั้งเพิ่มความซับซ้อนยากต่อการทำนาย
แต่ที่แน่นอนที่สุด คือ ปัญหาโลกร้อนที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะหาต้นเหตุหรือต้นตอของปัญหาจากทฤษฎีใดก็ตาม คำตอบสุดท้าย คือ มนุษย์เป็นตัวการสำคัญของปัญหาโลกร้อน!
พวกเราต่างพากันปล่อยปละละเลย ไม่ดูแลปกป้องรักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซ้ำร้ายกลับช่วยกันคนละไม้คนละมือสร้างมลพิษ จากการใช้น้ำมัน การปล่อยสารพิษ สารเคมี การตัดไม้ทำลายป่า เป็นต้น ทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นในชั้นบรรยากาศอย่างรวดเร็ว และก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจกที่ผิดปกติขึ้น รวมทั้งก๊าซชนิดอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติดักจับความร้อนออกไปยังบรรยากาศของโลก ก๊าซเหล่านี้จะรวมตัวกันจนกลายเป็นผ้าห่มหนาๆ ดักจับความร้อนของดวงอาทิตย์ และทำให้โลกมีอุณหภูมิร้อนขึ้น ยิ่งก๊าซเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น ความร้อนก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย จนกระทั่งกลายเป็นปัญหาโลกร้อน หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ผิดปกติ หรือมีความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศเกิดขึ้นทั่วโลก
ประเทศไทยเองก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงจากภาวการณ์นี้ไปได้ จากความผิดปกติของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา นั่นก็คือ ภาวะฝนตกน้ำท่วมขนาดหนักในหลายพื้นที่ การไม่มีฤดูหนาวและฤดูร้อนที่ร้อนมาก หรือกระทั่งแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง
ขณะที่แนวโน้มของสภาพภูมิอากาศในระยะเวลาประมาณ 40 ปี และ 70 ปีข้างหน้า นักวิชาการจากหลายสำนัก ระบุไปในทิศทางใกล้เคียงกันว่า ประเทศไทยจะมีฝนมากขึ้นในเกือบทุกภาค ส่วนอุณหภูมิสูงสุดและต่ำสุดในประเทศไทยจะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก อาจเพิ่มสูงขึ้นหรือลดลงประมาณ 1-2 องศาเซลเซียส แต่จำนวนวันที่อากาศเย็นจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด ในทางกลับกันจำนวนวันที่อากาศร้อนก็จะเพิ่มขึ้นขณะที่ในช่วงเวลาปีต่อปี จะยังคงมีความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศอยู่ เช่น บางปีฝนชุก บางปีแล้งจัด หรือบางปีร้อนมาก เป็นต้น แต่ที่น่าห่วง คือ ความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศเหล่านี้อาจจะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต
ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผอ.ศูนย์ เครือข่ายงานวิเคราะห์วิจัยและฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของโลก แห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (START) จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย กล่าวถึงผลกระทบจากปัญหาโลกร้อนว่า สภาพภูมิอากาศของประเทศไทยจะมีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นเรื่อยๆ จากการศึกษาแบบจำลองสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยในอีก 30-80 ปี พบว่า จำนวนวันร้อนที่สูงกว่า 33 องศาเซลเซียส จะมีมากขึ้นประมาณ 30-60 วันต่อปี จากปกติ 20 วันต่อปี จังหวัดที่มีวันร้อนมากที่สุด คือ อุทัยธานี เนื่องจากมีพื้นที่อยู่ในหุบเขา รองลงมาคือ นครสวรรค์ สำหรับจำนวนวันเย็นที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียส จะมีประมาณ 20-30 วันต่อปี จากเดิมประมาณ 30-40 วันต่อปี โดยจังหวัดที่อยู่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันตกจะมีจำนวนวันเย็นมากที่สุด
'ภาวะโลกร้อนยังส่งผลกระทบต่อแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้ฤดูน้ำหลากเปลี่ยนแปลงไป โดยในเดือน พ.ย.-ธ.ค. จะมีปริมาณน้ำมากกว่าที่ผ่านมาถึงร้อยละ 40 เนื่องจากทั้งปริมาณน้ำฝน น้ำเหนือ และน้ำทะเลหนุน ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นกว่าที่ผ่านมา จะส่งผลทำให้กรุงเทพฯ และปริมณฑลเกิดน้ำท่วมง่ายและถี่ขึ้น' ดร. อานนท์กล่าวย้ำ วิกฤติโลกร้อน ไม่เพียงแต่ ส่งผลกระทบต่อมนุษย์โดยตรง แต่ยังส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศต่างๆ รวมถึงผลผลิตทาง การเกษตร การแพร่ระบาดของแมลงศัตรูพืชหลายชนิด และที่หลายคนอาจจะลืมนึกถึง นั่นคือผลกระทบที่สำคัญอันเกี่ยวข้องกับชีวิตของมนุษย์ในเชิงสุขภาพอนามัย จากภาวะโลกร้อนที่จะนำมาซึ่งโรคอุบัติใหม่
ศ.ดร.นพ.สมชัย บวรกิตติ สำนักวิทยาศาสตร์ ราชบัณฑิตยสถาน กล่าวถึงสถานการณ์โรคที่มากับภาวะโลกร้อนว่า ภาวะโลกร้อนจะทำให้อัตราการเป็นโรคมะเร็งปอดเพิ่มสูงขึ้น อันเนื่องมาจากการสูดก๊าซเรดอน (Radon) ซึ่งเป็นภาวะก๊าซที่เกิดขึ้นในพื้นดินแทรกซึมผ่านรอยแตกของตึก อาคาร บ้านเรือนที่ก่อสร้างพื้นบ้านติดดิน เป็นที่นิยมกันทั่วไป หากเทียบอัตรา ส่วนกับบ้านเรือนสมัยก่อนที่นิยมสร้างบ้านลักษณะยกพื้นสูง คนสมัยก่อนจึงมีความเสี่ยงต่ำในการเป็นมะเร็งปอด น่าตกใจว่าปัจจุบันมีคนเป็นโรคนี้เพิ่มขึ้นถึงวันละ 5 ราย
*ศ.ดร.นพ.สมชัยอธิบายด้วยว่า ภาวะพิษทางอากาศจะส่งผลกระทบต่อมนุษย์ผ่านทางระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะผู้ที่ไวต่อสารเหล่านั้นจะมีผลให้มีอาการของโรคทางเดินหายใจ และที่เป็นอยู่แล้วจะมีอาการรุนแรงมากขึ้น ในผู้ที่มีโรคปอดหรือโรคหัวใจจะมีความอึดต่อการออกกำลังลดลง สำหรับผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ มลพิษทางอากาศที่เกิดจากโลกร้อน จะเป็นปัญหาสำคัญของชุมชนเมืองใหญ่และเมืองอุตสาหกรรม
ภาวะโลกร้อนยังเป็นสาเหตุให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคเขตร้อน ทำให้เกิดความชุกเพิ่มขึ้นในประเทศ และแพร่ขยายออกไปสู่ประเทศที่อยู่เหนือขึ้นไปที่ไม่เคยมีการระบาดมาก่อน ทั้งนี้ เนื่องจากผลของการเปลี่ยนแปลงทางนิเวศวิทยาของพาหะนำโรค เช่น โรคมาลาเรีย โรคไข้เลือดออกเดงกี โรคสมองอักเสบติดเชื้ออาร์บอไวรัส ที่มียุงเป็นพาหะนำโรค เพราะยิ่งอุณหภูมิโลกสูงขึ้นก็ยิ่งเหมาะแก่การนำพาโรคและออกหากินบ่อยขึ้น
ขณะที่ นพ.ธวัช สุนทราจารย์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า จากการประชุมประเมินสถานการณ์การระบาดของโรคติดต่อ จากภาวะโลกร้อนในระดับนานาชาติ มีความกังวลถึงผลกระทบด้านสุขภาพ เนื่องจากอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะโรคที่เกิดจากยุงเป็นพาหะ เช่น ไข้เลือดออก มาลาเรีย รวมทั้งโรคจากอาหารและน้ำ เช่น อหิวาห์ตกโรค ไทฟอยด์ บิด อาหารเป็นพิษ เป็นต้น นอกจากนี้สภาพอากาศที่ร้อนชื้นยังทำให้แบคทีเรียในอากาศมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ มีโอกาสในการแพร่ระบาดสูง ในอนาคตมีความเป็นไป ได้ว่าโรคเหล่านี้หากไม่รีบรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ อาจมีโอกาสเสียชีวิตสูงถึง 60%
'โรคไข้เลือดออกเป็นโรคที่ต้องจับตามองมากที่สุด เพราะนอกจากยังไม่มียาหรือวัคซีนในการรักษาแล้ว ปัจจุบันยังพบว่ายุงลายซึ่งเป็นพาหะสำคัญของโรค ซึ่งเคยออกหากินเฉพาะแต่ในเวลากลางวัน ได้เปลี่ยนมาออกหากินในเวลาพลบค่ำจนถึง 5 ทุ่ม ทำให้ยากต่อการป้องกันหรือวินิจฉัยโรค ปัญหาโลกร้อนจึงเป็น 'มหันตภัยแห่งอนาคตของมนุษยชาติ' อย่างแท้จริง และสังคมไทยกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายของสภาพอากาศ' นพ.ธวัชแสดงความห่วงใย
จากวิกฤติมหันตภัยทางธรรมชาติที่เพิ่มความรุนแรงและขยายวงมากขึ้นทุกที ทีมข่าวสิ่งแวดล้อม มองว่า การยุติปัญหาโลกร้อนเป็นหน้าที่ของมนุษยชาติทุกคน โดยไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติ ศาสนา อายุ อาชีพ หรือฐานะความร่ำรวย หรือยากจน แต่ทุกคนต้องมีจิตสำนึกและเริ่มต้นปรับตัว ปรับใจ และปรับวิธีการใช้ชีวิตเพื่อร่วมกันป้องกัน และแก้ไขมหันตภัยที่คืบคลานเข้าคุกคามมนุษยชาติ
โดยเฉพาะเรามองว่า หัวใจในการแก้วิกฤติครั้งนี้ คือ การดำเนินชีวิตตามแนวพระราชดำริ 'เศรษฐกิจพอเพียง' ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยการรู้จักใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ที่เริ่มได้ตั้งแต่ส่วนเล็กที่สุด คือ ตัวเอง ครอบครัว ชุมชน ประเทศ และสังคมโลก ด้วยการร่วมแรงร่วมใจลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ปรับเปลี่ยนวิธีการใช้พลังงานน้ำมัน หาพลังงานทดแทน สกัดกั้นการตัดไม้ทำลายป่า ทั้งต้องปลูกป่าเพิ่มมากขึ้น ที่สำคัญคือ มนุษย์ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมและรักธรรมชาติ
เพราะการรักษาความสมดุลของธรรมชาติไม่ให้ถูกย่ำยี หรือทำร้ายเกินกว่าความจำเป็นในการดำรงชีวิตของมนุษย์ น่าจะเป็นหัวใจในการช่วยปกป้องโลกใบนี้ให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด
หรือต้องรอให้เกิดโศกนาฏกรรม ที่ต้องสังเวยด้วยชีวิตอีกกี่สิบกี่ร้อยล้านคน
อย่าสร้างตราบาปให้คนรุ่นลูกหลานจดจำว่า มหันตภัย...โลกร้อน เกิดจากน้ำมือและน้ำใจของคนรุ่นปัจจุบันเลย!!!



*ประชุมวิชาการนานาชาติ สาขาเคมี สิ่งแวดล้อม และพลังงาน ครั้งที่ 1
ภาควิชาวิศวกรรมเคมี จัดประชุมวิชาการนานาชาติ สาขาเคมี สิ่งแวดล้อม และพลังงาน ครั้งที่ 1
ภาควิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ ร่วมกับ Department of Chemical Engineering, Tokyo Institute of Technology (Tokyo Tech), Tokyo ประเทศญี่ปุ่น จะจัดประชุมทางวิชาการนานาชาติ ในหัวข้อ เรื่อง “The 1st Thammasat University International Conference on Chemical, Environmental and Energy Engineering ~THINK TODAY, THINK SUSTAINABLE” ในวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๕๑ ณ โรงแรมแกรนด์ เมอร์เคียว ฟอร์จูน กรุงเทพมหานคร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีให้นักวิจัยในสาขาวิศวกรรมเคมี สิ่งแวดล้อม และพลังงาน ได้มีโอกาสเสนอผลงานทางวิชาการ รวมทั้งยังเป็นการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองภาควิชาข้างต้น
ผู้สนใจโปรดสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ภาควิชาวิศวกรรมเคมี โทร.02-564-3002-9 ต่อ 3120 ,3040 หรือ //www.cheee.engr.tu.ac.th

The 1st Thammasat University
International Conference on Chemical,
Environmental and Energy Engineering

TU-ChEEE 2008
Co-organized by
Department of Chemical Engineering - Tokyo Institute of Technology, JAPAN

IMPORTANT DATES 2007
Dec 1st Announcement and call for paper
2008
Feb 1st Deadline for manuscript submission
Feb 10th Notification of acceptance
Feb 15th Deadline for registration at reduced fee rates
Mar 4th TU-ChEEE 2008

Regular - Student

Before Feb 15th, 2008 After Feb 15th, 2008
2,000 THB 2,500 THB
1,200 THB 1,500 THB

TU-ChEEE 2008
THINK TODAY, THINK SUSTAINABLE

CONTACT US
Correspondence to Ms. Kwanmanat Mitsuphun
Department of Chemical Engineering
Faculty of Engineering
Thammasat University
99 Moo 18 Paholyothin Rd., Khlong Nung,
Khlong Luang, Pathumthani, 12120
THAILAND
Tel & Fax: (66) 02-5643001-9 Ext. 3040
E-mail address: cheee@engr.tu.ac.th
FURTHER INFORMATION
Please visit our web site
www.cheee.engr.tu.ac.th

Further information will be available only at our web
page. Please add our URL to your bookmark.
Address : 1 Rachadaphisek Road, Fortune Town Building, Dindaeng, Bangkok 10320
Tel: (662) 641 -1500 Fax: (662) 641-1530
MAP OF GRAND MERCURE FORTUNE BANKOK HOTEL
March 4th, 2008
Grand Mercure Fortune Bangkok Hotel



*“การฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและการมีส่วนร่วมของชุมชน : มุมมองเชิงเปรียบเทียบและเรียนรู้จากประสบการณ์ ของเมืองมินามาตะ ประเทศญี่ปุ่น”
วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551
ณ ห้องประชุมจุมภฏ – พันธุ์ทิพย์ ชั้น 4 อาคารประชาธิปก-รำไพพรรณี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
8.30 – 9.00 ผู้เข้าร่วมงานลงทะเบียน
9.00 – 9.10 พิธีเปิดและกล่าวต้อนรับโดย อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (รอการยืนยัน) และ มร. ทาเคจิ โยชิคาวา,ผู้อำนวยการเจแปนฟาวน์เดชั่น กรุงเทพฯ
9.10 – 9.40 ฉายวีดีทัศน์เกี่ยวกับเมืองมินามาตะ ประเทศญี่ปุ่นและปาฐกถานำโดย รศ. สุริชัย หวันแก้ว, ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสังคม จุฬาฯ และรศ. ดร. ทาคาโยชิ คุซะโกะ, รองผู้อำนวยการ ศูนย์ความร่วมมือระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยโอซาก้า
9.40 – 10.20 การบรรยายพิเศษในหัวข้อ “จากเมืองแห่งมลพิษ ก้าวสู่การเป็นเมอืงตัวอย่างทางด้านสิ่งแวดล้อมในศตวรรษที่ 21 ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนและความเป็น “หุ้นส่วนใหม่” ต่อการจัดการปัญหามลภาวะจากอุตสาหกรรมและการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม” โดย คุณโยชิอิ มาซาซูมิ อดีตนายกเทศมนตรีเมืองมินามาตะ (บรรยายเป็นภาษาญี่ปนุ่ และมีลา่ มแปลภาษาไทย)
10.20 – 10.30 แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและตอบข้อซักถามต่างๆ
10.30 – 10.45 พักรับประทานอาหารว่าง ชา-กาแฟ
10.45 – 11.25 การบรรยายเรื่อง “การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศนะใหม่ในเมืองมินามาตะ สู่ท้องถิ่นนิยมและชุมชนศึกษา
(จิโมะโตะ กักคุ) เพื่อสร้างความปรองดองในสังคม วัฒนธรรม ธรรมชาติและอุตสาหกรรม” โดยคุณเท็ตสึโระ โยชิโมโต, ผู้อำนวยการ พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นและประวัติศาสตร์โรคมินามาตะ บรรยายเป็นภาษาญี่ปุ่นและมีล่ามแปลเป็นภาษาไทย
11.25 – 12.00 การบรรยายเรื่อง “การจัดการขยะและของเสียในเมืองมินามาตะ” โดยคุณเอ็ตสึโกะ นูมาตะ หัวหน้ากลุ่มสตรีเพื่อการรณรงค์การลดขยะและของเสีย (บรรยายเป็นภาษาญี่ปุ่น และมีล่ามแปลภาษาไทย)
12.00 – 12.15 เสนอแนะข้อคิดเห็นเพิ่มเติม โดยคุณเพ็ญโฉม แซ่ตั้ง, ผู้ประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน เครือข่ายรณรงค์เพื่ออุตสาหกรรมทางเลือกรศ. ดร. พิเชษฐ์ เมาลานนท์, นักวิชาการอิสระและอดีตอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนีอิกาตะ ประเทศญี่ปุ่น (รอการยืนยัน)
ดำเนินรายการโดยรศ. สุริชัย หวันแก้ว, ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสังคม จุฬาฯ และรศ. ดร. ทาคาโยชิ คุซะโกะ มหาวิทยาลัยโอซาก้า
12.15 – 12.30 แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและตอบข้อซักถามต่างๆ
12.30 สรุปและกล่าวปิดการสัมมนาโดย รศ. สุริชัย หวันแก้ว ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสังคม จุฬาฯ

The 4th JF Fellow Seminar 2008
“Experience of Minamata: Community Revitalization and Environmental Restoration”

15th February 2008 (Fri.)
Venue: Chumpot – Pantip Meeting Room, 4th Floor of Prajadhipok – Rambhai Barni Building,Chulalongkorn University

8.30 – 9.00 Registration
9.00 – 9.10 Welcome Remarks by President of Chulalongkorn University (to be confirmed)
Opening Remarks by Mr. Takeji YOSHIKAWA, Director General, The Japan Foundation,Bangkok
9.10 – 9.40 VDO/VCD Documentary Presentation and Introductory Keynote Addresses by Cochairs:
1.) Assoc. Prof. Dr. Takayoshi KUSAGO, Deputy Director of Global Collaboration Center,Osaka University

2.) Assoc. Prof. Surichai Wun’geao, Director of Social Research Institute, Chulalongkorn University

9.40 – 10.30 Changing from the Polluted City to the Environmental Model City : The “New Partnership” Movement and Citizen’s Participation: by Mr. Yoshii Masazumi, former mayor of Minamata City
10.30 – 10.45 Coffee Break
10.45 – 11.25 “JIMOTO-GAKU” Community and Neighborhood Studies for Creating and Maintaining Harmony in Society, Nature, Culture and Industry: A Paradigm Shift in Minamata City by Mr. Tetsuro Yoshimoto, Director of Minamata Disease Municipal Museum

11.25 – 12.00 Waste Management in Minamata: A Recovery and Going Beyond by Ms. Etsuko Numata, Women’s Group for Reducing Waste
12.00 – 12.30 Discussants and Comments (including Questions and Answers):
(1) Ms. Penchom Saetang, Coordinator, Campaign for Alternative Industry Network
(2) Assoc. Prof. Dr. Pichet Maolanond, former Professor of Law at Niigata University (to be confirmed)
Co-chaired and moderated by: Assoc. Prof. Surichai Wun’Geao, and Assoc. Prof. Dr.Takayoshi KUSAGO
12.30 Closing Ceremony

*นับถอยหลังทีไอทีวีจอมืด
นายอัชฌา สุวรรณปากแพรก ผู้อำนวยการฝ่ายข่าวสถานีโทรทัศน์ทีไอทีวี พร้อมผู้บริหารสถานีข่าวได้เปิดแถลงข่าววานนี้ (11 ม.ค.) ถึงกรณีที่มีข่าวว่า พ.ร.บ.องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยจะมีผลบังคับใช้ในวันจันทร์ที่ 14 ม.ค.51 ทำให้กรมประชาสัมพันธ์ต้องทำการถ่ายโอนทรัพย์สินอำนาจหน้าที่ต่างๆของโทรทัศน์ทีไอทีวีไปเป็นทีวีสาธารณะตามบทเฉพาะกาลมาตรา 57 ว่า พนักงานทีไอทีวีขอแสดงจุดยืนในการเป็นทีวีสาธารณะโดยไม่คัดค้านแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้ยอมรับว่าเกิดความไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่โปร่งใสหลายอย่างที่อาจก่อให้เกิดเป็นปัญหาในการดำเนินการเปลี่ยนผ่านเป็นทีวีสาธารณะ ซึ่งฝ่ายข่าวสถานีทีไอทีวีจึงประกาศจุดยืนที่จะตรวจสอบการเปลี่ยนผ่านในทุกขั้นตอน
นอกจากนี้ ยังเห็นว่าคณะอนุกรรมการเตรียมความพร้อมเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ทีวีสาธารณะที่มีคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ไม่มีอำนาจหน้าที่ที่จะดำเนินการใดๆ ไม่ว่าจะเป็นการจัดผังรายการ การเข้ามาปรับโครงสร้างสถานีหรือการพูดผ่านสื่อว่าจะมีการปรับลดพนักงานลงเหลือ 400 คน หรือลดลงครึ่งหนึ่ง เพราะหน้าที่ดังกล่าวต้องให้คณะกรรมการนโยบายชั่วคราว 5 คน เป็นผู้ดำเนินการตามกฎหมาย แต่ขณะนี้กลับมีการจัดผังรายการใหม่ออกมาเสร็จสรรพแล้ว ทำให้ดูเสมือนว่าคณะกรรมการที่จะเสนอ ครม.เปรียบเสมือนเป็นตรายางเท่านั้น จึงอยากให้ ครม.ได้พิจารณาอย่างรอบคอบ
นางสาวตวงพร อัศววิไล บรรณาธิการประจำวัน กล่าวว่า ผังรายการได้ลดรายการข่าวเหลือเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น จากเดิม 9 ชั่วโมง ไม่มีข่าวภาคค่ำและมีข่าวช่วง 3 ทุ่มเพียง 30 นาทีเท่านั้น เป็นผังรายการที่แสดงเจตนาให้เห็นว่ามุ่งทำลายความเข้มแข็งขององค์กรฝ่ายข่าวและแทรกแซงฝ่ายข่าวให้มีสภาพอ่อนแอและง่ายต่อการควบคุม แม้แต่รายการร่วมมือร่วมใจที่ถือเป็นรายการที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั่วประเทศก็ถูกถอด ออก เพียงเพราะต้องการนำรายการของกรรมการเตรียมความพร้อมบางคนเข้ามาแทนเท่านั้น
“ผังรายการใหม่เหมือนเป็นการยืมจมูกคนอื่นหายใจ มีการแบ่งเค้กกันเสร็จสรรพ บอกตามตรงรู้สึกเสียดายกับ 11 ปีที่องค์การได้ทุ่มเทมาจนสามารถทำให้สถานีมีเรตติ้งอยู่อันดับ 3 และหากมีการนำผังใหม่มาใช้โดยอ้างว่าไม่คำนึงเรื่องเรตติ้งก็มีบทเรียนอยู่แล้วที่ช่อง 11”
ด้านนายฉัตรชัย ตะวันธรงค์ รองผู้อำนวยการฝ่ายข่าว กล่าวว่า ขณะนี้กรมประชาสัมพันธ์ได้ส่งหนังสือมายังสถานีเพื่อให้พนักงานรับทราบว่าสัญญาว่าจ้าง 3 เดือนเดิมจะสิ้นสุดลงหากสถานีเปลี่ยนไปเป็นทีวีสาธารณะ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ศาลปกครองได้มีการคุ้มครองเป็นระยะเวลา 3 เดือน เจตนาดังกล่าวเนื่องจากคณะกรรมการเตรียมพร้อมต้องการให้เลิกจ้างพนักงาน 400 คน โดยจะจ้างใหม่เพียง 400 คน เพราะหากไม่มีการเพิ่มเติมข้อนี้จะทำให้องค์การใหม่ต้องรับภาระผูกพันในสัญญาจ้างพนักงานทั้งหมดไปด้วย
ขณะที่นายประมาณ เลืองวัฒนะวณิช พิธีกรร่วมมือร่วมใจ กล่าวว่า เรื่องการเปลี่ยนผ่านเป็นทีวีสาธารณะในขณะนี้เห็นว่ารัฐบาลชุดรักษาการไม่ควรจะเร่งดำเนินการหรือรวบรัด เพราะตามกฎหมายเมื่อ พ.ร.บ.มีผลบังคับใช้ ต้องมีการตั้งคณะกรรมการ 5 คน และต้องใช้เวลาอีก 180 วัน สรรหาคณะกรรมการเพื่อจะสร้างองค์กรใหม่และยังให้โอกาสอีก 120 วัน เพื่อสรรหาผู้อำนวยการอีก ดังนั้น จะเห็นว่ากว่าขบวนการเปลี่ยนผ่านเป็นทีวีสาธารณะจริงๆต้องใช้เวลาอีกมาก ไม่ใช่รวบรัดเช่นที่รัฐบาลชุดนี้ดำเนินการ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันอังคารที่ 15 ม.ค.นี้ จะมีการนำรายชื่อคณะกรรมการนโยบายชั่วคราว 5 คน ให้ ครม.อนุมัติพร้อมผังรายการใหม่ซึ่งมีรายการของนักจัดรายการวิทยุชื่อดังในเครือข่ายกรรมการชั่วคราวรวมอยู่ด้วย โดยกรรมการทั้ง 5 คน ประกอบด้วย นายไชยา ยิ้มวิไล โฆษกประจำสำนักนายกฯ นางเอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์ นางนวล-น้อย ตรีรัตน์ นายขวัญสรวง อติโพธิ และนายอภิชาติ ทองอยู่
ด้านคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้รอกฎหมาย พ.ร.บ.องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้สามารถประกาศใช้อย่างเป็นทางการ จากนั้นจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายชั่วคราว 5 คน เพื่อรับมอบถ่ายโอนภารกิจทรัพย์สินหนี้สินจากกรมประชาสัมพันธ์ โดยคณะกรรมการชุดนี้จะเข้าไปดำเนินการปรับเปลี่ยนผังรายการเดิมของทีไอทีวี เพื่อเข้าสู่ผังรายการทีวีสาธารณะ พร้อมยืนยันว่า ระหว่างดำเนินการจะไม่กระทบต่อการแพร่ภาพของสถานีโทรทัศน์ทีไอทีวีหรือไม่มีจอดำอย่างแน่นอน


*กำหนดการสัมมนาเรื่อง 'สิทธิมนุษยชนไทยในยุคการเมืองเปลี่ยนผ่าน'
จัดโดย สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา สำนักงานสิทธิมนุษยชนศึกษาและการพัฒนาสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา 13.00 – 17.00 น.
ณ ห้องราชา โรงแรมรัตนโกสินทร์ ถนนราชดำเนินกลาง กรุงเทพฯ โทรศัพท์ 02-2229111-26


12.00-13.00 น. ลงทะเบียน

13.00-13.15 น. กล่าวรายงานการจัดประชุม โดย รองศาสตราจารย์ ดร.กฤตยา อาชวนิจกุล ประธานคณะกรรมการหลักสูตรสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา

13.15-13.30 น. กล่าวเปิดประชุม โดย ศาสตราจารย์ ดร.เสน่ห์ จามริก ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

13.30-14.00 น. กล่าวจุดประเด็นการสัมมนา "สิทธิมนุษยชนไทยในยุคการเมืองเปลี่ยนผ่าน โดย จอน อึ๊งภากรณ์ ประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน

14.00-14.15 น. แลกเปลี่ยนความคิดเห็น

ดำเนินรายการโดย : วราภรณ์ แช่มสนิท สำนักงานสิทธิมนุษยชนศึกษาและการพัฒนาสังคม ม.มหิดล

14.15-16.15 น. การอภิปรายเรื่อง "ทิศทางสิทธิมนุษยชนไทย อะไรคือคำตอบ???" ดำเนินรายการโดย กฤตยา อาชวนิจกุล

ผู้อภิปราย สมชาย หอมลออ มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา ประวิตร โรจนพฤกษ์ หนังสือพิมพ์ เดอะ เนชั่น ทิชา ณ นคร ศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชนบ้าน กาญจนาภิเษก
ชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ศรีประภา เพชรมีศรี สำนักงานสิทธิมนุษยชนศึกษาและ การพัฒนาสังคม ม.มหิดล

*ปาฐกถาเสมพริ้งพวงแก้ว ครั้งที่ 14 'พุทธธรรมในยุคโลกาภิวัฒน์' โดย เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
เสกสรรค์ ประเสริฐกุล - เกิด เมื่อปี พ.ศ. 2492 ที่ปากอ่าวแม่น้ำบางประกง พ่อเป็นช่างเครื่องเรือตังเก แม่ขายผักและผลไม้อยู่ในตลาด ศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปริญญาโทและปริญญาเอก จากมหาวิทยาลัยคอร์แนล ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นผู้นำนักศึกษาในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และเข้าร่วมต่อสู้ในฐานะนักรบปฏิวัติ ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ภายหลังรู้สึกผิดหวังกับแนวทางปฏิวัติ จึงเดินลงจากภูมอบตัวกับทางการในปี 2523 และได้เดินทางไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยคอร์แนล และเข้าทำงานเป็นอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เริ่มเขียนหนังสือตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาธรรมศาสตร์ ผลิตงานเขียนออกมาอย่างสม่ำเสมอ ทั้งบทความ เรื่องสั้น สารคดี และทำหน้าที่ในฐานะนักวิชาการเสนอข้อคิดและแนวทางแก้ไขปัญหาของสังคมไทยผ่านงานเขียนของตน ไม่เพียงทำงานด้านวรรณกรรม หากยังเป็นทั้งนักเดินทาง และนักวิชาการผู้สนใจปรากฏการณ์สังคมอย่างใกล้ชิดไปในเวลาเดียวกัน

ปาฐกถาเสมพริ้งพวงแก้ว ครั้งที่ 14 'พุทธธรรมในยุคโลกาภิวัฒน์'
โดย เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
ณ เรือนร้อยฉนำ สวนเงินมีมา คลองสาน กรุงเทพฯ
10 กุมภาพันธ์ 2551

09.30 – 10.00 น. ลงทะเบียนร่วมฟังเสวนา
10.00 – 12.00 น. เสวนา หัวข้อ “การแสวงหาทางจิตวิญญาณในยุค Google”
12.00 – 13.00 น. ลงทะเบียน งานปาฐกถาเสมพริ้งพวงแก้ว ครั้งที่ ๑๔
13.00 – 13.15 น. บรรเลงขลุ่ยภาวนา*
13.15 – 13.30 น. ศ.นพ.เสม พริ้งพวงแก้ว กล่าวเปิดงานปาฐกถา
13.30 – 13.45 น. ฉายวีดิทัศน์ รายงานกิจกรรมเสมสิกขาลัย ปี ๒๕๕๐
13.45 – 14.00 น. กล่าวแนะนำปาฐกโดย เสถียร เศรษฐสิทธิ์
14.00 – 15.30 น. ปาฐกถา หัวข้อ “พุทธธรรมในยุคโลกาภิวัตน์” โดย เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
15.30 – 16.00 น. ซักถาม แลกเปลี่ยนความคิด
16.00 – 16.15 น. กล่าวปิดงานโดย สุลักษณ์ ศิวรักษ์
สอบถามเพิ่มเติมได้
เสมสิกขาลัย สำนักงานรามคำแหง
สาวิตรี กำไรเงิน หรือ ฐิติรัตน์ จันทร์เนียม
29/15 ซอยรามคำแหง 21 แขวง/เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ 10310
หมายเลขโทรศัพท์ 02-314 7385 ถึง 6
e-mail address semsikkha_ram@yahoo.com


H O M E




Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 22 กรกฎาคม 2551 23:09:28 น. 114 comments
Counter : 16475 Pageviews.

 
*อุบัติการณ์ของเทคโนโลยีพันธุ์ใหม่/มติชน วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2551
ในการประชุมสมัชชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนา ครั้งที่ 6 ในเรื่อง 'ประเด็นอุบัติใหม่ที่ต้องใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี' มีหัวข้อน่าสนใจหนึ่งพูดถึง 'เทคโนโลยีสายพันธุ์ใหม่' โดยระบุว่า เทคโนโลยีมีบทบาทหลักที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าของความสำเร็จไปในทิศทางที่คาดไม่ถึง ที่ผ่านมา เทคโนโลยี (ที่มาพร้อมกับทุน) ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือในการสร้างความมั่งคั่งให้กับบางกลุ่มเท่านั้น
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า หลายอย่างกำลังเป็นความจริง เช่นคำกล่าวที่ว่าการสร้างความมั่งคั่งในอนาคตจะใช้แรงคนน้อยมาก ปัจเจกบุคคลเพียงคนเดียวก็สามารถให้กำเนิดธุรกิจใหม่ได้ทั้งอุตสาหกรรม ซึ่งบางครั้งมีขนาดใหญ่กว่าประเทศหรือเขตเศรษฐกิจส่วนใหญ่ในโลกด้วยซ้ำ แต่กลับสร้างการจ้างงานน้อยมากก็มี
อย่างไรก็ดี วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียังเป็นปัจจัยที่สำคัญมากสำหรับแต่ละประเทศ การจับกระแสของแนวโน้มมีความจำเป็นถ้าต้องการจะเป็นผู้นำ หรือเป็นผู้ตามที่ชาญฉลาด พร้อมจะใช้โอกาสกระแสการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นให้เป็นประโยชน์ในโลกของการแข่งขัน
ด้วยเหตุที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่ผูกโยงกันอยู่กับ 'ความรู้' 'ความต้องการของตลาด' 'การลดการผลาญทรัพยากรธรรมชาติ' และ 'อาณาจักรของคนที่คิดเป็น' อย่างแยกไม่ออก
เทคโนโลยีที่กำลังจะเกิดขึ้นและขยายผลในอนาคตหรือเป็นเทคโนโลยีอุบัติใหม่ (emerging technologies) มักเกิดขึ้นได้จากตรงนี้
เมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา สถาบันแบ็ทเทล (Battelle Memorial Institute) เคยคาดการณ์ไว้ว่า อนาคตเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับสุขภาพไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาล หรือครัวเรือนมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งเทคโนโลยีที่ช่วยปรับผลิตภัณฑ์ให้มีความสอดคล้องกับการใช้งานของผู้ใช้เช่น เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กส่วนบุคคล เทคโนโลยีที่สนับสนุนการแข่งขันทางธุรกิจระหว่างประเทศ เทคโนโลยีที่ช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม รวมถึงเรื่องพลังงาน เช่น การพัฒนารถยนต์ประหยัดพลังงานจะมีบทบาทมากขึ้น ตอนนี้แนวโน้มดังกล่าวหลายอย่างเกิดขึ้นจริงแล้ว และกลายเป็นสนามแข่งขันทั้งด้านงานวิจัยและอุตสาหกรรมระหว่างประเทศในขณะนี้
*สถาบันแบ็ทเทลยังมีการจัดอันดับการคาดการณ์เกี่ยวกับตลาดและเทคโนโลยีอย่างสม่ำเสมอ ระบุแนวโน้มของตลาดและเทคโนโลยีที่สำคัญ เช่น
เทคโนโลยีใหม่สำหรับสินค้าประจำบ้านในอนาคต อันดับหนึ่งคือ เทคโนโลยีไร้สายที่ช่วยให้สายไฟและเคเบิลหายไป
แรงผลักดันค่านิยมของผู้บริโภค อันดับหนึ่งคือ highly desirable products หมายถึงผลิตภัณฑ์ที่มีความสามารถใหม่ๆ แปลกไปกว่าคู่แข่งและเป็นที่สนใจของผู้บริโภคเบบี้บูมและเจเนอเรชั่นเอ็กซ์ รองลงมาผลิตภัณฑ์เกี่ยวข้องกับบริการ เช่น รายการโทรทัศน์เคเบิลจะขายดีกว่าเครื่องรับโทรทัศน์
ประเด็นท้าทายและโอกาส อันดับหนึ่งคือ การดูแลสุขภาพที่บ้าน เนื่องจากแนวโน้มการสาธารณสุขกำลังเคลื่อนย้ายจากโรงพยาบาลมาสู่ภายในบ้านมากขึ้น
ความต้องการด้านสุขลักษณะของบ้าน อันดับต้นๆ คือ ความต้องการอากาศบริสุทธิ์ในบ้าน ถัดมาคือการตรวจเช็ควินิจฉัยให้บริการสุขภาพตลอด 24 ชั่วโมง และระบบรักษาความปลอดภัยของบ้าน
นวัตกรรมด้านพลังงาน แรกสุดคือ การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมพลังงานให้กลายเป็นวัน สตอป เซอร์วิส ถัดมาคือ ยานพาหนะลูกผสมหรือ hybrid vehicles และการบริหารจัดพลังงานด้วยระบบคอมพิวเตอร์
นวัตกรรมเพื่อความสะดวกสบายอันดับแรกสุดคือ อุปกรณ์ควบคุมเครื่องใช้ในบ้านแบบรีโมทที่ใช้ได้กับทุกอย่าง ถัดมาคือระบบติดตามดูแลสุขภาพส่วนตัว
อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ที่กล่าวถึงมักเป็นเทคโนโลยีในระดับความต้องการของผู้บริโภค (ส่วนใหญ่ในสหรัฐ) สถาบันแบ็ทเทลได้นำเสนอ 'เทคโนโลยียุทธศาสตร์' สำหรับปี 2020 จากการวิเคราะห์เทคโนโลยีอุบัติใหม่ 10 อันดับแรก ได้แก่
1.การแพทย์และการดูแลสุขภาพบนฐานของความรู้ด้านพันธุกรรมเช่น ยาจำนวนมากที่ออกสู่ตลาดใน 20 ปีข้างหน้าจะมาจากงานวิจัยด้านพันธุกรรม รวมถึงการดูแลสุขภาพที่ใช้ข้อมูลพันธุกรรมเฉพาะบุคคล
*2.แบตเตอรี่พลังงานสูงและเซลล์เชื้อเพลิงที่อาศัยเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดเล็กภายใน
3.เทคโนโลยีสีเขียวแบบผสมผสาน ประกอบด้วยเซ็นเซอร์และคอมพิวเตอร์เพื่อลดของเสีย นำผลิตภัณฑ์หมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่
4.คอมพิวเตอร์ที่อยู่ได้ทุกหนทุกแห่ง เริ่มตั้งแต่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลขนาดเล็กระบบไร้สายมีขนาดเล็กลง ระยะแรกอาจอยู่ในรูปของนาฬิกาข้อมือหรือเครื่องประดับที่ทำงานได้เหมือนโทรศัพท์มือถือ ในที่สุดคอมพิวเตอร์จะเข้าไปฝังตัวอยู่ในเสื้อผ้าหรือใต้ผิวหนัง
5.เครื่องจักรนาโนที่มีขนาดต้องใช้หน่วยวัดในระดับอะตอมไม่ใช่มิลลิเมตร และจะปฏิวัติอุตสาหกรรมหลายอย่าง รวมทั้งทำความอบอุ่นให้บ้านหรือรักษาโรคมะเร็ง อุตสาหกรรมสำคัญที่สุดที่จะใช้เครื่องจักรนาโนในปี 2020 คือ อุตสาหกรรมการแพทย์
6.ระบบขนส่งสาธารณะส่วนตัว เนื่องจากประชากรสูงวัยจะใส่ใจกับความปลอดภัย ความสะดวกและอยากพึ่งพาตัวเองได้ รถยนต์ส่วนตัวจะถูกนำทางด้วยสมองกลในระบบควบคุมจราจรกลาง เพื่อแก้ปัญหาการจราจรติดขัด และนำผู้โดยสารไปยังที่จอดรถก่อนที่จะขึ้นรถไฟฟ้าต่อไปยังที่หมายในเมือง
7.อาหารและพืชที่ผ่านการปรับแต่งทางพันธุกรรมทำให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และมีคุณค่าทางโภชนาการสูงขึ้น รวมถึงผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ เส้นใยสำหรับเสื้อผ้า
8.สินค้าและเครื่องใช้อัจฉริยะที่ให้ข้อมูลกับผู้ใช้เช่น บรรจุภัณฑ์ที่บอกเตาอบได้ว่าจะต้องปรุงอย่างไร ตู้เย็นที่คอยบอกว่าซื้อของมาเติมเมื่อไร และที่ไหนราคาถูกที่สุด ซึ่งต้องใช้เทคโนโลยีของควอนตัมคอมพิวเตอร์
9.น้ำราคาถูกและปลอดภัยที่หาได้ทั่วโลก เพราะว่าโลกอนาคตน้ำสะอาดมีแนวโน้มจะมีราคาแพง เทคโนโลยีจึงต้องแก้ปัญหานี้ให้ได้ก่อนถึงเวลานั้น เช่น การเปลี่ยนน้ำทะเลเป็นน้ำจืด การกรอง หรือควบแน่นน้ำจากอากาศให้ได้ในราคาถูก
10.สัมผัสเหนือจริงที่ใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย เริ่มจากการฝังอุปกรณ์เพื่อเพิ่มความสามารถในการได้ยินหรือมองเห็นสำหรับผู้พิการ ต่อมาถึงการเพิ่มขีดความสามารถจนถึงระดับเหนือมนุษย์เช่น การเห็นในที่มืด
ความพยายาม 'ดักจับ' กระแสเทคโนโลยีอุบัติใหม่ นอกจากสถาบันแบ็ทเทล ยังมีสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ หรือเอ็มไอทีของสหรัฐ มีการจัดทำ Technology Review ออกเผยแพร่อย่างสม่ำเสมอ ทั้งทางสิ่งตีพิมพ์และทางออนไลน์ ประเทศญี่ปุ่นก็มีการดักกระแสหาเทคโนโลยีอุบัติใหม่ และมีสถาบันวิจัยนโยบายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของรัฐบาล (NISTEP) เป็นหน่วยงานคาดการณ์เทคโนโลยีอย่างเป็นระบบและดำเนินมาเป็นเวลานานเกือบ 40 ปีแล้ว
สิ่งที่เห็นเด่นชัดกรณีญี่ปุ่นคือ เทคโนโลยีเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ชีวภาพและการแพทย์ สิ่งแวดล้อม การสื่อสาร และพลังงานจะมีความสำคัญมากขึ้นในอนาคต ล่าสุดวิสัยทัศน์ที่ญี่ปุ่นจะเป็นผู้นำวิทยาศาสตร์แห่งอนาคต ได้ริเริ่มโครงการศึกษาเทคโนโลยีที่เรียกว่า Innovation 25 เป็นการมองอนาคตเทคโนโลยี มุ่งเป้าไปที่ปี ค.ศ.2025 เพื่อค้นหายุทธศาสตร์สำหรับความเติบโตของญี่ปุ่นในสองทศวรรษหน้า
ขณะที่เกาหลีพยายามก้าวสู่เทคโนโลยีอุบัติใหม่เช่นกัน โดยจัดตั้งโปรแกรม The 21th Century Frontire R&D Program เพื่อบุกเบิกการค้นคว้าวิจัยเทคโนโลยีอุบัติใหม่ และมีมาตรการจะเลือกลงทุนพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในสาขายุทธศาสตร์
ผลการติดตามศึกษานี้ชี้ว่าประเทศที่มีความก้าวหน้าในระดับสูงทางวิทยาศาสตร์ เช่น สหรัฐ เยอรมนี และญี่ปุ่น สามารถใช้งานเทคโนโลยีทั้งหมดที่ใช้ในการประเมินได้ อีกด้านประเทศที่ล้าหลังทางวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องพัฒนาขีดความสามารถอีกมาก และต้องหา 'แรงจูงใจ' ในการใช้เทคโนโลยีให้ได้ เพื่อเอาชนะกำแพงที่ขวางกั้น ก่อนจะสามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีได้



*กสท-อีซีบี'ทดลองเน็ตผ่านสายไฟฟ้า
กสท ลงนามอีซีบี ทดลองให้บริการบรอดแบนด์ผ่านสายไฟฟ้า เร่งทำแผนการลงทุน เล็งตั้งบริษัทลูกต่อยอดให้บริการ ด้านเอกชนเผย ทดลองร่วม กฟน. - กฟภ. ให้บริการ 5 จังหวัด ทั้งเตรียมผลิตอุปกรณ์ลดต้นทุน - ส่งออกทำตลาดต่างประเทศ นายพิศาล จอโภชาอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.กสท โทรคมนาคม กล่าวว่า บริษัทลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมมือทดลองให้บริการบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตผ่านสายไฟฟ้า (บีพีแอล) กับบริษัท อีคอมเมิซ บีสเน็ซ จำกัด (อีซีบี) เป็นการต่อยอดธุรกิจบริการไฮเน็ต ของ กสท กำหนด 2 ปี ตั้งแต่ 1 พ.ย. 2550 - 31 ต.ค. 2552 ซึ่ง กสท รับผิดชอบติดตั้งอุปกรณ์ที่เชื่อมโยงสู่โครงข่ายอินเทอร์เน็ต ส่วนอีซีบีรับผิดชอบการนำสัญญาณอินเทอร์เน็ตกระจายไปยังจุดต่างๆ ภายในอาคารผ่านสายไฟฟ้า 220 โวลต์ เพื่อให้บริการผู้ใช้ ปัจจุบันทดลองในเขตกรุงเทพฯ ที่อาคารพาร์คแลนด์ เรสสิเดนซ์ รองเมือง ของบริษัท นารายณ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด มีผู้ใช้ 21 รายจากผู้พักอาศัย 70 ราย พร้อมกันนั้น ทั้งคู่มีแผนร่วมทุนจัดตั้งบริษัทลูกเพื่อให้บริการบีพีแอลโดยเฉพาะ ลักษณะเช่นเดียวกับบริษัท แคท บัซ ทีวี คาดเบื้องต้นโครงสร้างผู้ถือหุ้น กสท 49% อีซีบี 48% บริษัทอื่น 3% ซึ่งกำลังจัดทำแผนการลงทุนว่าต้องใช้เงินทุนเท่าไร และจะมีเป้าหมายทางการตลาดอย่างไร
นายวินิจ คำสมบูรณ์ กรรมการผู้จัดการ อีซีบี กล่าวว่า อีซีบี ยังร่วมมือกับการไฟฟ้าภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เพื่อทดลองให้บริการทั้งในอาคารและนอกอาคารกว่า 1 ปีใน 5 จังหวัด คือ เชียงใหม่ ปทุมธานี พัทยา ภูเก็ต และขอนแก่น ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยเฉพาะพัทยา ที่มีคอนโดมิเนียมและหมู่บ้านจัดสรรเกิดขึ้นเร็ว และไม่มีเลขหมายโทรศัพท์เพียงพอ ลูกค้าสามารถใช้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านบีพีแอลได้ ความเร็วสูงสุด 200 เมกะบิตต่อวินาที
ขณะเดียวกัน กำลังพัฒนาความเร็วเพิ่มเป็น 400 เมกะบิตต่อวินาที ทั้งทดลองให้บริการเชิงพาณิชย์ ความเร็ว 1 เมกะบิตต่อวินาที ค่าบริการ 580 บาทต่อเดือน และความเร็ว 2 เมกะบิตต่อวินาที ค่าบริการ 900 บาทต่อเดือน เขา กล่าวว่า การให้บริการบีพีแอล จะเป็นทางเลือกใหม่แก่ผู้ใช้บริการ นอกเหนือจากการให้บริการผ่านเอดีเอสแอล และไวไฟ ซึ่งข้อดีของบีพีแอลคือ สามารถเข้าถึงผู้ใช้ได้ง่ายกว่า โดยผ่านสายไฟฟ้าซึ่งมีครอบคลุม 98% ของครัวเรือนทั่วประเทศ ลดต้นทุนค่าเดินสายทองแดงหรือสายไฟเบอร์ออพติก และไม่ต้องใช้เลขหมายโทรศัพท์
“ในรัสเซียมีการใช้เทคโนโลยีบีพีแอลกว่า 5 แสนรายเฉพาะส่วนของผู้ใช้ตามบ้าน ส่วนไทยเฉพาะกรุงเทพฯ ที่เป็นคอนโดมิเนียมและอาคาร คาดว่าจะมีกว่า 500 อาคารที่ให้ความสนใจ” นายวินิจ กล่าว นอกจากนี้ อีซีบี มีแผนจะพัฒนาอุปกรณ์โมเด็ม เพาเวอร์ไลน์ เพื่อให้บริการภายในประเทศไทยเอง ซึ่งจะสามารถช่วยลดต้นทุนได้ประมาณ 25% จากปัจจุบันราคาโมเด็มเฉลี่ยที่ 1,500 บาท และอนาคตมีแผนส่งออกทำตลาดประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด



โดย: jenifaae วันที่: 11 มีนาคม 2551 เวลา:16:46:32 น.  

 
*ขอเชิญเข้าร่วมสัมมนาเชิงปฏิบัติการวิทยาศาสตร์การกีฬา ฟรี!
ด้วย สำนักวิทยาศาสตร์การกีฬา สำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เล็งเห็นถึงความสำคัญขององค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา เพื่อเป็นการประยุกต์วิทยาการทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เข้ามาใช้ในการพัฒนาทักษะและความสามารถทางการกีฬา ซึ่งประเทศต่าง ๆ ในโลกได้ให้ความสำคัญ ต่อการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาวิชาการแขนงนี้ โดยเฉพาะประเทศที่มีความพร้อมทั้งด้านทรัพยากรบุคคล เทคโนโลยี และเป็นประเทศชั้นนำในการเป็นผู้ผลิตอุตสาหกรรมของโลก เช่น ญี่ปุ่น โอมาน บรูไน และฮ่องกง สำนักวิทยาศาสตร์การกีฬา จึงมีการจัดงานประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่อง “วิทยาศาสตร์การกีฬากับการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความสามารถทางการกีฬา” ระหว่างวันที่ 27-29 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา 08.30 – 16.30 น. ณ ห้องราชา 2 โรงแรมปริ๊นพาเลซ (ตลาดโบ๊เบ้)
ทั้งนี้ คณะผู้จัดงานเห็นว่าองค์ความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์การกีฬา มีความจำเป็นและความสำคัญต่อการปฏิบัติงานในองค์กรของท่าน จึงใคร่ขอเรียนเชิญท่าน (หรือผู้แทน) เข้าร่วมการประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการดังกล่าวโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ร่วมกับผู้ชำชาญด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาจากประเทศญี่ปุ่น โอมาน บรูไน และฮ่องกง เพื่อส่งเสริมให้เกิดโอกาสในการหาแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด (Best Practices) เพื่อนำไปสู่การพัฒนาและสร้างเป็นฐานความรู้ที่เข้มแข็ง (Core Competence) ขององค์กร ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
ติดต่อประสานงาน
คุณปรีดา ปัญญาคำ 086-9983421 / 02-6187781 ต่อ 107
คุณวิไลพร ชัยมงคล 086-9746484 / 02-6187781 ต่อ 107
E-Mail : ok_mass2002@yahoo.com , kantana_pan@hotmail.com

ลงทะเบียนร่วมประชุมสัมมนาฯวันที่ 27-29 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา 08.30 – 16.30 น. ณ ห้องราชา 2 โรงแรมปริ๊นพาเลซ

นางสาวสุวิมล เชื้อชาญวงศ์
62/44 ถนน/แขวง บางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ10700
โทร 08 3986 8084

*สุรชาติ บำรุงสุข : “เลิกเอาทหารมาเป็นเทศบาลเวลาท่อตันเสียที คืออย่าเอาทหารมาล้างท่อ”
เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. 50 ชมรมสมาชิกวุฒิสภา 2543-2549 จัดเสวนาโต๊ะกลมเรื่อง ‘อนาคตประเทศไทยหลัง 23 ธ.ค. 50 ณ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาัลัย
วิทยากร ประกอบด้วย รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ คณะนิติศาสตร์ มธ., รศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย, พล.ต.อ.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช อดีตรองผู้บัญชาการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, นายจอน อึ๊งภากรณ์ อดีตสมาชิกวุฒิสภากรุงเทพฯ, ภรณี ลีนุตพงษ์ ประธานคณะทำงานเศรษฐกิจภาคบริการ ประชาไท ขอถอดความการอภิปราย ของรศ.ดร. สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดังนี้
รศ.ดร. สุรชาติ บำรุงสุข คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยคิดว่าปีหน้าเป็นแห่งการท้าทายที่สุดของการเมืองไทยในช่วงชีวิตที่เราเห็น ถ้าเทียบแล้วเป็นความหนักหน่วงที่ไม่แน่ใจว่าจะหนักกว่าปี 2535 หรือไม่ ก่อนขึ้นเวทีเราลองนั่งคุยกัน มีคนโยนประเด็นว่า ตกลงวันที่ 23 ธันวาคมนี้จะมีเลือกตั้งหรือไม่...ถ้าไม่ ปีหน้ายิ่งกว่าการท้าทาย จะเป็นปีของความพังทลาย นั่งภาวนาอยู่ภายในใจว่าได้เลือกก็แล้วกัน
แต่มีคำถามต่อว่า ถ้าได้เลือก เราสมมติทดลองสร้างตัวแบบจำลองสถานการณ์ปีหน้าว่าจะเป็นอย่างไร สมมติว่าพรรคการเมืองบางพรรคชนะอย่างที่โพลล์เขาว่ากัน เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเกิด เรื่องที่หนึ่งคือมีการยุบพรรคหลัง 23 ธันวาคม หรือเรื่องที่สอง ผลการเลือกตั้งมีปัญหามากจนสุดท้ายถูกทำให้เป็นโมฆะโดยกระบวนการบางอย่าง ในภาพรวมสถานการณ์มาในลักษณะอย่างนั้น หมายความว่า สิ่งที่เราจะเห็นในภาพรวมคือ ประชาธิปไตยคงอ่อนแอ เศรษฐกิจคงย่ำแย่ ความมั่นคงรวนเร และกองทัพเข้มแข็ง ในภาวะที่การเมืองอยู่ในสภาพอย่างนั้น ข้อสรุปมีอย่างเดียวคือ แจกยานอนหลับให้กับทุกท่าน มิฉะนั้นจะเครียดจนนอนไม่ได้แน่ๆ แต่ถ้าสุดท้ายตัดสินในยึด (อำนาจ) อย่างที่เราเห็นในเอกสารอย่างที่ออกมาแล้ว เสียดายที่ชิ้นที่ 2 สื่อไม่ค่อยเล่น จริงๆ แล้วชิ้นที่ 2 โดยนัยยะสำคัญมากที่พูดถึงแนวคิดภายในกองทัพ ถ้าสมมติตัดสินใจยึด (อำนาจ) หลังการเลือกตั้ง เราจะมีสถานการณ์ไม่ต่างจากพม่าเหมือนเหตุการณ์ในเดือนสิงหาคม 1988 ซึ่งการเลือกตั้งเกิดแล้ว แต่สุดท้ายผู้กุมอำนาจทางการเมืองคือกองทัพตัดสินใจไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง ดังนั้นถ้ายึด (อำนาจ) หลังวันที่ 23 ธันวาคม ตอบได้คำเดียวว่าประชาธิปไตยล้มเหลวแน่ๆ แต่มากกว่านั้นคิดว่าเศรษฐกิจที่ว่าย่ำแย่ ณ วันนี้ สิ่งที่เราจะเห็นต่อไปคือเศรษฐกิจพังทลาย ถึงตอนนั้นปัญหาความมั่นคงแตกสลายแต่กองทัพจะแข็งแกร่ง สิ่งที่ตามมาคือโมเดลแรก แจกยานอนหลับ โมเดลที่สองคือ แจกเชือกคนละเส้น ใครที่ทำธุรกิจอยู่ คิดว่าคงตอบได้ดีว่าหลัง 19 กันยายน 2549 เกิดอะไร จากสองโมเดลนี้ เห็นอย่างหนึ่งหรือไม่ ทั้งสองโมเดลคือการเมืองเสียเสถียรภาพทั้งคู่ แต่จะไร้เสถียรภาพมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของสถานการณ์ สุดท้ายมันพันอยู่กับเรื่องๆเดียวคือยึดหรือไม่ยึด (อำนาจ) หลัง 23 ธันวาคม
ถ้ามองอย่างนี้อาจจะดูน่ากลัวเกินไป แต่ถ้าเราลองมองภาพให้มันกระจายออก มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น มีการจัดตั้งรัฐบาลโดยกระบวนการการเลือกตั้ง มันก็จะเป็นกระบวนการการเลือกตั้งที่อยู่ภายใต้ข้อจำกัดมาก เพราะฉะนั้นผลที่เราได้รับจากวันที่ 23 ธันวาคม คงจะไม่ใช่แค่ประชาธิปไตยครึ่งใบแต่จะเป็นประชาธิปไตยแบบบงการ หรือเป็นประชาธิปไตยที่มีการจัดการมาก่อนแล้ว
ครั้งหนึ่งผมเคยพูดถึงตัวแบบว่า ถ้าเรานึกถึงนิทานเด็กๆ เรื่องอาละดินกับตะเกียงวิเศษ ครั้งหนึ่งพอเรามีปัญหา อาละดินก็ถูตะเกียงเอายักษ์ออกมา แต่พอยักษ์ออกมาแก้ปัญหาบางอย่างให้อาละดินเสร็จ อาละดินถูตะเกียงเพื่อให้ยักษ์กลับแล้วยักษ์ไม่กลับ ประชาธิปไตยที่จะเกิดหลังวันที่ 23 ธันวาคม สิ่งที่เราจะเห็นชัดก็คือกองทัพเข้มแข็ง แต่การเมืองอ่อนแอ ที่น่าสนใจคือ การเมืองจะอ่อนแอใน 2 ภาค การเมืองในระบบรัฐสภาก็อ่อนแอและการเมืองในภาคประชาชนก็จะอ่อนแอ สิ่งที่เป็นผลตามมาคือ เมื่อการเมืองทั้ง 2 ภาคอ่อนแอก็ต้องพึ่งอำนาจนอกระบบมากขึ้น เมื่อพึ่งอำนาจนอกระบบมากขึ้น ในอีกด้านหนึ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตคือจะเป็นรัฐบาลผสมที่มีปัญหาสารพัดสาระเพ สุดท้ายขมวดกลับมา ทุกอย่างหลังวันที่ 19 กันยายน 2549 ทำให้การเมืองในระบบรัฐสภานั้น ไม่แข็งแรงและอ่อนแอโดยตัวของมันเอง รวมทั้งการเมืองในภาคประชาชน ในสภาวะเมื่อต้องพึ่งอำนาจนอกระบบ แน่นอนว่ากองทัพจะเป็นผู้เข้มแข็งในฐานะผู้รักษาเสถียรภาพของการเมือง (Political Guardian) ของประเทศ เราจะเห็นบทบาทของกองทัพขยายตัวมากขึ้น คำพูดของผู้นำทหารถ้าจะยืนยันคำพูดก่อน 19 กันยายน 2549 ก็บอกไม่ยึด (อำนาจ)
และไม่ได้พูดครั้งเดียวด้วยวันนี้มาบอกว่าทหารถอยกลับ ผมเริ่มไม่แน่ใจว่าจริงๆ แล้วในภาพรวมของกองทัพ ของสถาบัน และของตัวผู้นำกองทัพต้องการถอยออกจากการเมืองจริงหรือไม่ หรือถ้ากองทัพยังยืนยันอย่างเช่นเอกสารที่ออกมา สะท้อนชัดว่ากองทัพไม่ถอนตัวจากการเมืองแน่ๆ กองทัพจะอยู่ในฐานะผู้รักษาเสถียรภาพทางการเมืองของประเทศ เมื่อกองทัพไม่ถอนรูปแบบของการแทรกแซงซึ่งอาจจะมีหลายอย่าง ไม่ใช่เพียงรูปแบบของการรัฐประหาร อย่างที่ผมเคยพูดตัวอย่างว่า กฎหมายความมั่นคงเป็นตัวแบบของการรัฐประหารเงียบซึ่งสังคมไทยไม่คุ้น น่าติดตามมาก เราวิพากษ์วิจารณ์กัน แต่สิ่งที่จะเห็นชัดก็คือ ไม่มีผล ไม่ว่าเราจะพูดอย่างไรก็ไม่มีผล
เข้าใจว่ากฎหมายความมั่นคง มากกว่า 80 % แล้วที่ผ่านและเตรียมประกาศใช้ ความน่าสนใจทางการเมืองอยู่ตรงที่อาจจะมีการประกาศใช้ก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งยังไม่รู้ผลกระทบระหว่างการใช้กฎหมายกับการเลือกตั้งเพราะยังไม่มีใครวิเคราะห์ต่อว่าจะเป็นอย่างไรกับการใช้กฎหมายฉบับนี้ โดยตัวรูปแบบของการเมืองที่เกิด เราบอกว่าประชาธิปไตยมีความจำกัดหรือเป็นประชาธิปไตยแบบบงการ เพราะฉะนั้นการเมืองมีสภาวะที่ถูกชี้นำ การเมืองหลังวันที่ 23 ธันวาคม จะเป็นการเมืองที่มีการต่อสู้อย่างเข้มข้นระหว่างแนวคิด 2 อย่าง คือ ระบอบทหารนิยมกับแนวคิดเรื่องของระบอบเสรีนิยม การต่อสู้ตรงนี้คิดว่าจะขยายตัวมากขึ้น แต่จะรุนแรงหรือไม่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในหลายๆ ส่วน ถ้ามองอย่างนี้ การจัดตั้งรัฐบาลในอนาคตเป็นอะไรที่มีความเปราะบางมาก ประชาธิปไตยที่เกิดในอนาคตก็จะเป็นประชาธิปไตยที่มีความเปราะบาง เพราะโดยตัวของมันเองแล้วถูกบงการ สิ่งน่าจะถามต่อคือ แล้วภาคประชาชนกับภาควิชาการจะทำอะไรต่อ เป็นไปได้ไหม วันนี้เราจะสร้างข้อตกลงสักชิ้นหนึ่งในสังคมไทย วันนี้มาพูดกันที่สามย่านถือเป็นปฏิญญาสามย่านเอาไหม ประกาศร่วมกันว่า
1. เราจะไม่สร้างการเมืองที่ถือเอาหรือยอมรับให้มีการรัฐประหารเป็นวิถีทางของทางการเมือง หรือไม่ยอมรับการจัดตั้งรัฐบาลโดยไม่ผ่านกระบวนการทางรัฐสภา
2. ไม่ยอมรับการแก้ไขปัญหานอกระบบรัฐสภา
3. สร้างเจตนารมณ์ประชาธิปไตย ที่ถือว่าประชาธิปไตยนั้นเป็นวิถีทางเดียวทางการเมือง
ถ้าภาคประชาชนไม่เดินหน้าต่อ ผลพวงของวันที่ 19 กันยายน คิดว่าใหญ่ มองผนวกกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจไทย สื่อเศรษฐกิจพูดเสมอว่า 2550 เผาหลอก ส่วน 2551 เผาจริง แต่ผมคิดว่า 2551 ยิ่งกว่าเผาจริง พูดง่ายๆ เราจะไม่มีอะไรเหลือถ้าเราบริหารการเมืองของประเทศไม่ได้ เพราะการเมืองคือจุดของการแก้ปัญหาของประเทศ ปีหน้าท่านจะเห็นอะไร จะเห็นเศรษฐกิจของอเมริกาลากประเทศทั่วโลกแน่ๆ ประการที่ 2 การเติบโตของเศรษฐกิจจีนซึ่งมีแนวโน้มที่ค่าเงินหยวนของจีนอาจค่อยๆ ขยับลอยตัวขึ้น ประการที่ 3 ต้องเลิกคิดที่จะเชื่อว่าท่านอยู่ในโลกที่น้ำมันราคาถูก ปีหน้าเศรษฐกิจที่กระทบจากราคาน้ำมันจะเห็นชัดขึ้นเพราะปีนี้หนาวมากกว่าปกติ ถ้าถามคนในยุโรปจะพบว่าอากาศหนาวมาก ราคาน้ำมันขึ้นแน่ๆ หมายความว่าท่านจะเห็นราคาน้ำมันสูงโดยไม่มีเงื่อนไขสงครามในตะวันออกกลาง
ประการที่ 4 เฉพาะเศรษฐกิจภายในของปีหน้า ท่านจะเจอทั้งปัญหาเงินเฟ้อและเงินฝืดพอๆ กัน ฉะนั้นถ้าการเมืองไม่ตั้งหลักหรือการเมืองไร้สมดุลหรือไร้เสถียรภาพ ตอบได้อย่างหนึ่งว่าเศรษฐกิจไทยจะยิ่งเป็นปัญหามากขึ้น
มองอย่างนี้ ปัญหาในอนาคตหรือปัญหาหลังวันที่ 23 ธันวาคม ต้องเริ่มคิดกันจริงๆ ว่าภาคประชาชนจะเอาอย่างไร ภาควิชาการจะตัดสิน มีส่วน หรือมีบทบาทอย่างไร กับอนาคตของประเทศไทย
ถ้าเราใจแข็ง คงต้องคิดด้วยกันแล้วบอกกันตรงๆ เลิกหรือไม่ที่จะถือว่า มีปัญหาทีไรต้องเอาทหารมาแก้ปัญหา ภาษาที่ผมเคยใช้คือ เลิกเอาทหารมาเป็นเทศบาลเวลาท่อตันเสียที คืออย่าเอาทหารมาล้างท่อ เป็นไปได้หรือไม่ที่อาศัยชีวิตการเมืองปกติในอนาคต ถ้าท่อตันก็ล้างท่อกันในระบบ ถ้าทำอย่างนั้นได้ ค่อยๆ ปรับการเมืองเราให้ถอยกลับมาสู่ชีวิตทางการเมืองปกติ ปี 2551 อาจจะเป็นปีเริ่มต้น แต่ถ้าปี 2551 ทำไม่ได้ เศรษฐกิจจะตกท้องช้างหรือติดท้องทรายแน่ๆ บวกกับการเมืองซึ่งไร้เสถียรภาพมากๆ คำตอบสำหรับปี 2551 มีอย่างเดียวคือสวดมนต์เยอะๆ
ที่พูดให้เห็นภาพน่ากลัว ไม่ได้ต้องการให้เรารู้สึกท้อ แต่คิดว่าเป็นภาพที่เราต้องทำความเข้าใจว่าปี 2551 เราจะเผชิญกับปัญหาสารพัด ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ที่คนพูดน้อยลงในวันนี้คือเรื่องยาบ้า รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างเรากับต่างประเทศ ถ้าเราเริ่มตระหนักว่า 2551 จะเป็นปีของความเปลี่ยนแปลงใหญ่ เป็นปีแห่งความท้าทาย ต้องตั้งหลักให้มาก อย่างที่เสนอมาตลอด ต้องเอาสติกลับคืนมาสู่สังคมไทยให้ได้ แล้วถ้าไม่มีสติเหลือสำหรับการแก้ปัญหาในอนาคต สุดท้ายสังคมไทยพังด้วยกันทั้งหมด


* พุทธวิธีบริหาร Buddhist Style in Management
ความสุขที่แท้จริงมาจากการสนุกกับงาน (Enjoy Your Work or Second Home Work Place) โดยใช้หลักอิทธิบาท 4 มาจับในประเด็นในเรื่องนี้นั่นเอง
คนที่มีความสุข 1 วินาที คือ คนที่คิดถึงหน้าคนรัก
คนที่มีความสุข 1 นาที คือ คนที่เดินไปเข้าห้องน้ำหรือดื่มกาแฟ
คนที่มีความสุข 1 ชั่วโมง คือ คนที่เลิกงานแล้วรีบกลับบ้าน
คนที่มีความสุข 1 วัน คือ คือคนที่วันนี้โดดร่มไม่ไปทำงาน
คนที่มีความสุข 1 สัปดาห์ คือ คนที่ได้ลาพักร้อน
คนที่มีความสุข 1 เดือน คือ คนที่เพิ่งแต่งงานได้ไปฮันนีมูน
'คนที่มีความสุขตลอดชีวิต คือ คนที่ได้ทำงานที่ตัวเองรัก'

ทำอย่างไรเราจึงจะมีความสุขตลอดชีวิตเพราะได้ทำงานที่ตัวเองรัก
เคล็ดลับวิธีทำงานให้สนุก 4 วิธี
คนเราส่วนใหญ่ในยุคปัจจุบันมักจะไม่ได้ทำงานในสิ่งที่ตนอยากจะทำจริง ๆ แต่กลับต้องทำงานที่ใจไม่รัก ไม่ชอบ ที่ต้องจำใจทำก็เพราะไม่มีทางเลือก ด้วยเหตุจำเป็นที่จะต้องหารายได้มาเลี้ยงชีวิตและครอบครัว เพราะขืนมัวแต่เลือกงานเดี๋ยวได้อดตายกันพอดี ก็เลยต้องทนทำงานกันต่อไป การงานบางอย่างต้องทำซ้ำๆซากๆ จำเจน่าเบื่อหน่าย การงานบางอย่างก็ช่างดูน่าต่ำต้อย เฮ้อ..จะไม่ทำก็ไม่ได้ เดี๋ยวไม่มีเงินใช้ จะทำอย่างไรดีหนอ..
หากท่านพบกับปัญหาทำนองนี้ขอเชิญอ่านเคล็ดลับวิธีทำงานให้สนุก 4 วิธี ที่ท่านอาจจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของท่านได้ ดังต่อไปนี้
1.มองให้เห็นคุณค่าของงาน (ฉันทะ)
การงานทุกอย่างถ้าไม่ใช่อาชีพทุจริต ล้วนแต่มีคุณค่าแฝงอยู่ในการงานทั้งนั้น ดังนั้นขอเพียงแต่คุณรู้จักมองให้เห็นคุณค่าของมัน แล้วสร้างความประทับใจในงานที่คุณทำอย่างสุดซึ้ง ความรักความประทับใจในการงานของคุณนี้เอง ที่จะเป็นพลังใจทำให้คุณสามารถต่อสู้งานที่ยากลำบาก หรือ น่าเบื่อหน่ายต่อไปได้
ย้ำอีกครั้งว่า ขอให้คุณสร้างความภูมิใจในสิ่งที่คุณทำ คือ มีความมั่นใจในงานที่คุณทำว่าเป็นงานที่มีคุณค่า ความรักความมั่นใจในสิ่งที่คุณทำนั่นแหละครับ ที่จะเป็นพลังใจสำคัญทำให้คุณทำงานของคุณอย่างมีความสุข
ยกตัวอย่าง เช่น ถ้าคุณเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย คุณก็ควรจะคิดว่าหน้าที่ของคุณนั้นสำคัญที่สุดในโลก คือ ถ้าบริษัทขาดคุณไป บริษัทก็จะไม่มั่นคงปลอดภัยทันที หรือ ถ้าหากคุณเป็นพนักงานบัญชี คุณก็ควรจะคิดว่า บริษัทต้องพึ่งพาอาศัยคุณ นี่ถ้าบริษัทไม่มีคุณมาช่วยงาน บริษัทจะต้องประสบปัญหาเรื่องบัญชีจนวุ่นวายแน่ ๆ หรือถ้าคุณเป็นแม่ค้าขายข้าวแกง คุณก็ควรจะคิดว่า การที่ลูกค้าทุก ๆ คนได้พ้นจากความหิวโหย รอดชีวิตไปได้ในวันนี้ ก็เพราะคุณได้ช่วยชีวิตพวกเขาไว้นั่นเอง (ขืนใครไม่กินข้าวก็ตายน่ะสิ)
สรุปอีกทีคือ มองให้เห็นคุณค่าในงานที่คุณทำอยู่ว่าได้ช่วยเหลือเกื้อกูลต่อใคร ทำประโยชน์ให้แก่ใครได้บ้าง ให้คิดสร้างความประทับใจในงานของคุณเป็นประจำ คิดตลอดทั้งวันได้ยิ่งดี คนที่รักแฟนคิดถึงแฟนตนเองทั้งวันแม้ฉันใด คนที่รักงานก็ควรคิดรักงานของตนเองให้มาก ๆ ทุกลมหายใจเข้าออก แม้ฉันนั้น หากคิดทำได้ คุณจะเกิดความความภูมิใจ ความมั่นใจในการงานของตนเอง ชีวิตการทำงานของคุณก็จะมีความสุขมากขึ้นเป็นกองเลยทีเดียว
2.กระตือรือร้นอยู่เสมอ (วิริยะ)
สร้างอริยาบถของคุณให้มีกระชุ่มกระชวยมีชีวิตชีวา ทำให้ติดจนเป็นนิสัย คุณก็จะพลอยมีความกระตือรือร้นในการทำงานไปด้วย ความรู้สึกกระตือรือร้นนี้เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาได้ไม่ยาก เวลาที่คุณอยู่คนเดียวในห้อง ให้คุณลองทำดูเล่น ๆ ก็ได้ คือ ลองทำโน่นทำนี่อย่างเนือย ๆ เฉื่อยแฉะสัก 5 นาที จากนั้นให้เปลี่ยนบุคลิกใหม่คราวนี้ลองทำอะไรต่ออะไรด้วยท่าทีกระฉับเฉงว่องไวดูสัก 5 นาที แล้วลองเปรียบเทียบดูจะพบว่าความรู้สึกมันต่างกันลิบลับเลยเดียว
คนที่มีความรู้สึกกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา ทำอะไรมันก็ดูน่าสนุกไปหมด ดังนั้นในแต่ละวัน หากคุณลองทำตัวให้เป็นคนที่กระตือรือร้นขึ้นมาสักวันละครึ่งชั่วโมงกับการงานอะไรก็ได้ ให้คุณลองตั้งกติกากับตัวเอง ว่า คุณจะเป็นคน Active วันละครึ่งชั่วโมง ดูสิว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ในที่สุดคุณจะพบด้วยตัวของคุณเองว่า ทุก ๆ วันที่คุณฝึกทำงานอย่างว่องไวตื่นตัวอยู่เสมอ ความกระตือรือร้นของคุณมันจะค่อยๆ ขยายตัวออกไป สู่กิจกรรมอื่นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดมันก็จะกลายเป็นบุคลิกใหม่ของคุณอย่างถาวร คือเป็นคนทำงานอย่าง สนุกสนานมีชีวิตชีวาด้วยความกระตือรือร้นนั่นเอง
3.ฝึกสมาธิกับการงาน (จิตตะ)
การงานบางอย่างมันก็ดูน่าเบื่อน่าเซ็ง จริงๆเสียด้วย มันจะไม่น่าเบื่อได้อย่างไร ก็ต้องทำซ้ำ ทำซาก หาความหมายอะไรไม่ได้เลย ทำไปเบื่อไปเมื่อไหร่จะเลิกงานเสียที ถ้าใครคิดอย่างนี้นาน ๆ จะพาลเป็น โรคประสาท เพราะจิตใจไม่มีความสุขกับการทำงาน ต้องฝืนใจทำไปวัน ๆ
ใครพบกับสถานการณ์เช่นนี้ ก็ให้ใช้วิธีนี้ คือฉวยโอกาสฝึกสมาธิกับงานเสียเลยเป็นอย่างไร คือได้ทั้งความสงบใจ และได้ทั้งผลของงาน การทำสมาธิกับการทำงานอาจจะใช้วิธีง่าย ๆ ด้วยการกำหนดรู้อริยาบถ คือแต่ละขั้นตอนของการเคลื่อนไหวร่างกาย ให้มีสติติดตามทันไปในทุกอริยาบถ โดยก่อนที่เราจะเริ่มทำงาน ให้มีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าเราจะไม่คิดอะไรนอกเรื่องนอกราวในขณะทำงาน แต่จะใช้ความคิดมากำหนดการเคลื่อนไหวทุกอริยาบถ เพื่อให้จิตเกิดเป็นสมาธิ มันจะได้เกิดความปีติสุขในขณะทำงาน วิธีทำก็ไม่ยาก น่าจะลองปฏิบัติดู
ยกตัวอย่าง สมมุติว่าคุณต้องประทับตรายางซองจดหมายสองร้อยซอง ก็ให้คุณกำหนดจิตลงไปแต่ละขั้นตอนของอริยาบถ เช่น ' หยิบจดหมาย - วางซองเข้าที่- จับตรายาง-กดผ้าหมึก-ปั๊มลงไป- เลื่อนซองออก-หยิบ ซองใหม่-วางซองเข้าที่-จับตรายาง-กดผ้าหมึก ฯลฯ ' ใส่ใจจดจ่อการเคลื่อนไหวทุกๆอริยาบถ พร้อมกับ ใช้ความคิดของคุณกำหนดรู้ลงไป (พูดในใจตามอริยาบถที่เปลี่ยนไป) เพื่อไม่ปล่อยให้ความคิดลอยหนีไปเรื่องอื่น เชื่อไหมว่า กว่าคุณจะปั๊มซองเสร็จ บางทีจิตของคุณอาจจะเกิดตั้งมั่นเป็นสมาธิ ทำให้มีความปีติสุข ราวกับว่าอยู่บนสรวงสวรรค์เลยก็เป็นได้
สรุปง่าย ๆว่า ถ้าคุณรู้จักทำสมาธิในขณะทำงาน ก็เหมือนกับว่าคุณได้ขึ้นสวรรค์ทั้งเป็นในขณะทำงานเลยทีเดียว
4.สนุกกับการทดลองปรับปรุงคุณภาพของงาน (วิมังสา)
การงานทุกอย่างมีเรื่องท้าทายอยู่ในตัวของมันเองเสมอว่า คุณจะสามารถปรับปรุงให้มันมีคุณภาพดีขึ้นได้หรือไม่ ดังนั้นในแต่ละวันที่คุณมาทำงาน คุณอาจสนุกกับการเฟ้นหาปัญหาในที่ทำงานนำมาลองฝึกคิดแก้ไขดู คิดเสียว่าเป็นการท้าทายสติปัญญาของคุณว่าคุณสามารถจะทำได้หรือไม่ อาทิเช่น ทำอย่างไรถึงจะประหยัดทรัพยากร ประหยัดเวลา หรือ ทำอย่างไรผลผลิตจึงจะเพิ่มมากขึ้น หรือ ทำอย่างไรจึงจะวางแผนงานให้เป็นลำดับไม่ลัดขั้นตอน ฯลฯ ลองทำเรื่องเหล่านี้ให้มันดูน่าสนุก เหมือนกับเล่นเกมประเภทฝึกสมองลองปัญญาอะไรทำนองนั้น
สรุปอีกครั้ง คือให้หาเรื่องมาท้าทายสมอง มองหาปัญหาให้เจอแล้วคิดแก้ไขปรับปรุง ถ้าทำได้อย่างนี้ทุกวัน การงานมันก็จะไม่น่าเบื่ออย่างแน่นอนครับ แถมยังฉลาดขึ้นทุกวันอีกต่างหาก
ยกตัวอย่าง สมมุติว่าคุณเป็นพนักงานออฟฟิศ วันนี้คุณอาจจะคิดคำนวณดูเล่น ๆ ว่า วัน ๆ หนึ่งเราใช้กระดาษแบบไม่ประหยัดไปเท่าไหร่ จะหาวิธีปรับปรุงอย่างไรให้มันประหยัดมากขึ้น คิดให้มันเป็นตัวเลขออกมาเลย คำนวณดูว่าวันๆหนึ่งใช้เปลืองไปเท่านี้ ถ้าคูณกับหนึ่งปี มันจะเปลืองไปอีกสักเท่าใด อะไรทำนองนั้น พอวันต่อๆ ไปก็หาเรื่องอื่น ๆ มาคิดท้าทายสมองเล่นอีก เช่น จัดโต๊ะอย่างไรถึงจะนั่งทำงานไม่เสียสุขภาพ วางอุปกรณ์ สำนักงาน อย่างไรถึงจะหยิบก็ง่ายหายก็รู้ ฯลฯ ทีนี้พอหมดเรื่องรอบโต๊ะ คุณอาจจะไปมองหาปัญหาอื่น ๆ ในบริษัทมานั่งฝึกสมองเล่นก็ได้ ยิ่งเป็นการดีเสียอีก เพราะนั่นแสดงว่าคุณกำลังพัฒนาตนเองให้เป็นนักบริหารที่ดีในอนาคต
ทำอย่างนี้ได้ทุกวันรับ รองว่าชีวิตการทำงานของคุณจะต้องพบกับความก้าวหน้าอย่างแน่นอน


โดย: jenifaae วันที่: 24 มีนาคม 2551 เวลา:22:30:26 น.  

 
*ช่วยกันส่งโปสการ์ด ให้กำลังใจชาวบ้านบางสะพาน...กันหน่อย


โดย : ลูกอม เมื่อ : 15/11/2007 03:53 PM

ถึง เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกคน

*เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา กลุ่มรองเท้าแตะ ได้มีโอกาสไปออกค่าย อ.บางสะพาน จ.ประจวบฯ อำเภอที่เป็นที่ตั้งของ หาดแม่รำพึง อันเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาทูที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เนื่องจากมี ป่าพรุ (ป่าที่มีน้ำขังตลอดเวลา และมีต้นจากและเสม็ดขาวเป็นพืชสำคัญ เป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ที่สุดในบรรดาป่าทุกชนิด และในประเทศไทยก็เหลือเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น) และชายหาดที่ยังสวยงาม อุดมสมบูรณ์เหมาะกับการขยายพันธุ์ของปลาทู และมีพื้นที่ติดกับชายหาดบ้านกรูด พื้นที่ของตำนานการต่อสู้ระหว่างชาวบ้านกับบริษัทเอกชนที่ประสงค์จะสร้างโรงไฟฟ้า

ชาวบ้านบางสะพานกำลังประสบปัญหาเดือดร้อนจากการรุกล้ำพื้นที่ป่าพรุอันเป็นที่ดินสาธารณะ ของโรงงานถลุงเหล็ก บริษัท สหวิริยา โรงงานกำลังจะขยายท่าเทียบเรือขนส่งแร่เหล็ก และขยายพื้นที่โรงงานเพิ่มจากเดิมที่มีอยู่แล้วเพิ่มเป็น 29 ปล่อง นั่นแปลว่า หากโรงงานทำสำเร็จ ชายหาดสวยๆ ก็จะมีปล่องควันพิษของโรงงานยืนตระหง่านอีก 29 ปล่อง นอกจากนี้การขยายท่าเทียบเรือ โดยการสร้างท่าเทียบเรือใหม่จะต้องระเบิดภูเขาหินและถมพื้นที่ที่ชาวบ้านเรียกว่า อ่าววัด ให้เป็นท่าเทียบเรือขนส่งแร่เหล็ก อ่าวสวยๆ ในรูปที่เห็นก็จะหายไปในพริบตา อีกทั้งความยาวของท่าที่ยาวถึง 2 กม. ยื่นลงไปในท้องทะเล ก็จะทำลายสัตว์น้ำและปะการังทั้งหมด

ขณะนี้ชาวบ้านได้เข้าไปกินนอนในป่าพรุซึ่งเป็นพื้นที่พิพาท เพื่อเฝ้าระวัง ปกป้อง การใช้รถไถของโรงงานที่เข้ามาไถป่าเสม็ดบ้างแล้ว ความเป็นอยู่ค่อนข้างลำบาก แต่ที่แย่กว่านั้นคือ ความปลอดภัยในชีวิตชาวบ้านที่กำลังถูกคุกคาม การคุกคาม ขู่ฆ่า และการถูกฟ้องร้องจากฝ่ายตรงข้าม ชาวบ้านกำลังมีคดีติดตัว กำลังใจจึงเป็นเรื่องสำคัญมากๆ ในเวลานี้


*
กลุ่มรองเท้าแตะ อยากชวน ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนพ้องน้องพี่ รบกวนช่วยส่งกำลังใจไปให้ชาวบ้านบางสะพาน (กลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง) ผ่านไปทางโปสการ์ดกันหน่อย โดยส่งไปที่

กลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง
50 ม.1 ต.แม่รำพึง อ. บางสะพาน จ.ประจวบฯ 77140

หรือ
ร้านพี กราฟฟิค - สุพจน์ ส่งเสียง
88/11 ม.5 ต.กำเนิดฯ อ.บางสะพาน จ.ประจวบฯ 77140

หรือใครมีคำแนะนำในการช่วยเหลือชาวบ้านก็บอกกันมาได้นะคะ ขอบคุณล่วงหน้าแทนชาวบ้านบางสะพานด้วย


*บรรษัทข้ามชาติ เชื้อเพลิงชีวภาพและเมล็ดพันธุ์ดัดแปลงพันธุกรรม โดย : ประชาไท 18/2/2551


โดย ภัควดี วีระภาสพงษ์ แปลจาก Silvia Ribeiro, “Corporations, agro-fuels and GM seeds,” La Jornada, Rebelion; November 23, 2007


ที่มาภาพประกอบ: furnari

กระแสความคลั่งไคล้ในเชื้อเพลิงชีวภาพ (bio-fuel หรือเชื้อเพลิงที่ผลิตจากพืชผลทางการเกษตร อาทิเช่น เอธานอล) ยังคงเดินหน้าต่อไป ไม่ใช่เพราะเชื้อเพลิงประเภทนี้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือเป็นหนทางแก้ไขปัญหาโลกร้อน โดยข้อเท็จจริงแล้ว เชื้อเพลิงชีวภาพจะซ้ำเติมให้ปัญหาเหล่านี้เลวร้ายกว่าเดิมด้วยซ้ำ แต่เนื่องจากกลุ่มอุตสาหกรรมที่ทรงอิทธิพลที่สุดบนพิภพใบนี้เห็นว่าเชื้อเพลิงชีวภาพคือแหล่งกำไรหอมหวาน กลุ่มอิทธิพลนี้จึงวิ่งเต้นให้รัฐบาลในหลายๆ ประเทศอำนวยประโยชน์ด้วยกฎหมายและเงินอุดหนุน กลุ่มเหล่านี้ประกอบด้วยกลุ่มบริษัทผลิตรถยนต์ (ซึ่งหวังว่าประชาชนจะเปลี่ยนรถใหม่มาใช้พลังงานชีวภาพ) กลุ่มบริษัทน้ำมัน (ซึ่งควบคุมการซื้อขายน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิดอยู่แล้ว) กลุ่มบริษัทที่ควบคุมการผลิตธัญญาหารในโลก (ซึ่งจะได้กำไรทั้งขึ้นทั้งล่อง ทั้งจากความต้องการเชื้อเพลิงชีวภาพที่เพิ่มขึ้นและจากราคาอาหารที่สูงขึ้น) และบรรษัทข้ามชาติที่ผลิตเมล็ดพันธุ์ดัดแปลงพันธุกรรม

ภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่กำลังจับจ้องธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพตาเป็นมันก็คือ บรรษัทข้ามชาติด้านการทำป่าไม้และเส้นใยเซลลูโลส (เช่น บริษัท Stora Enso, Aracruz, Arauco, Botnia, Ence ฯลฯ) ซึ่งปัจจุบันผลิตวัตถุดิบป้อนอุตสาหกรรมกระดาษ แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีเพียงเล็กน้อย บรรษัทเหล่านี้สามารถเปลี่ยนผลผลิตไปเป็นพืชที่ใช้ทำเอธานอลได้ ในทำนองเดียวกัน ผู้ผลิตในอุตสาหกรรมหัวอาหารของวัวและไก่ เช่น บริษัท Tyson Foods หันมาจับมือเป็นพันธมิตรกับบริษัทน้ำมัน (ในกรณีของ Tyson คือการเป็นพันธมิตรกับบริษัทน้ำมัน Conoco-Phillips) เพื่อผลิตไบโอดีเซลจากไขมันสัตว์

เหตุใดบรรษัทข้ามชาติจึงสนใจเมล็ดพันธุ์ดัดแปลงพันธุกรรม? ประการแรก เมล็ดพันธุ์เหล่านี้คือผลผลิตที่ครองยอดขายสูงสุดในเมล็ดพันธุ์เชิงพาณิชย์อยู่แล้ว ในปัจจุบัน เมล็ดพันธุ์ดัดแปลงพันธุกรรมทั้งหมดที่ปลูกเชิงพาณิชย์ในโลก อยู่ในเงื้อมมือของบริษัทมอนซานโต (ประมาณ 90%) ซินเจนตา, ดูปองท์, ไบเออร์, ดาว และ BASF ในขณะเดียวกัน บริษัทสามอันดับแรก นั่นคือ มอนซานโต, ซินเจนตาและดูปองท์ เป็นเจ้าของยอดขายเมล็ดพันธุ์จดสิทธิบัตรรวมกันในโลกถึง 44% หากบริษัทเหล่านี้สามารถเจาะตลาดใหม่ที่ “ปรารถนา” เมล็ดพันธุ์จดสิทธิบัตรได้ ก็จะกอบโกยกำไรมากขึ้น และมีอำนาจเหนือเมล็ดพันธุ์ ทั้งที่เป็นห่วงสำคัญในห่วงโซ่อาหารของมนุษย์และสัตว์ รวมทั้งขยายอำนาจไปสู่ภาคส่วนที่เป็นหัวใจสำคัญอีกภาคส่วนหนึ่ง นั่นคือ พลังงาน

บรรษัทข้ามชาติทุกบริษัทที่ควบคุมเมล็ดพันธุ์ดัดแปลงพันธุกรรมล้วนแล้วแต่ทุ่มลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพ ส่วนใหญ่เป็นพืชดัดแปลงพันธุกรรมที่มีสารให้น้ำมันสูง เช่น น้ำตาลหรือแป้ง แต่เพิ่มเอ็นไซม์และแบคทีเรียดัดแปลงพันธุกรรมเข้าไปในพืชหรือต้นไม้ชนิดนั้น เพื่อทำให้กระบวนการแปรรูปทำได้เร็วขึ้นหลังจากเก็บเกี่ยว

บรรษัทข้ามชาติเหล่านี้กอบโกยผลประโยชน์มหาศาลพร้อมกับการขยายตัวของเชื้อเพลิงชีวภาพ ยกตัวอย่างเช่น การขยายตัวอย่างรวดเร็วของการปลูกถั่วเหลืองดัดแปลงพันธุกรรมในอเมริกาใต้ โดยเฉพาะบราซิล รวมทั้งการขยายตัวของข้าวโพดดัดแปลงพันธุกรรมในสหรัฐอเมริกา เมื่อพืชเหล่านี้สามารถนำมาใช้ผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ หรือในบางกรณีก็ใช้ได้ทั้งเป็นอาหารสัตว์และเชื้อเพลิง บรรษัทข้ามชาติก็มุ่งหวังจะนำเมล็ดพันธุ์ดัดแปลงพันธุกรรมชนิดใหม่เข้าสู่ตลาด หน่วยงานด้านอาหารและยาไม่มีทางอนุญาตให้เมล็ดพันธุ์ประเภทนี้ออกสู่ตลาดในฐานะอาหารสำหรับมนุษย์บริโภค แต่ความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ เมล็ดพันธุ์เหล่านี้อาจปนเปื้อนสู่พืชและธัญญาหารที่มนุษย์ใช้บริโภค

แต่เหนืออื่นใด บรรษัทข้ามชาติไม่กี่บริษัทที่ครอบงำตลาดเมล็ดพันธุ์ในโลกมีเป้าหมายครอบครองส่วนแบ่งตลาดที่มีอยู่ให้มากขึ้น พร้อม ๆ กับรุกคืบเข้าสู่เกษตรกรรายย่อยที่ใช้เมล็ดพันธุ์เชิงพาณิชย์เพียงจำนวนน้อยหรือไม่ใช้เลย แต่หากเกษตรกรเหล่านี้ติดกับด้วยเหยื่อล่อของการทำเกษตรพันธะสัญญาเพื่อผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ ประชากรกลุ่มนี้ก็จะเริ่มใช้เมล็ดพันธุ์ดัดแปลงพันธุกรรม

เงื่อนไขทั้งหมดกำลังก่อให้เกิดกลุ่มพันธมิตรบรรษัทอันทรงอำนาจกลุ่มใหม่ขึ้นมา ยกตัวอย่างเช่น บริษัทมอนซานโตกับบริษัทดาวเพิ่งลงนามในข้อตกลงผลิตเมล็ดพันธุ์ดัดแปลงพันธุกรรม ซึ่งในพืชเพียงต้นเดียวจะมีทั้งภูมิต้านทานยากำจัดวัชพืชถึง 8 ชนิด รวมทั้งผลิตสารที่เป็นยาฆ่าแมลงได้ด้วย นี่แสดงให้เห็นว่า เมล็ดพันธุ์ดัดแปลงพันธุกรรมทำให้เกิดอาการดื้อยากำจัดวัชพืช จึงต้องใช้ยาในปริมาณมากขึ้นเรื่อย ๆ และหากเมล็ดพันธุ์นั้นมิได้ปลูกเพื่อการบริโภคของมนุษย์ ก็เป็นไปได้ที่จะมีการใช้ยากำจัดวัชพืชที่เป็นสารพิษในปริมาณมากขึ้นกว่าปรกติ

นอกจากนี้ มอนซานโตยังจับมือเป็นพันธมิตรกับบริษัท BASF ด้วยเงินลงทุน 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์ดัดแปลงพันธุกรรมชนิดใหม่สำหรับปลูกข้าวโพด ถั่วเหลือง ฝ้ายและคาโนลา มอนซานโตจับมือกับคาร์กิลล์ก่อตั้งบริษัท Renessen เพื่อผลิตข้าวโพดและถั่วเหลืองจีเอ็มโอสำหรับเชื้อเพลิงชีวภาพและอาหารสัตว์ สำหรับมอนซานโต การลงทุนทั้งหมดนี้หมายถึงขยายอำนาจผูกขาดของตนออกไป พร้อมกับพยายามเบียดขับบริษัทคู่แข่งที่ไล่หลังมา คือซินเจนตาและดูปองท์ ให้ออกไปจากตลาดเชื้อเพลิงชีวภาพ

ส่วนดูปองท์ก็จับมือกับบริษัท Bunge (บริษัทด้านอาหารธัญพืชที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก) ก่อตั้งบริษัท Treus เพื่อผลิตข้าวโพดและถั่วเหลืองจีเอ็มโอป้อนแก่อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพ รวมทั้งจับมือเป็นพันธมิตรกับบริษัทบริติชปิโตรเลียม (บีพี) ผลิตเอธานอลจากข้าวสาลีและบิวทานอลชีวภาพ (bio-butanol บิวทานอลเป็นแอลกอฮอล์ชนิดหนึ่ง ใช้หล่อลื่น) ซินเจนตาลงนามในสัญญาความร่วมมือระยะเวลา 10 ปี กับบริษัท Diversa Corporation (บริษัทที่ดำเนินการปล้นจุลินทรีย์ไปทั่วโลก) เพื่อพัฒนาเอ็นไซม์ดัดแปลงพันธุกรรมสำหรับใช้ในการผลิตเอธานอล ไม่ว่าจะเป็นชนิดที่ตัดต่อเข้าไปในเมล็ดพันธุ์โดยตรงหรือใช้ระหว่างกระบวนการแปรรูป ซินเจนตากำลังร่วมมือกับผู้ผลิตอ้อยในบราซิล และเป็นบรรษัทยักษ์ใหญ่ด้านเมล็ดพันธุ์ดัดแปลงพันธุกรรมบริษัทแรกที่กำลังขอใบอนุญาตในสหรัฐอเมริกา เพื่อจำหน่ายข้าวโพดที่มีเอ็นไซม์ที่ออกแบบมาสำหรับผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพโดยเฉพาะ

ขั้นตอนต่อไปที่จะคุกคามความปลอดภัยของมนุษยชาติและโลกใบนี้ เพียงเพื่อแสวงหากำไรของภาคเอกชนก็คือ ชีวภาพสังเคราะห์ (synthetic biology) นั่นคือ การสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาใหม่ ยกตัวอย่างเช่น บริษัท Synthetic Genomics ซึ่งเป็นบริษัทของนักพันธุกรรมเจ้าปัญหาชื่อ Craig Ventner กำลังคิดค้นผลิตสิ่งมีชีวิตเทียมขึ้นมาสำหรับใช้ผลิตพลังงาน

พร้อมกับแผนการของบรรษัทข้ามชาติและนักวิทยาศาสตร์ที่รับใช้ผลกำไรอย่างหน้ามืดตามัว การต่อต้านและการตระหนักรู้ในระดับโลกก็กำลังเติบโตขึ้นเช่นกัน เมื่อดูจากเค้าเดิมพันที่ต้องเสี่ยงในการต่อสู้ครั้งนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นี่จะเป็นสมรภูมิที่รบกันอย่างสาหัสแน่นอน


โดย: jenifaae วันที่: 24 มีนาคม 2551 เวลา:22:30:52 น.  

 
* เพิ่ม7บทสวดพระอภิธรรม'พระพี่นางฯ'
ฝ่ายประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักพระราชวัง กล่าวว่า ตามที่ได้นำคำแปลบทสวดพระอภิธรรมคัมภีร์ ซึ่งใช้ในบทสวดงานพระอภิธรรมพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เป็นพระราชพิธีหลวง นอกเหนือจากใช้บทสวดพระอภิธรรมปกติแล้ว ยังมีบทสวดพระอภิธรรมเพิ่มเติมเป็นภาคอภิบายความบทสังคิณีคัมภีร์ โดยบทสวดที่เพิ่มมาอีก 7 บท ดังนี้ บทที่ 1 อาสวโคจฉกะ บทที่ 2 สัญโญชนโคจฉกะ บทที่ 3 คันถโคจฉกะ บทที่ 4 โอฆโคจฉกะ บทที่ 5 โยคโคจฉกะ บทที่ 6 นีวรรณโคจฉกะ บทที่ 7 สุทธิกปฏิปทา
แต่ละบทคือชื่อของอกุศลธรรม เป็นลักษณะกิเลสต่างๆ ตามหลักอริยสัจ 4 คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม เกี่ยวกับภาพรวมของชีวิตทั้งหมด โดยทรงแสดงให้เห็นถึงโทษของทุกข์ ในไตรลักษณ์ (การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป) สำหรับบทสวดพระอภิธรรม ทำนองหลวงที่ใช้สวดเพิ่มเติมในงานพระราชพิธีนี้ ได้รวบรวมพร้อมจัดทำคำแปลจากพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่มที่ 34 โดยพระมหาประสิทธิ์ สิริปญฺโญ ป.ธ.9 ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เลขานุการรองเจ้าคณะภาค 9



*'เครือข่ายเพื่อนทีวีสาธารณะ' ออกแถลงการณ์หนุน - ไทยรัฐ
(11 ม.ค.) เครือข่ายเพื่อนทีวีสาธารณะ ออกแถลงการณ์เพื่อสนับสนุนการจัดตั้งวิทยุโทรทัศน์สาธารณะ ความว่า เป็นที่ตระหนักดีว่าในปัจจุบันวิทยุโทรทัศน์ในระบบพาณิชย์ ที่รู้จักกันในชื่อว่า ฟรีทีวี รวมทั้ง ทีวีในระบบบอกรับสมาชิกที่ปรากฏอยู่ในสังคมไทยนั้นมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อนำเสนอเนื้อหาในลักษณะของการแสวงหากำไร ทำให้คุณภาพของเนื้อหาในรายการนั้นตอบสนองต่อความนิยมเชิงปริมาณเพื่อนำมาซึ่งการสนับสนุนจากผู้สนับสนุน ประกอบกับ รูปแบบของการบริหารสถานีที่อาศัยคลื่นความถี่ของรัฐที่ขาดกระบวนการของการมีส่วนร่วมของประชาชนในฐานะเจ้าของคลื่นที่แท้จริง ด้วยเหตุนี้เองทำให้รายการโทรทัศน์และวิทยุส่วนใหญ่จึงเน้นความบันเทิงมากกว่าสาระเนื้อหาที่ตอบสนองต่อการเรียนรู้ของสาธารณชน
แถลงการณ์ระบุว่า ในขณะนี้ ทางภาครัฐบาลได้ดำเนินการจัดทำ ร่างพระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ซึ่งมีหลักการเรื่องของกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนอันถือเป็นหัวใจที่เป็นสาระสำคัญอย่างยิ่ง อันจะเป็นช่องทางในการนำเสนอเนื้อหารายการที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง ดังนั้น ในนามของ “เครือข่ายเพื่อนทีวีสาธารณะ” ซึ่งประกอบด้วยภาคีเครือข่ายทั้งจากภาควิชาการ ภาคประชาชน ภาคองค์กรพัฒนาเอกชน กล่าวคือ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยศรีปทุม มหาวิทยาลัยกรุงเทพ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา มหาวิทยาลัยราชภัฎจันทรเกษม มหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น ร่วมกับ เครือข่ายสื่อเพื่อเด็ก มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว ขบวนการตาสับปะรด เครือข่ายครอบครัวเฝ้าระวังและสร้างสรรค์สื่อ เครือข่ายเด็กทำสื่อ ๔ ภูมิภาค และเครือข่ายวิทยุเพื่อเด็ก เยาวชนและครอบครัว
เครือข่ายฯ จึงได้จัดทำแถลงการณ์เพื่อยืนยันในหลักการที่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการจัดทำสถานีวิทยุโทรทัศน์สาธารณะ 4 ประการกล่าวคือ
ประการที่ 1 ขอให้มีการดำเนินการตามเจตนารมณ์ของกฎหมายพระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. ... ต้องเป็นสถานีฯที่มีความเป็นอิสระ ปราศจากการแทรกแซงจากองค์กร หน่วยงานทั้งในทางตรงและทางอ้อมที่จะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาสถานีวิทยุโทรทัศน์เพื่อสาธารณะ
ประการที่ 2 ขอให้มีการดำเนินการจัดเวทีสาธารณะทั้งในส่วนกลางและในส่วนภูมิภาคเพื่อจัดทำผังรายการวิทยุโทรทัศน์ที่ประกอบด้วยรายการที่ตอบสนองต่อความต้องการและความรู้ของประชาชนเพื่อทำให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในสถานีวิทยุ โทรทัศน์สาธารณะในการร่วมพัฒนาผังรายการ ทั้งนี้สถานีวิทยุโทรทัศน์สาธารณะต้องมีสัดส่วนรายการที่มีความหลากหลายและครบถ้วน ทั้ง รายการประเภทข่าว รายการสารคดี รายการสำหรับเด็ก เยาวชนและครอบครัว โดยในส่วนของเนื้อหารายการนั้น ประกอบด้วย เนื้อหาที่ส่งเสริมความรู้ในด้านต่างๆ เช่น ส่งเสริมความคิด ความรู้ทางวิชาการ คุณธรรมจริยธรรม ทักษะในการใช้ชีวิต ส่งเสริมความหลากหลาย รวมทั้ง ความสัมพันธ์ในครอบครัว
ประการที่ 3 ขอให้มีการดำเนินการจัดเวทีสาธารณะทั้งในส่วนกลางและในส่วนภูมิภาคเพื่อเตรียมการจัดตั้งสภาผู้ชมที่มีองค์ประกอบจากตัวแทนของประชาชนในทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง เพื่อกลไกในการติดตามการทำงานโดยประชาชนที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง และประการที่ 4 ขอให้มีการดำเนินการประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจและให้ความรู้แก่ประชาชนผ่านสื่อของรัฐทุกประเภทและเปิดช่องทางรับฟังความคิดเห็นต่อรายการโทรทัศน์สาธารณะของประชาชน
แถลงการณ์ระบุด้วยว่า การขับเคลื่อนต่อไปของเครือข่ายเพื่อนทีวีสาธารณะคือ การจัดเวทีวิชาการและในส่วนภูมิภาค จำนวน ประมาณ 10 ครั้ง เพื่อตอบโจทย์เรื่องของสัดส่วนผังรายการ ประเภทรายการ และกลไกการมีส่วนร่วมในโทรทัศน์สาธารณะและจะนำเสนอสรุปผลทำงานให้กับคณะกรรมการเตรียมความพร้อมฯ ต่อไป

*พ.ร.บ.ยังค้างสภาอีก29ฉบับ "จอน"จับตารัฐนำทัพค้าน 3 ร่าง/มติชน วันที่ 02 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 ปีที่ 3
เผยร่าง กม.สมัย สนช.ยังค้างสภาอีก 29 ฉบับ ถ้า 21 มี.ค. รัฐบาลใหม่ไม่ยืนยันถือว่าตกไป "จอน"นำทีมเอ็นจีโอค้าน 3 ฉบับ ทั้ง กม.น้ำ-สภาการเกษตร-แปลงสภาพ รสก. พร้อมร่าง กม.ปีละ 10 ฉบับประกบของรัฐ หวังปฏิรูปสังคม

เผยร่างกม.ยังค้างสภา29ฉบับ


เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ รายงานข่าวจากรัฐสภา ว่ากรณีที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ยุติบทบาทด้านการพิจารณากฎหมายตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2550 ที่ผ่านมา ปรากฏว่าขณะนี้มีร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ที่ สนช.รับหลักการแล้ว แต่ยังไม่ได้ให้ความเห็นชอบ รวมทั้งสิ้น 29 ฉบับ แบ่งเป็นร่าง พ.ร.บ.ที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาเสร็จแล้ว 15 ฉบับ อาทิ ร่าง พ.ร.บ.การติดตามทวงถามหนี้อย่างเป็นธรรม ร่าง พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ ร่าง พ.ร.บ.สภาการเกษตรแห่งชาติ ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยเงื่อนไขและหลักเกณฑ์การแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจ ร่าง พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ ร่าง พ.ร.บ.สรรพสามิต ร่าง พ.ร.บ.อัตราภาษีสรรพสามิต ร่าง พ.ร.บ.ยาสูบ ร่าง พ.ร.บ.สุรา และร่าง พ.ร.บ.ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน เป็นต้น
ข่าวแจ้งว่า สำหรับร่างกฎหมายที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของ กมธ. มี 14 ฉบับ เช่น ร่าง พ.ร.บ.การกีฬาแห่งประเทศไทย ร่าง พ.ร.บ.ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ร่าง พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจการค้าปลีกหรือการค้าส่ง ร่าง พ.ร.บ.คุมประพฤติ ร่าง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว ร่าง พ.ร.บ.กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ร่าง พ.ร.บ.พลังงานปรมาณูเพื่อสันติ และร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว เป็นต้น

พ้น21มี.ค.ร่างกฎหมายตก

"ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 153 วรรคสอง กำหนดไว้ว่า กรณีที่อายุสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง หรือยุบสภา ภายหลังมีการเลือกตั้งทั่วไป รัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา แล้วแต่กรณี จะพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ที่รัฐสภายังมิได้ให้ความเห็นชอบต่อไปได้ ถ้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้ง ร้องขอภายใน 60 วัน นับแต่วันเรียกประชุมรัฐสภาครั้งแรกหลังการเลือกตั้งทั่วไป และรัฐสภามีมติให้ความเห็นชอบด้วย ดังนั้น ร่างกฎหมายเหล่านี้รัฐบาลใหม่ของนายสมัคร สุนทรเวช จะต้องยืนยันการร้องขอภายในวันที่ 21 มีนาคม 2551 นี้" รายงานข่าวระบุ

"จอน"นำทีมเอ็นจีโอค้าน3ฉบับ

นายจอน อึ๊งภากรณ์ ประธานกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ.ที่เครือข่ายภาคประชาชนยังคัดค้านมี 3 ฉบับ ได้แก่ 1.ร่าง พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ เพราะเนื้อหาเป็นการนำอำนาจในการจัดการทรัพยากรน้ำ ย้ายจากชุมชนไปสู่หน่วยงานของรัฐ ทั้งที่การจัดการทรัพยากรน้ำอยู่ในการดูแลของชุมชนมาตลอด และรัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 ก็รับรองสิทธิชุมชนในการดูแลจัดสรรทรัพยากรในท้องถิ่น นอกจากนี้ หากมีกฎหมายนี้ออกไป อาจมีการเก็บค่าน้ำจากเกษตรกรซึ่งไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ ซึ่งร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ไม่ควรจะมี 2.ร่าง พ.ร.บ.สภาการเกษตรแห่งชาติ เครือข่ายไม่ได้คัดค้านในหลักการ แต่ไม่เห็นด้วยกับเนื้อหาที่กำหนดโครงสร้างสภาที่มีการนำพวกบริษัทอุตสาหกรรมการเกษตรเข้ามาเป็นองค์ประกอบ เพราะจะทำให้โอกาสที่สภาจะเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของเกษตรรายย่อยจะมีน้อยมาก ทั้งที่ประเทศมีเกษตรกรรายย่อย 70% ซึ่งถ้ารัฐบาลใหม่ผลักดันเนื้อหาเดิม เครือข่ายจะผลักดันร่างของภาคประชาชนเข้าประกบ และ 3.ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยเงื่อนไขและหลักเกณฑ์การแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจ เครือข่ายไม่ได้คัดค้านการปฏิรูปโครงสร้างให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่มีเนื้อหาบางส่วนที่ยังคัดค้าน โดยแม้กฎหมายนี้ไม่ใช่เป็นการแปรรูปโดยตรง แต่เปิดช่องทางภาคธุรกิจเข้ามา ทั้งนี้ พวกกิจการสาธารณูปโภค ควรให้รัฐทำเพื่อประโยชน์ของประชาชน จะมาค้ากำไรไม่ได้

ตั้งเป้าร่าง10ฉบับ/ปีประกบรัฐ

"ฝ่ายภาคประชาชนจะจับตารัฐบาลใหม่ และจะผลักดันกฎหมายที่มาจากภาคประชาชน อย่างน้อย 10 ฉบับต่อปี เพื่อให้เกิดการปฏิรูปสังคม ซึ่งเมื่อเราเสนอกฎหมายมา พรรคการเมืองก็คงต้องร่างกฎหมายมาประกบ จุดนี้ก็จะมีโอกาสประนีประนอมคุยกันให้ลงตัวเพื่อประชาชนมากที่สุด และรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 เปิดโอกาสให้เราไปนั่งในกรรมาธิการ 1 ใน 3 อยู่แล้ว ก็คิดว่าจะมีโอกาสผลักดันให้ปฏิรูปสังคม และสร้างความแข็งแกร่งให้การเมืองภาคพลเมือง" นายจอนกล่าว

จี้รมว.ตั้งสภาเกษตร-แก้ปุ๋ยแพง

นายอุทัย สอนทรัพย์ ประธานคณะทำงานร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สภาเกษตรกรแห่งชาติ พ.ศ.... ในส่วนของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานสภาการยางพาราแห่งประเทศไทย กล่าวถึงความคาดหวังในการแก้ปัญหาการเกษตรของรัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์คนใหม่ว่า ขณะนี้การเกษตรมีปัญหา 2 เรื่องที่ขอฝากความหวังไว้กับรัฐมนตรีเกษตรฯคนใหม่ ที่มีชื่อระบุว่าเป็นนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รองหัวหน้าพรรคชาติไทยนั้น คือการเร่งผลักดันให้มีสภาเกษตรกร และแก้ปัญหาปุ๋ยมีราคาแพง

"ทราบว่ายังมีกฎหมายที่ค้างในสภาฉบับหนึ่ง เกี่ยวกับการรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มเกษตรกร คือ พ.ร.บ.สภาการเกษตรแห่งชาติ ซึ่งถือเป็น พ.ร.บ.ที่ต้องมีการส่งตัวแทนจากภาคการเกษตร ภาคราชการ ภาคพ่อค้าทุกภาคส่วนมาเป็นตัวแทน แต่ขณะนี้ พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวมีปัญหาเนื่องจากสัดส่วนของตัวแทนภาคการเกษตรมีน้อยกว่าตัวแทนกลุ่มนายทุนและราชการ ดังนั้น จึงเห็นว่าก่อนจะเร่งผลักดันกฎหมายฉบับดังกล่าว รัฐมนตรีเกษตรฯควรหันมาให้ความสนใจในการเร่งผลักดัน พ.ร.บ.สภาการเกษตรแห่งชาติขึ้นมาก่อน เพราะ พ.ร.บ.สภาการเกษตรฯนั้นว่าด้วยกลุ่มตัวแทนเกษตรกรล้วนๆ ซึ่งควรจะเข้มแข็งก่อนจะมีตัวแทนทุกภาคส่วนขึ้นมา" นายอุทัยกล่าว

นายอุทัยกล่าวว่า รัฐธรรมนูญปี 2550 ได้ระบุไว้ในมาตรา 84(8) ในหมวดแนวนโยบายด้านเศรษฐกิจ ระบุว่า รัฐต้องคุ้มครองและรักษาผลประโยชน์ของเกษตรกรในการผลิตและการตลาด ส่งเสริมให้สินค้าเกษตรได้รับผลตอบแทนสูงสุด รวมทั้งส่งเสริมการรวมกลุ่มของเกษตรกรในรูปแบบ "สภาเกษตรกร" เพื่อวางแผนการเกษตรและรักษาผลประโยชน์ร่วมกันของเกษตรกร โดย พ.ร.บ.สภาการเกษตรฯจะเข้ามาทำหน้าที่สำคัญนี้ ซึ่ง พ.ร.บ.สภาการเกษตรฯยังอยู่ในขั้นตอนการทำประชาพิจารณ์เพิ่มเติม และจะต้องมีการทำวิจัยภาคสนามอีก 7 ครั้ง จึงจะเสนอต่อ ครม.ได้ โดยกฎหมายกำหนดให้ ครม.ต้องพิจารณาภายใน 1 ปี เพื่อบรรจุให้สภาเห็นชอบตราเป็น พ.ร.บ.ต่อไป ขณะนี้ได้ลงพื้นที่ทำการศึกษา พ.ร.บ.สภาการเกษตรฯคืบหน้าไปแล้ว 50% คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมีนาคมนี้ ซึ่งทันทีที่รัฐมนตรีเกษตรฯเข้ารับตำแหน่ง ก็จะนำเสนอให้เร่งพิจารณา พ.ร.บ.สภาการเกษตรฯที่แล้วเสร็จกว่าครึ่งให้รัฐมนตรีได้พิจารณาในวันแรกที่เข้าทำงาน

"รายละเอียดของ พ.ร.บ.ที่สำคัญ คือ การเปิดโอกาสให้เกษตรกรมีสภาเป็นของตัวเอง เหมือนกับที่มีสภาอุตสาหกรรม สภาหอการค้า เป็นการเปิดเวทีภาคประชาชน ได้การเกษตรให้ได้เสนอข้อความเห็นและทิศทางแนวนโยบายเศรษฐกิจ ให้ทุกภาคส่วนได้รับฟัง เป็นการปกป้องผลประโยชน์ของเกษตรกรโดยตรง และต้องขอย้ำว่า พ.ร.บ.สภาเกษตรกรแห่งชาตินั้น เป็นคนละร่างกับ พ.ร.บ.สภาการเกษตรแห่งชาติที่เป็นปัญหา เรื่องการท้อนซับของกลุ่มนายทุนเกษตรกรที่เข้ามาในสภาการเกษตร ซึ่งถ้ารัฐบาลชุดนี้ให้ความสำคัญและแยกแยะปัญหารีบผลักดัน จะช่วยลดปัญหาการเดินขบวนของภาคการเกษตรลงไปได้มาก เพราะมั่นใจได้ว่าจะต้องมีภาคการเกษตรเตรียมตัวเคลื่อนขบวนรอฟังคำมั่นในการแก้ไขจาก รมว.เกษตรฯคนใหม่นี้แน่นอน" นายอุทัยกล่าว

นายอุทัยยังกล่าวถึงปัญหาการเกษตรในเรื่องปุ๋ยราคาแพงว่า ขณะนี้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ซึ่งใช้กับภาคการเกษตรทั่วไป มีราคาสูงถึงตันละ 20,000 บาท ถือว่ามีราคาแพงเกินกว่าต้นทุนที่เกษตรกรจะแบกรับไว้ได้ ในขณะที่เมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมา ปุ๋ยสูตรเดียวกันนี้มีราคา 12,000 บาท เมื่อต้นทุนบีบขึ้นมาเป็นเท่าตัว ผลผลิตที่ได้จึงไม่ทำกำไร และเรื่องหนี้สินภาคเกษตรจึงเป็นปัญหาหนักติดตามมา นายอุทัยยังกล่าวด้วยว่า นอกจากปุ๋ยจะมีราคาแพงแล้ว ปัญหาปุ๋ยปลอมก็ยังเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผลผลิตตกต่ำ รมว.เกษตรฯจะต้องเร่งเข้ามาตรวจสอบและแก้ไขโดยด่วน

หน้า 1


โดย: jenifaae วันที่: 24 มีนาคม 2551 เวลา:22:31:11 น.  

 
*เราจะสร้างเรือโนอาเพื่อฝ่าวิกฤติโลกร้อนอย่างไร? โดย : จีระศักดิ์ ตรีเดช
สถานการณ์สากลในเรื่องภาวะโลกร้อน
ความสนใจของสาธารณชนทั่วโลก ในเรื่อง ภาวะโลกร้อน (Global Warming) มีมาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 และผลการศึกษาวิจัยของนักวิทยาศาสตร์หลายสำนักก็มีการเปิดเผยผลกระทบในหลากหลายมิติ และมีการปฏิบัติการสำรวจภาคสนามโดยใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์ในการอ้างอิงตัวเลข และมีการออกแบบการทำการวิจัยที่ใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยทำให้เมื่อประมวลภาพจากงานวิจัยทั้งหลาย ที่นักวิจัยทั่วโลกได้ทำร่วมกัน พบว่าภาวะโลกร้อน คือ ผลจากการกระทำของมนุษย์ที่เป็น มหันตภัยร้ายแรงอันดับแรกที่จะส่งผลต่อ ความอยู่รอดของมวลมนุษยชาติ เพราะมหันตภัยทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นในหลายจุดทั่วโลกได้มีอัตราการเกิดที่รุนแรงมากขึ้นและได้สร้างความหวาดวิตกแก่มวลมนุษยชาติทั้งโลก
ยกตัวอย่างเช่น วาตภัย เฮอริเคน น้ำท่วมในหลายพื้นที่ที่มีอัตรายาวนานมากขึ้น ภัยจากคลื่นสึนามิ ดินถล่ม หิมะขั้วโลกละลายทำให้ปริมาณน้ำในมหาสมุทรมากขึ้น การกัดเซาะชายฝั่งของคลื่นมหาสมุทร กระแสน้ำอุ่นน้ำเย็นเปลี่ยนแปลง ภาวะความแห้งแล้ง ปรากฏการณ์เอลนีโย ปรากฏการณ์ลานีญ่า การสูญหายไปของทะเลสาบ การขยายตัวของพื้นที่ทะเลทราย ความหลากหลายทางชีวภาพในทุกระบบนิเวศน์ลดลง คลื่นความร้อนซึ่งคร่าชีวิตผู้คนมากมาย (โดยเฉพาะในปี พ.ศ.2546 ยุโรปได้รับผลกระทบจากคลื่นความร้อนมากที่สุด โดยมีจำนวนผู้เสียชีวิตที่ได้ประเมินไว้ จำนวน54,000 คน โดยประเทศอิตาลีมีผู้เสียชีวิต 20,000 คน ฝรั่งเศส 15,000 คน โปรตุเกส 13,000 คน เนเธอแลนด์ 1,400 คน อังกฤษ 900 คน สเปน 100 คน) และ โรคภัยชนิดใหม่ที่มีวิวัฒนาการตัวเองจากภาวะโลกร้อน เช่น โรคอหิวา โรคอีโบลา ไข้หวัดใหญ่ โรคไข้หวัดนก โรคสมองอักเสบ ไข้เลือดออกจากเชื้อไวรัสเด็งกี่ ผลกระทบเหล่านี้กำลังเปิดเผยตัวเองออกมาในอัตราถี่มากขึ้น
ผลจากวิกฤติการณ์และคำเตือนอย่างแข็งขันของนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก ได้นำไปสู่การผลักดันให้รัฐบาลของประเทศที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนาทั่วโลก ลงนามในพิธีสารเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ในปี 2540 และในปัจจุบันมี 148 ประเทศ (ประเทศที่ 148 คือ ประเทศออสเตรเลีย) ซึ่งทั้ง 148 ประเทศมีสัดส่วนของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 56.1% ของโลก เพื่อแสดงเจตจำนงในการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนร่วมกัน มีเพียงประเทศสหรัฐอเมริกา (ปล่อยก๊าซคาร์บอน 30.3 %ของโลก) เท่านั้น ที่ยังไม่ได้ลงนามในพิธีสารเกียวโต ซึ่งจะเห็นได้ว่าทั่วโลกก็เรียกร้องต่อรัฐบาลสหรัฐอเมริกามาตลอดว่าในฐานะที่ประเทศของคุณได้สร้างมลภาวะให้กับโลกมากที่สุดก็สมควรที่จะต้องแสดงความรับผิดชอบมากที่สุดในโลก แต่ผลการเรียกร้องของนานาชาติก็ยังไม่ได้รับการตอบสนองจากรัฐบาลอเมริกาในการลงนามพิธีสารเกียวโตได้
*ในปัจจุบัน แม้แต่ประเด็นในระดับนานาชาติที่มีการประชุมกันของคณะกรรมการว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศของโลก จัดโดยองค์การสหประชาชาติ (UNDP) ที่เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย เมือเดือนธันวาคม 2550 ก็มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป ในประเด็นเรื่องตัวเลขการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ ซึ่งสหภาพยุโรปเห็นว่า ควรมีการกำหนดตัวเลขให้ชัดเจนว่าแต่ละประเทศมีโควต้าการปล่อยก๊าซคาร์บอนจำนวนเท่าไหร่ แต่ประเทศสหรัฐอเมริกากลับเห็นว่าควรมีการเจรจาตกลงในกรอบกว้างๆ หรือพิจารณาเฉพาะในหลักการเท่านั้น ความคิดเห็นแตกต่างนี้ถ้ามองในแง่ดี ก็คือวิถีทางในการยกระดับการแก้ไขปัญหาในเชิงก้าวหน้าของสหภาพยุโรป นั่นเอง แม้ผลการเจรจาในระดับสากลจะยังไม่คืบหน้ามากนัก แต่แนวโน้มที่เห็นในระดับโลกก็ยังมีแง่มุมที่เป็นทั้งความหวังและโอกาสในระดับโลกเช่นกัน กล่าวคือ
ประเทศสหรัฐอเมริกา
ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ถูกประณามจากประชาคมโลกมากที่สุด ในฐานะที่เป็นประเทศที่ยืนกระต่ายขาเดียวในการไม่ยอมรับพิธีสารเกียวโต ประเทศสหรัฐอเมริกามีสัดส่วนการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็น 30.19% ของทั้งโลก และที่สำคัญยังคงยึดมั่นต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ แต่ภายใต้วิกฤติการณ์ของความเห็นแก่ตัวของประเทศมหาอำนาจก็ยังคงมีความหวัง กล่าวคือ หลายเมืองในประเทศสหรัฐอเมริกา กำลังมีแนวโน้มของการรณรงค์เคลื่อนไหวที่มีความก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ เช่น 220 เมืองในสหรัฐอเมริกาได้ให้สัตยาบรรณใน พิธีสารเกียวโต ด้วยตนเองและได้นำนโยบายมาปฏิบัติเพื่อลดมลพิษที่เกี่ยวกับภาวะโลกร้อน และมีแรงเคลื่อนไหวภาคสังคมกดดันรัฐบาลอเมริกา ซึ่งเป็นความน่าสนใจของการเคลื่อนไหวทางการเมืองภาคพลเมือง ในสหรัฐอเมริกา และในขณะเดียวกัน อัล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ซึ่งรับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ประจำปี พ.ศ. 2550 ในฐานะที่เป็นนักสิ่งแวดล้อมรณรงค์เรื่องภาวะโลกร้อนอย่างแข็งขัน ก็มีส่วนทำให้ภาคพลเมืองของสังคมอเมริกาหันมาใส่ใจเรื่องภาวะโลกร้อนมากขึ้น
ประเทศออสเตรเลีย
ก่อนการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2550 ประเด็นเรื่อง การลงนามในพิธีสารเกียวโตได้เป็นประเด็นทางการเมืองในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีของออสเตรเลียอย่างเข้มข้น โดยนายเควิน รัดด์ จากพรรคแรงงาน ซึ่งเป็นผู้รณรงค์ในนโยบายเรื่อง การลงนามในพิธีสารเกียวโต เป็นนโยบายหลักของการหาเสียงครั้งนี้สัญญาว่า หากเขาชนะการเลือกตั้ง ประเทศออสเตรเลียจะเข้าร่วมเซ็นสัญญาในพิธีสารเกียวโต ผลจากการรณรงค์หาเสียงส่งผลให้ นายเควิน รัดด์ ชนะการเลือกตั้งต่อ นายจอห์น โฮเวิร์ด หัวหน้าพรรคฝ่ายรัฐบาล ซึ่งเป็นการชนะการเลือกตั้งที่พลิกผันทางการเมืองของออสเตรเลียในรอบ 12 ปี โดยใช้นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมเป็นประเด็นนำในการต่อสู้ทางการเมืองและเมื่อ นายเควิน รัดด์ ชนะการเลือกตั้งรัฐบาลชุดของเขาได้การลงนามในพิธีสารเกียวโตในวันที่ 25 ธันวาคม 2550 ที่สัญญาไว้กับประชาชนชน กลายเป็นประเทศที่ 148 ที่ลงนามในพิธีสารเกียวโต ซึ่งชัยชนะของนายเควิน รัดด์ ในการเลือกตั้งในออสเตรเลียไม่เพียงแต่มีความหมายในประเทศออสเตรเลียเท่านั้น หากแต่ยังมีความหมายในประเด็นเชิงสาธารณะและเวทีในระดับโลกด้วย กล่าวคือ นโยบายเกี่ยวกับการลดภาวะโลกร้อน จะทวีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นในฐานะเป็นวาระในระดับโลก และจะเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ประชาคมโลกให้ความสนใจในการบรรลุเป้าหมายร่วมกัน
สหภาพยุโรป (EU)
ประเด็นเรื่องโลกร้อนเป็นประเด็นที่ยุโรปได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เป็นประชาคมของกลุ่มประเทศที่ให้ความใส่ใจอย่างแข็งขันในการเรียกร้องรณรงค์ให้พลเมืองโลกตระหนักถึงปัญหาภาวะโลกร้อนร่วมกัน และมีส่วนสำคัญในการผลักดันอย่างแข็งขันในการต่อรองกับประเทศสหรัฐอเมริกา ตลอดจนเป็นแนวหน้าในการสร้างรูปธรรมของการลดภาวะโลกร้อนแก่หลายๆ ประเทศในโลก โดยจะเห็นได้ว่า ประเทศในสหภาพยุโรปได้กำหนดตัวเลขอย่างชัดเจน ให้มีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 5.2% จากที่ตนปล่อยในปี 2533 ให้ได้ในพันธกรณีแรกของพิธีสารเกียวโต คือระหว่างปี พ.ศ.2551-2555
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า พิธีสารเกียวโต กำลังถูกผลักดันให้เกิดเป็นวาระทางการเมืองในระดับนานาชาติและกำลังถูกรณรงค์เรียกร้องให้เกิดเป็นกระแสทางสังคมของพลเมืองโลกทุกแห่ง เพราะความสำคัญของ พิธีสารเกียวโต อาจมองได้ทั้งเป็นความหวังและทางออกของประชาคมโลกในการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนเพราะถ้าหากพิธีสารเกียวโตได้รับการนำไปปฏิบัติ และประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์จะสามารถลดอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกได้ถึงประมาณ 0.02 - 0.028 องศาเซลเซียส ภายในปี พ.ศ. 2593 ซึ่ง สนธิสัญญาเกียวโตเป็นพันธกรณีทางกฎหมายระหว่างประเทศ เน้นไปยังประเทศพัฒนาแล้วให้ต้องดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยมีกลไกที่ยืดหยุ่นและเปิดช่องให้เลือก 3 แนวทาง ดังนี้ แนวทางที่ 1 การดำเนินโครงการร่วมกันระหว่างประเทศพัฒนาแล้วในการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก ( Joint Implement : JI )
แนวทางที่ 2 การซื้อขายก๊าซเรือนกระจกระหว่างกลุ่มประเทศพัฒนากับประเทศกำลังพัฒนา (Emission Trading) วิธีการนี้จะนำระบบการซื้อขายมาเป็นเครื่องมือในการเจรจาทำพันธกรณีทำข้อตกลงระหว่างประเทศพัฒนาแล้วกับประเทศกำลังพัฒนาซึ่งมีอัตรา การปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ หรือเรียกว่า การขายคาร์บอนเครดิต (Carbon Cradit )
แนวทางที่ 3 การดำเนินโครงการร่วมกันระหว่างประเทศพัฒนาแล้ว และประเทศกำลังพัฒนาในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยแต่ละประเทศจะมีโควต้าสำหรับการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ตนเองปล่อยออกมาคืนจากชั้นบรรยากาศด้วยการปลูกต้นไม้ และการถ่ายทอดเทคโนโลยีของประเทศพัฒนาแล้วสู่ประเทศกำลังพัฒนา หรือที่เรียกว่ากลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanism :CDM) ซึ่งต้องก่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนแก่ประเทศเจ้าบ้านและต้องเป็นไปด้วยความสมัครใจทั้ง 2 ฝ่าย
*ผลทางกฎหมายของพิธีสารเกียวโตจะมีผลบังคับใช้ในพันธกรณีแรกถึงปี 2555 แต่ผลของการบังคับใช้ในการแก้ไขปัญหา สมการว่าด้วยโลกร้อน ยังไม่อาจบรรเทาสถานการณ์โลกร้อนได้และยังคงมีอุปสรรคปัญหาในการปฏิบัติการตามพิธีสารอีกมากมายโดยเฉพาะอุปสรรคปัญหาเรื่องความเปราะบางทางเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้ว ที่มักจะหยิบยกมาเป็นข้ออ้างในการเจรจาและไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีในทุกเวที แต่ในขณะเดียวกันสถานการณ์โลกร้อนนับวันจะมีพลวัตรของปัญหาที่รุนแรงมากขึ้น และมนุษยชาติยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้น และ เมื่อมีรายงานผลกระทบและคำพยากรณ์ของภาวะโลกร้อนจาก คณะกรรมการศึกษาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโลกระหว่างประเทศ IPCC (Intergovernmental Panel on Climate Change) ถึง 1,400 หน้า รวมทั้ง หนังสารคดีและหนังสือเรื่อง โลกร้อนความจริงที่ไม่มีใครอยากฟัง (An Inconvinient Truth) ของอัลกอร์ ที่พยากรณ์ว่าในปี พ.ศ.2643 อุณหภูมิของโลกจะสูงขึ้นถึง 1.4 -5.8 องศาเซลเซียส ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้น 0.09 - 0.9 เมตร ปริมาณฝนจะตกเพิ่มขึ้นในบางพื้นที่ น้ำแข็งขั้วโลกลดลง ธารหิมะถดถอย คำพยากรณ์นี้เป็นคำพยากรณ์เพียงบางส่วนของ IPCC แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะเตือนมวลมนุษยชาติว่าเรื่องภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องที่
1. ถึงเวลาแล้ว
2. ไม่ใช่ปัญหาของประเทศใดประเทศหนึ่ง
3. จะชักช้ามากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
4. จะเพิกเฉยไม่ใส่ใจไม่ได้อีกแล้ว
5. จะมัวแต่ถกเถียงกันโดยไม่มีปฏิบัติการใดๆไม่ได้อีกแล้ว
6. หรือแม้แต่จะต้องตะโกนดังๆ ว่าอย่ามัวแต่ห่วงแต่ภาวะเศรษฐกิจของประเทศตนเองจนละเลยความใส่ใจต่อความเป็นไปของโลกและอนาคตของการมีชีวิตอยู่ของคนรุ่นต่อไป
เพราะผลกระทบจากภาวะโลกร้อนทุกคนในโลกใบนี้ต้องร่วมรับชะตากรรมและมีความรับผิดชอบร่วมกัน และในสถานการณ์เช่นนี้ไม่เพียงแต่มนุษยชาติกำลังถูกท้าทายจากวิกฤติการณ์ทางสิ่งแวดล้อมเท่านั้นแต่เรายังถูกท้าทายในเรื่องเจตจำนงค์ของการเลือก ระหว่างความอยู่รอดของพลเมืองโลกกับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ขาดความสมดุลย์ และ ขาดความรับผิดชอบต่อการดำรงอยู่ของมวลมนุษยชาติอีกด้วย

สถานการณ์ของประเทศไทยกับปัญหาภาวะโลกร้อน
จากการศึกษาของคณะกรรมการพลังงานโลก (World Energy Council ) ได้ชี้ว่า ค่าเฉลี่ยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหัวของคนไทยในปี พ.ศ. 2547 อยู่ที่คนละ 2.73 ตันต่อปี(ค่าเฉลี่ยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหัวของประชากรญี่ปุ่น 9.41 ตันต่อปี ค่าเฉลี่ยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหัวของประชากรสหรัฐอเมริกา 19.68 ตันต่อปี) ซึ่งในปี 2547 ประเทศไทยถูกจัดลำดับที่ 24 ของการปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุดในโลก คือ 218.59 ล้านตัน/ปี และคาดการณ์ต่อไปอีกว่า พ.ศ. 2554 ค่าเฉลี่ยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหัวของคนไทยอยู่ที่คนละ 3.64 ตันต่อปี ปี พ.ศ. 2558 จะเพิ่มขึ้นเป็น 4.34 ตันต่อปี พอถึงปี พ.ศ.2550 มีรายงานจากโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) รายงานว่าประเทศไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 22 ในบรรดา 30 ประเทศแรกของโลกที่มีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่บรรยากาศมากที่สุดและอยู่ในอันดับที่ 7 เมื่อเทียบกับกลุ่มในประเทศเอเชีย โดยประเทศไทยปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์คิดเป็นรายหัวของประชากรที่ 4.2 ตันต่อคนต่อปี ในขณะที่ประเทศจีนซึ่งเป็นประเทศอันดับที่ 2 ของโลก มีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เฉลี่ยเพียง 3.8 ตัน/คน/ปี อินโดนีเซีย 1.7 ตัน/คน/ปี และอินเดีย 1.2 ตัน/คน/ปี (ที่มาของข้อมูล:หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม 2550 หน้า 15) ซึ่งแสดงจากรายงานของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งของพลวัตรการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่รวดเร็วและน่าเป็นห่วงของประเทศไทย เพราะในระเวลาเพียง 3 ปี หลังจากที่มีรายงานของ คณะกรรมการพลังงานโลก (World Energy Council) คือ พ.ศ.2547 -2550 ประเทศไทยได้ไต่อันดับจากประเทศผู้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลำดับที่ 24 เป็นลำดับที่ 22 โดยพบว่า แหล่งที่มาของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของประเทศไทยแหล่งใหญ่ๆอยู่ 3 แหล่ง คือ จากการผลิตกระแสไฟฟ้า 43% การคมนาคมขนส่ง 32% และอุตสาหกรรม25% ทั้งนี้ประเทศไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนาจึงพยายามเพิ่มค่าจีดีพีให้สูงขึ้น ทำให้มีการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นโดยมีถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงหลักในโรงไฟฟ้าและโรงกลั่นซึ่งเป็นตัวการสำคัญของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ (แหล่งที่มาของข้อมูล: หนังสือเรื่องมหันตภัยโรคร้อน,สุพัตรา แซ่ลิ่ม,หน้า 102)
เมื่อเปรียบเทียบอัตราการปล่อยคาร์บอนต่อหัวของประชากรประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่นและประเทศสหรัฐอเมริกา อาจรู้สึกว่า ตัวเลขของประเทศไทยยังคงน้อยอยู่ สมมติฐานที่บอกว่าผลกระทบก็คงน้อยตามไปด้วยนั้น เป็นสมมติฐานที่ผิด เพราะในขณะที่ประเทศไทยปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาน้อย ประเทศสหรัฐปล่อยออกมามาก ผลของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งหมดก็จะทำให้เกิดภาวะโลกร้อนโดยรวมและในขณะเดียวกัน ผลจากภาวะโลกร้อนโดยรวมก็ทำให้ประเทศไทยได้รับผลกระทบมากเช่นเดียวกันกับประเทศญี่ปุ่นและประเทศสหรัฐอเมริกา เพราะปัญหาภาวะโลกร้อนได้ก่อผลกระทบโดยรวมให้กับคนทั้งโลก ดังนั้น หลักการของความรับผิดชอบที่ว่าด้วย ใครคือผู้สร้างมลพิษต่อโลกมากก็ควรต้องรับผิดชอบในการดูแลแก้ไขปัญหามลภาวะของตนเอง หรือสนับสนุนให้ประชาคมของประเทศอื่นๆ ช่วยแก้ไขปัญหามลพิษ ซึ่งหลักการนี้เป็นหลักการที่สำคัญในการแสดงออกซึ่งความรับผิดชอบของต่อโลกด้วยกัน และในขณะเดียวกันประเทศไทยเองก็ต้องตระหนักว่า ตัวเลขการปล่อยคาร์บอนของประเทศไทยแม้ยังคงน้อยอยู่ในปัจจุบันแต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เราเป็นส่วนหนึ่งในการนำโลกใบนี้ไปสู่ความหายนะได้ในอนาคตเช่นเดียวกันเพราะแนวโน้มการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ของคนไทยเพิ่มมากขึ้น
ผลกระทบของประเทศไทยต่อปัญหาภาวะโลกร้อน

เมื่อ เดือนกรกฎาคม 2549 มีการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซี่ยน ที่กรุงเวียงจันทร์ สาธารณประชาธิปไตยประชาชนลาว นักวิทยาศาสตร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยข้อมูลผลกระทบ จากการเปลี่ยนแปลงสภาะภูมิอากาศว่า ระหว่างปี 2532 - 2545 ประเทศไทยได้รับความเสียหายทางด้านเศรษฐกิจแล้ว 70,000 ล้านบาท ในขณะที่ประเทศฟิลิปปินส์ได้รับความเสียหายทางด้านเศรษฐกิจ 3,000 ล้านบาท

นายศุภฤกษ์ ตันศรีรัตนวงศ์ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีที่ตั้งอยู่ในเขตใกล้เส้นศูนย์สูตรหรืออยู่ในเขตอบอุ่นที่ผ่านมาแม้ว่าจะยังไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศรุนแรงเท่ากับประเทศในเขตละติจูดสูง แต่ประเทศไทยเองก็เริ่มได้รับผลความเดือดร้อนจากภัยพิบัติทางธรรมชาติบ่อยครั้งขึ้น และ แต่ละครั้งก็มีความรุนแรงและสร้างความเสียหายให้กับประเทศไทยเป็นอย่างมาก ที่นับว่ารุนแรงมากที่สุดครั้งหนึ่ง คือ เหตุการณ์สึนามิ เมื่อปี พ.ศ. 2547 ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจจำนวนมหาศาล ส่วนในเรื่องอุทกภัย ประเทศไทยเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ได้รับผลกระทบมากขึ้นเรื่อยๆโดยจะพบสถิติที่สนใจของความรุนแรง ของปัญหาอุทกภัย ดังนี้ ในปี พ.ศ. 2505 ประเทศไทยประสบอุทกภัยเพียง 1 ครั้ง ครอบคลุมพื้นที่เสียหาย เพียง 3 จังหวัด คือ นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และพังงา ในปี พ.ศ.2506 - 2514 ประเทศไทยประสบอุทกภัยสูงสุดในปี พ.ศ.2513 โดยเกิดอุทกภัย 7 ครั้ง จากนั้นประเทศไทยค่อยๆประสบปัญหาอุทกภัยเพิ่มขึ้นและครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น และยิ่งนาสนในมากขึ้นเมื่อดูสถิติตั้งแต่ปี พ.ศ.2540 - 2550 ขึ้นมา โดยพบว่า พ.ศ. 2540 เกิดอุทกภัยจำนวน 21 ครั้ง ครอบคลุมพื้นที่ 43 จังหวัด พ.ศ. 2543 เกิดอุทกภัยจำนวน 28 ครั้ง ครอบคลุมพื้นที่ 48 จังหวัด และนับจากปี พ.ศ.2543 เป็นต้นมาสถิติการเกิดอุทกภัยก็มากขึ้นเรื่อยๆและครอบคลุมพื้นที่มากขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน นอกจากนี้ ภาวะโลกร้อนยังทำให้ประเทศไทยยังเสี่ยงจากภัยพายุหมุนเขตร้อนที่มีกำลังแรงมากขึ้นด้วย และที่สำคัญคือ ภาวะโลกร้อนจะเพิ่มโอกาสให้พายุโซนร้อน และ ใต้ฝุ่นเปลี่ยนทิศทางเข้าสู่อ่าวไทยโดยตรงมากขึ้น (ข้อมูลจาก :หนังสือเรื่องมหันตภัยโรคร้อน,สุพัตรา แซ่ลิ่ม,หน้า 104)
ยิ่งไปกว่านั้นประเทศไทยยังประสบกับปรากฏการณ์เอลนีโย่ ในเดือนสิงหาคม ปี พ.ศ. 2549 แต่เป็นเอลนีโยขนาดอ่อนๆที่ส่งผลให้เกิดภาวะความแห้งแล้งได้เช่นเดียวกัน ผลจากปรากฏการณ์เอลนีโย่ทำให้พื้นที่ 50 จังหวัดในประเทศไทยได้รับผลกระทบจากภาวะความแห้งแล้ง และสิ่งที่ตามมา คือ ไฟป่า และไฟลามทุ่งในประเทศไทยเกิดขึ้นเป็นอย่างมาก และในปลายปี พ.ศ. 2549 ประเทศไทยก็เกิดปรากฏการณ์ลานีญ่า ตามมาส่งผลให้เกิดน้ำท่วมขนานใหญ่
สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือการหายไปของชายฝั่งประเทศไทย เพราะเกิดกระบวนการกัดเซาะชายฝั่งโดยมีปัจจัยจากระดับน้ำ พายุ ทิศทางของคลื่น น้ำขึ้นน้ำลงและแผ่นดินทรุด มีรายงานจากคณะกรรมการศึกษารูปแบบการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง สำนักงานสนับสนุนการวิจัยแห่งชาติ (สกว.) ระบุว่าบริเวณชายฝั่งภาคตะวันออกจากจังหวัดตราดถึงบริเวณชายแดนภาคใต้ จังหวัดนราธิวาส ได้ถูกน้ำทะเลกัดเซาะหายไปในทะเลแล้วกว่า 113,042 ไร่ หรือประมาณ 21% ของพื้นที่ชายฝั่ทะเลทั้งหมดของประเทศไทย นอกจากนี้ สิ่งที่กำลังเป็นปัญหาในระดับระบบนิเวศน์ทางทะเลคือปรากฏการณ์ฟอกขาวในประการังซึ่งกำลังลุกลามและขยายวงออกไปเรื่อยๆอีกด้วย
ภาวะโลกร้อนกับผลกระทบต่อเกษตรกรและคนจนในประเทศไทย
ภาวะโลกร้อนไม่เพียงแต่ส่งผลเรื่องระบบนิเวศน์และสิ่งแวดล้อมเท่านั้นหากแต่ยังส่งผลถึง การขาดความมั่นคงในเรื่องอาหารในระดับครัวเรือนของเกษตรกรอีกด้วย เพราะภาวะความแห้งแล้งและอุทกภัยทำให้ความสามารถในการพึ่งพาตนเองและทำการผลิตอาหารได้น้อยลง โดยเฉพาะเกษตรกรและคนจนในระดับรากหญ้า ในประเทศไทยซึ่งมีจำนวนถึง 70% ในประเทศไทย จะเป็นกลุ่มคนแรกๆที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาปรากฏการณ์ทั้งเอลนีโย่ (ปรากฏการณ์แห้งแล้งผิดปกติ) และปรากฏการณ์ลานีญ่า (ปรากฏการณ์ฝนตกผิดปกติ) เพราะทั้ง 2 ปรากฏการณ์ จะมีผลทำให้เกษตรกรลดความสามารถในการผลิตอาหารลง เพราะ วิถีชิวิตของเกษตรกรในประเทศไทยส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาอาศัยธรรมชาติมากกว่าระบบชลประทาน และ ผลจากความแห้งแล้งจะนำไปสู่ความขัดแย้งในกรณีของการแย่งชิงน้ำในหลายลุ่มน้ำในประเทศไทย ยกตัวอย่างเช่น กรณีแย่งชิงน้ำ ในลุ่มน้ำป่าสักเพื่อทำนาของเกษตรกรในพื้นที่ อ.วิเชียร อ.ศรีเทพ ในลุ่มน้ำป่าสัก จ.เพชรบูรณ์ กรณีแย่งชิงน้ำ ระหว่างกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่เขื่อนประแส อ.วังจันทร์ กับ บริษัทอีสวอเตอร์ ที่มีแนวคิการผันน้ำให้กับนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง กรณีแย่งชิงน้ำเช่นนี้นับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยและกำลังเกิดขึ้นในหลายลุ่มน้ำในประเทศไทย
สถานการณ์ความอ่อนไหวของภาวะโลกร้อนกำลังส่งผลต่อเกษตรกรรายย่อยอย่างแสนสาหัสการทำการผลิตในหลายพื้นที่หลายภูมิภาคกำลังไม่ได้ผล ยุคสมัยแห่งการอดอยากข้าวยากหมากแพงตามพุทธทำนายกำลังเริ่มต้น และมันกำลังสำแดงอาการและเผยตัวออกมาอย่างรวดเร็ว เกษตรกรคนยากคนจน เป็นกลุ่มคนที่กำลังสูญเสียที่มั่นมากที่สุดหากไม่มีการปรับตัว ซึ่งนั่นหมายความว่าเราต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้พลังงาน การอยู่การกิน ปรับเปลี่ยนวิธีคิดขนานใหญ่ และการสร้างความร่วมมือในการยับยั้งวิกฤติทุกวิถีทาง ซึ่งนั่นหมายความว่าเราต้องร่วมแสวงหาทางออกร่วมกัน เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ของมวลมนุษยชาติและออกเดินทางบนเรือโนอาร่วมกัน
จีระศักดิ์ ตรีเดช
โครงการพัฒนาองค์กรชาวบ้านเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศน์ต้นน้ำป่าสัก จ.เลย


โดย: jenifaae วันที่: 24 มีนาคม 2551 เวลา:22:31:31 น.  

 
*ไร้เหตุผล.. ที่สังคมไทยวันนี้จะไม่จัด "เพศศึกษา" ให้เยาวชน โดย : วรานุช ชินวรโสภาค


....สอนเรื่องเพศให้วัยรุ่นเป็นเรื่องชี้โพรงให้กระรอก
.... (โรงเรียน) ก็อยากสอน แต่เกรงว่าผู้ปกครอง และชุมชนยังไม่เข้าใจ ไม่ยอมรับ
....สังคมยังรับไม่ได้ที่จะพูดกัน สอนกันอย่างเปิดเผย
....เรื่องเพศสอนไปแล้ว จะเป็นดาบสองคม
....วัยรุ่นชอบเลียนแบบ ต้องไปจัดการพวกสื่อไม่ให้นำเสนอตัวอย่างไม่ดี ฯลฯ


ฟังดูคุ้นๆ ใช่ไหม จนบางครั้ง ก็อาจเห็นคล้อยไปว่า "คนส่วนใหญ่" คงจะคิดแบบนั้น แต่ไม่มีใครรู้ว่าใครแต่ละคน ส่วนใหญ่หรือส่วนน้อย คิดอย่างไรจริงๆ กับ "เพศศึกษา"

ความกังวลใจที่มีต่อ "เพศศึกษา" เป็นภาพสะท้อนความจริงในสังคม จริงหรือ?

ผลการสำรวจความคิดเห็นผู้บริหารสถานศึกษา ครู และผู้ปกครอง เกี่ยวกับการยอมรับต่อการจัดการเรียนรู้เพศศึกษาสำหรับเยาวชนในสถานศึกษา ที่โครงการก้าวย่างอย่างเข้าใจ จัดทำร่วมกับสวนดุสิตโพล เมื่อสิงหาคม 2550 พบว่า

**เพศศึกษา เป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญของโรงเรียน** มากถึงร้อยละ 90 เห็นว่า การส่งเสริมการเรียนรู้เพศศึกษาและสุขภาวะทางเพศของเยาวชน "เป็นภารกิจสำคัญของโรงเรียน" เท่าๆ กับการให้เด็กเรียนเก่ง จนสามารถเรียนต่อในสถาบันที่มีชื่อเสียง

นอกจากนั้น มากถึงร้อยละ 76 ของผู้บริหารสถานศึกษา ครู และผู้ปกครองเห็นว่าการสอนเพศศึกษา "ไม่ได้" เป็นดาบสองคมหรือเป็นการชี้โพรงให้กระรอก

**เพศศึกษาควรช่วยให้เยาวชนใช้ชีวิตทางเพศได้อย่างรับผิดชอบ ปลอดภัย** น่าสนใจว่า กลุ่มผู้บริหารการศึกษา ครู และผู้ปกครองเห็นด้วยกับการจัดเพศศึกษาที่มีเป้าหมายให้นักเรียนสามารถใช้ชีวิตทางเพศได้อย่างรับผิดชอบและปลอดภัย "มากกว่า" เพศศึกษาที่มีเป้าหมายเพื่อให้นักเรียนไม่มีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะแต่งงาน

**เพศศึกษาต้องสอนให้ต่อเนื่อง และรอบด้าน** ในด้านเนื้อหาเพศศึกษา มากกว่าร้อยละ 80 ของผู้บริหารการศึกษา ครู และผู้ปกครอง เห็นตรงกันว่า นักเรียนในโรงเรียนมีสิทธิที่จะเข้าถึงข้อมูล ข่าวสารในเรื่องเพศที่เปิดกว้าง และตรงกับความสนใจของผู้เรียน โดยมีการพูดถึงทั้งผลดี ผลเสีย ของเรื่องราวที่เกี่ยวกับสัมพันธภาพทางเพศและเพศสัมพันธ์

ในขณะที่มากกว่าร้อยละ 78 ของทุกกลุ่ม เห็นว่านักเรียนทุกคนควรได้เรียนเพศศึกษาอย่างต่อเนื่องในทุกระดับชั้น มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้บริหาร ครู และพ่อแม่ เห็นว่า เป็นเรื่องสำคัญที่นักเรียนทั้งหญิงและชาย จะได้เรียนรู้วิธีการกินยาคุมกำเนิดชนิดต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง และสะดวกใจที่จะให้มีการสาธิตและฝึกใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้อง แม้มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้บริหารการศึกษาและครู จะยังไม่เห็นด้วยกับการที่นักเรียนน่าจะเข้าถึงถุงยางอนามัยได้ที่โรงเรียน "แต่น่าสนใจว่าผู้ปกครองมากกว่าครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 52) กลับเห็นด้วย"

เห็นอย่างนี้แล้ว เข้าใจตรงกันไหมว่า ที่จริงแล้ว ทุกฝ่ายล้วนเห็นความสำคัญและจำเป็นของการจัดให้มีการจัดการเรียนรู้เพศศึกษาในโรงเรียน

แล้วสงสัยเหมือนกันไหมว่า เรารออะไรกันอยู่ถึงไม่จัดให้เยาวชนของเรา ได้เรียนเพศศึกษาอย่างจริงจังเสียที?

**อยากเห็นเพศศึกษาสำหรับเยาวชน หากไม่ "ฟัง" เสียงเยาวชน ก็คงมาผิดทาง** เครือข่ายเยาวชนด้านเอดส์ประเทศไทย โครงการก้าวย่างอย่างเข้าใจ และสถาบันวิจัยมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ร่วมกันสำรวจความคิดเห็นเด็กและเยาวชนเรื่อง "ทัศนคติและความคิดเห็นของเด็กและเยาวชนเกี่ยกับการเรียนรู้เพศศึกษา การใช้ถุงยางอนามัย และโฆษณาถุงยางอนามัย" (พฤศจิกายน 2550) มีข้อน่าสนใจนำมาขบคิดต่อ

***ความต้องการเด็ก สะท้อน ความคิดเรื่องเพศของผู้ใหญ่ ?** สองเรื่องสำคัญ ที่เยาวชนอยากบอกกับโรงเรียน คือ ต้องการให้โรงเรียนส่งเสริมและสนับสนุนกิจกรรมเกี่ยวกับเพศศึกษา และโรงเรียนควรเปิดโอกาสให้กับผู้หญิงที่เคยท้องในวัยเรียนกลับมาเรียนได้

สองเรื่องที่เด็กๆ อยากบอกข้างต้น เมื่อฟังดีๆ ทำให้คิดได้หลายเรื่อง ว่า... โรงเรียนน่าจะยังสนับสนุนการจัดการเรียนรู้เรื่องเพศศึกษาได้ไม่มากพอ หรือเพศศึกษาที่มีอยู่ในโรงเรียนยังไม่โดนใจเด็กๆ นัก จนต้องบอกให้ได้ยินและให้ลงมือทำให้มากขึ้น

นักเรียนหญิงที่ท้อง ไม่ได้รับโอกาสให้เรียนต่อ (เสมือนว่าโรงเรียนไม่ใช่ที่ของเด็กผู้หญิงที่ตั้งท้อง ส่วนคนที่ทำให้เด็กผู้หญิงท้อง ไม่เป็นไร)

นักเรียนส่วนหนึ่งมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน ทำให้ฝ่ายหญิงท้อง เป็นท้องที่พร้อมหรือไม่ ไม่รู้ แต่แม้จะเคยมีประสบการณ์การท้อง หญิงสาวก็ยังต้องการเรียนหนังสือต่อ แต่โรงเรียน (และผู้ใหญ่อีกหลายคน) ลังเลที่จะให้อนาคตกับเด็กผู้หญิง??

วัยเรียน กับ วัยรุ่น คงจะต่างกัน ชีววิทยาบอกว่าเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นหรือวัยเจริญพันธุ์ หากไข่กับอสุจิผสมกัน ทำให้เกิดการตั้งครรภ์ได้ แต่วัยรุ่นหญิงห้ามท้องในวัยเรียน เพราะเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย เสียหายปานสังคมจะล่มสลาย ส่วนวัยรุ่นชายถูกละไว้ในฐานที่เข้าใจ

**เพศศึกษาในโรงเรียนต้องมากกว่าการสอนในห้องเรียน** เยาวชนกว่าร้อยละ 70 เห็นว่า ควรมีวิชาเพศศึกษาในหลักสูตรของทุกโรงเรียน นักเรียนทุกคน ควรได้เรียนเพศศึกษาอย่างต่อเนื่องทุกระดับชั้น และครูควรตอบข้อสงสัยในเรื่องเพศศึกษาของนักเรียนได้อย่างกระจ่างชัด

ครึ่งหนึ่งของเยาวชน ไม่เห็นด้วยต่อประเด็นที่ว่า 'เพศศึกษาควรสอนเรื่องการรักนวลสงวนตัวเท่านั้น' สะท้อนให้เห็นว่า การจัดเพศศึกษาที่เข้าถึงและตอบโจทย์เยาวชนได้ทุกคนนั้น จะต้องเริ่มจากการให้ทางเลือกที่หลากหลายสำหรับเยาวชนแต่ละคนที่มีวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน ในการจัดการสัมพันธภาพและวิถีเพศของตนเอง

ส่วนด้านการเข้าถึงอุปกรณ์ป้องกันที่ทำให้เยาวชนปลอดภัย มากกว่าร้อยละ 65 อยากให้นักเรียนขอรับถุงยางอนามัยที่โรงเรียนได้ และมากกว่าครึ่งหนึ่งเห็นว่าผู้หญิงสามารถพกถุงยางอนามัยได้

กว่าร้อยละ 70 เห็นว่าสถานศึกษาควรมีนโยบายที่ปฏิบัติต่อเพศทางเลือก เกย์ กระเทย ทอม และดี้ อย่างเท่าเทียมเหมือนคนอื่นๆ

ในกรณีของนักเรียนที่ตั้งครรภ์ กว่าครึ่งหนึ่งเห็นว่า ควรได้รับสิทธิให้เรียนต่อได้ทั้งขณะตั้งครรภ์หรือหลังคลอดตามความสมัครใจ

"เพศศึกษาสำหรับเยาวชนในสถานศึกษา จึงไม่ได้หมายความเพียงการจัดให้มีการเรียนการสอน แต่ยังต้องสะท้อนให้เห็นในการปฏิบัติต่อเยาวชนอย่างเห็นคุณค่าที่เท่าเทียม ในมิติอื่นๆ ด้วย"

**เรื่องเพศ ผู้ใหญ่เหมารวมวัยรุ่นเกินไปหรือเปล่า?**ผู้ใหญ่มักกล่าวหาเยาวชนผ่านสื่อว่าหมกมุ่นเรื่องเพศ เห็นเซ็กส์เป็นเรื่องธรรมดา การสำรวจครั้งนี้พบว่า เยาวชนกว่าร้อยละ 40 ไม่ได้เห็นว่าการเปลี่ยนคู่นอนเป็นเรื่องปกติ ผู้ใหญ่จึงควรพิจารณาการเหมารวมที่มีต่อเยาวชน

นอกจากนั้น ผู้ใหญ่มักคิดว่า ถ้าเป็นเรื่องเพศ ร้อยทั้งร้อยเด็กจะเลือกคุยกับเพื่อนหรือหันไปหาสื่อ แต่ผลการสำรวจ สะท้อนว่า เยาวชนกว่าร้อยละ 70 ต้องการให้ผู้ใหญ่ โดยเฉพาะพ่อแม่ผู้ปกครอง พูดคุย และรับฟังความในใจเรื่องความรัก และเรื่องเพศ

"โจทย์จึงอยู่ที่ อะไรทำให้ผู้ใหญ่และเยาวชน หันหน้าไม่เจอกัน"

**โรงเรียนจะยอมแพ้ ตั้งแต่ เพศศึกษา ยังไม่ได้ตั้งไข่ หรือ ?** สิ่งที่โรงเรียนเห็นว่าเป็นปัญหาและอุปสรรคสำคัญต่อการจัดการเรียนรู้เพศศึกษา คือ ขนบธรรมเนียมประเพณีและค่านิยมของสังคมไทย การยั่วยุจากสื่อต่างๆ ในสังคม ทั้งยังเชื่อไปก่อนว่า การเรียนรู้ที่เกิดในโรงเรียนไม่สามารถต้านทานกระแสสังคมที่มีสิ่งยั่วยุทางเพศรุนแรง

คำถาม คือ ...เราได้ขบคิด และลงมือทำอย่างจริงหรือยัง?

เราลงทุนหรือทำมากน้อยแค่ไหนในการคิด ตระเตรียม และติดอาวุธ ให้เยาวชนมีความรู้ ทักษะ และเท่าทันกับโลกและสื่อรอบตัว เมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนสร้างกระแสของสื่อที่เราเห็นเป็นคู่ต่อสู้ ในการดึงดูดความสนใจเยาวชนของเรา

หากเรายังไม่ได้ทำ คงต้องตอบตัวเองว่าทำไมจึงไม่คิดทำอะไรจริงจังร่วมกับเยาวชน

**หากเห็นว่าเพศศึกษาสำคัญจริง โรงเรียนต้องไม่มี "แต่....?** การสำรวจแสดงให้เห็นความกังวลต่อการจัดเพศศึกษาที่ขัดแย้งกับความเป็นจริง เมื่อพบว่าสิ่งที่ผู้บริหารการศึกษาและครูเห็นว่าเป็นอุปสรรคต่อการจัดการเรียนรู้เพศศึกษาให้เยาวชน คือ ผู้ปกครองและชุมชนไม่เข้าใจ และไม่สนับสนุน

ในขณะที่ผู้ปกครองเห็นความสำคัญของเพศศึกษาไม่ต่างจากผู้บริหารและครู ทั้งยังเห็นด้วยในสัดส่วนที่มากกว่าผู้บริหารและครู ในเรื่อง เพศศึกษาควรเป็นวิชาเฉพาะ ไม่ใช่การสอดแทรกหรือบูรณาการ (ผู้ปกครอง ร้อยละ 69, ผู้บริหารสถานศึกษาร้อยละ 52, และครู ร้อยละ 54)

หากจะบอกว่านโยบายของกระทรวงศึกษาธิการไม่ชัดเจน คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ให้ความสำคัญและได้แสดงถึงการสนับสนุนการจัดการเรียนรู้เพศศึกษาสำหรับเยาวชนมาโดยตลอด

ล่าสุด ท่านเลขาฯ สพฐ. กล่าวชัดเจนในที่ประชุมวิชาการเพศศึกษาเพื่อเยาวชน ภาคใต้ ที่จัดโดยคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ร่วมกับภาคีเพศศึกษาภาคใต้ ว่า "การสอนเรื่องเพศศึกษาเป็นยิ่งกว่านโยบาย เพราะเป็นจิตสำนึกที่จะช่วยดูแล ให้เยาวชนอยู่รอดปลอดภัยจากปัญหาเพศสัมพันธ์ ซึ่งอาจพร่าผลาญและทำลายนักเรียนได้ทุกกลุ่ม จึงเป็นที่น่ายินดีที่โรงเรียนจำนวนหนึ่ง ได้ให้ความสนใจ สนับสนุน โดยได้รับความเห็นชอบจากผู้ปกครอง และกรรมการสถานศึกษา ทั้งยังได้มีวิธีการจัดกิจกรรมและให้ความรู้อย่างหลากหลายได้ผล ขั้นตอนต่อไปน่าที่จะเน้นคือ เรื่องการปลูกฝังค่านิยม จิตสำนึกในเรื่องคุณค่าของตน และส่งเสริมกระบวนการตัดสินใจ อย่างรอบคอบและมีสติ" (อ่านเพิ่มเติมได้ที่คอลัมน์ 'พบกันทุกวันอังคาร' วันอังคารที่ 22 มกราคม 2551 ในเว็บไซต์ของ สพฐ. //www..obec.go.th/kasama/)

**ข้อเสนอต่อการจัดการเรียนรู้เพศศึกษา เสนอให้ใครทำอะไร?** ข้อเสนอจากกลุ่มผู้บริหารการศึกษา ครู และผู้ปกครอง ในเรื่องการจัดการเรียนรู้เพศศึกษา 2 ลำดับแรก คือ "การสร้างจิตสำนึกที่ดี เป็นเกราะป้องกัน" และ "ผู้ใหญ่ควรประพฤติเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เด็ก"

หากเข้าใจว่าเรื่องเพศ เป็นเรื่องชีวิต เป็นเรื่องความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน เป้าหมายของการจัดการเรียนรู้เรื่องเพศศึกษา ก็เพื่อให้เยาวชนเรียนรู้ที่จะมีความสัมพันธ์ที่ไม่เบียดเบียน เอาเปรียบกัน รับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ และรับผิดชอบในความสัมพันธ์ที่ตนมีกับคนอื่นๆ ใช่ไหมว่า นี่คือจิตสำนึกที่ดี ที่จะเป็นเกราะป้องกันเยาวชนของเรา

นอกจากการพร่ำบ่นถึงความห่วงใย ไปจนถึง ปรักปรำ ปราบปราม พร้อมใช้มาตราการเข้มงวดเด็ดขาด กับเยาวชน ดังที่มักปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ เมื่อมีข่าวปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในกลุ่มเยาวชนแล้ว สังคมไทยลงทุนสร้างการเรียนรู้อะไรให้กับเยาวชนบ้าง ที่จะช่วยบ่มเพาะเยาวชนของเราให้เติบโตอย่างรู้จักที่จะสัมพันธ์กับตัวเองและคนอื่นอย่างเคารพและรับผิดชอบ

"เพศศึกษา"... จะรออะไร ถ้าไม่เริ่มที่ "คุณ"


โดย: jenifaae วันที่: 24 มีนาคม 2551 เวลา:22:31:52 น.  

 
*วาระครบรอบ 50 วันแห่งการจากไป "วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์" - เมื่อสังคมต้องคิดต่อ "ทำไมต้องช่วยคนจน?" สานปณิธานนักสู้เพื่อความเป็นธรรมในสังคม โดย : สิริวรรณ ศรีเพ็ญจันทร์

หากกล่าวถึง วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ หรือ มด หลายคนอาจจะไม่รู้จักเธอ แต่ในสังคมของผู้ยากไร้และคนจนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากโครงสร้างใหญ่ของสังคม เธอเป็นนักต่อสู้เพื่อพี่น้องคนจนบนผืนแผ่นดินและเรียกร้องความเป็นธรรมในสังคม หญิงสาวผู้นี้รับใช้พี่น้องคนยากจนในชนบท ซึ่งเธอได้รับใช้ผู้ยากไร้ทั้งหลายด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน และมีวิถีชีวิตอันเรียบง่าย เธอร่วมเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่นกับพี่น้องชาวบ้านอย่างแยบคาย กล้าท้าทายอำนาจอันอธรรมด้วยสันติวิธีมาหลายต่อหลายครั้ง แม้จะได้ชัยชนะน้อยครั้ง แต่เธอและชาวบ้านต่างก็ประกอบไปด้วยขันติธรรมและสามัคคีธรรม ซึ่งควรค่าแก่การก้มหัวให้ยิ่งนัก เธอได้ล้มป่วยด้วยโรคมะเร็งเต้านม ตั้งแต่ปี 2547 และจากโลกนี้ไปอย่างสงบเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2550 ที่ผ่านมา หลังจากต่อสู้กับความเจ็บป่วยมานานกว่า 2 ปี
มด ได้เปรียบเทียบตัวเองเป็นเหมือนเช่น "หิ่งห้อย" ที่เรืองแสงในยามที่ทุกสิ่งมืดมิด เฝ้ามองความเป็นไปของสรรพสิ่งอย่างเงียบสงบ เธอมีแรงศรัทธาที่จะนำพาผู้คนที่ทนทุกข์ได้หลุดพ้นจากโซ่ตรวนของกิเลสและเคราะห์กรรม และยากเห็นผู้คนในสังคน พ่อแม่ พี่น้อง ลูกหลานเป็นเช่น หิ่งห้อย ที่เรืองแสงร่วมกันบนหนทางแห่งธรรม คราเมื่อพระอาทิตย์ส่องแสงพราว หิ่งห้อยน้อยก็จากลาไป
*มด ได้แสดงความคิดที่มาจากหัวใจและจากเสียงเรียกร้องของคนจน อีกทั้งวีรชนนิรนามทั้งหลาย ที่เป็นผู้อุทิศทำงานเพื่อคนยากจน เพื่อความเป็นธรรมในสังคม เธอคิดว่าความยากจนไม่ใช่สิ่งน่ารังเกียจ ถ้าเป็นเพียงความยากจนทางด้านวัตถุ หรือว่าไร้ชื่อเสียงเกียรติยศต่าง ๆ เพราะแท้จริงแล้วความยากจนนั้นเองที่ก่อให้เกิดความเรียบง่าย ความสมถะ และลึกๆ แล้วมีความสุข "ในยุคสังคมปัจจุบัน เราวัดค่ากันที่เงิน แม้กระทั่งราคาของความเป็นคนก็วัดกันที่เงิน แต่ดิฉันอยากถามว่าใครเป็นผู้กำหนดอัตราค่าแลกเปลี่ยนเหล่านี้ คนจนมีส่วนร่วมไหม ถ้าคนจนมีส่วนร่วม ทำไมข้าวเปลือกถึงถูก ข้าวสารถึงแพง ทำไมค่าแรงถึงต่ำ แต่สินค้าสำเร็จรูปถึงได้มีราคาแพง เพราะว่าคนยากจนซึ่งเป็นผู้ผลิตสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้มีโอกาสกำหนดมูลค่าของสิ่งของที่มีอยู่ในสังคมปัจจุบันนี้ เขาถูกเอาเปรียบพอสมควร เพราะฉะนั้น ดิฉันคิดว่าความยากจนเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากเวรกรรม แต่เกิดจากความไม่เป็นธรรม
ดิฉันคิดว่าสังคมจะอยู่อย่างมีความสุข ด้วยการที่เราพยายามช่วยเหลือคนจนเหล่านี้ ไม่ด้วยทางใดก็ทางหนึ่ง เราจำเป็นต้องตอบแทนพวกเขา ในขณะที่เราไม่ต้องปลูกข้าว ถ้าเราไม่ช่วยชาวนา ลูกหลานของเราในอนาคตอาจจะไม่มีข้าวกิน ในขณะที่เราไม่ต้องทอผ้า เราก็ต้องช่วยคนงาน เพราะว่าคนงานคือคนที่จะผลิต ทอผ้าให้เรา"
แม่สมปอง เวียงจันทร์ ชาวบ้านปากมูน ได้พูดถึง มด ไว้อย่างน่าสนใจว่า "เมื่อปี 2532-2533 มดได้มาสอนให้ชาวบ้านรู้จักสิทธิของตัวเอง รู้จักหน้าที่ที่ต้องปกป้องดูแลทรัพยากรธรรมชาติ สอนให้เรารู้จักลุกขึ้นสู้ มดทำให้แม่ๆ รู้ว่าประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ เจ้าของทรัพยากรธรรมชาติ มดสู้เพื่อชาวบ้านอย่างชนิดที่ว่าไม่กลัวเลย เราก็เลยไม่กลัวตามไปด้วย มดเข้มแข็งทั้งภายนอกและภายใน เข้มแข็งแต่อ่อนโยน มดเป็นผู้หญิงและจะกระตุ้นให้ผู้หญิงลุกขึ้นมาสู้ตลอด สำหรับมดแล้วขอให้ชาวบ้านลุกขึ้นมาสู้ มดไม่ได้มานำชาวบ้าน แต่มาปลุกให้ชาวบ้านรู้จักลุกขึ้นมาสู้ด้วยตัวเอง ซึ่งวันนี้ชาวบ้านเข้มแข็งขึ้นมาก มีผู้นำใหม่ ๆ เกิดและเติบโตขึ้น"
เราจะเห็นได้ว่าสิ่งที่ มด ได้ทำให้กับคนยากจนและผู้ถูกรังแกบนผืนแผ่นดิน สมดังคำกวีของ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ที่มอบมงกุฎเกียรตยศ แก่ มด วนิดา ดังมีใจความตอนหนึ่งว่า ....


"เธอคือวีรสตรีของคนสู้
หยัดอยู่ทระนงทรงนุสรณ์
มีมงกุฎดอกหญ้า เป็นอาภรณ์
มาดมั่นนิรนดรไม่คลอนแคลน
วันนี้ไม่มีมดของคนยาก
แต่มดฝากมดสู้ไว้หมื่นแสน
เธอคือดินก้อนเดียวในดินแดน
แต่จะหนักและจะแน่นเต็มแผ่นดิน"
มดจากพวกเราไปจะครบรอบ 50 วันในเดือนมกราคมนี้ ซึ่งทางมูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป ร่วมกับองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมเพื่อรำลึกถึงชีวิตและงานที่มีคุณค่าของเธอ โดยมี สมบูรณ์ จึงเปรมปรีดิ์ ผู้จัดการมูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป ได้อธิบายถึงรายละเอียดการจัดงานครั้งนี้ว่า

"เรามองว่าคนในสังคมและนักกิจกรรมที่ทำงานทางสังคมรุ่นหลัง จะหันมาสนใจและเหลียวมองปัญหาของคนจนในสังคมกันอย่างเป็นจริงเป็นจัง โดยใช้การทำงานของพี่มดเป็นตัวจุดประกาย เป็นจุดเริ่มต้นของการสนใจคนทุกข์ยากบนผืนแผ่นดิน ร่วมกันสร้างความเป็นธรรมให้เกิดในสังคม และช่วยกันเปลี่ยนสังคมให้มีความเท่าเทียมอย่างแท้จริง ซึ่งพี่มดจะเป็นแบบอย่างที่ควรสานต่อที่ดียิ่ง เราจึงร่วมกันจัดให้มีการพูดคุย ชวนกันคิด ชวนกันสานต่อ ในหัวข้อ สานตำนานนักสู้เพื่อคนจน บทเรียน ความหวัง ก้าวต่อไปของขบวนการคนจน โดยมีวิทยากรที่น่าสนใจคือ พระไพศาล วิสาโล อดีตปัญญาชนรุ่นใหม่ของสังคม ที่ละชีวิตฆราวาสตั้งแต่วัยหนุ่ม มุ่งสู่ชีวิตนักบวช เป็นเวลา 21 พรรษาแล้ว และเป็นพระอนุรักษ์ ที่เชื่อมความคิดกับสังคมมาตลอด และเราจะได้เห็นมุมมองของเพื่อนนักสู้เพื่อความเป็นธรรมในสังคมของวนิดาเช่น พ่อสมเกียรติ พ้นภัย และนันทโชติ ชัยรัตน์ พี่น้องจากสมัชชาคนจน จินตนา แก้วขาว กรณ์อุมา พงษ์น้อย จากบ่อนอกและบ้านกรูด รวมทั้งนักวิชาการที่ไม่เคยทอดทิ้งและเคียงข้างคนจนมาตลอดอย่าง อาจารย์บัณฑร อ่อนดำ ซึ่งมี ชาญวิทย์ อร่ามฤทธิ์ พี่ชายทางสังคมของวนิดาและเป็นผู้ที่ให้ความสำคัญกับคนยากจนในสังคมมาตลอดชีวิตการทำงาน เป็นผู้ดำเนินรายการ ทั้งนี้หลังจบรายการเสวนา ส.ศิวรักษ์ ปัญญาชนสยาม จะมากล่าวปัจฉิมกถาปิดท้ายอีกด้วย"

คุณค่าของเธอจะทำให้กับคนรุ่นหลังได้เหลียวมอง และควรจะร่วมกันสานต่อปณิธานของเธอในการเรียกร้องความเป็นธรรมให้เกิดในสังคมให้เป็นจริงในสังคมได้อย่างไร? ขอเชิญทุกท่านร่วมกันค้นหาคำตอบว่า "ทำไมต้องช่วยคนจน?" ใน งานครบรอบ 50 วัน แห่งการจากไปของ มด วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ จะมีขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม 2551 เวลา 13.30-16.30 น. ณ ป๋วย-เสวนาคาร อาคารพุทธมามกะชั้น 2 โรงเรียนวัดปทุม-คงคา ถนนทรงวาด เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ สอบถามรายละเอียดได้ที่ 084-113-8686/02-4389331-2 หรือที่ //www.semsikkha.org
ชีวิตของ มด ที่เกิดมาเพื่อคนอื่นได้จบสิ้นลงแล้ว ภาระหน้าที่ต่อสังคมและผู้คนยากไร้บนผืนแผ่นดินที่เธอแบกรับมาตลอดชีวิตก็ได้จบสิ้นตาม แต่สังคมข้างหน้าจะเป็นอย่างไร คงต้องเป็นหน้าที่ของคนรุ่นต่อไปที่จะสานต่อ แม้ว่าแผ่นดินนี้ยังต้องการคนอย่าง วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ อยู่มากก็ตาม
*สำหรับผู้ที่สนใจจะร่วมกันสานต่อเจตนารมณ์ของ วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ สามารถสนับสนุนกองทุนและบริจาคโดยการโอนเงินเข้าบัญชีของ

นางสาวมณี ตันติวิทยาพิทักษ์
ธนาคารกสิกรไทย สาขาซีคอนสแควร์
บัญชีออมทรัพย์ 095-2-36973-5
ซึ่งพี่น้องและเพื่อนสนิทของวนิดาได้ร่วมกันก่อตั้งขึ้น มีวัตถุประสงค์เพื่อรณรงค์เคลื่อนไหวให้มีการเปิดประตูน้ำเขื่อนปากมูล ผลักดันการแก้ปัญหาตามข้อเรียกร้องของสมัชชาคนจน สนับสนุนส่งเสริมให้การศึกษาเรื่องสิทธิของคนจน ปรับปรุงศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้านปากมูน ให้เป็นพิพิธภัณฑ์และศูนย์ข้อมูลการต่อสู้ขบวนการของคนจน


*แรงงานร้องนโยบายรบ.ใหม่ยังเมินคุณภาพชีวิต
นางสาวสมบุญ ศรีคำดอกแค ประธานสภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากงานและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า ขณะนี้คนหลายๆกลุ่มกำลังตั้งความหวังจากนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ว่าจะช่วยบรรเทาปัญหาที่แต่ละฝ่ายเผชิญอยู่ได้อย่างไรบ้าง สำหรับในส่วนของผู้ใช้แรงงานนั้น จากสถานการณ์ปัญหาของแรงงานที่ต้องเผชิญกันมาเป็นเวลานาน แม้ว่าจะมีพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 แต่ปัญหาเรื้อรังของแรงงานก็ยังไม่ได้รับการเหลียวแลอย่างเป็นรูปธรรมแต่อย่างใด
“แรงงานไทยทุกวันนี้ยังมีไม่เพียงพอจะกิน พอท้องมันหิว ก็ขาดสมาธิในการทำงาน มันก็ไม่มีความปลอดภัย เมื่อภาวะเศรษฐกิจไม่ดี สถานการณ์แรงงานที่หมักหมมไว้เริ่มจะปะทุขึ้นมา คนงานก็ถูกบีบ เครื่องจักรเร่งการผลิต เกิดอุบัติเหตุกับคนงานเยอะขึ้น มีคนตายจากสารเคมี และมีคนบาดเจ็บเพิ่มขึ้น” นางสาวสมบุญ กล่าว
ภาพจาก //www.thailabour.org นางสาวสมบุญ กล่าวว่า ส่วนที่เครือข่ายต้องการตอนนี้เป็นเรื่องของนโยบายด้านสุขภาพชีวิตของผู้ ใช้แรงงาน และความปลอดภัย ที่ต้องการให้เกิดองค์กรที่ผู้ใช้แรงงานสามารถดูแลตัวเองได้ ทุกวันนี้ภาครัฐเป็นผู้กุมอำนาจไว้ โดยเฉพาะบทบาทการเป็นฝ่ายวินิจฉัยโรคเอง จึงตั้งเกณฑ์วินิจฉัยได้เลยว่าโรคของผู้ป่วยเกิดจากการทำงานหรือไม่ แทนที่จะเป็นแพทย์สาธารณสุข เรื่องนี้ทำให้รัฐมีอำนาจมาก เกิดการจ่ายเงินใต้โต๊ะ เพื่อให้วินิจฉัยว่าคนงานไม่ได้เป็นโรคจากการทำงาน โรงงานก็ได้ประโยชน์เพราะไม่ต้องจ่ายเงินชดเชย ขณะเดียวกันรัฐก็ได้ประโยชน์เพราะแสดงผลงานได้ว่าดูแลคนงานได้ดีไม่มีคน ป่วยจากการทำงาน
“ทุกวันนี้คนงานต้องหาทางช่วยเหลือตนเอง บางคนยังขาดความรู้ในเรื่องทางคดี บางคนก็ไม่รู้ถึงสิทธิที่ตนเองควรจะได้ ภาครัฐก็ไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ เมื่อทางเครือข่ายไปขอความช่วยเหลือจากกระทรวงสาธารณสุข ก็ได้คำตอบว่าไม่มีนโยบายเรื่องนี้ และได้เอกสารตอบกลับมาว่าไม่มีงบประมาณ” ประธานสภาเครือข่ายฯ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสำรวจนโยบายพรรคการเมืองที่เป็นแกนนำและพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลพบว่า ยังไม่ได้ให้ความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงานเท่าใดนัก มีแต่เน้นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเรื่องตำแหน่งงานเท่านั้น โดยได้ประกาศนโยบายแรงงานไว้ว่าจะเร่งรัดให้มีการจ้างงาน 1 ล้านตำแหน่ง ให้พอกับการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม
นอกจากนี้ยัง ส่งเสริมสนับสนุนด้านวิชาการ และมีการเตรียมกำลังคนเพื่อรองรับตำแหน่งที่สร้างขึ้น มีการบรรจุงานควบคู่ไปกับลงทุนด้านทรัพยากรมนุษย์ จัดให้มีการฝึกจัดอบรมให้แก่ผู้ใช้แรงงานเพื่อกระตุ้นแรงจูงใจและยกระดับ ฝีมือแรงงาน ทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนด้านการตลาด รวมถึงการจัดทำแผนแม่บทการจัดสัดส่วนภาคการค้า อุตสาหกรรมออกมาเป็นสัดส่วนให้ประชาชนสามารถเลือกเรียนให้ตรงกับความต้อง การของตลาดแรงงาน
ด้านพรรคเพื่อแผ่นดินนั้น นายสุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าพรรคได้แถลงนโยบายด้านแรงงานไว้ว่า จะแก้ไขปัญหาแรงงานทั้งระบบ โดยจะเน้นด้านสวัสดิการและค่าครองชีพให้เพียงพอกับค่าใช้จ่าย รวมทั้งมีแนวคิดที่จะจัดตั้งธนาคารเพื่อแรงงานและศูนย์ข้อมูลแรงงาน เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้แรงงานและผู้ประกอบการ ในการหาข้อมูลด้านต่าง ๆ


โดย: jenifaae วันที่: 24 มีนาคม 2551 เวลา:22:32:09 น.  

 
*แบบลงทะเบียนเข้าร่วมการสัมมนาเรื่อง “วช. : บูรณาการงานวิจัยด้านการแพทย์และสาธารณสุข”
แบบลงทะเบียนเข้าร่วมการสัมมนา

เรื่อง “วช. : บูรณาการงานวิจัยด้านการแพทย์และสาธารณสุข”

วันที่ 24 – 25 มีนาคม 2551

ณ ห้องจูปิเตอร์ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร

กรุณาเขียนด้วยตัวบรรจง หรือพิมพ์ดีด

1. (นาย, นาง, น.ส.) .

2. สถานที่ติดต่อ (กรุณากรอกอย่างละเอียดเพื่อความสะดวกในการจัดส่งเอกสาร)
โทรศัพท์ โทรสาร .

มือถือ e-mail : .

3. ท่านสามารถเข้าร่วมสัมมนาในช่วงเวลา

วันที่ 24 มีนาคม 2551

○ ช่วงเช้า

○ ช่วงบ่าย

○ ทั้งวัน

○ วันที่ 25 มีนาคม 2551

○ ช่วงเช้า

○ ช่วงบ่าย

○ ทั้งวัน

แบบลงทะเบียนนี้สามารถถ่ายเอกสาร เพื่อลงทะเบียนเข้าร่วมสัมมนาเพิ่มเติมได้

กรุณาตอบกลับภายในวันที่ 10 มีนาคม 2551

ภารกิจโครงการและประสานงานวิจัย สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.)

โทร. 0-2561-2445 ต่อ 485-488, 0-2579-1354, 0-2940-5495

โทรสาร. 0-2579-4368

E-mail : nrct01@yahoo.com



โดย: jenifaae วันที่: 10 เมษายน 2551 เวลา:21:09:05 น.  

 
*การประชุมระดับชาติ เรื่องนโยบายแรงงานข้ามชาติ:ความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี

มูลนิธิรักษ์ไทย ร่วมกับ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข และองค์กรภาคี ภายใต้โครงการส่งเสริมการป้องกันเอดส์แรงงานข้ามชาติประเทศไทย หรือโครงการฟ้ามิตร จัด การประชุมระดับชาติเรื่อง "นโยบายแรงงานข้ามชาติ:ความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี" ในวันศุกร์ที่ 21 มีนาคม 2551 เวลา 09.00 น. ณ ห้องจูปีเตอร์ (ชั้น 3) โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดต่อนโยบายในการบริหารแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย

สนใจร่วมฟังการประชุม ติดต่อ มูลนิธิรักษ์ไทย ฝ่ายสื่อสารและประชาสัมพันธ์ โทรศัพท์ 0-2265-6854, 0-2265-6852


กำหนดการประชุมระดับชาติเรื่อง

"นโยบายแรงงานข้ามชาติ : ความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดี"

วันศุกร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2551 เวลา 08.30 น. – 17.00 น.

ณ ห้องจูปีเตอร์ (ชั้น 3) โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น ถ.วิภาวดี-รังสิต หลักสี่ กรุงเทพฯ



08.30 - 09.00 น.
ลงทะเบียน
09.00 - 09.10 น.
การแสดงวัฒนธรรม
09.10 - 09.20 น.
กล่าวรายงาน
โดย คุณวรรณา บุทเสน ผู้จัดการโครงการอาวุโส มูลนิธิรักษ์ไทย
09.20 - 10.20 น.
ประธานกล่าวเปิดการประชุม และปาฐกถาพิเศษ ในการประชุมระดับชาติ
เรื่อง "นโยบายแรงงานข้ามชาติ : ความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดี"
โดย ฯพณฯ นางอุไรวรรณ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน

10.20 - 10.35 น.
พักรับประทานอาหารว่าง
10.35 - 10.45 น.
วีดีทัศน์เรื่อง "วิถีชีวิตแรงงานข้ามชาติ"
10.45 - 12.15 น.

เวทีอภิปราย เรื่อง "นโยบายแรงงานข้ามชาติ : ความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดี " โดย

นายแพทย์ศุภชัย คุณารัตนพฤกษ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข
รศ.ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการวิจัยการพัฒนาแรงงาน (ทีดีอาร์ไอ)
นายมานะ ศรีพิทักษ์ ประธานสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย
คุณพร้อมบุญ พานิชภักดิ์ เลขาธิการมูลนิธิรักษ์ไทย

ผู้ดำเนินรายการ รศ.ดร.นพ.สุวัฒน์ จริยาเลิศศักดิ์ รองผูอํานวยการ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
12.15 - 13.15 น.
พักรับประทานอาหารกลางวัน
13.15 - 15.15 น.

เวทีประชุมคู่ขนาน 1 : ณ ห้องประชุมจูปีเตอร์ ชั้น 3

เรื่อง "แรงงานข้ามชาติกับวัฒนธรรมชุมชน"
โดย
นายพงศ์โพยม วาศภูติ ปลัดกระทรวงมหาดไทย
นายแก่นเพชร ช่วงรังสี ผู้ว่าราชการจังหวัดตราด
นายสมชาย หอมลออ ประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรม
นายสุรพล กองจันทึก สภาทนายความ
คุณสุกัญญา เบาเนิด เลขาธิการชมรมเยาวชนมอญกรุงเทพฯ, นักโบราณคดี กรมศิลปากร

ผู้ดำเนินรายการ คุณสุทธิดา มะลิแก้ว ที่ปรึกษาเครือข่ายแรงงานข้ามชาติ และ ผู้จัดการโครงการ ซี-แรพ (CSEARHAP) ประเทศไทย


เวทีประชุมคู่ขนาน 2: ณ ห้องประชุมมาร์ (ชั้น 3)

เรื่อง "ระบบประกันสุขภาพแรงงานข้ามชาติที่ทั่วถึง "
โดย
นายแพทย์วินัย สวัสดิวร รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
พญ.เพชรศรี ศิรินิรันดร์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเวชกรรมป้องกัน กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
นพ.กมล บุญรอด นายแพทย์ 8 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชลบุรี เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (หรือผู้แทน)
นายเถื่อน ผู้แทนพนักงานสุขภาพต่างด้าว (พสต.) จ.ปัตตานี

ผู้ดำเนินรายการ นายแพทย์ชาญวิทย์ ทระเทพ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข

เวทีประชุมคู่ขนาน 3: ณ ห้องประชุมแมจิก 4 (ชั้น 2)

เรื่อง "การคุ้มครองสิทธิการจ้างงานในกลุ่มแรงงานข้ามชาติ"
โดย
อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน (หรือผู้แทน)
คุณคมเดช รัตนพรวารีสกุล รองประธานฯภาคตะวันออก, นายกสมาคมการประมง จ. ระยอง
คุณวิไลวรรณ แซ่เจีย ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย
คุณบัณฑิตย์ ธนชัยเศรษฐวุฒิ อนุกรรมการสิทธิแรงงาน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
นางตาล ผู้แทนพนักงานสาธารณสุขต่างด้าว(พสต.) จ.สงขลา

ผู้ดำเนินรายการ รศ.มาลี พฤกษ์พงศาวลี อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

15.15 - 15.30 น.
พักรับประทานอาหารว่าง

15.30 - 16.45 น.
อภิปรายสรุป

เวทีประชุมคู่ขนาน 1 : แรงงานข้ามชาติกับวัฒนธรรมชุมชน
โดย คุณสุทธิดา มะลิแก้ว ที่ปรึกษาเครือข่ายแรงงานข้ามชาติ และ ผู้จัดการโครงการ ซี-แรพ (CSEARHAP) ประเทศไทย

เวทีประชุมคู่ขนาน 2 : ระบบประกันสุขภาพแรงงานข้ามชาติที่ทั่วถึง
โดย นายแพทย์ชาญวิทย์ ทระเทพ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข

เวทีประชุมคู่ขนาน 3 : การคุ้มครองสิทธิการจ้างงานในกลุ่มแรงงานข้ามชาติ
โดย รศ.มาลี พฤกษ์พงศาวลี อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ผู้ดำเนินรายการ คุณพร้อมบุญ พานิชภักดิ์ เลขาธิการมูลนิธิรักษ์ไทย

16.45 - 17.00 น.
กล่าวปิดการประชุม

โดย นายแพทย์ศุภชัย คุณารัตนพฤกษ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข

พิธีกรดำเนินรายการ คุณธนยศ พรมด้าว ผู้ประสานงานโครงการอาวุโส มูลนิธิรักษ์ไทย


โดย: jenifaae วันที่: 10 เมษายน 2551 เวลา:21:09:30 น.  

 
*การฉายหนังเสวนา เรื่อง 'จากบริโภคนิยมสู่ทางรอดโลกร้อน'

//www.thaingo.org/prboard_1/view.php?id=7252

การฉายหนังเสวนา เรื่อง 'จากบริโภคนิยมสู่ทางรอดโลกร้อน'

โดย : เครือข่ายลดโลกร้อนด้วยโลกที่เป็นธรรม เมื่อ : 27/03/2008 09:11 AM ทำไมต้องดูหนังและเสวนา

ปัญหาโลกร้อนไม่ใช่ปัญหาไกลตัวเราอีกต่อไป ทุกวันนี้ เราสามารถรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ฝนตกยาวนานขึ้น น้ำท่วมบ่อยขึ้น อีกทั้งยังมีคำพยากรณ์ถึงผลกระทบออกมาอย่างต่อเนื่อง เช่น ผลวิจัยบอกว่ากรุงเทพเป็นเมืองอันดับเจ็ดของโลกที่เสี่ยงจากปัญหาน้ำท่วมรุนแรง ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเหล่านี้มีแนวโน้มกระทบต่อการใช้ชีวิตของคนในเกือบทุกส่วนของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่กิจกรรมรณรงค์ลดโลกร้อนจะออกมาอย่างต่อเนื่อง คำเชิญชวนให้หันมาใช้ถุงผ้า เปลี่ยนหลอดไฟ กิจกรรมดับไฟ 1 ชั่วโมง หรือปลูกต้นไม้ ดูเหมือนจะแสดงให้เห็นว่า ทางออกของโลกร้อนนั้นไม่ใช่เรื่องซับซ้อนแต่อย่างใด เพียงอยู่ใกล้แค่เอื้อมเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ เราจึงอยากชักชวนคุณมาร่วมค้นหา 'แก่น' และ 'เปลือก' ของความจริงเรื่องนี้ผ่านตัวการ์ตูนและการสนทนา

วัน เวลา: วันพุธที่ 2 เมษายน 2551 เวลา 13.30-16.00 น.

สถานที่: ห้องประชุมชั้น 2 อาคารอัญมณี คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (เข้าประตูคณะบัญชี แล้วเลี้ยวซ้ายทันที)

องค์กรผู้จัด: เครือข่ายลดโลกร้อนด้วยโลกที่เป็นธรรม (Thai Working Group on Climate Justice)*

กำหนดการ
13.00-13.30 น. ลงทะเบียน
13.30-13.40 น. กล่าวที่มาของกิจกรรม
13.40-14.00 น. ฉายสารคดี 'The Story of Stuff' (มีแปลภาษาไทย)
14.00-16.00 น. เสวนา 'จากบริโภคนิยมสู่ทางรอดโลกร้อน' โดย
พระไพศาล วิศาโล เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต จังหวัดชัยภูมิ**
ผศ. สุรัตน์ โหราชัยกุล คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ดร. สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ เลขาธิการมูลนิธิโลกสีเขียว
คุณทรงกลด บางยี่ขัน บรรณาธิการนิตยสาร A Day Weekly
ดำเนินรายการโดย คุณกรรณิการ์ กิจติเวชกุล
คำถามและแลกเปลี่ยนจากผู้เข้าร่วมเสวนา

คุณเคยคิดไหมว่า 'ข้าวของ' ต่างๆที่เรามีอยู่ มันมาจากไหน?

ด้วยความยาวเพียง 20 นาที สารคดีสั้นเรื่องนี้จะเผยให้เห็นถึง
การเดินทางของ 'ข้าวของ' กว่าจะถึงชั้นวางในร้านค้า
และเส้นทางเดินต่อของพวกมัน

แม้คุณจะไม่ถึงกับขำกลิ้ง
หรือบางที...คุณอาจจะรู้สึกง่วงนอนบ้าง
แต่รับรองว่า สารคดีเรื่องนี้จะพาคุณท่องไปยังดินแดนใหม่
และอย่างน้อย เราก็หวังว่า คุณต้องแอบ 'อมยิ้ม' ไปกับเราบ้างหล่ะ!!!

ไม่เสียค่าใช้จ่าย
...ข้อมูลเพิ่มเติม: ศจินทร์ ประชาสันติ์ 086-7710313, จักรชัย โฉมทองดี 02-218-7384

'เครือข่ายลดโลกร้อนด้วยโลกที่เป็นธรรม เป็นชื่ออย่างไม่เป็นทางการของ Thai Working Group on Climate Justice ซึ่งเป็นการรวมตัวกันขององค์กรพัฒนาเอกชนที่สนใจติดตามประเด็นโลกร้อนในมิติด้านความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม


โดย: jenifaae วันที่: 10 เมษายน 2551 เวลา:21:09:48 น.  

 
* "สัมมนาวิชาการประจำปี 2008 ศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพ

8th BMC Annual Academic Congress
Advanced Medicine in The Changing World"

ระหว่างวันที่ 24-26 มีนาีคม 2551

ณ อาคารเฉลิมพระบารมี 50 ปี
แพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ซอยศูนย์วิจัย กรุงเทพ


คลิกที่นี่..Agenda..


สำรองที่นั่งร่วมงานสัมมนาวิชาการ (โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย) :
สำรองที่นั่งที่ Contact Center โทร.1719 (ตลอด 24 ชม.)
ดาวน์โหลดใบสมัครเพื่อกรอกรายละเอียดแล้วส่งมาที่ 02-310-3129
ดาวน์โหลดใบสมัคร
ดาวน์โหลด Agenda

*สัมมนาเรื่อง 'ศาลอาญาระหว่างประเทศ : มิติใหม่แห่งการอภิวัฒน์กระบวนการยุติธรรม'

สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ สัมมนาเรื่อง 'ศาลอาญาระหว่างประเทศ : มิติใหม่แห่งการอภิวัฒน์กระบวนการยุติธรรม' วันที่ 24 มีนาคม 2551 เวลา 09.00 – 16.30 น. ณ โรงแรมสยาม ซิตี้ ถนนศรีอยุธยา กรุงเทพมหานคร

กำหนดการ
๐๘.๓๐ – ๐๘.๔๕ ลงทะเบียน
๐๘.๔๕ -๐๘.๕๐ กล่าวรายงานการจัดสัมมนา
โดย นายประนูญ สุวรรณภักดี รองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
๐๘.๕๐–๐๙.๐๐ กล่าวเปิดการสัมมนา
โดย นายวสันต์ พานิช อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
๐๙.๐๐ - ๙.๓๐ การบรรยาย 'ความเป็นมาและความสำคัญของ ICC'
โดย Mr.Jonathan Donuebe องค์การแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล
๙.๓๐ – ๑๑.๐๐ การบรรยายกรณีประสบการณ์จากต่างแดน ' ในประเทศรวันดา บอสเนีย-เฮเซโกวีนา(อดีตยูโกสลาเวีย ) และประเทศกัมพูชา '
โดย นายสุรัตน์ โหราชัยกุล อาจารย์ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ดำเนินรายการโดย นายศราวุฒิ ประทุมราช
อนุกรรมการด้านกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและการสูญหายของบุคคล
๑๑.๐๐ – ๑๑.๑๕ รับประทานอาหารว่าง
๑๑.๑๕ – ๑๒.๓๐ การอภิปราย 'ธรรมนูญกรุงโรมกับการปรับปรุงกฎหมายภายในประเทศ
โดย ๑. Mr. Homayoun Alizadeh ผู้แทนข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชน แห่งองค์การสหประชาชาติ
ประจำภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
๒. Mr. Jonathan Donuebe องค์การแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล
๓. นายพรชัย ด่านวิวัฒน์ รองอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย
กระทรวงการต่างประเทศ
ดำเนินรายการโดย นายบุญแทน ตันสุเทพวีระวงศ์
ผู้อำนวยการองค์การแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย
๑๒.๓๐ – ๑๓.๓๐ น. รับประทานอาหารกลางวัน

๑๓.๓๐ – ๑๕.๓๐ น. การอภิปราย 'ความจำเป็นและความเหมาะสมของไทยในการเข้าเป็นภาคี ธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ'
โดย

๑. ศาสตราจารย์จรัญ ภักดีธนากุล ปลัดกระทรวงยุติธรรม
๒.นายไกรศักดิ์ ชุณหวัณ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
๓. ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ
๔. นายสมชาย หอมลออ รองประธานอนุกรรมการด้านกฎหมาย
กระบวนการยุติธรรม และการสูญหายของบุคคลใน กสม.
ดำเนินรายการโดย ดร. ศรีประภา เพชรมีศรี อนุกรรมการด้านกฎหมาย
กระบวนการยุติธรรม และการสูญหายของบุคคลใน กสม.
๑๕.๓๐ – ๑๖.๓๐ น. เปิดอภิปรายทั่วไปและสรุป
ดำเนินรายการโดย ดร. ศรีประภา เพชรมีศรี อนุกรรมการด้านกฎหมาย
กระบวนการยุติธรรม และการสูญหายของบุคคลใน กสม.
๑๖.๐๐ - ๑๖.๓๐ น. ปิดการสัมมนา





*กระทรวงพาณิชย์ จัดสัมมนา 'ไทยกับการเจรจาเปิดเสรีทางการค้า (FTA): ปัจจุบันและย่างก้าวต่อไป'

วันที่ 3 เมษายน 2551 เวลา 08.30 น. ณ โรงแรมอมารี วอเตอร์เกท ประตูน้ำ
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ จะจัดสัมมนาเรื่อง 'ไทยกับการเจรจาเปิดเสรีทางการค้า (FTA) : ปัจจุบันและย่างก้าวต่อไป' ในวันที่ 3 เมษายน 2551 ณ โรงแรมอมารี วอเตอร์เกท ประตูน้ำ กรุงเทพฯ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลความคืบหน้าการเปิดเสรีการค้า สร้างความรู้ความเข้าใจการแสวงหาโอกาสและการใช้ประโยชน์จากการเปิดเสรีการค้า และเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ซึ่งการสัมมนาครั้งนี้ จะมีการอภิปรายใน 2 หัวข้อ คือ 'ไทยกับการเจรจาเปิดเสรีทางการค้า : ปัจจุบันและย่างก้าวต่อไป' และ 'FTA ภายใต้การเจรจาอาเซียนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต' โดยตัวแทนจากภาครัฐและเอกชน เช่น นางสาวชุติมา บุณยประภัศร อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ดร.นิลสุวรรณ ลีลารัศมี รองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ดร.คณิศ แสงสุพรรณ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง
'ปัจจุบันการเปิดเสรีการค้ามีความเข้มข้นขึ้น การสร้างความตระหนักว่าการเปิดเสรีการค้ามีความจำเป็นหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทุกคนจำเป็นต้องปรับตัว อยากให้ทุกคนมองการเปิดเสรีการค้าเป็นการสร้างโอกาสให้ทุกคนได้แสวงหาประโยชน์จากโอกาสทางการค้าการลงทุน' นางสาวชุติมากล่าว
ผู้สนใจเข้าร่วมงานสัมมนาฯ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02-507-7555 หรือดาวน์โหลดแบบตอบรับที่
//www.thaifta.com ขอให้ส่งกลับมาภายในวันที่ 28 มีนาคม 2551 โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
ณ โรงแรมอมารี วอเตอร์เกท ประตูน้ำ กรุงเทพฯ
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
Contact Center โทร. 1719 (24 ชม.)
โทรสาร. 02-310-3129 (จันทร์-ศุกร์ เวลา 09.00-17.00 น.)
Email : Annual2008@bangkokhospital.com


โดย: jenifaae วันที่: 10 เมษายน 2551 เวลา:21:10:16 น.  

 
*มหัศจรรย์นิทานดนตรี…ครั้งแรกของเมืองไทย
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 17 เมษายน 2551 10:21 น.

ผ่านไปหมาดๆ กับงาน “เอนฟา เอพลัส มหัศจรรย์แห่งนิทานดนตรี” ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ เอนฟาโกร เอพลัส ได้นำท่วงทำนองแห่งเสียงดนตรี Symphony โดย Mahidol Pop Orchestra แห่งมหาวิทยาลัยมหิดล มาผสมผสานกับเทคนิคการเล่าเรื่องนิทานแสนมหัศจรรย์ 4 เรื่อง ได้แก่... นิทานประกอบฟองสบู่เรื่อง “เจ้าชายสายลมกับเจ้าหญิงสายรุ้ง”, นิทานเพลงหุ่นเรื่อง “มหัศจรรย์วันน้ำท่วมโลก”, นิทานประกอบหุ่นเงาเรื่อง “ปูยักษ์ใต้ทะเล”, นิทานละครเพลงเรื่อง “ช้างกับเรือ”

ดร.พัฒนา ชัชพงศ์ ประธานกรรมการบริหารหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย คณะศึกษาศาสตร์ มศว. ยืนยันว่า “นิทานคือการเสริมสร้างความดี ความมีวินัย และจริยธรรมด้านต่างๆ ให้กับเด็ก ช่วยให้เด็กเข้าใจสิ่งที่เป็นนามธรรมได้ และสามารถนำมาเป็นแนวทางในการปฏิบัติตน จริยธรรม คุณธรรมที่ดี

ที่สำคัญ นิทานคือสายป่านอันสวยงามที่ร้อยผูกสายใยระหว่างพ่อแม่กับเด็ก ครูกับนักเรียน ให้มีนาทีที่ดี นาทีที่มีความสุข นาทีแห่งการร่วมกันฝัน สร้างความอบอุ่น มั่นใจก่อนที่จะหลับตาลงในยามค่ำคืน สร้างรอยยิ้ม และความมั่นใจให้เกิดขึ้นในใจ และบนใบหน้าของเด็ก”

นอกจากนี้ “ดนตรี” ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างมหัศจรรย์แห่งสมองและพัฒนาการของเด็กได้ โดยเฉพาะดนตรีคลาสสิก จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางสมองของเด็กให้เจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี

“นิทานดนตรี” คือการผสมผสานระหว่างการเล่านิทาน บทเพลง และดนตรีที่ผ่านการสร้างสรรค์ให้มีความซับซ้อนของตัวโน้ต และเหมาะสมกับเด็ก ถือเป็นบรรยากาศและ สิ่งแวดล้อมที่ดี ที่จะช่วยกระตุ้นคลื่นสมองเด็กให้เกิดการจัดเรียงตัว พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ภาษา และอารมณ์ให้เด็กได้อย่างดี สามารถกระตุ้นเซลล์ประสาทของเด็กให้แตกแขนงได้มากมาย ส่งผลให้มหัศจรรย์แห่งพัฒนาการด้านต่างๆ เกิดขึ้น

พฤหัส พหลกุลบุตร จากกลุ่มละครมะขามป้อม บอกว่า “การใช้ดนตรี ใช้ภาษาผ่านการเล่าเรื่องของนิทาน และการแสดง จะมีผลต่อการพัฒนาสมอง เด็กได้ซึมซับความงามทางภาษาผ่านการเล่านิทาน การเล่าเรื่องที่มีเทคนิคให้เด็กสนุก เป็นการพัฒนาจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ การใช้ดนตรี Symphony บรรเลง ทำให้เด็กมีความละเมียดละไมทางอารมณ์ และพัฒนาสุนทรียภาพของเด็กๆ ไปพร้อมกัน”

อ.นพีสี เรเยส จากวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล “เทปนิทานเด็กที่พบเห็นทั่วไปในท้องตลาด มักใช้ดนตรีสังเคราะห์บรรเลง ไม่ได้ใช้เครื่องดนตรีจริง แต่การใช้เครื่องดนตรีจริงๆ ที่เป็นดนตรีวงใหญ่ สร้างเป็นผลงานดนตรีที่มีรสนิยม ทำให้เด็กได้เห็นการใช้เครื่องดนตรี ได้เห็นศักยภาพของเครื่องดนตรีต่างๆ และได้ฟังเสียงดนตรีแต่ละชนิดว่าออกมาเป็นแบบไหน ทำให้สมองเกิดการพัฒนา ปกติเพลงช้าๆ ก็ทำให้สมองเด็กพัฒนาได้ แต่การใช้ดนตรีที่เป็น Symphony ยิ่งเห็นผลได้ชัดเจนขึ้น”




*'กิตติศักดิ์ ปรกติ' ฟันธง...ปฏิวัติหลับยาว
//www.matichon.co.th/วันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10994

คงไม่มีใครคาดว่า 'ยุคดิจิตอล' ที่มีเครือข่ายเน็ตเวิร์คโยงใยออนไลน์กันทั่วโลกจะมี 'กลุ่มพล' เข็นรถถังออกมาครองเมือง ดังนั้น การออกมาเผยข้อมูลในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2548 ของ 'ผศ.ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ' อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก่อนเกิดปฏิวัติไม่นานว่า 'มีนายทหารมาปรึกษาหารือประเด็นข้อกฎหมายเพื่อเตรียมการปฏิวัติ แต่ผมไม่เล่นด้วย'

พลันที่นำปรากฏการณ์นั้นเสนอต่อสังคม ก็เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กว้างขวาง เพราะไม่มีใครคิดว่า 'กองทัพ' จะยังมีบทบาทต่อสถานการณ์การเมือง แต่แล้วค่ำคืนวันที่ 19 กันยายน 2549 เรื่องราวที่ไม่มีใครคาดคิดเป็นจริง ดังนั้น ในวันที่ 'สมัคร สุนทรเวช' นายกรัฐมนตรี ออกมาปูดข้อมูลว่า 'เชื้อปฏิวัติยังไม่ตาย' จึงเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์มากมายเช่นกัน

โดยเรื่องนี้ 'กิตติศักดิ์' มองว่าการยึดอำนาจเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นผลมาจากความขัดแย้งตามปกติ ถ้าไม่สามารถระงับด้วยเหตุผล ในที่สุดก็จะแปรสภาพเป็นการใช้กำลัง โดยการปฏิวัติจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเกิดความขัดแย้งจนไม่มีทางออกหรือกลไกในการแก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆ ไม่ทำงาน จนคนเห็นว่าไม่มีความหวัง สิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นปัจจัยในการปฏิวัติได้ แต่ถ้ากลไกต่างๆ ยังเดินอยู่ภายใต้กรอบกติกาก็ไม่มีความชอบธรรมในการปฏิวัติ ถ้าปฏิวัติแล้วคนไม่เห็นด้วยก็ไม่มีทางสำเร็จ โดยหลักนี้หมายถึงหลักของการปฏิวัติทั่วโลกไม่เฉพาะเจาะจงแค่เมืองไทย ซึ่งมองว่าสถานการณ์ในเมืองไทยขณะนี้ยังไม่มีเหตุอะไรที่จะเป็นเชื้อให้เกิดการปฏิวัติ เพราะความขัดแย้งขณะนี้ยังมีทางออก

'แน่นอนคนที่คิดอยากจะยึดอำนาจมีอยู่ตลอดเวลา คนที่ไม่เห็นด้วยแล้วอยากจะใช้กำลังมีมาก เพียงแต่ว่าความเป็นไปได้ที่อยากจะใช้กำลังและมีคนเห็นด้วยมันมีมากน้อยแค่ไหน สมมุติว่าตอนนี้มีคนอยากยึดอำนาจ แล้วไปถามส่วนใหญ่เขาจะเห็นด้วยไหม ก็ไม่มี เพราะสถานการณ์ในตอนนี้มันไม่มีปัจจัยที่ทำให้คนเห็นด้วยกับการปฏิวัติ แม้รัฐบาลจะพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญบางมาตราหรือทั้งฉบับเพื่อพวกพ้อง หากยังทำตามกติกาก็ไม่มีเหตุให้เกิดปฏิวัติได้ ถ้าเกิดก็อาจจะเกิดเพราะอุบัติเหตุ แต่โอกาสมีก็น้อย' กิตติศักดิ์ ตอบด้วยเสียงมั่นใจ

อย่างไรก็ตาม ข่าวการปูดเรื่องปฏิวัติในช่วงที่สังคมกำลังเดินไปสู่การพัฒนาของ 'สมัคร' นั้น 'กิตติศักดิ์' วิเคราะห์ว่า เรื่องนี้ยากต่อการชำแหละคำพูดของผู้บริหารประเทศ แต่การที่ ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรคไทยรักไทยออกมาวิพากษ์วิจารณ์แนวคิดนั้นถือเป็นปรากฏการณ์ที่มองได้ว่า คำพูดของโฆษกพรรคเป็นไปตามแนวทางเดียวกับความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ ยิ่งโหรออกมาพูดอีกว่าจะมีเหตุนองเลือดอีก ถามว่าคนเชื่อไหม ก็ยังต้องรอการพิสูจน์ แต่สถานการณ์การเมืองในขณะนี้มันยังไม่เป็นเช่นนั้น แม้น้ำมันจะแพงหรือข้าวแพงก็ยังไม่น่าจะเป็นปัจจัยของความขัดแย้ง เพราะขณะนี้ชาวนายังเชื่อว่าปีหน้าข้าวจะขายได้ราคา ส่วนภาคอุตสาหกรรมก็คิดว่าเขาจะส่งออกทำเงินได้ เท่ากับว่าไม่มีใครสิ้นหวังหรือไร้ทางออก

*เขายังบอกอีกว่า ขณะเดียวแม้จะมีความพยายามเดินเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญของฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลและมีหลายฝ่ายออกมาคัดง้างกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้เป็นสัญญาณว่าบ้านเมืองกำลังจะพัฒนา โดยมองว่าความขัดแย้งทำให้บ้านเมืองพัฒนา เพราะความขัดแย้งไม่ใช่เป็นสิ่งน่ากลัว แต่ความขัดแย้งต้องเกิดภายใต้การไม่ครอบงำองค์กรที่ทำหน้าที่ระงับข้อขัดแย้ง ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้หากทั้งสองฝ่ายนำเสนอเหตุผลที่น่าฟังและจูงใจให้คนรับฟังได้ตามเหตุผล ไม่ใช่การเอาพวกเข้าว่า อย่างนี้บ้านเมืองจะเดินไป ถ้าเป็นอย่างนี้ไม่มีปฏิวัติ แต่ถ้าเมื่อใดใช้อารมณ์และสนับสนุนการใช้อารมณ์ เช่น เหตุการณ์ในรัฐสภาที่มี ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลกระโดดถีบ ส.ส.ฝ่ายค้าน แล้วมีคนสนับสนุนฝ่ายที่กระโดดถีบหรือกล่าวประณามคนที่ถูกกระโดดถีบว่าเป็นคนผิด อย่างนี้น่ากลัว

'เหตุการณ์ในตอนนี้แตกต่างจากเหตุการณ์สมัยของคุณทักษิณ ที่มีการบริหารงานทำให้ประชาชนอึดอัด ดังนั้น จึงไม่แปลกที่ช่วงนั้นข้าราชการระดับสูงจะมาปรึกษาหารือถึงปัญหาบ้านเมือง เพราะการเป็นผู้บรรยายในหลักสูตรเกี่ยวกับการบริหารชั้นสูงย่อมมีนายทหาร ตำรวจ หรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มาปรึกษาข้อกฎหมายตลอดเวลา แต่ตอนนี้การบริหารงานภายใต้รัฐบาล 'สมัคร 1' ยังไม่มีใครอึดอัดต่อการบริหารงานเท่าใดนัก รวมทั้งไม่มีใครมาหารือข้อกฎหมายเพื่อเตรียมการปฏิวัติด้วยหรือถ้ามีคนมาหารือผมก็ไม่เอาด้วยอยู่แล้ว'

ไม่ว่าเหตุแห่งการ 'ปฏิวัติ' จะเกิดขึ้นหรือไม่ สิ่งหนึ่งที่คนร่วมสังคมต้องพึงตระหนัก คือ การร่วมมือแก้ไขปัญหาสังคมอย่างไม่เมินเฉย ถ้าหากปล่อยปละละเลย ก็อาจเป็นปัจจัยผลักสังคมเข้าสู่สภาวะไร้ทางออกจนทำให้ 'กองทัพ' อ้างความชอบธรรมในการล้มกระดานเพื่อแก้ไขปัญหาอีกครั้งได้

หน้า 11


โดย: jenifaae วันที่: 2 พฤษภาคม 2551 เวลา:23:58:48 น.  

 
*12 พื้นที่ สร้างรัฐสภาไทย ใจกลางกรุง

ดร.โสภณ พรโชคชัย

เห็นประเทศไทยเราจะย้ายรัฐสภาแต่ก็คิดมาหลายตลบว่าจะย้ายไปไหนดี บ้างก็เสนอพื้นที่ราชการทหารแถวเกียกกาย เขตดุสิต บ้างก็เสนอไปไกลถึงเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ภาคเอกชนก็เสนอตัวมากมายทั้งแถวเมืองทองธานี วิภาวดีรังสิต บางนา-ตราด และที่อื่น ๆ แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนว่าจะย้ายไปไหนแน่ ตอนสร้างรัฐสภาปัจจุบันแทนพระที่นั่งอนันตสมาคม ก็ไม่เห็นยากเย็นเช่นทุกวันนี้

ทำเหมือนรัฐสภาของเรากลายเป็น ‘เจ้าไม่มีศาล’ ไปได้ เราควรเห็นรัฐสภาเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นการใช้อำนาจของประชาชนเจ้าของประเทศผ่านผู้แทนของตนเอง รัฐสภาไม่ใช่สนามบินที่จะออกไปตั้งอยู่นอกกรุงได้ ผมเห็นว่ารัฐสภาต้องตั้งในเขตกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะใจกลางเมืองเท่านั้น เพื่อสะท้อนศักดิ์ศรีของชาติและประชาชน

ความจริงรัฐสภาตั้งอยู่ในที่เดิมก็ยังได้ ไม่จำเป็นต้องย้าย รัฐสภาของประเทศมหาอำนาจก็ยังไม่ได้มีขนาดใหญ่โตอะไรนักหนา ที่ตั้งปัจจุบันของรัฐสภาไทยตามที่ผมประมาณการคร่าว ๆ ก็มีขนาด 22 ไร่ ดังนั้นถ้าแต่เดิมไม่ได้สร้างเผื่อขยายอะไรมากนัก ก็อาจสร้างใหม่ จะได้มีห้องหับเพิ่มเติม เช่น ห้องทำงานของสมาชิกรัฐสภา ห้องรับรอง ห้องประชุมย่อย ห้องสัมมนาหรือสิ่งจำเป็นอื่น

ข้อพึงพิจารณาประการหนึ่งคือ ข้อจำกัดตามกฎหมายในการก่อสร้างอาคารในพื้นที่บริเวณนี้ ซึ่งอย่างไรก็ตาม อาคารที่เป็นอาคารของทางราชการโดยเฉพาะรัฐสภาก็อาจมีข้อยกเว้น ไม่ขัดกับข้อกฎหมาย ยิ่งกว่านั้น ในการก่อสร้างจริงยังอาจจะทำชั้นใต้ดินเพื่อเพิ่มขนาดพื้นที่ก่อสร้าง หรือจำเป็นจริง ๆ ก็อาจแก้กฎหมายให้สามารถก่อสร้างอาคารรัฐสภาใหม่ที่สะท้อนศักดิ์ศรีของประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตย

แต่ถ้าจะหาที่อื่นมาสร้างเป็นรัฐสภา ผมขอเสนอที่ดินใจกลางเมืองที่มีอยู่นับสิบแปลงมาให้พิจารณา และจากที่รัฐสภาปัจจุบันมีขนาด 22 ไร่ ผมว่าที่ตั้งใหม่ก็ควรมีขนาดไม่เกิน 50 ไร่ เพื่อไม่ให้ฟุ่มเฟือยโดยใช่เหตุ และการที่ผู้แทนของปวงชนทำตัวติดดิน ยิ่งดำรงความทรงเกียรติให้เป็นที่น่าเคารพยิ่งขึ้นเสียอีก อย่างไรก็ตามที่ดินที่ผมขอเสนอ คงมีขนาดนับร้อยไร่ขึ้นไป ดังนี้:


บริเวณที่ 1 ที่ดินกรมทหารเขตดุสิต ซึ่งมีพื้นที่กว้างขวางหลายพันไร่ ทางราชการก็เคยศึกษาให้ก่อสร้างรัฐสภาแถวนี้ อันที่จริงพื้นที่เขตทหาร ควรย้ายออกไปนอกเมืองเช่นประเทศอื่น แล้วจัดหาที่ตั้งใหม่และที่อยู่ใหม่ให้สมเกียรติ นำที่ดินใจกลางเมืองเหล่านี้มาพัฒนาให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติยิ่งขึ้น

บริเวณที่ 2 พื้นที่กรมทหารจากช่อง 5 ฝั่งพหลโยธินถึงสโมสรกองทัพบกฝั่งวิภาวดีฯ พื้นที่นี้มีขนาดเกือบ 1,000 ไร่ ถ้าเอารถไฟฟ้าเลี้ยวเข้ามาเป็นแบบรางเบาเช่นในสิงคโปร์ และเอาทางด่วนเลี้ยวเข้ามาจะสมบูรณ์แบบมาก สามารถกลายเป็นศูนย์ราชการหรือศูนย์ธุรกิจแห่งใหม่ได้ ถ้าไม่เอารัฐสภามาตั้งที่นี่ จะสามารถวางตึกธนาคารกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ได้ถึง 70-80 ตึกเลยทีเดียว

บริเวณที่ 3 พื้นที่กรมทหาร ถ.โยธี พญาไท ซึ่งเป็นที่ดินขนาดใหญ่ ใจกลางเมือง มีทั้งทางด่วนและรถไฟฟ้าผ่านเช่นกัน อีกทั้งอยู่ใกล้อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิที่สร้างขึ้นเพื่อเทิดทูนวีรบุรุษชาติอีกต่างหาก

บริเวณที่ 4 และ 5 สนามม้าทั้งสองแห่งในกรุงเทพมหานคร ข้อนี้อาจได้รับการสนับสนุนจาก ‘ผู้มีศีลธรรม’ ทั้งหลายมากเป็นพิเศษ เพราะเรามักไม่อยากเห็นตำตากับการพนันที่มีอยู่จริงในสายเลือด ดังนั้นจึงควรจะจัดหาพื้นที่ทำสนามม้าเสียใหม่นอกเมือง แล้วยกที่ดินบางส่วนมาสร้างรัฐสภาอันเป็นสถาบันสำคัญของประเทศ

บริเวณที่ 6 โรงซ่อมรถไฟ บึงมักกะสันของการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งมีทั้งทางด่วนและรถไฟฟ้าผ่านเช่นกัน เวลาท่านผู้ทรงเกียรติมาประชุม ก็อาจมาโดยรถไฟฟ้าได้ จะได้ไม่ทำให้การจราจรติดขัดอีกต่างหาก

บริเวณที่ 7 โรงงานยาสูบ ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นส่วนขยายของศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ อีกส่วนหนึ่งก็ควรนำมาทำเป็นรัฐสภา น่าจะประสานกันได้ด้วยดี ทั้งยังมีสาธารณูปโภคครบครัน

บริเวณที่ 8-9-10-11 เป็นพื้นที่ริมแม่น้ำให้ดูมีความเป็นไทย ๆ ได้แก่ ที่ดินคลังน้ำมันคาลเท็กซ์ ถ.พระราม 3 ที่ดินการรถไฟฯ ถ.เชื้อเพลิง ท่าเรือคลองเตยที่อาจจะย้ายไปแหลมฉบัง หรือที่ตั้งขององค์การแบตเตอรี่ผนวกกับองค์การแก้วเดิม

บริเวณที่ 12 บ้านพักทูตถนนวิทยุ ซึ่งทางราชการให้เช่ากับทูตต่างประเทศมานานแล้วในราคาถูก พื้นที่เช่นนี้ควรนำมาใช้ประโยชน์เพื่อประเทศชาติโดยรวมได้เป็นอย่างดี

ความจริงยังอาจมีพื้นที่อื่นอีก แต่โดยที่ผมไม่ได้สำรวจอะไรเป็นพิเศษ เพียงต้องการนำเสนอแนวคิดการพัฒนาเมืองและรัฐสภาให้เหมาะสม จึงนำเสนอได้เพียงเท่านี้ และในรายละเอียดอาจต้องพิจารณาให้รอบคอบ โดยเฉพาะการจ่ายค่าทดแทนและการจัดหาพื้นที่ทดแทนให้ใหม่แก่ผู้ครอบครองเดิมอย่างสมเกียรติและเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย

อย่าลืมนะครับ รัฐสภาคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และทรงเกียรติของชาติและประชาชน ส่วนการที่เราอาจพบข้าราชการการเมืองหรือข้าราชการประจำบางคนที่โกงกินชาติบ้านเมืองนั้น ถือเป็นเพียงส่วนน้อย อย่าได้นำมาทำให้รัฐสภาของปวงชนต้องแปดเปื้อนจนไม่ใส่ใจหาที่ลงให้สำเร็จ เราต้องหาที่ตั้งรัฐสภาที่ดีเพื่อศักดิ์ศรีของชาติและจะได้เป็นมงคลต่อชีวิตของผู้เกี่ยวข้องด้วย

--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 16/4/2551


โดย: jenifaae วันที่: 2 พฤษภาคม 2551 เวลา:23:59:02 น.  

 
*ข้อเสนอ จากมิตร ทั้ง ประสิทธิ์ ปิยาวัฒนาพานิช และ วิษณุ เครืองาม
//www.matichon.co.th/ วันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10994

คอลัมน์ วิภาคแห่งวิพากษ์

ข้เสนอจาก นายวิษณุ เครืองาม และ นายประสิทธิ์ ปิยาวัฒนพานิช เกี่ยวกับกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ควรที่พรรคพลังประชาชนจะล้างหูน้อมรับฟังอย่างมีโยนิโสมนสิการ

รายละเอียดจาก นายวิษณุ เครืองาม ต่างจาก น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ

รายละเอียดจาก นายประสิทธิ์ ปิยาวัฒนพานิช ต่างจาก นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ แม้ว่าจะมาจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เช่นเดียวกัน

ปมเงื่อนอยู่ตรงที่ 'วิษณุ-ประสิทธิ์' เห็นชอบที่จะมีการแก้ไข

ปมเงื่อนอยู่ตรงที่ 'ประสงค์-สมคิด' ไม่เห็นชอบที่จะให้มีการแก้ไข

กระนั้น กระบวนการที่จะนำไปสู่การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจากทั้ง นายวิษณุ เครืองาม และ นายประสิทธิ์ ปิยาวัฒนพานิช ก็มีหลายประเด็นที่ไม่สอดรับกับสิ่งที่ภายในพรรคพลังประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ คิดและจะลงมือกระทำ

น่าสนใจก็ตรงที่แนวคิดในการแก้ไขเพิ่มเติมของ นายวิษณุ เครืองาม มิได้คิดเฉพาะหน้า หากแต่มองไปไกลเป็นอย่างยิ่ง เช่นเดียวกับ แนวคิดของ นายประสิทธิ์ ปิยาวัฒนพานิช ก็เป็นสิ่งที่รับรองความชอบธรรมอย่างเพียงพอกับรากที่มาของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550

ที่สำคัญอย่างที่สุด 2 คนนี้ต้องการเห็นจิตวิญญาณประชาธิปไตยเกิดขึ้นและดำรงอยู่ภายในรัฐธรรมนูญซึ่งจะมีการแก้ไขในอนาคต

แนวทางที่ นายวิษณุ เครืองาม เสนอขึ้นมาหลุดพ้นและดำรงอยู่เหนือความต้องการที่จะแก้แค้นหรือลงโทษอย่างสิ้นเชิง

1 เขาเห็นว่าต้องแก้ให้เป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น

1 เขาเห็นว่าต้องเน้นความชัดเจนเพราะมีความเคลือบคลุมอยู่มาก

1 เขาเห็นว่าต้องแก้ไขให้มีความทันสมัยขึ้น

หากมองจากพื้นฐานแห่งจิตวิญญาณประชาธิปไตยอารยะ มิใช่จิตวิญญาณแห่งความชิงชังและแฝงความคิดอาฆาตแค้น ต้องยอมรับว่าข้อเสนอของ นายวิษณุ เครืองาม สมควรต้องสนับสนุนให้กำลังใจ

เพราะภายในข้อเสนอของเขาก็เท่ากับเป็นการยอมรับว่า รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มีปัญหาและมีความจำเป็นต้องแก้ไข

เพราะว่ารากฐานที่มาของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มีปัญหาอยู่ในตัวเองเป็นอย่างมาก

ตรงนี้เองที่เมื่อเสริมเข้ากับข้อเสนอของ นายประสิทธิ์ ปิยาวัฒนพานิช จะทำให้กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญมีความหนักแน่นและสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นเป็นทบเท่าทวีคูณ

นั่นก็คือ ข้อเสนอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ภายใต้โครงสร้างของสภาร่างรัฐธรรมนูญ

เป็นสภาร่างรัฐธรรมนูญอันเป็นพื้นฐานรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 เป็นหลัก

ไม่ใช่สภาร่างรัฐธรรมนูญอันเป็นพื้นฐานรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2492 ไม่ใช่สภาร่างรัฐธรรมนูญอันเป็นพื้นฐานรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2511 และไม่ใช่สภาร่างรัฐธรรมนูญอันเป็นพื้นฐานรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550

เพราะสภาร่างรัฐธรรมนูญอันเป็นพื้นฐานรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 มาจากการเลือกตั้งประชาชน

เพราะสภาร่างรัฐธรรมนูญอันเป็นพื้นฐานรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2492 มาจากการรัฐประหารเดือนพฤศจิกายน 2490 เพราะสภาร่างรัฐธรรมนูญอันเป็นพื้นฐานรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2511 มาจากการรัฐประหารเดือนตุลาคม 2501

เช่นเดียวกับ สภาร่างรัฐธรรมนูญอันเป็นพื้นฐานรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาจากการรัฐประหารเดือนกันยายน 2549

ข้อเสนอของ นายประสิทธิ์ ปิยาวัฒนพานิช จึงต้องการสร้างความแตกต่าง

อย่างน้อยก็ทำให้รากฐานที่มาของสภาร่างรัฐธรรมนูญมีประชาชนรองรับ ให้ต่างไปจากรากฐานที่มาของสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มีคณะรัฐประหารรองรับ

ข้อเสนอของ นายวิษณุ เครืองาม และ นายประสิทธิ์ ปิยาวัฒนพานิช เป็นข้อเสนอจากมิตร

เป็นมิตรที่ต้องการเห็นรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มีการแก้ไขเพิ่มเติม เป็นมิตรที่ต้องการเห็นกระบวนการแก้ไขทำให้เกิดความสมบูรณ์ในจิตวิญญาณแห่งระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

ข้อเสนอจากผู้เป็นมิตรเช่นนี้สมควรที่พรรคพลังประชาชนจักต้องน้อมหูรับฟังด้วยความเคารพ

หน้า 3


โดย: jenifaae วันที่: 2 พฤษภาคม 2551 เวลา:23:59:16 น.  

 
* “ธิเบต หนทางสู่อิสรภาพและสันติ ด้วยนโยบายทางสายกลาง”

เวทีเสวนา จีน – ธิเบต ครั้งที่ 2 - 'ธิเบต หนทางสู่อิสรภาพและสันติ ด้วยนโยบายทางสายกลาง'
โดย : องค์กรร่วมจัด

วันเสาร์ที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๑ เวลา ๑๓.๐๐ – ๑๖.๓๐ น.
ณ ห้องประชุม ๑๐๑ ตึกคณะเศรษฐศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์)


*“ธิเบต หนทางสู่อิสรภาพและสันติ ด้วยนโยบายทางสายกลาง”

ความวุ่นวายและการจราจลที่เกิดขึ้นในธิเบต มีเหตุมาจากการต้องการล้มเลิกการจัดโอลิมปิคของจีนจริงหรือไม่ ทำไมชนชาติที่มีคนบวชเป็นพระภิกษุ ไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรที่เป็นผู้ชาย และผู้คนใช้ชีวิตแนบแน่นกับพระพุทธศาสนา จึงลุกขึ้นมาก่อจราจล ร่วมสร้างความเข้าใจกันได้ใน

กำหนดการ

๑๓.๐๐ –๑๓.๓๐ น. ลงทะเบียนและชมนิทรรศการ “วิถีแห่งธิเบต”
๑๓.๓๐ -๑๔.๐๐ น. ฉายภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับธิเบต
๑๔.๐๐ – ๑๖.๓๐ น. เสวนา “ธิเบต หนทางสู่อิสรภาพและสันติ ด้วยนโยบายทางสายกลาง”

วิทยากร
สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ม.ร.ว. นริศรา จักรพงษ์
สมชาย หอมละออ วรศักดิ์ มหัทธโนบล

พร้อมชมนิทรรศการและหนังสือที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมธิเบต และพุทธศาสนานิกายวัชรยาน

องค์กรร่วมจัด : เครือข่ายพุทธิกา สำนักพิมพ์สวนเงินมีมา โครงการสตรีและเยาวชนศึกษามหาวิทยลัยธรรมศาสตร์ มูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป อาศรมวงศ์สนิท INEB (International Network for Engaged Buddhists) เสมสิกขาลัย

สำรองที่นั่งเข้าร่วมกิจกรรมฟรี :
เครือข่ายพุทธิกา โทรฯ ๐๒-๘๘๖๙๘๘๑, ๐๒-๘๘๓๐๕๙๒
E-mail: b_netmail@yahoo.com
สนพ.สวนเงินมีมา
โทรฯ ๐๒-๒๒๒๕๖๙๘ ๐๒-๖๒๒๐๙๕๕ ๐๒-๖๒๒๐๙๖๖
E-mail: publishers@suan-spirit.comเว็บไซต์: //www.suan-spirit.com





*เว็บไซต์ OpenCARE เครือข่ายเตือนภัยและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อรับมือกับภัยพิบัติพร้อมเปิดให้บริการ

ข่าวประชาสัมพันธ์


เว็บไซต์ OpenCARE เครือข่ายเตือนภัยและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อรับมือกับภัยพิบัติพร้อมเปิดให้บริการ


เปิดตัวเว็บไซต์ //wwwcare.org/ เครือข่ายเตือนภัยและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อให้เป็นเครื่องมือสำหรับความช่วยเหลือด้านภัยพิบัติและเหตุฉุกเฉินในกรณีต่างๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน อาสาสมัครและหน่วยงานต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ โดยมุ่งหวังให้เป็นเครือข่ายเตือนภัยและประสานงานช่วยเหลือในระดับโลกโดยไม่แสวงหาผลกำไร โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนทุนการพัฒนาและวิจัยจาก NECTEC ที่มุ่งหวังจะพัฒนาให้ทำงานเพื่อความปลอดภัยแก่ประชาชนในทุกภูมิภาคทั่วโลกในเร็ววันนี้


จากงานเปิดตัวโครงการ OpenCARE (Open Exchange for Collaborative Activities in
Response to Emergencies) เครือข่ายเตือนภัยและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเพื่อการจัดการภัยพิบัติอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2550 ที่ผ่านมา ในขณะนี้มีความคืบหน้าในโครงการโดยเปิดตัวเว็บไซต์ //wwwcare.org/ เพื่อเป็นช่องทางในการประชาสัมพันธ์และกระจายข่าวสารความเคลื่อนไหวของโครงการในวงกว้างและให้เกิดการประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน


โดยภายในเว็บไซต์ยังเปิดโอกาสให้หน่วยงานต่างๆ หรือประชาชนทั่วไปที่ต้องการทำหน้าที่เป็นอาสาสมัครสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้โดยต้องการกลุ่มผู้ที่มีคุณสมบัติและประสบการณ์ในกลุ่มต่างๆ เช่น



- ผู้มีความรู้ด้านการสื่อสารทางวิทยุสื่อสารทั้งภาคเอกชนและหน่วยราชการ

- ผู้ที่เป็นนักวิทยุสมัครเล่นทั้งขั้นต้นขั้นกลางหรือขั้นสูง

- ผู้ที่มีความใกล้ชิดกับชุมชนที่เสี่ยงต่อการเกิดภัยพิบัติต่างๆ

- ผู้ความรู้ในการพัฒนาโปรแกรม

- ผู้ที่มีความสามารถด้านงานออกแบบกราฟฟิค

- ผู้ที่มีความสามารถด้านการเขียนข่าว หรือรายงานข่าวต่างๆ

- ผู้ที่มีความรู้ด้านภาษาอังกฤษและภาษาต่างประเทศอื่นๆ

- ผู้ที่มีความรู้ด้านการจัดการงานมูลนิธิและองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร

โดยจะมีการรวบรวมอาสาสมัครดังกล่าวเพื่อทำงานร่วมกันในการพัฒนาโครงการ
ให้เป็นไปตามเป้าหมาย


โครงการ OpenCARE เป็นการทำงานแบบไม่แสวงหาผลกำไรและมีวัตถุประสงค์เพื่อ
ความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก โครงการนี้มีจุดเริ่มต้นจากเหตุการณ์ภัยพิบัติสึนามิเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 อันเป็นผลให้เกิดการเสียชีวิตกว่าสองแสนคนในพื้นที่ 13 ประเทศ
แถบมหาสมุทรอินเดีย รวมทั้ง 6 จังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามันในภาคใต้ของประเทศไทย
ความสูญเสียนี้เกิดขึ้นจากที่ขาดการแจ้งเตือนล่วงหน้า ขาดการประสานงานและการสื่อสารระหว่างส่วนต่างๆที่เหมาะสมจึงเป็นที่มาของความคิดและเป้าหมายให้ OpenCARE เป็นโครงข่ายอิเล็คทรอนิคส์เพื่อการเตือนภัยและรองรับการเชื่อมต่อข้อมูลประสานงานเพื่อจัดการกับภัยพิบัติโดยหน่วยงานต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศและระดับประชาชนโดยได้รับการสนับสนุนทุน
การพัฒนาและวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาให้เป็นเครือข่ายเพื่อจัดการกับภัยพิบัติแก่ประชาชนทั่วโลกในอนาคต



****************************************

ข่าวประชาสัมพันธ์ในนาม : บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน)

รายละเอียดเพิ่มเติม : กาญจนา ฟุ้งมาก (kanjanaf@inet..co.th) โทร. 0-2257-7032

วันที่ : 25 กุมภาพันธ์ 2551


โดย: jenifaae วันที่: 2 พฤษภาคม 2551 เวลา:23:59:40 น.  

 
* ขอเชิญฟังสัมมนาวิชาการ เรื่อง ' Supporting co-evolution of Web based Information Systems using Meta–Design Paradigm'

วิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขอเชิญฟังสัมมนาวิชาการ เรื่อง ' Supporting co-evolution of Web based Information Systems using Meta–Design Paradigm'
วิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดสัมมนาเรื่อง ' Supporting co-evolution of Web based Information Systems using Meta–Design Paradigm'บรรยายโดย Prof.Athula Ginige จาก School of Computing and Information Technology University of Western Sydney. ในวันอังคารที่ 29 เมษายน 2551 เวลา 18.30-20.00 น. ณ ห้องบรรยาย C4 ชั้น 5 อาคารหอสมุดเดิม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
วิทยาลัยนวัตกรรม จึงขอเชิญชวนผู้ที่สนใจฟังการสัมมนาดังกล่าว และสำรองที่นั่งได้ที่ 0-2623-5055 – 8 ต่อ 4132 หรือ //www.cie.tu.ac.th




* สัมมนาเปิดโลกการตลาดแบบตรง (Direct Marketing)

สัมมนาเปิดโลกการตลาดแบบตรง (Direct Marketing) กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ร่วมกับศูนย์วิจัยพฤติกรรมผู้บริโภค มหาวิทยาลัยศรีปทุม จัดสัมมนาเปิดโลกการตลาดแบบตรง (Direct Marketing) ในวันอังคารที่ 29 เมษายน 2551 เวลา 8.30 -12.00 น. ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 7 อาคารกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ สนามบินน้ำ อ.เมือง จ.นนทบุรี ท่านจะได้รับรู้ว่า การตลาดแบบตรง (ซึ่งไม่ใช่การขายตรง) เป็นระบบการตลาดที่มีประสิทธิภาพและเข้าใจง่าย สามารถช่วยท่านสร้างลูกค้าใหม่ รักษาฐานลูกค้าเก่า ใช้ต้นทุนดำเนินการน้อย ที่สำคัญสามารถวัดผลสำเร็จของกิจกรรมการตลาดได้อย่างเป็นรูปธรรม เหมาะกับธุรกิจหลากหลายประเภท สนใจเข้าร่วมการสัมมนา โปรดติดต่อเพื่อสำรองที่นั่งได้ที่ โทรศัพท์ 02 547 5950 (รับจำนวนจำกัดเพียง 50 ท่าน ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ) โดยทุกท่านที่ร่วมการสัมมนาจะได้รับคู่มือการตลาดแบบตรง (หนึ่งเดียวในประเทศไทย) พร้อมโอกาสในการเป็น 1 ใน 5 กิจการ ที่จะได้รับการส่งเสริมพัฒนาระบบการตลาดแบบตรง (ออกแบบเฉพาะสำหรับธุรกิจของท่าน พร้อมการทำกิจกรรมการตลาดแบบตรงจริงๆ) โดยที่ปรึกษาธุรกิจมืออาชีพ ฟรี!!!!




*ร่วมเดินสร้างเสริมสุขภาพ 120 รอบ 120 ปี ศิริราช

งานสร้างเสริมสุขภาพ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ขอเชิญชาวศิริราชและประชาชนทั่วไปร่วมเดินสร้างเสริมสุขภาพ 120 รอบ 120 ปี ศิริราช ระหว่างวันที่ 17 – 25 เมษายน 2551 เวลา 06.30 – 08.30 น., 16.00 – 18.00 น. และวันหยุดราชการ เวลา 08.30 - 16.30 น. โดยมี .คลินิก นพ. ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เป็นประธานพิธีเปิด ในวันที่ 17 เม.ย. 2551 เวลา 07.00 น.

ณ ศาลาศิริราช 100 ปี

กติกา

1. ลงทะเบียนรับบัตร ที่ ศาลาศิริราช ๑๐๐ ปี

2. เดินตามทางเดิน Cover way รอบพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม

พระบรมราชชนก (จุด Start และ จุด Finish อยู่ที่ศาลาศิริราช ๑๐๐ ปี)

3. ในวันเดิน (17 – 25 เม.ย.51 เวลา 06.30 – 08.30 น. และ 16.00 – 18.00 น.)

นำบัตรมา Stamp รอบ ที่ ศาลาศิริราช ๑๐๐ ปี เมื่อเดินครบทุก 1 รอบ

4. เดินครบ 120 รอบ ได้รับของที่ระลึก 120 ปี ศิริราช

* (เฉพาะวันที่ 24 เม.ย.51 เวลา 16.00 – 18.00 น. และวันที่ 25 เม.ย. 51 ย้ายไปรับการ Stamp รอบ ที่บริเวณหน้าศิริราชมูลนิธิ)

หมายเหตุ : ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ งานสร้างเสริมสุขภาพ ตึกผู้ป่วยนอกเก่า ชั้น 1 โทร. 02 419 9980 0 2419 9983-4 ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

งานสร้างเสริมสุขภาพ
12/4/2551 - 25/4/2551


โดย: jenifaae วันที่: 2 พฤษภาคม 2551 เวลา:23:59:57 น.  

 
*จินตภาพสังคมไทยและพรรคการเมืองของประชาชน

โดย : เมธา มาสขาว

28 มีนาคม 2551, เกษียร เตชะพีระ เขียนบทความลงมติชนรายวัน เรื่อง 'แนวโน้มสถานการณ์ในอนาคต : ระบอบ' จินตภาพสังคมการเมืองไทยในปัจจุบันน่าสนใจว่า สถานการณ์การเมืองไทยจะยังอึมครึมและยืดเยื้อคัดง้างค้างคาเช่นนี้ต่อไปอีกนาน ตราบเท่าที่เงื่อนไขพื้นฐานและคู่ขัดแย้งหลักยังไม่เปลี่ยนแปลงพลิกผันไปทางใดทางหนึ่ง นั่นก็คือ

ความขัดแย้งของระบอบการเมืองการปกครองไทยระหว่าง ประชาธิปไตยแบบไม่เสรี vs เสรีประชาธิปไตยครึ่งใบ

ประชาธิปไตยไม่เสรีหรือประชาธิปไตยอำนาจนิยม ก็คือฐานะของการเมืองไทยที่ถูกผูกขาดครอบครองโดยชนชั้นนำทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมไทยในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (Constitution Monarchy) โดยผ่านนักเลือกตั้ง และเจ้าพ่อท้องถิ่นในการสร้างเครือข่ายธุรกิจการเมืองและอิทธิพล เกษียรเห็นว่ารูปของทิศทางนี้ใช้ 'ระบอบเลือกตั้งธิปไตย' บัญญัติอำนาจเบ็ดเสร็จ ผ่านการเลือกตั้งและพรรคการเมืองโดดๆ ด้านเดียว ทว่ากลับละเลยหรือล่วงละเมิดหลักสิทธิเสรีภาพและหลักนิติธรรมไปเสีย ซึ่งเป็นเนื้อหาสำคัญของระบอบประชาธิปไตยด้วยเช่นกัน

เสรีประชาธิปไตยครึ่งใบ ก็คือ การให้อำนาจพลังข้าราชการในระบบอำนาจ 3 ฝ่าย คือ ตุลาการ นิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร ทับซ้อนกันโดยไม่สัมพันธ์เชื่อมโยงฐานที่มาของอำนาจนั้นกับประชาชนตามหลักการของประชาธิปไตย ซึ่งย่อมขัดกับหลักสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง เพื่อให้พลังระบบราชการ คัดง้าง ต่อรอง ถ่วงดุลย์ ทางอำนาจ กับฝ่ายทุนนิยมโลกาภิวัตน์ ดังสมัยพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี จนกระทั่งปัจจุบันภายใต้การออกแบบรัฐธรรมนูญฉบับประชามติ พ.ศ.2550 ที่กลไกอธิปไตยของประชาชนทับซ้อนกันโดยการขยายบทบาทอำนาจตรวจสอบถ่วงดุลของบรรดาสถาบันที่ไม่ได้มาจากเสียงข้างมาก หรือเชื่อมโยงกับประชาชน

ที่ผมยกมานี้เพราะเป็นเรื่องที่เราจำเป็นต้องวิเคราะห์ที่อยู่-ที่ยืนของเรา มีบ้างบางคนอาจตั้งคำถามว่า ทำไมเราไม่มีพื้นที่ของอุดมการณ์ทางเลือกที่ 3 ของฝ่ายภาคประชาชน เป็น ประชาธิปไตยแบบสังคมนิยม หรือทางเลือกอื่นใดก็ตามที่มากกว่านั้น

จินตภาพสังคมไทย

หากเราจะตั้งคำถามว่า สถานการณ์ทางการเมืองไทยในขณะนี้ มันได้โอบล้อมเราไว้ในห้วงชะตากรรมอันใดในอนาคตบ้าง ในความเห็นของผมแล้ว หากเราจะจินตภาพถึงสังคมไทยได้อย่างชัดเจน ต้องวิเคราะห์ความขัดแย้งทางโครงสร้าง มากกว่าดูกระแสการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของชนชั้นนำที่ไม่แน่นอน ดังการปฏิวัติ ลับ-ลวง-พราง ตลอด 505 วันที่ผ่านมา ไม่ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างทางสังคมแต่อย่างใด เพราะการปฏิวัติที่ไม่สูญเสียเลือดเนื้ออาจคือการประนีประนอมกันของชนชั้นนำก็ได้ ขณะที่พลังภาคประชาชนคนชั้นล่างยังไม่มีความเข้มแข็งในการจัดตั้ง ไม่มีพรรคการเมือง ไม่มีพื้นที่ทางอุดมการณ์ของตนเองชัดเจน นอกจากการถูกแย่งชิงพื้นที่ทางความคิดในห้วงยามความขัดแย้งของชนชั้นนำ หรือการถูกบังคับให้เลือกในสถานการณ์วิกฤติการณ์ทางการเมือง

* ขณะที่โครงสร้างทางอำนาจยังเป็นของชนชั้นนำ ของนักการเมืองอาชีพที่หากินทางอำนาจกับนายทุน หรือกระทั่งเป็นคนๆ เดียวกัน ซึ่งทำให้โครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ผ่านมา ถูกผูกขาดความมั่งคั่งโดยชนชั้นนำ ดังปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมเป็นที่ประจักษ์ ช่องว่างคนจน-คนรวยถ่างกว้างเป็นอันดับต้นๆ ของโลกเพราะปัญหาการกระจายรายได้ไม่เป็นธรรม หนำซ้ำยังไม่มีโครงสร้างการเก็บภาษีทรัพย์สินคืนแก่รัฐที่เป็นธรรมในอัตราก้าวหน้าอีกด้วย แน่นอน ทั้งหมดนี้เพราะชนชั้นนำทางการเมืองไทย บริหารประเทศ, ออกกฎหมาย, กำหนดนโยบาย เพื่อผลประโยชน์ทางชนชั้นของพวกเขา จนเกิด เศรษฐกิจ-ผูกขาดโดยชนชั้นนำ, สังคม-อุปถัมป์และอภิสิทธิ์แบบอำนาจนิยม, วัฒนธรรม-บริโภคทุนนิยมและความแปลกแยกทางชนชั้น และนี่คือจินตภาพของโครงสร้างสังคมไทยที่เป็น 'ระบอบทุนนิยมประชาธิปไตยแบบไม่เสรี' ที่ถูกรุกคืบโดยทุนผูกขาดทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง ในความเห็นของผม

ดังนั้น ความขัดแย้ง-ความรุนแรงทางสังคม นอกจากในรูปของการเอาเปรียบแรงงาน เรามักพบเห็นได้ทั่วไปในรูปของกลุ่มนายทุนผนวกรัฐ กระทำการ รังแก ละเมิด เบียดเบียน แย่งชิงผลประโยชน์ของชุมชน สังคม ในรูปแบบของสงครามการแย่งชิงทรัพยากร ผ่านโครงการและนโยบายสำคัญๆ ของรัฐบาลนายทุนเสมอมา

ทั้งหมดนั้น เพราะชนชั้นล่างทางสังคมไทย ผู้ด้อยโอกาส กรรมกร เกษตรกร ชาวนา ชาวไร่ คนจนเมือง ไม่เคย เข้าไปสู่อำนาจรัฐเพื่อจัดการผลประโยชน์ของตนเอง (มีบ้างที่เข้าไปในอำนาจรัฐส่วนปกครองท้องถิ่น แต่ก็กลายเป็นฐานของเครือข่ายอุปถัมป์ของกลุ่มทุนนักการเมือง) ไม่ผิดที่เราจึงตกเป็นผู้ตั้งรับเสมอมา

เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น เหตุใดความพยายามของชนชั้นล่างในการเข้าสู่อำนาจรัฐจึงไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะในการต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย หรือพรรคของฝ่ายประชาชนที่ผ่านมา

ปัญหาสำคัญก็คือ การสถาปนาอำนาจรัฐกึ่งถาวรของชนชั้นนำที่ผ่านมานั้นทำให้ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบ 'ประชาธิปไตย' ที่ 'ไม่จริง' นะครับในปัจจุบัน ในโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมจึงไม่เป็นประชาธิปไตยด้วย ต่างประเทศเขาเรียกเราว่า ปกครองระบบ 'Constitution Monarchy' 75 ปีที่ผ่านมาจึงค่อนข้างโน้มเอียงไปทางลัทธิรัฐธรรมนูญนิยม ด้วยการจัดวางความสัมพันธ์ทางอำนาจของชนชั้นนำเชิงกลไก มากกว่า 'ประชาธิปไตย' เชิงเนื้อหาของประชาชนที่แท้จริง ทั้งนี้คำว่า 'ประชาธิปตัย' ในประเทศไทยเอง ในสมัยรัชกาลที่ 7 ก็มีความหมายถึง 'Republic' นะครับ ถ้าไปดูเอกสารเก่าๆ ไม่ใช่ประชาธิปไตยในความหมายปัจจุบันซึ่งถูกบิดเบือน

ซึ่งภายใต้โครงสร้างอำนาจแบบนี้ ทุนนิยมประชาธิปไตยแบบไม่เสรี หรือ เสรีประชาธิปไตยครึ่งใบ ก็ตาม ต่างก็เติบโตได้ดี โดยการแย่งชิงพื้นที่ระบบอุปถัมป์นิยมเพื่อยึดโยงอำนาจของตนเอง แต่พลังภาคประชาชนไม่สามารถเติบโตได้ เนื่องเพราะไม่สามารถเป็นอิสระจากรัฐและทุนได้อย่างแท้จริงภายใต้โครงสร้างนี้

ซึ่งนั่นรวมถึง อุดมการณ์ทางการเมืองทางเลือกสายธารความคิดสังคมนิยม จึงไม่มีพื้นที่อยู่ในสังคมด้วยเช่นกัน ประเทศไทยจะเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไรในเมื่อสังคมไม่อนุญาตให้อุดมการณ์ทางการเมืองนอกจาก 'ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข' มีพื้นที่ทางสังคมได้

สังคมประชาธิปไตยน่าจะหมายถึง สังคมที่อนุญาตให้พลเมืองมีที่อยู่ทางความคิดหรืออุดมการณ์ทางการเมืองที่เห็นต่างได้ ประชาชนสามารถเลือกจุดยืนทางสังคมและอุดมการณ์ทางการเมืองของตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดใด สังคมนิยม ทุนนิยม เสรีนิยม คอมมิวนิสต์ ราชานิยมหรือศาสนานิยมก็ตาม เพราะประชาธิปไตยที่แท้จริงแล้ว ก็คือ การที่อุดมการณ์ทางการเมืองของพลเมือง สามารถมีที่อยู่-ที่ยืน มีพื้นที่ของตนเองอยู่ในสังคมได้นั่นเอง..

*พรรคการเมืองของประชาชน

ดังนั้น ด้วยโครงสร้างทางสังคมแบบนี้ พรรคการเมืองในประเทศไทยในขณะนี้จึงมีเพียงพรรคเดียว (ไม่นับรวมพรรคเล็กในกระแสรองที่เพิ่งตั้งใหม่ เช่น พรรคศิลปิน พรรคสังคมธิปไตย พรรคเครือข่ายชาวนาฯ) คือพรรคของนายทุนและชนชั้นนำทางสังคมที่ผูกขาดอำนาจรัฐ ซึ่งมีแนวความคิดทางเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเกือบทั้งหมด มีอุดมการณ์ทางการเมืองแบบเสรีนิยมประชาธิปไตย (Liberal Democracy) แต่ก็ผสมลักษณะอนุรักษ์นิยม (Conservative) ทางวัฒนธรรมการเมืองด้วยตามลักษณะสังคมไทย บนพื้นฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (Constitution Monarchy) รวมทั้งมีลักษณะอำนาจนิยม เพราะแม้แต่ประชาธิปไตยภายในพรรคก็ยังไม่มี

ความเป็นจริงดังกล่าว ยังเห็นได้ชัดจากพื้นที่ทางการเมืองส่วนใหญ่ แทบไม่เหลือพื้นที่ของชนชั้นล่าง กระทั่งกีดกันอย่างเป็นตัวบทกฏหมาย ในการเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างชัดเจนในรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 ที่ห้ามประชาชนที่ไม่จบปริญญาตรีเข้าสู่การเป็นผู้แทนฯ หรือกระทั่งห้ามตั้งพรรคการเมืองที่ต่อต้านกลไกตลาดเสรีในระบบทุนที่ชนชั้นนำได้ประโยชน์

ในขณะเดียวกัน ภายใต้โครงสร้างนี้ ทำให้ทิศทางประเทศไทยดำเนินมาถึงจุดที่ความขัดแย้งของกลุ่มทุนนิยมโลกาภิวัตน์ที่หากินในระบบอุปถัมป์นิยมร่วมกับชนชั้นนำเดิมในสังคมไทย ก็มาถึงจุดขัดแย้งกันทางโครงสร้างอำนาจในปัจจุบัน ระหว่างทุนนิยมประชาธิปไตยแบบไม่เสรี กับพลังระบอบข้าราชการแบบประชาธิปไตยครึ่งใบ

2 อุดมการณ์นี้ มีอิทธิพลอย่างสูงในการชี้นำสังคมไทยในปัจจุบัน แม้ว่าเรามาถึงยุคที่ด้านร้ายของทุนนิยมผูกขาดปรากฎชัด และโครงสร้างวัฒนธรรมแบบศักดินากำลังล่มสลายลงเพราะขาดความน่าเชื่อถือ แต่ทางแพร่งนี้ พลังของภาคประชาชนซึ่งถือเป็นพลังฝ่ายที่ 3 แม้ว่ามีกิจกรรม มีการรวมตัวเคลื่อนไหวจับต้องได้ แต่ยังอ่อนแอและไร้พลังทางอุดมการณ์ด้านการเมือง หากเป็นสงคราม 3 ฝ่าย ก็เปรียบได้ว่าฝ่ายที่ 3 ยังไม่ได้เตรียมตัว สังคมส่วนใหญ่จึงสมาทานอิทธิพลอุดมการณ์ 2 สายนั้น ขณะที่อุดมการณ์สังคมนิยม-ประชาธิปไตย ยังไม่มีพื้นที่ทางสังคมในกระแสการเมือง แต่ผมเชื่อว่า พวกเราพยายามทำกันอยู่

เราปฏิเสธไม่ได้แล้วว่า เราต้องสร้างความเข้มแข็งของขบวนการภาคประชาชนให้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะรูปแบบองค์กร หรือกลุ่มขบวนการใด ทั้งทางชนชั้น อาชีพ หรือกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง โดยเฉพาะกลุ่มขบวนการชาวนา ชาวไร่ กรรมกร พนักงานสาขาอาชีพต่างๆ จะต้องมีขบวนการรวมตัวของตนเองที่เข้มแข็ง สามารถต่อรองผลประโยชน์เพื่อชนชั้น หรือกลุ่มทางสังคมของตนเองได้อย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม. เหล่านี้อาจเกิดในรูปของพรรคการเมืองทางชนชั้น สาขาอาชีพ หรือในนามกลุ่มพลังทางการเมือง ขบวนการประชาชนที่เข้มแข็ง เสมือนเป็นสถาบันทางการเมืองหนึ่งก็ได้

โดยเฉพาะการสร้างพรรคการเมืองของประชาชน ที่มีอุดมการณ์แนวสังคมนิยมในประเทศไทยนั้น จำเป็นอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน

'พรรคการเมือง คือ องค์กรทางการเมืองที่รวมบุคคลที่มีอุดมการณ์เดียวกัน และมีเป้าหมายเพื่อได้อำนาจทางการเมืองในรัฐบาล นโยบายต่างๆ ของพรรคการเมืองส่วนมากจะเป็นผลรวมของความต้องการภายในพรรค'

นั่นคือ ฐานะองค์กรที่เป็นเอกภาพที่สุด ที่ควรนำพาความหลากหลายของขบวนการภาคประชาชน ไปสู่อุดมการณ์ทางการเมือง เพื่อมีส่วนในอำนาจรัฐด้วยตนเองและสร้างสังคม-ประชาธิปไตย ด้วยตนเอง..

มีคนบอกว่าสังคมนิยมล่มสลายในหลายประเทศ เราต้องถามว่า สังคมนิยมแบบไหน ภายใต้การนำของพรรคสังคมนิยมแบบไหน ซึ่งมันไม่ได้มีรูปแบบเดียว สังคมนิยมในอนาคตคงจะไม่เหมือนในอดีต โดยเฉพาะประชาธิปไตยรวมศูนย์ การปกครองแบบเผด็จการสังคมนิยมเป็นเรื่องล้าหลัง ในสังคมที่ซับซ้อนสมัยใหม่ การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป

ดูเหมือนว่า สถานการณ์สากลเหมือนจะเอื้ออำนวยให้สังคมนิยมมีพื้นที่มากขึ้น ท่ามกลางความเสื่อมของทุนนิยม ปัญหาและผลกระทบของทุนนิยมโลกาภิวัตน์ ทำให้ภาคประชาชานหลายกลุ่มหวนกลับมาคิดถึง แนวคิดทางเลือกซึ่งมีหลายทางมากขึ้น โดยเฉพาะแนวคิด ปรัชญาสังคมนิยม และนิเวศน์วิทยาการเมือง

พรรคการเมืองของภาคประชาชน ที่มีอุดมการณ์ปรัชญาสังคมนิยม และนิเวศน์วิทยาการเมือง กำลังเติบโตในพื้นที่สังคมที่ไม่ค่อยมีทางเลือก และที่ผ่านมาได้รับความนิยมอย่างสูงในภาคพื้นยุโรปและละตินอเมริกา

ยกตัวอย่างเช่น ในการเลือกตั้งทั่วไปสมัยที่ผ่านมาของเยอรมัน พรรคการเมือง ซ้ายจัด Die Linkspartei PDS หรือพรรคขบวนการฝ่ายซ้ายใหม่ ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยอดีตนักการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์ของเยอรมันตะวันออกยุคแบ่งแยกประเทศ ที่รวมกับพรรคอื่นแทบไม่ได้ กลับได้ ส.ส. มากถึง 54 ที่นั่ง จากที่เคยได้เพียงไม่กี่ที่นั่ง เมื่อคนเริ่มเบื่อหน่ายทุนนิยม นั่นคือสังคมนิยมเป็นทางเลือกใหม่นั่นเอง

ในสถานการณ์ปัจจุบันผมเห็นว่า พรรคการเมืองทางเลือกของประชาชน จะต้องมีนโยบายอิงแอบกับปัญหาทางสังคมที่ประชาชนได้รับผลกระทบเชิงโครงสร้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และจะต้องอยู่ตรงข้ามแนวทางทุนนิยมโลกาภิวัตน์

- พิทักษ์ผลประโยชน์ของคนจน, ปฏิรูปโครงสร้างทางสังคมที่ไม่เป็นธรรม
- แก้ปัญหาความยากจนเชิงโครงสร้าง, เก็บภาษีมรดก ภาษีทรัพย์สินอัตราก้าวหน้า
- จำกัดการถือครอง-ปฏิรูปที่ดิน กระจายรายได้และโภคทรัพย์อย่างเป็นธรรม
- สร้างรัฐสวัสดิการ ตอบสนองความต้องการและความเสมอภาคทางการศึกษา สาธารณสุขและด้านแรงงาน

ในปัจจุบันนี้ เรามีงานวิชาการของฝ่ายก้าวหน้ามากมายที่สามารถรณรงค์และสร้างวัฒนธรรมความคิดสังคมนิยม-ประชาธิปไตยให้มีพื้นที่ได้ เพราะหากไม่มีอุดมการณ์ทางสังคมรองรับ พรรคก็ไม่สามารถเติบโตได้ นั่นเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเร่งขยายพื้นที่ทางความคิดให้มากขึ้นในสังคมไทย ในรูปของ Think Tank หรือการจัดตั้งใหม่ เร่งขยายงานมวลชนและแนวร่วมในความหมายเก่าก็ได้, คนหนุ่มสาวในขบวนการต่างๆ คือเป้าหมายร่วมสมัยที่สำคัญ, การผสานขบวนการภาคพลเมืองสาขาอาชีพต่างๆ เพื่อต่อสู้กับทุนผูกขาด การสามัคคีทางชนชั้นและการสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองใหม่ ล้วนเป็นบริบทที่สำคัญที่พรรคการเมืองทางเลือกควรหยิบใช้

รวมทั้ง การเคลื่อนไหวต่อต้านโลกาภิวัตน์ในทางสากลก็เป็นเครื่องมือที่เอื้อประโยชน์ต่อการเติบโตของพรรคการเมืองทางเลือกได้เป็นอย่างดีเช่นกัน ความเสื่อมถอยของทุนนิยมที่กำลังมาย่อมเป็นด้านบวกของฝ่ายสังคมนิยมที่เริ่มฟื้นตื่นขึ้นทั่วโลก และหากเป็นไปได้ในอนาคต เราต้องผนวกรวมกลุ่มขบวนการประชาชนต่างๆ ยกระดับอุดมการณ์ทางการเมืองผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของพรรค เพื่อสร้างพรรคมวลชน (Mass Party) ให้เกิดขึ้นเป็นจริงได้ในอนาคต.

เพราะพรรคการเมืองจะขาดไม่ได้ถึงประชาธิปไตยภายในพรรค ต้องมีการตรวจสอบด่วงดุลย์อำนาจและการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อพรรคการเมือง ซึ่งนั่นคือ จินตภาพสังคมประชาธิปไตยและพรรคการเมืองของประชาชน ที่แท้จริง


เมธา มาสขาว
นำเสนอบนเวทีสัมมนา 'จินตภาพสังคมไทยและพรรคการเมืองของประชาชน'
29 มีนาคม 2551 ณ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว
จัดโดย กลุ่มศึกษาพรรคการเมืองทางเลือก



โดย: jenifaae วันที่: 3 พฤษภาคม 2551 เวลา:0:00:17 น.  

 
*รังสีออร่าในตัวคุณ ทั้ง 12 สี
//www.oknation.net/blog/tarot

รังสีออร่าในตัวคุณ



หลายคนคงจะเคยได้ยินคำว่า 'รังสีออร่า' แต่รู้กันไหมล่ะว่ามันคืออะไร และสามารถบอกถึงอะไรในตัวเราได้บ้าง

โดยรังสีออร่า คือสีของความคิดและอารมณ์จะมีลักษณะเป็นหมอกไหลปรากฏเป็นหย่อมๆ เห็นได้ชัดเจนบริเวณรอบศีรษะและเหนือบ่า

วิธีคิดหารังสีออร่าของตัวคุณ เพียงคำนวณตามสูตร นำวัน เดือน ปี ค.ศ. ที่เกิด มาบวกกัน สมมุติว่า เกิดวันที่ 5 เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1960 ก็นำเลขทั้งหมดมาบวกกันคือ 5 + 5 + 1960 = 1970
จากนั้นก็แยกตัวเลขออกมาบวกกันอีกครั้ง จะได้เป็น 1 + 9 + 7 + 0 = 17 ก็นำมาแยกบวกอีกจนกว่าจะได้เลขตัวเดียว ซึ่งก็คือ 1 + 7 = 8
เมื่อได้ผลลัพธ์เป็นเลขตัวเดียว แล้วขอให้ดูว่าตัวเลขที่ได้ตรงกับสีพื้นฐานสีอะไร มีความหมายว่าอย่างไร แต่ถ้าเลขบวกกันแล้วได้ผลเป็น 11 และ 12 ไม่ต้องแยกบวกอีก เพราะเป็นพวกพิเศษกว่าพวกอื่น

1. สีแดง : ผู้นำ
พวกมีสีแดงเป็นสีพื้นฐาน จะมีความกระตือรือร้น เป็นผู้นำ
ทะเยอทะยาน เต็มไปด้วยพลังงาน มีความกระฉับกระเฉงและพลังทางเพศ มีเสน่ห์ พูดจาโน้มน้าวจิตใจผู้อื่นได้ดี เป็นคนสนุกสนาน โอบอ้อมอารี กล้าหาญ
คุณวิ่งไม่เร็ว มองโลกในแง่ดี ชอบการแข่งขัน เป็นสีที่นำมาซึ่งความสำเร็จ คุณควรหาอะไรที่ท้าทายความสามารถทำ ชอบสร้างโครงการท้าทายความสามารถ แต่ต้องพิจารณาให้พอเหมาะสมกับตัวด้วย
ข้อเสีย มักจะขี้กังวล ตื่นตระหนกและอาจหลงตัวเอง รวมทั้งอาจจะบ้างานมากไปจนเครียด ควรรู้จักพักผ่อน และคลายความเครียด

2. สีส้ม/ แสด : มนุษยสัมพันธ์ดี
คุณเป็นคนอบอุ่น น่าคบ เข้ากับคนง่าย กระฉับกระเฉงว่องไว มีความสุข เป็นสีที่คอบควบคุมกล้ามเนื้อ แต่มีมากไปจะเย่อหยิ่ง ชอบเป็นที่ปรึกษาปัญหาให้ใครต่อใคร ชอบช่วยเหลือ และทำตัวให้เป็นประโยชน์อยู่เสมอ จิตใจสมถะ ชอบปิดทองหลังพระ คุณควรคบกับคนที่มีนิสัยคล้ายคลึงกัน ไม่งั้นคนอื่นจะเอาเปรียบคุณ
ข้อเสีย ขี้เกียจ ใจน้อย มักถูกคนอื่นเอาเปรียบ


3. สีเหลือง : มีความคิดสร้างสรรค์ ฉลาด
คุณเป็นคนคิดอะไรรวดเร็ว มีความกระตือรือร้นอยู่เสมอ เข้าสังคมง่ายปรับตัวเก่ง ชอบคุยถกเถียงปัญหา ชอบเรียนรู้ และทำอะไรหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน เป็นคนฉลาด หลักแหลม และเรียนรู้อะไรได้รวดเร็ว มีเมตตา รักเพื่อนมนุษย์ เป็นสีคุ้มกันโรคภัย มีพรสวรรค์ด้านการพูด งานที่ทำควรเกี่ยวกับการพูดเป็นสื่อ เช่น ครู เซลล์แมน นักการทูต ที่ปรึกษา ฯลฯ หรืองานอาชีพที่ต้องใช้คำพูดเป็นหลัก
ข้อเสีย จับจด ขี้อาย โกหกเก่ง


4. สีเขียว : รักษาโรค
คุณเป็นคนรักสงบ ละเอียดอ่อน ชอบช่วยเหลือผู้อื่น จิตใจดี มีพลังจิต ไว้วางใจได้ คุณอาจมีลักษณะภายนอกหงิมๆ หรือเรียบง่าย แต่ส่วนลึกแล้วดื้อน่าดู คุณเป็นพวกสู้งาน หนักเอาเบาสู้ มีความสามารถในการใช้มือ เป็นสีแห่งความสมดุลและปรับตัว
ข้อเสีย ดื้นรั้น ไม่รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น


5. สีน้ำเงิน : เป็นได้ทุกอย่าง
คุณเป็นพวกมองโลกในแง่ดี แม้ชีวิตจะลุ่มๆ ดอนๆ ไปบ้างแต่ยังยิ้มสู้เสมอ เชื่อมั่นในตนเอง ซื่อตรง พยายามยืนหยัดด้วยตัวเอง แสงออร่าของคุณจึงกว้างและสว่างไสวเสมอ ทำให้กระชุ่มกระชวยดูอ่อนกว่าวัย
คุณมีความจริงใจ ซื่อสัตย์ ปากกับใจตรงกัน รักการผจญภัย มีความคิดสร้างสรรค์และมีจินตนาการ ชอบพบปะผู้คน และสนใจการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม มีพรสวรรค์หลายๆ ด้าน
ข้อเสีย ชอบทำงานหลายๆ อย่างในคราวเดียวกัน จึงกลายเป็นคนจับจด ทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่างนอกจากนั้นยังเป็นพวกชีพจรลงเท้า และขาดความอดทนอีกด้วย


6. สีคราม : มีความรับผิดชอบสูง
คุณชอบงานด้านสังคมสงเคราะห์ ช่วยเหลือผู้อื่น ชอบรับผิดชอบงาน จิตใจโอบอ้อมอารี เป็นที่พึ่งของผู้อื่นได้ ไม่เห็นแก่ตัว เป็นสีของพลังจิต สัมผัสที่ 6 โทรจิตต่างๆ มีความคิดฉลาดล้ำลึกและสร้างสรรค์ นิยมความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ มีความจริงใจ ชอบค้นหาสัจจะความจริงของชีวิต
ข้อเสีย ปฏิเสธใครไม่เป็น ควรหาเวลาเป็นตัวของตัวเองบ้าง มีมาตรฐานการทำงานสูง จึงมักหงุดหงิดกับอะไรๆ ที่ไม่ได้ตามมาตรฐานของตนเอง


7. สีม่วง : ฉลาดล้ำลึก และสันโดษ
คุณมีจิตใจละเอียดอ่อน สนใจในศาสตร์ลึกลับจนบางครั้งดูเหมือนเป็นคนลึกลับ คุณมีประสาทสัมผัสที่ 6 สูง รักสันโดษจนดูเหมือนคุณจะเข้ากับใครไม่ได้ มักมีปัญหาบริเวณท้อง
ข้อเสีย มักดูถูกความคิดผู้อื่น และเก็บความรู้สึกมากเกินไป


8. สีชมพู : นักบริหาร นักธุรกิจ
คุณเป็นคนมีความตั้งใจจริง แต่ค่อนข้างดื้อรั้น วางมาตรฐานตัวเองไว้สูง มุ่งมั่นที่จะให้บรรลุเป้าหมายและความสำเร็จ ถ้าคุณรู้ว่าเป็นฝ่ายถูก คุณจะยืนหยัดต่อสู้อย่างไม่ยอมถอย มีพลังที่แจ่มใส รักสงบ เต็มไปด้วยความรัก โรแมนติก อารมณ์ขัน ถ่อมตน ปลอบประโลมคนเก่ง
ข้อเสีย มักจะใจคอโลเล อาชีพของคุณจึงต้องเกี่ยวกับการบริหารและความรับผิดชอบ


9. สีทองเหลือง : นักสังคมสงเคราะห์
คุณเป็นคนอ่อนโยน ชอบช่วยเหลือผู้อื่น เป็นทั้งนักปราชญ์และเป็นคนมีคุณธรรมเต็มเปี่ยม มีความสุขมากที่สุดเมื่อได้ช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน เป็นคนมีความสุขและมองโลกในแง่ดี
ข้อเสีย ปฏิเสธใครไม่เป็น จึงถูกเอาเปรียบบ่อยๆ ควรรู้จักปฏิเสธบ้าง


11. สีเงิน : นักอุดมคติ
คุณมีประสาทสัมผัสที่ 6 มีศักยภาพสูงในหลายๆ ด้าน
เต็มไปด้วยความคิดแปลกๆ ใหม่ๆ ชอบฝันหวาน แต่คุณมักจะฝันมากกว่าลงมือทำจริงๆ เป็นคนซื่อสัตย์ มีความเชื่อมั่นในตัวเอง มองโลกในแง่ดี ถ้ามุมานะสร้างความฝันให้เป็นความจริงคุณจะไปได้ไกลมากทีเดียว
ข้อเสีย ขี้เกียจ และบางครั้งจะเครียดจนใครๆ ไม่กล้าเข้าใกล้
ควรหาเวลาพักผ่อน ฝึกสมาธิ หรือโยคะ


12. สีทอง : ไม่มีขอบเขตจำกัด
คุณสามารถทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก หรือทำงานใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องปอกกล้วยเข้าปาก คุณจะประสบความสำเร็จไปแทบทุกเรื่อง เป็นคนมีเสน่ห์จูงใจ ทำงานหนักเอาเบาสู้ มีเป้าหมาย ในการทำงานที่แน่นอน มีอุดมคติและความสามารถสูง เป็นผู้นำสามารถโน้มน้าวจิตใจผู้อื่นได้



โดย: jenifaae วันที่: 19 พฤษภาคม 2551 เวลา:20:05:59 น.  

 
*งาน “จังหวะแผ่นดิน”เทศกาลโลก ครั้งที่ 3

กลับมาอีกครั้งกับความสนุกในงาน “จังหวะแผ่นดิน”เทศกาลโลก ครั้งที่ 3 World Musiq & World Bar-B-Q เริ่มความสนุกได้ตั้งแต่ 7-11 พฤษภาคม 2551 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่เวลา 17.00-24.00 น.

สุดมันส์!!! กับคอนเสิร์ตดนตรีแนว World Musiq คือดนตรีพื้นบ้านผสมสากลโดยศิลปินจากต่างประเทศและไทย อาทิเช่น อินเดีย, อเมริกา, ฟิลิปปินส์, ฝรั่งเศส เอร็ดอร่อย !!!! กับบาร์บีคิวสูตรเด็ดจากต่างประเทศ
พร้อมทั้งซุ้มกิจกรรมอื่นๆอีกมากมาย....

พลาดไม่ได้ !!!
- การแสดงจากเยาวชนในเขตพื้นที่
- การแสดงศิลปะพื้นบ้าน
- การสาธิตการทำ Bar-B-Q จากนานาประเทศ
** มาที่เดียวได้กินบาร์บีคิวทั่วโลก
** ไม่เสียค่าบัตรผ่านประตู ฟรีตลอดงาน !!!! แล้วเจอกันนะคะ

รายละเอียดผู้ประกาศ
--------------------------------------------------------------------------------

สนใจติดต่อคุณ :ทีมงาน
สถานที่ติดต่อได้สะดวก :กทม.
จังหวัด :กรุงเทพมหานคร
รหัสไปรษณีย์ :10240
เบอร์ติดต่อ : 027332709





*เปิดวิสัยทัศน์นำท่องเที่ยวไทยสู่ระดับโลก : 7 มหัศจรรย์มุมมองใหม่

เปิดวิสัยทัศน์นำท่องเที่ยวไทยสู่ระดับโลก
- - - 7 มหัศจรรย์มุมมองใหม่ - - -
ในงาน NUBKK Tourism and Hospitality Research Day 2008

วันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคม 2551
เวลา 09.00 - 17.00 น.
ณ มหาวิทยาลัยนเรศวร กรุงเทพมหานคร

พบกับ
- การบรรยายพิเศษจากบุคคลสำคัญในแวดวงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
- การนำเสนอผลงานการวิจัยของนิสิตและผู้ที่เกี่ยวข้อง
- การจัดนิทรรศการการส่งเสริมการท่องเที่ยวและการนำเสนอภาพกิจกรรมการเรียนรู้ของนิสิตหลักสูตรการจัดการโรงแรมและการท่องเที่ยว
- และอีกหลากหลายเรื่องราวที่น่ารู้

สนใจเข้าร่วมงาน
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
โทรศํพท์ 026553700

กำหนดการ

08.00-09.00 น.ลงทะเบียน
09.15-10.00 น.พิธีเปิดและปาฐกถาพิเศษ โดย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
10.00-10.15 น.พัก ชา – กาแฟ
10.15-12.00 น.เสวนาวิชาการ 'เปิดวิสัยทัศน์นำท่องเที่ยวไทยสู่ระดับโลก: 7 มหัศจรรย์มุมมองใหม่ '
คุณพรศิริ มโนหาญ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
คุณกงกฤช หิรัญกิจ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
คุณอภิชาติ สังฆอารี นายกสมาคมไทยธุรกิจท่องเที่ยว (ATTA)

12.00-13.00 น.พักรับประทานอาหารกลางวัน
13.00-15.00 น.บรรยายพิเศษ 'อยุธยา : มรดกไทยสู่การท่องเที่ยวระดับโลก' โดยคุณนิรุตติ์ โลหะรังสี แฟนพันธุ์แท้ อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
'นวัตกรรมการท่องเที่ยวไทยกับการตลาดอิเล็กทรอนิกส์ (E-marketing)ภายใต้ 7 มหัศจรรย์มุมมองใหม่' โดย คุณฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการกลุ่มสารสนเทศและการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
'เรียงร้อยถ้อยคำท่องเที่ยวผ่านตัวหนังสือ' โดย คุณวินิจ รังผึ้ง บรรณาธิการนิตยาสาร อสท.การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

15.00-16.45 น.การประชุมกลุ่มย่อย เสนอผลงานวิจัย.
16.45-17.00 น.สรุปผลและปิดการสัมมนาโดย ดร. ศรีสุดา จงสิทธิผล ผู้อำนวยการศูนย์วิทยบริการกรุงเทพมหานคร มหาวิทยาลัยนเรศวร


โดย: jenifaae วันที่: 19 พฤษภาคม 2551 เวลา:20:06:22 น.  

 
*กำหนดการสัมมนาทางวิชาการเรื่อง 'หลากหลายหลักสูตรอุดมศึกษา'

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม 2551
ณ ห้องประชุมกำพล อดุลวิทย์ ชั้น 2 อาคารสารนิเทศ 50 ปี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
----------------------------------------------------------------

เวลา 08.30-09.10 น. ลงทะเบียนและรับประทานอาหารว่าง
เวลา 09.10-09.30 น. พิธีเปิด
- กล่าวรายงานวัตถุประสงค์การจัดงาน โดย ศ.ดร.ศุภมาศ พนิชศักดิ์พัฒนา รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ
- กล่าวเปิดการสัมมนาทางวิชาการ โดย รศ.วุฒิชัย กปิลกาญจน์ อธิการบดี
เวลา 09.30-11.30 น. การอภิปรายเรื่อง 'หลากหลายหลักสูตรอุดมศึกษา'
1) Accelerated Program

2) Double/ Dual Degree Program

3) Honors Program

วิทยากรโดย รศ.ดร.นาตยา ปิลันธนานนท์ รองประธานคณะกรรมการการศึกษา มก. ภาควิชาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์
รศ.ดร.วิเชียร กิจปรีชาวนิช คณะกรรมการการศึกษา มก.รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะวิทยาศาสตร์
ดร.เวชพงศ์ ชุติชูเดช ภาควิชาวิศวกรรมการบินและอวกาศ คณะวิศวกรรมศาสตร์

ผู้ดำเนินรายการ รศ.ดร.สมถวิล ธนะโสภณ ประธานคณะกรรมการการศึกษา มก. ภาควิชาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์

เวลา
11.30-12.00 น. การอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและตอบข้อซักถาม เวลา
12.00 น. ปิดการสัมมนาและรับประทานอาหารกลางวัน (อาหารกล่อง)




*คิดผิดคิดใหม่..ดื่มน้ำมากไม่ได้ช่วยให้สุขภาพดีขึ้น

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 15 เมษายน 2551 04:36 น.

เอเจนซี - นักวิจัยชี้การพยายามดื่มน้ำวันละมากๆ เพื่อให้สุขภาพดีเป็นความเชื่อที่ผิด

ดร.สแตนลีย์ โกลด์ฟาร์บ และดร.แดน เนกัวนู จากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียในฟิลาเดลเฟีย สหรัฐฯ ได้ตรวจสอบเอกสารทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับผลต่อสุขภาพจากการดื่มน้ำปริมาณมากในแต่ละวัน

ทั้งคู่ พบว่า คนที่อยู่ในสภาพอากาศที่ร้อนและแห้งแล้ง รวมถึงนักกีฬาอาจต้องการน้ำมากกว่าคนอื่น ขณะที่คนที่ป่วยเป็นโรคบางโรคควรดื่มน้ำมากๆ แต่สำหรับคนปกติ การกระทำดังกล่าวไม่ได้ช่วยให้สุขภาพดีขึ้นแต่อย่างใด

การทบทวนเอกสารทางวิทยาศาสตร์ของนักวิจัยคู่นี้ ซึ่งลงตีพิมพ์ในวารสารของสมาคมโรคไตแห่งอเมริกา เป็นข้อมูลล่าสุดที่โต้แย้งข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญบางคนที่แนะนำให้ดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว (แก้วละ 225 มิลลิลิตร หรือ 8 ออนซ์)

ย้อนกลับไปในปี 2002 ดร.ไฮนซ์ วัลติน จากดาร์ทมัท เมดิคัล สกูล เคยทำการสำรวจ และพบว่าคำแนะนำเหล่านั้นแท้จริงเป็นเพียงเรื่องที่ชาวบ้านพูดต่อๆ กันมามากกว่าจะเป็นหลักเกณฑ์ทางการแพทย์ ที่สำคัญคือไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยัน

โกลด์ฟาร์บและเนกัวนูร่วมกันทดสอบ 4 ประเด็นสำคัญที่อ้างถึงคุณประโยชน์พิเศษของน้ำดื่ม เช่น ช่วยขับถ่ายสารพิษออกมาทางปัสสาวะ ทำให้ผิวพรรณผ่องใส กินอาหารน้อยลง และปวดหัวน้อยลง

'ข้อสรุปของเราคือคำกล่าวอ้างเหล่านั้นไม่มีเหตุผลหรือหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มารองรับเลย เป็นแค่ความเชื่อพื้นบ้านมากกว่า'

ประเด็นแรกเรื่องการขับสารพิษออกมาทางปัสสาวะนั้น โกลด์ฟาร์บ อธิบายว่า เป็นหน้าที่ของไตในการชะล้างสารพิษอยู่แล้ว

'ไตทำหน้าที่นั้นอยู่แล้วและทำอย่างมีประสิทธิภาพไม่ว่าคุณจะดื่มน้ำมากน้อยแค่ไหน ถ้าคุณดื่มน้ำมากและปัสสาวะออกมามาก นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณขับสารพิษออกจากร่างกายมากขึ้นกว่าปกติเลย'

ขณะเดียวกัน ไม่มีผลการศึกษาชิ้นใด ระบุว่า การดื่มน้ำมากๆ ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งขึ้น อีกทั้งยังไม่พบข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่า การกินน้ำช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะได้

ส่วนเรื่องที่ว่าดื่มน้ำช่วยประทังความหิวนั้น ก็ยังไม่มีใครเคยติดตามผลจริงๆ จังๆ ว่าเคยมีคนลดน้ำหนักระยะยาวสำเร็จด้วยการดื่มน้ำมากๆ หรือไม่

อย่างไรก็ดี แม้ไม่มีคุณประโยชน์ตามที่เชื่อกัน แต่นักวิจัยคู่นี้ บอกว่า การดื่มน้ำมากๆ ไม่ได้เป็นอันตรายต่อสุขภาพเช่นเดียวกัน

ขณะที่สำนักงานมาตรฐานด้านอาหารของอังกฤษยังคงแนะนำให้ประชาชนดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว หรือ 1.2 ลิตร โดยให้เหตุผลว่าเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะร่างกายขาดน้ำ


โดย: jenifaae วันที่: 19 พฤษภาคม 2551 เวลา:20:06:44 น.  

 
*กิจกรรม เรียนรู้เพื่อเข้าใจ

ชมรมกลุ่มเพื่อน ๒๐๐๐ ขอเชิญชวนเพื่อนๆ คนพิการและอาสาสมัครเข้าร่วมกิจกรรม เรียนรู้เพื่อเข้าใจ
ในวันอาทิตย์ที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๑ เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๗.๔๕ น. ณ มิวเซียมสยาม พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้
ทั้งนี้เพื่อเป็นการเรียนรู้ในการช่วยเหลือคนพิการอย่างถูกต้อง และอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีความสุข
งานนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ สนใจสอบถามรายละเอียดและลงทะเบียนล่วงหน้า ได้ที่คุณผักกาด ๐๘๖ ๗๕๓ ๐๕๔๖
(ด่วน รับจำนวนจำกัด)

กำหนดการ
๙.๐๐ น. ลงทะเบียน ณ ห้องจัดนิทรรศการหมุนเวียน
๐๙.๓๐ น. ผู้อำนวยการ พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ กล่าวต้อนรับ
๑๐.๐๐ - ๑๑.๐๐ น. การอบรม “เรื่องความเสมอภาคของคนพิการ”
๑๑.๐๐ - ๑๒.๐๐ น. แนะนำวิธีการช่วยเหลือคนพิการ
๑๒.๐๐ - ๑๓.๐๐ น. รับประทานอาหารกลางวัน
๑๓.๐๐ - ๑๗.๐๐ น. กิจกรรม "เรามาเรียนรู้ร่วมกัน" ชมพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้
๑๗.๐๐ น. รวมกลุ่มนำเสนอปัญหาอุปสรรคและสิ่งอำนวยความสะดวก
๑๗.๔๐ น. ปิดกิจกรรม

การเดินทาง : รถประจำทาง สาย ๓, ๖, ๙, ๑๒, ๓๒, ๔๔, ๔๗, ๕๓, ๘๒, ๕๒๔
เรือด่วนเจ้าพระยา ท่าราชินี (หรือท่าเตียน แล้วเดินต่อประมาณ ๑๕๐ เมตร)

มิวเซียมสยาม
สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (สพร.)
๔ ถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ ๑๐๒๐๐

ใกล้วัดพระเชตุพน วิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) ท่าเตียน ปากคลองตลาด และสถานีตำรวจพระราชวัง
โทรศัพท์ : ๐๒ ๖๒๒ ๒๕๙๙ โทรสาร : ๐๒ ๒๒๕ ๒๗๗๕
Email : info@ndmi.or.th
//www.ndmi.or.th
เวลาทำการ วันอังคาร-อาทิตย์ เวลา ๑๐.๐๐-๑๘.๐๐ น. ไม่เว้นวันหยุดราชการ
วันจันทร์ปิดทำการ




*16-18 พ.ค.51 ตรวจสุขภาพฟรี

เลือกตรวจสุขภาพ ฟรี กว่า 20 รายการ จาก 9 โรงพยาบาลชื่อดัง


ในงาน “คลินิกลอยฟ้าเฉลิมพระเกียรติฯ”

เพื่อเป็นการน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของ

สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

ระหว่างวันที่ 16-18 พฤษภาคม 2551

เวลา 09.00-16.00 น. ณ สถานีรถไฟฟ้าพญาไท


สอบถามรายละเอียดที่ ศูนย์ฮอตไลน์บีทีเอส 0 2617 6000

หรือโทร.0 2617 7300 ต่อ ส่วนสื่อสารองค์กร จันทร์ – ศุกร์

ตาม file แนบหรือที่ //www.bts.co.th/th/news/news_detail.asp?id=83


โดย: jenifaae วันที่: 19 พฤษภาคม 2551 เวลา:20:07:07 น.  

 
*เชิญร่วมงานสัมมนา Double-Take Software Replicate & High Availability Solution 2008






*การกัดเซาะชายฝั่งอีกความสูญเสียของท้องทะเลภาคใต้

โดย : ศิราพร แป๊ะเส็ง

เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๕๑ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ได้จัดประชุมครั้งที่ ๒ เพื่อขอรับฟังความเห็นโครงการก่อสร้างฐานสนับสนุนการปฏิบัติการสำรวจ และผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทย ณ ศาลาประชาคมบ้านบางสาร การประชุมครั้งนี้เน้นประเด็นเกี่ยวกับแบบก่อสร้าง และประเด็นการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม

ในการประชุมบริษัทฯ ได้นำเสนอแบบก่อสร้างเบื้องต้น ซึ่งประกอบด้วยอาคารสำนักงาน โรงเก็บวัสดุ อุปกรณ์ เคมีภัณฑ์ ขยะ ลานเก็บกองวัสดุ ลานจอดรถ และที่สำคัญแบบก่อสร้างท่าเรือ และเขื่อนกันคลื่น



สำหรับท่าเรือ มีบริเวณความยาวที่ติดชายหาด ๑, ๐๖๙ เมตร ความยาวหน้าท่า ๓๐๐ เมตร เขื่อนกันคลื่นด้านเหนือ ยาว ๘๘๓ เมตร ยื่นออกจากแนวชายหาดประมาณ ๕๓๑ เมตร เขื่อนกันคลื่นด้านใต้ ยาว ๒๒๓ เมตร
คาดว่าผลกระทบสำคัญจากก่อสร้างดังกล่าว จะทำให้เกิดการกัดเซาะชายฝั่งบริเวณด้านเหนือของท่าเรือ เนื่องจากแนวกันคลื่นจะกีดขวางการเคลื่อนตัวของทรายโดยธรรมชาติ ซึ่งเคลื่อนจากทิศใต้ไปทิศเหนือ ทำให้ด้านทิศเหนือไม่มีทรายไปทับถมจึงถูกน้ำทะเลกัด เซาะอย่างรุนแรง เช่นที่เกิดขึ้นที่อำเภอหัวไทรและปากพนัง นอกจากนี้ด้านทิศใต้จะทำให้เกิดการทับถมของทรายมากขึ้นบริเวณปากน้ำคลองกลายด้วย

ประเด็นผลกระทบอีกประการหนึ่ง คือ กระทบต่อที่ทำกินของชาวประมงพื้นบ้าน เนื่องจากพื้นที่ที่จะก่อสร้างท่าเรือ ทั้งหมด ประมาณ ๑, ๐๐๐ ยาว (ตามแนวชายหาด)* ๕๐๐ เมตร (ส่วนที่ยื่นไปในทะเล) รวม ๕๐๐,๐๐๐ ตารางเมตร หรือ เท่ากับ ๓๑๒.๕ ไร่ ซึ่งบริเวณนี้เป็นบริเวณติดกับปากแม่น้ำกลาย ด้านทิศเหนือ เป็นบริเวณที่มีสัตว์น้ำอุดมสมบูรณ์เนื่องจากเป็นบริเวณสันดอนจากแม่น้ำ ที่หากินของชาวประมงพื้นบ้านมาแต่ครั้งบรรพบุรุษ เลี้ยงลูกหลานสืบทอดต่อกันมา ปัจจุบันการหากินก็ฝืดเคืองกว่าแต่ก่อนอยู่แล้ว หากที่ทำกินต้องลดลงไปอีก ก็อาจจะต้องเลิกอาชีพประมงก็เป็นไปได้


*สาเหตุการกัดเซาะเกิดจากการสร้างที่ดักรอทราย ซึ่งสูญเสียงบมหาศาลแต่แก้ไขไม่ได้


นอกจากพื้นที่ทำกินที่สมบูรณ์ต้องลดไปแล้ว การขุดลอกร่องน้ำที่ต้องมีการขุดลอกเกือบตลอดเวลา เพื่อให้ลึกพอที่เรือจะวิ่งเข้าออกไป อาจมีผลกระทบต่อแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ เนื่องจากฝุ่นและตะกอนจากการขุดลอก รวมทั้งเรือที่จะวิ่งเข้าออกประมาณ ๕๔ ลำ/ สัปดาห์ อาจรบกวนที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ ซึ่งยังไม่รวมถึงโอกาสการปนเปื้อนของน้ำมันและสารเคมีต่างๆ จากการเดินเรืออีกด้วย จึงนับว่าเป็นผลกระทบที่สำคัญต่อจำนวนสัตว์น้ำ ซึ่งบริเวณนี้ยังเป็นแหล่ง 'เคย (กะปิ)' ซึ่งผลสินค้าที่ขึ้นชื่อของตำบลกลายอีกด้วย

พื้นที่บริษัท...ห้ามผ่านบริเวณนี้
การสูญเสียพื้นที่สาธารณะบริเวณชายหาด ทัศนียภาพ และทางสาธารณะ เนื่องจากการสร้างท่าเรือจึงต้องใช้พื้นที่ชายหาด ประมาณ ๑ กิโลเมตร จึงอาจจะทำให้ชาวบ้านไม่สามารถสัญจรผ่านไปมาได้ เนื่องจากเหตุผลด้านความปลอดภัย และป้องกันความวุ่นวายจากบุคคลภายนอก ซึ่งรวมทั้งถนนสาธารณะที่เรียบชายฝั่งทะเลอีกหนึ่งสายซึ่งอยู่ในบริเวณที่ดินของบริษัทด้วย จึงนับเป็นต้นทุนที่สูงมากของคนไทยทุกคนหรือของประเทศชาติ ที่เหมือนการยกที่ดินสาธารณะของบรรพบุรุษให้กับบริษัทต่างชาติ
ที่กล่าวมาทั้งหมดไม่ได้มีเจตนาคัดค้าน เพียงแต่ให้ความร่วมมือกับบริษัทในการให้ข้อคิดเห็นตามที่บริษัทต้องการ

ศิราพร แป๊ะเส็ง
โครงการดับบ้านดับเมือง เรียนรู้อยู่ดีที่ปากใต้


โดย: jenifaae วันที่: 19 พฤษภาคม 2551 เวลา:20:07:31 น.  

 
*จดหมายข่าวสำนักงาน ก.พ.ร.

เรียน สมาชิกทุกท่าน
สำนักงาน ก.พ.ร. ขอส่งจดหมายข่าวอิเล็กทรอนิกส์ (e - newsletter) ฉบับที่ 38 ประจำเดือนเมษายน 2551

จดหมายข่าว ก.พ.ร.



ขอแสดงความนับถือ
สำนักงาน ก.พ.ร


โดย: jenifaae วันที่: 19 พฤษภาคม 2551 เวลา:20:07:49 น.  

 
*ขอเชิญผู้ประกอบการ SMEs สมัครเข้าร่วมการอบรมทดลองหลักสูตร"เตรียมความพร้อมสู่สากล" ฟรี

ศูนย์บริการวิชาการเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับสำนักพัฒนาผู้ประกอบธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ กำหนดจัดการอบรมจัดอบรมทดลองหลักสูตร “เตรียมความพร้อมสู่สากล” สนใจสามารถสมัครได้ตั้งแต่บัดนี้ - 4 มิถุนายน 2551 (ผู้สมัครต้องส่งเอกสารและหลักฐานประกอบการสมัครให้ถึงศูนย์บริการวิชาการเศรษฐศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ภายในวันที่ 5 มิถุนายน 2551 เวลา 16.00 น.) รายละเอียดการอบรมเป็นดังนี้

วัตถุประสงค์ของการอบรม

- เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจการค้าและบริการในการนำธุรกิจสู่ตลาดการค้าสากล

- เพื่อเรียนรู้แนวคิดและวิธีการดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศ

- เพื่อศึกษาถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศ และกฎระเบียบการค้าต่าง ๆ เช่น WTO, FTA

- เพื่อสามารถนำความรู้ไปใช้ในการวิเคราะห์ปัญหาและสถานการณ์ในการค้าการลงทุนในต่างประเทศเพื่อนำมาซึ่งแนวทางที่เหมาะสมในการดำเนินธุรกิจต่อไป

หัวข้อการอบรม 36 ชั่วโมง

- อุปสรรคปัญหาและสิ่งที่ต้องเอาชนะจากการแข่งขันในการค้าระหว่างประเทศ (3 ชั่วโมง)

- นวัตกรรมการเงินกับการวางแผนทางการเงิน (Cooperate Finance) (3 ชั่วโมง)

- Net Working Trade (3 ชั่วโมง)

- การขนส่งและระบบโลจิสติกส์ (3 ชั่วโมง)

- Global Marketing (6 ชั่วโมง)

- WTO / FTA และกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศ (6 ชั่วโมง)

- Trade Solution Strategy (3 ชั่วโมง)

- พฤติกรรมผู้บริโภค (Customer Behavior) และวัฒนธรรมทางธุรกิจ (6 ชั่วโมง)

- กิจกรรม: การรวมพลัง “จิตเด้ง” (กระดาษตัดดินสอ) (3 ชั่วโมง)

รูปแบบการอบรม

การอบรมทั้งหมดใช้ระยะเวลาดำเนินการ 36 ชั่วโมง โดยเป็นการอบรมเชิงสัมมนาปฏิบัติการ มีระยะเวลาดำเนินการอบรม 6 วันเต็ม ประกอบด้วยการบรรยาย 33 ชั่วโมง และการปฏิบัติ 3 ชั่วโมง เป็นการอบรมฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย

ระยะเวลาการดำเนินการ

ทุกวันเสาร์และอาทิตย์ ระหว่างวันที่ 14 – 29 มิถุนายน 2551

สถานที่อบรม

ณ ห้องขวัญเมือง ชั้น 2 โรงแรมนนทบุรี พาเลซ อ.เมือง จ.นนทบุรี

คุณสมบัติผู้เข้ารับการอบรม

1) เป็นเจ้าของกิจการที่มีประสบการณ์ในการดำเนินกิจการตั้งแต่ 2 ปี

2) จบการศึกษาระดับปริญญาตรี

3) ผ่านการอบรมหลักสูตรเสริมสร้างผู้ประกอบการใหม่ หรือให้ข้อมูลไว้กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าว่าประสงค์จะขยายธุรกิจไปต่างประเทศ

4) สามารถอุทิศตนเข้ารับการอบรมได้ตลอดช่วงเวลาการอบรม หรือไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของชั่วโมงการอบรม

จำนวนผู้เข้ารับการอบรม

จำนวน 40 คน กระจายไปตามกลุ่มธุรกิจการค้าและบริการต่างๆ ทั้งนี้ต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการคัดเลือก โดยจะพิจารณาจากคุณสมบัติ ใบสมัคร ผลประกอบการ และแผนการดำเนินธุรกิจส่งสินค้าออก การตัดสินคัดเลือกผู้เข้ารับอบรมของคณะกรรมการถือเป็นสิ้นสุดกระบวนการคัดเลือก

ผู้เข้ารับการอบรมไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของชั่วโมงการอบรม จะได้รับวุฒิบัตร

เอกสารและหลักฐานประกอบการสมัคร

1. ใบสมัคร

2. เอกสารประกอบการสมัคร

2.1.หลักฐานการศึกษา

2.2. สำเนาบัตรประชาชน

2.3. หลักฐานการจดทะเบียนนิติบุคคล

2.4. รายงานผลประกอบการ (งบกำไร(ขาดทุน) และงบดุล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551)

2.5. เอกสารแนะนำธุรกิจ (ที่กำลังดำเนินการอยู่)

2.6. แผนการดำเนินธุรกิจส่งออก

ประกาศผลการคัดเลือก

ตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน 2551 ทางเว็บไซต์ //www.tu.ac.th หรือโทรศัพท์ 0 2224 0147-9

สนใจติดต่อสอบถาม ขอรับในสมัคร และยื่นส่งเอกสารและหลักฐานประกอบการสมัคร

ศูนย์บริการวิชาการเศรษฐศาสตร์

ชั้น 4 คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

เลขที่ 2 ถนนพระจันทร์ แขวงพระบรมมหาราชวัง

เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

โทรศัพท์ 0 2224 0147-9 หรือ 0 2613 2474 โทรสาร 0 2224 0146

e-mail: ertc@econ.tu.ac.th


โดย: jenifaae วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:20:57:54 น.  

 
*"โครงการพันธมิตรพิพิธภัณฑ์"

พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ เป็นแหล่งเรียนรู้ของประชาชนทุกระดับ ทุกเพศ ทุกวัยและทุกอาชีพในสังคมไทย และเป็นแหล่งเรียนรู้ของสังคมที่เอื้อประโยชน์ต่อประชาชนและยั่งยืน มากที่สุดโดยให้ทุกคนในสังคมมีส่วนร่วมและรู้สึกเป็นเจ้าของ สถาบันฯ จึงสรรหาพันธมิตรพิพิธภัณฑ์เพื่อเข้าช่วยกิจกรรมและขับเคลื่อนการดำเนินงานของสถาบันฯ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน และเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ระหว่างกัน

สอบถามรายละเอียด : คุณศิริพร เฟื่องฟูลอย
โทร ๐๒ ๖๒๒ ๒๕๙๙ ต่อ ๕๒๒ โทรสาร ๐๒ ๒๒๕ ๒๗๗๕
siriporn@ndmi.or.th

ใบสมัคร (อาสาสมัคร)พันธมิตรพิพิธภัณฑ์








*ยักษ์มือถือช็อก"กทช."เปิดกว้างประมูลคลื่น3จี

"เอไอเอส" ตัดหน้าคู่แข่ง ทุ่มทุนชิงภาพผู้นำตลาด "3G" รายแรกในไทย ประเดิมเปิดบริการที่เชียงใหม่ก่อนขยับมา กทม. เดือนหน้า ด้านประธาน กทช.เขย่าธุรกิจสื่อสาร เดินหน้าประมูลคลื่น 3G ไวแม็กซ์ กันยาฯนี้ คาดยักษ์สื่อสารสู้กันสุดฤทธิ์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) ได้เปิดบริการและเริ่มทำตลาดโทรศัพท์มือถือ 3G (third generation) บนคลื่นความถี่ 900 เมกะ เฮิรตซ์ที่ให้บริการอยู่เดิมอย่างเป็นทางการตั้งแต่ 6 พฤษภาคม 2551 ที่จังหวัดเชียงใหม่ ก่อนเปิดให้บริการในกรุงเทพฯ

นายวิเชียร เมฆตระการ กรรมการผู้อำนวยการ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส เปิดเผยว่า เอไอเอสได้เปิดให้บริการ 3G ภายใต้แบรนด์ "3GSM advance" เป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่ จังหวัดเชียงใหม่ เบื้องต้นได้ติดตั้งสถานีฐานรวม 27 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ อ.เมือง จากนั้นในวันที่ 15 มิถุนายนจะเปิดให้บริการในกรุงเทพมหานครในย่านซึ่งมีการใช้บริการรับส่งข้อมูลเป็นปริมาณมากๆ เช่น ถ.สีลม เป็นต้น

ตลอดทั้งปีนี้เอไอเอสจะติดตั้งสถานีฐานทั้งหมด 300 สถานี ตามหัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศ ใช้เงินลงทุน 600 ล้านบาท คาดว่าจะมีผู้ใช้บริการถึงสิ้นปีไม่น้อยกว่า 7-8 หมื่นราย

บริการ 3GSM ของเอไอเอส ได้นำคลื่นความถี่ 900 เมกะเฮิรตซ์ จำนวน 5 เมกะเฮิรตซ์มาอัพเกรด จากช่องความถี่ที่มีทั้งหมด 17.5 เมกะเฮิรตซ์

3G เป็นระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่รองรับการใช้งานรับ-ส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูง (HSPA) ขนาด 7,200 กิโลบิตต่อวินาที ซึ่งแตกต่างจาก GPRS หรือ EDGE ปัจจุบันที่ให้ความเร็วเพียง 160 กิโลบิตต่อวินาที หรือต่างกันถึง 45 เท่า รองรับบริการต่างๆ อาทิ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงบนมือถือ, โทรศัพท์แบบเห็นหน้า หรือบริการดาวน์โหลดข้อมูลขนาดใหญ่ในลักษณะของวิดีโอคลิป, video streaming, เพลง, มิวสิกวิดีโอ ฯลฯ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากผู้บริหารของเอไอเอสที่ยกทีมไปร่วมงาน ยังมีผู้บริหารของทีโอทีรวมทั้งคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ที่เข้าร่วมจำนวนมาก น่าสังเกตว่าเอไอเอสให้ความสำคัญกับการเปิดตัว 3G เป็นพิเศษ ขณะที่ก่อนหน้านี้เอไอเอสได้ทุ่มทุนโฆษณาตอกย้ำชื่อ "3GSM advance" อย่างต่อเนื่อง เพื่อชิงวางตำแหน่งผู้นำเทคโนโลยีนี้

ด้านนายกิตติพงศ์ เตมียะประดิษฐ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทีโอทีและเอไอเอสยังร่วมมือกันอีกหลายเรื่อง เช่น การเช่าโครงข่ายไร้สายของเอไอเอสเพื่อให้บริการโทรศัพท์พื้นฐาน ซึ่งขั้นตอนอยู่ระหว่างเจรจาค่าเช่า หรือแม้แต่ในอนาคต ถ้าไทยโมบายของทีโอทีต้องการพัฒนาระบบ 3G จะร่วมมือกับเอไอเอส

ขณะที่นายชูชาติ พรหมพระสิทธิ์ ประธานคณะกรรมการ กทช. กล่าวว่า กทช.สนับสนุนโอเปอเรเตอร์ทุกรายเพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูง หรือการอัพเกรดโครงข่ายเดิมเป็นระบบ 3G โดยทาง กทช.เปิดกว้างอยู่แล้ว และถ้ามีการขออนุญาตเพื่อนำเข้าอุปกรณ์ก็พร้อมให้การสนับสนุน

สำหรับแผนการออกใบอนุญาต 3G บนความถี่ 2.1 จิกะเฮิรตซ์นั้น ตามแผนจะทำประชาพิจารณ์ได้ภายในเดือนสิงหาคมนี้ และคาดว่าจะเปิดประมูลได้ในเดือนกันยายน ซึ่ง กทช.ได้พูดคุยกันเป็นการภายในว่า การออกใบอนุญาตคลื่น 2.1 จิกะเฮิรตซ์นั้นจะอยู่ในรูปของการประมูล

ทั้งนี้ 2.1 จิกะเฮิรตซ์ มีช่องความถี่ 30 เมกะเฮิรตซ์ โดยบริษัทที่ปรึกษาของ กทช.ได้เสนอทางเลือกหลายโซลูชั่น เช่น อาจจะแบ่งให้ผู้บริการ 3 ราย รายละ 10 เมกะเฮิรตซ์ เป็นต้น ซึ่ง กทช.จะพิจารณาอีกครั้ง ขณะเดียวกันในส่วนของไวแมกซ์ (บริการรับส่งข้อมูลความเร็วสูงแบบไร้สาย เน้นผู้ใช้บริการที่ไม่มีความจำเป็นต้องเคลื่อนที่) จะเปิดให้ประมูลพร้อมระบบ 3G เพราะทั้งสองเป็นเทคโนโลยีที่มีความต้องการใช้งานสูง

ด้านดีแทคและทรูมูฟมีแผนที่จะพัฒนาระบบ 3G เช่นกัน โดยดีแทคมีแผนจะอัพเกรดระบบ 3G จากบนคลื่นความถี่ 850 เมกะเฮิรตซ์ คาดว่าภายในเดือนนี้จะได้รับการอนุมัติจาก กสท. ส่วนทรูกำลังอยู่ระหว่างรอการจัดสรรคลื่นความถี่จาก กสท.

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า หาก กทช.ใช้วิธีเปิดประมูลคลื่นความถี่จริงๆ จะทำให้การแย่งชิงความถี่ทะลุจุดเดือดอย่างแน่นอน เพราะ 3G เป็นรอยต่อสำคัญของเทคโนโลยีสื่อสารไร้สาย แม้ว่าที่ผ่านมา กสทฯ และ ทรูจะปฏิเสธแนวคิดนี้ เนื่องจากเป็นแนวทางที่เอื้อให้กับกลุ่มทุนต่างชาติที่มีเงินทุนแข็งแกร่ง

ก่อนหน้านี้ นายซิคเว่ เบรคเก้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) กล่าวว่า ดีแทคน่าจะได้รับอนุญาตจาก กทช.และ กสท โทรคมนาคม ให้อัพเกรดโครงข่ายเดิมเป็น 3G ได้ภายในเดือนพฤษภาคมนี้ และแม้ จะเปิดบริการช้ากว่าเอไอเอสก็ไม่ได้ทำ ให้ดีแทคเสียเปรียบแต่อย่างใด เพราะเอไอเอสเปิดก่อนก็จริง แต่พื้นที่ให้บริการยังจำกัดเพียง 30 สถานีฐานเท่านั้น ไม่เรียกว่าเป็นการรุกตลาดอย่างเต็มรูปแบบ

ด้านนายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ประธานคณะกรรมการ บมจ.กสท โทรคมนาคม กล่าวว่า ได้ให้นโยบายว่าต้องทำให้ประชาชนมีโอกาสได้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือ 3G เร็วที่สุด และเป็นธรรมกับผู้ประกอบการแต่ละราย กสทฯจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จพร้อมเสนอเรื่องให้บอร์ดพิจารณาให้ได้ภายเดือน พ.ค.นี้

แหล่งข่าวจาก บมจ.กสท โทรคมนาคม กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ทั้งดีแทค และ กสทฯ มีคลื่นความถี่ในช่วง 850 เมกะเฮิรตซ์ รวมกันประมาณ 25 เมกะเฮิรตซ์ แต่หากจะทำให้ใช้บริการได้ทั้ง 2 ราย ดีแทคจะต้องขยับช่วงความถี่ แต่คงได้เพียงรายเดียวคือทรูมูฟ

หน้า 1


โดย: jenifaae วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:20:58:16 น.  

 
*การจัดการความรู้เรื่องวัฒนธรรม ...กลยุทธ์ทางการตลาดอันแยบยล

คอลัมน์ องค์กรแห่งการเรียนรู้และการจัดการความรู้

โดย ดร.มงคลชัย วิริยะพินิจ mongkolchai@acc.chula.ac.th

*เมื่อเร็วๆ นี้ ผมได้มีโอกาสพานิสิต เดินทางไปศึกษาดูงาน ณ ประเทศเกาหลีใต้ รู้สึกประทับใจในแง่ของความรวดเร็วในความเจริญก้าวหน้าของประเทศเกาหลีใต้ เมื่อสมัยตอนเป็นเด็ก ผมเองยังไม่รู้สึกว่าประเทศเกาหลี เป็นประเทศที่ทันสมัยที่น่าตื่นตาตื่นใจเท่ากับประเทศญี่ปุ่น แต่การที่ได้ไปเห็นประเทศเกาหลีใต้ในช่วงอายุของการเป็นผู้ใหญ่ในคราวนี้ ได้นำความรู้สึกและความประทับใจเก็บมาครุ่นคิดว่า สิ่งหนึ่งที่เค้าทำได้ดีคือเรื่องของการจัดการความรู้เรื่องวัฒนธรรม ที่ส่งผลกลายเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ดังเช่นที่ผมได้ตั้งชื่อบทความนี้ไว้

อย่างไรก็ดี ผมมิทราบว่านี่คือสิ่งที่ คนเกาหลีตั้งใจทำหรือไม่ แต่ที่สำคัญผมมีความรู้สึกว่าอย่างน้อยในปัจจุบันนี้ คนไทยเรารู้จักประเทศเกาหลีมากขึ้น ในคำว่ารู้จักมากขึ้นนี้ ผมขอรวมผนวกไปกับความหมายที่ว่าคนไทยมีความใฝ่รู้เรื่องเกาหลีมากขึ้น สนใจที่อยากจะไปเที่ยวเกาหลี มิใช่แต่จะไปช็อปปิ้ง หรือไปรับประทานอาหารเกาหลี แต่อยากได้ไปพบคนเกาหลี และได้เห็นวิถีชีวิตของคนเกาหลี เหล่านี้คือความใฝ่รู้ที่มากขึ้นเกี่ยวกับวัฒนธรรมเกาหลีทั้งนั้น

เมื่อมาวิเคราะห์กันดูอีกทีว่าทำไมคนไทยถึงมีความสนใจในประเทศเกาหลีมากขึ้น ก็ถ้าจะให้มองในมุมวิชาการทางด้านการจัดการความรู้อย่างผม ก็ต้องกล่าวว่าเป็นเพราะประเทศเกาหลีมีการจัดการความรู้ทางด้านวัฒนธรรมที่ดี ในการจัดการความรู้ที่ว่ามิใช่เพียงแต่จะทำการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับวัฒนธรรมเกาหลีโดยตรง แต่เป็นการทำโดยทางอ้อมผ่านทางสื่อบันเทิง ท่านผู้อ่านหลายท่านอาจเคยได้ติดตามละครเกาหลีทางโทรทัศน์ ไม่ว่าจะเป็นละครที่เป็นเนื้อเรื่องที่เป็นเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นในยุคของอดีต ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมเก่าแก่ของเกาหลีอย่างชัดเจน และนอกจากนี้ผมก็สังเกตว่าผู้ผลิตละครพยายามสอดใส่อะไรหลายๆ อย่างที่ทำให้ ผู้ชมเห็นว่า นี่คือวิธีการดำรงชีวิตหรือวิธีการคิดของคนเกาหลี มิใช่แต่จะมุ่งเน้นไปที่เหตุการณ์รักๆ ใคร่ๆ เหมือนละครทั่วๆ ไป ยิ่งไปกว่านั้น ท่านผู้อ่านอาจจะสังเกตได้ว่า มีศิลปินดารานักร้องนักแสดงจากเกาหลีหลายต่อหลายคนที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย หลายต่อหลายครั้งที่ศิลปินดารา เหล่านี้ถูกสัมภาษณ์ผ่านทางรายการโทรทัศน์ในประเทศไทย ผมสังเกตได้ว่าศิลปินดาราเหล่านี้จะเล่าถึงหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับประเทศของเขาเอง และด้วยตัวของพวกเขาเองทำให้คนไทยได้เรียนรู้มากขึ้น ว่าคนเกาหลีเป็นอย่างไร มีความคิดความอ่านไปใน ทางใด และด้วยความที่ชื่นชอบในศิลปินต่างๆ เหล่านี้อยู่แล้ว ยิ่งทำให้คนไทยหลายๆ คนเกิดความรู้สึกใฝ่รู้ในเรื่องของวัฒนธรรมเกาหลีมากขึ้นไปอีก

และด้วยเหตุนี้เองจึงมิใช่เรื่องแปลกที่ คนไทยจะแห่กันไปเยือนเกาหลี และก็ไม่ได้ต้องการจะไปเพียงแต่แค่เอาบรรยากาศของการไปเมืองนอก ไปเจออากาศหนาว ไปเดินช็อปปิ้ง ไปเจอความทันสมัย แต่หลายๆ ท่านอยากไปเพราะอยากไปสัมผัสวัฒนธรรม อยากไปเจอคนเกาหลีว่าจะเป็นอย่างที่ได้เห็นในละคร หรือจากการฟังเหล่าดาราศิลปินชาวเกาหลีเล่าให้ฟัง หรือไม่ และถ้าจะพิจารณาส่วนนี้ดูให้ดี ถือได้ว่าเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดในเรื่องท่องเที่ยวอันแยบยล ซึ่งผมก็มิแน่ใจว่า เป็นความตั้งใจของคนเกาหลี หรือเป็น สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นสำหรับการท่องเที่ยวเกาหลีโดยมิได้ตั้งใจ

เขียนมาถึงตรงนี้ทำให้ผมอยากนำสิ่งที่วิเคราะห์ได้จากกรณีของประเทศเกาหลีมาสร้างเป็นขอแนะนำให้กับคนไทย ในฐานะที่ผมเป็นคนไทยและเคยไปศึกษา ต่างแดนมาเป็นระยะเวลานานพอสมควร และได้มีโอกาสไปศึกษาดูงาน หรือ ท่องเที่ยวมาหลายประเทศ ได้เห็นวิถีชีวิตของคนในหลายวัฒนธรรม ต้องยอมรับว่าวัฒนธรรมไทยของเราถ้ามองในแง่มุมที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตและความคิดความอ่านของคนไทยนั้น ต้องยอมรับว่าเป็นวัฒนธรรมที่มีเสน่ห์ ที่กล่าวนี้มิได้กล่าวเพราะว่าผมเป็นคนไทย แต่กล่าวจากความรู้สึกจริงๆ ที่ได้เห็นถึงความมีเสน่ห์อันแท้จริงของวัฒนธรรมไทย เพราะถ้าให้ผมกล่าวเป็น คำพูด ต้องบอกว่าเป็นวัฒนธรรมที่ดูสง่างามและละเอียดอ่อน และท่านผู้อ่านหลายท่านคงจะเห็นด้วย ถ้าผมจะกล่าวว่าคนไทยส่วนใหญ่มีอัธยาศัยดี มีความเมตตากรุณา มีความเกรงใจ มีความเป็นพี่เป็นน้องและเคารพซึ่งกันและกัน

ฉะนั้นผมจึงเห็นว่าเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งที่คนไทยจะลองพิจารณาที่จะทำการจัดการความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมไทยอย่างจริงจัง เราอาจจะเริ่มในหมู่ คนไทยด้วยกัน สร้างเป็นค่านิยมในประเทศก่อนเพื่อให้คนไทยแลเห็นความงดงามและความทรงคุณค่าของวัฒนธรรมไทย และให้รู้กันอย่างแท้จริงว่าจริงๆ แล้ววิถีชีวิตและความคิดของคนไทยนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว คนไทยก็ได้เริ่มทำการจัดการความรู้ที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมไทยกันมาบ้างแล้ว แต่อาจจะทำกันไปโดยไม่รู้ตัว เช่น ท่านผู้อ่านบางท่านอาจจะได้ชมภาพยนตร์ไทย หรือละครไทยหลายๆ เรื่องที่นำเสนอเนื้อเรื่องที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย แต่ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมที่ผมอยากจะกล่าวก็คือการดำเนินเรื่องควรจะสอดแทรกความรู้ในเรื่องของวิถีชีวิตและวิธีคิดของคนไทยในอดีตให้ชัดเจนมากขึ้น เพราะ ที่ผ่านมาผมมองว่าคนไทยได้ทำการจัดการความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมไทยโดยเน้นในส่วนของวัฒนธรรมที่จับต้องได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหารไทย การแต่งกายแบบไทย การปลูกบ้านแบบไทย แต่สิ่งที่ผมมองว่ายังพูดถึงกันน้อยอยู่ก็คือเรื่องที่เกี่ยวกับตัวคนไทยเอง อาทิ แนวคิดของคนไทย หลักการใช้ชีวิตของคนไทย การสื่อสารแบบไทย การบริหารงานแบบไทย สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นการมองวัฒนธรรมไทยในส่วนที่จับต้องไม่ได้ ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมไทยที่ทำให้รู้จักคนไทยและชีวิตจิตใจของคนไทยมากยิ่งขึ้น และตรงนี้เองที่ผมมองว่าเป็นเสน่ห์ของวัฒนธรรมไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้ถูกนำเสนอให้กับชาวต่างชาติมากนัก

จริงอยู่ว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่น่ามาท่องเที่ยวมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก แต่ผมเชื่อว่าประเทศของเรา จะดูน่ามาเที่ยวมากยิ่งขึ้น ถ้าเราให้ความรู้ มากขึ้นในเรี่องของวัฒนธรรมไทยใน มุมมองที่เกี่ยวกับตัวของคนไทยเอง ตอนนี้ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอาจจะอยากมาเที่ยวเมืองไทยเพราะความสวยงามของสถาปัตยกรรมไทย อาหารไทย สภาพ ภูมิประเทศและภูมิอากาศของประเทศไทย แต่ผมเชื่อว่าถ้าเราจัดการความรู้ให้ดีในเรื่องเกี่ยวกับคนไทย จะทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอยากมาเที่ยวเมืองไทย มากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะอยากมาเจอคนไทย อยากเห็นว่าคนไทยคิดอย่างไร ใช้ชีวิตอย่างไร สิ่งนี้ไม่เพียงแต่จะส่งผลดี ต่อการท่องเที่ยวในระยะเวลาสั้นเท่านั้น ผมเชื่อว่าสิ่งนี้จะส่งผลดีต่อการที่ นักท่องเที่ยวจะมาเที่ยวในเมืองไทยในระยะเวลาที่ยาวมากขึ้น อาทิ การท่องเที่ยวในลักษณะของการมาพำนักแบบ homestay หรือการสนใจมาศึกษาต่อ ณ ประเทศไทย ซึ่งในขณะนี้มหาวิทยาลัยต่างๆ ในประเทศไทยก็เปิดสอนหลักสูตรนานาชาติกันอย่างมากมาย

ข้อสรุปสุดท้ายจึงใคร่อยากจะแนะนำว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยเรายังไปได้อีกไกล ถ้าจะลองพิจารณาการใช้กลยุทธ์การตลาดโดยการจัดการความรู้เรื่องวัฒนธรรม โดยเน้นไปใน มุมมองที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตและความคิดของคนไทย ทำอย่างไรให้ชาวต่างชาติรู้จัก ความเป็นคนไทยให้มากขึ้น ทำอย่างไร ให้ชาวต่างชาติสนใจในความเป็นคนไทยมากขึ้น จนพวกเค้าทั้งหลายอยากมาเที่ยวเมืองไทยกัน สำหรับคนเกาหลีเขาบริหารจัดการความรู้เรื่องนี้ผ่านทางสื่อบันเทิง แต่สำหรับคนไทยนั้น นี่เป็นโจทย์ที่คนไทยต้องช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไร

หน้า 42




*เยี่ยมบ้านซามูไร

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 29 เมษายน 2551 14:48 น.
วินิจ รังผึ้ง



เมื่อครั้งที่เดินทางไปสำรวจเซนได เมืองศูนย์กลางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น วันหนึ่งเจ้าภาพทางการท่องเที่ยวเมืองเซนไดก็พาผมไปชมป้อมปราสาทชิโรอิชิ ซึ่งอยู่นอกเมืองเซนไดไปราวครึ่งชั่วโมง ป้อมปราสาทชิโรอิชินี้เป็นป้อมสำคัญแห่งหนึ่งของเมืองเซนได เพราะตั้งอยู่ในชัยภูมิที่ดีเยี่ยม ตั้งอยู่บนเนินเขา ด้านหนึ่งติดภูเขา อีกด้านหนึ่งติดแม่น้ำ จากยอดปราสาทสามารถมองเห็นความเคลื่อนของกองทัพข้าศึกที่จะเคลื่อนพลมารุกรานจากระยะไกลได้เป็นอย่างดี ป้อมแห่งนี้สร้างขึ้นมาราวเมื่อ 400 กว่าปีมาแล้ว ซึ่งป้อมปราสาทถูกครอบครองโดยท่านคาตาคูระ ขุนนางในตระกูลของท่านดาเตะ มาซามุเนะ เจ้าเมืองเซนไดผู้ยิ่งใหญ่ เป็นเสมือนป้อมปราการเมืองหน้าด่านของเซนได

ตามประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นนั้นก่อนที่จะมีการรวมชาติ ชาวญี่ปุ่นมีการแบ่งแยกกันปกครองของกลุ่มต่างๆโดยมีไดเมียวหรือเจ้าเมืองที่มีฝีมือมีกำลังรบที่เข้มแข็งกระจายกันไปทั่วดินแดน แต่ละไดเมียวก็จะสร้างสมกองกำลังนักรบหรือ " ซามูไร" ฝีมือดีไว้ในสังกัดคอยทำศึกสงคราม ซึ่งการรบพุ่งกันในสมัยนั้นก็คล้ายๆกับภาพที่เราเคยเห็นกันในหนังซามูไรทั้งหลาย โดยจะรบกันด้วยดาบซามูไรเป็นหลัก นอกจากนั้นก็จะมีอาวุธอื่นๆเช่นธนู มีดสั้น และอาวุธของมีคมอื่นๆ แต่ส่วนใหญ่ก็จะสู้รบกันแบบประจันหน้าด้วยอาวุธในมือและฝีมือเป็นหลัก ดังนั้นปราสาทชิโรอิชิที่เรา ไปเยี่ยมชมจึงมีลักษณะเป็นกำแพงสูงชันที่ก่อขึ้นจากก้อนหิน มีทางเข้าปราสาทที่ต้องผ่านประตูใหญ่ ตามประตูและทางเดินบนเชิงเทินของกำแพงก็จะมีทหารรักษาการณ์คอยป้องกัน มีช่องลับต่างๆที่คนบนกำแพงหรือบนซุ้มประตูจะสามารถใช้ธนูยิงลงมาใส่ข้าศึกที่เข้ามาบุกรุก หรือไม่ก็ใช้น้ำร้อน หรือน้ำมันเดือดราดลงมาใส่ เมื่อผ่านกำแพงและประตูเข้ามาสู่ตัวปราสาท ทางเดินขึ้นสู่ปราสาทมีลักษณะเป็นบันไดชัน ตามทางเดินเข้าสู่ปราสาทก็มีหลืบมีช่องลับให้ทหารรักษาการณ์ดักซุ่มสกัดกั้นผู้บุกรุกได้ตลอดทาง เมื่อผ่านช่วงฐานของปราสาทขึ้นไป
ชั้น 2 ของตัวปราสาทจะสร้างขึ้นด้วยไม้สนตามลักษณะสถาปัตยกรรมญี่ปุ่น ดูเข้มขลังและให้บรรยากาศของยุคซามูไรได้เป็นอย่างดี บันไดทางขึ้นสู่ยอดหอคอยปราสาทยิ่งชัน ด้วยในอดีตมิได้สร้างไว้เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว แต่สร้างไว้เพื่อป้องกันผู้บุกรุกมากกว่า

เมื่อขึ้นมาถึงยอดสูงสุดของหอคอยปราสาท สามารถจะเปิดประตูบานเลื่อนออกไปชมวิวทิวทัศน์บริเวณระเบียงรอบปราสาทได้ทุกทิศทาง เรียกว่าสามารถใช้เฝ้าสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวของผู้รุกรานได้รอบทิศ สามารถมองเห็นกว้างไกลออกไปถึงเชิงเขาหิมะซาโอะได้เลยทีเดียว เบื้องล่างซึ่งเป็นที่ราบเชิงเขารอบปราสาท เป็นที่ตั้งของเมืองขนาดย่อมๆ โดยในสมัยโบราณนั้นมีการแบ่งพื้นที่ตัวเมืองจากบริเวณปราสาทที่เป็นศูนย์กลาง โดยรอบปราสาทชั้นแรกจะเป็นที่อยู่อาศัยของบรรดาขุนนางและซามูไร รอบนอกออกไปจึงจะเป็นย่านของพ่อค้า และรอบนอกสุดก็จะเป็นพื้นที่อาศัยของชาวนาและพื้นที่ทำการเกษตร

เมื่อชมปราสาทเสร็จเราจึงลงมาชมบ้านของซามูไรซึ่งมีอายุกว่าร้อยปีแต่ยังคงเก็บรักษาสภาพให้คงอยู่ได้เป็นอย่างดี ลักษณะเป็นบ้านชั้นเดียวยกพื้นสูงเหนือเข่านิดหน่อย หลังคาบ้านมุงด้วยหญ้าต้นกลมที่อัดกันอย่างหนาแน่น โครงสร้างเป็นไม้ ผนังบ้านฉาบด้วยปูนเปลือยสีธรรมชาติประตูบานเลื่อนโครงไม้บุด้วยกระดาษสา ภายในบ้านปูพื้นด้วยเสื่อตาตามิซึ่งเป็นเบาะรูปสี่เหลี่ยมขนาดกว้างราวเมตรยาวราว 2 เมตรปูวางติดกันจนเต็มพื้นห้อง ภายในยังแบ่งสัดส่วนเป็นห้องต่างๆ มีห้องนอน ห้องรับแขกกั้นด้วยบานเลื่อน หากมองเผินๆอาจจะดูคล้ายๆผนังธรรมดาๆ แต่สามารถจะเปิดเลื่อนเข้าไปในห้องต่างๆ ได้ ด้วยเพราะเป็นบ้านซามูไร จึงต้องมีการเตรียมพร้อมเผชิญหน้ากับผู้บุกรุกอยู่ตลอดเวลา บานเลื่อนของบ้านซามูไรบางบานนั้นจึงมีการทำไว้หลอกศัตรู เช่นบางบานเลื่อนเปิดเข้าไปแทนที่จะเป็นทางเข้าไปในห้องก็กลับกลายเป็นผนังตันๆไม่มีอะไร ในขณะบางแห่งอาจจะดูเหมือนผนัง แต่กลับเลื่อนสไลด์ออกเป็นช่องลับเข้าออกได้ และบางมุมของบ้านก็จะสามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวของผู้ที่มาเยือน ได้ก่อนที่แขกผู้มาเยือนจะมองเห็น

แม้นจะเป็นบ้านซามูไร บ้านนักรบ แต่บริเวณรอบบ้านก็ยังจัดไว้เป็นสวนญี่ปุ่นที่สวยงาม มีบอนไซและไม้ประดับจัดแต่งไว้อย่างน่าชมและน่าอยู่ การจะเป็นซามูไรมิใช่จะเป็นกันได้ง่ายๆ โดยจะต้องผ่านการฝึกฝนการใช้ดาบ ใช้อาวุธจนเชี่ยวชาญ และได้รับการยอมรับให้เข้าสังกัดกับไดเมียวหรือเจ้าเมืองเสียก่อนเหมือนการได้รับการแต่งตั้งเข้ารับราชการทหาร ซึ่งในอดีตนั้นผู้ถือดาบที่เรียกว่าซามูไรนั้นจะถูกแบ่งแยกจากพลเรือนอย่างสิ้นเชิง และจะต้องมีกฎข้อบังคับ มีหลักการในการวางตัวในการดำเนินชีวิตที่ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดตามหลัก "บูชิโด" อันหมายถึง "วิถีแห่งนักรบ" โดยหลักการใหญ่ๆของบูชิโดจะมี 7 ข้อ คือยึดความยุติธรรม มีความกล้าหาญ มีจิตใจที่เมตตากรุณา อ่อนน้อม ซื่อสัตย์ รักเกียรติ และจงรักภักดี

บูชิโด อันเป็นหลักการที่ชาวซามูไรจะต้องยึดถืออย่างเคร่งครัดนั้นยังมีข้อปฏิบัติอีกมากมายที่มิได้กำหนดไว้เป็นลายลักษณ์อักษร แต่ก็ยึดถือปฏิบัติกันสืบมาอย่างมั่นคงและศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะในเรื่องของความสุภาพอ่อนน้อมใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย สมถะ รักเกียรติและจงรักภักดีต่อเจ้านายคนเดียว ซึ่งเป็นเสมือนคำปฏิญาณในการมาใช้ชีวิตเป็นซามูไร ความรักเกียรติยศและความจงรักภักดีต่อเจ้านายเหนือหัวผู้เดียวยิ่งชีพนั้น ถึงกับทำให้เกิดทำเนียมปฏิบัติในการทำ "ฮาราคีรี" หรือการคว้านท้องตัวเองตายตามเจ้านายของตนที่ปราชัยพ่ายแพ้ สิ้นชีพในสงคราม หรือในยามที่ไม่สามารถจะดำรงตนอย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรีในฐานะนักรบผู้ทรงเกียรติได้ "ฮาราคีรี" ก็จะเป็นหนทางเดียวที่จะดำรงเกียรติยศและศักดิ์ศรีของนักรบให้คงอยู่ต่อไปได้

ทุกวันนี้คงเป็นเรื่องยากที่จะหานักรบอาชีพที่ถือปฏิบัติเคร่งครัดในหลักการอันมีเกียรติและศักดิ์ศรีเช่นเดียวกับวิถีแห่งบูชิโด การมั่นคงต่อคำสัตย์ปฏิญาณ ซื่อสัตย์สุจริต กล้าหาญเด็ดเดี่ยว ไม่ข้องเกี่ยวกับพ่อค้า ไม่แสวงหาผลประโยชน์ ใช้ชีวิตอย่างมัธยัส และเหนือสิ่งอื่นใดก็คือความจงรักภักดีต่อชาติต่อราชบัลลังก์ หากนักรบผู้ทรงเกียรติไม่มีสิ่งเหล่านี้แล้ว ก็จะต่างอะไรกับกองโจรหรืออันธพาลชั้นต่ำที่ไร้เกียรติยศศักดิ์ศรีเล่า


โดย: jenifaae วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:20:58:39 น.  

 
*อันตรายจากการใช้ Copy+Paste

การใช้คีย์ลัดบนแป้นคีย์บอร์ดของเราเป็นส่วนหนึ่งที่ ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับการทำงานต่างๆของเราได้มาก
แต่ในบางกรณี ความสะดวกสบายเหล่านี้กลับต้องแลกมาด้วยความไม่ปลอดภ ัยเอาซะเลย

เพราะฉะนั้นผมขอแนะนำทุกๆท่านว่า อย่าใช้การ Copy & Paste กับข้อมูลที่มีความสำคัญ
เช่น หมายเลขบัตรเครดิต etc. เพราะการใช้ Ctrl+C หรือ Copy จะมีการเก็บค่าไว้ใน Clipboard ของ Windows
ซึ่งสามารถถูกอ่านผ่าน Web site ได้ด้วย Javascript + ASP

ลอง copy text อะไรก็ได้บนเครื่องแล้วเปิด URL ต่อไปนี้ดู

//www.friendlycanadian.com/appl.../clipboard.htm


หากเว็บนี้แสดงข้อความบนคลิปบอร์ดที่เราก๊อปปี้ไว้ แสดงว่าคุณยังไม่ได้ป้องกันครับ

วิธีการป้องกันง่ายๆ คือ

1. เปิด Internet Explorer ขึ้นมา, ไปยังเมนู Tools -> Internet Options -> Security
2. Click ที่ปุ่ม Custom Level
3. เปิดไปที่ Tab ที่ชื่อว่า security แล้วตั้งค่าโดยกดปุ่ม Custom Level..., แล้วหาคำว่า “Allow Paste Operations via Script.” จากนั้นเลือกที่ Disable เพื่อป้องกันการถูกล้วงข้อมูลจากคลิปบอร์ดของท่าน

(เปิดเว็บนั้นๆ ด้วย FireFox และ Opera ไม่พบปัญหาดังกล่าวนะครับ แต่ IE โดนแน่ๆ ป้องกันไว้ดีกว่าต้องมาน้ำตาตกทีหลังนะครับ)





*TCELS Day “ชีววิทยาศาสตร์ ชีวิตคุณภาพ”

จัดโดย ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ของประเทศไทย (TCELS)


ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

วันที่ 28-30 พฤษภาคม 2551


ตื่นตาตื่นใจและสัมผัส...

สุดยอดนวัตกรรม การดูแลรักษาสุขภาพแนวใหม่ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น

? เทคโนโลยีการตรวจสุขภาพระดับยีน(Genetics) หนึ่งในสุดยอดธุรกิจนวตกรรมไทย 2550

o การตรวจรักษาตามพันธุกรรม เฉพาะโรคหัวใจ ม ะเร็ง

? เวชศาสตร์อายุรวัฒน์ Anti-aging Medicine เปิดเผยศาสตร์ต้านความชรา

o วิธีเสริมฮอร์โมนตามธรรมชาติ

o รู้จักความชราในระดับดีเอ็นเอ

? เวชสำอางเชิงพาณิชย์ ผลงานวิจัยยอดเยี่ยมของเมืองไทย

o ยางพารา....พืชแห่งความงามและเศรษฐกิจ

? การบรรยายทางวิชาการ จากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน..

o ตรวจรหัสพันธุกรรมเพื่อคุณภาพชีวิตคนไทย

o ผสมเทียม : ต้องคัดกรองก่อนตั้งครรภ์

o Personalized Medicine : จัดยาตามยีน...ชาวเอดส์ไทยได้ประโยชน์ก่อน

o “อาหารดี...สร้างคุณภาพชีวิต ทำชีวิตยืนยาว”

o เวชศาสตร์อายุรวัฒน์ : ชะลอความชราอย่างไร

o วัคซีนไข้เลือดออก...ความหวังของโลก

o โลกตะลึง “มหัศจรรย์ยางพารา”: พืชแห่งความงามและเศรษฐกิจ”

o “Growth Hormone” เพื่อชีวิตที่ยั่งยืน

o ประเทศไทยกับมหันตภัยโลกร้อน

o RF Technology : เสริมความงาม ต้านชรา...กำลังมาแรง


สนใจร่วมฟังการบรรยาย เพื่อสุขภาพชีวิตแนวใหม่ ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพื่อลงทะเบียนสำรองที่นั่ง พร้อมรับสิทธิพิเศษ (จำนวนจำกัด) โทร. 02-644-5499 และ //www.tcels.or.th/th/TCELSDay.asp


สิทธิพิเศษ ! ภายในงาน...

? ฟรี ! ครีมหน้าขาวและเด้ง สารสกัดจากน้ำยางพารา ผลงานวิจัยยอดเยี่ยมจาก มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

? การตรวจยีนเพื่อลดความเสี่ยงโรคหัวใจ มะเร็ง และยีนแพ้ยาคุมกำเนิด

? การตรวจเช็คสัญญาณความชรา และโปรแกรมการตรวจร่างกายแบบอายุรวัฒน์ เพื่อให้คุณมีอายุยืนยาวได้อย่างมีความสุขและมีคุณภาพ

? รับสิทธิทดลองโปรแกรมความงามจากเครื่อง Radio Frequency (RF) ลดความเหี่ยวย่นบนใบหน้า ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ และทำให้มีเรือนร่างที่สวยงามในเวลายังสั้น


โดย: jenifaae วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:20:59:03 น.  

 
*5 วิธีปกป้องโลก สารคดี Five Ways To Save The World
ทางช่องดิสคัฟเวอรี่ แชนแนล วันพุธที่ 16 เม.ย. 2551 เวลา 21.00 น. ทางช่องทรูวิชั่นส์ 47.

วันนี้ใครไม่เคยได้ยินหรือรับรู้เกี่ยวกับปัญหาโลกร้อนที่เกิดขึ้นทั่วโลก อาจจะถูกหาว่าเชยหรือเป็นคนที่ไม่เคยสนใจไยดีกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เพราะใครต่อใครต่างลุกขึ้นมาหาวิธีการเพื่อปกป้องโลกใบนี้

พฤศจิกายน 2006 นาซารับบทเป็นเจ้าภาพต้อนรับคณะนักวิทยา ศาสตร์ระดับสุดยอดของโลก พวกเขาประชุมกันในแคลิฟอร์เนีย เพื่อเสนอทางออกแบบถอนรากถอนโคนสำหรับภาวะโลกร้อนที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งถือเป็นภัยคุกคาม ใหญ่หลวงที่สุดเท่าที่มนุษยชาติเคยเผชิญ

วิธีแรกในห้าวิธีที่จะช่วยโลกคือวิธีที่แพงและท้าทายที่สุด เป้าหมายของมันก็คือการลดปริมาณแสงแดดที่ส่องมายังโลก โรเจอร์ แองเจล นักดาราศาสตร์ หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญชั้นนำของโลกด้านเลนส์แก้ว คิดว่าเขาสามารถทำแบบนั้นได้

*โรเจอร์ คำนวณว่า เขาน่าจะต้องหักเหรังสีของดวงอาทิตย์เพียงสองเปอร์เซ็นต์เท่านั้น เพื่อจะลดภาวะโลกร้อน ทว่าแม้กระทั่งปริมาณแค่นั้นมันก็จะต้องอาศัยอุปกรณ์บังแดดที่กว้างอย่างไม่น่าเชื่อถึง 100,000 กิโลเมตร มันจะถูกวางไว้ห่างจากโลกหนึ่งล้านหกแสนกิโลเมตร และโคจรรอบดวงอาทิตย์ตรงตำแหน่งซึ่งรู้จักกันในนามจุด L1 คือจุดที่แรงโน้มถ่วงระหว่างดวงอาทิตย์กับโลกเป็นศูนย์

*แต่ความท้าทายในเรื่องนี้ คือ การทำให้อุปกรณ์บังแดดนี้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ และการส่งอุปกรณ์ทั้งหมดที่หนักกว่า 20 ล้านตัน และสิ่งที่พวกเขาคิดได้ก็คือ เรียลลอนเชอร์ ชุดขดลวดไฟฟ้าภายในอุโมงค์ยาว 2 กิโลเมตร ขณะที่จรวดพุ่งผ่านขดลวดแต่ละอัน มันจะได้รับแรงสั่นสะเทือนไฟฟ้าซึ่งทำให้เร่งความเร็วได้มากขึ้น และเพื่อการเดินทางสู่อวกาศมันจะต้องตั้งอยู่บนยอดเขาที่อากาศเบาบางที่สุด ขณะที่แรงต้านทานของชั้นบรรยากาศโลกมีน้อยลง โดยยานส่งแก้วแต่ละลำจะมีระบบจัดวางตำแหน่งและแผงโซลาร์นำทาง

เวลาเดียวกันนั้นทีมที่สองก็คิดค้นวิธีการที่ดูเหมือนจะง่ายกว่า อย่างการเลียนแบบสภาพบรรยากาศของเมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งหมอก ซึ่งทำหน้าที่เหมือนระบบปรับอากาศตามธรรมชาติ

*สตีเวน ซอลเตอร์ วิศวกร และ จอห์น ลาแธม นักฟิสิกส์ด้านบรรยากาศ กำลังออกค้นหาเมฆที่มีลักษณะเฉพาะที่เป็นประกายและสะท้อนรังสีของดวงอาทิตย์กลับไปสู่อวกาศ ทั้งสองคิดว่าจะใช้เรือยอชท์พลังลม เพื่อพ่นละอองน้ำทะเลเข้าไปในเมฆเหมือนกับปืนสเปรย์ขนาดยักษ์

ละอองน้ำหยดเล็ก ๆ เหล่านี้จะระเหยไปเหลือแต่อนุภาคเกลือที่แวววาว มันจะขึ้นไปสู่เมฆและจะดูดไอน้ำในนั้นซึ่งจะมาควบแน่นอยู่ที่อนุภาคเกลือทำให้เมฆหนาขึ้นและสะท้อนแสงมากขึ้น

อีกแผนที่อยู่บนโต๊ะประชุมลับของนาซาก็คือ แผนซึ่งเกิดจากความหายนะทางธรรมชาติ โดยศึกษาจากเมื่อครั้งที่ภูเขาไฟโทบา บนเกาะสุมาตราระเบิดเมื่อ 71,000 ปีที่แล้ว ละอองเถ้าถ่านภูเขาไฟและกำมะถันที่ถูกพ่นขึ้นไปสูง 34 กิโลเมตร สู่บรรยากาศชั้นสตรา โตสเฟียร์บดบังแสงอาทิตย์จนโลกเข้าสู่ฤดูหนาวยาวถึง 6 ปี ก่อนจะตามมาด้วยยุคน้ำแข็งนานหนึ่งพันปี

วิธีการที่ พอล ครุทเซน เจ้าของรางวัลโนเบลที่มาของรูรั่วโอโซนที่ทวีปแอนตาร์กติกจนทำให้เกิดการรณรงค์เพื่อลดการใช้สารซีเอฟซีตามมาคิดขึ้นก็คือ การยิงจรวดบรรทุกกำมะถันนับร้อย ๆ ลูกขึ้นไปสู่ชั้นบรรยากาศที่ว่า โดยมีตัวอย่างที่เพิ่งผ่านไปอย่างการระเบิดของภูเขาไฟปีนาตูโบเมื่อปี 1991 จนทำให้อุณหภูมิโลกลดลง 0.6 องศาเซลเซียส

แต่การนำกำมะถันจำนวนมหาศาลขึ้นไปยังชั้นบรรยากาศนั้นก็ยังเป็นเรื่องเสี่ยงกับผลกระทบที่จะตามมา การพยายามลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศจึงเป็นอีกวิธีที่ เอียน โจนส์ วิศวกรด้านมหาสมุทรจากมหาวิทยาลัยซิดนีย์คิดขึ้น โดยมีแพลงก์ตอนพืชจำนวนมากในมหาสมุทรที่สามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้เป็นตัน ๆ

*แพลงก์ตอนพืชที่เบ่งบานในอ่าวซิดนีย์หลังจากน้ำท่วมได้พัดพาธาตุอาหารลงทะเล สามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ราว 80,000 ตัน หรือเท่ากับปริมาณที่รถ 20,000 คันปล่อยออกมาในแต่ละปี ขณะที่นักวิจัยพบว่าหลังจากแพลงก์ตอนดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป มันจะปล่อยก๊าซออกซิเจนออกมา ส่วนคาร์บอนยังอยู่ในตัวพวกมันและจะจมลงสู่ก้นมหาสมุทรเมื่อพวกมันตาย ทว่าการมีแพลงก์ตอนพืชมากไปก็ส่งผลต่อระบบนิเวศในทะเลด้วยเช่นกัน

วิธีการสุดท้ายก็คือ การเลียนแบบนักดักจับคาร์บอนที่เก่งที่สุดในโลกอย่างต้นไม้ เคลาส์ แล็คเนอร์ นักธรณีฟิสิกส์ พัฒนาขึ้นมาจากโครงงานวิทยาศาสตร์ของลูกสาว โดยมีโซเดียมไฮดรอกไซด์เป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ เพราะมันสัมผัสกับคาร์บอนไดออกไซด์มันจะดูดซับและก่อให้เกิดสารละลายโซเดียมคาร์บอเนตในสภาพของเหลว จากนั้นมันจะถูกส่งไปตามท่อเพื่อผ่านกระบวนการเปลี่ยนเป็นก๊าซเข้มข้นและจัดเก็บขั้นสุดท้าย

วิสัยทัศน์ของเคลาส์ก็คือ การสร้างต้นไม้สังเคราะห์นับพัน ๆ ต้นเหมือนฟาร์มกังหันลม เพื่อกรองคาร์บอนไดออกไซด์ของโลกออกไป เขาประมาณว่าต้นไม้สังเคราะห์แบบนี้หนึ่งต้นจะขจัดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ปีละ 90,000 ตัน ซึ่งเท่ากับปริมาณที่รถกว่า 20,000 คันปล่อยออกมา

แต่ก่อนที่จะต้องใช้วิธีการทั้ง 5 ที่นักวิทยาศาสตร์คิดค้น การช่วยกันลดภาวะโลกร้อนด้วยวิธีการง่าย ๆ น่าจะเป็นทางออกที่เหมาะสมและไม่สิ้นเปลืองสำหรับวันนี้ ติดตามวิธีการเหล่านี้ได้ในสารคดี Five Ways To Save The World ทางช่องดิสคัฟเวอรี่ แชนแนล วันพุธที่ 16 เม.ย. 2551 เวลา 21.00 น. ทางช่องทรูวิชั่นส์ 47.




*ภาพนี้หมุน ทวนหรือตามเข็มนาฬิกา



พอได้คำตอบแล้วมาเฉลยกันดีกว่า …

V

V

V

V

V




คนเห็นตามเข็มแสดงว่า ใช้สมองซีกขวามากกว่าซีกซ้าย
ในทางกลับกัน หากเราเห็นทวนเข็มแสดงว่า
เราใช้สมองซีกซ้ายมากกว่าซีกขวา …



สำหรับคนที่ใช้สมองซีกซ้ายมากกว่า ... คุณมีแนวโน้มที่จะ ...
-ตัดสินใจโดยใช้เหตุผล
-สนใจรายละเอียด
-อยู่บนพื้นฐานของความจริงมากกว่าการคาดการณ์
-มีความสามารถในการเลือกใช้ศัพท์และมีความสามารถทางภาษาศาสตร์
-สนใจในอดีตมากกว่าอนาคต
-มีความสามารถทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์
-มีความสามารถในการทำความเข้าใจเรื่องที่มีความซับซ้อนได้เร็ว
-รอบรู้
-ยอมรับผู้คนหรือเรื่องราวใหม่ๆได้ง่าย
-มีระเบียบวินัย
-จดจำชื่อต่างๆได้ดี
-อยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง
-วางกลยุทธ์ต่างๆได้ดี
-เน้นผลในทางปฎิบัติ
-ปลอดภัยไว้ก่อน


สำหรับคนใช้สมองซีกขวามากกว่า ... คุณมีแนวโน้มที่จะ …

- ให้ความสำคัญกับอารมณ์และความรู้สึก
-ตัดสินใจจากภาพรวมมากกว่ารายละเอียด
-มีจินตนาการสูง
-มีความสามารถในทางตรรกศาสตร์
-สนใจอนาคตมากกว่าอดีต
-สนใจในทางปรัชญาและศาสนา
-เข้าใจประเด็นที่คนอื่นต้องการสื่อสารได้ดี
-ลึกซึ้งต่อเรื่องต่างๆ
-เป็นที่นิยมชมชอบ
-โยงประเด็นและความเกี่ยวเนื่องของเรื่องราวต่างๆได้ดี
-ชอบฝันเฟื่อง
-ประเมินผลกระทบสำหรับทางเลือกต่างๆได้อย่างรวดเร็ว
-คึกคะนอง ... หรือในบางกรณีมุทะลุ
-เสี่ยงเป็นเสี่ยงกัน


โดย: jenifaae วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:20:59:45 น.  

 
*ปฏิทินกิจกรรมจาก ประชาไท


คลิกที่นี่ >>>






*บทความ : ตั้ง 'ศูนย์ยุติธรรมชุมชน' เปิดพื้นที่ความคิดให้ประชาชน

พุดตานป่า


ตั้งแต่ปี พ.ศ.2547 กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ โดยกองส่งเสริมระงับข้อพิพาท เริ่มดำเนินโครงการ 'ส่งเสริมการจัดการความขัดแย้งของชุมชน โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน' ร่วมกับศูนย์อาชญาวิทยา มธ.

นางสุวณา สุวรรณจูฑะ อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กล่าวว่า คนในชุมชนเป็นผู้รู้เรื่องของชุมชน ถ้าประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมก็จะสามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุด 'โครงการนี้ถือเป็นพัฒนาการของการทำงานในชุมชนมาตามลำดับ ตอนนี้กรมทำงานย่างเข้าปีที่ 6 เริ่มแรกมีการศึกษาว่าการจะทำงานร่วมกับชุมชนให้ได้ประโยชน์ ควรเป็นอย่างไร ในที่สุดก็ได้คำตอบว่า เราควรมีเครือข่าย ซึ่งเรียกว่า 'เครือข่ายคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ' และให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง' นางสุวณา กล่าวเพิ่มเติม

แต่เนื่องจากกรมคุ้มครองสิทธิฯ เป็นหน่วยงานเล็ก การทำงานจึงต้องค่อยๆ คืบไปทีละก้าว โดยเริ่มต้นจากการตั้ง 'ศูนย์ยุติธรรมชุมชน' ในพื้นที่นำร่องทั่วประเทศ 13 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ขอนแก่น สกลนคร สุรินทร์ ลพบุรี อ่างทอง ฉะเชิงเทรา ตรัง ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ซึ่งบทบาทการจัดการความขัดแย้งอยู่ที่ชุมชนเอง ส่วนกรมคุ้มครองสิทธิฯ เข้าไปเป็นเพียงผู้หนุนเสริมเรื่องเครื่องมือ คำปรึกษาและทุนในการดำเนินงาน

สิ่งที่กรมคุ้มครองสิทธิฯ ให้ความสำคัญ จึงอยู่ที่ความสามารถในการจัดการความขัดแย้ง โดยให้ประชาชนรู้เรื่องกฎหมาย สิทธิ และเสรีภาพ ให้เกิดความรู้ในเรื่องความขัดแย้งอย่างเป็นระบบ และมีการผลักดันให้เกิดกระบวนการยุติธรรมทางเลือก หรือ 'กระบวนการยุติธรรมชุมชน'

ที่ผ่านมา กระบวนการยุติธรรมแบบเดิมหรือที่เรียกว่า 'ยุติธรรมกระแสหลัก' นั้น เป็นการทำงานตามแนวนโยบายที่ปล่อยให้ทุกอย่างผ่านขั้นตอนของระบบ แต่เมื่อคำนวณต้นทุนของความสูญเสียแล้วพบว่ามีมาก โดยเฉพาะเรื่องค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดีในศาล

คดีลด คดีไม่รกศาล ผู้ต้องหาลด กรมคุมประพฤติไม่ต้องเข้ามาดูแลคดีมาก จึงเป็นสิ่งที่กรมคุ้มครองสิทธิฯ คาดหวัง...


ทั้งนี้ การจัดการความขัดแย้งอยู่ในประเด็นปัญหาด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตโดยรวม แบ่งเป็นด้านต่างๆ คือ กลุ่มที่ดินทำกินและทรัพยากรธรรมชาติ, กลุ่มที่อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อม, กลุ่มการประกอบอาชีพ เกษตรกรรมและหัตถกรรม, กลุ่มแรงงานและสวัสดิการสังคม, กลุ่มหนี้สินภาคประชาชน, กลุ่มความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน

ภายหลังจากการเกิดเครือข่ายชุมชนนำร่องด้านการระงับข้อพิพาทแล้ว ชุมชนสามารถจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธีได้มากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดทางภาคใต้

ความเป็นอยู่ของแต่ละชุมชนมีมิติการจัดการไม่เท่ากันเพราะพื้นฐานคนในชุมชนไม่เหมือนกัน ฉะนั้นการจัดการจึงต้องเข้าใจความละเอียดอ่อนในส่วนนี้ด้วย ซึ่งกรมคุ้มครองสิทธิฯ ถือว่าเป็นมิติของความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่จะต้องเข้าไปเรียนรู้

นางสุวณา ให้ความเห็นว่า 'สามจังหวัดภาคใต้เราทำงานประสบความสำเร็จมาแล้ว ซึ่งต้องยอมรับว่า บางครั้งเป้าหมายของรัฐกับชุมชนก็ไม่ตรงกัน จึงต้องมีการแลกเปลี่ยนร่วมกัน คือทำอะไรก็ตามชุมชนเองก็ต้องยอมรับได้ด้วย'

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว การสร้างเครือข่าย การจัดการให้เกิดวิทยากรเครือข่ายในชุมชนจึงเกิดประสิทธิภาพขึ้นเรื่อยๆ เพราะเมื่อกรมคุ้มครองสิทธิฯ ออกจากพื้นที่ไปทำงานอื่นๆ คนในชุมชนก็จะต้องเป็นผู้รับหน้าที่ในการรักษาความเข้มแข็งของชุมชนต่อไป ศักยภาพการดูแลชุมชนด้วยชุมชนเองเป็นหลักก็ยกระดับขึ้น...

เช่นเดียวกับจังหวัดตรัง ที่มีคุณลักษณะพิเศษของการรวมกลุ่มจากเวทีภาคประชาชนเป็นทุนเดิม การตั้ง 'ศูนย์ยุติธรรมชุมชน' จึงก้าวคืบก้าวศอก ปีนี้คาดว่าจะตั้งศูนย์ยุติธรรมชุมชน หรือศูนย์จัดการความขัดแย้งได้ 13 พื้นที่ทั่วจังหวัด มากกว่าพื้นที่อื่นซึ่งมีเพียงหนึ่งแห่ง นับเป็นความเข้มแข็งที่มีรูปธรรมเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ

การทำงานของกรมคุ้มครองสิทธิฯ ในจังหวัดตรัง ผ่านศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นจังหวัดตรัง (สกว.ตรัง) เป็นหลัก แล้วประสานงานเพิ่มเติมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย ได้แก่ กรมคุมประพฤติ งานบังคับคดี สถานพินิจและคุ้มครองเด็ก สถานีตำรวจภูธรในท้องที่ เรือนจำจังหวัด ซึ่งความร่วมมืออย่างรอบด้านเป็นปัจจัยที่ทำให้คนในชุมชนมั่นใจและเกิดการยอมรับขึ้นตามลำดับ

ปัจจุบันกระบวนการยุติธรรมในจังหวัดตรังมีอาสาสมัครจำนวน 214 คน ซึ่งมีความเข้าใจในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและยอมความในระดับท้องถิ่นได้

ไม่เพียงแต่ประโยชน์ที่ชุมชนจะได้รับ การตั้งศูนย์ยุติธรรมชุมชนอย่างพร้อมเพรียงในจังหวัดตรัง กำลังจะเป็นรูปธรรมอีกระดับในแง่ของการเป็นแหล่งเรียนรู้ของภาคใต้ ล่าสุด คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ลงพื้นที่เพื่อศึกษาชุมชนโดยหวังว่าให้เกิดความร่วมมือด้านการบริการเรื่องกฎหมายกับชุมชน และนักศึกษาเองก็จะสามารถพบกรณีตัวอย่างได้จากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่

อ.มงคล มาลยารม รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะนิติศาสตร์ กล่าวว่า 'การมีกิจกรรมเสริมหลักสูตร และนำองค์ความรู้ที่เรียนมาใช้ในชุมชนได้จริง ถือเป็นตัวชี้วัดคุณภาพทางการศึกษา ซึ่งการตั้งศูนย์ยุติธรรมขึ้นเป็นภารกิจที่เป็นหลักในการเชื่อมโยงทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน'

การร่วมแรงร่วมใจครั้งนี้จึงไม่ได้ส่งผลเพียงวงแคบๆ ในชุมชนเล็กๆ เท่านั้น หากแต่แนวคิดในการเปิดพื้นที่ให้ชุมชนเข้าไปเป็นผู้กำหนดทิศทางการดำเนินชีวิตด้วยตัวเอง เป็นการสร้างพลังให้ชุมชนมั่นใจในกระบวนการยุติธรรมว่ามีอยู่จริง

นอกเหนือจากการจัดการความขัดแย้งแล้ว กระบวนการยุติธรรมทางเลือกจึงเป็นกระบวนการที่ส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพ คือ ป้องกันปัญหาล่วงหน้าก่อนที่จะเกิดการละเมิดสิทธิ และให้ความรู้ในเรื่องสิทธิอย่างเท่าเทียมไม่แบ่งชั้น

หลายครั้งที่ต่างฝ่ายต่างก็โทษสิ่งรอบข้างว่าเป็นตัวปัญหา แต่การแก้ปัญหาความขัดแย้งในครั้งนี้คงเป็นแนวทางให้รัฐและประชาชนอยู่ร่วมกันเป็นคู่ขนาน แบบที่ไม่มีพระเอกและตัวรอง เพราะต่างก็มีเป้าหมายที่จะไปถึงเหมือนกัน

สำคัญแต่ระหว่างทางคงต้องจับมือกันเป็นระยะ เพื่อไม่ให้เส้นทางความเข้มแข็งขาดตอน


--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 15/4/2551


โดย: jenifaae วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:21:00:08 น.  

 
* เวทีนักวิชาการและองค์กรพัฒนาเอกชน เสนอแก้ไขมาตรา 291 เพื่อจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ

วันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน 2008 16:53น.

โต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา

*เนื่องจากพรรคพลังประชาชนได้พยายามเสนอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 โดยอ้างว่าเนื้อหาสาระและที่มาของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่เป็นประชาธิปไตย ทำให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบุคคลและองค์กรหลายองค์กรออกมาคัดค้านไม่ยอมให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยอ้างว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคพลังประชาชนเป็นการหนีการยุบพรรคและหลีกเลี่ยงการตรวจสอบการทุจริตของ พตท. ทักษิณ ชินวัตรความขัดแย้งดังกล่าวมีแนวโน้มนำไปสู่การเผชิญหน้าและการใช้ความรุนแรงในสังคมไทยเมื่อวันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน 2550
กลุ่มนักวิชาการและตัวแทนองค์กรพัฒนาเอกชนผู้มีรายนามข้างท้ายได้จัดประชุมแลกเปลี่ยนกันในหัวข้อ“ก้าวให้พ้นการเมือง 2 ขั้ว ประชาชนต้องมีทางเลือก” ณ ห้องประชุมสมาคมนิสิตเก่าคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย และที่ประชุมได้มีข้อเสนอโดยหลักการดังต่อไปนี้
1.การแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นไม่ควรเป็นไปเพียงเพื่อแก้สถานการณ์การเมืองเฉพาะหน้าเพราะมีแต่จะนำไปสู่การเผชิญหน้าและความขัดแย้งที่อาจนำไปสู่ความรุนแรงได้
2.รัฐธรรมนูญฉบับพ.ศ. 2550 มีปัญหาทั้งในแง่กระบวนการและเนื้อหาที่ต้องมีการแก้ไข เช่น กระบวนการสรรหาองค์กรอิสระสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้ง ฯลฯ
3.กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะเกิดขึ้นนี้ผู้ร่างต้องมาจากกลุ่มบุคคลที่หลากหลาย เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมและต้องมีการสื่อสารกับประชาชนในวงกว้างที่สุด
4.ประเด็นที่ข้อขัดแย้งในร่างรัฐธรรมนูญควรมีการลงประชามติเพื่อให้ประชาชนตัดสิน

เพื่อเปิดโอกาสให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามหลักการดังกล่าวข้างต้นที่ประชุมได้มีข้อสรุปว่าควรจะมีการเสนอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550มาตรา 291 เพื่อจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ ให้มาทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญในลักษณะเดียวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2540





*ประชุมนานาชาติครั้งที่ 2 เรื่อง Intellectual Disabilities/Mental Retardation

เรียนทุกท่าน

WHO หรือ องค์การอนามัยโลก รวมกับเครือข่ายพันธมิตร จะจัดประชุมนานาชาติครั้งที่ 2 เรื่อง Intellectual Disabilities/Mental Retardation ในวันที่6-8 พฤศจิกายน 2551 ดูรายละเอียด ได้ที่

//www.bangkok-id-conference.org

ขอบคุณ

Saowalak Thongkuay
Regional Development Officer (RDO)
Disabled Peoples' International Asia Pacific Region (DPI-AP)
29/486 Moo 9 Soi 12 Muangthong Thani
Bangpood Pakkred, Nontaburi
Thailand 11120
Email: saowalak@dpiap.org thongkuay@yahoo.com
Tel: 66 2 503 4268 Fax: 66 2 503 4269
website: //www.dpiap.org

Dear Colleagues,

We are happy to inform you that the transcripts of all the speeches and presentations that were delivered at the 2nd International Conference on Intellectual Disabilities/Mental Retardation, are now available on the conference web site //www.bangkok-id-conference.org..

We have also posted on the web site the photos that were taken throughout the 3 days of the conference and a slide show called “Conference at a Glance” which highlights the main events of this very successful event.

We sincerely hope that you enjoy our site and please feel free to provide us with feedback .

Best Regards,


Céline Mercier Gaston Harnois
Co-Chair Scientific and Programme Committee Co-Chair Organizing Committee


โดย: jenifaae วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:21:00:39 น.  

 
*Chinese government adopted a law amendment

Last week, the Chinese government adopted a law amendment to better protect the country's more than 83 million persons with a disability, in the run-up to the Beijing 2008 Paralympic Games in September.

The amendment to the Law on Protection of the Disabled, which has been discussed twice by the Standing Committee of the National People's Congress in February and April, was expected to go into effect on 1 July 2008.

"Caring for persons with a disability is a sign of social progress, and is an important part of building a harmonious society," said China's government official Wu Bangguo at the meeting. "Persons with a disability should be guaranteed the right to play a fair role in social life and share the fruits of our country's economic and social development", he added.

It is the first law amendment adopted by the 11th NPC Standing Committee, which convened its first meeting in March this year.

The amendment added details about stable financial support, better medical care and rehabilitation for persons with a disability, along with favorable jobs and tax policies. Governments at county level or above should provide stable funding and draw up annual plans to persons with a disability. Governments and social organizations, enterprises, and non-government organizations should have a quota of persons with a disability on their payroll, and should contribute to persons with a disability in other aspects if they failed to meet the quota. Government purchase should also give priority to products or services provided by persons with a disability, according to the amendment.

Furthermore, the amendment also made clearer the legal consequences of violating the rights and interests of persons with a disability.

China is the host of the Beijing 2008 Paralympics in September 2008 as well as the Asian Para Games in Guangzhou in 2010.

According to the China Disabled Persons' Federation (CDPF), the country has about 83 million disabled, accounting for 6.34 percent of the population. More than 75 percent of persons with a disability live in rural areas.
//www.cdpf.org.cn/english/index.htm




*เมื่อจีนปรับตัวสู่ 'Green Products'

เมื่อเร็วๆนี้กระทรวงพาณิชย์จีน เปิดเผยรายงาน การสำรวจสถานการณ์ส่งออก พบว่า ปีนี้ผู้ส่งออกจีนที่เน้นส่งออกสินค้าใช้แรงงานถูก มีแนวโน้มเจอศึกหนัก จากต้นทุนวัตถุดิบที่พุ่งสูงขึ้น ผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อเงินหยวนที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ความต้องการในตลาดต่างประเทศที่ลดลง ยังไม่รวมปัจจัยเงินคืนภาษีที่รัฐมีนโยบายตัดลดลงซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเบา และสิ่งทอ ปัญหาที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบค่อนข้างรุนแรงกับผู้ส่งออกรายเล็กของจีน และกลุ่มที่ใช้แรงงงานราคาถูกผลิตสินค้า สถานการณ์ล่าสุดหลายบริษัทเริ่มหยุดรับออร์เดอร์ บางรายหันมารับออร์เดอร์ระยะสั้นๆแทน และหากจีนตัดเงินคืนภาษีลงอีกคาดกันว่าจะส่งผลให้ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทเหล่านี้เข้าสู่ภาวะเสี่ยง และต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด ก่อนหน้านี้จีนประกาศตัดเงินคืนภาษีสินค้าส่งออกบางตัวลงไปแล้วเพื่อลดภาวะเกิดดุลการค้ากับต่างประทเศ แต่นักวิเคราะห์ยังเชื่อว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวอาจส่งผลกับการส่งออกของจีนโดยตรและเสี่ยงต่อการนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวได้ จากตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนไตรมาสแรกปีนี้ขยายตัวในอัตรา 10.6% เทียบกับปีที่ผ่านมา 11.9% การค้าเกินดุลไตรมาสแรกที่ 14,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับปีก่อน 46,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ปัญหาใหญ่ของผู้ส่งออกขณะนี้ คือต้องแบกรับต้นทุนวัตถุดิบนำเข้าที่พุ่งสูงแต่ไม่สามารถปรับราคาขายขึ้นได้เพราะความต้องการในตลาดโลกลดลง นอกจากนี้ผู้ส่งออกยังมีปัญหาขาดสภาพคล่องและต้นทุนเงินกู้ที่สูงขึ้น เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายคุมเข้มเรื่องสินเชื่อ
เช่นเดียวกับผู้ผลิตจีนซึ่งก็หนีไม่พ้นผลกระทบจากต้นทุนที่สูงขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะต้นทุนที่เป็นผลต่อเนื่องมาจากมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม หลังจากที่รัฐบาลจีนเพิ่มมาตรฐานควบคุมสิ่งแวดล้อมมาตั้งแต่เมื่อปีที่ผ่านมา โดยบริษัทที่ถูกระบุว่าละเมิดกฎหมายสิ่งแวดล้อมจะถูกห้ามเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ เช่นงานแสดงสินค้าและอื่นๆ

รัฐบาลจีนเริ่มทำแคมเปญพิเศษต่อต้านบริษัทที่ก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ทำให้บริษัทหรือผู้ที่ละเมิดกฎหมายสิ่งแวดล้อมเหล่านี้สูญโอกาสในการส่งออกสินค้า และยังถูกขึ้นบัญชีดำ(blacklist)ระงับการปล่อยเงินกู้ นอกจากนี้กระทรวงคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ยังจับมือกับ ธนาคารแห่งชาติจีน และสำนักกำกับดูแลธนาคาร ออกนโยบาย "เงินกู้สีเขียว หรือ Green Loan" เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นแคมเปญห้ามปล่อยกู้ให้กับบริษัทที่ถูกขึ้นบัญชีดำ และผู้ที่ละเมิดกฎหมายสิ่งแวดล้อมขั้นรุนแรงจะถูกลงโทษถึงขึ้นปิดกิจการนาน 3 ปี

ทำให้ผู้ผลิตจีนเริ่มปรับตัวหันมาให้ความสำคัญกับประเด็นสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น ไฮเออร์ ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ของประเทศ ประกาศใช้ "นโยบายสีเขียว หรือ Green Strategy" ด้วยการผลิตสินค้าใหม่กว่า 100 ชนิดที่เน้นปกป้องสิ่งแวดล้อม เช่น ผลิตเครื่องซักผ้าที่ไม่ต้องใช้ผงซักฟอก ซึ่งได้รับความสนใจและมีออร์เดอร์เข้ามาจำนวนมาก

นอกจากนี้ยังมีผู้ผลิตสินค้าอื่นๆ เช่น เฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน และของเด็กเล่น ต่างก็หันมาผลิตสินค้าที่ใช้วัสดุรีไซเคิลได้ เช่น ไม้ หญ้า รวมไปถึงการปรับกระบวนการทั้งระบบ ตั้งแต่การออกแบบ ผลิตและรีไซเคิล ไปจนถึงการขาย หรือหันมาผลิตสินค้าที่ประหยัดพลังงานและช่วยอนุรักษ์โลกกันชัดเจนมากขึ้น

ซึ่งการปรับตัวของผู้ผลิตจีนครั้งนี้ หมายถึง การพัฒนาและนำเอาเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาใช้ในการผลิตเพื่อให้ได้สินค้าคุณภาพดีตามมาตรฐานโลก แทนในอดีตที่เน้นผลิตสินค้าราคาถูกและคุณภาพต่ำ แม้จะเป็นการปรับตัวตามกระแสโลกที่หันมานิยม Green Products แต่ถ้าจีนปรับเปลี่ยนได้เร็วก็ถือเป็นคู่แข่งไทยที่น่ากลัว

URL source : //www.thannews.th.com
Other source :นสพ. ฐานเศรษฐกิจ, ฉบับที่ 2319


โดย: jenifaae วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:21:01:30 น.  

 
*เสวนา: ภัยพิบัติไซโคลนในพม่าและบทเรียน

สุชาดา สายหยุด

มูลนิธิส่งเสริมสันติวิถี



เมื่อวันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม 2551 ที่ผ่านมา หน่วยปฏิบัติการวิจัยแม่โขงศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับธนาคารออมสิน จัดเสวนาวิชาการเรื่อง "ภัยพิบัติไซโคลนในพม่าและบทเรียน" เพื่อให้เกิดการเรียนรู้เกี่ยวกับภัยธรรมชาติและผลกระทบ ที่สำคัญที่สุด คือ การจัดการในช่วงฉุกเฉิน ฟื้นฟู และการเตรียมการรับมือกับภัยพิบัติที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งร่วมรับบริจาคและปัจจัยความช่วยเหลือชาวพม่าที่ประสบภัย โดยมีวิทยากรร่วมเสวนาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งสำนักพยากรณ์อากาศ มูลนิธิศุภนิมิตร สภากาชาดไทย และตัวแทนผู้ประสบภัยจากพม่า โดยมีอาจารย์ ดร.สุเนตร ชุตินธรานนท์ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องพม่าเป็นผู้ดำเนินรายการเสวนาครั้งนี้

ในช่วงแรก ดร. สมชาย ใบม่วง ผู้อำนวยการสำนักพยากรณ์อากาศ ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับที่มาที่ไปของพายุไซโคลนนาร์กีส และธรรมชาติของการเกิดพายุในภูมิภาคนี้ว่า การตั้งชื่อพายุนั้นจะเรียกแตกต่างกันไปตามแหล่งที่เกิด ซึ่งกำหนดขึ้นตามหลักสากล เช่น ถ้าเกิดในฝั่งทะเลอันดามันจะเรียกว่า "ไซโคลน" ถ้าเกิดในทะเลจีนใต้จะเรียกว่า "ไต้ฝุ่น" เป็นต้น โดยพายุชนิดนี้มีความเร็วลมมากกว่า 118 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สำหรับไซโคลนนาร์กีสซึ่งมีความเร็วถึง 190 กม/ชม. นั้นพบว่ามีการก่อตัวจากความกดอากาศต่ำตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน พัฒนาเป็นดีเปรสชั่น และไซโคลนตามลำดับ และเมื่อขึ้นฝั่งที่อิระวดีก็สลายตัวเป็นดีเปรสชั่น

(สำหรับไซโคลนนาร์กีส ประเทศพม่าก็เป็นสมาชิกองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก ประเทศไทยและประเทศอินเดียซึ่งเป็นศูนย์กลางดูแลพื้นที่ทะเลอันดามัน ซึ่งได้มีการแจ้งเตือนไปยังพม่าแล้วตั้งแต่ประมาณวันที่ 28-29 เมษายน)

ดร. สมชาย กล่าวต่อว่าธรรมชาติของพายุทุกชนิดจะเคลื่อนจากตะวันออกไปตะวันตก และการหมุนของโลกทำให้พายุหมุนไปยังทางทิศเหนือ ถ้าดูจากแผนที่ ก็จะเห็นว่าพายุที่ก่อตัวในทะเลอันดามันจะเคลื่อนตัวห่างจากประเทศไทยไปทางตะวันตกฝั่งอินเดีย บังกลาเทศและพม่า ซึ่งจะพบว่าบังคลาเทศนั้นเป็นประเทศที่ปะทะกับพายุบ่อยครั้ง จึงมั่นใจได้ว่าประเทศไทยจะไม่ได้เจอกับพายุที่มาจากทะเลอันดามันแน่นอน

นอกจากนี้พายุที่ก่อตัวในอันดามันนั้นเป็นภาวะที่ปกติของเดือนพฤษภาคม หมายถึงการเข้าสู่ฤดูฝนนั่นเอง และทำให้เกิดมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดผ่านประเทศไทยในช่วงเดือนดังกล่าวเท่านั้น แต่กระนั้นก็ยังมีพายุในทะเลจีนใต้ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงเดือน มิ.ย.ถึง ธ.ค. โดยตั้งแต่ มิ.ย.ถึง ต.ค.พายุจะเคลื่อนทางเหนือผ่านเวียดนาม และลาวซึ่งเป็นปราการสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยไม่ได้รับแรงปะทะจากพายุโดยตรง ที่ทำให้เราได้รับเพียงดีเปรสชั่น กลับเป็นผลดีสำหรับการทำการเกษตร และเก็บกักน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้งโดยเฉพาะในภาคอีสาน

แต่หลังจากปลายเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนธันวาคมพายุที่ก่อตัวในทะเลจีนใต้จะเคลื่อนตัวลง ทำให้เกิดพายุฝนในภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนล่าง ซึ่งหากรุนแรงอาจเกิดเป็นไต้ฝุ่นจากเหตุการณ์ในอดีต เช่น พายุเกย์ ที่เข้าสู่จังหวัดชุมพร หรือแหลมตะลุมพุกเมื่อปี พ.ศ. 2505 แต่เนื่องจากทะเลอ่าวไทยแถบนั้นตื้น โอกาสเกิดพายุหมุนรุนแรงเหมือนพม่าจึงมีน้อย

อย่างไรก็ตามความรุนแรงของพายุนั้น ยังไม่สามารถที่จะบอกล่วงหน้าได้ แต่ที่เชื่อมั่นได้คือหากมีการก่อตัวของพายุ ประเทศไทยมีเทคโนโลยีที่จะติดตามและแจ้งเตือนภัยได้ล่วงหน้า 7 วัน โดยมีการวางระบบเครือข่ายการเตือนภัยลงไปถึงระดับชุมชน

อาจารย์ ดร.สุเนตร ได้อธิบายเสริมเกี่ยวกับสภาพภูมิประเทศของพื้นที่ลุ่มแม่น้ำอิระวดี หรือ Lower Burma ว่า พื้นที่ดังกล่าวมีลักษณะเป็นสามเหลี่ยมปากแม่น้ำอิระวดี เหมือนแขนงรากไม้ไหลเป็นทางน้ำสู่อ่าวเบงกอล และตั้งข้อสันนิษฐานว่าที่ทำให้โดนพายุอย่างหนัก น่าจะมาจากป่าชายเลนถูกตัดทำลาย ตั้งแต่สมัยอังกฤษเป็นเจ้าอาณานิคมได้ปรับพื้นที่นี้ให้เป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวขนาดใหญ่ การทำนากุ้ง และการตัดไม้ไปขายเป็นเชื้อเพลิง ทั้งยังเป็นที่ราบลุ่ม ไม่มีภูเขาเป็นแนวป้องกันทางธรรมชาติเลย พายุจึงกวาดน้ำทะเลเข้าไปในแผ่นดินได้ง่ายขึ้น และพื้นที่นี้มีทางน้ำเล็กๆ นับพันสาย การเดินทางซึ่งปกติก็ทำให้ลำบากอยู่แล้ว เพราะต้องใช้เรือเป็นหลัก หากว่าน้ำทะเลที่พัดเข้าไปทำให้ทางน้ำเปลี่ยนก็จะทำให้การเดินทางเข้าไปในพื้นที่ลำบากยิ่งขึ้น

ขณะที่นายลาทวย ชาวพม่าที่ทำงานในประเทศไทย และครอบครัวของตนกำลังเผชิญภัยพิบัติอยู่ในพม่าขณะนี้ เล่าว่า "ประชาชนทั่วไปไม่ได้รับรู้เรื่องพายุนี้ล่วงหน้าเลย ญาติที่บ้านผมเล่าว่า ฝนตกตั้งแต่ 5 โมงเย็น พอเที่ยงคืน ตีหนึ่งก็มีพายุ ที่ย่างกุ้งไฟดับเป็นช่วงๆ บ่อยมาก บางครั้ง 2-3 วัน ทำให้ติดต่อกันก็ลำบาก เพิ่งติดต่อได้เมื่อ 2 วันที่แล้ว เค้าบอกว่า เขตที่อยู่เสียหายเยอะ หลังคา ผ้าใบก็หายไปหมด การช่วยเหลือ ก็ยังไม่ได้รับอะไร นอกจาก ข้าวสาร 1 กิโลต่อ 1 ครอบครัว แล้วยังเป็นข้าวที่มีกากปนเยอะมาก เรื่องเสื้อผ้าชาวบ้านก็เอาจากศพมาใส่ เพราะไม่มีอะไรจริงๆ"

นายลาทวยยังเล่าต่อไปว่า สภาพการกินการอยู่ขณะนี้ก็ยังลำบากอยู่ และยังมีข่าวว่าสิ่งของที่บริจาคถูกนำไปขายในห้างร้านบ้าง ทหารเอาไปขายบ้าง ทั้งรัฐบาลทหารพม่ายังจัดฉากไว้เป็นจุดๆ ให้นานาชาติเห็นว่ามีการช่วยเหลือประชาชนแล้ว มีผู้นำมาแจกสิ่งของ ถ่ายรูป แล้วก็จากไป แต่จริงๆ แล้ว พบว่ามีแต่ประชาชนพม่าที่ช่วยเหลือกันเอง ยังไม่เห็นนานาชาติหรือแม้แต่รัฐบาลเข้าไปช่วยเหลือถึงพื้นที่ที่ประสบภัยพิบัติหนักเลย ซ้ำบางพื้นที่ชาวบ้านต้องจ่ายเงินให้หัวหน้าหมู่บ้านเพื่อที่จะได้รับความช่วยเหลือ ซึ่งขณะนี้คนที่ยังเดือดร้อนอยู่น่าจะเป็นล้านๆ คน การติดต่อสื่อสารยังเป็นไปอย่างลำบาก แม้ชาวบ้านจะช่วยกันซ่อมแซมสะพาน ตัดต้นไม้ที่ขวางเส้นทางออกบางส่วน แต่บางที่ก็ยังพบว่ามีต้นไม้ใหญ่ขวางอยู่ เกินความสามารถและเครื่องมือที่มีอยู่ของประชาชน

จิตรา ธรรมบริสุทธิ์ รองผู้อำนวยการมูลนิธิศุภนิมิตรแห่งประเทศไทย หรือ World Vision กล่าวว่าองค์กร World Vision ซึ่งทำงานอยู่ในพม่ามากกว่า 40 ปี ได้รายงานตัวเลขล่าสุด พบว่ามีผู้เสียชีวิต 77,738 คน สูญหาย 55,917 คน และคาดว่ามีผู้ได้รับผลกระทบประมาณ 2 ล้าน 5 แสนคน ซึ่งร้อยละ 40 เป็นเด็ก องค์กรได้ช่วยเหลือไปแล้วแค่ 300,000 คน ด้านสุขภาพมีการยืนยันแล้วว่ามีโรคอหิวาต์ระบาดอยู่ ในขณะที่ศูนย์สุขอนามัย ในเขตชนบทถูกทำลายกว่าร้อยละ 50 จากพายุนาร์กีสครั้งนี้ สำหรับความต้องการเร่งด่วน คือ ยารักษาโรค ซึ่งต้องการมากที่สุด น้ำดื่ม เต๊นท์และอาหารตามลำดับ องค์กร World Vision ยังได้ตั้งศูนย์ดำเนินการหลักที่เมืองพยาปง เพื่อเป็นจุดส่งต่อสิ่งของและความช่วยเหลือให้ครอบคลุมในทุกพื้นที่

World Vision เป็นองค์กรบรรเทาทุกข์แรกๆ ที่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลทหารพม่าให้เข้าช่วยเหลือในทุกพื้นที่ที่ประสบภัย และมีเจ้าหน้าที่อยู่ 580 คน รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ให้ความช่วยเหลือภัยพิบัติและเคยทำงานตอนเกิดสึนามิด้วย โดยมีเป้าหมายในการช่วยชีวิต บรรเทาทุกข์และฟื้นฟูชีวิตประชาชน โดยได้มีการตั้งศูนย์ช่วยเหลือเด็กแล้ว 37 แห่งในย่างกุ้ง และแจกสิ่งของบรรเทาทุกข์จากองค์อื่นๆ ซึ่งคาดว่าถึงมือประชาชนแน่นอน โดย World Vision ไม่มีนโยบายที่จะดำเนินงานร่วมกับรัฐบาลทหารอยู่แล้ว แต่ก็ต้องทำโดยได้รับอนุญาตจากรัฐบาลของประเทศนั้นๆ ด้วย

ตัวแทน World Vision ยังกล่าวถึงอุปสรรคและบทเรียนต่อเอ็นจีโอที่จะเข้าไปช่วยเหลือในพม่าว่า องค์กรจะต้องตรวจสอบว่ามีเจ้าหน้าที่ที่มีความพร้อมและความรวดเร็วในการทำงานลักษณะนี้หรือไม่ อีกทั้งต้องพยายามสร้างเครือข่ายกับองค์กรท้องถิ่น หรือชาวบ้านในพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคยและห่างไกลก่อนจะเข้าไป โดยอาจให้หน่วยงานหรือองค์กรท้องถิ่น เป็นคนทำงานแทนและช่วยเหลือกันเองได้ ด้านการจัดการและประสานงานในขณะนี้เป็นไปแบบระหว่างรัฐกับรัฐ การสร้างความไว้วางกันกับรัฐบาลพม่าเป็นเรื่องจำเป็น หรือต้องประสานผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในพื้นที่อยู่แล้ว และศึกษาเรื่องระบบข้อมูลข่าวสารและการคมนาคมให้ดีด้วย อีกสิ่งหนึ่งที่เอ็นจีโอต้องคำนึงถึงคือ อย่าทำงานคนเดียว ต้องหาคนหรือองค์กรท้องถิ่น และสร้างพันธมิตรในทำงาน

ด้าน ภญ. วันทนีย์ คงสมบูรณ์ รองผอ.สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย ซึ่งได้รับอนุญาตให้ส่งทีมแพทย์เข้าไปช่วยเหลือแล้วเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมา กล่าวว่า มีอุปสรรคการติดต่อสื่อสารกับเจ้าหน้าที่กาชาดพม่า ตั้งแต่เกิดเหตุก็ติดต่อไม่ได้ หรือเป็นไปด้วยความลำบากและไม่ได้รับการยืนยันเรื่องประเมินความต้องการที่แท้จริง (need assessment) ซึ่งจากประสบการณ์สึนามิ สภากาชาดต้องทำการลงสำรวจพื้นที่และปัญหาที่แท้จริง เพื่อจะจัดสรรความช่วยเหลือได้ถูกต้อง

อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่มีการติดต่อจากกาชาดพม่าและไม่สามารถลงพื้นที่ได้ สภากาชาดไทยก็ตัดสินใจส่งสิ่งของที่จำเป็นไป คือ เครื่องปั่นไฟ เครื่องกรองน้ำ ยาเม็ด ถุงยังชีพซึ่งมีแต่ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ แม้ว่าขณะนี้ทางสภากาชาดไทยได้ระงับการจัดส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์ชั่วคราว เนื่องจากปัญหาค่าขนส่ง และต้องการทราบจากกาชาดพม่าให้แน่นอนว่าต้องการสิ่งของอะไรบ้าง และจากประสบการณ์สึนามิ ที่คนบริจาคของจนล้นคลัง และสิ่งของจำนวนมากก็เสียหายหรือใช้ประโยชน์ไม่ได้ ทำให้ต้องมีการจัดระบบการรับบริจาคสิ่งของ บรรจุภัณฑ์และการกระจายสิ่งของให้ถึงมือผู้รับ ซึ่งต้องใช้ทั้งแรงงานคน และอุปกรณ์ให้มีความพร้อม

ภญ.วันทนีย์ กล่าวว่า ในส่วนของคณะแพทย์ที่ถูกส่งไปประจำที่เมืองเมียวเมี๊ยะ ได้รายงานทางโทรศัพท์ทุกวัน ว่ารัฐบาลพม่าได้จัดค่ายที่พักของชาวบ้านที่ประสบภัยถูกจัดไว้เป็นสัดส่วนแยกชาย หญิงชัดเจน มีห้องน้ำสะอาดและมีน้ำดื่มสะอาด แต่ที่เมืองลาบุตตายังพบว่าน้ำดื่มไม่สะอาดพอ และประชาชนใช้แก้วน้ำร่วมกัน อาจเสี่ยงกับโรคระบาดได้ ซึ่งปัจจุบันพบว่าโรคที่เกิดจะเป็นโรคระบบทางเดินหายใจ โรคระบบทางเดินอาหาร และที่สำคัญคือโรคทางจิต ซึ่งต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการช่วยเยียวยาเท่านั้น นอกจากนี้ทางพม่าได้ขอเซรั่มแก้พิษงูมา 1,000 ชุด

ดร.สุเนตร อธิบายเพิ่มเติมว่า พื้นที่ลุ่มอิระวดีนอกจากจะมียุงชุมมากแล้ว โดยปกติก็จะพบอัตราการถูกงูกัดสูงสุดของประเทศด้วย โดยเฉพาะงูแมวเซา งูเห่า และงูจงอาง พอน้ำท่วมงูต้องหนีน้ำขึ้นมา เป็นผลกระทบอีกประการที่ชาวบ้านต้องระวัง จำนวนความช่วยเหลือที่ลงไปถึงนั้นยังเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก ซ้ำยังมีข่าวการรั่วไหลอีก ความพร้อมของภาครัฐ สาธารณูปโภค และการรับมือวิกฤตการณ์เช่นนี้ยังน้อยอยู่เหลือเกิน ขณะที่รัฐบาลทหารเป็นชนชั้นที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ และคุมกฎหมายเสียเอง จะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น

และเมื่อพื้นที่อิระวดี ย่างกุ้ง พะโค ซึ่งเป็นแหล่งความอุดมสมบูรณ์ที่สุดของประเทศ เป็นแหล่งปลูกข้าวส่งออกและเลี้ยงคนในประเทศ หลังจากเกิดพายุนาร์กีส อาจเกิดปัญหาดินเสีย ทางน้ำเปลี่ยนทิศ รวมทั้งขาดแคลนแรงงาน ผลกระทบที่จะตามมา คือ ข้าวยากหมากแพง ความอดอยาก และผู้อพยพที่หลั่งไหลเข้ามายังประเทศไทย

เหตุการณ์ครั้งนี้ จึงทำให้เราต้องคิดให้ลึกซึ้งว่า มันไม่ได้เป็นปัญหาภายในประเทศเดียว แต่เป็นปัญหาของเราด้วย ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเป็นเรื่องหนึ่ง และปัญหาของเราทุกคนด้วย เราไม่ควรติดอยู่กับเงื่อนไขเรื่องพื้นที่ แต่เป็นเรื่องของการอยู่ร่วมกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างอยู่ อย่างการรับรู้แต่เรื่องพรมแดนของรัฐชาติอีกต่อไปแล้ว ดร.สุเนตร กล่าวทิ้งท้าย

.............................
ภายในงาน ยังมีการแถลงข่าวเปิด "กองทุนน้ำใจไทยกู้ภัยพม่า" เชิญชวนร่วมบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในประเทศพม่า ผ่านสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิยาลัย หรือ ธนาคารออมสิน สาขาสามย่าน ชื่อบัญชี "กองทุนน้ำใจไทยกู้ภัยพม่า" เลขที่ 00-0013-20-046552-8 ประเภทบัญชีเผื่อเรียก สอบถามข้อมูลได้ที่ โทร.1115 หรือ โทร. 02-218-7464 และ 02-251-5199





*"สามเหลี่ยมชวิต" วิธีรอดตายจากแผ่นดินไหว

FROM DOUG COPP'S ARTICLE ON THE "TRIANGLE OF LIFE"
จากบทความของดัก คอบบ์ เรื่อง "สามเหลี่ยมชีวิต"

Edited for MAA Safety Committee brief
เรียบเรียงสำหรับการสรุปให้คณะกรรมการด้านความปลอดภัย

*MAA My name is Doug Copp. I am the Rescue Chief and Disaster Manager of the American Rescue Team International (ARTI), the world's most experienced rescue team. The information in this article will save lives in an earthquake.
ผมชื่อ ดัก คอบบ์ ผมเป็นหัวหน้าหน่วยกู้ภัยและผู้จัดการด้านพิบัติภัยของทีมกู้ภัยนานาชาติแห่งสหรัฐฯ ซึ่งเป็นทีมกู้ภัยที่มีประสบการณ์มากที่สุดในโลก ข้อมูลในบทความนี้จะช่วยชีวิตคนในกรณีแผ่นดินไหว

I have crawled inside 875 collapsed buildings, worked with rescue teamsfrom 60 countries, founded rescue teams in several countries, and one ofthe United Nations experts in Disaster Mitigation for two years. I haveworked at every major disaster in the world since 1985.
ผมเคยคลานเข้าไปในตึกที่ถล่มมา 875 ตึก เคยทำงานกับหน่วยกู้ภัยจาก 60 ประเทศ ก่อตั้งหน่วยกู้ภัย ในหลายประเทศ และเป็นเหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านการอพยพผู้คนกรณีเกิดพิบัติภัยขององค์การ สหประชาชาติมา 2 ปี ผมได้ทำงานกับพิบัติภัยใหญ่ๆ ในโลกมาตั้งแต่ปี 1985

In 1996 we made a film, which proved my survival methodology to be correct. We collapsed a school and a home with 20 mannequins inside. Ten mannequins did "duck and cover," and the other ten mannequins used my "triangle of life" survival method. After the simulated earthquake, we crawled through the rubble and entered the building to film and document the results. The film showed that there would have been zero percent survival for those doing duck and cover; and 100 percent survivability for people using my method of the "triangle of life."
เมื่อปี 1996 เราได้ทำภาพยนต์ขึ้นมาเรื่องหนึ่งซึ่งได้พิสูจน์ว่าวิธีการรักษาชีวิตของผมถูกต้อง เราได้ถล่มโรงเรียนและบ้านที่มีหุ่นมนุษย์ 20 ตัวอยู่ภายใน หุ่น 10 ตัว "มุดและหาที่กำบัง" และอีกสิบตัวใช้วิธีการรักษาชีวิตแบบ "สามเหลี่ยมชีวิต" ของผม หลังจากแผ่นดินไหวทดลอง เราคลานผ่านซากปรักหักพังและเข้าไปในตึกเพื่อถ่ายภาพและเก็บข้อมูลของผลที่ เกิด ในภาพยนต์แสดงให้เห็นว่าอัตราการอยู่รอด ของพวกที่มุดและหาที่กำบังคือศูนย์ และโอกาสรอด 100% สำหรับพวกที่ใช้วิธี "สามเหลี่ยมชีวิต" ของผม

This film has been seen by millions of viewers on television in Turkey andthe rest of Europe, and it was seen in the USA, Canada and Latin America on the TV program.
ภาพยนต์ชุดนี้ได้ผ่านสายตาของผู้ชมโทรทัศน์เป็น ล้านๆ คนในตุรกี และส่วนที่เหลือของยุโรป เคยออกอากาศทางโทรทัศน์ในสหรัฐอเมริกา คานาดาและลาตินอเมริกา

The first building I ever crawled inside of was a school in Mexico Cityduring the 1985 earthquake. Every child was under its desk. Every child was crushed to the thickness of their bones. They could have survived by lying down next to their desks in the aisles.
ตึกแห่งแรกที่ผมได้คลานเข้าไปคือโรงเรียนแห่ง หนึ่งในเมืองเม็กซิโกซิตี้ในแผ่นดินไหวปี 1985 เด็กทุก คนอยู่ใต้โต๊ะเรียน เด็กทุกคนถูกอัดแบนจนกระดูกแหลก พวกเขาอาจจะมีชีวิตรอดด้วยการนอนราบกับพื้นตรงบริเวณทางเดินข้างๆ โต๊ะเรียนของตัวเอง

At that time, the children were told to hide under something. Simplystated, when buildings collapse, the weight of the ceilings falling uponthe objects or furniture inside crushes these objects, leaving a space orvoid next to them. This space is what I call the "triangle of life". Thelarger the object, the stronger, the less it will compact. The less theobject compacts, the larger the void, the greater the probability that theperson who is using this void for safety will not be injured.
ในเวลานั้น เด็กๆ ได้รับคำแนะนำให้หลบใต้อะไรบางอย่าง อธิบายอย่างง่ายๆ เมื่อตึกถล่ม น้ำหนักของเพดานที่ตกลงมาบนสิ่งของหรือเครื่องเรือนที่อยู่ภายในจะทับทำลายสิ่งของเหล่านั้น เหลือที่ว่างหรือช่องว่างข้างๆ มัน ที่ว่างเหล่านี้คือสิ่งที่ผมเรียกว่า "สามเหลี่ยมชีวิต" สิ่งของชิ้นยิ่งใหญ่ ยิ่งแข็งแรงโอกาสถูกทับอัดยิ่งน้อย โอกาสที่สิ่งของถูกทับอัดยิ่งน้อย ช่องว่างก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นโอกาสที่คนที่อาศัยช่องว่างเหล่านั้นหลบภัยจะไม่เป็นอันตรายก็ยิ่งมาก

The next time you watch collapsed buildings, on television, count the"triangles" you see formed. They are everywhere. It is the most commonshape.
ครั้งต่อไปที่คุณดูอาคารที่ถล่มในโทรทัศน์ ลองนับ "สามเหลี่ยม" ที่เกิดขึ้นที่คุณเห็นดู มันทีอยู่เต็มไปหมดทุกที่ เป็นรูปทรงที่เห็นได้มากที่สุดอยู่ทั่วไป



โดย: jenifaae วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:21:02:52 น.  

 
*TEN TIPS FOR EARTHQUAKE SAFETY
สิบวิธีเพื่อความปลอดภัยยามแผ่นดินไหว

1) Almost everyone who simply "ducks and covers" when buildings collapse are crushed to death. People who get under objects, like desks or cars, are crushed.
1) เกือบทุกคนที่ "มุดและหาที่กำบัง" เมื่ออาคารถล่มถูกทับอัดจนตาย คนที่เข้าไปอยู่ใต้สิ่งของ อาทิโต๊ะหรือรถยนต์ถูกอัดทับ

2) Cats, dogs and babies often naturally curl up in the fetal position.You should too in an earthquake. It is a natural safety/survival instinct.You can survive in a smaller void. Get next to an object, next to a sofa,next to a large bulky object that will compress slightly but leave a voidnext to it.
2) แมว หมา และเด็กทารก โดยธรรมชาติมักจะขดตัวในท่าเหมือนอยู่ในครรภ์มารดา คุณควรทำเช่นกันในกรณีแผ่นดินไหว มันเป็นสัญชาติญาณเพื่อความปลอดภัย/รักษาชีวิต คุณสามารถมีชีวิตรอดในช่องว่างที่เล็กกว่า ไปอยู่ข้างๆ สิ่งของ ข้างเก้าอี้โซฟา ข้างของหนักๆ ชิ้นใหญ่ๆ ที่จะบี้แบนไปบ้างแต่ยังเหลือที่ว่างข้างๆ มันไว้

3) Wooden buildings are the safest type of construction to be in during an earthquake. Wood is flexible and moves with the force of the earthquake. If the wooden building does collapse, large survival voids are created. Also, the wooden building has less concentrated, crushing weight. Brick buildings will break into individual bricks. Bricks will cause many injuries but less squashed bodies than concrete slabs.
3) อาคารไม้เป็นสิ่งก่อสร้างที่ปลอดภัยที่สุดที่จะอยู่ภายในขณะแผ่นดินไหว ไม้มีความยืดหยุ่นและเคลื่อน ตัวตามแรงของแผ่นดินไหว ถ้าอาคารไม้จะถล่มจะเกิดช่องว่างขนาดใหญ่เพื่อช่วยชีวิต และอาคารไม้ยังมีน้ำหนักทับทำลายที่เป็นอันตรายน้อยกว่า อาคารอิฐจะแตกพังเป็นก้อนอิฐมากมาย ก้อนอิฐเหล่านี้เป็นสาเหตุของการบาดเจ็บ แต่จะทับอัดร่างกายน้อยกว่าแผ่นคอนกรีต

4) If you are in bed during the night and an earthquake occurs, simply rolloff the bed. A safe void will exist around the bed. Hotels can achieve amuch greater survival rate in earthquakes, simply by posting a sign on the back of the door of every room telling occupants to lie down on thefloor, next to the bottom of the bed during an earthquake.
4) หากคุณกำลังนอนอยู่บนเตียงตอนกลางคืนและเกิดแผ่นดินไหว เพียงกลิ้งลงจากเตียง ช่องว่างที่ปลอดภัยจะเกิดรอบๆ เตียง โรงแรมจะสามารถเพิ่มอัตราผู้รอดชีวิตจากแผ่นดินไหวได้ โดยเพียงติดป้ายหลังประตูในทุกห้องพักบอกให้ผู้เข้าพักนอนราบกับพื้นข้างๆ ขาเตียงระหว่างแผ่นดินไหว

5) If an earthquake happens and you cannot easily escape by getting out the door or window, then lie down and curl up in the fetal position next to a sofa, or large chair.
5) หากมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นและคุณไม่สามารถหนี้ออกมาง่ายๆ ทางประตูหรือหน้าต่าง ก็ให้นอนราบและ ขดตัวในท่าทารกในครรภ์ข้างๆ เก้าอี้โซฟาหรือเก้าอี้ตัวใหญ่ๆ

6) Almost everyone who gets under a doorway when buildings collapse iskilled. How ? If you stand under a doorway and the doorjamb falls forward or backward you will be crushed by the ceiling above. If the doorjamb falls sideways you will be cut in half by the doorway. In either case, you will be killed!
6) เกือบทุกคนที่อยู่ตรงช่องประตูตอนตึกถล่มไม่รอด เพราะอะไร? หากคุณยืนอยู่ตรงช่องประตูและวง กบประตูล้มไปข้างหน้าหรือข้างหลัง คุณจะโดนเพดานด้านบนตกลงมาทับ หากวงกบประตูล้มออกด้านข้างคุณจะถูกตัดเป็นสองท่อนโดยช่องประตู ไม่ว่ากรณีไหน คุณไม่รอดทั้งนั้น!

7) Never go to the stairs. The stairs have a different "moment offrequency" (they swing separately from the main part of the building).Thestairs and remainder of the building continuously bump into each otheruntil structural failure of the stairs takes place. The people who get onstairs before they fail are chopped up by the stair treads - horriblymutilated. Even if the building doesn't collapse, stay away from thestairs. The stairs are a likely part of the building to be damaged. Even ifthe earthquake does not collapse the stairs, they may collapse later whenoverloaded by fleeing people. They should always be checked for safety,even when the rest of the building is not damaged.
7) อย่าใช้บันไดเด็ดขาด บันไดมี "ช่วงการเคลื่อนตัว" ที่แตกต่างไป(บันไดจะมีการแกว่งแยกจากตัวอาคาร) บันไดและส่วนที่เหลือของตัวอาคารจะชนกระแทกกันอย่างต่อเนื่องจนเกิดปัญหากับโครงสร้างของบันไดคนที่อยู่บนบันไดก่อนที่บันไดจะถล่มถูกตัดเป็นชิ้นโดยชั้นบันได--ถูกแยกส่วนอย่างน่าสยดสยอง ถึงอาคารจะไม่ถล่มก็ควรอยู่ห่างบันไดไว้ บันไดเป็นส่วนของอาคารที่มีโอกาสถูกทำให้เสียหาย ถึงแม้แผ่นดินไหวจะไม่ได้ทำให้บันไดถล่ม มันอาจถล่มในเวลาต่อมา เมื่อรับน้ำหนักมากเกินไปจากคนที่กำลังหนี มันควรได้รับการตรวจสอบความปลอดภัยเสมอ ถึงแม้ส่วนที่เหลือของอาคารจะไม่ได้รับความเสียหายก็ตาม

8) Get near the Outer Walls Of Buildings or Outside Of Them if possible.It is much better to be near the outside of the building rather thanthe interior. The farther inside you are from the outside perimeter of thebuilding the greater the probability that your escape route will beblocked.
8) ไปอยู่ใกล้กำแพงด้านนอกของอาคารหรือออกจากอาคารถ้าเป็นไปได้ จะเป็นการดีกว่ามากที่จะอยู่ใกล้ส่วนนอกของอาคารมากกว่าจะอยู่ที่ส่วนในของอาคาร คุณยิ่งอยู่ลึกเข้าไปหรือไกลจากบริเวณภายนอกของอาคารมากเท่าไหร่ โอกาสที่ทางหนี้ของคุณจะถูกปิดกั้นยิ่งมีมาก

9) People inside of their vehicles are crushed when the road above falls inan earthquake and crushes their vehicles; which is exactly what happenedwith the slabs between the decks of the Nimitz Freeway. The victims of the San Francisco earthquake all stayed inside of their vehicles. They were all killed. They could have easily survived by getting out and sitting or lying next to their vehicles. Everyone killed would have survived if they had been able to get out of their cars and sit orlie next to them. All the crushed cars had voids 3 feet high next to them, except for the cars that had columns fall directly across them.
9) คนที่อยู่ภายในรถยนต์ถูกทับอัดเมื่อถนนด้านบนตกลงมาเพราะแผ่นดินไหวและทับรถ ของพวกเขา นี้เป็น สิ่งที่เกิดขึ้นกับแผ่นคอนกรีตระหว่างชั้นของถนนหลวงนิมิทซ์ ผู้เคราะห์ร้ายทั้งหมดจากแผ่นดินไหวที่ซานฟรานซิสโกอยู่ในรถของตัวเอง พวกเขาตายทั้งหมด พวกเขาสามารถมีชีวิตรอดได้ง่ายๆ ด้วยการออกจากรถและนั่งหรือนอนราบอยู่ข้างๆ รถตัวเอง คนที่ตายทุกคนอาจรอดได้ถ้าพวกเขาสามารถออกจากรถและนั่งหรือนอนราบอยู่ข้างรถตัวเอง รถที่ถูกทับอัดทุกคันมีช่องว่างสูง 3 ฟุตอยู่ข้างๆ ยกเว้นรถที่ถูกเสาคานตกทับกลางคันรถ

10) I discovered, while crawling inside of collapsed newspaper offices andother offices with a lot of paper, that paper does not compact. Largevoids are found surrounding stacks of paper.
10) ผมค้นพบ--ขณะที่คลานเข้าไปในซากสำนักงานหนังสือพิมพ์และสำนักงานอื่นที่มีกระดาษจำนวนมาก--ว่ากระดาษไม่อัดตัว จะพบช่องว่างขนาดใหญ่รอบๆ กองกระดาษที่เรียงทับซ้อนกัน Spread the word and save someone's life.กระจายข้อมูลนี้และช่วยชีวิตคนบางคน


โดย: jenifaae วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:21:03:16 น.  

 
*กำหนดการจัดงานแสดงธรรม-ปฏิบัติธรรม ชมรมกัลยาณธรรม

สวัสดีครับ

ชมรมกัลยาณธรรมจะจัดแสดงธรรม ในวันอาทิตย์ ที่ 6 ก.ค. 51 ที่ หอประชุมใหญ่ ม. ธรรมศาสตร์ ถ้าคุณสนใจที่จะไปฟังก็ click เข้าไปอ่าน

-คำแนะนำในการลงทะเบียน เพื่อเข้ารับฟังบรรยายธรรมล่วงหน้าทางไปรษณีย์ และพิมพ์
-ใบคำขอลงทะเบียนทางไปรษณีย์ สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิกชมรม
-ใบคำขอลงทะเบียนทางไปรษณีย์ สำหรับผู้ที่เป็นสมาชิกชมรมเท่านั้น ได้เลยครับ

สืบศักดิ์ อยู่เจริญธรรม (Jui)
Mobile 089-671-6070
Office 02-436-1474
[//www.kanlayanatam.com/Myimage-patitintam/jul0608/banner.jpg]

๐๖.๐๐ น. ลงทะเบียน – รับประทานอาหารเช้า ( เริ่มเปิดบริการก่อน ๐๖.๐๐ น.)

๐๘.๓๐ น. พิธีเปิดงาน โดย ศ.ดร. สุรพล นิติไกรพจน์ ท่านอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
กล่าวรายงานโดย รศ.ดร. กำพล รุจิวิชชญ์ ผู้อำนวยการสำนักเสริมศึกษาและบริการสังคม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

๐๘.๔๕ น. พระอาจารย์สุรศักดิ์ เขมรังสี
สำนักปฏิบัติกรรมฐานวัดมเหยงคณ์ จ.พระนครศรีอยุธยา แสดงธรรมเรื่อง “ เคล็ดลับดับทุกข์ ”

๑๐.๐๐ น. เจริญสติ ๑๐ นาที และถวายสังฆทาน

๑๐.๓๐ น. ดร. สนอง วรอุไร บรรยายธรรมเรื่อง “ ถึงโสดาบันในชาตินี้ “

๑๑.๓๐ น. ตอบปัญหาธรรม และเจริญสติ ๑๐ นาที

๑๒.๐๐ น. พั ก รั บ ป ร ะ ท า น อ า ห า ร ก ล า ง วั น ( มีบริการ )

๑๓.๓๐ น. อาจารย์สุภีร์ ทุมทอง บรรยายธรรมเรื่อง “ ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ”

๑๔.๒๐ น. เจริญสติ ๑๐ นาที

๑๔.๓๐ น. พักตามอัธยาศัย ๑๐ นาที

๑๔.๔๐ น. พระอาจารย์คำเขียน สุวัณโณ วัดป่าสุคะโต จ.ชัยภูมิ
แสดงธรรมเรื่อง “ ศิลปะการรู้ซื่อๆ ”

๑๕.๕๐ น. เจริญสติ ๑๐ นาที

๑๖.๐๐ น. ประธานชมรมกัลยาณธรรม กล่าวอนุโมทนา

๑๖.๑๐ น. พิธีขอขมาครูบาอาจารย์ และถวายสังฆทาน จากนั้ นพ ระอาจารย์ ให้พร และปิดงาน

-กาเลนะ ธัมมัสสวนัง เอตัมมังคละมุตตะมัง-การฟังธรรมตามกาล เป็นมงคลอันสูงสุด

หมายเหตุ
๑. ขอเชิญทุกท่านร่วมถวายสังฆทาน แด่พระสุปฏิปันโน ตามกำลังศรัทธา
๒. รับบริจาคสิ่งของ เครื่องใช้ และอาหารแห้งเพื่อการยังชีพ หรือเสื้อผ้าใช้แล้วแก่ชุมชนผู้ป่วยที่วัดพระบาทน้ำพุ อ.เมือง จ.ลพบุรี
๓. รับลงทะเบียนล่วงหน้าทางไปรษณีย์ จนถึงวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๑หรือจนกว่าที่นั่งจะเต็มตามจำนวนที่สามารถออกบัตรได้
๔. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ชมรมกัลยาณธรรม ๐๒ – ๗๐๒ - ๗๓๕๓ , ๐๒ – ๗๐๒ – ๙๖๒๔ และ ๐๒ – ๗๐๒ – ๘๗๖๓

คำแนะนำในการลงทะเบียน เพื่อเข้ารับฟังบรรยายธรรมล่วงหน้าทางไปรษณีย์
ใบคำขอลงทะเบียนทางไปรษณีย์ สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิกชมรม
ใบคำขอลงทะเบียนทางไปรษณีย์ สำหรับผู้ที่เป็นสมาชิกชมรมเท่านั้น
แผนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

อ้างอิง : //www.kanlayanatam.com/patitintam.htm


โดย: jenifaae วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:21:03:46 น.  

 
*เบี้ยยังชีพ' ที่ทั่วถึงและเพียงพอ เรื่องที่ไม่ได้ยิน แม้ในวันผู้สูงอายุ

หมายเหตุชื่อบทความเดิม : 'เบี้ยยังชีพ' ที่ทั่วถึงและเพียงพอ 'ความกตัญญู' ที่รัฐไทยควรมอบให้ผู้สูงอายุ

มุกดา ตฤณชาติ

วันผู้สูงอายุแห่งชาติ 13 เมษายน หน่วยงานภาครัฐและเอกชน องค์การบริหารส่วนตำบลหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแทบทุกแห่ง คงจัดงานเพื่อแสดงความเคารพ ความกตัญญูต่อผู้สูงอายุ ...ตามประเพณีที่ดีงามของไทย...??? )

กิจกรรมหลักๆ ประกอบด้วยกล่าวรำลึกถึงคุณงามความดีของผู้สูงอายุที่ได้มีส่วนในการสร้างสถาบันครอบครัว พัฒนาท้องถิ่นและประเทศชาติมาจนถึงวันนี้ การรดน้ำให้ผู้สูงอายุและขอพรจากท่าน มีการละเล่น การประกวด และตบท้ายด้วยการมอบของขวัญแด่ผู้สูงอายุซึ่งก็หนีไม่พ้น ผ้าขนหนู ยา มาม่า ปลากระป๋อง หรือของใช้เล็กๆ น้อยๆ และเป็นช่องทางในการทุจริตงบประมาณที่จะลงสู่ผู้สูงอายุ

คุณยายท่านหนึ่งซึ่งเข้าร่วมงานวันผู้สูงอายุมาทุกปีที่ทาง อบต.จัด ได้บอกกับผู้เขียน ถึงสิ่งที่ได้รับเป็นของขวัญ และสิ่งที่ผู้สูงอายุต้องการว่า

'ถ้าเป็นไปได้ อยากให้ผู้สูงอายุได้เบี้ยยังชีพกันทุกคน ทุกวันนี้ได้เพียงบางคนเท่านั้น ส่วนใหญ่ยังไม่ได้ และปีที่แล้วก็ไม่ได้ แล้วเบี้ยยังชีพที่ได้รับเดือนละ 300 บาท ก็ไม่พอใช้หรอก แค่ค่ากับข้าวไปวัดทุกวันก็ไม่พอแล้ว ยายอาศัยเก็บขวด เศษกระดาษ เศษพลาสติกขายให้รถที่มารับซื้อ ตอนที่ ส.ส.มาหาเสียง เขาบอกว่ารัฐบาลมีงบจะให้เบี้ยยังชีพเดือนละ 2,000 บาท แต่พอได้เป็นเขาก็เงียบหายไป ถ้าได้เดือนละ 2,000 จริงก็คงจะพอใช้'

ผู้เขียนพบว่า เสียงสะท้อนจากผู้สูงอายุเพียงคนเดียวนี้ กลับสอดคล้องอย่างยิ่งกับข้อมูลจากรายงานการศึกษาโครงสร้างและขยายโอกาสการเข้าถึงหลักประกันทางสังคมขั้นพื้นฐานสำหรับผู้สูงอายุ (2549) ซึ่งพบว่า ผู้สูงอายุต้องการได้รับการเกื้อหนุน โดยแบ่งตามฐานะของผู้สูงอายุ

ทั้งผู้สูงอายุที่มีฐานะดี หรือพอมีกิน และ มีฐานะยากจน ต่างก็ต้องการได้รับการเกื้อหนุนทางการเงินมากที่สุด (64.4 % และ 66.7%) [1]

งบประมาณที่ใช้ในการจ่ายเบี้ยยังชีพให้กับผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปี ขึ้นไป และมีรายได้ต่ำกว่าปีละ 10,000 บาท ในอัตราเดือนละ 500 บาท/คนนั้น เป็นงบประมาณจากกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จัดสรรผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ตัวเลขของสำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แสดงจำนวนผู้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในปี 2550 ประมาณ 1.7 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 25.05 จากจำนวนผู้สูงอายุทั้งประเทศ 7 ล้านคน [2]

จะเห็นว่ามีเพียง 1 ใน 4 ของผู้สูงอายุเท่านั้นที่ได้รับเบี้ยยังชีพ อีก 3 ใน 4 เป็นผู้ที่มีรายได้มากกว่า 10,000 บาท/ปีเช่นนั้นหรือ คงไม่ใช่ทั้งหมด เพราะในระดับท้องถิ่น งบประมาณจากกระทรวงจัดสรรให้ผู้สูงอายุได้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น อบต.ต้องจัดสรรงบประมาณของตนเองเพื่อจ่ายเป็นเบี้ยยังชีพแก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพ โดยร่างเป็นข้อบัญญัติงบประมาณประจำปี ซึ่งอาจจ่ายได้ไม่เท่าอัตราของกระทรวงฯ และส่วนใหญ่แล้วก็ยังไม่สามารถกระจายได้อย่างทั่วถึง และหมายความว่า ถ้าข้อบัญญัติงบประมาณของ อบต.ไม่ผ่านการพิจารณาจากอำเภอ ความซวยก็จะตกอยู่ที่ผู้สูงอายุที่จะไม่ได้รับเบี้ยยังชีพในปีนั้น ดังที่ได้เกิดขึ้นแล้วกับ อบต.แห่งหนึ่งในจังหวัดมุกดาหาร

ถ้าหากพิจารณาดูแนวนโยบายของภาครัฐที่มีต่อสวัสดิการผู้สูงอายุในฐานะบุคคลที่มีคุณประโยชน์ต่อสังคม เรามีพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ ที่ประกาศใช้ในปี 2546 ซึ่งสาระสำคัญน่าจะอยู่ที่มาตรา 11 ผู้สูงอายุ (หมายถึงผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป) มีสิทธิได้รับการคุ้มครอง การส่งเสริม และการสนับสนุนในด้านต่างๆ และในมาตราดังกล่าวยังกล่าวถึงการสงเคราะห์เบี้ยยังชีพอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม [3]

คำว่า 'เป็นธรรม' หากตีความว่าเท่าเทียมกันทุกคน หรือตีความว่าเพียงพอแก่การยังชีพ การดำเนินงานของภาครัฐที่ผ่านมาก็อาจประเมินได้ว่า ยังไม่บรรลุถึงเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติฉบับนี้

สังคมอาจยอมรับได้เพราะพระราชบัญญัติเพิ่งประกาศใช้ได้เพียง 5 ปี การเตรียมการด้านงบประมาณ และการบริหารจัดการอาจยังไม่พร้อม แต่ถ้าหากไปดูวิสัยทัศน์ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สิ่งที่ปรากฏคือ... 'ที่ประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติยังไม่สรุปเรื่องการปรับเพิ่มอัตราการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ตีกลับให้ไปศึกษาและทบทวนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใหม่ เผยมีการเสนอแนวทาง'ระบบบำนาญแห่งชาติ' ให้เก็บเงินคนในวัยทำงานเดือนละ 200-300 บาทเป็นเงินออมไปเรื่อยๆ แล้วจ่ายให้ภายหลังเมื่ออายุ 60 ปีหรือเกษียณ' [4]

และบทความเรื่อง 'เพียง 500 บาทต่อเดือน ทำไมเบี้ยยังชีพคนชรา ถึงสำคัญนัก?' โดย ดร.วโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล ผอ.กลุ่มงานดุลยภาพการเงิน การออม และการลงทุน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในมติชนรายวัน ก็ฉายให้เห็นจุดยืนและวิธีคิดของรัฐไทยในระบบทุนนิยมได้อย่างชัดเจน '...สิ่งที่สำคัญมากกว่าก็คือความคุ้มค่าของทรัพยากรสาธารณะ โดยหากนำเงินก้อนนี้ ไปใช้ด้านอื่นจะเกิดประโยชน์แก่เศรษฐกิจ และสังคมมากกว่าหรือไม่? เป็นเรื่องของการวิเคราะห์ต้นทุน และผลประโยชน์ของเบี้ยยังชีพ ซึ่งคิดว่ายังไม่มีใครเคยวิเคราะห์ประเด็นนี้ ด้านของต้นทุนค่อนข้างชัดเจนว่าปีปีหนึ่ง ต้องใช้งบประมาณ หนึ่งหมื่นล้านบาท แต่การวัดผลประโยชน์จะยุ่งยากมากกว่ามาก เพราะมีตัวแปรเชิงคุณภาพจำนวนไม่น้อย ที่ต้องประมาณค่าออกมา เช่น ทำให้ผู้ชรามีสุขภาพแข็งแรงขึ้น อาจสามารถทำงานมีรายได้ได้ด้วย เป็นต้น...ดังนั้น คงต้องศึกษา Cost Benefit ของโครงการนี้อย่างจริงจัง ด้านต้นทุนคงรู้แน่ชัดว่าปีหนึ่งหมดไปหมื่นกว่าล้าน แต่ประโยชน์ที่ได้รับ ทั้งในมิติด้านเศรษฐศาสตร์ และทางสังคมได้เท่าที่คาดไว้หรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่เครื่องมือให้นักการเมือง และเครือข่ายหัวคะแนน ใช้ประโยชน์เพื่อหาเสียงโดยใช้เงินภาษีอากรของประชาชน' [5]

นั่นคือ แทนที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะหาแนวทางในระดับนโยบายให้การจัดสรรเบี้ยยังชีพแก่ผู้สูงอายุเป็นไปอย่างทั่วถึงและเพียงพอต่อการดำรงชีวิตอยู่ ตามที่กฎหมายได้บัญญัติไว้แล้ว ซึ่งแม้แต่ ดร.วโรทัย ก็ยังกล่าวถึงการประชุมร่วมระหว่าง UNESCAP, องค์กรแรงงานโลก (ILO) และ Help Age International (หน่วยงาน NGO ที่ติดตามเรื่องการสนับสนุนผู้สูงอายุ) ว่า 'ทุกประเทศที่เข้าร่วมมีความเห็นตรงกันว่า เบี้ยยังชีพมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำรงชีพของคนแก่ ...' [6]

การณ์กลับเป็นว่า รัฐหาทางหลีกเลี่ยงการแบกรับภาระอันนี้ ด้วยการตั้งคำถามกับสังคมถึงความคุ้มค่าคุ้มทุนในการจัดสวัสดิการแก่ผู้สูงอายุในลักษณะของเบี้ยยังชีพ รวมทั้งการเสนอ 'ระบบบำนาญแห่งชาติ' ซึ่งเป็นระบบการออมเพื่อการชราภาพที่อยู่บนพื้นฐานการช่วยตนเองของประชากรวัยแรงงานเสียก่อน เพื่อลดภาระแก่รัฐและสังคม ทั้งหมดนี้สะท้อนทัศนะและจุดยืนของชนชั้นนำและนายทุนที่ล้าหลัง

หากคิดอย่างเป็นธรรม ผู้สูงอายุก็คือคนที่เคยอยู่ในวัยแรงงาน และปฏิเสธไม่ได้ว่ามีส่วนในการพัฒนาสังคมและประเทศชาติในบทบาทต่างๆ กัน ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นเกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน ช่างตัดผม ครู หรือข้าราชการ การคิดถึงความคุ้มทุนเมื่อพวกเขาเข้าสู่วัยที่ไม่อาจใช้แรงงานได้อย่างเต็มที่ หรือการต้อนพวกเขาเข้าสู่ 'ระบบบำนาญแห่งชาติ' โดยที่รัฐปฏิเสธที่จะรับผิดชอบหรือขอแสดงความรับผิดชอบต่อพวกเขาให้น้อยที่สุดนั้น เป็นธรรมแก่ผู้สูงอายุแล้วหรือไม่

แล้วในสังคมไทยที่มีความเหลื่อมล้ำอย่างสูงดำรงอยู่อย่างเป็นที่ประจักษ์ชัด คนชั้นล่างจำนวนมากมายมีรายได้ที่ไม่เพียงต่อการยังชีพของตนเองและครอบครัว คนจำนวนมากมายที่เป็นหนี้กองทุนหมู่บ้าน หรือ ธกส. หรือแหล่งอื่นๆ แล้วต้องหมุนหนี้โดยการกู้จากนายทุนนอกระบบมาใช้หนี้ เพื่อที่จะได้กู้ต่อ แล้วนำเงินที่กู้ใหม่ไปคืนนายทุนนอกระบบ เช่นนี้แล้ว รัฐยังหวังว่าพวกเขาจะนำเงินที่ไหนมาออมเพื่อการชราภาพทุกเดือน

รัฐยังคิดที่จะให้ผู้ที่มีรายได้น้อยไม่คุ้มหยาดเหงื่อแรงงาน ต้องเก็บออมทีละน้อยๆ และเข้าสู่วัยผู้สูงอายุด้วยเงินออมก้อนน้อยๆ ของตนเอง โดยไม่คิดที่จะเฉลี่ยทรัพยากรจากกลุ่มคนที่มั่งคั่งกว่าไปสู่กลุ่มคนที่ด้อยโอกาสกว่าเพื่อตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์อย่างเท่าเทียมกันเลยหรือ

ทางออกต่อประเด็นปัญหานี้เห็นได้ชัดอยู่แล้ว คือการจัดสรรเบี้ยยังชีพแก่ผู้สูงอายุทุกคน โดยไม่ต้องพิจารณาหรือพิสูจน์ว่ายากจน และให้เพียงพอแก่การยังชีพ โดยการใช้มาตรการต่างๆ เช่น การจัดเก็บภาษีที่จะสามารถเฉลี่ยทรัพยากรมาจากคนรวย และการหักเงินสมทบตามสัดส่วนของรายได้ เป็นต้น มาเป็นงบประมาณที่ใช้ในการจัดสรร ทั้งนี้อยู่ที่คนในสังคมจะเลือกจุดยืนเช่นนี้ไหม และจะออกแรงผลักต่อรัฐอย่างไร

การรำลึกถึงพระคุณของผู้ที่ทำคุณประโยชน์ให้แก่สังคมดังเช่นผู้สูงอายุ เป็นสิ่งที่ควรปลูกฝังให้เป็นคุณธรรมในสังคม แต่การแสดงออกตามประเพณีในโอกาสหรือวาระหนึ่งๆ เท่านั้น โดยไม่ได้เกิดการตอบแทนอันสมควรแก่คุณประโยชน์ อาจจะเป็นการสูญเปล่าเกินไป การคิดถึงการตอบแทนผู้สูงอายุที่ไม่ใช่ในฐานะปัจเจกบุคคลโดยการช่วยกันผลักดันระบบสวัสดิการในลักษณะของเบี้ยยังชีพอย่างทั่วถึงน่าจะได้ประโยชน์และตรงกับความต้องการของผู้รับมากกว่า


อ้างอิง

[1]รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ.2549 หน้า 115

[2] 'เพียง 500 บาทต่อเดือน ทำไมเบี้ยยังชีพคนชรา ถึงสำคัญนัก?' โดย ดร.วโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล

[3]พระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ.2546

[4] MCOT.NET

[5],[6] 'เพียง 500 บาทต่อเดือน ทำไมเบี้ยยังชีพคนชรา ถึงสำคัญนัก?' โดย ดร.วโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล

--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 15/4/2551


โดย: jenifaae วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:21:04:19 น.  

 
*ไมโครซอฟท์เปิดให้ดาวน์โหลด Office 2008 SP1 แล้ว

*เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ไมโครซอฟท์ได้เปิดให้ทำการดาวน์โหลดซอฟท์แวร์อัพเดตการทำงาน Service Pack 1 ของโปรแกรม Office 2008 พร้อมกับประกาศการกลับมาของ Visual Basic for Applications หรือ VBA ในเวอร์ชั่นถัดไป

โดยไมโครซอฟท์ได้ทำการเปิดวางจำหน่ายซอฟท์แวร์ Office 2008 สำหรับคอมพิวเตอร์แมค ตั้งแต่เมื่องาน Macworld Expo 2008 ที่ผ่านมา ซึ่งมีกระแสการตอบรับที่ดีมากกว่า Office สำหรับคอมพิวเตอร์แมคเวอร์ชั่นก่อนๆที่เคยมีมาในรอบ 19 ปี โดย Craig Eisler ผู้จัดการทั่วไปของ Mac BU กล่าวว่า ผลตอบรับของผู้ใช้ดีเกินคาด ตั้งแต่เริ่มเปิดจำหน่ายเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งเห็นได้จากยอดจำหน่ายที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 3 เท่าตัวเมื่อเปรียบเทียบกับยอดจำหน่าย Office 2004 ดังนั้น ทางทีมงานจึงได้มีการพัฒนา Office 2008 SP1 ขึ้น เพื่อเพิ่มความมั่นคงให้กับโปรแกรม อีกทั้งยังจัดการในเรื่องของระบบรักษาความปลอดภัยและประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย อาทิ แก้ไขปรับปรุงความแม่นยำในการพิมพ์, ความน่าเชื่อถือของ Word, Excel และ PowerPoint, แก้ไขความไม่เข้ากันในการแลกเปลี่ยนไฟล์ระหว่าง Excel 2008 สำหรับแมค และ Excel 2003 และ Excel 2007 สำหรับวินโดวส์ นอกจากนี้ ทาง Mac BU ยังประกาศที่จะนำเอาภาษา VBA เข้ามาใช้ใน Office เวอร์ชั่นต่อไปสำหรับคอมพิวเตอร์แมคอีกด้วย แต่ยังไม่ได้กำหนดรายละเอียดที่แน่ชัด โดยผู้ใช้ Office 2008 สามารถทำการดาวน์โหลด SP1 ได้ฟรีจากเวบไซต์ของไมโครซอฟท์ หรือสามารถที่จะรับการอัพเดตแบบอัตโนมัติได้ผ่านทาง Microsoft Auto Update




*โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง "ครอบครัวไอทีสร้างสรรค์"

โดย : ศูนย์สนับสนุนการศึกษาเทคโนโลยีสารสนเทศ เมื่อ : 14/05/2008 10:31 AM โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง "ครอบครัวไอทีสร้างสรรค์"

จัดโดย

กลุ่มอนาคตไทย 01 ร่วมกับ ศูนย์สนับสนุนการศึกษาเทคโนโลยีสารสนเทศ (ซีไวท์)

วิทยากรจาก บริษัทไมโครซอฟต์ (ประเทศไทย)

วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม 2551 เวลา 13.00-16.00 น.

ณ ห้องอบรม ชั้น 11 อาคารสกุลไทยสุรวงศ์ทาวเวอร์ ถนนสุรวงศ์ (ป้าย ธ.ไทยพาณิชย์ที่ชั้น 1)

กลุ่มอนาคตไทย และศูนย์สนับสนุนการศึกษาเทคโนโลยีสารสนเทศ (ซีไวท์) เล็งเห็นความจำเป็นของการให้ความรู้และแนะนำภาคปฏิบัติด้านการใช้ไอทีอย่างสร้างสรรค์ให้กับครอบครัว เพื่อให้พ่อแม่ตามทันเทคโนโลยีที่ลูกหลายกำลังให้ความสนใจอย่างมาก จะทำอย่างไรเพื่อให้ลูกหลานใช้ไอทีอย่างสร้างสรรค์ และปลอดภัย โครงการ "ครอบครัวไอทีสร้างสรรค์" เป็นเวทีที่ให้ความรู้แก่ผู้ปกครองเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการสร้างครอบครัวและสังคมที่เข้มแข็ง เผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจ แนะนำ และอบรมผู้ปกครองและบุตรหลาน เกี่ยวกับเครื่องมือออนไลน์ และเว็บไซต์ที่มีส่วนช่วยเสริมสร้างความรู้ สติปัญญา และการเรียนรู้ด้วยตนเอง ให้ผู้ปกครองสามารถเข้าใจ และเข้าถึงเทคโนโลยีมากขึ้นเพื่อเป็นการลดช่องว่างระหว่างพ่อแม่ผู้ปกครอง และบุตรหลานด้านไอที

กลุ่มเป้าหมาย พ่อแม่ ผู้ปกครอง และบุตรหลาน ที่มีความสนใจ รับจำนวนจำกัดไม่เกิน 30 ท่าน

ค่าใช้จ่าย ผู้ใหญ่ 50 บาท เด็ก (ไม่เกิน 15 ปี) 30 บาท
สนใจติดต่อ ศูนย์สนับสนุนการศึกษาเทคโนโลยีสารสนเทศ 02 634 2990

141/10 ชั้น 10 อาคารสกุลไทยสุรวงศ์ทาวเวอร์ ถนนสุรวงศ์ แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพ 10500

--
Chantita Setalaphruk

ศูนย์สนับสนุนการศึกษาเทคโนโลยีสารสนเทศ
The Center for World Information Technology Education

Tel 02 634 2990
Fax 02 234 3032

141/10 10st floor Sakulthai Building, Surawong Tower, Surawong Road, Suriyawong, Bangrak, Bangkok 10500


โดย: jenifaae วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:21:04:39 น.  

 
*เชิญร่วมงานเปิดตัวรายงานสิทธิมนุษยชนประจำปี 2551

โดย : แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เมื่อ : 22/05/2008 11:11 AM
เชิญร่วมงานเปิดตัวรายงานสิทธิมนุษยชนประจำปี 2551โดยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล

องค์การแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยขอเรียนเชิญสื่อมวลชนทุกท่านร่วมงานแถลงข่าวเปิดตัวรายงานสิทธิมนุษยชนประจำปี 2551 ที่งานไลท์อัพไนท์ ซึ่งจัดขึ้นพร้อมกันกับการแถลงข่าวโดยไอรีน คาห์น เลขาธิการองค์การแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลที่กรุงลอนดอน ในวันที่ 28 พฤษภาคม 2551

รายงานสิทธิมนุษยชนประจำปี 2551 ให้ภาพรวมเกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยครอบคลุม 150 ประเทศที่สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในปี2550 เป็นประเด็นที่น่าห่วงใยต่อแอมเนสตี้ฯ นอกจากนี้ยังสะท้อนกิจกรรมขององค์การในช่วงปีที่ผ่านมาในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและรณรงค์การละเมิดสิทธิมนุษยชน

การแถลงข่าวเปิดตัวรายงานประจำปี ตามด้วยการแสดงทัศนะความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนทั่วโลกโดยบุคคลที่มีชื่อเสียงในแวดวงสิทธิมนุษยชนของไทยภายใต้หัวข้อ "แบ่งปันความหวังในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง"

เมื่อไหร่: วันพุธที่ 28 พฤษภาคม 2551 เวลา 17.00 – 21.20 น.
ที่ไหน: สำนักกลางนักเรียนคริสเตียน (สนค.) เชิงสะพานหัวช้าง ใกล้โรงแรมเอเชีย ราชเทวี กทม.

สนใจเข้าร่วมกรุณาส่งแบบฟอร์มยืนยันการเข้าร่วมที่ คุณกิษรา รัตนาภิรัต เจ้าหน้าที่ฝ่ายติดต่อสื่อสาร
โทร 02-938-7746 หรือทางแฟกซ์หมายเลข 02-938-4756 หรืออีเมล์ info@amnesty.or.th

หมายเหตุ:
• สัมภาษณ์เพิ่มเติมเกี่ยวกับรายงานประจำปี 2551 ขององค์การแอมเนสตี้ฯ ได้ที่คุณบุญแทน ตันสุเทพวีรวงศ์ ผู้อำนวยการองค์การแอมเนสตี้ฯ ประเทศไทย
• มีล่ามพร้อมหูฟังเป็นภาษาไทยและอังกฤษ
• รายงานประจำปี 2551 ขององค์การแอมเนสตี้ฯและสิ่งประกอบสื่ออื่นๆเช่น รูปภาพ วีดีโอคลิปจะเผยแพร่ในวันที่ 28 พฤษภาคม สำหรับภาษาอังกฤษสามารถเข้าไปดูได้ที่ //thereport.amnesty.org หรือภาษาไทยที่ //www.amnesty.or.th หรือติดต่อคุณกิษรา โทร 02-938-7746




*จากเมล็ดพันธุ์สู่ความหวังของสังคม

โดย : สพร. เมื่อ : 20/05/2008 11:57 AM ขอเชิญ­ร่วมงาน
"จากเมล็ดพันธุ์สู่ความหวังของสังคม"
31 พฤษภาคม – 1 มิถุนายน 2551
สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (สพร.)

//www.ndmi.or.th/zip/map.gif(แผนที่)

พบกับ
เสวนาการเรียนรู้ของเยาวชน
สัมมนาภูมิปั­­ญญากับการแก้ปั­ญหาสังคมไทย
สลับกับ
การแสดงทางวัฒนธรรมของเยาวชน 4 ภาค
โดยเครือข่ายเยาวชนสืบสานภูมิปั­ญญา

//www.seubsan.net




*บรรยายพิเศษ เรื่อง "ธรรมมะเชนและศาสนาเชนในอินเดียและต่างประเทศ"

โดย : สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อ : 22/05/2008 11:18 AM สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับ Digambar Jain
Foundation เชิญรับฟังการบรรยายพิเศษ เรื่อง "ธรรมมะเชน
และศาสนาเชนในอินเดียและต่างประเทศ" (Jain Dharma/Jainism in India and Abroad)

โดย Prof. Prakash C.Jain ศาสตราจารย์ทางด้านสังคมวิทยา มหาวิทยาลัยเยาวหราล เนห์รู
กรุงนิวดลลี ประเทศอินเดีย

ในวันจันทร์ที่ 2 มิถุนายน 2551 เวลา 09.30-12.00 น. ณ ห้องประชุมอเนกประสงค์
สถาบันวิจัยภาษาฯ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา

สอบถามข้อมูลและสำรองที่นั่งได้ที่ นางสาววาสนา ส้วยเกร็ด งานบริการวิชาการ โทร.
0-2800-2341, 0-2800-2301


โดย: jenifaae วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:21:05:57 น.  

 
*ขอเรียนเชิญสื่อมวลชนร่วมทำข่าว"งานข้าวคืนนา"

โดย : มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) , เครือข่ายองค์กรชาวนา , เครือข่ายองค์กรพัฒนาด้านเกษตรกรรม เพราะพันธุ์ข้าวคือหัวใจของชาวนา

การพัฒนาพันธุ์ข้าวพื้นบ้านในระบบการผลิตที่ยั่งยืนในสภาพภูมินิเวศน์ที่หลากหลายเพื่อความมั่นคงทางอาหาร และรับมือกับวิกฤตการณ์เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจึงเกิดขึ้นได้จากความร่วมมือของ ชาวนา – องค์กรพัฒนาเอกชน – นักวิชาการ - กระทรวงเกษตรฯ


มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) , เครือข่ายองค์กรชาวนา , เครือข่ายองค์กรพัฒนาด้านเกษตรกรรม

ร่วมกับ

โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช อันเนื่องจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯและ กรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

ขอเรียนเชิญสื่อมวลชนร่วมทำข่าว"งานข้าวคืนนา"

วันที่ 28 พฤษภาคม 2551 09.30 – 16.00 น.
ณ สำนักวิจัยและพัฒนาข้าว และอาคารวิทยบริการ ม.เกษตรศาสตร์


เวลา 09.30 – 12.30 น. ณ สำนักวิจัยและพัฒนาข้าวกรมการข้าว
13.00 – 16.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 4 อาคารวิทยบริการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์


09.30-10.00 น. พิธีเปิดและแจกเมล็ดพันธุ์ข้าว
โดยคุณประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์
10.00-10.30 น. ลำนำบทกวี
โดย อาจารย์เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
10.30-11.00 น. พิธีรับขวัญข้าว
11.00-11.30 น. แถลงข่าว โดยตัวแทนชาวนา
และอธิบดีกรมการข้าว
11.30-12.30 อาหารกลางวัน และตั้งขบวนแห่รับข้าว


13.00 น. ขบวนแห่ถึงอาคารวิทยาบริการ
13.00-14.15 น. เวทีอภิปราย "พันธุกรรมข้าวพื้นเมือง
กับความมั่นคงทางด้านอาหาร"

ผู้ร่วมอภิปราย – นายอภิชาติ พงษ์ศรีหดุลชัย อธิบดีกรมการข้าว
- ตัวแทนชาวนา
- คุณสงกรานต์ จิตรากร
- คุณเดชา ศิริภัทร

ดำเนินรายการโดย คุณวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ

14.45-16.00 น. ประชุมเครือข่ายองค์กรชาวนา
เพื่อวางแผนอนุรักษ์ พัฒนา
และใช้ประโยชน์ข้าวพื้นเมือง

ดำเนินรายการโดย คุณสุภา ใยเมือง


ข้อมูลเพิ่มเติม

มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย)

พัชราวรรณ 087-507-5428

วราภรณ์ 086-899-4502

//www.sathai.org




*กทม.จัดงานวิถีไทยกับสายธาร สืบตำนานคลองผดุงฯ

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 6 พฤษภาคม 2551 17:29 น.



กรุงเทพมหานครจัดงาน "วิถีไทยกับสายธาร สืบตำนานคลองผดุงฯ"ที่ทางกรุงเทพมหานคร โดยสมาคมกีฬากรุงเทพมหานคร สภาวัฒนธรรมเขตดุสิต สภาวัฒนธรรมเขตพระนคร บริษัท สิงห์คอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้ร่วมกันจัดขึ้นในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ วันที่ 10-11,17-18 และ 24-25 พฤษภาคม 2551 จำนวน 3 สัปดาห์ บริเวณกลางคลองผดุงกรุงเกษม (บริเวณหน้าวัดมกุฏกษัตริยาราม วรวิหาร)เพื่อเป็นการบอกเล่าถึง "เสน่ห์กรุงเทพฯ"ที่สัมผัสได้จริง

สำหรับคลองผดุงกรุงเกษมนั้น เป็นคลองที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ(ร.4)ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ขุดขึ้น เพื่อขยายเขตพระนครให้กว้างออกไปแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ.2395 แล้วพระราชทานนามว่า "คลองผดุงกรุงเกษม" ซึ่งในอดีตเป็นเส้นทางคมนาคมและขนส่งสินค้าที่สำคัญของกรุงรัตนโกสินทร์ถึงวันนี้นับได้ว่า 155ปี

โดยภายในงาน "วิถีไทยกับสายธาร สืบตำนานคลองผดุงฯ"จะสะท้อนภาพวิถีชีวิตคนไทยในยามว่างจากงานในอดีต ที่จะจัดกิจกรรมการละเล่น โดยอาศัยสายน้ำตามธรรมชาติเป็นทุน ผสมผสานกับภูมิปัญญาไทยที่รักความสนุกสนานบันเทิงแบบพอเพียง เรียบง่าย แฝงไว้ด้วยเสน่ห์และชวนขบคิด ประกอบด้วยอารมณ์ขัน ชวนสนุกสนาน

อาทิ การละเล่นหัวใบ้ ท้ายบอด พายกระทะ ชักเย่อ ปีนเสาน้ำมัน เดินบนกระบอกไม้ไผ่ ถ่อแพ และอื่นๆ อีกมากมาย จนถึงการละเล่นอันเป็นวัฒนธรรม ประเพณีที่ต้องอาศัยวรรณศิลป์ประกอบการแสดง ได้แก่ เพลงเรือ (โดยขวัญจิต ศรีประจันต์) เพลงลูกกรุง (โดยศิลปินแห่งชาติ) เพลงลูกทุ่ง เพลงสุนทราภรณ์ ที่ล้วนเป็นเสน่ห์ที่ควรแก่การเรียนรู้ และสมควรที่จะธำรงรักษาไว้ให้เป็นมรดกของชาติ


โดย: jenifaae วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:21:06:24 น.  

 
*ปฏิทินการอบรมผู้ประกอบการ ปี 2551

คลิกที่นี่..เพื่อดูปฏิทินผู้ประกอบการ






*สมาคมผู้ดูแลเว็บไทย ขอเชิญชวนสมาชิกและผู้สนใจร่วมงานจิบกาแฟคนทำเว็บ "Web 2.0 Trend" ฟรี

สวัสดีค่ะ สมาชิกสมาคมผู้ดูแลเว็บไทยทุกท่าน

จดหมายข่าวฉบับนี้มาพร้อมกับพายุฝนกระหน่ำกันทีเดียว

เริ่มกันที่ สมาคมผู้ดูแลเว็บไทย ขอเชิญชวนสมาชิก, เว็บมาสเตอร์ และผู้สนใจ ร่วมงานจิบกาแฟคนทำเว็บ ประจำเดือนพฤษภาคม
ในหัวข้อ "Web 2.0 Trend"

วัน เวลา และสถานที่:
วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม 2551 เวลา 13.00 - 16.00 น.
ณ ร้าน True Coffee สาขาทองหล่อ
(ไม่เสียค่าใช้จ่าย)


พบกับเรื่องเล่าเกี่ยวกับ Trend ของ Web 2.0 ล่าสุด ในงาน Web2.0 Expo 2008
ที่จัดขึ้นประจำปีที่สหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ประสบการณ์ และความรู้ข่าวสารใหม่ๆ เกี่ยวกับ Web 2.0
รวมไปถึงกระแสเทคโนโลยีในปัจจุบัน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการสร้าง หรือต่อยอดธุรกิจและการพัฒนาวงการออนไลน์ของประเทศไทยโดยรวม

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมและลงทะเบียนได้ที่
//www.webmaster.or.th/project/jibcafe/coffee-chat-bangkok-may-2008


- -

ข่าวต่อมา ขณะนี้เว็บสมาคมฯ ได้เปิดหน้า "ปฏิทินกิจกรรมไอที" ขึ้น
เพื่อรวบรวมงานสัมมนาและกิจกรรมที่น่าสนใจต่างๆ ของวงการไอที ซึ่งสามารถประชาสัมพันธ์ให้สมาชิกและบุคคลทั่วไปทราบได้ทันที
สมาชิกและเว็บมาสเตอร์ท่านใดสนใจร่วมกันประชาสัมพันธ์กิจกรรมไอทีดีๆ
สามารถนำ Widget ไปติดที่เว็บของตัวเองได้ โดยดูรายละเอียดได้ที่ ปฏิทินกิจกรรมไอที

ทั้งนี้ เมื่อติดตั้งเรียบร้อยแล้วสามารถแจ้งรายชื่อเว็บของท่านได้ที่
//www.webmaster.or.th/itevent/participant
ทางสมาคมฯ จะทำลิงก์กลับไปให้ค่ะ

สำหรับสมาชิกที่ต้องการร่วมแนะนำกิจกรรมดีๆ เพื่อให้สมาคมฯ ช่วยประชาสัมพันธ์ต่อ
รอติดตามรายละเอียดจากเว็บสมาคมฯ ได้ เร็วๆ นี้

ตอนนี้ก็เข้าฤดูฝนแล้ว ขอให้ทุกท่านรักษาสุขภาพนะคะ แล้วพบกันใหม่ในจดหมายข่าวฉบับหน้าค่ะ

สำนักเลขานุการ สมาคมผู้ดูแลเว็บไทย

=========================================
สมาคมผู้ดูแลเว็บไทย (Thai Webmaster Association)
1768 อาคารไทยซัมมิททาวเวอร์ ชั้น IT
ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310
โทรศัพท์/โทรสาร. 0 2251 3090
URL: //www.webmaster.or.th


โดย: jenifaae วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:21:07:15 น.  

 
*พลังงานแสงอาทิตย์ ยังรอการพัฒนาในด้านใดบ้าง

การจะให้พลังงานแสงอาทิตย์ เข้ามามีบทบาทสำคัญในการให้พลังงานทั่วโลก เซลล์แสงอาทิตย์ (solar cell) ในปัจจุบันต้องมีราคาถูกลงและมีประสิทธิภาพสูงขึ้นด้วย ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ อย่างๆไรก็ดีการพัฒนาใหม่ๆก็ทำให้มันมีความเป็นไปได้มากขึ้น อันที่จริง ประสิทธิภาพของ solar cell ได้พัฒนาให้มากขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด 40 ปีที่ผ่านมา และด้วยกำลังผลิตที่มากขึ้น ค่าติดตั้งของแผง solar cell ก็ลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะในญี่ปุ่น ยอดขายที่เพิ่มขึ้นทำให้ราคาของพลังงานแสงอาทิตย์ลดลง 7% ต่อปี ตั้งแต่ปี 1992-2003 แต่ถึงกระนั้น ราคาก็ยังต้องลดลงมากกว่านี้อีก 10 ถึง 100 เท่า ถึงจะทำให้ราคาต่ำพอที่จะแข่งขันกับแหล่งพลังงานไฟฟ้าอื่นๆ ใช้ในการคมนาคม และใช้เป็นแหล่งพลังงานให้ความร้อนตามครัวเรือนทั่วไปได้ ในการที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงด้านราคานี้ กรมพลังงานของอเมริกาได้รายงานถึง หัวข้อสำคัญสำหรับการวิจัยด้านพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งมีดังนี้

*ต้องมีวิวัฒนาการรูปแบบของ เซลล์ไฟฟ้าแสงอาทิตย์ (Photovoltaic cell)
แผง solar cell มาตรฐานสามารถแปลง หนึ่งในสาม ของพลังงานจากโฟตอนที่มาชนมันไปเป็นกระแสไฟฟ้า แต่บางโฟตอนก็ไม่มีพลังงานมากพอที่จะกระตุ้นอิเล็กตรอนใน solar cell หรือโฟตอนบางตัวที่มีพลังงานมากเกินก็ปล่อยออกมาเป็นความร้อน คือถึงแม้ว่าโฟตอนที่มาชนมีพลังงานมากแต่ solar cell ก็ไม่สามารถสร้างกระแสไฟฟ้าได้มากขึ้นตาม อย่างไรก็ดี การวิจัยใหม่ๆชี้ให้เห็นว่า เราอาจจะกักเก็บพลังงานที่มากเกินเหล่านี้ด้วย สารจำพวกตะกั่วที่มีขนาดในระดับนาโนเมตร ที่สามารถกระตุ้นมากกว่าหนึ่งอิเล็กตรอน จากหนึ่งโฟตอนที่มาชนได้ แต่ว่าเทคนิคนี้ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่าใช้ได้จริงใน solar cell

พลาสติกเซลล์
solar cell ที่สร้างจากสารอินทรีย์ รวมถึงโพลีเมอร์ราคาถูก จะลดราคาของไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ลงอย่างมาก แต่พลาสติกเซลล์ในปัจจุบันนี้ยังมีประสิทธิภาพต่ำอยู่ นั่นคือส่วนใหญ่สามารถแปลงเพียง 2% ของพลังงานแสงอาทิตย์ที่ได้รับไปเป็นกระแสไฟฟ้า การค้นพบวัตถุดิบใหม่ๆหรือการออกแบบใหม่ๆอาจช่วยเพิ่มตัวเลขนี้ให้เพิ่มขึ้นได้

นาโนเทคโนโลยี
ถึงแม้ว่า solar cell แบบคริสตัล ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีประสิทธิภาพประมาณ 30% การผลิตซิลิกอนคริสตัลเองก็ใช้พลังงานมาก และมีราคาแพง ผู้ผลิต solar cell ได้เริ่มหันมาใช้เทคนิคการผลิตทางเคมีที่มีราคาถูกลงในการสร้าง semiconductor คริสตัลขนาดระดับนาโนใส่เข้าไปใน solar cell ซึ่งทำให้ค่าผลิตถูกลงกว่าเดิมอย่างมาก แต่ประสิทธิภาพของเซลล์เหล่านี้ยังอยู่ที่แค่ 10% หรือน้อยกว่า นักวิจัยอาจจะเพิ่มประสิทธิภาพของเซลล์เหล่านี้ได้ ถ้าสามารถหาวิธีจัดเรียงอนุภาคนาโนเสียใหม่ ให้ขนย้ายอิเล็กตรอนที่ถูกกระตุ้นหลายๆตัวออกจากเซลล์ได้

จากอากาศและน้ำ สู่เชื้อเพลิง
แสงอาทิตย์สามารถแยกโมเลกุลน้ำเป็น ออกซิเจนและ ก๊าซไฮโดรเจนได้ ซึ่งอยู่ในรูปที่สามารถกักเก็บ ขนส่งผ่านท่อ และสามารถนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงของยานพาหนะ หรือผลิตกระแสไฟฟ้าได้ แต่ในจุดนี้ ประเด็นเรื่องประสิทธิภาพก็เป็นปัญหาเช่นกัน ตัวกระตุ้น (catalyst) ที่ใช้แยกโมเลกุลน้ำสามารถดูดซึมเพียงไม่กี่ % ของพลังงานจากแสงอาทิตย์ที่ได้รับ และก็มีบ่อยๆที่มันไม่เสถียรพอในเซลล์ที่ใช้จริง ปัญหานี้คงจะแก้ได้ถ้านักวิจัยสามารถหา catalyst ตัวใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่านี้ และเสถียรกว่านี้ ที่น่าสนใจพอๆกันก็คือการหา catalyst ที่สามารถใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการแปลงคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศให้เป็นไฮโดรคาร์บอนที่พร้อมใช้เป็นเชื้อเพลิงได้
ตัวรวมแสงอาทิตย์
ในปัจจุบัน ตัวสะท้อนที่ใช้รวมแสงอาทิตย์จำนวนมากให้ตกลงบน photovoltaic cell ตัวเดียว ได้ช่วยทำให้ค่าไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์ถูกที่สุดเท่าที่เป็นไปได้แล้วขณะนี้ นักวิจัยกำลังมองหารูปแบบที่คล้ายๆกันในการแยกโมเลกุลน้ำ เพื่อสร้างก๊าซไฮโดรเจน หรือเพื่อใช้แยกไฮโดรเจนก๊าซและคาร์บอนออกจากเชื้อเพลิงฟอสซิล การที่จะเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ ตัวก่อปฏิกิริยาเหล่านี้ต้องสามารถสะสมแสงอาทิตย์ได้มากพอถึงระดับ 2000 เคลวิน แต่ว่าที่อุณหภูมินี้ก็จะก่อให้เกิความร้อนที่ทำลายอุปกรณ์เซรามิกที่เป็นส่วนประกอบของตัวกระตุ้นปฏิกิริยาเคมีเสียเอง นั่นคือต้องมีเซรามิกทนความร้อนจึงจะสามารถทำให้เชื้อเพลิงจากแสงอาทิตย์เป็นจริงได้

ข้อมูลจาก
- SOLAR ENERGY:Solar Report Sets the Agenda. Science, Vol 309, Issue 5734, 549 , 22 July 2005
//www.sciencemag.org/cgi/content/full/309/5734/549

ข้อมูลเพิ่มเติม
- ข้อมูลเกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์
//www.solarenergy.com/
//www.history.rochester.edu/class/solar/solar.htm
//www.solarenergy.org/

ณัฏฐิณี

ขอขอบคุณ
วิชาการ.คอม






*ชวนลดโลกร้อนไปกับมหกรรม "วันสิ่งแวดล้อมโลก" 5-8 มิ.ย.นี้

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 29 พฤษภาคม 2551 20:41 น.



นับถอยหลังอีกเพียง 7 วัน จะถึง "วันสิ่งแวดล้อมโลก ประจำปี 2551" แล้ว โดยปีนี้ "กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม" เจ้าเก่า จะจัดมหกรรมสีเขียวนานถึง 4 วันเต็มๆ ระหว่างวันที่ 5-8 มิ.ย. ณ อิมแพค เมืองทองธานี เพื่อเป็นเวทีให้ผู้ใส่ใจสิ่งแวดล้อมได้ไปอัพเดทข้อมูลใหม่ๆ และแสดง "พลังสีเขียว" ร่วมกัน

นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยกับผู้จัดการวิทยาศาสตร์ เมื่อวันที่ 29 พ.ค.51 ว่า ระหว่างวันที่ 5-8 มิ.ย.ที่จะถึงนี้ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมจะจัดกิจกรรมวันสิ่งแวดล้อมโลก ประจำปี 2551 ขึ้น ณ ศูนย์ประชุมและแสดงนิทรรศการ อิมแพค เมืองทองธานี

จุดประสงค์เพื่อกระตุ้นเตือนให้ประชาชน หันมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ในภาวะที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคุกคามโลกเร็วกว่าที่คาดการณ์กันไว้

สำหรับการจัดงานดังกล่าว มีขึ้นภายใต้คำขวัญการจัดงานพร้อมกันทั่วโลก กำหนดโดยโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งองค์การสหประชาชาติ (ยูเนป) ว่า "CO2 KICK THE HABIT! TOWARDS A LOW CARBON ECONOMY" หรือ "ลดวิกฤติโลกร้อน: เปลี่ยนพฤติกรรม ปรับแนวคิด สู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ" โดยมีหน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นพันธมิตรสำคัญ

ไฮไลต์ของงานประกอบด้วยเวทีเสวนาและกิจกรรมการแสดงบนเวที เพื่อกระตุ้นความสนใจและหาแนวทางพัฒนาสังคมไทยไปสู่ระบบเศรษฐกิจหรือสังคมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้น้อยที่สุด เช่น "ประเทศไทยกับการปรับตัวสู่ Low Carbon Economy" โดย ดร.ศักดิ์สิทธ์ ตรีเดช ปลัด ทส., "คาร์บอนเครดิต" โดย ดร.ศิริธัญญ์ ไพโรจน์บริบูรณ์ ผอ.องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) รวมถึงกิจกรรมบนเวทีโดยโครงการเด็กไทยหัวใจรีไซเคิล และกิจกรรมลดโลกร้อนกับแป้งตรางู เป็นต้น

ภายในงานยังมีการจัดนิทรรศการให้ความรู้ความเข้าใจกว่า 200 บูธ และนิทรรศการโครงการพระราชดำนิกับการลดปัญหาภาวะโลกร้อน บนพื้นที่ประมาณ 2,000 ตร.ม.ของฮอลล์ 9 ซึ่งจะให้คำแนะนำว่า แต่ละภาคส่วนในสังคมจะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกิจกรรมประจำวันได้อย่างไร ตลอดจนภาคอุตสาหกรรมจะปรับเปลี่ยนวิธีการผลิตและการให้บริการเพื่อลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้โดยวิธีใด

"การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมโลกมาเร็วกว่าที่เราคิด ดังนั้นมนุษย์จะต้องเปลี่ยนจากพฤติกรรมที่เคยชิน หันเข้าหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้น้อยที่สุด ถือหลักกินแค่พอดี มีแค่พอใช้ ปรับนิสัยให้พอเพียง เพราะโลกร้อนเกิดมาจากฝีมือมนุษย์ กิจกรรมครั้งนี้จึงเป็นสัญญาณให้ทุกภาคส่วนลดปัญหาโลกร้อนร่วมกัน ทั้งระดับบุคคลและระดับอุตสาหกรรม" รองอธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมกล่าว

ทั้งนี้ ภายในงานยังมีการออกร้านจำหน่ายสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมหรือสินค้าฉลากเขียวในราคาพิเศษ อาทิ กระดาษสา สุรากลั่น สิ่งทอ และผลไม้แช่แข็งจากกลุ่มหัตถกรรมภาคเหนือที่ได้รับตรากรีนโปรดักต์และมีการส่งออกไปจำหน่ายยังสหภาพยุโรป รวมถึงผลิตภัณฑ์โฟมชานอ้อย เก้าอี้เพื่อสิ่งแวดล้อม สบู่และน้ำยาทำความสะอาดเกษตรอินทรีย์จากภาคเอกชน ฯลฯ

นอกจากนี้ กรมป่าไม้จะนำกล้าไม้มงคลมาแจกจ่ายแก่ผู้ร่วมงานเพื่อนำไปปลูกเพิ่มพื้นที่สีเขียววันละ 1,000 กล้า อาทิ ราชพฤกษ์ เหลืองปรีดิยาธร ทรงบาดาล สัก และสารภีทะเล ฯลฯ

นักเรียน นิสิต นักศึกษา ตลอดจนประชาชนทั่วไปที่สนใจสามารถร่วมงานได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตามวัน เวลา และสถานที่ข้างต้น ดูรายละเอียดการจัดงานเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ //www.deqp.go.th หรือสอบถามได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 0-2278-8444


โดย: jenifaae วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:21:08:44 น.  

 
*การจัดระบบฐานข้อมูล - ศ.ดร. ศรีศักดิ์ จามรมาน

การจัดระบบฐานข้อมูล





*พระเจ้าตากสินฯ ไม่เคยสิ้นพระชนม์ : ถอดรหัสประวัติศาสตร์ โดยศาสตร์ยูเรเนียน

Posted by อธิ
//www.oknation.net/blog/as711

พระราชพงศาวดารฯ ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), ฉบับพระราชหัตถเลขา, ฉบับบริติชมิวเซียม, ฉบับหมอบรัดเล, ฉบับพระพนรัตน์, จดหมายเหตุโหร, จดหมายความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี, ฯลฯ
ที่แสดงนั้นเป็นเอกสารชั้นปฐมภูมิ, และทุติยภูมิบางส่วน ที่ถูกเขียนซ้ำและค้นคว้าอย่างมากมายเพื่อมุ่งหมายจะค้นให้ได้ "ความจริง" ที่สุดเกี่ยวกับรัชสมัยแห่ง พระเจ้ากรุงธนบุรี ซึ่งมีบันทึกขึ้นไว้อย่างจำกัดและรวบรัดเหลือเกิน และส่วนใหญ่คัดมาจากต้นฉบับเดียวกัน สอดสวมด้วยสำนวนภาษาที่มากขึ้น แต่รายละเอียดไม่ได้ชัดเจนชัดก็หาได้ไม่...
"...ฝ่ายการในอากาศเล่า ก็วิปริตต่าง ๆ คือมีอุกาบาตรและประทุมกาษบันดาลตกเป็นต้น" - เหตุการณ์ฟ้าในช่วงนั้น
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เป็นพระมหากษัตริย์ไทยที่คนไทยหลงใหล และถวายพระเกียรติมากที่สุด เป็นเรื่องที่ไม่บังควรที่จะเอ่ยพระนามจริงของพระมหากษัติย์ แต่คนไทยคุ้นเคยที่จะเรียก "พระเจ้าตากสิน" จนชินปากกันทั่วไป ด้วยความรู้สึกใกล้ชิด ไม่ใช่ความหมายในเชิงลบเลย
"ครั้นถึง ณ วันพฤหัสบดี แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ บังเกิดทุนิมิตบนอากาศ เมฆปรากฏเป็นคันกระแพงฝ่ายทิศบูรพ์" - เหตุการณ์ฟ้าในช่วงนั้น
ผมเองอ่านและสะสมหนังสือเพื่อที่จะรู้ไปให้ลึกที่สุดเกี่ยวกับพระราชประวัติของพระองค์ และมีโอกาส "ดูดวง" ให้แก่ผู้สืบสายตระกูลของ "พระเจ้าตาก" ที่นครศรีธรรมราช ผมเพิ่งจะค้นหาได้จาก Google ในวันนี้อย่างประหลาดใจว่าท่านเจ้าของดวงชะตาได้ให้เกียรตินำลงใน Blog ของท่านขอบคุณผมไว้ ผมแอบยิ้มด้วยความยินดีที่ได้รับเกียรตินั้นแต่ก็รู้สึกเขินอยู่มากเมื่อกลับไปอ่านคำพยากรณ์ที่ส่งให้ท่านนั้น อ่านเนื้อหาได้ที่ลิงค์ต่อไปนี้ ขอบคุณโหร "สมัคร บัวชู"(อธิ) และ คำพยากรณ์จากคุณ อธิ 081-1442288
เมื่อวานนี้ คือวันที่ ๑๐ พ.ค. ๒๕๕๑ เวลาสองทุ่มกว่า จันทร์บังอังคาร เป็นปรากฏการณ์สำคัญในวงการดาราศาสตร์ ที่เห็นได้ในประเทศไทยทุกภาค "บัง" ในที่นี้ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Occultation โดยที่ Occult เป็นศัพท์ที่ออกไปทางขลัง อาจแปลไปได้ว่า บดบัง, ลึกลับ, ไสย (ดำ), อาคม เป็นต้น นับเป็นฤกษ์สำคัญสำหรับงานบางอย่างอันย้อนไปใน "อดีต" ได้อย่างหนึ่ง
อ.อดิเทพ ศรีรัตนไพฑูรย์ ท่านใช้โหราศาสตร์ยูเรเนียน สืบค้นอย่างเป็นวิชาการด้วยอีกทาง โดยจะจัด "อบรมวิชาการ" เพื่อแสดงการใช้ "ปรัชญา" อย่างที่เป็นสิ่งใหม่ให้ประจักษ์ได้เป็น "หลักฐาน" ที่ผู้ "รู้ได้" ในโหราศาสตร์จะต้องถึงกับ "ไม่ปฏิเสธ" ไปได้เลย เนื้อหาท่านลงไว้ว่า...

งานค้นคว้าวิจัยเรื่อง "สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช" ในรูปแบบของศาสตร์ "ยูเรเนียนพระเคราะห์สนธิ" พิจารณาเกี่ยวกับ "วัน/เวลา พระราชสมภพ"

๑. มูลเหตุอันนำมาสู่งานวิจัย

๒. การวินิจฉัยดวงพระราชสมภพ

๓. การตัดสินหรือข้อยุติในการวางตำแหน่งเมอริเดียน

๓.๑ ปีที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองตาก
๓.๒ การตีฝ่าวงล้อมออกจากกรุงศรีอยุธยา
๓.๓ เข้าตีเมืองจันทบุรี
๓.๔ การกู้อิสรภาพจากพม่า

๔. การปราบดาภิเษกเป็นพระเจ้ากรุงธนบุรี

๕. การออกผนวชครั้งที่สอง

๖. วันที่ถูกสำเร็จโทษ เป็นจริงหรือไม่
ผู้สนใจว่าเขาจะใช้โหราศาสตร์ยูเรเนียนแสวง "ความจริง" คืบไปใน "อดีต" อย่าง "ชัดเจน" ที่สุดได้อย่างไร ผมขอแนะนำอย่าง "สุดใจ" ว่าวิชาการครั้งนี้ไม่เคยมีจัดอย่างนี้มาก่อน ผมฟังตัวอย่างบางตอนมาแล้ว (Preview) เห็นว่าเป็นงานที่ค้นคว้าจริงจัง มีวิชาการเป็นหลักฐานอัน "จับต้องได้" ชัดเจนที่สุดเท่าที่เคยพบมาในสายโหราศาสตร์ สมควรอย่างยิ่งจึงไม่อาจจะพลาดได้เลย อ่านรายละเอียดของการเข้าร่วมอบรมวิชาการได้ที่ลิงค์นี้ หรือ ที่ลิงค์นี้
นี่คือ กฤษดาภินิหารอันบดบังมิได้ ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่ปลุกเร้าและเป็นแรงบันดาลใจไปทั่วทุกวงการ และจะยังคงเป็นอมตะแก่ผู้ต้องการทราบและทำ "ความจริง" ให้ปรากฏต่อไปอีกยาวนาน
-----------------------------------------------
ภาคผนวก (เพื่อเก็บความให้ครบถ้วน)
-----------------------------------------------
จดหมายจาก "ธัญศักดิ์ ณ นคร" ถึง "อธิ"
เมื่อ 2/24/08, ธัญศักดิ์ ณ นคร เขียนว่า:
เรียน คุณอธิ

ผมได้รับ mail จากคุณแล้ว ต้องขอขอบคุณในไมตรีจิต
ที่ส่งคำพยากรณ์ตามตำราโหรของท่าน

ก่อนอื่น ผมขอเรียนว่า ผมมีความสนใจในโหราศาสตร์ทุกตำรา
แต่พยายามอ่านและศึกษาด้วยตนเองอยู่บ้าง แต่ต้องยอมรับว่า
ภาษาของโหราศาสตร์ยากจริงๆ การศึกษาด้วยการอ่านเอง
ไม่สามารถทำให้ผมเข้าใจได้เอาเสียเลย ศัพย์แสงในวงการนี้เข้าใจยากจริงๆ ครับ

คุณเป็นคนเก่ง น่ายกย่องนับถือทีเดียว ศึกษาประวัติฯประเจ้าตากได้อย่างถูกต้อง
ลึกซึ้ง
ประวัติตระกูลของผมสืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าตากสิน
ผู้หลักผู้ใหญ่ในตระกูลเล่าว่า พระองค์ท่านได้หลบภัยการเมือง
โดยได้ผนวชในบั้นปลายชีวิต และมาประทับที่ถ้ำเขาขุนพนม อ.พรหมคีรี
นครศรีธรรมราช ปัจจุบันยังมีร่องรอย มีหลักฐานบ่งชี้เช่นนั้น
บางท่านเชื่อว่าท่านสิ้นพระชนที่นครศรีฯ
บางท่านเชื่อว่าท่านเดินทางกลับพระนครเพื่อรักษาไข้ป่า
ขณะพักการเดินทางที่ถ้ำแห่งที่ประจวบคีรีขันธ์หรือเมืองเพชร(ผมจำไม่ได้)
ท่านเสียชีวิตที่นั่น
อย่างไรก็ตามเชื่อกันว่า พระศพของท่านได้นำกลับมาที่นครศรีธรรมราช
ส่วนกระดูกบางส่วนได้นำมาบรรจุอยู่ที่วัดพระมหาธาตุฯ นครศรีธรรมราช
มีการปลูกต้นหว้า หกต้นล้อมรอบเอาไว้ ปัจจุบันต้นหว้ายังมีสมบูรณ์ทุกต้น
เรียกกันว่า "หกหว้า เจ้าพระยานครน้อย"
ซึ่งเชื่อว่าเป็นที่เก็บกระดูกของพระองค์
แต่เพื่อไม่ให้ผู้มีอำนาจยุคนั้นต้องสั่นไหว เลยให้ตั้งชื่อเช่นนั้น โดย
"โกหกว่า" เป็นที่บรรจุกระดูกเจ้าพระยานครน้อย
ซึ่งเป็นบุตรคนเดียวของพระเจ้าตากสินที่หัวเมืองทางใต้

ผมภาคภูมิใจในตระกูลของผมเป็นอันมาก แม้ผมเป็นเป็นทายาทรุ่นที่ 7 แล้ว
นับแต่พระยานครน้อยเสียชีวิตไป ลูกหลานอันหลากหลายสายในตระกูลนี้
(ผมเป็นสายสิชล) บ้างได้ดิบได้ดี บ้างต้องตกระกำลำบาก บ้างได้รับศักดินา
บ้างต้องทำไร่ไถนา
ผมเป็นลูกหลานในสายสิชล ซึ่งทวดไม่รับราชการ ต้องทำไร่ไถนา
แต่ทวดได้เลี้ยงดูบุตรบางคนให้รับราชการได้ยศขั้นสูงสุด เช่น นายประวีณ ณ นคร
อดีตเลขาธิการ กพ. ก็มาจากลูกของทวดผู้เป็นชาวนาอันลำบากยากเข็ญหรือนายคณิต ณ
นคร อดีตอัยการสูงสุด ก็เป็นหลานของทวดผม ที่มีปู่เป็นชาวนา
ซึ่งก็เกิดจากสายสิชล เช่นกัน
ชีวิตมีขึ้นมีลง มีสูงส่งและต่ำต้อย แต่สิ่งที่คนในตระกูลผม
ได้อบรมสั่งสอนกันมานั้น ให้ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ เสียสละ
ให้อยู่ในศีลในธรรม ที่สำคัญห้ามเอาเปรียบผู้อื่น
และไม่ให้ดูถูกเหยียดหยามผู้ที่มีโอกาสน้อยกว่าตน
พ่อผมทำไร่ไถนา เลี้ยงลูกทุกคนด้วยสอนเช่นนี้เสมอมา
และผมจะยึดถือคำสอนเหล่านั้นไว้เป็นเครื่องนำทางชิวิตตลอดไป
ต้องขอขอบคุณอีกครั้ง และหวังว่า จะได้รับใช้คุณบ้างในโอกาสอันสมควร

ด้วยความนับถือ

ธัญศักดิ์ ณ นคร

-----------------------------------------------
จดหมายจาก "อธิ" ถึง "ธัญศักดิ์ ณ นคร"
เรียนคุณธัญศักดิ์


ขอบคุณสำหรับไมตรีจิตอันดีในการที่ได้กรุณาเล่าประวัติของตระกูลมาให้ทราบยิ่งขึ้นครับ

สำหรับผมนั้นก็ขอเล่าเพิ่มเติมเท่าที่นึกขึ้นได้ว่า ได้ศึกษาเรื่องพระเจ้าตากสินมหาราชไปโดยความสนใจส่วนตัวอีกดังนี้

ที่จังหวัดเพชรบุรี วัดแห่งหนึ่งที่อำเภอบ้านแหลม มีเรือนเก่าหลังหนึ่งเป็นไม้สักมีสภาพเนื้อเก่าสึกกร่อน พระที่วัดว่าเป็นบ้านของน้องสาวนางนกเอี้ยง ผมหูผึ่งเมื่อได้ทราบข่าว ก็รีบไปดู พบว่ากำลังบูรณะเป็นวิหาร เขียนลายลงลัก.. ด้านในใหม่หมด แต่สภาพไม้ด้านนอกยังคงรักษาไว้อย่างเดิม แสดงให้เห็นถึงความเก่านัก

เล่ากันว่า เพชรบุรีอาจเป็นมาตุภูมิของนางนกเอี้ยง เพราะเมื่อมีสงครามพม่านั้น จึงได้ถอดเรือนแล้วเอาล่องเรือมาพักอยู่ที่เพชรบุรี จนนายสุดจินดา (น้องชาย ร.๑) ได้นำท่านไปพบกับพระยาตาก (ชื่อตามยศในตอนนั้น) ให้หมดกังวล แล้วจึงได้เป็นประดุจแขนขวาของพระยาตาก จึงต่อมา หลวงยกกระบัตรราชบุรี (ร.๑) ก็ได้ตามไปร่วมรบเคียงข้างด้วย

เจ้าหน้าที่ศิลป์ผู้รับเขียนลายภายในเรือนหลังนั้นกล่าวว่า เป็นของที่กรมศิลปากรตกสำรวจ ไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน (ผมแอบคิดว่า อาจบางทีนี่จะเป็นเรือนของนางนกเอี้ยงเองก็ได้ เพราะประวัติในช่วงนั้นลางเลือนคลุมเครือนัก ชาติกำเนิดของพระองค์นั้นผมก็อยากเชื่อว่าเป็นลูกกษัตริย์อยุธยานอกเสวตฉัตร เพราะต่อมาเมื่อพระองค์ปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์จึงได้ใช้นามว่า สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 อันมีนัยว่าท่านเป็นผู้ถือพระองค์ว่าสืบราชวงศ์ต่อมาจากพระบิดาผู้ให้กำเนิดพระองค์ใด)

ที่เล่ามานี้เป็นความทรงจำที่ประทับใจ (กับเปิดตำราช่วยบ้างนิดหน่อยสำหรับข้อมูลชื่อเฉพาะ)

ในชีวิตจริงของผมนั้น มีครั้งหนึ่งนานแล้วเคยรู้จักคนชื่อ น้อง ณ นคร โดยบังเอิญ (ชื่อจริงจำไม่ได้) เมื่อผมไปลงเรียนรามฯ (อายุราวปี 2) แล้วเธอถามเบอร์รถเมล์ไปพระโขนงหรือยังไงนี่แหละ ผมก็งงว่าคนอะไรไม่รู้เบอร์รถเมล์ แกล้งถามป่าวนะ แปลกจัง แต่ที่สุดผมก็อธิบายไม่ถูกว่าต่อรถยังไงบ้าง บอกให้ดูข้างรถเอาก็ดูจะไม่เวิร์ก ก็เลยขึ้นรถเมล์ไปส่งเธอด้วยพอให้ใกล้ถึงแล้วผมก็แยกกลับ ไปลาดกระบัง (ผมเรียนวิศวะอยู่ที่นั่น) เคยโทรคุยกับเธออยู่ 2-3 ครั้งตามเบอร์ที่เธอให้ไว้ด้วยไมตรี ต่อมาเกือบ 10 ปีได้มั้ง จึงเห็นเธอออกทีวีมีอัลบั้มเพลง 1 ชุด จึงนึกขึ้นได้ว่าเราเคยรู้จักเธอ จึงพยายามหาทางติดต่อกลับไปโดยสืบเสาะหาเบอร์โทรจากบันทึกเก่า ๆ บังเอิญได้คุยกับแม่ของเธอ แม่เธอว่าไม่ได้อยู่ด้วยกัน นัยว่าเธอไปอยู่กับฝ่ายพ่อฝ่ายวัง แม่เธอเล่าเรื่องตัวท่านเองว่า เคยค้าขายผ้าไหมมาก่อนตระกูลชินวัตรเล็กน้อย

ต่อมาเมื่อสบโอกาสได้อ่านหนังสือจริงจังเกี่ยวกับพระองค์จึงรู้ว่า เธอคือหนึ่งในสายสาแหรกของพระองค์ รวมทั้งนามสกุลอื่นอีกที่พอจำได้ก็เช่น ธรรมสโรช เป็นต้น และมีอีกคนหนึ่งที่ได้เคยรู้จักเกือบจะสนิทได้ทำงานร่วมกันสกุล อิสรเสนา (ณ อยุธยา) อายุเป็นรุ่นน้องจบนอกมาทำงานบริษัทฝรั่งด้วยกัน

ผมนั้นตั้งใจไว้นานแล้วว่าจะไปเที่ยวเยือนสถานที่ต่าง ๆ ตามเส้นทางของพระองค์ที่นครศรีธรรมราช แต่ก็ยังไม่ได้ไป มีเพื่อนสนิทหน่อยอยู่ที่นั่นด้วย รอฟ้าเป็นใจคงได้ไปอยู่สัก 2-3 วัน เพื่อไปสักการะสถานที่ต่าง ๆ นั้น

ทางจันทบุรี ผมได้มีโอกาสไปอยู่เรียนวิชาพิเศษมา ถือโอกาสเที่ยวตามวัดวาอาราม แต่ไม่พบสถานที่ใดสำคัญนักเกี่ยวกับพระองค์ ภรรยาของอาจารย์ที่นับถือของผมที่นั่นท่านก็กำลังทำเรื่องรื้อฟื้นเส้นทางเดินทัพของพระองค์ ผมก็เหมือนได้พบผู้สนใจในเรื่่องเดียวกันโดยบังเอิญอีกในคราวไปอยู่ 10 กว่าวันครั้งนั้น

ปีนี้คิดจะไปทางตะวันตก กาญจนบุรี ตาก (และนครฯ) ไม่รู้ว่าจะได้ไปหรือไม่ ไว้หงุดหงิดการงานมาก ๆ เข้าก็จะไปได้ล่ะครับ (ถือเป็นการแก้เคล็ด)

เล่ามานี้ก็ถือว่าคืนความจำมาคุยกันแบบคนรู้จักนะครับพี่ ถ้าผิดพลาดก็ต้องขออภัยด้วยครับ

(ปล. ผมยังคงอยากทราบถ้ำที่พระองค์สิ้นพระชนม์ตามที่หลวงพ่อจรัลทราบและไปนำเอาของค่าสูงบางอย่างมาเก็บไว้ได้หรือไม่ ตามที่ท่านเล่า ผู้เล่าและผู้เล่าต่อยังคงมีชีวิตอยู่ แต่ผมยังเข้าไม่ถึงข้อมูล ไว้ฟ้าเป็นใจ คงจักสมปรารถนาก็เป็นได้)

อธิ
-----------------------------------------------
หมายเหตุ: ผมมิได้ขออนุญาตคุณธัญศักดิ์ก่อนที่นำเรื่องส่วนตัวลงใน Blog แต่ผมได้อ่านทวนหลายรอบแล้วว่า จะมิได้ทำให้เป็นผลเสียต่อท่านแต่อย่างใด จึงถือวิสาสะในการนี้ หากพบว่าจะเป็นการเสียหาย จะต้องขออภัยเป็นการเฉพาะต่อไปและนำออกเสียโดยเร็วที่สุดต่อไป


โดย: jenifaae วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:21:12:33 น.  

 
*สำนักงาน กทช. จะเปิดประชาพิจารณ์ผลการศึกษาสูตรมาตรฐานการคำนวณค่าธรรมเนียมการใช้คลื่นความถี่

กทช. วางโรดแม็พ 3 จี ฝัน ส.ค.นี้ เปิดให้ยื่นขอใบอนุญาต [21 เม.ย. 51 - 06:11]

นายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร เลขาธิการคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทช. กล่าวว่า ประมาณเดือน ก.ค.นี้ สำนักงาน กทช. จะเปิดประชาพิจารณ์ผลการศึกษาสูตรมาตรฐานการคำนวณค่าธรรมเนียมการใช้คลื่นความถี่ นอก จากนี้ ทุกๆ สัปดาห์นับจากนี้ สำนักงาน กทช. จะประชุมเตรียมพร้อมเกี่ยวกับการออกใบอนุญาต 3 จี และรายงานความคืบหน้าต่อที่ประชุมคณะกรรมการ หรือ บอร์ด กทช. ทุกครั้ง
เลขาธิการ กทช. กล่าวต่อว่า ช่วงแรกจะศึกษาเกี่ยวกับเรื่องคลื่นความถี่ก่อน โดยจะดำเนินการควบคู่ไปกับการศึกษาของผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารโลกและบริษัทที่ปรึกษาที่ว่าจ้างมา หลังจากนั้น จะนำผลการศึกษาทั้งหมดมาสรุปรวมกันและจะได้เป็นข้อสรุปเกี่ยวกับการจัดสรรคลื่นความถี่ออกมา หลังจากนั้น จะศึกษาเรื่องใบอนุญาตที่เหมาะสมและจำนวนแบนวิธ ที่ในที่สุดจะนำไปสู่การจัดเตรียมเงื่อนไขสำหรับการออกอนุญาต
นายสุรนันท์ กล่าวอีกว่า เมื่อผลการศึกษาทั้ง 3 ส่วนเสร็จเรียบร้อยและนำมาประกอบกันจะได้เป็นกระบวนการที่จะออกใบอนุญาตทั้งกระบวนการ โดยคาดว่า จะสามารถจัดประชาพิจารณ์ได้ในช่วงต้นเดือน มิ.ย.นี้ ที่จะประชาพิจารณ์ทุกๆ เรื่องทั้งกระบวนการได้ใบอนุญาต จำนวนใบอนุญาตที่เหมาะสม คุณสมบัติผู้ขอ รวมทั้งขั้นตอนและเงื่อนไขใบอนุญาต ที่ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเดือน ส.ค.นี้ อาจจะเปิดให้ยื่นขอใบอนุญาตได้
“หมายถึง อย่างเร็ว ถ้าเป็นไปตามแผน จะเห็นได้ชัดว่า แผนงานทั้งหมดปีนี้ คงได้เห็น ถ้าพูดกันแบบกว้างๆ ปีนี้ คงเห็นเงื่อนไขทั้งหมดและมีกระบวนการได้ตามที่ กทช. กำหนดเป็นนโยบาย” เลขาธิการ กทช. กล่าว และว่า ส่วนจำนวนผู้ได้รับใบอนุญาตจะมีกี่รายต้องแล้วแต่จำนวนแบนวิธ สำหรับผู้ให้บริการที่เปิดให้บริการ 3 จี ไปก่อนแล้วนั้น เมื่อมีหลักเกณฑ์ออกมาจะต้องปฏิบัติตาม และผู้ให้บริการก็รับทราบเรื่องนี้ แล้ว




*ประชาสัมพันธ์ หนังสือ "ไม่ขอรับเกียรติยศใดๆ ทั้งสิ้น ๙๕ ปี ๔ เดือน ๙ วัน พูนศุข พนมยงค์"


//www.pridiinstitute.com/autopage/show_page.php?h=48&s_id=43&d_id=43


เชิญอ่าน ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ ๑ บนผนังห้อง และชมนิทรรศการประวัติ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์ และการเมือง ณ ห้องอนุสรณสถานปรีดี พนมยงค์ ตึกโดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เปิดให้ชมทุกวันจันทร์- ศุกร์ ในเวลาราชการ

//www.pridiinstitute.com/autopage/show_page.php?h=11&s_id=19&d_id=19


Pridi Banomyong Institute
65/1 Thonglor, Sukhumvit 55 Rd., Vadhana, Bangkok 10110 Thailand
Tel : (66) 2381-3860-1 Fax : (66) 2381-3859
email : banomyong_inst@yahoo.com
website : //www.pridiinstitute.com

อยากรู้ความจริงเรื่อง 6 ตุลา คลิก //www.2519.net
Seeking for the Truth of 6 October 1976, click //www.2519.net
Vipar Daomanee tel. 081-613 4792 fax 02-152 0112




*สัมมนาเรื่อง ทำกำไรอย่างฉลาด ผ่านการตลาดโทรศัพท์มือถือ

ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมสัมมนา
เรื่อง " ทำกำไรอย่างฉลาด ผ่านการตลาดโทรศัพท์มือถือ "

ในวันที่ 5 มิถุนายน 2551 เวลา 8.30 - 16.30 น.
ณ คอนเวนชั่นฮอลล์ โรงแรมแอมบาสซาเดอร์

ขอเชิญร่วมงานสัมมนาทางธุรกิจ ที่ทำให้คุณเพิ่มช่องทางการขายด้วยโทรศัพท์มือถือ เพื่อเป้าหมายการทำกำไรที่มากขึ้น ผ่านวิสัยทัศน์ และประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญ แล้วคุณจะทราบว่ามือถือเป็นนักขายมืออาชีพได้อย่างไร


*** โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย *** ลงทะเบียนได้ที่ //www.arip.co.th/seminar/mmarket

กลุ่ม: ทั่วไป

วันที่: 5/6/2551

เวลา: 8:30-16:30

สถานที่จัด: โรงแรมแอมบาสซาเดอร์

ที่อยู่ของสถานที่จัด: 171 ซอย 11-13 ถนนสุขุมวิท กรุงเทพมหานคร 10110

เบอร์โทรของสถานที่จัด: 02-254-0444

ห้อง-ชั้น: คอนเวนชั่นฮอลล์

จำนวนคนสูงสุด: ไม่ระบุจำนวน

ค่าใช้จ่ายต่อคน: ไม่มีค่าใช้จ่าย

แผนที่: View

ผู้บรรยาย: -

เอกสารประกอบ: กำหนดการ

ผู้จัดสัมมนา: บริษัท เอ.อาร์.อินฟอร์เมชัน แอนด์ พับลิเคชัน จำกัด

วิธีเข้าร่วมการสัมมนาหรือการอบรม: สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร 0-2642-3400 ต่อ 2430,2310 คุณพลากร หรือ คุณพรทิพย์


โดย: jenifaae วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:21:13:13 น.  

 
*สำนักงาน กทช. จะเปิดประชาพิจารณ์ผลการศึกษาสูตรมาตรฐานการคำนวณค่าธรรมเนียมการใช้คลื่นความถี่

กทช. วางโรดแม็พ 3 จี ฝัน ส.ค.นี้ เปิดให้ยื่นขอใบอนุญาต [21 เม.ย. 51 - 06:11]

นายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร เลขาธิการคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทช. กล่าวว่า ประมาณเดือน ก.ค.นี้ สำนักงาน กทช. จะเปิดประชาพิจารณ์ผลการศึกษาสูตรมาตรฐานการคำนวณค่าธรรมเนียมการใช้คลื่นความถี่ นอก จากนี้ ทุกๆ สัปดาห์นับจากนี้ สำนักงาน กทช. จะประชุมเตรียมพร้อมเกี่ยวกับการออกใบอนุญาต 3 จี และรายงานความคืบหน้าต่อที่ประชุมคณะกรรมการ หรือ บอร์ด กทช. ทุกครั้ง
เลขาธิการ กทช. กล่าวต่อว่า ช่วงแรกจะศึกษาเกี่ยวกับเรื่องคลื่นความถี่ก่อน โดยจะดำเนินการควบคู่ไปกับการศึกษาของผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารโลกและบริษัทที่ปรึกษาที่ว่าจ้างมา หลังจากนั้น จะนำผลการศึกษาทั้งหมดมาสรุปรวมกันและจะได้เป็นข้อสรุปเกี่ยวกับการจัดสรรคลื่นความถี่ออกมา หลังจากนั้น จะศึกษาเรื่องใบอนุญาตที่เหมาะสมและจำนวนแบนวิธ ที่ในที่สุดจะนำไปสู่การจัดเตรียมเงื่อนไขสำหรับการออกอนุญาต
นายสุรนันท์ กล่าวอีกว่า เมื่อผลการศึกษาทั้ง 3 ส่วนเสร็จเรียบร้อยและนำมาประกอบกันจะได้เป็นกระบวนการที่จะออกใบอนุญาตทั้งกระบวนการ โดยคาดว่า จะสามารถจัดประชาพิจารณ์ได้ในช่วงต้นเดือน มิ.ย.นี้ ที่จะประชาพิจารณ์ทุกๆ เรื่องทั้งกระบวนการได้ใบอนุญาต จำนวนใบอนุญาตที่เหมาะสม คุณสมบัติผู้ขอ รวมทั้งขั้นตอนและเงื่อนไขใบอนุญาต ที่ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเดือน ส.ค.นี้ อาจจะเปิดให้ยื่นขอใบอนุญาตได้
“หมายถึง อย่างเร็ว ถ้าเป็นไปตามแผน จะเห็นได้ชัดว่า แผนงานทั้งหมดปีนี้ คงได้เห็น ถ้าพูดกันแบบกว้างๆ ปีนี้ คงเห็นเงื่อนไขทั้งหมดและมีกระบวนการได้ตามที่ กทช. กำหนดเป็นนโยบาย” เลขาธิการ กทช. กล่าว และว่า ส่วนจำนวนผู้ได้รับใบอนุญาตจะมีกี่รายต้องแล้วแต่จำนวนแบนวิธ สำหรับผู้ให้บริการที่เปิดให้บริการ 3 จี ไปก่อนแล้วนั้น เมื่อมีหลักเกณฑ์ออกมาจะต้องปฏิบัติตาม และผู้ให้บริการก็รับทราบเรื่องนี้ แล้ว




*ประชาสัมพันธ์ หนังสือ "ไม่ขอรับเกียรติยศใดๆ ทั้งสิ้น ๙๕ ปี ๔ เดือน ๙ วัน พูนศุข พนมยงค์"


//www.pridiinstitute.com/autopage/show_page.php?h=48&s_id=43&d_id=43


เชิญอ่าน ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ ๑ บนผนังห้อง และชมนิทรรศการประวัติ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์ และการเมือง ณ ห้องอนุสรณสถานปรีดี พนมยงค์ ตึกโดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เปิดให้ชมทุกวันจันทร์- ศุกร์ ในเวลาราชการ

//www.pridiinstitute.com/autopage/show_page.php?h=11&s_id=19&d_id=19


Pridi Banomyong Institute
65/1 Thonglor, Sukhumvit 55 Rd., Vadhana, Bangkok 10110 Thailand
Tel : (66) 2381-3860-1 Fax : (66) 2381-3859
email : banomyong_inst@yahoo.com
website : //www.pridiinstitute.com

อยากรู้ความจริงเรื่อง 6 ตุลา คลิก //www.2519.net
Seeking for the Truth of 6 October 1976, click //www.2519.net
Vipar Daomanee tel. 081-613 4792 fax 02-152 0112




*สัมมนาเรื่อง ทำกำไรอย่างฉลาด ผ่านการตลาดโทรศัพท์มือถือ

ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมสัมมนา
เรื่อง " ทำกำไรอย่างฉลาด ผ่านการตลาดโทรศัพท์มือถือ "

ในวันที่ 5 มิถุนายน 2551 เวลา 8.30 - 16.30 น.
ณ คอนเวนชั่นฮอลล์ โรงแรมแอมบาสซาเดอร์

ขอเชิญร่วมงานสัมมนาทางธุรกิจ ที่ทำให้คุณเพิ่มช่องทางการขายด้วยโทรศัพท์มือถือ เพื่อเป้าหมายการทำกำไรที่มากขึ้น ผ่านวิสัยทัศน์ และประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญ แล้วคุณจะทราบว่ามือถือเป็นนักขายมืออาชีพได้อย่างไร


*** โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย *** ลงทะเบียนได้ที่ //www.arip.co.th/seminar/mmarket

กลุ่ม: ทั่วไป

วันที่: 5/6/2551

เวลา: 8:30-16:30

สถานที่จัด: โรงแรมแอมบาสซาเดอร์

ที่อยู่ของสถานที่จัด: 171 ซอย 11-13 ถนนสุขุมวิท กรุงเทพมหานคร 10110

เบอร์โทรของสถานที่จัด: 02-254-0444

ห้อง-ชั้น: คอนเวนชั่นฮอลล์

จำนวนคนสูงสุด: ไม่ระบุจำนวน

ค่าใช้จ่ายต่อคน: ไม่มีค่าใช้จ่าย

แผนที่: View

ผู้บรรยาย: -

เอกสารประกอบ: กำหนดการ

ผู้จัดสัมมนา: บริษัท เอ.อาร์.อินฟอร์เมชัน แอนด์ พับลิเคชัน จำกัด

วิธีเข้าร่วมการสัมมนาหรือการอบรม: สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร 0-2642-3400 ต่อ 2430,2310 คุณพลากร หรือ คุณพรทิพย์


โดย: jenifaae วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:21:13:13 น.  

 
* จีนเล็งลงทุนทำเกษตรนอกบ้าน สร้างความมั่นคงทางอาหาร

ประเด็นเรื่องความมั่นคงทางอาหารถูกหยิบยกมาพูดถึงบ่อยครั้งมากในช่วงนี้ เพราะการที่ราคาอาหารพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้คนในโลก ทำให้หลายประเทศเริ่มหามาตรการที่จะสร้างความเข้มแข็งในด้านนี้ด้วยวิธีการต่างๆ

*ประเทศในเอเชียที่เริ่มเห็นมีความเคลื่อนไหวแล้ว คือ จีน ซึ่งมีแนวโน้มว่ารัฐบาลปักกิ่งจะส่งเสริมให้บริษัทจากแผ่นดินใหญ่เข้าไปทำเกษตรกรรมในต่างประเทศ อาทิ แอฟริกา และละตินอเมริกา เพื่อสร้างหลักประกันด้านความมั่นคงทางอาหาร เช่นเดียวกับที่เคยประสบความสำเร็จในการใช้การทูตพลังงานเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานมาก่อนหน้านี้

ไฟแนนเชียล ไทม์ส รายงานว่า กระทรวงเกษตรของจีนได้ร่างนโยบายเสนอต่อรัฐบาล โดยมีแนวทางที่จะส่งเสริมให้บริษัทจีนเข้าไปซื้อหรือเช่าที่ดินในต่างประเทศเพื่อทำการเกษตร ซึ่งคล้ายกับ นโยบายที่รัฐส่งเสริมให้ภาคธนาคาร ภาคการผลิต และบริษัทน้ำมันของจีนเข้าไปลงทุนในต่างประเทศ แต่สำหรับการลงทุนในภาคเกษตรจะเน้นเฉพาะโครงการขนาดเล็ก

การที่จีนต้องเริ่มขยับขยายภาคการเกษตร เนื่องจากปัจจุบันจีนไม่สามารถพึ่งพาตัวเองในด้านเกษตรเหมือนเมื่อก่อน หลังจากที่ภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้นทำให้ผู้คนมีฐานะดีขึ้น จนนำไปสู่การบริโภคที่เพิ่มขึ้นและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคจากข้าวเป็นเนื้อสัตว์มากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ต้องนำเข้าอาหารสัตว์จากต่างประเทศมากขึ้นด้วย

และแม้ภาคเกษตรของจีนจะมีสัดส่วนราว 40% ของภาคเกษตรทั้งโลก แต่ในแง่ของที่ดินที่เหมาะสมในการทำเกษตรแล้ว จีนมีที่ดินสมบูรณ์คิดเป็นสัดส่วนเพียง 9% ของที่ดินที่เหมาะแก่การเพาะปลูกทั้งโลก

ทั้งนี้ ข้อมูลจากเอเอฟพีพบว่า ที่ดินที่เหมาะแก่การทำเกษตรในจีนลดลงราว 40,700 เฮกตาร์ อยู่ที่ 121.73 ล้าน เฮกตาร์ในปีที่แล้ว ซึ่งใกล้กับระดับวิกฤต ที่ประเมินว่าจะต้องรักษาให้มีไม่น้อยกว่า 120 ล้านเฮกตาร์

ผู้เชี่ยวชาญจีนหลายรายจึงสนับสนุน ให้บริษัทจีนขยายออกไปทำเกษตรนอกบ้าน หากจีนต้องการสร้างความมั่นคงทางอาหารและความผันผวนของราคาอาหารในตลาดโลก

"เจียง เวินไหล" จากสถาบันวิทยาศาสตร์การเกษตรของจีน เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญที่มองว่า จีนต้องออกไปนอกบ้าน เพราะทรัพยากรที่ดินของจีนมีอยู่จำกัด ซึ่งแนวทางนี้จะเป็นประโยชน์แบบวิน-วินต่อทั้งจีนและประเทศที่บริษัทจีนเข้าไป

จากข้อมูลจากยูบีเอสพบว่า ในไตรมาสแรกของปีนี้ ราคาอาหารในจีนพุ่งขึ้นไปแล้ว 25% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ต้นยุค 1990 เป็นต้นมา

อย่างไรก็ตาม แม้โดยรวมจีนยังคงเป็น ผู้ส่งออกสินค้าเกษตรสุทธิ แต่ก็เริ่มนำเข้าถั่วเหลืองจากต่างประเทศมากขึ้น และกลายมาเป็นผู้นำเข้าข้าวโพดสุทธิแล้วในที่สุด

โดยจีนนำเข้าถั่วเหลืองเพิ่มขึ้นเป็น 60% ของที่บริโภคทั้งหมดในปีที่แล้ว ซึ่งทำให้ ถั่วเหลืองกลายเป็นพืชอาหารที่ทางการจีนสนับสนุนให้บริษัทเข้าไปลงทุนเพาะปลูกในต่างประเทศ เช่นเดียวกับกล้วยหอม ผัก และพืชน้ำมันสำหรับบริโภค

นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับบราซิลถึงความเป็นไปได้ที่จะเข้าไปซื้อที่ดินเพื่อการเพาะปลูก ถั่วเหลือง

แต่กระนั้น แม้นโยบายการสร้างความมั่นคงทางอาหารจะผ่านการอนุมัติจากทางการจีน แต่ก็ต้องเผชิญกับแรงต้าน จากต่างประเทศอย่างยากจะหลีกเลี่ยง เพราะแนวทางดังกล่าวอาจจะยิ่งเป็นตัวแปรผลักดันให้ราคาอาหารพุ่งขึ้นอีก รวมถึงมีการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อการเพาะปลูกเพิ่มขึ้น รวมถึงอาจถูกต่อต้านหากบริษัทจีนต้องการใช้แรงงานชาวจีนมากกว่าจะใช้แรงงานคนในท้องถิ่น

ด้านเว็บไซต์ออลแอฟริกาดอตคอม รายงานโดยอ้างคำกล่าวของ "หลิว เจี้ยนจุน" ประธานสภาธุรกิจจีน-แอฟริกา ที่ระบุว่า กำลังเจรจากับรัฐบาลเคนยาในการเข้าไปทำการเกษตร ซึ่งพืชที่จะเพาะปลูกก็มีทั้งข้าวสาลี ข้าวโพด และสับปะรด

เช่นเดียวกับที่จีนยังมองหาโอกาสในหลายประเทศในแอฟริกา อาทิ อูกันดา เพราะบริษัทจีนมองว่า แอฟริกายังมีพื้นที่อุดมสมบูรณ์อีกมาก แต่ยังขาดแคลนเทคโนโลยีที่จะทำเกษตรแบบทันสมัย

น่าสนใจว่า ไม่เพียงแต่จีนเท่านั้นที่เริ่มขยับขยายเรื่องความมั่นคงด้านอาหาร แต่ประเทศที่ไม่ได้มีภาคเกษตรที่สมบูรณ์มากอย่าง ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ ต่างก็มองหาวิธีคล้ายๆ กันนี้ ยกตัวอย่าง "ลิเบีย" ที่กำลังเจรจากับ "ยูเครน" เพื่อจะเข้าไปเพาะปลูกข้าวสาลีในพื้นที่ของอดีต สหภาพโซเวียตรายนี้

ขณะที่ "ซาอุดีอาระเบีย" ก็มีแผนจะเข้าไปลงทุนด้านเกษตรกรรมและปศุสัตว์ในต่างประเทศเช่นกัน เพื่อสร้างหลักประกันความมั่นคงทางอาหาร และเป็นการควบคุมราคาสินค้าคอมโมดิตี้ส์ไปพร้อมกัน

รอยเตอร์สรายงานว่า ทางการซาอุดีอาระเบียได้เสนอให้บริษัทในประเทศเข้าไปลงทุนด้านเกษตรกรรมในประเทศต่างๆ อาทิ บราซิล ไทย และอินเดีย โดยทางการซาอุดีอาระเบียให้น้ำหนักกับอาหารประเภทธัญญาหาร เนื้อสัตว์ และผัก

"จอห์น สฟาเกียนากิส" หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากเอชเอสบีซี โฮลดิ้งส์ ในซาอุดีอาระเบีย บอกว่า เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้วที่ภาคเอกชนจะเข้าไปดำเนินการเรื่องนี้ เพราะซาอุฯ จำเป็นต้องสร้างหลักประกันความมั่นคงทางอาหาร ขณะที่ภาคเกษตรในประเทศยังไม่เพียงพอ


แหล่ง : ประชาชาติธุรกิจ (www.matichon.co.th/prachachart)
โดย : WebMaster
วันที่ : 17/5/2551




*พิชิตธุรกิจด้วยธรรมะ “Dharma Training”

เกิดอะไรขึ้นเมื่อองค์กรธุรกิจชั้นนำของไทย ไม่เว้นหน่วยงานราชการ ทวนกระแสการบริหารธุรกิจตามปรัชญาตะวันตก พาบุคลากรเข้าวัดปฏิบัติธรรม แม้แต่ผู้นำสูงสุดขององค์กรก็พาตัวเองเข้าวัดเป็นประจำ บ้างก็นิมนต์พระมาเทศน์ถึงในบริษัท … เรื่องราวที่เกิดขึ้นมีที่มาที่ไปอย่างไร "ดนัย จันทร์เจ้าฉาย" นักการตลาดและนักประชาสัมพันธ์ชื่อดังของเมืองไทยขันอาสาบอกเล่าเรื่องราว

ดนัย บอกว่า สถานการณ์ที่องค์กรธุรกิจนำหลักธรรมคำสอนทางพุทธศาสนาบริหารองค์กร หันมาใส่ใจเกี่ยวกับธรรมะหรือนำพนักงานของบริษัทปฏิบัติธรรมมีอยู่เยอะมาก ถ้าจะสังเกตให้ดีๆ องค์กรชั้นนำ องค์กรที่ขึ้นมาเป็นระดับผู้นำ เป็นผู้นำทางด้านความคิดของสังคม ไม่ว่าจะองค์กรเล็กหรือใหญ่ องค์กรที่เป็นผู้นำมีพื้นฐานแนวความคิดเชิงพุทธทั้งหมด องค์กรในต่างประเทศถึงแม้จะไม่ได้นับถือพุทธศาสนาก็นำหลักธรรมมาบริหารองค์กร

การนำธรรมะมาใช้เป็นส่วนหนึ่งในการบริหารองค์กรมีจุดเริ่มต้นมาสักประมาณ 10 ปี แต่ในช่วงแรกเรียกว่าอาจจะยังมีน้อย แต่ว่าช่วงหลังๆ ในรอบ 4-5 ปีที่ผ่านมา นอกจากในองค์กรธุรกิจแล้วในส่วนราชการต่างๆ ก็ประกาศเป็นนโยบายด้วย จึงเป็นแรงผลักให้ ทั้งภาคเอกชน ภาครัฐบาล และในส่วนของสถาบันการศึกษา ให้ความสำคัญกับการนำธรรมะมาบริหารองค์กร

สำหรับรูปแบบการนำพุทธปรัชญาไปบริหารองค์กร ถือเป็นองค์ประกอบทุกส่วนของบริษัท ตั้งแต่ในเรื่องของวิสัยทัศน์ ในเรื่องของแนวนโยบาย การบริหารองค์กร การดำเนินงาน บุคลากร และในเรื่องของการทำกิจกรรมภายในองค์กร หมายความว่า ทุกอย่างมีธรรมะหรือพุทธปรัชญา เป็นพื้นฐานหมดทุกจุด

แนวโน้มหรือปรากฏการณ์ที่เห็นได้ชัดเจนคือเรื่องของการพัฒนาบุคลากร โดยนำแนวทางของพระพุทธศาสนาไปปฏิบัติ หรืออาจจะเรียกว่า "Dharma Training" ถือเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก เพราะองค์กรต่าง ๆ เริ่มรับรู้ว่าการที่องค์กรจะพัฒนาขีดความสามารถขององค์กรได้ ต้องพัฒนาซอฟต์แวร์ขององค์กรคือบุคลากร

"แต่ละองค์กรก็มีเครื่องมือมากมาย มีโปรแกรมการฝึกอบรมเต็มไปหมด แต่โปรแกรมที่สามารถเปลี่ยนแปลง ทัศนะคติและพฤติกรรมของบุคลากรได้ภายในระยะเวลาไม่กี่วัน เปลี่ยนแปลงได้เห็นผลจากหน้ามือเป็นหลังมือ เรียกว่า พลิกฝ่ามือได้เลย คือการเข้าไปปฏิบัติธรรม"

ดนัย เปรียบเทียบให้ฟังว่า โปรแกรมการฝึกอบรม(Training) หลายๆ โปรแกรม ใช้งบประมาณสูง แต่ว่าผลที่ได้อาจไม่คุ้มค่าเท่าไหร่นัก แต่ว่าการฝึกวิปัสสนากรรมฐาน ให้พนักงานหันกลับเข้ามาศึกษาธรรมชาติของตัวเอง มันเป็นการศึกษาเรียนรู้ธรรมชาติตัวเอง แต่ผลที่ได้มันกลับเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มหาศาล เพราะว่าสิ่งที่คนได้มาจากการปฏิบัติธรรมคือสติสัมปชัญญะ ใครก็ตามที่มีสติสัมปชัญญะ ก็เรียกได้ว่าเป็นผู้มีปัญญา เห็นธรรมชาติได้ตามความเป็นจริง

"ต้องถามว่าเมื่อเห็นธรรมชาติตามความเป็นจริงแล้วจะทำให้ทำงานได้ดีขึ้นอย่างไร ตัดสินใจได้แม่นยำขึ้นได้อย่างไร ทำไมเครื่องมือในการฝึกอบรมการปฏิบัติธรรมจึงเป็นเครื่องมือที่เหนือกว่าเครื่องมืออื่นๆ คือยกตัวอย่างง่าย ๆ เรามีความรู้ทางโลกอย่างมากมาย องค์ความรู้มีต่างๆ เต็มไปหมดเลย แต่ถ้าหากว่าไม่มีสติที่จะนำเอาความรู้ตรงนั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ องค์ความรู้ทางโลกที่มีมันก็ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร"

องค์กรใหญ่น้อยแห่เข้าวัด

ประสบการณ์จากการคลุกคลีและอยู่ในแวดวงการปฏิบัติธรรม ดนัย มองว่า เริ่มเห็นแนวโน้มที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า องค์กรส่วนใหญ่หันมาสนับสนุนเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะได้เห็นความสำเร็จในการบริหารงานจากองค์กรชั้นนำต่างๆ

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน "ซีเอ็ด ยูเคชั่น" มีพนักงานประมาณพันกว่าคน เป็นผู้นำในการจัดจำหน่ายหนังสือ นโยบายของ ซีเอ็ด ก็คือ จะต้องนำพนักงานเข้าปฏิบัติธรรมเป็นประจำทุกปี "เครืออมรินทร์" ก็เช่นกัน มีการวางแผนว่าจะจัดคอร์สปฏิบัติธรรมให้แก่พนักงานอย่างต่ำ 3 คอร์สต่อปี หรือว่าจะเป็น ร้านอาหารชื่อดังอย่าง "MK สุกี้" นโยบายก็คือพนักงานต้องเข้าอย่างน้อยปีละครั้ง

ดนัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ในภาคธนาคาร อย่างธนาคารกสิกรไทย ธนาคารเกียรตินาคิน ปตท. ปูนซิเมนต์ไทย หรือเครือหนังสือพิมพ์ ก็อย่างเครือผู้จัดการ เครือเดอะเนชั่น องค์เหล่านี้แม้ไม่ได้จัดคอร์สปฏิบัติธรรมให้กับพนักงาน แต่ก็อนุญาตให้พนักงานลาปฏิบัติธรรม โดยไม่นับเป็นวันลาหยุดงาน ระยะเวลาที่อนุญาตให้ลาได้ จะ 3 วัน 5 วัน หรือว่า 7 วัน อันนี้ก็แล้วแต่นโยบายของแต่ละองค์กร แต่สิ่งที่จะเห็นได้ชัดก็คือว่าจากเดิมจะมีความยากในการขอลาเพื่อเข้าปฏิบัติแต่ตอนนี้เริ่มสะดวกมากขึ้น

นอกจากนี้ บุคคลในระดับผู้บริหารสูงสุดขององค์กร ก็มีการเข้าวัดปฏิบัติธรรมอยู่ตลอดเวลาทุกครั้งที่เขาจะทำได้ เช่น คุณบัณฑูร ล่ำซำ จากเครือกสิกร คุณเมตตา คุณระริน คุณระพี อุทกะพันธ์ จากเครืออมรินทร์ คุณทนง โชติสรยุทธ์ ซีอีโอของซีเอ็ด คุณสุพล วัธนเวคิน คุณฐิตินันท์ วัธนเวคิน จากเกียรตินาคิน ฯลฯ ผู้บริหารเหล่านี้ เมื่อเข้าวัดก็จะปฏิบัติอย่างเต็มรูปแบบ 5 วัน 7 วัน เป็นอย่างต่ำ

สติเพิ่มงานพุ่ง

สำหรับผลลัพธ์ขององค์กรที่มีนโยบายส่งเสริมให้พนักงานเข้าปฏิบัติธรรมก็คือ ประสิทธิผลของการทำงานเพิ่มขึ้นอย่างต่ำ 2-3 เท่า เนื่องเพราะการทำงานจำเป็นจะต้องใช้สมาธิ ซึ่งการปฏิบัติธรรมในเบื้องต้นเป็นพื้นฐานก็คือจะต้องฝึกสมาธิอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นสมาธิจึงเป็นอะไรที่ทำให้เราสามารถทำงานได้สำเร็จลุล่วงด้วยความรวดเร็ว เมื่อพนักงานผ่านการปฏิบัติแล้วสมาธิดี ปฏิบัติงานด้วยความแม่นยำถูกต้อง และรวดเร็ว นี่ก็คือประสิทธิภาพของงานที่เพิ่มขึ้น

ดนัย ย้ำว่า สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากนอกเหนือจากสมาธิก็คือสติ พนักงานบางคนทำงานในอาการที่ขาดสติ เพราะฉะนั้นมันก็จะมีความเผลอออกมา หรือว่าการแสดงออกในพฤติกรรม ทั้งคำพูดก็ดีหรือว่าการกระทำก็ดี ที่อาจจะไม่เหมาะสม ก้าวร้าว

องค์กรที่มีพนักงานมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมทั้งกับเพื่อนร่วมงานหรือว่ากับลูกค้า กับคนที่เกี่ยวข้อง แน่นอนว่า เรื่องของแบรนด์องค์กรก็เสีย เรื่องของขวัญกำลังใจก็เสีย บรรยากาศในการทำงานร่วมกันก็ลดลง เพราะว่าสติสัมปชัญญะไม่มี บางทีเรื่องเล็กๆ น้อย กลับกลายเป็นเรื่องขัดใจกัน มีการทะเลาะวิวาท ขาดการทำงานแบบทีมเวิร์ก ร้ายแรงสุดก็อาจจะถึงการเล่นการเมืองหรือมีการแตกแยกในองค์กร ทำให้องค์กรไม่มีความมั่นคงและไม่มีปึกแผ่นแน่นอน

"การที่องค์กรจะอยู่รอดได้ระยะยาว พนักงานนอกจากจะทำให้องค์กรมีความเป็นปึกแผ่นมั่นคง มีความเป็นเอกภาพ เป็นทีมเวิร์กแล้ว ยังส่งผลให้สามารถที่จะมีปฏิสัมพันธ์ กับลูกค้ากับสื่อมวลชน กับคนภายนอกด้วย ตรงนี้ถ้าเป็นภาษาฝรั่งเขาใช้คำว่า EQ คือเป็นองค์กรที่มี EQ สูง เป็นองค์กรที่มีความมั่นคงทางด้านอารมณ์สูง เพราะฉะนั้นเวลาที่มีใครเขามาติดต่อด้วย คนภายนอกที่เขาเข้ามาติดต่อองค์กรประเภทนี้เขาจะมีความประทับใจ ทำไมเขาอยากจะติดต่อ มันเป็นแม่เหล็กบางอย่าง"

สำหรับโปรแกรมการฝึกอบรมปฏิบัติธรรมจะเน้นที่การเข้าไปอบรมวิปัสสนากรรมฐาน มีอยู่ 2 ลักษณะ ลักษณะแรกคือส่งพนักงานตามศูนย์ปฏิบัติธรรม ไม่ว่าจะเป็นยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย หรือว่าตามวัด ตามศูนย์ปฏิบัติธรรมต่างๆ ที่มีการจัดอย่างต่อเนื่อง

อีกลักษณะหนึ่งคือการจัดเป็นการเฉพาะให้แก่คณะ รวมตัวกันไป เป็นการจัดเฉพาะสำหรับหน่วยงานหรือว่าองค์กรนั้นๆ แล้วก็อาจจะเป็นนอกสถานที่ก็มี เป็นโปรแกรมพิเศษที่จัดขึ้นมา หลักสูตรโดยส่วนใหญ่แล้วถ้าเป็นการปฏิบัติธรรม แบบเต็มรูปแบบ ระยะเวลาตั้งแต่ 7 วันขึ้นไป แต่ว่าระยะเวลาที่นานเกินไปอาจเป็นอุปสรรคต่อองค์กรส่วนใหญ่ ไม่สามารถร่วมกิจกรรมได้ ก็อาจจะมีหลักสูตรระยะสั้นแทน

แหล่ง : ผู้จัดการ (www.manager.co.th)
โดย : WebMaster
วันที่ : 21/5/2551


โดย: jenifaae วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:21:14:07 น.  

 
*Graduated eXtreme Seminar 2008

วันที่ 9 มิถุนายน 2551

เวลากำหนดการ
8.30 - 9.00 ลงทะเบียน
9.00 - 9.15 พิธีเปิด (พร้อมงานสัมมนาวิชาการ WTTC )
9.15– 10.15 นำเสนอโครงการ
- Drug Design
- Grid Education
- Virtual Research Center
10.15. - 10.20 รับประทานอาหารว่าง
10.25 - 12.00 นำเสนอโครงการ
- Virtual Research Center
- Biogrid
- การพัฒนาเครื่องมือสำหรับประมวลผลสัญญาณโดยใช้เทคโนโลยี CSE-Online
12.00 - 13.00 พักเที่ยง
13.00 – 14.45 นำเสนอโครงการ
- โครงการวิจัยการกระจายข้อมูลและการจัดลำดับการรับส่งข้อมูลในเครือข่ายกริด (Data Distribution and Communication Scheduling in Grid)
- โครงการพัฒนาแบบจำลองระบบ Microfluidics ด้วยเทคนิค Lattice Boltzmann Methods โดยการคำนวณแบบขนานบนระบบกริดและการประยุกต์ใช้
- โครงการ WSINV3DMT-THGRD :โปรแกรมสำรวจใต้พื้นโลกจากข้อมูลคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า Magneto telluric
14.45 - 14.30 รับประทานอาหารว่าง
14.30 - 16.00 นำเสนอโครงการ
- โครงการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยีกริดในการวิเคราะห์ลำดับดีเอ็นเอของสิ่งมีชีวิติเพื่อหาทำนายหน้าที่ของยีน
- โครงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีกริดเพื่อลดเวลาประมวลผลในการตรวจสอบและวินิจฉัยความถูกต้องของ Service ใน Home Network System ด้วยเทคนิค Symbolic Model Checking

วันที่ 10 มิถุนายน 2551

เวลากำหนดการ
8.30 - 9.00 ลงทะเบียน
9.00 - 10.30 นำเสนอโครงการ
- โครงการเฝ้าติดตามน้ำในบรรยากาศบริเวณพื้นที่โดยรอบของประเทศจากเรดาร์ตรวจอากาศ โดยใช้ไทย กริด Country-Wide Precipitation Monitoring from Weather Radar using Thai Grid
- โครงการพอร์ตทัลสำหรับแบบจำลองอุตุนิยมวิทยาบนระบบไทยกริด
- โครงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีกริดเพื่อลดเวลาการประมวลผลการจำลองหลักการของระบบตรวจกับระเบิดที่ใช้เทคนิคทางนิวเคลียร์ด้วยโปรแกรมมอนติคาร์โล
10.30 - 10.45 รับประทานอาหารว่าง
10.45 - 12.00 นำเสนอโครงการ
- นำเสนอผลงานวิจัยโดยนิสิต ระดับปริญญาตรี และปริญญาโท
12.00 - 13.00 พักเที่ยง
13.00 - 15.00 นำเสนอโครงการ
- นำเสนอผลงานวิจัยโดยนิสิต ระดับปริญาตรีและปริญาโท
15.00 - 15.15 รับประทานอาหารว่างขอเชิญเข้าร่วมงานสัมมนา WTTC 2008 และ GXS2008 ด้วยศูนย์ไทยกริดแห่งชาติ จะจัดงานสัมมนา Workshop on Trends,Technologies and Collaborative Opportunities in High Performance and Grid Computing (WTTC 2008) และ Grid eXtreme Seminar 2008 (GXS2008)
ระหว่างวันที่ 9-10 มิถุนายน 2551 ณ โรงแรมเซ็นจูรีปาร์ค กรุงเทพฯเพื่อเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีกริด

<< รายละเอียด กำหนดการ WTTC 2008 รายละเอียด กำหนดการ GXS2008 >>
ทั้งนี้ จึงใคร่ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมการสัมมนา ในวันและเวลาดังกล่าวติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร. 0-2561-4405

15.15 - 16.00 นำเสนอโครงการ
- นำเสนอผลงานวิจัยโดยนิสิต ระดับปริญาตรีและปริญาโท


โดย: jenifaae วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:21:14:30 น.  

 
*โครงการผันน้ำโขง และร่วมงานสืบชะตาแม่น้ำลำพะเนียง จังหวัดหนองบัวลำภู

โดย : มูลนิธิสืบนาคะเสถียร เมื่อ : 30/05/2008 09:52 PM กำหนดการนำสื่อมวลชนลงศึกษาพื้นที่
'โครงการผันน้ำโขง และร่วมงานสืบชะตาแม่น้ำลำพะเนียง จังหวัดหนองบัวลำภู '
ระหว่างวันที่ 5-7 มิถุนายน 2551

วันที่ 5 มิถุนายน 2551

07.00น. ออกเดินทางจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
13.00 น. รับฟังบรรยายห้องประชุมอคินระพีพัฒน์ สถาบันวิจัยและพัฒนา ม.ขอนแก่น
• ความเป็นมาของโครงการผันน้ำในภาคอีสาน
โดย เลิศศักด์ิ คำคงศักดิ์ ผู้ประสานงานกลุ่มนิเวศวัฒนธรรมศึกษา
• ข้อมูลสถานการณ์ลุ่มน้ำลำพะเนียง
โดย อ.สันติภาพ ศิริวัฒนไพบูลย์ ม.ราชภัฏอุดรธานี
15.00 น. ออกเดินทางไปพื้นที่โครงการนำร่อง water grid พื้นที่ อ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น
(นิคมอุตสาหกรรมรอบ ๆ เขื่อนอุบลรัตน์)
17.00 น. เดินทางสู่ จ.หนองคาย
19.00 น. รับประทานอาหารเย็น เข้าที่พัก

วันที่ 6 มิถุนายน 2551

06.00 น. – 07.00 น. รับประทานอาหารเช้า
07.00 น. – 09.00 น. เดินทางไป อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย ศึกษาพื้นที่เขื่อนปากห้วยหลวง
จุดผันน้ำโขงสู่หนองหารกุมภวาปี – ลำปาว – อุบลรัตน์ – น้ำชี
09.00 น. - 10.00 น. เดินทางจากปากห้วยหลวง - ปากน้ำโมง อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย
10.00น. - 11.00 น. ศึกษาพื้นที่ที่จะผันน้ำโมงสู่ลำพะเนียง
11.00 น. - 12.00 น. เดินทางจาก อ.ท่าบ่อ - ลำพะเนียง จ.หนองบัวลำภู
(ระหว่างทางแวะดูแนวขุดลอกห้วยโมง)
12.00 น. - 13.00 น. รับประทานอาหาร ในจังหวัดหนองบัวลำภู
13.30 น.- 16.00 น. ศึกษาพื้นที่ชุมชนริมแม่น้ำลำพะเนียงที่ได้รับผลกระทบจากการขุดลอก
- ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบบรรยายความเป็นมาและปัญหาที่เผชิญอยู่
- สรุปขบวนการต่อสู้และสิทธิของคนลำพะเนียงตลอดลำน้ำ
เวลา 16.00 น. - 18.00 น. ดูระบบเหมืองฝายพื้นบ้านและการจัดการน้ำโดยชุมชม
- ฝายหนองบัวโซม บ้านหนองบัวโซม
เวลา 18.00 น. เดินทางเข้าที่พัก จังหวัดหนองบัวลำภู

วันที่ 7 มิถุนายน 2551

08.00 รับประทานอาหารเช้า
08.30 - 09.00 น. เดินทางสู่บริเวณงาน ณ วัดธาตุหาญเทาว์
09.00 - 09.15 น. กล่าวต้อนรับ ประธานประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและผู้เข้าร่วมงาน
โดย นายอธิคม สุพรรณพงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภู
09.15 - 09.30 น. กล่าวปาฐกถานำและกล่าวเปิดงาน
โดย ศาสตราจารย์เสน่ห์ จามริก ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
09.30 - 11.00 น. เสวนาเรื่อง 'สิทธิชุมชนและการจัดการน้ำ'
โดย วสันต์ พาณิชย์ อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
อำพล จินดาวัฒนะ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.)
ไพรินทร์ เสาะสาย โครงการทามมูล
อำพัน บู่สุข รองประธานกลุ่มอนุรักษ์ฟื้นฟูลุ่มน้ำลำพะเนียง
ดำเนินรายการโดย
บำเพ็ญ ไชยรักษ์ กลุ่มนิเวศวัฒนธรรมศึกษา
11.00 - 12.00 น. ถวายภัตตาหารเพล
12.00 - 13.00 น. พิธีสืบชะตาลำพะเนียง
13.00 - 14.00 น. รับประทานอาหารกลางวัน
14.00 น. เดินทางกลับกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ศูนย์ข้อมูลสิทธิมนุษยชนและสันติภาพภาคอีสาน และมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ขอเชิญทุกท่านร่วมทำข่าวโครงการผันน้ำโขงและร่วมงานสืบชะตาแม่น้ำลำพะเนียง

ติดต่อประสานงานได้ที่
เปิ้ล 081 5648397 หรือ ต้อง 086 8248761




*ผลวิจัยระบุซีแอลยามะเร็ง ช่วยลดค่าใช้จ่ายสุขภาพ 3 พันกว่าล้าน แถมกระทบส่งออกน้อย

ผลการศึกษาเบื้องต้นเรื่องผลกระทบจากมาตรการบังคับใช้สิทธิโดยรัฐ (ซีแอล) ในยามะเร็งของประเทศไทย ซึ่งสนับสนุนโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข พบว่า การใช้มาตรการซีแอล จะส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในอีก 5 ปีข้างหน้าของยารักษาโรคมะเร็ง ลดลงถึง 3,286-3,297 ล้านบาท นอกจากนี้ซีแอลยังไม่ส่งผลกระทบด้านการส่งออกมากนัก แต่ปัญหาของมาตรการดังกล่าวกลับอยู่ที่เรื่องความรู้ความเข้าใจในสังคม

นางอินทิรา ยมาภัย นักวิจัยโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) เปิดเผยว่า จากการศึกษาเบื้องต้นเรื่อง ผลกระทบจากมาตรการบังคับใช้สิทธิโดยรัฐ (CL) ในยามะเร็งของประเทศไทย โดยการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ โดยเฉพาะจากกรมส่งเสริมการส่งออก และกรมการค้าต่างประเทศ ชี้ได้ว่า แม้ว่าประเทศไทยจะถูกตัดสิทธิพิเศษด้านภาษีศุลกากรของสินค้าส่งออก (GSP) จากสหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ.2550 แต่แนวโน้มการส่งออกโดยรวมของประเทศไทยยังคงเพิ่มสูงขึ้น

นอกจากนี้พบว่ามูลค่าของสินค้าส่งออกที่ใช้สิทธิ GSP จากทุกประเทศมีสัดส่วนไม่สูงมาก เมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าสินค้าส่งออกทั้งหมด และมีแนวโน้มลดลงเป็นลำดับ โดยในปี พ.ศ.2550 มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 8 ของมูลค่าสินค้าส่งออกทั้งหมด

สำหรับสินค้า 3 รายการที่ถูกตัด GSP ในปี พ.ศ. 2550 นั้น มีเพียงเม็ดพลาสติกที่มีแนวโน้มลดลงในตลาดสหรัฐอเมริกา ขณะที่เครื่องประดับจากทองคำและโทรทัศน์สีจอแบนยังมีมูลค่าการส่งออกในตลาดสหรัฐอเมริกาเพิ่มสูงขึ้น

ส่วนผลกระทบด้านสุขภาพ ภก.อดุลย์ โมฮารา หนึ่งในทีมวิจัย สวรส.ได้เปิดเผยว่า จากการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อคาดการณ์มูลค่าใช้จ่ายรวม ในระยะ 5 ปีข้างหน้า พบว่า การบังคับใช้สิทธิบัตรยามะเร็งโดยรัฐบาลไทย สามารถลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพได้ประมาณ 3,286-3,297 ล้านบาท

ทั้งนี้การวิเคราะห์ดังกล่าว ครอบคลุมไปถึงค่าใช้จ่ายในกลุ่มยามะเร็ง 4 รายการ คือ ยารักษามะเร็งเต้านม (Letrozole) ยารักษามะเร็งปอด (Erlotinib) ยารักษามะเร็งเต้านม, ปอด, และต่อมลูกหมาก (Docetaxel) และยารักษามะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งเม็ดเลือดขาว (Imatinib)

สุดท้าย น.ส. วันดี กริชอนันต์ นักวิจัย สวรส. อีกท่าน เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นเบื้องต้นของผู้เกี่ยวข้องพบว่า นักธุรกิจ นักวิชาการ และบุคลากรทางการแพทย์ ยังมีความรู้ความเข้าใจที่เกี่ยวกับการประกาศบังคับใช้สิทธิและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผลกระทบอย่างไม่ถูกต้อง ถึงแม้ว่าทุกกลุ่มเชื่อว่าการบังคับใช้สิทธิจะทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงยาจำเป็นได้ดีขึ้น แต่ก็ยังมีความกังวลในเรื่องผลกระทบด้านส่งออกและภาพลักษณ์ของประเทศมาก

สนใจติดตามรายละเอียดที่หน่วยสื่อสารความรู้และขับเคลื่อนสังคม สวรส. 02-9511286-95 หรือ //www.hsri.or.th

--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 31/5/2551


โดย: jenifaae วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:21:14:49 น.  

 
*“การแสดงดนตรีไทย ครูอาวุโสชายแห่งกรุงรัตนโกสินทร์”

สวช.จัด "การแสดงดนตรีไทย ครูอาวุโสชายแห่งกรุงรัตนโกสินทร์"
๕ มิถุนายน ๒๕๕๑

เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาส ทรงเจริญพระชนมายุ ๕๓ พรรษา ในปี พ.ศ.๒๕๕๑


นายปรีชา กันธิยะ เลขาธิการคณะกรรมการวัฒนธรรม เปิดเผยว่า "เนื่องในโอกาสที่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุ ครบ ๕๓ พรรษา ในปีพ.ศ.๒๕๕๑ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (สวช.) จึงน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมจัดงานถวายพระเกียรติ
โดยจัด "การแสดงดนตรีไทย ครูอาวุโสชายแห่งกรุงรัตนโกสินทร์" ขึ้น ในวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๑ เวลา ๑๘.๐๐ น. ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นการส่งเสริม อนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมไทย ด้วยสำนึกในพระปรีชาสามารถและพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเปี่ยมด้วยพระปรีชาสามารถในศาสตร์สาขาดุริยางคศิลป์อย่างยิ่งทั้งด้านทฤษฎี และปฏิบัติ ทรงเป็นผู้นำส่งเสริมกิจการดนตรีไทยให้ดำรงมั่นคงทั้งยังทรงพระราชทานโอกาสให้ประชาชนชาวไทยได้ชื่นชมในพระอัจฉริยภาพหลายวาระเป็นที่ยอมรับในวงการด้านดนตรีไทยโดยทั่วไปและพระองค์ท่าน ทรงเอาพระทัยใส่แด่ศิลปินชั้นครูให้มีขวัญกำลังใจในการอนุรักษ์ ทำนุบำรุงงานศิลปวัฒนธรรมไทย และได้ถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านดนตรีไทยสืบไป

การแสดงแบ่งเป็น ๖ ชุด ได้แก่

การแสดงชุดที่ ๑ : การขับเสภา ถวายพระเกียรติ (รำลึกในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์) โดย ครูแจ้ง คล้ายสีทอง ศิลปินแห่งชาติ
การแสดงชุดที่ ๒ : การบรรเลงดนตรีไทย วงมโหรีพิเศษ เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวโรกาสที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๕๓ พรรษา
การแสดงชุดที่ ๓ : การบรรเลงดนตรีไทย วงมโหรีเครื่องใหญ่ เพลงทยอยเขมร ๑ ชั้น
การแสดงชุดที่ ๔ : การบรรเลง ซอสามสาย เดี่ยวเพลงสุรินทราหู ๓ ชั้น
การแสดงชุดที่ ๕ : การบรรเลงเดี่ยว ซอด้วง เพลงกราวใน
การแสดงชุดที่ ๖ : เดี่ยวฆ้องวงใหญ่ เพลงอาเฮีย

ซึ่งจะบรรเลง และขับร้องโดย "นักดนตรีไทย ครูอาวุโสชายแห่งรัตนโกสินทร์" จำนวน ๑๘ คน และ "นักดนตรีกิตติมศักดิ์ ร่วมบรรเลงเพลงถวายพระพรฯ" อีก ๒ คน

สำหรับเยาวชน และประชาชนผู้สนใจสามารถเข้าชมได้ฟรี!!! โดยสำรองที่นั่งล่วงหน้าได้ที่ กลุ่มลูกค้าสัมพันธ์ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โทร. ๐๒ - ๒๔๗ - ๐๐๒๘ ต่อ ๔๑๐๓ - ๘


รายชื่อนักดนตรีไทย ครูอาวุโสชายแห่งรัตนโกสินทร์ จำนวน ๑๘ คน ได้แก่

๑. ครูสมชาย ดุริยประณีต ฆ้องวงใหญ่ อายุ ๗๐ ปี
๒. ครูวิเชียร เกิดผล ระนาดเอก อายุ ๖๖ ปี
๓. ครูเฉลิม ม่วงแพรศรี ซอสามสาย อายุ ๖๗ ปี
๔. ครูสมชาย ขำพาลี ระนาดเอกเหล็ก อายุ ๖๖ ปี
๕. ครูโกวิทย์ ขันธศิริ ซอด้วง อายุ ๖๖ ปี
๖. ครูณรงค์ แก้วอ่อน ขับร้อง อายุ ๖๓ ปี
๗. ครูแจ้ง คล้ายศรีทอง ขับร้อง อายุ ๗๐ ปี
๘. ครูบุญเสริม ภู่สาลี ซอด้วง อายุ ๖๖ ปี
๙. ครูนฤพนธ์ ดุริยพันธ์ ขับร้อง อายุ ๖๗ ปี
๑๐.ครูปกรณ์ รอดช้างเผื่อน จะเข้ อายุ ๕๘ ปี
๑๑.ครูนิกร จันทศร ระนาดทุ้ม อายุ ๖๔ ปี
๑๒.ครูสุวิทย์ สงทอง ระนาดทุ้มเหล็ก อายุ ๗๒ ปี
๑๓.ครูอนันต์ ดุริยพันธ์ กลองแขก อายุ ๖๗ ปี
๑๔.ครูยงยุทธ ปลื้มปรีชา กลองแขก อายุ ๖๕ ปี
๑๕.ครูสุวิทย์ แก้วกมล ขลุ่ยเพียงออ อายุ ๗๑ ปี
๑๖.ครูสวิต ทับทิมศรี ซออู้ อายุ ๖๘ ปี
๑๗.ครูณรงค์ อรรถกฤษณ์ ฆ้องวงเล็ก อายุ ๖๓ ปี
๑๘.ครูสมพงษ์ ภู่ศร เครื่องประกอบจังหวะ อายุ ๖๓ ปี

รวม ๑,๑๙๒ ปี

นักดนตรีกิตติมศักดิ์ ร่วมบรรเลงเพลงถวายพระพรฯ จำนวน ๒ คน
- ม.ร.ว.จักรรถ จิตรพงศ์ นายกสยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ (อดีตปลัดกระทรวงวัฒนธรรม)
- รศ.ดร.ภิญโญ สุวรรณคีรี ศิลปินแห่งชาติ


ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ

//www.culture.go.th/news/2551/5/003.pdf





*ชาวบ้านภาคต่างๆ ต้องทัดเทียมทางวัฒนธรรม

คอลัมน์ สยามประเทศไทย

โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ



โอกาสของประเทศไทยที่อาจารย์ธีรยุทธ บุญมี บอกไว้ในคราวแถลงวิเคราะห์การเมืองไทย เมื่อ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา มีสาระสำคัญว่า

“ไทยยังมีความสามารถเป็นผู้นำด้านวัฒนธรรม การบริการ การแพทย์ และการท่องเที่ยว ที่จะเติบโตขึ้นอีกมหาศาลได้

ในทางภูมิศาสตร์ ไทยยังเป็นศูนย์กลางทางคมนาคมขนส่งและจัดการสินค้าวัตถุดิบ (logistic hup) ได้ดี และยังเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงวัฒนธรรมจีน อินเดีย เอเชียอาคเนย์ที่ดีได้ด้วย”

ด้วยเหตุทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทยที่อยู่กึ่งกลางของอุษาคเนย์ แล้วยังเป็นดินแดนคาบสมุทรมีแผ่นดินยื่นลงไปทาง“ทักษิณ” ขนาบด้วย 2 มหาสมุทร คือ มหาสมุทรแปซิฟิก มีทะเลจีน กับมหาสมุทรอินเดีย มีทะเลอันดามัน เลยมีชื่อในเอกสารประวัติศาสตร์ 2,000 ปีมาแล้วว่า สุวรรณภูมิ เป็นศูนย์กลางเส้นทางคมนาคม “การค้าโลก”ที่ตะวันตกกับตะวันออกมาพบกันราว 2,000 ปีมาแล้ว ทำให้มีพัฒนาการผสมปนเปตกทอดถึง“ความเป็นไทย”

น่าเสียดายที่สังคมไทยไม่ยอมรับรู้เรื่องสำคัญอย่างนี้ เลยทำให้ใจคอคับแคบไม่ยอมรับความแตกต่าง เลยมีคนอย่างน้อย 2 กลุ่มขัดแย้งทางวัฒนธรรมการเมือง คือกลุ่มทุนเลือกตั้งร่วมกับชาวบ้าน เผชิญหน้ากับกลุ่มชนชั้นกลาง เทคโนแครต ชนชั้นนำ ดังอาจารย์ธีรยุทธอธิบายว่า

“ในเชิงโครงสร้างวิกฤตที่ยังดำรงอยู่เป็นปัญหาระหว่างกลุ่มทุนเลือกตั้งผนวกกับชาวบ้านภายใต้อุดมการณ์ประชาธิปไตยเลือกตั้ง ขัดแย้งกับกลุ่มชนชั้นกลาง เทคโนแครต ชนชั้นนำไทยภายใต้ประชาธิปไตยที่มีการถ่วงดุล ตรวจสอบ

ประเทศไทยได้พัฒนาถึงขั้นที่ทั้งสองฝ่ายมีพลังทัดเทียมกัน จึงจะไม่มี ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดชนะได้เด็ดขาด

ประเทศไทยดำรงอยู่ไม่ได้ถ้าฝ่ายประชาธิปไตยเลือกตั้งขยายอำนาจของตนตามอำเภอใจอย่างไม่มีขอบเขต และก็อยู่ไม่ได้เช่นกันถ้าจะหวนกลับไปสู่ยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ หรือยุคอำมาตยาธิปไตย

ทางออกเชิงโครงสร้างคือการอยู่อย่างสมดุล มีทั้งประชาธิปไตยเลือกตั้งซึ่งประชาชนยอมรับ และอำนาจตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญที่มีที่มาอิสระทำงานอย่างได้ผล ปราศจากอคติและความเกรงกลัวภัยจากนักการเมือง ภาคสังคมและประชาชนเข้มแข็งในการตรวจสอบวิจารณ์รัฐบาลมากขึ้น”

อาจารย์ธีรยุทธแนะนำให้รัฐบาล“สนับสนุนความทัดเทียมทางวัฒนธรรมชาวบ้านภาคต่างๆ กลุ่มต่างๆ” จะเกิดประโยชน์ระยะยาวแก่เศรษฐกิจท่องเที่ยว และความสมานฉันท์ในประเทศ

กระทรวงวัฒนธรรมกับสถาบันการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยที่กระจายอยู่ทุกภาคทั่วประเทศจะเข้าใจเรื่องนี้ไหม? ถ้าเข้าใจแล้วจะทำงานเป็นไหม? ฯลฯ หรือได้แต่เสวยสุขบนหอคอยงาช้างผุๆ

หน้า 20


โดย: jenifaae วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:21:15:20 น.  

 
* อีกครั้งกับสุดยอดความงดงาม นิทรรศการ 'ศิลป์แผ่นดิน ครั้งที่ 5'

หากใครยังคงประทับใจกับความวิจิตรงดงามอันทรงคุณค่าของผลงานศิลปาชีพที่จัดแสดงในนิทรรศการ 'ศิลป์แผ่นดิน ครั้งที่ 5' ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม เมื่อปลายปี 2550 และอยากชื่นชมฝีมือชั้นเอกอีกครั้งหนึ่ง สามารถชมได้แล้ว เพราะมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้นำ 'ผลงานชิ้นเอก' มาจัดแสดงอีกครั้งหนึ่ง ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม

*'นิทรรศการศิลป์แผ่นดิน ครั้งที่ 5 ที่ผ่านมา ถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุด เพราะมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติเดินทางมาชมมากว่า 10 ล้านคน และเมื่อนำสมุดแสดงความคิดเห็นทูลเกล้าฯถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทอดพระเนตร พระองค์ทรงปลาบปลื้มพระทัยเป็นอย่างมาก เพราะส่วนมากเขียนว่ารู้สึกภาคภูมิใจในความเป็นไทยเป็นอย่างยิ่ง และเป็นพระราชประสงค์ของพระองค์ที่ทรงต้องการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมของไทยให้คงอยู่สืบลูกหลานต่อไป' ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ รองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เล่าถึงความสำเร็จของนิทรรศการศิลป์แผ่นดิน ครั้งที่ 5

*จากครั้งนั้นทำให้ประชาชนจำนวนมากที่ยังไม่มีโอกาสเข้าชมร้องขอมายังมูลนิธิ เพื่อให้จัดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์และคณะผู้ถวายงาน จึงได้นำความกราบทูลสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งพระองค์ทรงมีพระบรมราชานุญาตให้จัดอีกครั้งหนึ่ง ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม เป็นต้นไป

*รองราชเลขานุการในพระองค์ฯ บอกต่อว่า การจัดนิทรรศการครั้งนี้ เป็นการจัดแสดงผลงานในรูปแบบพิพิธภัณฑ์ถาวร ซึ่งได้รับพระบรมราชนุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยในนิทรรศการครั้งนี้จะจัดแสดงผลงานชิ้นเอกจากฝีมือนักเรียนจากโรงฝึกศิลปาชีพ สวนจิตรลดา อาทิ สีวิกากาญจน์ พระราชยานสำหรับเจ้าในฝ่ายใน พระที่นั่งพุดตานคร่ำทอง เรือพระที่นั่งจำลองศรีสุพรรณหงส์ โต๊ะพระราชทานเลี้ยง ในงานถวายเลี้ยงพระกระยาหารค่ำ แด่พระประมุขและพระราชวงศ์ต่างประเทศ ในวาระมหามงคลฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถทราบข้อมูลรายละเอียดของผลงานผ่านเครื่องวีดิทัศน์หลากหลายภาษา อาทิ ไทย อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น เยอรมัน ฝรั่งเศส สเปน รัสเซีย เป็นต้น

ชมความงดงามได้ทุกวันยกเว้นวันจันทร์ เวลา 10.00-19.00 น. ผู้เข้าชมแต่งกายสุภาพ




*คอนเสิร์ต 'ศิลปะดนตรี เพื่อเพื่อนมนุษย์'

โดย : มูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป , เสมสิกขาลัย, สำนักศิลปะร่วมสมัย และมูลนิธิพัฒนาการศึกษา จ.พังงา

ขอเชิญท่านร่วมคอนเสิร์ต 'ศิลปะดนตรี เพื่อเพื่อนมนุษย์' ART 7 MUSIC FOR FRIENDS (Concert for Burma)

ในวันพุธที่ 4 มิถุนายน 2551 ณ สถาบันปรีดีพนมยงค์ ซอยทองหล่อ กรุงเทพฯ ตั้งแต่ 14.00 - 20.00 น. ฟรี ตามรายละเอียด//review.semsikkha.org/content/view/520/1/
ภายในงานจะมีการแสดงภาพ VTR รำลึกถึงเหตุการณ์ภัยพิบัติพายุนาร์กิสถล่มพม่ากับความสูญเสียที่เกิดขึ้นแก่ชีวิตของพวกเขา และเหล่าศิลปิน มีดังนี้ หงา คาราวาน, เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์, วงภูมิจิต, อพาร์ตเม้นคุณป้า, เทวัญ ทรัพย์แสนยากร, สินเจริญบราเธอร์, บางลำภูแบนด์, สีแพร เมฆาลัย ฯลฯ และยังมีเพลงพิเศษที่แต่งขึ้นเพื่อซับน้ำตาเพื่อนชาวพม่า โดยเฉพาะสำหรับงานนี้ โดยคุณติ๊ก ชีโร่ และยังหวังว่านี่จะเป็นจุดเริ่มของการแสดงร่วมกันของศิลปินชาวไทยและพม่า

นอกจากนั้น ยังมีการประมูลภาพเขียนของศิลปินชื่อดัง คือ อังคาร กัลยาณพงศ์, แนบ โสติพันธุ์, ถาวร โกอุดมวิทย์, วสันต์ สิทธิเขตต์, สมภพ บุตราช โดยมีพิธีการมากความสามารถคือ คุณคาร่า พลสิทธิ์

งานนี้ชมฟรี แต่มาร่วมกันบริจาคได้ ดูรายละเอียดด้านล่าง

โดยท่านสามารถบริจาคได้ที่

* โอนเงิน เข้าบัญชี ออมทรัพย์ ในนาม มูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป
ธนาคาร ไทยพาณิชย์ สาขา เจริญนคร
เลขที่บัญชี 024-2-59705-9

กรณีโอนเงินผ่านธนาคาร กรุณาแจ้งกลับให้สำนักงานกรรมการมูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีปทราบด้วยทุกครั้ง โดยส่งสำเนาใบโอนเงินทางโทรสาร (Fax) 0-2860-1278 หรือติดต่อที่อีเมล์ burma@semsikkha.org แจ้งทางโทรศัพท์ 0-2438-9331-2 เพื่อที่จะได้ส่งใบเสร็จรับเงินถึงท่านโดยเร็ว



โดย: jenifaae วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:21:15:37 น.  

 
*ภาวะโลกร้อน : ผลกระทบต่อสุขภาพและความรับผิดชอบ

รายละเอียดที่นี่...





*ไมโครซอฟท์แย้ม วินโดวส์รุ่นหน้าสร้างเพื่อแอปฯทัชสกรีน

ไมโครซอฟท์ระบุ ระบบปฏิบัติการวินโดวส์รุ่นต่อไปหรือ Windows 7 จะถูกสร้างเพื่อให้รองรับแอปพลิเคชันสำหรับใช้กับหน้าจอสัมผัสหรือทัชสกรีนมากขึ้น เพื่อรับกระแสความนิยมทางเลือกใหม่ไร้เงาเมาส์ที่มาแรงมากในขณะนี้

เบาะแสล่าสุดของ Windows 7 นี้เกิดขึ้นเมื่อซีอีโอไมโครซอฟท์ สตีฟ บอลเมอร์ เปิดตัวฟีเจอร์ทัชสกรีนใน Windows 7 ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับความสามารถของไอโฟน (iPhone) โทรศัพท์หน้าจอสัมผัสของแอปเปิล บนเวทีงานประชุม "D: All Things Digital" ซึ่งวอลล์สตรีทเจอร์นอลจัดขึ้น โดยบอลเมอร์ระบุว่าฟีเจอร์นี้เป็นเพียง"ฟีเจอร์น้ำจิ้ม" หรือเทียบเท่าเพียงเสียวเดียวของ Windows 7 วินโดวส์เวอร์ชันหน้าที่มีกำหนดการวางจำหน่ายในปี 2009

ไมโครซอฟท์นั้นสาธิตฟีเจอร์นี้ผ่านแอปพลิเคชันซึ่งผู้ใช้สามารถย่อขยายแผนที่ด้วยการลูบหน้าจอ จุดนี้บิล เกตส์ เจ้าพ่อไมโครซอฟท์นั้นกล่าวถึงฟีเจอร์นี้ว่าเป็นพัฒนาการใหม่เพื่อหนีห่างจากเมาส์ โดยเชื่อว่าในอนาคตบทบาทของเมาส์และคีย์บอร์ดจะลดลง สวนทางกับบทบาทของเสียงพูดและการมองของมนุษย์ที่จะเพิ่มขึ้น

สำหรับวิสต้า (Vista) วินโดวส์รุ่นล่าสุดที่ยังไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควรนั้น เกตส์กล่าวว่าตัวเขาไม่เคยพอใจกับผลิตภัณฑ์ของไมโครซอฟท์ใดแบบ 100 เปอร์เซ็นต์เลย สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ไมโครซอฟท์ตั้งใจพัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ตลอดเวลา




*ย้อนรอย"หวยออนไลน์" ก่อนคืนชีพกันยายนนี้

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 23 พฤษภาคม 2551 20:24 น.

"หวยออนไลน์"กลับมาเป็นที่สนอกสนใจอีกครั้งหลังมีข่าวว่ารัฐบาลเตรียมเดินหน้าหวยบนดินหรือสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัวและ 2 ตัวผ่านระบบออนไลน์ในงวดเดือนกันยายนนี้ ใครที่ยังไม่รู้ว่าหวยออนไลน์เล่นอย่างไร ข้อดีอะไรที่ทำให้รัฐบาลชุดนี้ติดอกติดใจหวยออนไลน์หนักหนา ทั้งในแง่ผู้ซื้อ ผู้ขาย และกองสลากฯ "ผู้จัดการไซเบอร์"ขออาสาตอบคำถามด้วยบทความนี้

ต้องมีคนขาย

คำว่าหวยออนไลน์ไม่ได้แปลว่า ชาวหวยจะสามารถซื้อหวยทุกที่ทุกเวลาเหมือนการกดตู้เอทีเอ็ม แต่หมายถึงข้อมูลการซื้อหวยจะถูกส่งไปยังกองสลากฯแบบเรียลไทม์ผ่านออนไลน์ สลากจะไม่ถูกพิมพ์จนกว่าจะมีผู้ซื้อ และผู้ซื้อจะต้องซื้อสลากกับผู้ขายของกองสลากที่ได้รับการอบรมมาแล้วเท่านั้น

เครื่องจำหน่ายหวยออนไลน์หรือเครื่องจำหน่ายสลากอัตโนมัติซึ่งเป็นฝีมือการผลิตของบริษัท ล็อกซเลย์ จีเทค เทคโนโลยี จำกัด (LGT) นั้นมีลักษณะเหมือนคอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่องพร้อมเครื่องพิมพ์ คอมพิวเตอร์จะมาพร้อมหน้าจอทัชสกรีนขณะที่เครื่องพิมพ์ขนาดเล็กจะสามารถพิมพ์สลากที่มีความคงทนและสามารถเก็บรักษาได้นานหลายปีโดยไม่จางหาย

ข้อมูลจากประชาสัมพันธ์ของล็อกซ์เลย์ระบุว่า วิธีการซื้อขายหวยออนไลน์นั้นมี 2 วิธี หนึ่งคือแบบบอกเบอร์ผู้ขาย ผู้ขายจะสัมผัสหน้าจอทัชสกรีนเพื่อเลือกเลขแล้วพิมพ์ สองคือแบบใช้ใบเลือกเลข ชาวหวยที่กลัวเปล่งเสียงแล้วเลขเคลื่อนสามารถฝนเลขที่ต้องการบนกระดาษด้วยดินสอ จากนั้นนำกระดาษที่ฝนแล้วเข้าเครื่องคอมพิเตอร์เพื่อพิมพ์สลาก ลักษณะคล้ายกระดาษคำตอบซึ่งนักเรียนใช้ดินสอฝนคำตอบแล้วส่งเข้าไปตรวจในเครื่องคอมพิวเตอร์

เมื่อสั่งพิมพ์ สลากที่ได้จากทั้งสองวิธีจะมีลักษณะคล้ายสลิปเอทีเอ็มแต่มีความคงทนกว่า สามารถเก็บรักษาได้หลายปี มีระบบรักษาความปลอดภัยภายในเพื่อป้องกันการลอกเลียนแบบ สามารถเล่นได้ตั้งแต่ 20-100 บาท โดยตัวเลขที่มีการซื้อขายสลากจะถูกส่งให้สำนักสลากได้ในแบบเรียลไทม์ผ่านทางออนไลน์

แม่นยำรวดเร็ว-รัฐไม่ขาดทุน-โก่งราคาไม่ได้

สลากออนไลน์นั้นเป็นสลากที่ทำการซื้อขายผ่านระบบออนไลน์โดยใช้เทคโนโลยีระดับสูงในการควบคุมการประมวลผล เน้นเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยเป็นหลัก โดย LGT ยกตัวอย่างข้อดีของเครื่องจำหน่ายหวยออนไลน์ถึง 8 ข้อ หนึ่งในนั้นคือความสามารถในการบริหารความเสี่ยงไม่ให้รัฐขาดทุน

8 ข้อดีของระบบที่ LGT ระบุไว้ได้แก่ 1. การซื้อขายทุกรายการจะถูกบันทึกไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ที่ทันสมัย เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก 2. การรับส่งข้อมูลมีความถูกต้อง 100% ไม่มีความผิดพลาดจากระบบ 3. การรับส่งข้อมูลมีความรวดเร็ว 4. การควบคุมและการบริหารทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะควบคุมมาจากระบบส่วนกลาง เช่น การควบคุมและบริหารความเสี่ยง เพื่อไม่ให้รัฐเสี่ยงต่อการขาดทุน

5. ลักษณะการซื้อขายจะเป็นการขาย ณ จุดขาย (Point of Sales) ที่สำนักงานสลากคัดเลือกไว้เท่านั้น 6. การทำการซื้อขาย ต้องผ่านคนขายที่ได้รับการอบรมมาแล้วเท่านั้น โดยได้รับวุฒิบัตรจากสำนักงานสลาก และไม่สามารถทำการซื้อขายโดยผู้ซื้อได้เอง (ไม่ใช่แบบ ATM) 7. การขึ้นรางวัล สามารถตรวจสอบและขึ้นรางวัลได้ทุกที่ ๆ มีเครื่องจำหน่ายสลากออนไลน์ เป็นความยุติธรรมแก่ผู้ซื้อสลาก 8. กำหนดเวลาการเปิด/ปิด การจำหน่าย จะควบคุมโดยศูนย์คอมพิวเตอร์ นั่นคือ เครื่องจำหน่ายทุกเครื่องจะมีเวลาการจำหน่ายเดียวกัน และไม่เปิดโอกาสให้ผู้ขายๆนอกเวลาควบคุม

"คนซื้อสามารถยกเลิกสลากที่ซื้อไปได้ สามารถนำไปขึ้นเงินที่ใดก็ได้ เพียงเอาสลากมาใส่ตู้เพื่อตรวจรางวัล ตัวแทนก็สามารถจ่ายเงินรางวัลได้เลย ป้องกันการผิดพลาด หรือตัวแทนหวยบนดินที่ยกข้ออ้างเพื่อเบี้ยวไม่จ่ายเงินอย่างที่เคยมี" ประชาสัมพันธ์ล็อกซ์เลย์ระบุ ที่สำคัญ หวยออนไลน์สามารถลดปัญหาจากการที่ผู้แทนจำหน่ายสลากจงใจไม่ส่งข้อมูลให้สำนักงานฯ และส่งให้หวยใต้ดินแทน

อีกสามเดือนประเดิม

รัฐบาลชุดปัจจุบันระบุว่า การที่รัฐบาลขิงแก่ล้มโต๊ะหวยบนดินเป็นเวลานานหนึ่งปีครึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาการจำหน่ายสลากเกินราคา เพื่อแก้ไขปัญหานี้ เครื่องจำหน่ายหวยออนไลน์จึงถูกนำมาปัดฝุ่นอีกครั้งโดยสำนักงานสลากฯ จะมีการหารือเพิ่มเติมกับ LGT เพื่อปรับปรุงซอฟต์แวร์เดิมให้มีความทันสมัย LGT คาดว่าจะใช้เวลาในการปรับปรุงประมาณ 3 เดือน

"หวยออนไลน์จะมีจุดจำหน่ายในช่วงแรก 6,000 เครื่องทั่วประเทศ จากสัญญา 12,000 ชุด การติดตั้งครอบคลุมทั่วประเทศแต่ต้องขึ้นอยู่กับกองสลากทั้งหมด ในการคัดเลือกตัวแทน ใครอยากเป็นเจ้าของตู้ก็ต้องสมัคร"

สลากออนไลน์นั้นเป็นโครงการของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เอกสารจาก LGT ระบุว่าสำนักงานสลากฯมีหน้าที่เป็นผู้ขาย ผู้คัดเลือกตัวแทนจำหน่ายสลากออนไลน์ ผู้กำหนดส่วนลดการจำหน่าย ค่าใช้จ่ายรายเดือน ค่ามัดจำ ฯลฯ โดยมี LGT เป็นผู้ทำหน้าที่ในการวางระบบสลากออนไลน์ให้แก่ทางสำนักงานสลากฯ เท่ากับ LGT ลงทุนเฉพาะในส่วนการจัดทำระบบสลากออนไลน์ และมีรายได้จากการให้บริการพิมพ์สลากขายให้ลูกค้าของสำนักงานสลากฯ

ยังไม่มีรายงานความเห็นจากผู้บริหาร LGT ในขณะนี้ โดยประชาสัมพันธ์ของล็อกซ์เลย์ระบุว่าผู้บริหารอยู่ระหว่างเดินทางไปยังต่างประเทศ คาดว่าจะมีรายงานความคืบหน้าอื่นๆในช่วงต้นสัปดาห์หน้า





*คุ้มค่า คุ้มทุน

คลิก..บทความ "คุ้มค่า คุ้มทุน



โดย: jenifaae วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:21:16:27 น.  

 
*ประกันรถยนต์ที่ไม่น่าเชื่อถือมีที่ไหนบ้าง

ประกันรถยนต์ที่ไม่น่าเชื่อถือมีที่ไหนบ้าง รายชื่อ Black List บริษัทประกัน (รถยนต์)

อันดับที่ 1. ลิเบอร์ตี้ประกันภัย (ดร.พาชื่น รอดโพธิ์ทอง และพ.ต.ท.พงษ์ชัย วราชิต ถือหุ้นใหญ่)

อันดับที่ 2. มิตรแท้ประกันภัย (ไทยประสิทธิ์เดิม)

อันดับที่ 3. สัมพันธ์ประกันภัย (นายศรีศักดิ์ ณ นคร ถือหุ้นใหญ่)

*บริษัททั้ง 3 ข้างต้น อู่ต่าง ๆ ส่ายหน้าหนี ไม่รับรถเข้าซ่อมเพราะเบี้ยวค่าซ่อมหลายร้อยล้านบาท โดยลิเบอร์ตี้เป็นสุดยอดแห่งการเบี้ยว ยังมีบริษัทประกันภัยที่อยู่ในข่าย จะโดนอู่ต่าง ๆ ขึ้นบัญชีดำอีกคือ

อันดับที่ 4. อาคเนย์ประกันภัย เพราะถึงแม้จะไม่ชักดาบแต่จะใช้ วิธี “HairCut” คือจะต่อรองกับอู่ว่าจะจ่ายให้น้อยกว่าค่าซ่อมที่ค้างไว้ซึ่งอู่ต่างๆ หลายแห่งก็ต้องยอม เพราะไม่อยากยุ่งยากเรื่องฟ้องร้อง

ยังมีอีกประเภทคือจ่ายค่าซ่อมช้ามาก บางทีเป็นปีถึงจะชำระให้ได้แก่

อันดับที่ 5. พัชรประกันภัย

อันดับที่ 6. เอราวัณประกันภัย สุดท้าย พูดง่ายๆว่าจะเจ๊งแล้ว

อันดับที่ 7. พาณิชยการประกันภัย

ข้อมูลข้างบนนี้คงมีประโยชน์กับท่านที่กำลังมองหา บริษัทประกันจะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลัง เพราะจ่ายเบี้ยประกันแล้ว ใครๆ ก็อยากได้รับบริการที่ดี

ข้อมูล: บริษัททิสโก้





*เส้นทางเศรษฐีเบอร์785ของโลก'Mark Zuckerberg'

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 8 มีนาคม 2551 09:37 น.
* ชื่อของมาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ดูจะน่าสนใจมากขึ้นอีกเมื่อนิตยสาร Forbes จัดอันดับให้ซัคเกอร์เบิร์กเป็นเศรษฐีที่รวยอันดับ 785 ของโลก หลายคนอยากรู้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นใคร มาจากไหน และเส้นทางรวยล้นฟ้าด้วยวัยเพียง 23 ปีเกิดขึ้นได้อย่างไร แม้จะมีบทความมากมายเขียนไขข้อข้องใจไปแล้ว แต่ผู้จัดการไซเบอร์ ก็อดไม่ได้ที่จะรวบรวมเรื่องราวของซัคเกอร์เบิร์กมาเสนออีกครั้ง

ปัจจุบัน ซัคเกอร์เบิร์กเป็นทั้งนักธุรกิจและนักเขียนโปรแกรม ดำรงตำแหน่งประธานบริหารเว็บไซต์เฟสบุ้ก Facebook.com ธุรกิจเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์มูลค่าหลายพันล้านเหรียญที่สร้างขึ้นเมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยฮาร์ดเวิร์ด ด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมรุ่นและเพื่อนร่วมห้องอย่าง Andrew McCollum, Dustin Moskovitz และ Chris Hughes

เชื้อสายยิว-อเมริกัน ข้อมูลจากวิกิพีเดีย สาราณุกรมออนไลน์ระบุว่า Mark Elliot Zuckerberg เกิดเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 1984 ปัจจุบันอายุ 23 ปี เติบโตในย่าน Dobbs Ferry รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ครอบครัวเป็นยิว-อเมริกัน เริ่มเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากนั้นเข้าศึกษาระดับมัธยมที่ Ardsley High School และจบมัธยมปลายที่ Phillips Exeter Academy ในปี 2002

ซัคเกอร์เบิร์กเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด หยุดเรียนไปกลางคัน และกลับมาลงทะเบียนเรียนอีกครั้งในปี 2006

ที่ฮาร์เวิร์ด ซัคเกอร์เบิร์กเริ่มต้นโครงการวิจัยหรือโปรเจ็กต์ชิ้นแรกกับเพื่อนร่วมห้อง Arie Hasit ชื่อของโปรเจ็กต์นี้คือ Coursematch เป็นบริการที่เปิดให้นักศึกษาสามารถดูรายชื่อเพื่อนร่วมชั้นเรียนได้ โปรเจ็กต์ต่อมาคือ Facemash.com เว็บไซต์โหวตรูปนักศึกษาฮาร์เวิร์ดว่าใครได้รับความนิยมชมชอบมากหรือน้อย แต่แล้วเมื่อโปรเจ็กต์นี้ให้บริการจริงบนโลกออนไลน์เพียง 4 ชั่วโมง มหาวิทยาลัยก็ลงดาบระงับการใช้อินเทอร์เน็ตของซัคเกอร์เบิร์ก ด้วยข้อหาว่าโปรเจ็กต์นี้ของซัคเกอร์เบิร์กละเมิดนโยบายการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่มหาวิทยาลัยกำหนดไว้ และเป็นภัยต่อระบบความปลอดภัยคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัย

เขียนไม่ถึง2สัปดาห์?

ซัคเกอร์เบิร์กคลอดบริการนาม Facebook จากห้องพักตัวเองในมหาวิทยาลัยด้วยฤกษ์วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2004 บางแหล่งข่าวระบุว่าซัคเกอร์เบอร์เขียนโปรแกรม FaceBook ชุดดั้งเดิมในเวลาไม่ถึง 2 สัปดาห์ คราวนี้ไม่ใช่บริการโหวตรูปหรือบริการแสดงรายชื่อเพื่อนร่วมชั้น แต่เป็นบริการที่ให้นักศึกษาสามารถโพสต์ข้อมูลของตัวเองได้เท่าที่ต้องการ

แน่นอนว่าเฟสบุ้กได้รับความนิยมถล่มทลายในฮาร์เวิร์ด นักศึกษาราว 2 ใน 3 แห่ลงทะเบียนใช้งานตั้งแต่ 2 สัปดาห์แรกที่เปิดให้บริการ ต่อมาซัคเกอร์เบิร์กและเพื่อน Dustin Moskovitz เริ่มขยายบริการเฟสบุ้กไปยังสถานมหาวิทยาลัยอื่น เช่น สแตนฟอร์ด โคลัมเบีย และเยล โดยราว 4 เดือน สถานศึกษาที่ใช้บริการ Facebook มีจำนวนราว 30 แห่ง

เมื่ออะไรก็ไปได้สวย ซัคเกอร์เบิร์กตกลงใจเดินทางไป Palo Alto แคลิฟอร์เนียพร้อม Moskovitz และกลุ่มเพื่อนช่วงฤดูร้อนปี 2004 ทั้งกลุ่มวางแผนกลับฮาร์เวิร์ดให้ทันฤดูใบไม้ร่วงแต่ก็เปลี่ยนใจอยู่ที่แคลิฟอร์เนียต่อไป และขาดเรียนที่ฮาร์เวิร์ดตั้งแต่นั้น

ห้องเช่าถูกดัดแปลงเป็นสำนักงานชั่วคราว ช่วงฤดูร้อนนี้เองที่ทำให้ซัคเกอร์เบิร์กได้พบกับ Peter Thiel ผู้ร่วมก่อตั้งบริการชำระเงินออนไลน์ PayPal ซึ่งให้ทุนก้อนแรกมา 5 แสนเหรียญ สำนักงานเฟสบุ้กแห่งแรกจึงกำเนิดขึ้นที่ University Avenue ในตัวเมือง Palo Alto นับจากนั้นไม่กี่เดือน ปัจจุบัน เฟสบุ้กมีอาคารสำนักงานในเมือง Palo Alto จำนวน 4 อาคาร ซึ่งซัคเกอร์เบิร์กเรียกว่า 'urban campus' หรืออาณาจักรวิทยาลัย

ไม่ใช่เส้นทางของซัคเกอร์เบิร์กจะโรยแต่กลีบกุหลาบ ติดตามวิกฤตของซัคเกอร์เบิร์กในตอนต่อไป

ขอบคุณข้อมูลจาก Wikipedia.com

เส้นทางเศรษฐีวัย 23 'Mark Zuckerberg' (จบ)

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 9 มีนาคม 2551 01:31 น.


บทความตอนที่แล้วดูเหมือนจะสะท้อนแต่เส้นทางโรยกลีบกุหลาบของมาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) เศรษฐีวัย 23 ปีจากโลกออนไลน์ที่นิตยสาร Forbes จัดอันดับว่าร่ำรวยเป็นอันดับ 785 ของโลก จากเด็กชายในครอบครัวยิว-อเมริกันที่เริ่มเขึยนโปรแกรมตั้งแต่ประถม 6 สู่หนุ่มนักศึกษาฮาร์เวิร์ดที่พาตัวเองและผองเพื่อนปลุกปั้นโปรเจ็ค Facebook.com บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ให้เป็นธุรกิจเต็มขั้น

แน่นอนว่าก่อนที่ Facebook จะทำให้ซีอีโอซัคเกอร์เบิร์กกลายเป็นเศรษฐีหนุ่มติดอันดับโลก ยังมีขวากหนามมากมายที่ซัคเกอร์เบิร์กต้องฝ่าฟันไป

Facebook นั้นเป็นที่รู้จักในนามบริการออนไลน์ที่ทำให้ผู้ใช้แบ่งปันข้อมูลกับเพื่อนที่อยู่ในสังคมเดียวกันแบบรวดเร็วทันใจและเข้าถึง ทั้งข้อมูลแฟ้มภาพถ่ายเมื่อครั้งไปเที่ยว ภาพยนตร์ที่ชอบ และประวัติส่วนตัวทั่วไป ต่างจากเว็บไซต์ชุมชนออนไลน์อื่นตรงที่ Facebook เป็นชุมชนในโลกที่มีตัวตนอยู่จริง ใช้ชื่อ Email เดียวกันและต้องการทำความรู้จักคนอื่นๆในสังคมเดียวกัน ทั้งหมดนี้โดนใจชาวอเมริกันที่กระตือรือร้นอยากจะรู้จักคนอื่นในสังคมเดียวกันให้มากขึ้น

ชาวอเมริกันที่นิยมชมชอบ Facebook มีทั้งกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัย นักเรียนโรงเรียนมัธยม รวมถึงคนวัยทำงาน สถิติชุมชนที่ใช้ Facebook ล่าสุดมีจำนวนหลายหมื่นชุมชน มีทั้งชุมชนเจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับสหรัฐฯ CIA ชุมชนพนักงานร้านแมคโดนัลด์ และกองกำลังนาวิกโยธินของสหรัฐฯ ที่สำคัญ Facebook ยังสนับสนุนการขายสินค้าข้ามบริษัทบนเว็บไซต์ และวางเป้าหมายว่า ผู้ใช้จะสามารถค้นหาสินค้าทุกชนิดได้จากเว็บไซต์แห่งนี้ในอนาคต

วิกฤตคือโอกาส

หลังจากได้ทุนก้อนแรกจาก Peter Thiel ผู้ร่วมก่อตั้งบริการชำระเงิกันยายน 2006 ไม่ใช่รายการข่าวสารบ้านเมืองแต่เป็นรายการความเคลื่อนไหวของกลุ่มเพื่อนในเว็บไซต์นออนไลน์ PayPal มูลค่า 5 แสนเหรียญ ผลงานหนึ่งที่โด่ดเด่นของ Facebook.com คือบริการ News Feed เริ่มให้บริการตั้งแต่เดือน 5

ซัคเกอร์เบิร์กตกที่นั่งลำบากเนื่องจากผู้ใช้จำนวนหนึ่งไม่เห็นด้วยกับฟีเจอร์นี้ โดยผู้ใช้มองว่า News Feed ทำให้ข้อมูลส่วนตัวแพร่กระจายไปทั่วเว็บ Facebook โดยไม่ได้รับอนุญาต

ผู้ใช้ Facebook ร่วมใจประท้วงไม่เห็นด้วยกับฟีเจอร์ News Feed ราว 700,000 คนภายในไม่ถึง 48 ชั่วโมง ร้อนถึงซัคเกอร์เบิร์กต้องเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงผู้ใช้ เพื่อขอโทษที่ละเลยการให้ความสำคัญกับการปกป้องความเป็นส่วนตัว และยืนยันว่าเจตนาในการออกแบบฟีเจอร์ News Feed คือเพื่อให้ข่าวสารข้อมูลแก่คนในชุมชนเดียวกันบน Facebook เท่านั้น

เมื่อทีมวิศวกรของ Facebook ลงมือปรับปรุงความเป็นส่วนตัวของ News Feed ซัคเกอร์เบิร์กระบุว่าขณะนี้ News Feed กลายเป็นสิ่งที่ผู้ใช้นิยมไปแล้วเรียบร้อยโรงเรียน Facebook

เดือนพฤศจิกายน 2007 ซัคเกอร์เบิร์กได้ฤกษ์เปิดตัวระบบโฆษณาออนไลน์ใหม่ในชื่อ Beacon เป็นระบบที่เปิดให้นักการตลาดสามารถลงโฆษณาได้ด้วยตัวเองคล้ายระบบของกูเกิล (Google) ชนวนระเบิดปะทุขึ้นอีกเมื่อระบบโฆษณา Beacon สามารถเก็บข้อมูลใช้งานเว็บไซต์ของสมาชิก Facebook ได้ ความสามารถนี้ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่า Facebook กำลังจะละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้อีกครั้ง

ธันวาคม 2007 ซัคเกอร์เบิร์กระบุว่ากำลังดำเนินการทดสอบระบบโฆษณา Beacon อย่างจริงจัง ขออภัยในข้อผิดพลาดต่อผู้ใช้ และเร่งแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้

Facebook ยังเผชิญปัญหาเดียวกับเว็บไซต์อื่นๆ คือปัญหาการฟ้องร้องว่าเป็นผลงานที่ขโมยความคิดคนอื่นมา โดยนักศึกษาฮาร์เวิร์ด 3 รายนาม Divya Narendra, Cameron Winklevoss และ Tyler Winklevoss ระบุว่าเคยว่าจ้างให้ซัคเกอร์เบิร์กเขียนโปรแกรมบนเว็บไซต์ของพวกเขานามว่า ConnectU และกล่าวหาว่าซัคเกอร์เบิร์กขโมยแนวคิด การออกแบบ แผนธุรกิจ รวมถึงซอร์สโค้ดดั้งเดิมไป

คดีนี้เริ่มตั้งแต่ปี 2004 ผู้ฟ้องระบุว่าร้องเรียนเพื่อความเป็นธรรม และไม่มีเจตนาให้เว็บ Facebook ต้องปิดตัวลง อย่างไรก็ตาม Facebook ตัดสินใจฟ้องกลับและการพิพากษาคดียังไม่สิ้นสุดในขณะนี้

ด้านสื่อใหญ่อย่างนิวยอร์กไทมส์ เคยแสดงความเห็นว่า ซัคเกอร์เบิร์กอาจได้แนวคิดบริการมาจากเว็บไซต์ houseSYSTEM ของคุณปู่ Aaron J. Greenspan บุคคลสำคัญของสหรัฐฯก็เป็นได้

รวยเพราะหุ้น

ซัคเกอร์เบิร์กไม่ได้สร้างฐานะปึกแผ่นจากรายได้โฆษณาซึ่งเป็นรายได้หลักของเว็บ Facebook แต่มาจากการขายหุ้นบริษัทให้ไมโครซอฟท์ซึ่งทุ่มเงินกว่า 8,000 ล้านบาท ซื้อหุ้น Facebook ในสัดส่วน 1.6% จากซัคเกอร์เบิร์ก ราคานี้ไมโครซอฟท์คำนวณโดยตั้งมูลค่า Facebook ไว้สูงถึง 51,000 ล้านบาท มูลค่าเทียบเท่าบริษัทจำหน่ายสินค้าชื่อดัง GAP และโรงแรมแมริออท

การตัดสินใจขายหุ้นให้ไมโครซอฟท์ เกิดขึ้นหลังจาก Facebook ปฏิเสธข้อเสนอซื้อมูลค่า 1 พันล้านเหรียญจากยาฮู (Yahoo) ครั้งนั้นทั้งตัวซัคเกอร์เบิร์กและนักลงทุนคนแรกของบริษัทอย่าง Thiel กล่าวตรงกันว่ายังไม่รีบร้อนขาย Facebook ให้แก่บริษัทยักษ์ใหญ่หรือขายหุ้นให้สาธารณชน และราคาเสนอซื้อแค่หนึ่งพันล้านเหรียญนั้นต่ำเกินไป ฐานผู้ใช้และจำนวนผู้เข้าชมที่เพิ่มขึ้นทุกวันทำให้ทั้งสองเชื่อว่ามูลค่าบริษัทสูงกว่าที่ยาฮูเสนอมาแน่นอน สิ่งที่ Facebook จะเลือกจึงเป็นการให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีและทำให้บริษัทเติบโตต่อไป

แต่เมื่อยักษ์ใหญ่อย่างไมโครซอฟท์ตัดสินใจควักเงิน 246 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 8.16 พันล้านบาท) แลกกับการครอบครองหุ้น Facebook เพียง 1.6% ทำให้ซัคเกอร์เบิร์กอดใจไม่ไหว ยอมเจียดหุ้นในมือยกให้ไมโครซอฟท์แต่โดยดี

เรื่องนี้ได้รับเสียงวิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะการที่ไมโครซอฟท์ให้ราคา Facebook สูงกว่าผู้เสนอซื้อรายอื่นอย่างน่าสงสัย เพราะหากคำนวณราคาหุ้นที่ไมโครซอฟท์เสนอมา เท่ากับไมโครซอฟท์กำหนดมูลค่ารวมของ Facebook ไว้ถึง 1,500 ล้านเหรียญฯ หรือประมาณ 51,000 ล้านบาท ซึ่งเซอร์เกย์ บริน ผู้ร่วมก่อตั้งกูเกิลซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่เสนอตัวซื้อหุ้น Facebook ด้วยเช่นกัน ระบุว่าเป็นราคาที่เกินจริง เพราะในแต่ละปีเฟซบุ๊คทำรายได้ไม่ถึง 200 ล้านเหรียญด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ดี การซื้อขายหุ้นระหว่างไมโครซอฟท์และซัคเกอร์เบิร์กมูลค่า 246 ล้านเหรียญ และการถือหุ้นบริษัทที่ไมโครซอฟท์ตีราคาไว้สูงถึง 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐในสัดส่วน 10 เปอร์เซ็นต์ ก็ทำให้นิตยสาร Forbes จัดอันดับความร่ำรวยของซัคเกอร์เบิร์กไว้ที่อันดับ 785 ของโลกไปแล้ว แม้นักวิเคราะห์จะยังสงสัยในสภาพคล่องด้านการเงินของซัคเกอร์เบิร์กอยู่

แม้จะถูกสงสัยเรื่องสภาพการเงิน แต่ซัคเกอร์เบิร์กไม่เคยถูกสงสัยเรื่องฝีไม้ลายมือ ขณะนี้ Facebook กำลังเพิ่มจำนวนวิศวกรและพนักงานบริการลูกค้าเพื่อรองรับตลาดมหาวิทยาลัยในแคนาดาและอังกฤษที่มีอัตราเติบโตเกือบ 30% ต่อเดือน และทำสถิติเป็นเว็บที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดเป็นอันดับ 6 ของสหรัฐฯ

เชื่อแน่ว่า โลกจะจับตาเศรษฐีหนุ่มวัย 23 ปีคนนี้ต่อไปอีกนานแสนนาน

ขอบคุณข้อมูลจาก Wikipedia.com


โดย: jenifaae วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:21:17:03 น.  

 
*วิกฤติโลกร้อน วิกฤติมนุษยชาติ (ตอนที่5)

ทางเลือกทางรอด...อเมริกา ร่วมมือลดก๊าซพิษ...ก่อนหายนะรีเทิร์น!!!
ยังคงเปรียบเสมือนฝันร้ายที่นึกถึงคราใดเป็นต้องสลดใจทุกครั้ง สำหรับคืนวันแห่งโศกนาฏกรรม พายุเฮอริเคนพัดถล่มเมืองต่าง ๆ ของสหรัฐอเมริกา สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ประชาชนนับแสนคนต้องไร้ที่อยู่อาศัย

จวบจนวันนี้แม้วันเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานกว่า 3 ปี แต่ภาพแห่งความชอกช้ำจากภัยพิบัติธรรมชาติอันโหดร้ายยังคงเวียนวนอยู่ในความทรงจำของชาวอเมริกัน จนบางครั้งคล้ายกับคนที่ต้องมีชีวิตอยู่อย่างหวาดผวาพร้อม ๆ กับการ เฝ้าสวดมนต์ภาวนา... “ขออย่าให้ภัยพิบัติอันร้ายแรงเช่นนี้เกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าอีกเลย”

*หลายปีที่ผ่านมา อัล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ซึ่งปัจจุบันประสบความสำเร็จอย่างงดงามในฐานะนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ได้ออกมากระตุ้นเตือนให้ชาวโลกทุกคนหันมาตื่นตัว ยอมรับถึงสภาพความแปรเปลี่ยนของธรรมชาติในทางลบที่เป็นผลมาจากน้ำมือมนุษย์ พร้อมร่วมรณรงค์ให้ทุกคนหันมาร่วมมือร่วมใจรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อัล กอร์ ได้คัดสรรกรณีศึกษาอันน่าตื่นตระหนก เพื่อกระตุ้นต่อมความรู้สึกของผู้คนทั่วโลกให้รับรู้และเข้าใจถึงภัยพิบัติอันร้ายแรงอันเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน ผ่านทางหนังสือและภาพยนตร์ “An Incon venient Truth” ที่ต้องยอมรับว่า สามารถสะกดจิตให้ชาวโลกนั่งนิ่ง พรางจินตนาการถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองในอนาคตได้อย่างไม่มีที่ติ

แต่ถึงกระนั้น คงต้องสุดแล้วแต่จิตใต้สำนึกของแต่ละคนในการที่จะหันมาร่วมมือสร้างสรรค์สิ่งแวดล้อม ซึ่งแน่นอน ว่า ภาระอันหนักหน่วงเช่นนี้จะสัมฤทธิผลได้คงต้องขึ้นอยู่กับความสามัคคีของชาวโลก เพราะเรื่องนี้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับโลก และส่งผลโดยตรงต่อผู้อาศัยอยู่บนโลก...

ไม่ใช่ปัญหาของใครคนใดคนหนึ่ง และก็ไม่ใช่สิ่งที่ใครคนใดคนหนึ่งจะแก้ไขได้เพียงลำพัง!!

*ย้อนหลังไปราว 4-5 ปีที่ผ่านมา หากใครยังจำได้ ในปี 2004 มีทั้งพายุทอร์นาโด และพายุเฮอริเคนพัดถล่มสหรัฐอเมริกา มากมายจนทำลายสถิติ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังไม่เท่าสิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2005 เมื่อเฮอริเคนเดนนิส เฮอริเคนเอมิลี เฮอริเคนริต้า รวมถึงเฮอริเคนแคทรีน่า ต่างดาหน้า พัดเข้าถล่มอเมริกาจนอ่วม ภาพความเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นล้วนหนักหนาสาหัสจนไม่อาจสรรหาคำพูดใด ๆ มาอธิบาย

จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์จำนวนมากต่างเห็นพ้องต้องกันว่า น้ำที่อุ่นบนผิวหน้าของมหาสมุทรสามารถถ่ายทอดพลังงานความร้อนได้มากขึ้นจนก่อเกิด “เฮอริเคน” ที่ทรงพลังมหาศาล

อย่างไรก็ตาม แม้จะยังมีนักวิทยาศาสตร์อีกเป็นจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่ยอมรับข้อสรุปเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะโลกร้อนว่ามีผลต่อจำนวนพายุเฮอริเคนที่เกิดขึ้น แต่ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์จำนวนมาก ต่างเริ่มหันมายอมรับ แล้วว่า ภาวะโลกร้อนมีส่วนเชื่อมโยงกับพายุเฮอริเคนที่รุนแรง และเกิดถี่ขึ้นทุกขณะรวมถึงการทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นจนท่วม พื้นที่ที่เป็นจุดก่อกำเนิดของประเทศอเมริกาในช่วงระยะเวลาไม่เกิน 100 ปี

พิธีสารเกียวโต คือ ข้อตกลงร่วมกันของนานาประเทศเกี่ยวกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อแก้ไขภาวะโลกร้อนที่ทุกประเทศทั่วโลกต่างให้การสนับสนุน แต่สหรัฐอเมริกา นับเป็นประเทศหนึ่งที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่บรรยากาศโลกมากที่สุด ไฉนเลยจึงไม่ยอมลงนามร่วม ซึ่งก่อนหน้านี้นายกอร์ ก็เคยเตือนว่า ภายในฤดูร้อนปี 2555 น้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนืออาจละลายหมด หากไม่เร่งแก้ปัญหาโลกร้อนอย่างจริงจังเสียแต่วันนี้

*ภาพมหันตภัยอันโหดร้าย ภาพความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินที่สุดจะบรรยายที่ชาว อเมริกันต้องพานพบอาจกำลังเป็นแรงขับเคลื่อนให้ผู้นำประเทศอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ของโลกนี้ตัดสินใจที่จะร่วมมือลดก๊าซพิษที่ทำลายสิ่งแวดล้อมของโลกในเร็ววัน...นี่คือความหวังของประชาคมโลก

และแน่นอนที่สุด นับจากนี้ นอกจากเรื่องของ “ลัทธิก่อการร้าย” ที่ต้องระวังมากขึ้น เรื่องของภัยพิบัติอื่น ๆ รวมถึง “ภาวะโลกร้อน” น่าจะเป็นอีกสิ่งที่สหรัฐอเมริกาต้องให้ความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

เพราะนั่นหมายถึง หากยังต้องการมีชีวิตอยู่รอด หลุดพ้นจากการ “เอาคืน” ของธรรมชาติ ก็คงต้องร่วมมือสร้างสรรค์…

ก่อนที่หายนะทุกอย่าง จะอุบัติซ้ำ จนไม่เหลือหนทางเยียวยา.
อุตสาหกรรมประกันภัยกับภาวะโลกร้อน
วินาทีนี้ อุตสาหกรรมประกันภัยในหลายประเทศต่างเริ่มตระหนักถึงมหันตภัยที่เกิดขึ้นจากสภาวะโลกร้อนกันแล้วว่า ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจประกันภัยโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์น้ำท่วมสูงกว่า 4 เมตร ในกรุงจากาตาร์ เมืองหลวงของอินโดนีเซีย พายุหิมะถล่มจีน พายุเฮอริเคนพัดถล่มอเมริกา ฯลฯ

ภาพเหตุการณ์แห่งความสูญเสียดังกล่าว ถือเป็นการส่งสัญญาณให้ตลาดประกันภัยทั่วโลกเริ่มให้ความสำคัญต่อการกำหนดทิศทางในการพิจารณาโครงสร้างอัตราเบี้ยประกันภัยเพื่อคุ้มครองอุบัติภัยทางธรรมชาติอย่างรัดกุม โดยในสหรัฐอเมริกา National Association of Insurance Commissioners เตรียมพิจารณาบังคับให้บริษัทรับประกันภัยในประเทศ รวมถึงบริษัทรับประกันภัยต่อ จะต้องมีหลักประกันสถานะความมั่นคงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะบริษัทรับประกันภัยต่อจากต่างประเทศที่เข้าไปรับประกันภัยในสหรัฐอเมริกาที่อาจจะต้องมีหลักประกันในสหรัฐอเมริกาด้วย

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา บริษัทประกันภัยในสหรัฐอเมริกาต้องจ่ายเงินชดเชยให้แก่เหยื่อที่ได้รับความเดือดร้อนจากสภาพอากาศวิปริตสูงเพิ่มมากขึ้นกว่า 10 เท่า โดยความสูญเสียเหล่านี้ส่วนใหญ่มักเกิดจาก พายุ น้ำท่วม ภัยแล้ง ฯลฯ ที่สามารถเชื่อมโยงกับภาวะโลกร้อนได้ ดังเช่น เฮอริเคนแคทรีน่าลูกเดียว ได้สร้างความเสียหายเป็นวงเงินประกันไม่ต่ำกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่สมาคมประกันภัยของอังกฤษแจ้งว่า การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากการประกันภัยคุ้มครองน้ำท่วม และพายุในประเทศอังกฤษเพิ่มสูงขึ้น 2 เท่า ระหว่างปี ค.ศ. 1998-2003 และคาดว่าจะสูงกว่า 3-5 เท่าภายในปี ค.ศ. 2050

เมื่อสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากจนไม่สามารถพยากรณ์ได้อย่างถูกต้องแม่นยำดังเช่นในอดีต หนทางเดียวที่ธุรกิจประกันภัยจะอยู่ได้คงมีเพียง 2 ทางเลือกไม่เพิ่มอัตราเบี้ยประกันจากผู้ทำประกัน ก็คงต้องยกเลิกการทำประกันภัยในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ย่านชายฝั่งอ่าวเม็กซิโก ซึ่งนั่นหมายถึงว่า ชาวอเมริกันคงต้องใช้ชีวิตอยู่ไปวัน ๆ ท่ามกลางความเสี่ยงที่มีมากขึ้นโดยตลอด




*'ไฟร์ฟอกซ์ 3' สงครามบราวเซอร์รอบใหม่

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ - วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 32 ฉบับที่ 4005 (3205)

คอลัมน์ ไอทีทะลุโลก

โดย siripong@kidtalentz.com


*ใครจะไปคิดว่าโปรแกรมโอเพ่นซอร์ซ อย่าง 'ไฟร์ฟอกซ์' ซึ่งอยู่ภายใต้มูลนิธิ โมซิลล่า ที่ไม่แสวงกำไร จะสามารถเติบโตจนมีผู้ใช้ทั่วโลกถึง 170 ล้านคน มีส่วนแบ่งในตลาดบราวเซอร์ ได้ถึง 18 เปอร์เซ็นต์ และมีส่วนอย่างสำคัญพอๆ กับระบบปฏิบัติการลีนุกซ์ในการขับเคลื่อนขบวนการโอเพ่นซอร์ซ ซอฟต์แวร์ ซึ่งในปัจจุบันยอมรับกันว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้และสร้างคุณูปการนานนัปการต่อโลกไอที

ตัวอย่างง่ายๆ ก็อย่างเช่นบราวเซอร์ ที่ ไมโครซอฟท์ แทบจะวางมือจากการพัฒนาไปเลยนับตั้งแต่ ไออี 6 จนเมื่อไฟร์ฟอกซ์เกิดขึ้นมาและได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ กวาดรางวัลและคำชมเชยมาจนเต็มไปหมดนั่นแหละ ไมโครซอฟท์จึงเริ่มพัฒนาตามบ้าง

เพราะส่วนแบ่งตลาด 18 เปอร์เซ็นต์ของไฟร์ฟอกซ์นั้น ส่วนใหญ่ชิงมาจากไออี ของไมโครซอฟท์ที่เคยครองตลาดกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ชิงมาได้ทั้งๆ ที่เป็นการต่อสู้แบบใช้อาวุธด้ามเดียวไม่มีตัวช่วยอย่างเช่นระบบปฏิบัติการให้พ่วงบราวเซอร์ของตัวเองแล้วกีดกันผู้ค้าคอมพิวเตอร์ไม่ให้เสนอทางเลือกอื่นแก่ลูกค้าอีกด้วย

ในเดือนหน้า ไฟร์ฟอกซ์ เวอร์ชั่นใหม่ หรือไฟร์ฟอกซ์ 3.0 ไฟนอล รีลิส จะเริ่มออกมาให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตได้ใช้กัน หลังจากใช้เวลาพัฒนาและทดสอบมายาวนานถึงสามปีครึ่ง เป็นการปรับปรุงพัฒนาเปลี่ยนแปลงใหม่ในหลายต่อหลายอย่างในแบบของผู้ริเริ่มเหมือนเช่นเคย ทั้งเร็วขึ้น และฉลาดขึ้นในการตอบสนองต่อผู้ใช้งาน เช่น การจดจำเว็บที่เข้าไปเยี่ยมเยียน หรือคุณสมบัติในการทำให้เป็นบราวเซอร์เฉพาะผู้ใช้แต่ละคนบนบราวเซอร์ตัวเดียวกัน เป็นต้น

เชื่อกันว่าสงครามบราวเซอร์น่าจะระอุขึ้นมาอีกรอบในครั้งนี้ เพราะอินเทอร์เน็ตทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้นทุกที และรายได้อันเกิดจากทราฟฟิกที่สร้างขึ้นจากบราวเซอร์ก็สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน

ทางด้านไมโครซอฟท์เองนั้น มีกำหนดการที่จะออกไออี 8 ราวๆ สิ้นปี ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีอะไรใหม่ๆ ออกมาให้ได้ยลโฉมกัน แต่เท่าที่ไมโครซอฟท์ทำได้น่าจะเป็นเพียงแค่รักษาป้อมปราการเอาไว้ไม่ให้โดนรุกหนักจากไฟร์ฟอกซ์มากไปกว่าเดิม

แต่โอกาสที่จะบดขยี้ 'ไฟร์ฟอกซ์' เหมือนที่เคยทำกับ 'เน็ตสเคป' คงไม่มีให้เห็นกันอีกแล้ว

หน้า 36


โดย: jenifaae วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:21:17:31 น.  

 
*มสธ. จัดงานแถลงข่าวหัวข้อ “ว่าที่อธิการบดีใหม่กับก้าวต่อไปของมสธ.”

ด้วยมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) กำหนดจัดแถลงข่าว เปิดตัวว่าที่อธิการบดี คนใหม่ รศ.ดร.ปราณี สังขะตะวรรธน์ (ว่าที่อธิการบดีหญิงคนแรกของมสธ.) ภายใต้หัวข้อ “ว่าที่อธิการบดีใหม่กับก้าวต่อไปของมสธ.” ซึ่งนอกจากจะมีการแสดงวิสัยทัศน์ เสนอแนวนโยบาย ยังมีประเด็นอื่นๆ ที่น่าสนใจ อาทิ การเปิดหลักสูตรใหม่สำหรับนักศึกษาปริญญาตรีด้านการเกษตร หลักสูตรประกาศนียบัตรผู้นำชุมชน 1 ปี และหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต วิชาเอกการบริหาร การปกครองท้องที่ การยกเว้นค่าธรรมเนียมการโอนชุดวิชาแก่บัณฑิตและอดีตนักศึกษามสธ. รวมทั้ง การจัดกิจกรรมในโอกาสวันสถาปนา 30 ปี มสธ. ที่จะมีขึ้นในเดือนกันยายนนี้ เป็นต้น
งานแถลงข่าวดังกล่าว จะจัดขึ้นในวันอังคารที่ 10 มิถุนายน 2551 เวลา 10.30.-12.00 น. ณ ห้องกมลทิพย์ โรงแรมสยามซิตี้ ถนน ศรีอยุธยา โดยมี รศ.ดร.ทองอินทร์ วงศ์โสธร รักษาการแทนอธิการบดี มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เป็นประธานแถลงข่าว ในการนี้จึงใคร่ขอเรียนเชิญท่านหรือผู้แทนเข้าร่วมแสดงความยินดีและเป็นเกียรติในงานดังกล่าว พร้อมทั้งเสนอข่าวสารที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสาธารณชนต่อไป ทางมหาวิทยาลัยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความกรุณาจากท่านเช่นที่ผ่านมา

กำหนดการ

10.00-10.30 น. ลงทะเบียนสื่อมวลชน

10.30-11.30 น. รศ.ดร.ทองอินทร์ วงศ์โสธร รักษาการแทนอธิการบดี
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวต้อนรับ และแถลงข่าวในหัวข้อ
หลักสูตรเปิดใหม่ 3 หลักสูตร ในปี 2551
- หลักสูตรการจัดการเกษตร (4 ปี) สาขาวิชาส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ์
- หลักสูตรประกาศนียบัตรผู้นำชุมชน (1 ปี) สาขานิติศาสตร์
- หลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต วิชาเอกการบริหาร การปกครองท้องที่ สาขาวิชาวิทยาการจัดการ
การจัดกิจกรรมในโอกาสครบ 30 ปี มสธ.
รศ.ดร.ปราณี สังขะตะวรรธน์ ว่าที่อธิการบดีมสธ.คนใหม่ กล่าว
แสดงวิสัยทัศน์ แถลงนโยบาย และแนวทางการบริหารมสธ.

11.30-11.50 น. สื่อมวลชนซักถาม

11.50-12.00 น. ถ่ายภาพร่วมกัน

12.00-13.00 น. รับประทานอาหารกลางวัน


รายละเอียดเพิ่มเติม :
เบญจรัตน์ สินสงวน (จอย) โทร : 089-448-9582
นฤมล ปัทมพันธ์ (น้อง) โทร : 02-503-3641





*เสวนา:กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

โดย : ชมรมเลี้ยวซ้าย จุฬา เมื่อ : 4/06/2008 10:25 AM เชิญผู้สนใจทุกท่านเข้าร่วมเสวนาวิชาการ

กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

-นิติปรัชญาและประวัติศาสตร์

พุธ 18 มิถุนายน 13.00น ห้อง12 ตึก 3 รัฐศาสตร์ จุฬาฯ

• สมชาย ปรีชาศิลปกุล คณบดีนิติศาสตร์ ม.เชียงใหม่
• สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ภ.ประวัติศาสตร์ อักษรฯ จุฬาฯ
• กฤตยา อาชวนิจกุล สถาบันประชากรฯ ม. มหิดล
• ไชยันต์ ไชยพร ภ.ปกครอง รัฐศาสตร์ จุฬาฯ
• จอน อึ๊งภากรณ์ อดีต ส.ว. กรุงเทพฯ

จัดโดย คณะกรรมการรับข้อมูลและสืบพยาน ๖ ตุลา ๑๙ ร่วมกับ ชมรมเลี้ยวซ้ายจุฬาฯ





*สัมมนาพระราชบัญญัติสิทธิบัตร : ข้อเสนอเพื่อการคุ้มครองประชาชน

โดย : แผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ เมื่อ : 4/06/2008 02:21 PM โครงการสัมมนาพระราชบัญญัติสิทธิบัตร : ข้อเสนอเพื่อการคุ้มครองประชาชน
วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน 2551
ณ ห้องประชุมสารนิเทศ ชั้น 2 หอประชุมใหญ่
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

8.45.- 9.15 น ลงทะเบียน

9.15 - 9.30 น. เปิดการประชุม โดย ศ. นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

9.30 -10.00 น. นำเสนอรายงานของคณะผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพย์สินทางปัญญา ตามสิทธิบัตรขององค์การอนามัยโลกต่อการใช้สิทธิโดยรัฐของไทย โดย Dr.German Velasquez องค์การอนามัยโลก*

10.00 -10.15 น พักรับประทาน กาแฟ/ชา

10.15 -11.00 น. กรณีศึกษาพระราชบัญญัติสิทธิบัตรของประเทศอินเดีย โดย Ms. Pratiibha Siva, Lawyer Collective อินเดีย

11.00 -11.30 น. หลักการสำคัญในการจัดทำ/พิจารณากฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาด้านยา โดย ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

11.30 -12.00 น. สาระสำคัญร่างพระราชบัญญัติสิทธิบัตร
ฉบับภาคประชาสังคม โดย ภญ.อัจฉรา เอกแสงสี มูลนิธิสาธารณสุขเพื่อการพัฒนา

12.00-13.00 น. รับประทานอาหารกลางวัน

13.00 - 13.45 น. นำเสนอ IP Model Law ขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก: ปัจจัยเอื้อหรืออุปสรรคการเข้าถึงยา โดย รศ.ดร.จักรกฤษณ์ ควรพจน์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยวูลองกอง ออสเตรเลีย

13.45 - 15.00 น อภิปรายเสนอข้อคิดเห็น / ซักถาม /
แลกเปลี่ยน
นำโดย 1. ผู้แทนกรมทรัพย์สินทางปัญญา
2. ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข /
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
3. ผู้แทนกระทรวงต่างประเทศ /
กรมสนธิสัญญา
4. ผู้แทนเครือข่ายผู้ป่วย
5. ผู้แทนอุตสาหกรรมยาท้องถิ่น
6. สมาชิกผู้เข้าสัมมนา ฯลฯ

15.00 - 15.10 น. ปิดการสัมมนา โดย รศ.ดร.จิราพร ลิ้มปานานนท์ หน่วยปฏิบัติการวิจัยเภสัชศาสตร์สังคม

หมายเหตุ :
ช่วงเช้า ดำเนินรายการโดย รศ.ดร.วิทยา กุลสมบูรณ์ / ศ.พิชัยศักดิ์ หรยางกูร
ช่วงบ่าย ดำเนินรายการโดย รศ.ดร.จิราพร
ลิ้มปานานนท์

* รอการยืนยัน


โดย: jenifaae วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:21:17:49 น.  

 
*งาน "รวมพลคนออนไลน์ by settrade.com เพิ่มพลังการลงทุน เปลี่ยนคุณเป็นมือโปร"

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย ขอเชิญท่านหรือผู้แทนร่วมงานวันตลาดนัดผู้ลงทุนไทย (Thai Investors' Day) เดือนมิถุนายน : "รวมพลคนออนไลน์ by settrade.com เพิ่มพลังการลงทุน เปลี่ยนคุณเป็นมือโปร" ในวันเสาร์ที่ 7 – วันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน 2551 เวลา 10.00-17.00 น. ณ อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตามกำหนดการดังนี้

วันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน

09.00 - 10.30 น. สัมมนาหัวข้อ "แนวโน้มหุ้นเด่นเดือนมิถุนายน"
โดย คุณถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้บังคับบัญชาสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน)

10.00 - 12.00 น. สัมมนารายการ "บริหารเงินลงทุนหุ้นอย่างไรให้เป็นสุข"
โดย ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ จำกัด
นายแพทย์บำรุง ศรีงาม ผู้ได้รับรางวัล "นักลงทุนคุณภาพ"
คุณฐิตินาถ ณ พัทลุง ผู้เขียนหนังสือ "เข็มทิศชีวิต"
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ที่ปรึกษาสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย
อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
ดำเนินรายการโดย ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา

10.45 - 12.15 น. สัมมนาหัวข้อ "แนวโน้มเศรษฐกิจกับทิศทางกลุ่มพลังงาน"
โดย คุณอนุพนธ์ ศรีอาจ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บีฟิท จำกัด (มหาชน)
คุณพรรณงาม อารยวุฒิ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บีฟิท จำกัด (มหาชน)

14.00 - 17.00 น. สัมมนาหัวข้อ "หุ้นดี หุ้นเด่น เน้นคุณภาพ"
โดย คุณวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการบริหารสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด
คุณพงศ์พันธุ์ อภิญญากุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง
(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
คุณพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายการตลาด บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน)
ดำเนินรายการโดย คุณยงยศ วารีสุรหาญ อุปนายกสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย

วันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน

09.00 - 10.30 น. สัมมนาหัวข้อ "เทคนิคการเทรดหุ้นให้ได้กำไรด้วยตนเอง"
โดย คุณแสงธรรม จรณชัยกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต
จำกัด (มหาชน)

10.45 - 12.15 น. สัมมนาหัวข้อ "วิเคราะห์ทางเทคนิค"
โดย ทีมนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด

13.00 - 14.30 น. สัมมนาหัวข้อ "ผลกระทบเงินเฟ้อต่อตลาดหุ้นในมุมมองของบล.กสิกรไทย"
โดย คุณกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
คุณอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
คุณธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล ผู้จัดการฝ่ายวิจัยการเงินการธนาคาร ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

15.00 - 16.30 น. สัมมนาหัวข้อ "กลยุทธพิชิตกำไรไตรมาส 3"
โดย คุณวิวัฒน์ เตชะพูนผล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด วิทยากรมืออาชีพ จากบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด

ผู้ประสานงานสื่อมวลชน:
วรรษมน เสาวคนธ์เสถียร 0-2229-2797
ฝ่ายสื่อสารองค์กร ตลาดหลักทรัพย์ฯ




*เสวนาในหัวข้อ “แนวคิดและทิศทางการบริหารสไตล์หญิงเก่ง”

สำนักพิมพ์บิสซี่เดย์ จัดเสวนาในหัวข้อ “แนวคิดและทิศทางการบริหารสไตล์หญิงเก่ง” โดยนักบริหารหญิงระดับแนวหน้า ได้แก่ ดร.ลักขณา ลีละยุทธโยธิน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เซเรบอส (ประเทศไทย) จำกัด คุณวาสนา รุ่งแสนทอง ลาทูรัส เจ้าของแบรนด์ นารายา และคุณสุกัญญา สุวรรณนภาศรี กรรมการบริหาร นัมเบอร์วัน เฮาส์ซิ่ง ดิเวลลอปเมนท์ พร้อมเปิดตัวหนังสือ เมื่อผู้หญิงเป็น “ใหญ่ ” สัมผัสแง่มุมชีวิต ประสบการณ์ทำงานของนักบริหารหญิงเก่งและแกร่งทั้งสาม ที่ไม่สามารถหาซื้อได้ โดยมีหญิงเก่งอย่าง โอ๊ด – ศศิวรรณ์ เลิศวิริยะประภา รับหน้าที่เป็นพิธีกร ในวันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน 2551 เวลา 13.30-15.30 น. ณ Asia Book ชั้น 2 สาขาสยามพารากอน


โดย: jenifaae วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:21:18:21 น.  

 
*สัมมนาพิเศษ หัวข้อ “จุดเปลี่ยนประเทศไทยใครได้เสีย ?”

ประธารเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โฮม มาร์เก็ต ไกด์ ( ไทยแลนด์ ) จำกัด โดย อุทัยวรรณ สมบูรณ์ทรัพย์ เรียนเชิญ กิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ธนาคารทหารไทย จำกัด ( มหาชน ) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เป็นผู้จัดร่วมโครงการสัมมนาพิเศษ หัวข้อ “จุดเปลี่ยนประเทศไทยใครได้เสีย ?” และปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “นโยบายพัฒนาท่องเที่ยวไทยปูพื้นฐาน บูรณาการฟื้นเศรษฐกิจชาติ” โดย ฯพณฯ วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ประธานในพิธี กำหนดจัด ในวันพุธที่ 11 มิถุนายน 2551 เวลา 12.00 น.–17.00 น. ณ ห้องวิภาวดีบอลรูม ซี โรงแรม โซฟิเทล เซ็นทารา แกรนด์ กรุงเทพฯ ( เซ็นทรัล ลาดพร้าว )
ขอเรียนเชิญบรรณาธิการและผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ และผู้สนใจทุกท่าน เข้ารับฟังสัมมนาและร่วมทำข่าว ในครั้งนี้โดยทั่วกันทุกท่านไม่ควรพลาด ฟัง !! ภาครัฐ - ภาคเอกชนคิดอย่างไร? ใครได้อะไร ? จะรับมืออย่างไร? เพื่อทำให้เศรษฐกิจ หมุนเวียน นำธุรกิจหลักมาบูรณาการ....สู่ความสำเร็จการจัดการภาครัฐ - เอกชน ทำให้ประเทศไทย เป็นแหล่งที่น่าลงทุนของชาวโลกให้ได้ในเวลานี้ เพื่อเศรษฐกิจที่ดีในวันหน้า ทุกท่านพลาดไม่ได้ !! เข้ารับฟรีตลอดงานโดยไม่มีค่าใช้จ่าย
วัตถุประสงค์การจัดงาน : เพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดี และการมีส่วนร่วม เพื่อให้ผู้บริหารทั้งภาครัฐ - ภาคเอกชนได้รับทราบข้อมูล กลยุทธ์ธุรกิจ การวางแผน ในภาพกว้างและในเชิงลึก เปิดโอกาสให้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น จากผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เข้ารับฟังการสัมมนา เพื่อนำข้อมูล ที่ได้รับไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อองค์กร

กำหนดการ

เวลา 12.00 น. - ลงทะเบียนแขกผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชน และรับของที่ระลึก
รับประทานอาหารว่างเครื่องดื่ม น้ำชา - กาแฟ
เยี่ยมชมบูธหน้างาน

เวลา 13.00 น. - นำเข้าสู่บรรยากาศงาน / พิธีกรกล่าวทักทาย / แนะนำรายละเอียดภายในงานเวลา 13.10 น. - คุณอุทัยวรรณ สมบูรณ์ทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฯ กล่าวรายงาน เวลา 13.15 น. - พิธีกรนำเข้าสู่การเสวนาพิเศษ “จุดเปลี่ยนประเทศไทยใครได้เสีย?” โดย
ศาสตราจารย์เศรษฐพร คูศรีพิทักษ์
กรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
ศาสตราจารย์ ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์
อธิการบดีสถาบันบัณฑิตย์พัฒนบริหารศาสตร์
ดร.สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์
ประธานกรรมการ ธนาคารทหารไทย จำกัด ( มหาชน )
คุณวันเสด็จ ถาวรสุข
รองผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

เวลา 15.30 น. - ปาฐกถาพิเศษ โดย ฯพณฯ วีระศักดิ์ โควสุรัตน์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ประธานในพิธี
หัวข้อ “นโยบายพัฒนาท่องเที่ยวไทยปูพื้นฐานบูรณาการฟื้นเศรษฐกิจชาติ”

เวลา 16.30 น. - ถามตอบปัญหา จากผู้เข้ารับฟังการสัมมนา

เวลา 17.00 น. - คุณอุทัยวรรณ สมบูรณ์ทรัพย์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โฮม มาร์เก็ต ไกด์ ( ไทยแลนด์ ) จำกัด
มอบของที่ระลึกแด่ ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิกิตติมศักดิ์ และผู้ดำเนินรายการรับเชิญ
ถ่ายภาพร่วมกันบนเวที
มอบรางวัลสำหรับผู้เข้ารับฟังการเสวนา

ดำเนินรายการโดย : รศ.ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา
คณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
และ อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ผู้ดำเนินรายการรับเชิญ
กำหนดออกอากาศ - รายการ Money Talk ทาง True Vision 08
- รายการ Money Talk Money Channel ทาง True Vision 80
- รายการ Money Talk ทาง Nation Channel
- รายการ Money Talk ทาง ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์
( วัน / เวลา แพร่ภาพประกาศให้ทราบภายในงาน )

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม และสำรองที่นั่งได้ที่
ฝ่ายจัดงานสัมมนาโครงการพิเศษ
บริษัท โฮม มาร์เก็ต ไกด์ ( ไทยแลนด์ ) จำกัด
โทร. 086-788-4340 / 086-533-8881 แฟกซ์ 02-258-4340
Email : uthaiwan_mppm8@yahoo.com
หมายเหตุ : งานสัมมนาเรียนเชิญผู้สนใจเข้ารับฟังฟรีมีจำนวนจำกัด 300 ที่นั่ง
สำรองที่นั่งภายในวันที่ 10 มิถุนายน 2551





*“เปิดโลกทัศน์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 45 ปี วว. สุขภาพดี...ชีวีสดใส”

ดร.นงลักษณ์ ปานเกิดดี ผู้ว่าการ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวชี้แจงว่า เนื่องในโอกาสคล้ายวันสถาปนาครบรอบ 45 ปี ของ วว. ในวันที่ 25 พฤษภาคม 2551 นั้น เพื่อเผยแพร่ศักยภาพผลงานวิจัยของ วว. โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพให้เป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชน และร่วมเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชวงศ์ไทยทุกพระองค์ ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อคนไทยทั้งแผ่นดินในด้านสุขภาพ จึงได้กำหนดจัดงาน “เปิดโลกทัศน์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 45 ปี วว. สุขภาพดี...ชีวีสดใส” ขึ้น ในระหว่างวันที่ 23-24 พฤษภาคม 2551 เวลา 10.00 – 20.00 น. ณ ห้องประชุมบางกอกคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ โรงแรมโซฟิเทล เซ็นทารา แกรนด์ ลาดพร้าว กรุงเทพฯ โดยได้รับเกียรติจาก นายวุฒิพงศ์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธานในพิธีเปิดงาน ในวันที่ 23 พฤษภาคม 2551 เวลา 9.00 น. สำหรับกิจกรรมต่างๆ ในงาน “เปิดโลกทัศน์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 45 ปี วว. สุขภาพดี...ชีวีสดใส” มีดังนี้

การสัมมนาวิชาการ (วันที่ 23 พ.ค. 2551 เวลา 8.00-16.30 น. ณ ห้องบางกอกคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ ชั้น 5) ประกอบด้วย *การปาฐกถาพิเศษ “คือแสงแห่งรุ้งงาม คือความห่วงใย สุขภาพคนไทยทั้งแผ่นดิน” โดย นายแพทย์ประมุข จันทวิมล เลขาธิการมูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) *การบรรยายเรื่อง “นโยบายสุขภาพแห่งชาติ : รัฐ...จัดให้ คนไทย สุขภาพดี ชีวีสดใส” โดย นายวิสุทธิ บุญญะโสภิต ผู้เชี่ยวชาญสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ *การบรรยายเรื่อง “ Global Trend in S&T (Science and Technology) for Healthyand Happy Life” โดย Mr. VIVEK DHAWAN CEO/President, Mega Lifesciences Ltd. (formerly Medicap Ltd.), Thailand

*การบรรยายเรื่อง “ ชีวิตสดใส...แม้สูงวัยก็ไม่หวั่น” โดย รศ.ดร.วีณา เชิดบุญชาติ ประธานบริษัททรินิตี้ เรดิโอ 97.0 MHz. นักจัดรายการวิทยุ ผู้เขียนหนังสือพลังดอกไม้ หนังสือปลูกผักไทยได้ทั้งอาหารและยา และผู้บริหาร “ศาลาสมุนไพร” *การอภิปรายเรื่อง “วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อสุขภาพดี..ชีวีสดใส” ในหัวข้อต่างๆ ดังนี้ *สุขภาพดี...สดใส....แสนสวย...ด้วยวิทยาศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่ โดย นายแพทย์สุพจน์ สัมฤทธิวณิชชา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลยันฮี *เมนูสุขภาพดี...ชีวีสดใส โดย นายชาลี อมาตยกุล ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์บริษัทเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) วิทยากรพิเศษ คอลัมนิสต์ และผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ *กินอย่างไร...ห่างไกลโรค โดย นายสง่า ดามาพงษ์ นักวิชาการสาธารณสุข 9 ชช (โภชนาการ) กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข *แนวทาง.....สร้างสรรค์สื่อ เพื่อสุขภาพและความงาม โดย วิทยากรจากภาคเอกชน และได้รับเกียรติจาก ดร.นิลวรรณ เพชระบูรณิน สมาชิกวุฒิสภาและอดีตกรรมการบริหาร วว. เป็นผู้ดำเนินรายการ

การฝึกอบรมอาชีพ...ฟรี! (วันที่ 24 พ.ค. 2551 เวลา 9.00-16.00 น. ณ ห้องพลาซา 4 -7 ชั้น 4)
โดยมีหลักสูตรที่น่าสนในดังนี้ *การอบรมเรื่อง “อาหารปลอดภัย ต้องเข้าใจ GMP” โดย นางกอบกุล มโนตั้งวรพันธ์ และวิทยากรสำนักรับรองระบบคุณภาพ วว. *การอบรม “ชีวิตพอเพียง...ด้วยผักและพืชไร้ดิน” โดย ดร.ราเชนทร์ วิสุทธิแพทย์ และคณะวิทยากร วว. *การอบรม “น้ำสลัดเพื่อสุขภาพ : อาหารเพื่อสุขภาพดี...ชีวีสดใส” โดย นางวิมลศรี พรรธนะประเทศ และคณะวิทยากร วว.


นิทรรศการ “เทคโนโลยี วว.” ได้แก่
*นวัตกรรม วว. สู่อุตสาหกรรม แสดง/สาธิตนวัตกรรมอัลตราโซนิกส์ล่าสุด อาทิ เครื่องล้างผักผลไม้ปลอดสารพิษ เครื่องนวดกายภาพบำบัด เครื่องผสมสาร จักรอัลตราโซนิกส์ นวัตกรรมด้านอาหาร อาทิ เครื่องแยกกากมะขาม เครื่องทอดอเนกประสงค์ เครื่องปั่นแยกสาร ฯลฯ
*ความรู้สู่ธุรกิจอุตสาหกรรม พบกับผลิตภัณฑ์งานวิจัยที่นำไปผลิตเชิงพาณิชย์ เช่น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร TISTRAMIN ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารปรับภูมิคุ้มกันจากพุงทะลาย “Scamulan” ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารป้องกันโรคตับ “Livetal” และผลิตภัณฑ์จากสาหร่ายมุกหยก ฯลฯ และพบกับผลงานวิจัยที่พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยี อาทิ เครื่องดื่มเสริมสุขภาพ โพรไบโอติก ชุดผลิตก๊าซหุงต้มจากเศษอาหาร อุปกรณ์การแพทย์ และเครื่องจักรนวัตกรรมเพื่อ SMEs ไทย เทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว ฯลฯ
*ว&ท เพื่อเศรษฐกิจพอเพียง ชมความสำเร็จของ วว. ที่นำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง เช่น เทคโนโลยีบล็อกประสาน การพัฒนาปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูง บรรจุภัณฑ์สินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชนและท้องถิ่น
*บริการ ว&ท เพื่ออุตสาหกรรม ให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการ ด้วยการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพิ่มศักยภาพในการผลิต เสริมประสิทธิภาพการแข่งขันให้ทัดเทียมกับคู่แข่งในตลาดโลก
* พืช...ชนิดใหม่ของโลก โชว์พรรณไม้ชนิดใหม่ของโลก ที่ค้นพบโดยนักวิจัยของ วว. อาทิ มหาพรหมราชินี จำปีสิรินธร จำปีช้าง และอย่าพลาด!!! เลือกซื้อพรรณไม้ชนิดใหม่ของโลก เพื่อปลูกเป็นไม้ประดับ ร่วมอนุรักษ์พรรณไม้ไทยอย่างยั่งยืน
*ห้องเรียนวิทยาศาสตร์สำหรับเยาวชน...โฉมใหม่ สนุกสนานกับกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในรูปแบบใหม่ ที่น้องๆ หนู จะได้สัมผัสกับการทดลองทางวิทยาศาสตร์ด้วยตัวเอง ได้แก่ตะลุยกลิ่นหอม …เรียนรู้เรื่อง “น้ำมันหอมระเหย” จากพืชสมุนไพรไทย การดมกลิ่นพืชชนิดต่างๆ การผสมกลิ่น การแยกกลิ่น และการเปรียบเทียบกลิ่นของน้ำมันที่สกัดกับกลิ่นของพืชที่ยังไม่ได้สกัดจากธรรมชาติและการสังเคราะห์ มหัศจรรย์ต้นไม้ในขวดแก้ว...ตื่นตาตื่นใจกับการโชว์พืชในขวดแก้วหลากหลายสายพันธุ์ พร้อมลงมือฝึกปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อแบบง่ายๆ ด้วยตัวเอง
*เทคโนโลยีจากต่างประเทศ ติดตามความก้าวหน้าทาง S&T จากพันธมิตรของ วว. ในต่างประเทศ อาทิ เทคโนโลยีจากสหพันธรัฐรัสเซีย ประเทศญี่ปุ่น และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน เป็นต้น
*จำหน่ายผลิตภัณฑ์งานวิจัย/สิ่งพิมพ์ เลือกซื้อเครื่องดื่มเสริมสุขภาพ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อาหารเพื่อสุขภาพ...ชีวีสดใส พร้อมเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อัลตราโซนิกส์หลากหลายชนิด สิ่งพิมพ์องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในราคาพิเศษ !
วว. ขอเชิญทุกท่านร่วมกิจกรรมในงาน “เปิดโลกทัศน์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 45 ปี วว. สุขภาพดี...ชีวีสดใส” โดยสามารถตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ //www.tistr.or.th และสำรองที่นั่งเพื่อเข้าร่วมสัมมนาและฝึกอบรมวิชาชีพ ได้ที่ ฝ่ายฝึกอบรม วว. โทร. 0 25791121-30 ต่อ 4206 ในวันและเวลาราชการ หรือที่ E-mai l: tistr@tistr.or.th, trainingdpt@hotmail.com


โดย: jenifaae วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:21:18:42 น.  

 
*สัมมนาวิชาการด้านการบรรจุภัณฑ์

กำหนดการ

ใบสมัครการสัมมนา

09.30-12.00 Strategies to successful Packaging Development

13.30-16.30 Global warming & trend of Global Food & Supply Chain

ชื่อ.............................................................ตำแหน่ง.........................................................

บริษัท/สถาบัน.............................................................................................................

ประเภทกิจการ .................................................................................................................

ที่อยู่..............................................................................................................................

..............................................................................................................รหัสไปรษณีย์............................

โทรศัพท์.................................................................โทรสาร...................... อีเมล์.......................................

* ไม่เสียค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมสัมมนา กรุณาสำรองที่นั่งล่วงหน้า โดยส่งใบสมัครทางโทรสาร: 0 2579 7573, 0 2561 4771

ศูนย์การบรรจุหีบห่อไทย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย

จัดสัมมนาวิชาการด้านการบรรจุภัณฑ์

วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน 2551 ห้อง 211-213 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมไบเทค บางนา

ติดต่อสอบถามรายละเอียดและสำรองที่นั่งได้ที่ คุณอรชรี ปรีชาชาญ/คุณกาญจนา ทุมมานนท์

ศูนย์การบรรจุหีบห่อไทย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย

196 ถ.พหลโยธิน จตุจักร กรุงเทพฯ 10900 โทรศัพท์ : 0 2579 0160, 0 2579 5515 ต่อ 3208,3206 โทรสาร : 0 2579 7573, 0 2561 4771

ส่งใบสมัครทางโทรสาร 0 2579 7573, 0 2561 4771 ภายในวันที่ 6 มิถุนายน 2551

หมายเหตุ : ปิดรับสมัครเมื่อที่นั่งเต็ม หลังส่งใบสมัครกรุณาติดต่อทางโทรศัพท์กับเจ้าหน้าที่อีกครั้ง




*จักรพันธุ์ โปษยกฤต ศิลปินชั้นเทพ ต่อลมหายใจศิลปะไทย

วันที่ 04 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11012

โดย เชตวัน เตือประโคน


*บ้านไม้กลางซอยสุขุมวิท 63 หลังนั้น จะยังคงอยู่หรือไม่ ยากเกินกว่าใครจะตอบได้

คอนโดมิเนียมสูงเทียมฟ้า ที่จะสร้างประชิดติดรั้ว อาจทำให้เจ้าของบ้าน รวมถึงคนทำงานที่นี่ ไม่สามารถสร้างงานศิลปะอันเป็นที่รักของพวกเขาต่อไปได้อีก อันเนื่องจากปัญหาเรื่องฝุ่นควัน เสียงอึกทึกครึกโครม ตลอดจนเศษวัสดุต่างๆ ที่ตกหล่นลงมาใส่บ้าน ภาพเขียน งานศิลปวัตถุอาจเสียหาย จนส่งผลให้ต้องย้ายหนีไปอยู่ที่อื่น

เป็นมรสุมครั้งใหญ่ที่ 'จักรพันธุ์ โปษยกฤต' เจ้าของบ้าน บอกว่าหนักหนากว่าทำงานศิลปะเป็นไหนๆ

ตลอดการทำงานกว่า 50 ปี จักรพันธุ์ทำงานที่บ้านหลังนี้

ภาพเขียนของเขาหลายร้อยชิ้น, งานจิตรกรรมฝาผนังที่วัดตรีทศเทพวรวิหาร และวัดเขาสุกิม รวมถึงความรู้ความสามารถในการทำหุ่น เชิดหุ่น เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงการทำงานอย่างจริงจัง สั่งสมประสบการณ์ทางด้านศิลปะมาเต็มเปี่ยม จนใครต่อใครกล้าเรียกเขาได้อย่างเต็มปากว่า 'อาจารย์'

จักรพันธุ์ โปษยกฤต เกิดเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ.2486 ที่กรุงเทพมหานคร จบมัธยมที่โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย ก่อนเข้าศึกษาต่อที่คณะจิตรกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้รับการเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ประจำปีพุทธศักราช 2543 ผลงานของเขามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว จนได้รับการยกย่องว่าเป็น สกุลช่างศิลปะในรัชกาลที่ 9ภาพเขียนของเขาที่อาจเคยผ่านตา คือภาพหญิงสาว หรือนางในวรรณคดีที่อ่อนช้อยงดงาม

เมื่อวันที่ 24 เมษายน พ.ศ.2546 จักรพันธุ์ และลูกศิษย์ ได้ร่วมกันก่อตั้งมูลนิธิ จักรพันธุ์ โปษยกฤต ขึ้น โดยมีจุดมุ่งหมายคือ ทำนุบำรุงศิลปะและศาสนา แต่ว่าในความเป็นจริงแล้ว มูลนิธินี้ได้เป็นที่สร้างงานศิลปกรรมแขนงต่างๆ ด้วย ทั้งงานไทยประเพณีและสากล เพราะนอกจากประธานมูลนิธิคือจักรพันธุ์ จะเป็นช่างเขียนอยู่เองแล้ว ยังมีผู้ร่วมงานลูกศิษย์ลูกหา กลุ่มศิลปินแขนงต่างๆ เป็นจำนวนมากที่ร่วมกันทำงานตามเจตจำนงที่มูลนิธิได้วางไว้

บ้านไม้ในซอยเอกมัยหลังนี้ จึงไม่ใช่เพียงบ้านของจักรพันธุ์ หรือที่ตั้งมูลนิธิเท่านั้น หากแต่ยังเป็นศูนย์รวมมรดกทางวัฒนธรรมของชาติอีกด้วย

ในวันที่ยังไม่มีข้อสรุปเรื่องตึกสูงรั้วติดกับมูลนิธิ ว่าจะ 'สร้าง' หรือ 'ไม่สร้าง'

จักรพันธุ์เปิดบ้าน เปิดใจพูดคุยถึงชีวิตการทำงานทั้งหมดที่ผ่านมา

นี่อาจเป็นชีวิตส่วนตัวบทสุดท้าย ที่บอกเล่า ณ บ้านกลางซอยสุขุมวิท 63 ในวันที่เงาของตึกสูงยังไม่บดบังแสง

- กิจวัตรประจำวันเป็นอย่างไร?

จะตื่นก่อนเวลา คือ ก่อนเจ็ดโมงเช้า อยากตื่นสายเหมือนกันแต่ทำไม่ได้ จากนั้นก็ทานข้าวเช้าประมาณแปดโมงครึ่ง ทานอาหารที่เขาเตรียมให้เรา เสร็จแล้วก็แปรงฟันหลังอาหารทุกมื้อ เพราะหมอฟันเข้มงวดมาก เขาให้ใช้วอเตอร์พิก ซึ่งเป็นน้ำฉีดเข้าไป เนื่องจากฟันเบียดกันมาก แปรงฟันเสร็จถึงได้เริ่มทำงานคือ เขียนรูป

สมัยหนุ่มมีเวลาเขียนรูปมาก แต่เดี๋ยวนี้ มีงานสารพัด ต้องแบ่งเวลา เช่น ต้องช่วยดูงานของเด็กที่ทำงานให้กรมศิลปากร ซึ่งเขารับงานไปทำล่วงเวลา พอเช้าก็เอามาให้ตรวจ เป็นพวกเครื่องแต่งตัวโขน และบางวันเจ้าหน้าที่ของกรมศิลปากรก็จะมาประชุม บางทีกว่าจะได้เขียนรูปก็ปาเข้าไปสิบเอ็ดโมงก็มี หรืออย่างวันพุธ วันเสาร์ วันอาทิตย์ จะไม่ได้เขียนรูปเลย เพราะวันพุธจะมีคนจากกรมศิลปากรมาประชุม วันเสาร์และวันอาทิตย์จะทำการซ้อมหุ่น ก็แล้วแต่วันไป แต่ที่แน่ๆ คือ เวลากินข้าวกลางวันที่นี่ก็จะเที่ยงตรงเป๊ง

- ช่วงบ่ายของวันที่ไม่ได้ทำงานอื่น จะได้เขียนรูป?

ก็จะเป็นวันอื่นที่ไม่ใช่สามวันที่บอก เขียนรูปถึงประมาณหกโมงเย็น พอเลิกมีเด็กมาเก็บพู่กันล้างให้ เก็บไว้ในตู้เย็น จากนั้นลงมาทานข้าวกับเด็กที่มาทำงานที่มูลนิธิ คนที่ไม่ติดธุระก็จะอยู่ทานข้าวเย็นด้วย คุยกันถึงทุ่มครึ่ง เขากลับ ผมก็อาบน้ำอาบท่า ทำงานต่อ เขียนหนังสือบ้าง บางทีก็เขียนรูปติดพันอยู่ก็ทำต่อ สักสามทุ่มครึ่งหรือสี่ทุ่ม ก็จะวางมือ เข้าห้องพระสวดมนต์ทำพิธีแผ่เมตตา ผมมีคติหนึ่งที่ได้จากพระอาจารย์วัดเขาสุกิม คือ ท่านสอนไม่ให้จองเวรผู้รุกราน เบียดเบียน ให้แผ่เมตตาให้ไปสู่ที่ชอบๆ จากนั้นสี่ทุ่มก็จบเรื่อง ดูทีวี สวดมนต์อีกหนบนเตียง นั่งสมาธิ ก่อนนอน

- มีเวลาอ่านหนังสือบ้างไหม?

น้อยลงนะ ถ้าอ่าน ก็เป็นเรื่องที่สนใจอยากรู้ ไม่เหมือนตอนหนุ่มๆ ที่อ่านหนังสือมาก ตอนนี้ที่อ่านก็มีนิตยสารศิลปวัฒนธรรม คุณสำราญ ทรัพย์นิรันดร์ ท่านส่งมาให้ ผมก็จะอ่านเรื่องที่เราอยากรู้ หรืออย่างพลอยแกมเพชร ที่ตัวเองเขียนประจำ ก็จะอ่านเฉพาะเรื่อง ส่วนหนังสือพิมพ์รายวัน ส่วนใหญ่ก็จะพลิกดูผ่านๆ ไม่เหมือนตอนเด็กๆ ที่อ่านทุกหน้าทุกคอลัมน์

ส่วนพวกหนังสือเรื่องสั้น หรือนิยาย หลังๆ มาไม่ค่อยได้อ่าน ผมชอบอ่านเรื่องสั้นของ มนัส จรรยงค์ อ่านตั้งแต่ยังเป็นปกแข็ง เล่มโตๆ หน่อย ซื้อมาเป็นชุด ทุกวันนี้นานๆ ทีก็หยิบมาอ่านได้ ส่วนของคนอื่นๆ ก็มีของหลวงเมือง ของจำลอง ฝั่งชลจิตร แต่ตอนนี้อายุมากขึ้น งานเยอะ ไม่ค่อยมีเวลา การอ่านหนังสือก็น้อยลง

- แรงบันดาลใจในการเขียนรูปมาจากไหน?

อืม...ตอบยากนะ (หัวเราะ) มันก็เกิดขึ้นได้เรื่อยๆ คือค่อยๆ สะสม หรืออย่างเวลาเรียนหนังสือ ซึ่งมีหลักสูตร ก็ไม่ต้องมีแรงบันดาลใจอะไร เพราะเป็นหลักสูตรว่า ตอนนี้ต้องเขียนภาพแลนสเคป ตอนนี้ภาพนู้ด ภาพพอตเทรต อย่างตอนปี 1 ปี 2 ก็เขียนฮาร์ฟนู้ด พอขึ้นปี 5 ก็เป็นภาพนู้ดแบบถอดหมดเลย คือ มันเป็นหลักสูตร ถึงไม่อยากเขียนรูปก็ต้องเขียน อย่างถ้าถามว่าตอนนี้กำลังเขียนรูป 'พระลอ' อยู่ มีแรงบันดาลใจจากอะไร ก็คือ คุณครูสุดจิตร ดุริยะประณีต มาขอให้เขียน เพื่อจะนำไปประกอบปกซีดีเพลงตับพระลอที่ท่านเคยร้องไว้ ซึ่งผมก็ชอบเพลงนี้อยู่แล้ว ก็เลยรับปากเขียนให้

- ภาพเขียนของอาจารย์อ่อนช้อยงดงาม เวลาเขียนนึกถึงอะไร?

นึกถึงของสวยๆ งามๆ นึกถึงอะไรที่หวานๆ (หัวเราะ) อืม...ตอบยากอีกแล้ว ไม่รู้เหมือนกัน คือ อยากให้เป็นอย่างไรก็เขียนอย่างนั้น ภาพเขียนผู้หญิงแต่ละยุค อาจจะเปลี่ยนไปบ้าง ยุคโน้นอาจจะหน้าคมหน่อย ยุคนี้อาจจะหน้าจืดหน่อย แต่อย่างไร คนดูก็รู้ว่าเป็นจักรพันธุ์

- สนใจหุ่นกระบอกตั้งแต่เมื่อไหร่?

อายุ 11 ขวบ ตอนนั้นเรียนอยู่โรงเรียนวชิราวุธ เห็นครั้งแรกในจอทีวีขาวดำ จำได้ว่าเป็นช่อง 4 เป็นการแสดงของคณะคณะครูชื้น (สกุลแก้ว)-นายเปียก ประเสริฐกุล เห็นแล้วชอบเลย ก็คิดทำหุ่นเล่น โดยเอาหอยมาทำหน้า แต่จากนั้น พอมาเรียนต่อที่คณะจิตรกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากรแล้วก็ยังไม่ได้ทำหุ่น เพราะต้องทำงานตามหลักสูตรที่เรียนคือเขียนภาพ กระทั่งเรียนจบ ผมมารู้จักครูชื้นตอนอายุ 30 ปีแล้ว

- ทำไมถึงคิดเปิดการแสดงหุ่นกระบอก?

ไม่ได้คิดปุ๊บปั๊บแล้วทำเลย มันค่อยๆ เข้ามาเอง ตอนแรกครูชื้นให้หัวหุ่นมาก่อน เราก็หัดเชิด เก็บหัวหุ่นไว้ ต่อมามีผู้ใหญ่มาเห็นว่าสวย ก็ขอไปแสดงงานที่สยามสมาคม จัดเป็นงานคอคเลคชั่นของศิลปิน แสดงของสะสมต่างๆ เราเอาหัวหุ่นไปแสดง ผู้ใหญ่ท่านว่า มีหัว ทำไมไม่ทำตัวด้วยล่ะ พอทำเสร็จแล้ว ท่านก็บอกว่าทำไมไม่เล่นด้วยล่ะ เราเองก็เชิดหุ่นได้ จึงกลายเป็นการแสดงเลย ตอนนั้นท่านผู้หญิง ม.ร.ว.สำอางวรรณ ล่ำซำ ท่านเป็นกรรมการสมาคมแม่บ้านอาสา ท่านว่า ถ้าเราจะแสดง สมาคมแม่บ้านอาสาจะจัดให้ จึงได้เปิดแสดงครั้งแรกในปี 2518 ที่โรงละครแห่งชาติโรงเล็ก เรื่องพระอภัยมณี ตอนหนีนางผีเสื้อสมุทร ตอนนั้นสมเด็จพระเทพฯเสด็จฯด้วย ในการแสดงครั้งนั้นครูชื้น ซึ่งเป็นครูที่สอนเรา เชิดหุ่นนางผีเสื้อสมุทรร่วมแสดงด้วย

- เรียนรู้เรื่องหุ่นอย่างไร?

จากครูชื้น สกุลแก้ว, จากครูวงษ์ รวมสุข ซึ่งเป็นครูของผม และตัวเองก็ได้มีโอกาส ซ่อมหุ่นหลวงในปี 2539 ให้กับพิพิทธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร ซึ่งเป็นหุ่นโบราณ หุ่นหลวงไม่เหมือนหุ่นโจหลุยส์นะ คือ ตอนนั้นกรมศิลปากรเขาจะซ่อมแซมหุ่น โดยได้ขอการสนับสนุนจากบริษัทปูนซิเมนต์ไทย ให้ทุนมาซ่อมแซม เราเองก็ได้เข้าไปซ่อมตรงนี้ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับหุ่น เรื่องเส้นสายต่างๆ ในตัวหุ่น

สิบปีต่อมา ก็ได้มีโอกาสซ่อมหุ่นวังหน้าอีก หุ่นวังหน้าจะตัวเล็กๆ คล้ายหุ่นหลวง แต่ตัวเล็กกว่า ในการซ่อมหุ่นหลวงและหุ่นวังหน้านี้เอง ได้ความรู้จากเส้นสายในตัวหุ่นมาก ทำให้หุ่นในปัจจุบันของผมสามารถขยับได้เหมือนจริงมากขึ้น อย่างหุ่นพระสุพรรณกัลยา ในเรื่องตะเลงพ่าย นี้ก็ได้ความรู้จากการซ่อมหุ่น สามารถทำให้นิ้วจีบรำอย่างละครได้

- เรื่อง ตะเลงพ่าย เตรียมการแสดงมานาน?

ตั้งแต่ปี 2533 ค่อยๆ ทำมาเรื่อยๆ หลังจากที่เราเคยจัดแสดงหุ่นกระบอกมาแล้ว 3 ครั้ง คือ ครั้งแรก ปี 2518 เรื่องพระอภัยมณี ตอนหนีนางผีเสื้อสมุทร ครั้งที่สองปี 2520 คือ เรื่องรามเกียรติ์ ตอนนางลอย และครั้งที่สามปี 2532 คือ เรื่องสามก๊ก พอปี 2533 ก็เตรียมเรื่องตะเลงพ่ายต่อเลย ตอนนี้ก็ 18 ปีแล้ว ใกล้สมบูรณ์เปิดแสดงได้แล้ว

ตอนที่คิดทำตะเลงพ่าย เนื่องจากมีโอกาสได้ซ่อมหุ่นดังที่กล่าวมาแล้ว ทำให้ได้ความรู้เกี่ยวกับหุ่นเยอะ เคยคิดจะทำหุ่นให้เป็นคน คือ มีแขน มีขา แต่พอคิดอีกที ครูของผม คือครูชื้น และครูวงษ์ เป็นครูหุ่นกระบอก ก็เลยขอทำหุ่นอย่างที่ครูให้ความรู้ไว้ดีกว่า ซึ่งรู้สึกว่าตัวเองคิดไม่ผิด เพราะหุ่นกระบอกสามารถพัฒนามาเรื่อยๆ ได้ อย่างหุ่นพระนเรศวรกำมือถอดดาบจากฝัก หรือจับคนโทเทน้ำ แล้วมีน้ำไหลออกมาจริงๆ นี่ก็คิดกันมาเรื่อยๆ ค่อยเป็นค่อยไป

- ใช้หุ่นและคนเชิดเยอะไหม?

กว่า 200 ตัว นี่ยังไม่รวมอุปกรณ์ประกอบฉากอื่นๆ อีกนะ ส่วนคนเชิดประมาณ 20 คน ผลัดกันเชิด บางทีเชิดหุ่นทหารไทยเสร็จ ก็ต้องเปลี่ยนมาเชิดหุ่นทหารพม่า อย่างผมนี่เชิด 4 ตัว คือ เชิดไหว้ครู หุ่นพระสุพรรณกัลยา แล้วก็เชิดหุ่นพระนเรศวรมหาราช หุ่นพระอุปราชาก็เชิด คนเชิดหุ่นนี่ไม่ได้รับสมัครจากไหน ส่วนใหญ่ก็มาเอง ค่อยๆ เข้ามา เป็นคนที่เคยร่วมบุญกันมา อย่างน้องคนหนึ่ง เขาเป็นคนเขียนจิตรกรรมฝาผนังที่โบสถ์วัดตรีทศเทพวรวิหาร แฟนเขามารับทุกวัน บ่อยเข้าเราก็ชวนมาปักเครื่องแต่งกายให้กับหุ่น จากนั้นก็มาเรียนเชิด ก็เลยกลายมาเป็นคนเชิดหุ่นเรื่องนี้ไป มันจะเป็นอย่างนี้ คือค่อยๆ เข้ามา

- งานจิตรกรรมฝาผนัง เขียนอยู่ที่ไหนบ้าง?

ตอนนี้ทำอยู่ 2 ที่ พร้อมๆ กัน คือที่ วัดตรีทศเทพวรวิหาร และวัดเขาสุกิม จ.จันทบุรี โดยที่วัดตรีฯนั้นเริ่มเขียนก่อน คือ ตั้งแต่ปี 2533 ความจริงเราตั้งใจจะทำที่วัดเขาสุกิม จ.จันทบุรี ซึ่งเป็นวัดของครูบาอาจารย์ก่อน แต่พอดีวัดตรีฯเข้ามาขอให้เขียนให้ ก็เลยส่งเด็กไปเขียน จากนั้นพอปี 2547 ก็ส่งเด็กที่เขียนที่วัดตรีฯ 2 คน ไปเขียนที่วัดเขาสุกิม สร้างบ้านให้เขาอยู่เสร็จสรรพ ซึ่งที่วัดนี้เราออกเงินทำเอง เพราะเราอยากทำบุญ ตอนนี้ก็ห้าปีแล้ว งานคืบหน้าระดับหนึ่ง แต่ยังไม่เท่าวัดตรีฯ ที่วัดเขาสุกิม จ.จันทบุรี ภาพจะสวยมาก เพราะช่างของเราค่อนข้างจะชำนาญแล้ว อาจจะเนื่องจากว่าได้เขียนซ้อมมือที่วัดตรีฯมาก่อน

- ยังมีเรื่องที่อยากจะทำอีกไหม?

ก็อยากทำพิพิธภัณฑ์เต็มรูปแบบ หากมีเงินสนับสนุนพอ ซึ่งตอนนี้ก็พอเป็นรูปเป็นร่างบ้างแล้ว จะจัดแสดงผลงานที่บ้านหลังนี้ เปิดให้คนทั่วไปได้เข้ามาชม อีกเรื่องคือ อยากมีโรงแสดงหุ่นที่เป็นมาตรฐาน ซ้อมให้คนดู หรือแสดงให้คนดูจะได้สะดวกขึ้น ทุกวันนี้ซ้อมและแต่งตัวด้านบน พอเปิดให้คนดู ก็ต้องลงมาด้านล่าง ซึ่งที่ก็คับแคบ

ทั้งหมดที่ทำ ด้วยคิดว่า ศิลปะยืนยาว แต่ชีวิตสั้น แม้เราจะหาไม่ไป แต่ศิลปะยังอยู่ ที่มูลนิธิ ที่บ้านหลังนี้ก็ยังเป็นสถานที่ให้คนที่สนใจได้เข้ามาศึกษา

- คาดว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์เต็มรูปแบบเมื่อไหร่?

ก็เป็นเรื่องของอนาคตอีกนั่นแหละ (หัวเราะ) คาดว่าคงจะหลังจากเสร็จการแสดงหุ่นกระบอกเรื่องตะเลงพ่าย ตอนนี้เอาให้เรื่องนี้จบไปก่อน อีกอย่างยังไม่คิดไกล เพราะตอนนี้เราเจอมรสุมใหญ่ คงต้องทำให้ตัวเองมีกำลังใจในทุกวัน ฝ่าฟันอุปสรรคนี้ไปให้ได้ก่อน ค่อยๆ ทำไป ด้วยกำลังใจของกัลยาณมิตรที่มีให้ ถามว่าวิตกไหม ก็วิตกบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับโวยวาย ค่อยๆ ทำไปให้ดีที่สุด ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ซึ่งตอนนี้ก็คือ การเขียนรูป เขียนหนังสือ ทำหุ่นกระบอก และทำบุญ

- ถ้าอาจารย์ไม่อยู่แล้ว คิดว่ามูลนิธิจะเป็นอย่างไร?

เชื่อว่ามูลนิธินี้ก็จะยังอยู่ เพราะเรามีเด็กที่ทำงานกับเราต่อเนื่องไม่เคยขาด ไม่ค่อยห่วงเท่าไหร่ คิดว่ายังมีงานให้ทำต่อเนื่อง เราตั้งมูลนิธิมาห้าปี ก่อนหน้านี้ยังไม่เป็นมูลนิธิก็ยังมีหน่วยงานต่างๆ หยิบยืมวัตถุดิบที่เรามีไปใช้ เช่น ขอรูปเขียนไปพิมพ์ ขอหุ่นไปเล่น พอเราตั้งมูลนิธิขึ้นมาเอง เรามีวัตถุดิบทั้งรูปเขียน ทั้งนักดนตรี ทั้งหุ่น และคนเชิดหุ่น

คิดว่าจะยังมีงานให้เด็กๆ ได้ทำต่อไป

หน้า 17


โดย: jenifaae วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:21:19:06 น.  

 
*การจัดแสดงแสง เสียง เล่าขานถึงวัดสามแผ่นดิน

ทั้งนี้ในปี 2551 เป็นปีแห่งการสมโภชพระอารามหลวงวัดยานนาวาครบ 240 ปี จึงมีการจัดแสดงแสง เสียง เล่าขานถึงวัดสามแผ่นดินแห่งนี้เป็นครั้งแรก พร้อมเปิดให้ประชาชนได้ชมทุกวันวันละ 2 รอบ ในเวลา 19.00 น. และ 20.00 น. ตั้งแต่วันที่ 24 พ.ค.-15 มิ.ย. 2551 โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย พร้อมทั้งมีกิจกรรมสวดมนต์เย็น ฟังธรรมเทศนา มหาชาดกสิบชาติพระพุทธเจ้า

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมมหาพุทธบูชาเริ่มตั้งแต่วันวิสาขบูชาโลกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 ไปจนถึงวันวิสาขบูชาโลก พ.ศ. 2552 ประกอบด้วย 1.งานวิสาขมหาพุทธบูชา 2.งานอาสาฬหมหาบูชา 3.งานเข้าพรรษา วัสสูปนายิกา มหาพุทธบูชา 4.งานทอดกฐินพระราชทาน 5.งานมหาพุทธบูชาในวันลอยกระทง 6.งานมหาพุทธบูชาในวันขึ้นปีใหม่ 7.งานมาฆมหาพุทธบูชา ปี 2552 8.งานมหาสงกรานต์ปี 2552 9.งานวิสาขมหาพุทธบูชาปี 2552

และยังมีกิจกรรมพุทธศาสนาที่เยาวชนสามารถเข้ามา มีส่วนร่วมจัดโดยกระทรวงศึกษาธิการ จัดการแข่งขันประกวดสวดมนต์ทำนองสรภัญญะ สรรเสริญคุณพระรัตนตรัย และคุณบิดามารดาระดับประเทศด้วย

ไฮไลต์สำคัญของงานนี้ คัดเลือกศิลปินธรรมทูต ผู้นำในการเผยแผ่ความรู้ด้านธรรมะ และพระพุทธศาสนาเพื่อชักชวนให้ประชาชนเข้าวัดตลอดเวลา แม้จะเป็นเวลาหลังเลิกเรียน หลังเลิกงาน รวมถึงได้รับความรู้ทางธรรมไปใช้ในชีวิตประจำวัน ปีนี้ศิลปินธรรมทูต แอน ทองประสม, สู่ขวัญ บูลกุล, ภัทรพล ศิลปาจารย์, เขมนิจ จามิกรณ์, ธนพร แวกประยูร

กิจกรรมสมโภชพระอารามหลวง 240 ปี วัดยาน นาวาในฐานะวัดมหานิกาย มุ่งหวังให้เหล่ากิจกรรมทางพุทธศาสนาช่วยจรรโลง กล่อมจิตใจเหล่าพุทธศาสนิกชนบริสุทธิ์ ร่มเย็น อันเป็นหนทางแห่งการพ้นทุกข์ ดั่งกับสัญลักษณ์ของวัด "สำเภาเจดีย์" ที่จะนำพา มนุษยชาติข้ามโอฆะสงสารไปสู่นิพพาน ให้จงได้.





*ข้อควรรู้เกี่ยวกับบริการอินเตอร๋เน็ตความเร็วสูง?

ขอแนะนำข้อควรรู้สำหรับผู้ใช้บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ADSL (Broadband Internet) ของทุก ISP เพื่อให้ทราบข้อมูลที่ชัดเจน ก่อนตัดสินใจติดตั้ง และสามารถนำข้อแนะนำนี้ไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง


1.อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง หรือ ADSL (Asymmetrical Digital Subscriber Line) เป็นบริการแบบ แชร์สปีด (Shared Speed,bps) ซึ่งความเร็วที่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ใช้บริการในขณะนั้น
ดังนั้นหากเวลาใดมีผู้ใช้พร้อม ๆ กันเป็นจำนวนมาก ความเร็วจะลดลง ในช่วงเวลาที่เครือข่าย Broadband หนาแน่น เช่น วงเวลา 18.00-24.00 น. หรือการ Download file ขนาดใหญ่พร้อมกัน รวมทั้งการ Download จากเว็บไซด์ต่างประเทศ อาจจะทำให้ความเร็วของ Internet ลดลงมาก โดยเหตุนี้จึงไม่สามารถรับรองความเร็วที่แน่นอนได้

2.ความเร็วที่ให้บริการ เป็นความเร็วในการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการและโครงข่ายของผู้ให้บริการ ไม่ใช่ความเร็วในการเข้าเว็บไซด์ หรือ Download ข้อมูล

3.ความเร็วในการเข้าเว็บไซด์ หรือ Download ข้อมูล ที่แท้จริง อาจจะต่ำกว่าความเร็วสูงสุดในการเชื่อมต่อ ที่ขอใช้บริการ มีปัจจัยหลัก ดังนี้

3.1 เว็บไซด์ที่มีผู้เข้าเยี่ยมชมเป็นจำนวนมากพร้อม ๆ กัน หรือเว็บไซด์ที่อยู่ต่างประเทศและผ่านหลายเว็บไซด์

3.2 สภาพและระยะทางของสาย Cable และอุปกรณ์ภายในสถานที่ของผู้ใช้บริการ เก่าเกินไป Modem,Router,Splitter,สายเชื่อมต่อ และ ปลั๊ก

3.3 สภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการมีสมรรถนะไม่สูง มีไวรัส หรือไม่มีการ Clear Up เครื่องคอมพิวเตอร์ อย่างสม่ำเสมอ

3.4 สภาพการใช้งานโครงข่าย (Traffic) เช่ม มีการใช้งานหนาแน่นมากในช่วงเวลานั้น หรือโครงข่ายได้รับความเสียหาย จากสาเหตุต่าง ๆ ฯลฯ

4.ข้อควรรู้ข้างต้นทั้งหมดใช้กับสภาพปัจจุบัน ดังนั้น หากมีการเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์ ระบบ หรือเทคโนโลยี ฯลฯ ในอนาคต อาจจะทำให้บางข้อไม่เป็นจริงได้ ก่อนตัดสินใจติดตั้งควรหาข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้ให้บริการรายนั้น ๆ ให้เข้าใจ


โดย: jenifaae วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:21:19:30 น.  

 
*การบริจาคกระดูกและเนื้อเยื่อเพื่อการแพทย์

ศูนย์เนื้อเยื่อชีวภาพกรุงเทพฯ ในพระอุปถัมภ์ฯ
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
สำนักงาน: อาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 14 - 15 คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
2 ถนนพรานนก แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ 10700
โทรศัพท์0 2419 7000 # 4501, 4545 - 7 โทรสาร 0 2419 7000 # 4504

*ศูนย์เนื้อเยื่อชีวภาพกรุงเทพฯ ในพระอุปถัมภ์ฯ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
เป็นอีกหนึ่งความหวังที่จะช่วยผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกและเนื้อเยื่อ ความเจ็บป่วย ทุกข์ทรมาน ร่างกายของผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกและเนื้อเยื่อ
ในประเทศนับวันจะเพิ่มจำนวนมากขึ้น และมีจำนวนไม่น้อยที่จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดรักษา
การบริจาคกระดูกและเนื้อเยื่อเพื่อการแพทย์
1. การบริจาคกระดูกและเนื้อเยื่อไม่ยุ่งยากอย่างที่คิด
ประชาชนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าการบริจาคส่วนของร่างกายเป็นเรื่องยุ่งยากและเสียเวลา แต่ถ้าหากท่านหยุดคิดสักนิดหนึ่งแล้วจะรู้ว่า
มีผู้ป่วยอยู่เป็นจำนวนมากที่รอคอยความช่วยเหลือจากท่าน
“เรามาบริจาคกระดูกและเนื้อเยื่อ เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์กันเถอะค่ะ”


2. ความสำคัญของการบริจาคกระดูกและเนื้อเยื่อ
กระดูกและเนื้อเยื่อที่ได้รับบริจาคจากผู้มีจิตกุศลนั้น มีความสำคัญต่อชีวิตผู้ป่วยเป็นอย่างยิ่ง ทั้งทางด้านสุขภาพและความเป็นอยู่
สามารถทำให้ผู้ป่วยเหล่านั้นกลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุข และไม่เป็นภาระแก่ครอบครัว

3. สิ่งที่ต้องปฏิบัติหลังผู้อุทิศเสียชีวิต

.• ต้องแจ้งไปยังศูนย์เนื้อเยื่อฯ ภายใน 24 ช.ม. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0 2419 7000 # 4501, 6795 - 6
• ห้ามฉีดฟอร์มาลีนแก่ร่างผู้บริจาค

4. การบริจาคกระดูกและเนื้อเยื่อเพื่อปลูกข้ามคนท่านเป็นอีกผู้หนึ่งสามารถทำได้โดย
• ยินยอมบริจาคเมื่อมีญาติเสียชีวิต
• บริจาคโดยการลงทะเบียนเป็นสมาชิกด้วยตนเองตามแบบฟอร์ม ผู้บริจาคและส่งกลับไปยังศูนย์เนื้อเยื่อฯ




*6 อัศวินช่วยลดไขมันในเส้นเลือด
//www.oknation.net/blog/fattystory

ร่างกายของคนเราสามารถสร้างคอเลสเตอรอลได้เองอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าเรารับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดก็จะมีสูงขึ้นตามไปด้วย เสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดอุดตันและหัวใจวายแน่นอน อาหารบางอย่างมีคุณสมบัติช่วยควบคุมคอเลสเตอรอลได้เป็นอย่างดีเยี่ยม 6 อัศวินตัวสำคัญนั้นคือ มะเขือต่างๆ, หอมหัวใหญ่ๆ, กระเทียมใหญ่ๆ, ถั่วเหลืองๆ, แอปเปิ้ล, และโยเกิร์ต

วันใดมื้อใดที่คุณมีเมนูอาหารซึ่งอุดมไปด้วยไขมันมากๆ ก็ควรรับประทานอัศวิน ตัวหนึ่งตัวใดเพื่อควบคุม ไขมัน เช่น เมื่อรับประทานแกงกะทิที่มันๆ ก็ควรรับประทานมะเขือเปราะ หรือมะเขือพวงมากๆ เมื่อรับประทานไข่มากๆ ซึ่งเป็นตัวเพิ่มคอเลสเตอรอลที่น่ากลัวนัก คุณก็ควรรับประทานหอมหัวใหญ่ร่วมกับไข่เจียวหรือไข่ดาวด้วย หรือรับประทานแอปเปิลวันละ 1 ผล ทุก ๆ วัน หรือโยเกิร์ตะวันละ 1 ถ้วย ทุกๆ วัน รับประทานกระเทียมสดๆ เล็กน้อยกับอาหารจานยำ จานคาวต่างๆ เพื่อขับคอเลสเตอรอลออกจากร่างกาย อันเป็นเรื่องที่แสนง่ายดายกว่าการเลิกรับประทานอาหารมันๆ ทุกจานโดยสิ้นเชิง

คุณยังสามารถรับประทานเนย แฮม เบคอน ขาหมู ไข่ หรือ อาหารไขมันสูงจานต่างๆได้ในบางมื้อบางวัน หากเพียงคุณรู้จักรับประทานอาหารอัศวินเหล่านี้เข้าไปด้วย ซึ่งนอกจากจะช่วยลดคอเลสเตอรอลแล้ว อาหาร 6 อย่างนี้ ยังมีคุณค่าของสารอาหารและแร่ธาตุสำคัญที่จะนำประโยชน์สู่ร่างกายของคุณอย่างมากในด้านอื่นๆ อีกด้วย เช่น แอปเปิล หอมใหญ่และโยเกิร์ต ช่วยให้คุณขับถ่ายดี ผิวพรรณสวยงาม เป็นต้น


*อาร์ติโชก ดอกตูมที่กินเป็นผัก รูปลักษณ์แปลก รสดี

การกินอาร์ติโชกโดยทั่วไปนั้น มักเป็นแบบบรรจุในกระป๋อง เป็นอาร์ติโชกดองในน้ำ ในประสบการณ์ของผู้เขียนเอง กินอาร์ติโชกตั้งแต่ปีพ.ศ.2516 ที่สหรัฐอเมริกา ด้วยการหัดทำอาหารฝรั่งจากตำรา อาทิไก่คัสโลต์ (chicken casserole) ซึ่งต้องอบไก่ในครีมเปรี้ยวและใส่อาร์ติโชกดองนี้ด้วย อาร์ติโชกดองหน้าตาเป็นก้อนผักที่มีกลีบเป็นชั้นๆ ซ้อนเรียงกันหลายชั้นมาก สีครีมนวลออกเหลือง เนื้อผักแน่น รสออกมันเปรี้ยวอร่อยยิ่งนัก กินกับเนื้อไก่ ราดน้ำครีมอบ เข้ากันได้อย่างดี นับเป็นอาหารจานโปรดของสมาชิกในบ้านมาจนถึงปัจจุบัน อาร์ติโชกกระป๋องนำเข้าที่ขายในบ้านเราราคาแพงมาก ลูกๆหลานๆก็พากันชอบกินอาร์ติโชกเสียหมด ก็เลยกลายเป็นอาหารจานโปรดที่แสนแพงของครอบครัว

มารู้จักอาร์ติโชกในแง่พฤกษศาสตร์และประวัติอันยาวนาน อาร์ติโชกมีชื่อสามัญทั่วไปว่า globe artichoke มีชื่อทางวิทยาศ่าสตร์ว่า Cymara seolymus เป็นไม้ประเภทล้มลุก วงศ์เดียวกันกับดอกทานตะวัน มีสองสายพันธุ์คือ พันธุ์ใบเขียวและพันธุ์ใบม่วง ดอกออกหน้าตาเหมือนกัน รสชาติเดียวกัน ลำต้นโปร่งไม่สูงนัก ขนาด 50 ซม. ถึง 100 ซม. รอบต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาด 120 ซม.อายุต้นสามารถเก็บเกี่ยวได้ยาวนาน 5-10 ปี การเก็บเกี่ยวต้องเก็บเกี่ยวด้วยแรงคน ต้องเลือกคัดดอกตามอายุที่ต้องการ เมื่อเก็บเกี่ยวจนหมดต้นแล้ว จะตัดต้นช่วงบนทั้งหมดทิ้ง คงเหลือเป็นตอต้นสูงจากพื้นดินสัก 8-10 นิ้วเท่านั้น เพื่อให้ตาใหม่แตกยอดเป็นต้นใหม่ต่อไป อาร์ติโชกชอบอากาศไม่ร้อนจัด ไม่หนาวจัด เย็นกำลังดี ความชื้นพอเหมาะ ดังนั้นที่ราบสูงตามภูเขาจึงเหมาะสำหรับการปลูกอาร์ติโชก เสน่ห์ของผักชนิดนี้อยู่ที่ฐานดอก ซึ่งถูกเรียกว่า 'ใจอาร์ติโชก' (artichoke heart) ฤดูกาลเก็บเกี่ยวผักดอกชนิดนี้ ที่ไม่ใช่ของบ้านเมืองเอเชียหากแต่เป็นที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ในเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม และมีตลอดทั้งปี เพียงแต่ไม่มากเท่าเดือนดังกล่าว ดอกอาร์ติโชกขนาดเล็กขายแบบเป็นผักดอกสด ขนาดใหญ่จำนวนหนึ่งในสี่ นำมาทำใจอาร์ติโชกกระป๋อง มงกุฎอาร์ติโชกแช่แข็ง (artichoke crown)

การกินอาร์ติโชกก็คือการกินดอกที่ยังตูม ตั้งแต่ดอกอ่อน ดอกขนาดกลางไปจนถึงดอกขนาดใหญ่ ซึ่งยังอยู่ในภาวะดอกตูมอยู่ ดอกอาร์ติโชกที่บานนั้นสวยงามเป็นกลีบสีม่วงอมขาว ซึ่งเขาจะปล่อยให้บาน เมื่อต้องการเมล็ดมาขยายพันธุ์

กล่าวกันว่าอาร์ติโชกเป็นพืชถิ่นดั้งเดิมในเขตเมดิเตอร์เรเนียน ที่ปลูกกินกันในปัจจุบันเป็นพันธุ์ที่เริ่มเพาะปลูกในซิซีลี ประเทศอิตาลี สมัยศตวรรษที่ 15 แต่บางกระแสก็บอกว่าเริ่มในแอฟริกาเหนือก่อน นี่เป็นเงื่อนไขข้อหนึ่งที่ครัวอิตาเลียนนิยมกินอาร์ติโชกกัน โดยเฉพาะหมู่ขุนน้ำขุนนาง ต่อมาอาร์ติโชกแพร่หลายพร้อมนางแคเทอรีน เมดิชี แห่งกรุงฟลอเรนซ์ สู่ราชสำนักฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 16 ทำให้เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายของครอบครัวราชสำนักของฝรั่งเศสมาอย่างต่อเนื่อง มีการเพาะปลูกมากในฝรั่งเศส โดยเฉพาะอาร์ติโชกที่ปารีสเคยมีชื่อเสียงจนถึงศตวรรษที่ 20

อย่างไรก็ตามอาร์ติโชกถือเป็นผักดอกเพื่อสุขภาพเพราะมีแคลอรีต่ำ ดอกขนาดใหญ่ มีเพียง 25 แคลอรี ไม่มีไขมัน มีคาร์โบไฮเดรต โฟเลต โปรตีน เส้นใยชั้นดี น้ำตาล โพแทสเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส แคลเซียม ทองแดง สังกะสี วิตามินซี (ค่อนข้างมาก) วิตามินบี 6 วิตามินอี ไนอะซิน ไทอามีน แมงกานีส และโครเมียม


โดย: jenifaae วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:21:20:06 น.  

 
*รู้ค่าของ "ข้าว"

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 6 พฤษภาคม 2551 14:35 น.




ราคาสินค้าเกษตรทั่วโลกกำลังพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทยที่กำลังมีข่าวเรื่องข้าวจะขึ้นราคา น้ำตาลจะขึ้นราคา จนหลายๆ คนเริ่มแตกตื่นและเริ่มกักตุนสินค้าจำเป็นเหล่านี้ไว้ในครัวเรือน กักตุนไว้กินเองก็ไม่ว่าอะไร แต่กักตุนไว้เพื่อขายคนอื่นในราคาแพงๆ นี่เขาเรียกว่าพ่อค้าหน้าเลือด เป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรเลียนแบบอย่างยิ่ง

พูดถึงเรื่องข้าวขึ้นมาก็ต้องบอกว่า สำหรับคนไทยแล้ว "ข้าว" ถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ต่อให้ไปอยู่ในต่างแดนที่ไม่นิยมกินข้าว คนไทยเราก็ต้องหาทางหุงข้าวกินเองให้ได้ อีกทั้งข้าวก็ยังมีความสำคัญในด้านวัฒนธรรมประเพณีไทย เรามีพระแม่โพสพ ซึ่งถือเป็นเทพีประจำต้นข้าวที่ชาวนาต้องเคารพนับถือบูชา ตอนเด็กๆแม่เรามักจะสอนให้กินข้าวให้หมด และไหว้ขอบคุณพระแม่โพสพหลังกินข้าวอิ่มทุกวัน

ข้าวนั้นนอกจากจะให้คาร์โบไฮเดรตเป็นหลักแล้ว ก็ยังมีแร่ธาตุแคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก ใยอาหาร โดยเฉพาะในข้าวกล้องจะมีใยอาหารมากกว่าข้าวชนิดอื่น และให้วิตามินบี 1 บี 2 และ บี 3 น้ำข้าวที่ได้จากการหุงข้าวแบบเช็ดน้ำ สามารถนำมาดื่มแก้ท้องร่วง ปวดท้อง ช่วยขับปัสสาวะ ข้าวตังก้นหม้อจากการหุงข้าวแบบเช็ดน้ำ แล้วข้าวตรงก้นหม้อจะสุกจนเกือบไหม้ติดก้นหม้อ ก็นำไปต้มเป็นน้ำข้าวตัง ดื่มแก้กระหาย บำรุงกำลัง กระตุ้นน้ำย่อยได้ดี ข้าวตอกที่ได้จากการนำข้าวเปลือกคั่วจนเปลือกแตกหลุด ใช้เป็นยาเจริญอาหาร บำรุงกำลัง น้ำนมข้าวในรวงข้าวที่ยังไม่แก่มาบีบคั้นน้ำ แล้วนำมากวนกับน้ำตาลเล็กน้อย ดื่มแก้อ่อนเพลีย แก้ฟื้นไข้ บำรุงกำลังได้เช่นกัน

ในช่วงที่ราคาข้าวกำลังพุ่งสูงขึ้นแบบนี้ คนไทยเราก็ยังต้องกินข้าวอยู่ดี ดังนั้นจะมีอะไรดีไปกว่าการรู้คุณค่าของข้าวด้วยการกินข้าวให้หมดทุกเม็ด และสอนลูกสอนหลานท่องให้ขึ้นใจว่า "ข้าวทุกจาน อาหารทุกอย่าง อย่ากินทิ้งขว้าง เป็นของมีค่า..."


โดย: jenifaae วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:21:20:28 น.  

 
*งานเสวนา "การเคลื่อนไหวของขบวนการประชาชน จาก ขบวนการเสรีไทย(๒๔๘๔ – ๒๔๘๘) สู่ขบวนการนักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชน ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ จนถึงปัจจุบัน"

โดย : สถาบันปรีดี พนมยงค์

การจัดงานวิชาการเพื่อก้าวไปสู่ การจัดงานในวาระครบรอบ ๑๑๐ ปี รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ พ.ศ.๒๔๔๓-๒๕๕๓

สถาบันปรีดี พนมยงค์ ขอเชิญร่วมงานเสวนา ในวาระครบรอบ ๖๓ ปี วันสันติภาพไทย ๑๖ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๘๘ ครบรอบ ๓๕ ปี ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ หัวข้อ :

"การเคลื่อนไหวของขบวนการประชาชน จาก ขบวนการเสรีไทย(๒๔๘๔ – ๒๔๘๘) สู่ขบวนการนักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชน ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ จนถึงปัจจุบัน"

เริ่มเวลา ๑๔.๐๐ น. ฉายวีดิทัศน์ละครหุ่นเสรีไทยเพื่อสันติภาพ

อ่านบทกวี “ภาพรวมประวัติศาสตร์ทางการเมืองของประชาชน” โดย : เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ศิลปินแห่งชาติ

วิทยากรเสวนา :
- ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต
- ศุขปรีดา พนมยงค์ กรรมการสถาบันปรีดี พนมยงค์
- สันติสุข โสภณสิริ กรรมการสถาบันปรีดี พนมยงค์
- อาจารย์จอน อึ๊งภากรณ์ นักพัฒนาองค์กรเอกชน อาวุโส
- ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- ดำเนินรายการโดย : สินธุ์สวัสดิ์ ยอดบางเตย ผู้จัดการสถาบันปรีดี พนมยงค์

วันเสาร์ที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๑

ณ หอประชุมพูนศุข พนมยงค์ สถาบันปรีดี พนมยงค์
๖๕ /๑ ถนนสุขุมวิท ๕๕ (ซอยทองหล่อ) แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร

สอบถามรายละเอียด :
โทรศัพท์ ๐-๒๓๘๑-๓๘๖๐-๑
E-mail : banomyong_inst@yahoo.com
Website : pridiinstitute.com




*เบิกฤกษ์เทศกาลหนังสั้นครั้งที่ 12 ด้วยการดูหนังสั้นมาราธอนกว่า 400 เรื่อง

โดย : มูลนิธิหนังไทยฯ เ

ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติทุกปี ก่อนจะถึงเวลาเทศกาลหนังสั้น (Thai Short Film and Video Festival) มูลนิธิหนังไทยฯ จะจัดการฉายภาพยนตร์สั้นที่ถูกส่งเข้ามาร่วมฉายประกวดในงานทั้งหมด ในงานหนังสั้นมาราธอน ซึ่งในปีนี้มีหนังสั้นมากกว่า 400 เรื่อง ถือเป็นจำนวนหนังสั้นที่ส่งเข้ามามากที่สุดตั้งแต่มีการจัดเทศกาลมา

จากจำนวนหนังสั้นที่สูงขึ้นทุกปีอย่างต่อเนื่องนั้น ชลิดา เอื้อบำรุงจิต ผู้อำนวยการเทศกาลหนังสั้น ได้ให้ความเห็นว่า “ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ การทำหนังสั้นไม่ได้เป็นเรื่องที่ยากลำบากอีกต่อไป คนที่อยากทำไม่จำเป็นต้องเรียนสร้างภาพยนตร์มาก็ได้ ดังนั้น หลายคนจึงหันมาใช้สื่อหนังสั้นเป็นช่องทางในการสื่อสารความคิดของตัวเองที่ต่อสังคมรอบๆ ตัว ถือเป็นสื่อสาธารณะอย่างแท้จริงค่ะ”

งานหนังสั้นมาราธอนปีนี้ จะถูกจัดขึ้นทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่ วันนี้ จนถึงวัน อาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม ศกนี้ ณ ห้องแสดงงาน Asylum ชั้น 3 อาคารอาณารักษ์ สีลม ซอย 3 ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ //www.thaifilm.com หรือ สอบถามได้ที่ 02-800-2716


โดย: jenifaae วันที่: 20 สิงหาคม 2551 เวลา:16:44:07 น.  

 
*การกำหนดเขตแดนบนแผนที่และความสำคัญเชิงประวัติศาสตร์บริเวณปราสาทพระวิหาร

โดย : ภาควิชาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ผู้ที่สนใจเข้าร่วมสัมมนาจัดการความรู้

ภาควิชาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะเกษตรศาสตร์ฯ ได้จัดโครงการจัดการความรู้ เรื่องการกำหนดเขตแดนบนแผนที่และความสำคัญเชิงประวัติศาสตร์บริเวณปราสาทพระวิหารขึ้นในวันที่ 16 กรกฎาคม 2551 เวลา 13.00 น. เป็นต้นไป ณ ห้อง AG 2109 (SLOPE)

กำหนดการ

13:00-13:20 ลักษณะทางกายภาพและสภาพภูมิประเทศของทิวเขาพนมดงรัก ผศ.คณาวุฒิ ศรีประเสริฐ วิทยากร

13:20-13:40 แนวคิดเกี่ยวกับภูมิทัศน์ชายแดน ร.อ. อนุชิต วงศาโรจน์ วิทยากร

13:40-14:00 แนวคิดเรื่องวิวัฒนาการของเขตแดน ร.อ. อนุชิต วงศาโรจน์วิทยากร

- พัก 5 นาที -

14:05-14:25 แนวคิดและความเชื่อขอมเกี่ยวกับปราสาทหิน ผศ.ดร. สรเชต วรคามวิชัย วิทยากร

14:25-14:50 ประวัติความเป็นมาของปราสาทหินในแถบทิวเขาพนมดงรัก ผศ.ดร. สรเชต วรคามวิชัย วิทยากร

14:50-15:15 ประวัติความเป็นมาและความสำคัญของปราสาทเขาพระวิหาร ผศ.ดร. สรเชต วรคามวิชัย วิทยากร

- พัก 5 นาที -

15:20-15:40 ภูมิหลังทางสนธิสัญญาสยาม-อินโดจีนของฝรั่งเศส พ.อ. พยนต์ ทิมเจริญ วิทยากร

15:40-16:10 แผนที่ปักปันเขตแดนที่เกี่ยวข้องกับสนธิสัญญาสยาม-อินโดจีนของฝรั่งเศส พ.อ. พยนต์ ทิมเจริญ วิทยากร

16:10-16:10 สาระสำคัญกรณีคดีปราสาทพระวิหารและสถานการณ์ในปัจจุบัน พ.อ. พยนต์ ทิมเจริญ วิทยากร

16:10-17:00 อภิปราย ตอบข้อซัก-ถาม ของผู้ร่วมเสวนา ดร.กัมปนาท ปิยะธำรงชัย

รายละเอียดเพิ่มเติม kampanart@nu.ac.th







*การทำอาหารเพื่อสุขภาพ : สูตรแห่งรักและกรุณา

โดย : เสมสิกขาลัย สำนักงานอาศรมวงศ์สนิท ภายใต้มูลนิธิเสถียรโกเศศ-นาคะประทีป ขอเชิญท่านเข้าร่วมกิจกรรม การทำอาหารเพื่อสุขภาพ : สูตรแห่งรักและกรุณา

อย่าปล่อยชีวิตไว้กับผู้อื่น
อย่าปล่อยร่างกายให้สุ่มเสี่ยงกับความเจ็บป่วย
อย่าบอกตัวเองว่าไม่มีเวลา
อย่าบอกตัวเองว่าทำไม่เป็น
หยุดคิดสักนิดก่อนพูดว่า “ไม่”
เพราะไม่เช่นนั่น ร่างกายก็จะไม่เหลือเวลาให้เราเช่นกัน

วิทยากร : แม่ยุพิน ทับสีสด
เป็นแม่ครัวอยูที่อาศรมวงศ์สนิท ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๖ อาหารของแม่นั้นอร่อยยิ่งนักเป็นอาหารที่บำรุงหล่อเลี้ยงสุขภาพ ทั้งยังมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

ยามที่แม่เข้าครัว เป็นเหมือนห้วงเวลาพิเศษ เหมือนแม่กำลังสร้างโลก ใบน้อยให้ผู้คนได้พักพิงอาศัย การเข้าครัวของแม่จึงมิใช้แค่ปรุงอาหาร หวกแต่เป็นการปฏิบัติแห่งความเมตตากรุณาอันงดงามยิ่ง ใครที่เคยเข้าครัวกับแม่ย่อมสัมผัสได้ถึงความเรียบง่าย อ่อนหวานและอ่อนน้อมถ่อมตัว และอาหารนั้น ย่อมเป็นภาพลสะท้อนชีวิตทั้งหมดของแม่

อาหารมังสวิรัติสูตรของแม่ยุพินที่ทุกคนจะได้ร่วมกันทำ
แกงส้มผักรวม ต้มซุปข้าวโพด ซุปสาหร่าย สตูว์สลายอัตตา ข้าวผัดทรงเครื่อง ผัดถั่วงอก ผัดผักรวม น้ำพรกอ่อง น้ำสลัดฟักทอง สลัดผลไม้ ข้าวห่อสาหร่าย สุกี้ ไข่ยัดใส้ ผักและดอกไม้ทอด เห็ดหวาน

ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๗ กรกฏาคม ๒๕๕๑

สถานที่ อาศรมวงศ์สนิท คลอง๑๕ อ.องครักษ์ จ.นครนายก


วิทยากร ยุพิน ทับสีสด

บริจาคร่วมกิจกรรม มีรถรับส่งท่านละ ๒,๖๐๐ บาท เดินทางเอง ท่านละ ๒,๓๐๐ บาท

รับสมัคร จำนวน ๒๐ ท่าน

สอบถามรายละเอียดได้ที่
เสมสิกขาลัย สำนักงามอาศรมวงศ์สนิท คลอง๑๕ อ.องครักษ์ จ.นครนายก
อัจฉรา ๐๘๔-๖๖๘-๓๐๐๙ หรือ ๐๘๖-๗๒๒-๑๖๐๐
อาภาภร ๐๘๕-๒๑๕-๔๙๗๗
Email – training@semsikkha.org,ashram@semsikkha.org หรือเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ //www.semsikkha.org


โดย: jenifaae วันที่: 20 สิงหาคม 2551 เวลา:16:44:41 น.  

 
*'ชาญวิทย์'ฟันธงมีปฏิวัติอีกแน่ชี้แนวคิด'ธีรยุทธ'มองการเมืองแง่ร้ายเกินไปแนะจับตาท่าที'หมัก'

'ชาญวิทย์' ชี้แนวคิด'ธีรยุทธ'บอกการเมืองไทยถึงทางตันคิดแง่ร้ายเกินไป ระบุ'พระวิหาร'เป็นหลุมดำระหว่างไทย-กัมพูชา ยันปฏิวัติในไทยยังเกิดขึ้นแน่นอน จับตา'สมัคร' จะเป็นนอมินีหรือไม่
คลิกอ่าน - ทบทวนทิศทางประเทศไทย...โดย ธีรยุทธ บุญมี

ที่รัฐสภา นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอดีตคณบดีคณะศิลปศาสตร์ มธ. กล่าวบรรยายพิเศษหัวข้อ 'การเมืองกับรัฐธรรมนูญ' ตอนหนึ่งว่า สถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ยังมีทางออก ซึ่งแนวความคิดของนายธีรยุทธ บุญมี อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษวิทยา มธ. ที่บอกว่าสังคมไม่มีทางออกนั้น ถือเป็นการมองในแง่ร้ายเกินไป แม้เรื่องปราสาทพระวิหารจะทำให้สังคมอาจถึงทางตัน แต่ปัญหานี้ถือเป็นหลุมดำทางการเมืองระหว่างไทยและกัมพูชามานาน และเราก็อยู่ร่วมมาได้ ทั้งนี้ ตนเห็นว่าความแตกแยกของคนไทยเป็นเรื่องที่น่าห่วงพอๆ กับการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะการเมืองกับรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องที่แยกกันไม่ออก เนื่องจากเนื้อหาของรัฐธรรมนูญจะแฝงด้วยการจำกัดบทบาทของคนบางกลุ่มบางพวกไว้
'ผมจึงอยากให้ทุกคนศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองให้ดี เพราะจะทำให้รู้ว่าการปฏิวัติรัฐประหารในประเทศไทยคงยังต้องเกิดขึ้นอีกแน่นอน' นายชาญวิทย์ กล่าว
นายชาญวิทย์ กล่าวว่า เมื่อไม่นานมานี้คนในแวดวงชั้นสูงเชื่อว่ารัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช จะล้มอย่างแน่นอน เชื่อว่านายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี จะยุบสภา แต่จากการฟังนายสมัครพูดผ่านรายการ 'สนทนาประสาสมัคร' เมื่อวันที่ 27 ก.ค. ซึ่งนายสมัครได้พูดเรื่องภาษาไทยและเรื่องอนุรักษ์นิยมมากขึ้น จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างมาก และต้องติดตามว่าคนชอบเลี้ยงแมวอย่างนายสมัครจะทำอย่างไรต่อไป เพราะสัญชาติญาณของแมวมีความดื้อและไม่ภักดีกับใคร ดังนั้น นายสมัครอาจเป็นนอมินีหรือไม่เป็นนอมินีของใครก็ได้
'ในอดีตสังคมไทยมีลักษณะโดดเด่นอย่างหนึ่ง คือ ฉลาดในการประสานประโยชน์มีความประนีประนอมหรือเกี๊ยะเซี๊ยะสูง แต่พอมาถึงตอนนี้ผมไม่แน่ใจว่าสังคมไทยจะเกี้ยะเซี้ยะกันได้หรือไม่ ไม่แน่ใจว่าตุลาการภิวัฒน์จะสามารถบรรเทาปัญหาทางการเมืองและทำให้เป็นที่พึงพอใจของทุกคนได้หรือไม่' นายชาญวิทย์ กล่าว





*สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯร่วมกับสถาบันอิศรา ขอเชิญฟัง ราชดำเนินเสวนา ครั้งที่ 9/2551

“สถานการณ์การเมืองหลังทักษิณลี้ภัย......คลีคลาย หรือ รบแตกหัก ?”


*วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม 2551 เวลา 10.00-12.00 น.

ณ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ถ.สามเสน ตรงข้าม รพ. วชิระ


วิทยากร

พนัส ทัศนียานนท์

อดีตสมาชิกวุฒิสภา จังหวัดตาก

รศ. ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ

คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกร์มหาวิทยาลัย

ผศ. สิริพรรณ นกสวน

คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ผู้ดำเนินรายการ

ปราเมศ เหล็กเพ็ชร์

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

รายละเอียดโทร. 02-668-9422


โดย: jenifaae วันที่: 20 สิงหาคม 2551 เวลา:16:46:15 น.  

 
* “ก้าวใหม่ในการรักษามะเร็งเต้านม”

สมาคมโรคเต้านมแห่งประเทศไทย ขอเชิญชวนผู้สนใจทั่วไปเข้าฟังการบรรยายเรื่อง “ก้าวใหม่ในการรักษามะเร็งเต้านม” ในวันพฤหัสบดี ที่ 21 สิงหาคม 2551 เวลา 13.30-15.30 น. ณ ห้องจตุรทิศ ชั้น 3 โรงแรมเรดิสัน กรุงเทพฯ (พระราม 9) โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น (รับจำนวนจำกัด 300 ท่านแรก)สำรองที่นั่งที่ คุณนภัสวันต์ ภู่พวง สำนักงานเลขาธิการสมาคมฯ โทรศัพท์ 085-243-3500

การบรรยายในครั้งนี้จะเป็นการให้ความรู้ และสร้างความเข้าใจ สำหรับโรคมะเร็งเต้านมโดยคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งเต้านมจากสถาบันต่างๆ อาทิ เช่น สถาบันมะเร็งแห่งชาติ, โรงพยาบาลรามาธิบดี, วชิระพยาบาล โดยจะมีการบรรยายในหัวข้อที่หลากหลาย เช่น ผู้หญิงส่วนใหญ่มักมีความกังวล ไม่อยากตัดเต้านมออกเลย ไม่ผ่าตัดจะได้หรือไม่? หรือผ่าให้น้อยที่สุดได้หรือไม่ ? ผู้ป่วยจะเจ็บมากไหม ? ถ้าเป็นแผลเป็นจะช่วยได้อย่างไร? การรักษามะเร็งเต้านมน่ากลัวหรือไม่ ซึ่งเป็นหลากหลายความกังวลที่ผู้หญิงกลัว

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ
คุณธนศักย์ อุทิศชลานนท์
ที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์บริษัท คอร์แอนด์พีค จำกัด
โทรศัพท์ 02-439-4600 ต่อ 8202
มือถือ 081-421-5249
อีเมล์ : Tanasaku@corepeak.com




*กายภาพบำบัด ม.มหิดล เชิงสะพานปิ่นเกล้า

ให้บริการ จันทร์ถึงเสาร์ เวลา 09.00-19.00 น. เบิกได้หมดจ้ะ พี่พาแม่ไปใช้บริการ
ศิริราช ตึกศรีสัวาลย์ ต้องพบแพทย์หากนอกเวลาต้องจ่ายค่าแพทย์ครั้งละ 300 บาท เวลา 09.00-12.00 น. กายภาพบริการในเวลาตั้งแต่ 08.00 -16.00น. จ-ศ นอกเวลา จ-ศ.เวลา 17.00-19.00 น. ส-อาทิตย์ เวลา 09.00-16.00น. กายภาพเบิกได้ อุปกรณ์ต่างๆ เบิกได้ตามแพทย์สั่ง

หากต๋อยสนใจลองไปพบนะจ้ะ พี่ไปศิริราช ตึกศรีสังวาลย์ กายภาพ 5 ครั้งแล้ว ดีมาก มีนวด อัลตราซาว แผ่นร้อน แช่พาราฟิน เป็นที่แขนขวา ชาด้านขวา เท้าเอียงทำให้หกล้มบ่อย

พี่ผ่าต้อกระจกตาขวาที่ศิริราชวันอาทิตย์ที่ 3 ส.ค. 2551 เวลา 16.00น. ตอนนี้พักผ่อนอยู่บ้าน ต้องหยอดยาตาทุก 2 ชม. ไปพบแพทย์ทุกวันจันทร์เวลา 18.00 น.พบแพทย์นอกเวลาครั้งละ 300 บาท เบิกไม่ได้ ค่าผ่าตัด 8,000 บาท เบิกไม่ได้ ค่าเวชภัณฑ์เช่นสำลี น้ำเกลือ เบิกไม่ได้ แอลกอฮอล์เบิกได้ ต้องพักฟื้นประมาณ 1 เดือน ห้ามเล่นกับสัตว์เลี้ยง ห้ามสระผม ล้างหน้า 15 วัน ใช้น้ำเกลือเช็ดหน้าวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น




* งาน “ประชุมสุดยอดแนวทางแก้ไขปัญหาเกมในประเทศไทย

กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จัดงาน “ประชุมสุดยอดแนวทางแก้ไขปัญหาเกมในประเทศไทย “DSI Thailand Game Summit” เพื่อให้ความรู้แก่เยาวชน อาจารย์ ผู้ปกครอง รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดแนวทางในการแก้ไขปัญหาเรื่องเกมคอมพิวเตอร์อย่างถูกต้อง ในวันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม 2551 เวลา 08.30-12.30 น. ณ ห้องวิภาวดีบอลรูม บี โรงแรมโซฟิเทล เซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว โดยในงานดังกล่าว จะมีการนำเสนอเกมต่างๆ ที่มีอยู่ในตลาดถึงข้อดี ข้อเสีย ของเกม, การสาธิตเกม GTA และการเสวนาแนวทางการแก้ปัญหาเกม โดย ผู้แทนจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และกระทรวงวัฒนธรรม ผู้สนใจเข้าร่วมประชุม สำรองที่นั่งได้ที่คุณพัณณิน และคุณจารี โทร 02-665-6991 ต่อ 112,104 ภายในวันที่ 13 สิงหาคม 2551




*งานสัมมนาเชิงปฏิบัติการ 'Grid Technology Days 2008'

ขอเชิญทุกท่านเข้าร่วมงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการ 'Grid Technology Days 2008' หรือ Grid Tech 08 ซึ่งศูนย์วิจัยคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงเพื่อการวิจัย สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยรามคำแหง ร่วมกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้จัดขึ้นระหว่าง วันที่ 13-14 สิงหาคม พ.ศ. 2551

รูปแบบของงานในครั้งนี้ เน้นที่กลุ่มผู้ใช้งานด้านวิทยาศาสตร์คำนวณ ในสาขาเคมี ชีววิทยาและฟิสิกส์ รวมถึงด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ การจัดงานครั้งนี้มีลักษณะผสมผสานระหว่างกลุ่มผู้ใช้งานเทคโนโลยี และกลุ่มผู้พัฒนาเทคโนโลยี มีเป้าหมายเพี่อเผยแพร่ความรู้ด้านการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงกับงานวิทยาศาสตร์คำนวณ อีกทั้งงานนี้จะเป็นเวทีที่จะให้นักวิชาการหลายสาขาได้มีโอกาสมาพบปะและแลกเปลี่ยนความรู้กัน ท่านผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้โดย ไม่เสียค่าใช้จ่ายได้ที่ //sila.rd.ru.ac.th/gridtech08/

Seminar Agenda. August 13, 2008.
Room : 502. Sukhothai Building, Ramkhamhaeng University.
Time Description
08:30 - 09:00 Registration
09:00 - 09:10 Opening Ceremony.
09:10 - 09:50 Keynote speech on Current Trends & Technologies in High Performance Computing.
Dr. Chokchai Leangsuksun, Louisiana Tech University, USA.
09:50 - 10:30 Molecular Modeling Software for HPC Reviews.
Dr. Chak Sangma, Kasetsart University.

10:30 - 10:50 Tea Break
10:50 - 11:30 High Performance Computational in Biophysics : introduction to NAMD biophysics simulation software.
Dr. Chalermpol Kanchanawarin, Kasetsart University.
11:30 - 12:10 Computational Chemistry on High Performance System.
Dr. Vithaya Rungpornvisuti, Chulalongkorn University.
12:10 - 13:20 Lunch
13:20 - 14:00 High Performance and Stability Database with Sun MySQL Cluster.
Luchchai Lerchaichanakul, Solution Architect, Sun Microsystems.
14:00 - 14:40 High Performance Computing with Windows HPC Server 2008.
Sawit Soothipunt, Product Manager, Microsoft.
14:40 - 15:00 Tea Break
15:00 - 16:00 Panel Discussion on The Grid Way : how to grow?.
Dr. Ouen Pin-ngern, Ramkhamhaeng University.
Dr. Chokchai Leangsuksun, Louisiana Tech University, USA.
Dr. Korakot Navakhun, Ramkhamhaeng University.


Workshop Agenda. August 14, 2008.
Room : 405, LTB Building, Faculty of Engineering, Ramkhamhaeng University.
Time Description
09.00 – 12.00 Session 1 : Building & Using Lustre File System. (Limit 50 Seats)
Instructor : Kittirak Moungmingsuk (RU-HPCC)
13.00 – 16.00 Session 2 : Multi-thread Programming with MPI || OpenMP || pthread. (Limit 50 Seats)
Instructor : Dr. Chokchai Leangsuksun, Louisiana Tech University, USA.


โดย: jenifaae วันที่: 20 สิงหาคม 2551 เวลา:16:46:50 น.  

 
*“การเมืองไทยในยุคสฤษดิ์-ถนอม ภายใต้โครงสร้างอำนาจโลก”

ขอเชิญฟังการบรรยายเรื่อง

“การเมืองไทยในยุคสฤษดิ์-ถนอม ภายใต้โครงสร้างอำนาจโลก”

ผลงานวิจัยที่ได้รับการสนับสนุนจากทุนปรีดี พนมยงค์ มูลนิธิ 50 ปี ธนาคารแห่งประเทศไทย

โดย

รองศาสตราจารย์ ดร.กุลลดา เกษบุญชู มี้ด
ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

วิจารณ์โดย

รองศาสตราจารย์ ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ
คณบดีคณะศิลปศาสตร์และกีรตยาจารย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

รองศาสตราจารย์ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข
คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

รองศาสตราจารย์ ดร.ธเนศวร์ เจริญเมือง
คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

อาจารย์ ประจักษ์ ก้องกีรติ
คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ดำเนินรายการโดย
อาจารย์ ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์
คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม 2551
เวลา 13.00-16.00 น.
ณ ห้องประชุมจุมภฏ-พันธุ์ทิพย์ อาคารประชาธิปก-รำไพพรรณี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย





*ปราสาทพระวิหาร:concert และบรรยายพิเศษโดย รศ. ดร. ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ

มองทะลุความขัดแย้งผ่านบทเพลงประวัติศาสตร์ ยุค 'เสียดินแดน'
ขับร้องโดย
ชัยชนะ บุญนะโชติ (ศิลปินแห่งชาติ)
ก้าน แก้วสุพรรณ
ชาย เมืองสิงห์ (ศิลปินแห่งชาติ)
แล้วสานสัมพันธ์ไทย-เขมร ผ่านบทเพลงพระราชนิพนธ์ ใน รัชกาลที่ 7
'เขมรละออองค์'
พร้อมเพลงแต่งใหม่ ดนตรีไร้พรมแดน เสียงเครือญาติชาติพันธุ์สุวรรณภูมิ

บรรยายพิเศษ
โดย รศ. ดร. ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ

บรรเลงโดย MUPO
(Mahidol University Pop Orchestra)

วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2551 เวลา 16.00 น.
ที่หอแสดงดนตรี วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา
บัตร 500, 300 และ 100 บาท (นักเรียน/นักศึกษา)

สอบถามรายละเอียดที่ 028002525 ต่อ 154, 155


โดย: jenifaae วันที่: 20 สิงหาคม 2551 เวลา:16:47:37 น.  

 
*“การเมืองไทยในยุคสฤษดิ์-ถนอม ภายใต้โครงสร้างอำนาจโลก”

ขอเชิญฟังการบรรยายเรื่อง

“การเมืองไทยในยุคสฤษดิ์-ถนอม ภายใต้โครงสร้างอำนาจโลก”

ผลงานวิจัยที่ได้รับการสนับสนุนจากทุนปรีดี พนมยงค์ มูลนิธิ 50 ปี ธนาคารแห่งประเทศไทย

โดย

รองศาสตราจารย์ ดร.กุลลดา เกษบุญชู มี้ด
ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

วิจารณ์โดย

รองศาสตราจารย์ ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ
คณบดีคณะศิลปศาสตร์และกีรตยาจารย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

รองศาสตราจารย์ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข
คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

รองศาสตราจารย์ ดร.ธเนศวร์ เจริญเมือง
คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

อาจารย์ ประจักษ์ ก้องกีรติ
คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ดำเนินรายการโดย
อาจารย์ ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์
คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม 2551
เวลา 13.00-16.00 น.
ณ ห้องประชุมจุมภฏ-พันธุ์ทิพย์ อาคารประชาธิปก-รำไพพรรณี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย





*ปราสาทพระวิหาร:concert และบรรยายพิเศษโดย รศ. ดร. ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ

มองทะลุความขัดแย้งผ่านบทเพลงประวัติศาสตร์ ยุค 'เสียดินแดน'
ขับร้องโดย
ชัยชนะ บุญนะโชติ (ศิลปินแห่งชาติ)
ก้าน แก้วสุพรรณ
ชาย เมืองสิงห์ (ศิลปินแห่งชาติ)
แล้วสานสัมพันธ์ไทย-เขมร ผ่านบทเพลงพระราชนิพนธ์ ใน รัชกาลที่ 7
'เขมรละออองค์'
พร้อมเพลงแต่งใหม่ ดนตรีไร้พรมแดน เสียงเครือญาติชาติพันธุ์สุวรรณภูมิ

บรรยายพิเศษ
โดย รศ. ดร. ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ

บรรเลงโดย MUPO
(Mahidol University Pop Orchestra)

วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2551 เวลา 16.00 น.
ที่หอแสดงดนตรี วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา
บัตร 500, 300 และ 100 บาท (นักเรียน/นักศึกษา)

สอบถามรายละเอียดที่ 028002525 ต่อ 154, 155


โดย: jenifaae วันที่: 20 สิงหาคม 2551 เวลา:16:47:38 น.  

 
*สื่อศิลป์เพื่อแผ่นดิน 3 จังหวัดชายแดนใต้

กำหนดการ

“หัวใจแห่งสันติภาพ”

สื่อศิลป์เพื่อแผ่นดิน 3 จังหวัดชายแดนใต้

วันศุกร์ที่ 15 และวันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม 2551

ณ ลานกิจกรรม สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน(พอช.) ถนนนวมินทร์ (45)

เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร

วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม 2551



โซนการเรียนรู้และการรณรงค์

09.00-18.00 น. กิจกรรมการเรียนรู้และรณรงค์ด้านสันติภาพ

กิจกรรมที่ 1 การเขียนข้อความรณรงค์สันติภาพให้เกิดในสังคมบนแผ่นผ้าใหญ่

กิจกรรมที่ 2 การทำโปสการ์ดส่งความหวังดีกำลังใจและความรักให้กับเพื่อนร่วมสังคมและโลก

กิจกรรมที่ 3 การปักผ้าสร้างความสุขกันตนเองและสร้างสันติสุขในสังคม

กิจกรรมที่ 5 ระบายสีบนถุงผ้า หรือถุงย่าม

กิจกรรมที่ 6 ร่วมสร้างเข็มกลัดรณรงค์ด้วยมือของตนเอง

กิจกรรมที่ 7 ตอกกระดาษ เจาะลวดลาย ทำพวงมะโหด

กิจกรรมที่ 8 สานนกด้วยใบลาน

กิจกรรมที่9 สร้างศิลปะจากจินตนาการบนก้อนหิน

กิจกรรมที่ 11 ลูกโป่งลดความรุนแรง

กิจกรรมที่ 13 เขียนภาพรณรงค์ร่วมกัน

กิจกรรมที่ 14 สอยดาวสร้างสรรค์ความสุข

โซนวัฒนธรรมและวิชาการ

13.00-14.00 น. การแสดงดนตรีชนเผ่า เยาวชนคนรักศิลป์ถิ่นภูเขา จ.เชียงราย

14.00-16.00 น. ชวนกันคิด ชวนกันคุย ขวนกันทำ

“สื่อกับการนำเสนอประเด็นสันติภาพ กรณีศึกษา 3 จังหวัดภาคใต้

จะลดความรุนแรงได้อย่างไร?”

สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ คนเล่าเรื่องราวจาก “ฅน ค้น คน”

ฐากูร บุนปาน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ “ข่าวสด”

อธิคม คุณาวุฒิ บรรณาธิการนิตยสาร “way” *

สกุล บุญยทัต นักวิชาการด้านสื่อและสารคดี

จิตกร บุษบา ดำเนินรายการ

16.00-17.00 น. พิธีเปิดงานนิทรรศการ “สื่อศิลป์เพื่อแผ่นดินและสันติภาพ”

กล่าวเปิดงาน

อ.สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ปาฐกถานำความคิดด้านสันติภาพ

เตือนใจ ดีเทศน์/ผู้แทนจากแตร์เดซอม/ผู้แทนภาคีเครือข่ายฯ

ร่วมกันปล่อยนกสันติภาพ

ศิลปินเขียนรูปประกอบการบรรเลงเพลงไวโอลีนของอ.แนบ โสถติพันธุ์

เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ อ่านบทกวีประกอบการเป่าขลุ่ย อ.ธนิศร์ ศรีกลิ่นดี

เปิดนิทรรศการ

17.00-17.30 น. การแสดงละครใบ้

17.30 -18.15 น. การแสดงดนตรีกวีสีสันธรรมชาติ “ศักดิ์ศิริ มีสมสืบ”

18.15-19.00 น. การแสดงดนตรีธรรมะเพื่อสันติภาพ “จีวันแบรนด์”

19.00-20.30 น. ฟังเรื่องเล่าผ่านดนตรี กวี และการต่อสู้เพื่อเรียกร้องสันติภาพจาก คีตาญชลี

วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม 2551

09.00-18.00 น. กิจกรรมการเรียนรู้และรณรงค์ด้านสันติภาพ(เหมือนวันที่ 15 สิงหาคม 2551)

13.00-14.00 น. การแสดงดนตรี

14.00-16.30 น. ร่วมกันค้นหาทางออกด้านสันติภาพของสังคมไทยจากนโยบาย สู่ความเป็นจริง “ศาสตร์และศิลป์มิติแห่งการสมานฉันท์”

ชัยวัฒน์ สถาอานันท์

พงศ์จรัส รวยร่ำ

นารี เจริญผลพิริยะ

นายแพทย์แวมาฮาดี แวมาโอะ*

ธีระ ธัญไพบูลย์ ดำเนินรายการ*

16.30-17.15 น. การแสดงดนตรีชนเผ่า เยาวชนรักศิลป์ถิ่นภูเขา

17.00-17.45 น. การแสดงละคร

17.45-18.30 น. การแสดงดนตรี สินเจริญบาร์เธอร์*

18.30-20.00 น. การแสดงดนตรี อี๊ด ฟุตบาธและครอบครัว

20.00-20.30 น. จุดเทียนแสดงเจตนารมณ์เพื่อแผ่นดินและสันติภาพ

*หมายเหตุ กำหนดการงานวัฒนธรรมอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม

*ห้องเรียนประชาธิปไตย ตอน จักขอต่อรอยฝันจากวันก่อน

กำหนดการกิจกรรม

ห้องเรียนประชาธิปไตย

ตอน จักขอต่อรอยฝันจากวันก่อน

วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ณ ห้องประชุม 14 ตุลา มูลนิธิ 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว กรุงเทพมหานคร


ช่วงเช้า กิจกรรมห้องเรียนประชาธิปไตย


8.00 - 8.20 น. พิธีเปิดโดยผู้จัดการมูลนิธิ 14 ตุลา

8.20 – 9.00 น. กิจกรรมห้องเรียนประชาธิปไตย

9.00 – 9.45 น. กิจกรรมตามหาคนในภาพ

9.45 – 10.30 น. กิจกรรม แฟนพันธุ์แท้ 14 ตุลา

10.30 – 11.30 น. กิจกรรมเสริมสร้างสุขภาวะทางความคิด

ช่วงบ่าย เปิดตัวโครงการและสนทนาวิชาการ

12.20-13.00 น. จัดฉายวีดิทัศน์ 14 ตุลา

13.00- 13.30 น. เปิดตัวกิจกรรมในโครงการขับเคลื่อนสุขภาวะทางสังคมผ่านการเรียนรู้และสืบเจตนารมณ์ 14 ตุลา

13.30-14.30 น. จัดแสดงนิทรรศการ และประติมากรรม

14.30 – 16.00 น. สนทนากับอาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ในหัวข้อ “กิจกรรมคนหนุ่มสาว: อดีต ปัจจุบัน และอนาคต”

16.00 – 18.00 น. ดนตรีวงสลึง จากมหาวิทยาลัยมหิดล


โดย: jenifaae วันที่: 20 สิงหาคม 2551 เวลา:16:48:18 น.  

 
*เวทีสภาผู้บริโภค“ทุกข์ของเรา...ศาลผู้บริโภคช่วยได้หรือไม่”

กำหนดการ
เวทีสภาผู้บริโภค“ทุกข์ของเรา...ศาลผู้บริโภคช่วยได้หรือไม่”
ณ ห้องดอนเมือง แกรนด์บอลรูม ชั้น G โรงแรมอมารี แอร์พอร์ต

วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม 2551 เวลา 08.30-15.30 น.

08.30 – 09.00 น. ลงทะเบียน

09. 00 -09.30 น. กล่าวต้อนรับ

คุณเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ รศ.ดร. จิราพร ลิ้มปานนท์ ประธานมูลนิธิเพื่อผู้บริโภ
นายแพทย์ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม

09.30 – 10.15 น. “เปิด…ศาลผู้บริโภค” (ศาลแผนกคดีผู้บริโภค) โดย คุณชาญณรงค์ ปราณีจิตติ์ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์

10.15 – 12.00 น. เปิด…สภาผู้บริโภค “ทุกข์ของเรา…ศาลผู้บริโภคช่วยได้หรือไม่” (ช่วงที่ 1) คณะผู้ทรงคุณวุฒิ คุณเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ คุณชาญณรงค์ ปราณีจิตต์ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ คุณธีรวัฒน์ จันทรสมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักกฎหมายและคดี(สคบ.) รศ.ดร.สุธรรม อยู่ในธรรม คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กทช.)
คุณสารี อ๋องสมหวัง มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ศ.ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ทำหน้าที่ประธานสภาผู้บริโภค

กลุ่มผู้บริโภคจากบริการประกันภัย

กลุ่มผู้บริโภคจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

กลุ่มผู้บริโภคจากบริการในกิจการโทรคมนาคม

12.00 – 13.00 น. พักรับประทานอาหาร

13.00 – 15.00 น. สภาผู้บริโภค “ทุกข์ของเรา…ศาลผู้บริโภคช่วยได้หรือไม่” (ช่วงที่ 2)คณะผู้ทรงคุณวุฒิ คุณธานิศ เกศวพิทักษ์ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา
นพ.ไพโรจน์ บุญศิริกำชัย ผู้ช่วยเลขาธิการฝ่ายกฎหมายแพทยสภา คุณชัยรัตน์ แสงอรุณ สภาทนายความ
รศ.ดร. วิทยา กุลสมบูรณ์ ผู้จัดการแผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ(คคส.) คุณดำรง พุฒตาล ทำหน้าที่ประธานสภาผู้บริโภค

กลุ่มผู้บริโภคจากผลิตภัณฑ์และบริการสาธารณสุข

กลุ่มผู้บริโภคจากมาตรฐานผลิตภัณฑ์และบริการ

กลุ่มผู้บริโภคจากบริการการเงิน การธนาคาร

15.00 - 15.30 น. -ประกาศเจตนารมณ์ สภาผู้บริโภค

** พิธีกรตลอดการสัมมนา คุณธีรพันธ์ นาทีกาญจนลาภ สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

*เวทีเสวนา 'เท่าทันละคร ลดทอนความรุนแรงเด็ก และผู้หญิง'

วันที่ 14 สิงหาคม 2551 เวลา 13.00 – 16.00 น. ณ ห้องฮอล D โรงแรม แอมบาสซาเดอร์ สุขุมวิท ซ.11

จัดโดย แผนงานสื่อสร้างสุขภาวะเยาวชน(สสย.)
ร่วมกับ - เครือข่ายสื่อเพื่อเด็ก เครือข่ายเพื่อสื่อสาธารณะ เครือข่ายครอบครัวเฝ้าระวังและสร้างสรรค์สื่อ / มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว เครือข่ายวิทยุเพื่อเด็ก เยาวชนและครอบครัว สถานีวิทยุ มก. / เครือข่ายนักวิชาการศิลปะการแสดงแห่งประเทศไทย สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย / และโครงการสตรีและเยาวชนศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

13.00 – 13.30 น. ลงทะเบียน

13.30 – 13.35 น. พิธีกร คุณอัปสร เสถียรทิพย์ กล่าวนำเข้า 'รายการครอบครัวคุยกัน'

13.35 – 14.10 น. 'Presentation เกี่ยวกับละคร' (ให้ผู้เข้าร่วมเขียนแสดงความคิดเห็น) พิธีกร นำเข้าสู่เวทีเสวนา

14.10– 15.20 น. เปิดเวทีเสวนา 'เท่าทันละคร ลดทอนความรุนแรงเด็ก และผู้หญิง'
- นายแพทย์ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต
- อ.ภัทร ด่านอุตรา นักวิชาการ โครงการสตรีและเยาวชนศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- น.ส.ทัศณี คนการ เยาวชนศึกษา
- อ.ชมัยพร บางคมบาง แสงกระจ่าง สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย
- นางอัญญาอร พานิชพึ่งรัถ เครือข่ายครอบครัวเฝ้าระวังและสร้างสรรค์สื่อ
ผู้ดำเนินรายการ - อ.สุกัญญา สมไพบูลย์ คณะนิเทศศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

15.20 – 16.00 น. เปิดเวทีแสดงความคิดเห็น

16.00 น. สรุปและปิดรายการ โดยพิธีกร คุณอัปสร เสถียรทิพย์

**รับประทานเบรคก่อนเข้าห้องเสวนา
*รูปแบบ จัดรายการวิทยุออกอากาศผ่านสถานีวิทยุ มก.
*ผู้เข้าร่วม 100 ท่าน

**************************************
แผนงานสื่อสร้างสุขภาวะเยาวชน (สสย.)
979 /62 อาคารเอส เอ็ม ทาวเวอร์ ชั้น 23
ถ.พหลโยธิน สามเสนใน กทม.10400
โทรศัพท์ 02-298-0669
โทรสาร 02-298-0671
อีเมลล์ childsmedia@yahoo.com ketsarinami@gmail.com




*เวทีเสวนาเรื่อง เรียนรู้ เรียนรัก กับความหลากหลายทางเพศ

ขอเชิญร่วมเวทีเสวนาเรื่อง เรียนรู้ เรียนรัก กับความหลากหลายทางเพศ
โดย
วิทยากรวัยรุ่น
วันพุธที่ 20 สิงหาคม 2551 เวลา 13.00-16.00 น.
ณ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล


โดย: jenifaae วันที่: 20 สิงหาคม 2551 เวลา:16:48:58 น.  

 
*ศาลนัดฟังคำพิพากษา คดีคลิตี้

คดีที่ชาวบ้านคลิตี้ล่าง 8 ราย ได้ฟ้องบริษัท ตะกั่วคอนเซนเตรทส์ (ประเทศไทย) จำกัด และกรรมการบริษัท ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาชั้นต้น สั่งจ่ายเงินให้ชาวบ้านประมาณ 4 ล้านกว่าบาท ไปเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2549 นั้น ภายหลังาการพิจารณาคดี บริษัทฯ ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาล จนเวลาล่วงเลยมานับ 2 ปี

ศาลจังหวัดกาญจนบุรีได้นัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในวันที่ 14 สิงหาคม 2551 เวลา 9.00 น. ณ ศาลจังหวัดกาญจนบุรี

จึงขอเรียนเชิญท่านสื่อมวลชน นักศึกษา ประชาชนที่สนใจร่วมฟังคำพิพากษา ทำข่าวพร้อมให้กำลังใจพี่น้องชาวกะเหรี่ยงบ้านคลิตี้ล่างในครั้งนี้ด้วย และขอความกรุณาส่งข่าวประชาสัมพันธ์ไปยังผู้สนใจท่านอื่นๆ ด้วยค่ะ ขอบพระคุณค่ะ (โปรดดูเอกสารแนบ)

รายละเอียดเพิ่มเติม

จีระวรรณ์ บรรเทาทุกข์ สถาบันวิจัยสังคม จุฬาฯ
089 053 4051





*งานแถลงข่าวแนะนำหนังสือการ์ตูน “ครบรอบ 60 ปี สิทธิมนุษยชน”

กติกาและหลักประกันเพื่อการอยู่รอด
15 สิงหาคม 2551 ณ ห้องประชุม 101
สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

เนื่องในโอกาสที่ปี 2551 เป็นปีครบรอบ 60 ปี ของการประกาศปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน แห่งสหประชาชาติ สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน(สสส.)ร่วมกับ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้จัดพิมพ์หนังสือการ์ตูน เรื่อง “ครบรอบ 60 ปี สิทธิมนุษยชน” กติกาและหลักประกันเพื่อการอยู่รอด เพื่อเป็นการอธิบายความหมายของสิทธิมนุษยชน ประอบภาพสี่สี สวยสด การ์ตูนเล่มนี้ใช้ภาษาที่ง่ายต่อการเข้าใจ เหมาะสำหรับเด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไป

หนังสือการ์ตูนเล่มนี้ได้รับการสนับสนุน การพิมพ์จาก คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผู้แทนคณะกรรมาธิการยุโรปประจำประเทศไทย สถานเอกอัครราชทูต 3 แห่งประจำประเทศไทย คือ เนเธอร์แลนด์

คานาดา ฝรั่งเศส ครอบครัวคุณ ซาราห์ ดอยลล์และเพื่อน สนับสนุนต้นฉบับโดย บริษัทอินทนนท์ การพิมพ์ จำกัด

กำหนดการ

14.30 น. ลงทะเบียน
15.00 น. กล่าวต้อนรับ ผู้สนับสนุน ผู้แทนสถานทูต ผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชน

โดยศาสตราจารย์ เสน่ห์ จามริก ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
15.15 น. เล่าความเป็นมาของการจัดพิมพ์ พร้อมฉายภาพ 30 ข้อ ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน โดย นายไพโรจน์ พลเพชร เลขาธิการสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.)
15.30 น. การแสดง “ความรุนแรงต่อเด็ก” โดย ผู้อำนวยการบ้านพักฉุกเฉิน และ เด็กๆ จากบ้านพักฉุกเฉิน ดอนเมือง
13.50 น. แนะนำผู้ออกแบบการ์ตูน
16.05 น. การระดมทุนและการดำเนินการเพื่อให้ได้รับบริจาค โดย คุณ ซาราห์ ดอยลล์
16.20 น. นำเสนอหนังสือต่อผู้มีเกียรติ
16.30 น. ซักถาม แลกเปลี่ยน
16.45 น. อ่านบทแนะนำของหนังสือ และรับประทานของว่าง (ไอศครีม)

ขอเชิญเข้าร่วมงานโดยพร้อมเพรียงกัน
ติดต่อ อนุชา วินทะไชย(เอก) โทร 022754231-3 มือถือ 0871065808


โดย: jenifaae วันที่: 20 สิงหาคม 2551 เวลา:16:49:40 น.  

 
*เสวนา เรื่อง "ซานติก้า...ปัญหาและทางออกของผู้บริโภค"

คณะทำงานด้านคุ้มครองผู้บริโภคสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ขอเชิญสื่อมวลชนที่สนใจเข้าร่วมการเสวนา เรื่อง "ซานติก้า...ปัญหาและทางออกของผู้บริโภค"
ฉายวิดิทัศน์เหตุการณ์ซานติก้า ผับ
การบรรยายเรื่อง การคุ้มครองผู้บริโภคโดยใช้กระบวนการยุติธรรม โดย
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ เลขาธิการ ป.ป.ท.
การอภิปรายในหัวข้อ "การพิทักษ์สิทธิผู้บริโภคจากการใช้บริการสถานบันเทิง : สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาและชดเชยความเสียหาย" โดย
³นายสันติสุข มะโรงศรี ผู้เสียหายในเหตุการณ์และผู้ดำเนินรายการรู้ทันประเทศไทย
³นายชัยรัตน์ แสงอรุณ สภาทนายความ
³นายบรรจง จำปา ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักบริหารการชดเชยค่าบริการ
ดำเนินรายการโดย นายธีรพันธ์ นาทีกาญจนลาภ สมาชิกที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ó การอภิปรายในหัวข้อ "การพิทักษ์สิทธิผู้บริโภคจากการใช้บริการสถานบันเทิง : สิทธิที่จะได้รับความปลอดภัย โดย
- นายสมชาย แสวงการ ประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพฯ วุฒิสภา
- นายธีรวัฒน์ จันทรสมบูรณ์ ผอ.สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
ดำเนินรายการโดย รศ.ดร.วิทยา กุลสมบูรณ์ ผู้จัดการแผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ

ó การอภิปรายในประเด็นการพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาและทางออก โดย
- นายไกรจักร แก้วนิล รองปลัดกรุงเทพมหานคร
- นายวีรศักดิ์ โชติวานิช ประธานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สภาทนายความ
- นายประสงค์ ธาราไชย นายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
- นางนิตยา จันทร์เรือง มหาผล ที่ปรึกษาคณะกรรมการสภาวิศวกร
ดำเนินรายการโดย นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา สมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ó สรุปผลการเสวนาและปิดการเสวนา

ในวันศุกร์ที่ 30 มกราคม 2552 ตั้งแต่เวลา 12.00-16.30 น.
ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 27 สำนักงานสภาที่ปรึกษาฯ อาคารพญาไทพลาซ่า เขตราชเทวี กรุงเทพฯ


โดย: jenifaae วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:1:43:25 น.  

 
*โครงการธรรมยาตราเดินป่าแสวงหาปรีชาญาณ ผสานจิตวิญญาณชนเผ่า

โดย : คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อการพัฒนา

ตามรอยทางกำเนิดชีวิตและวิถีเผ่าชนคนปกาเกอะญอ สัมผัสธรรมชาติป่าบนดอยสูง ดินแดนนักต่อสู้เพื่อสิทธิในผืนป่าของ (ชุมชน) พี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์

เชิญท่านที่สนใจร่วมเดินธรรมยาตราเรียนรู้ป่าและชีวิตของคนอยู่ป่าที่งดงาม เรียบง่าย ณ บ้านแม่ลานคำ บ้านขุนวิน ผ่านป่าดิบชื้น ป่าก่อสมบูรณ์ตามไหล่เขา และปลีกวิเวกท่ามกลางธรรมชาติแห่งขุนห้วยขุนวิน ต้นน้ำแม่วาง นำการเดินทางโดยปราชญ์ชาวบ้าน พะตี่แดง ยอดฉัตรมิ่งบุญ พะตี่อิแหละ บัวเสาวรส พะตี่คกิคกุ และคุณพฤ โอ่โดเชา


กำหนดการ

โครงการธรรมยาตราเดินป่าแสวงหาปรีชาญาณ ผสานจิตวิญญาณชนเผ่า

ระหว่างวันที่ 19-24 กุมภาพันธ์ 2552/2009


วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ 2552

20.00 น. - ออกเดินทางจากกรุงเทพมหานคร (รถทัวร์ กรุงเทพ-เชียงใหม่)



วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2552

07.00 น. - ถึงเชียงใหม่ ทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมทาง และพักผ่อนตามอัธยาศัย ณ ศูนย์มิสซังเชียงใหม่

บ่าย - เดินทางออกจากเชียงใหม่ โดยรถกระบะไปยัง อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่

เย็น - ถึง หมู่บ้านแม่ลานคำ

ทำความรู้จักชาวบ้านและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชนเผ่าปกาเกอะญอ

- แบ่งปันประสบการณ์ระหว่างกัน พักแรมในหมู่บ้าน

วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2552

เช้า - ออกเดินตามเส้นทางป่า ไปยังหมู่บ้านขุนวิน

บ่าย - สัมผัสและเรียนรู้ความเป็นอยู่วิถีชาวบ้าน รวมถึงรับฟังแลกเปลี่ยนกับชาวบ้านในเรื่องการพัฒนาที่ส่งผลกระทบต่อชุมชน

เย็น - พักแรมในหมู่บ้านขุนวิน

วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2552 (ธรรมยาตราผสานจิตวิญญาณกับธรรมชาติ)

เช้า - เดินป่าเรียนรู้การใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติจากชาวบ้านในท้องถิ่นผ่าน ป่าก่อสมบูรณ์ที่ค่อนข้างดิบ ชื้นและที่ทำกินชาวบ้าน

บ่าย - ถึงจุดพักแรม ขุนห้วยขุนวิน พูดคุยทำความเข้าใจ และเตรียมความพร้อมสำหรับการปลีกวิเวก

เย็น - พักแรมในป่า ณ ขุนห้วยขุนวิน

วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2552

- ปลีกวิเวก อดอาหาร ภาวนาเพื่อป่าและชุมชน พักแรมในป่า ณ บริเวณขุนห้วยขุนวิน

วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ 2552

เช้า - ออกเดินทางจากป่าที่พักแรมบริเวณขุนห้วยขุนวิน ไปยัง หมู่บ้านขุนวิน

บ่าย - โดยสารรถกระบะออกจากหมู่บ้านขุนวิน ไปยังเชียงใหม่และเดินทางกลับกรุงเทพ
โดยสวัส ดิภาพ


ค่าลงทะเบียน

(ค่าเดินทางจากกทม.-เชียงใหม่-สะเมิง-แม่วาง-เชียงใหม่-กทม. ที่พักและอาหาร) ๒,๕๐๐ บาท/ท่าน

* ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากคณะเซนต์ปอล เดอ ชาร์ตร ๒๐,๐๐๐ บาท *


ติดต่อขอทราบรายละเอียดได้ที่ คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อการพัฒนา แผนกกลุ่มชาติพันธุ์

๑๒๒/๑๑ ชั้น ๗ ซ.นาคสุวรรณ ถ.นนทรี แขวงยานนาวา กรุงเทพฯ ๑๐๑๒๐

โทรศัพท์ ๐-๒๖๘๑-๓๙๐๐-๒ ต่อ ๑๗๐๒, ๐๘๔-๖๑๑-๗๒๐๗

อีเมล์ cegthai@yahoo.com, cegthai@hotmail.com เว็บไซต์ //cegthai.cbct.net


รับสมัครภายในวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

//www.thaingo.org/prboard_1/view.php?id=7989


โดย: jenifaae วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:1:44:04 น.  

 
*งาน" Sasin HRM Open-house and Morning Talk"

รศ.ดร.ศิริยุพา รุ่งเริงสุข หัวหน้าหลักสูตรการบริหารบุคคล สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะจัดงาน" Sasin HRM Open-house and Morning Talk" อบรมแนะแนวการเป็น HR มืออาชีพ โดยมีคุณบุปผาวดี โอวรารินทร์ กรรมการผู้จัดการบริษัท Watson Wyatt และ คุณ Lan Till Country Manager แห่ง Hewitt Associate เข้าร่วมเป็นวิทยากร ในวันเสาร์ที่ 31 มกราคม 2552 เวลา 9.30-11.30 ณ อาคาร ศศปาฐศาลา สำหรับ ผู้ที่สนใจ และผู้ที่ต้องการศึกษาต่อในระดับปริญญาโทของสถาบันฯ สามารถสำรองที่นั่ง โทร 0-2218-3856-7 โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
คุณรวิกานต์ โชติบุณยศักดิ์ 081 3736702




*โครงการ "ธรรมะวาไรตี้"

โดย : บริษัท เบ็นซ์อมรรัชดา จำกัด

บริษัท เบ็นซ์อมรรัชดา จำกัด โดยนางพวงผกา ตั้งบรรยงค์ จัดโครงการ "ธรรมะวาไรตี้" ขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสมหามงคล ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนพรรษา 80 พรรษา โดยครั้งที่ 20 นี้ จักได้นิมนต์ พระราชวิจิตรปฏิญาณ (เจ้าคุณพิพิธ)" จากวัดสุทัศนเทพวราราม มาเป็นผู้บรรยายธรรมในหัวข้อ "จดหมายจากพญายมฑูต"

โดยครั้งนี้ จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2552 ลงทะเบียนรับประทานอาหารว่างเวลา 16.00 น. เริ่มบรรยายเวลา 16.30 น. – 18.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 6 อาคารอมร

สำหรับผู้ที่พักอาศัย และผู้ที่สัญจรไปมาย่านถนนรัชดา แถวมหาวิทยาราชภัฎจันทรเกษม หรือศาลอาญา สนใจอยากเข้าร่วมฟังธรรม ในรูปแบบใหม่ ไม่น่าเบื่อ ท่านสามารถเข้ารับฟังธรรมได้โดยตรง มาต้องสำรองที่นั่ง ฟรีทั้งรายการ ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
02-939-0055 ต่อ 303, 304
60 อาคารอมรรัชดา (1966) ถนนรัชดาภิเษก ซอยเฉลิมสุข(รัชดา 42)
แขวงจันทร์เกษม เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900
Tel : 0 2939 0055
E-Mail : amorncare@yahoo.com, amorn@carvariety.com




*มหกรรมธรรมชาติบำบัด ครั้งที่ 31

ภูมิแพ้-ภูมิเพี้ยน รักษาได้ด้วยธรรมชาติบำบัด

แพ้อากาศ หอบหืด ไซนัส ลมพิษ SLE รูมาตอยด์ ปวดคอ-หลัง-เอว

วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม 2552

ฟรี ! อาคารเฉลิมพระบารมี 50 ปี ซ.ศูนย์วิจัย

ใหม่ เพื่อการล้างพิษให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
- คีเลชั่น ล้างสารพิษจากร่างกาย
-โยคะรักษาโรคภูมิแพ้-ภูมิเพี้ยน
เสริมวิธีทางธรรมชาติบำบัด
อดล้างพิษ กินเพื่อล้างพิษ สมุนไพรล้างพิษ
บรรยายความรู้สุขภาพและสอนปฏิบัติกันทั้งวัน เช้าจรดเย็น

กำหนดการ

8.30-9.00 น. ลงทะเบียน

9.00-10.00 น. ภูมิแพ้ในเด็ก-ผู้ใหญ่ รักษาได้ด้วยธรรมชาติบำบัด
แพ้อากาศ ผื่นผิวหนัง ลมพิษ
พญ.ลลิตา ธีระสิริ

10.00-10.30 น. พัก

10.30-12.00 น. สารพันปัญหาจากภูมิแพ้ถึงภูมิเพี้ยน
หอบหืด ไซนัส SLE รูมาตอยด์ สะเก็ดเงิน
พญ.ลลิตา ธีระสิริ

12.00-13.30 น. พักรับประทานอาหารกลางวัน

13.30-14.30 น. คีเลชั่น-ล้างสารพิษรักษาภูมิแพ้-ภูมิเพี้ยน
นพ.ทีปทัศน์ ชุณหสวัสดิกุล

14.30-15.00 น. พัก

15.00-16.30 น. สอนแสดง "โยคะรักษาโรคภูมิแพ้-ภูมิเพี้ยน"
ดร.สุนทร พลามินทร์ / นพ.ทีปทัศน์ ชุณหสวัสดิกุล

พิเศษ ! สำหรับ 100 ท่านแรกที่ลงทะเบียนหน้างานรับฟรี
หนังสือ คู่มือละเลิกการดื่มนม
โทร.02-615-8822 , 02-9301165-6
บัลวี - ศูนย์ธรรมชาติบำบัด
เบอร์โทรศัพท์ : 02-615-8822


โดย: jenifaae วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:1:44:34 น.  

 
* สัมมนาเรื่อง ผลกระทบของเขตการค้าเสรีต่อผู้ประกอบการ SMEs

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
เชิญเข้าร่วมสัมมนา

"ผลกระทบของเขตการค้าเสรีต่อผู้ประกอบการ SMEs"

วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา 09.00 น. - 16.30 น.
ณ ห้องจูปีเตอร์ ชั้น 3 โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ กรุงเทพฯ

วัตถุประสงค์ :

ปัจจุบันการเปิดเสรีทางการค้ามีความเข้มข้นขึ้น การสร้างความตระหนักว่าการเปิดเสรีทางการค้ามีความจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทุกคนจำเป็นต้องปรับตัว การเปิดเสรีทางการค้าเป็นการสร้างโอกาศให้ทุกคนได้แสวงหาประโยชน์จากการค้าการลงทุน

กลุ่ม: กลุ่ม SMEs

วันที่: 24/2/2552

เวลา: 9:00-16:30

สถานที่จัด: โรงแรม มิราเคิล แกรนด์

ที่อยู่ของสถานที่จัด: 99 ถนนวิภาวดีรังสิต, หลักสี่

เบอร์โทรของสถานที่จัด: (662) 674-8182 to 3,(662)672-6040 to 1, (662) 674-8700

ห้อง-ชั้น: ห้องจูปีเตอร์ ชั้น 3

จำนวนคนสูงสุด: ไม่ระบุจำนวน

ค่าใช้จ่ายต่อคน: ไม่มีค่าใช้จ่าย

แผนที่: View

ผู้บรรยาย: -

เอกสารประกอบ: กำหนดการและใบตอบรับ

ผู้จัดสัมมนา: กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม

วิธีเข้าร่วมการสัมมนาหรือการอบรม: ผู้ประกอบการ หรือประชาชนที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสำรองที่นั่งโดย ไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่อย่างใด ที่ 0 2202 4552 ,0 2202 4578 และสามารถดาวน์โหลดแบบตอบรับ แล้วตอบกลับมาที่ 0 2354 3116 ,0 2354 3257 ภายในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อ นายสมเจตน์ เขียวสะอาด 0 2202 4578 นางสาวสุปรานี หนองพล 0 2202 4552




*สัมมนาเรื่อง การสร้างความเชื่อมั่น...กลับคืนสู่เศรษฐกิจและตลาดทุนไทย

ศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาความรู้ตลาดทุน สถาบันกองทุนเพื่อพัฒนาตลาดทุน
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ร่วมกับ
สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์
เชิญร่วมงานเสวนาพิเศษ

"การสร้างความเชื่อมั่น...กลับคืนสู่เศรษฐกิจและตลาดทุนไทย"

วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา 13.30 – 16.30 น
ณ หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย
อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

กลุ่ม: เจ้าของกิจการ ,กรรมการผู้จัดการ, ทายาทธุรกิจ

วันที่: 4/2/2552

เวลา: 13:30-16:30

สถานที่จัด: อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ที่อยู่ของสถานที่จัด: 62 ถนนรัชดาภิเษก เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110

เบอร์โทรของสถานที่จัด: 0-2229-2222

ห้อง-ชั้น: หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย

จำนวนคนสูงสุด: ไม่ระบุจำนวน

ค่าใช้จ่ายต่อคน: ไม่มีค่าใช้จ่าย

แผนที่: View

ผู้บรรยาย: ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันท์

เอกสารประกอบ: กำหนดการ

ผู้จัดสัมมนา: สถาบันพัฒนาความรู้ตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

วิธีเข้าร่วมการสัมมนาหรือการอบรม: ผู้สนใจลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ //www.tsi-thailand.org หรือ S-E-T Call Center โทร. 0-2229-2222 ภายในวันศุกร์ที่ 30 มกราคม 2552


โดย: jenifaae วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:1:45:27 น.  

 
*"มะเร็ง...ยิ่งตรวจพบเร็ว โอกาสหายยิ่งมีมากขึ้น"

โรงพยาบาลศูนย์วิจัยศึกษาและบำบัดโรคมะเร็ง สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางโรคมะเร็ง กำหนดจัดกิจกรรมเนื่องใน วันมะเร็งโลก 4 กุมภาพันธ์ ภายใต้แนวคิด "มะเร็ง...ยิ่งตรวจพบเร็ว โอกาสหายยิ่งมีมากขึ้น" เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชน ระหว่างวันที่ 1 - 15 ก.พ.นี้ โดยในวันที่ 4 ก.พ. โรงพยาบาลจัด กิจกรรมประเมินความเสี่ยงโรคมะเร็ง และคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อมะเร็งลำไส้ใหญ่ เพื่อการตรวจส่องกล้อง โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตั้งแต่เวลา 08.00-16.00 น. ณ บริเวณชั้น 1 อาคารโรงพยาบาล สำรองที่นั่ง โทร.0-2191-5600





*มองนอกดูใน - ศิลปะ...ศิลปิน...กับความมหาศาลแห่งพลัง...เพื่อสาวิกาสิกขาลัย


เช้าของวันที่ 21 มกราคม ในฤดูหนาวที่อากาศเริ่มอุ่นขึ้น ศิลปินหลายท่าน อันได้แก่ ช่วง มูลพินิจ, ธงชัย รักปทุม, กัญญา เจริญศุภกุล, วิจิตร อภิชาติ เกรียงไกร, พรชีวิน มะลิพันธ์ และ จันทนา แจ่มทิม ได้เดินทางไปที่เสถียรธรรมสถานพร้อมหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกรุณา ด้วยว่ามีนัดหมายในการทำเวิร์กช็อปการวาดตาลปัตร เพื่องาน 'สตรีคือสติ' หนึ่งในหนทางที่จะนำธรรมะเข้าไปสู่หัวใจของคนในทุกช่วงวัยของชีวิต โดยเฉพาะวัยหนุ่มสาว

เหตุที่เหล่าศิลปินเลือกตาลปัตรเป็นเครื่องมือในการนำความสามารถของเขามาถ่ายทอดความคิดและปรัชญาทางธรรมผ่านงานศิลปะก็คือ เป็นอุปกรณ์ที่พระสงฆ์ใช้ในพิธีกรรมต่างๆ ตั้งแต่เกิดจนตาย ฉะนั้นเมื่องานศิลปะอยู่บนตาลปัตร ก็เท่ากับเป็นการเชื่อมโยงธรรมะกับศิลปะเข้าด้วยกัน...

ที่แน่นอนว่า ตาลปัตรแต่ละลาย...มีเพียงหนึ่งเล่มในโลก !

จุดประสงค์หลักของเวิร์กช็อปงานศิลปะบนตาลปัตรในครั้งนี้ คือ การระดมทุนสนับสนุนการทำงานของเสถียรธรรมสถาน เพื่อ 'สาวิกาสิกขาลัย' โดยตาลปัตรจากฝีมือของศิลปินทั้ง 50 เล่ม จะถูกนำออกประมูลใน การถ่ายทอดสด 'สาวิกาสิกขาลัย' ในวันเสาร์ที่ 31 มกราคมนี้ เวลา 22.20 น. เป็นต้นไป ทางกองทัพบกช่อง 5

โดยในงานนี้ นอกจากงานศิลปะบนตาลปัตรแล้ว ยังมีงานศิลปะอันเกิดจากความตั้งใจที่เป็นกุศลที่จะสนับสนุนและส่งเสริมให้ผู้หญิงบรรลุธรรมของศิลปินทั้งไทยและเทศอีกกว่า 25 ชิ้น ที่จะเปิดให้ร่วมสนับสนุนได้ภายในงาน อาทิ ภาพสีน้ำ ปากเทศนา ดวงตาเห็นธรรม ของ อาจารย์ช่วง มูลพินิจ woodcut ทองคำเปลว ความรัก แม่ ลูก ของ ศาสตราจารย์ประหยัด พงษ์ดำ งานประติมากรรม แม่พระธรณี ของ อาจารย์ยิ้ม เขียนศิริ พระพุทธรูปประทานความสุข หมายเลข 9-99 หน้าตัก 9 นิ้ว ของ อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ภาพสีน้ำมันปิดทองบนผ้าใบ วัวกระทิง ของ อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ภาพสีน้ำมันบนผ้าใบ บัวเบิกอรุณ ของ อาจารย์ประเทือง เอมเจริญ ภาพเขียนพู่กัน Be Beautiful Be Yourself ของ ท่านติช นัท ฮันห์ และ ภาพเหมือนของข้าพเจ้า ฝีมือ อาจารย์จักรพันธุ์ โปษยกฤต

และนี่คือบางถ้อยคำจากเหล่าศิลปิน...กับความมหาศาลแห่งพลัง...เพื่อสาวิกาสิกขาลัย

"สำหรับภาพ ปากเทศนา ดวงตาเห็นธรรม นี้ใช้เวลาคิดนานมากก่อนจะเขียน เพราะเห็นว่าเมื่อส่งเสริมให้ผู้หญิงได้บรรลุธรรมแล้ว ผู้หญิงต้องออกสอนต่อๆ ไปด้วย ส่วนภาพวาดบนตาลปัตร ที่เขียนลงบนตาลปัตรคือยันต์คำว่า 'ละ' เพื่อให้ผู้ที่เห็นตาลปัตรเล่มนี้เกิดสำนึกว่า อะไรจะละก่อนกัน ระหว่างกิเลสกับสังขาร เตือนว่าเราต้อง 'ละ' เสียบ้าง ละกิเลส โลภ โกรธ หลง ละไม่ได้ก็ให้มันน้อยลง ค่อยๆ ละ เตือนสติ ก่อนจะตาย...และการมาร่วมงาน 'สตรีคือสติ' ในครั้งนี้ก็เพื่อนำศิลปะมาช่วยให้สาวิกาเดินหน้าได้" อาจารย์ช่วง มูลพินิจ

"ผมจะช่วยอะไรได้ ผมก็ต้องช่วยทางที่ถนัดในด้านศิลปะ ผมก็เอางานศิลปะไปช่วยด้วยความเต็มใจ ผลงานชิ้นนี้เล็กน้อยก็อาจจะมีประโยชน์กับสถาบันได้ เป็นสิ่งที่สืบเนื่องต่อการศึกษาเรื่องของจิตใจมนุษย์ให้ดีขึ้นกว่าเดิม ก็เลยได้ร่วมช่วยงานนี้ด้วยครับ" ศาตราจารย์ประหยัด พงษ์ดำ

"ผมรู้จักกับท่านแม่ชีมานานมาก ตั้งแต่ปี 2527 ตอนนั้นยังไม่มีสาวิกาสิกขาลัย ยังไม่มีอะไรทั้งสิ้นเลย แต่มีความศรัทธา ติดใจในตัวท่านแม่ชี เพราะผมเป็นช่างเขียน ย่อมจะชอบอะไรที่งดงาม ตั้งแต่ พ.ศ. 2527-2552 นานมาก แต่ท่านก็ยังคงทำงาน และทำมากขึ้นเรื่อยๆ ผมมีศรัทธาถึงความตั้งใจของท่านในการเผยแพร่ธรรมะ คือท่านมีความตั้งใจที่ดี อยากให้โลกนี้ หรืออย่างน้อยก็เมืองไทย ร่มเย็น คนเข้าใจในธรรมะ ไม่โกรธ ไม่อิจฉา ไม่ทะเลาะกัน ท่านจะพยายามแก้ไขในสิ่งที่โลกเป็น มันอาจจะแก้ไม่ได้หมด...

"ท่านทำสื่อมากมาย มันไม่ใช่เรื่องสนุกเลย และต้องเหนื่อยมาก แต่ท่านก็ยอมสละเวลาทั้งชีวิตของท่าน จากวันที่ท่านยังอ่อนอยู่ ผมเองก็ยังเป็นหนุ่ม จนกระทั่งผมแก่ แน่นอนที่สุดท่านก็ต้องอาวุโสตาม แต่ท่านไม่ได้ละทิ้งในสิ่งที่ท่านตั้งใจที่จะทำให้ทุกคนมีธรรมะ...ท่านต้องการให้คนทุกคนมีดวงตาเห็นธรรม เพราะถ้าไม่มีดวงตาที่เห็นธรรม ผมว่าโลกที่มันวุ่นอยู่ตอนนี้คงจะวุ่นมากกว่านี้ จากติดใจในระยะแรกๆ เมื่อผ่านไปเป็น 10 ปี 20 ปี มันเป็นความศรัทธา ความนับถือ แทนที่จะติดใจในความงดงาม" อาจารย์จักรพันธุ์ โปษยกฤต

"ธรรมสวัสดี"


สนใจร่วมสนับสนุนการทำงาน 'สาวิกาสิกขาลัย' โปรดติดตามชม การถ่ายทอดสด 'สาวิกาสิกขาลัย' ในวันเสาร์ที่ 31 มกราคมนี้ เวลา 22.20 น. เป็นต้นไป ทางกองทัพบกช่อง 5 และขอเชิญชมงานศิลปะ 'สตรีคือสติ' ได้ที่เสถียรธรรมสถาน ตั้งแต่วันที่ 1-15 กุมภาพันธ์ 2552


โดย: jenifaae วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:1:46:12 น.  

 
*เทศกาลล้านนาดนตรีสร้างสุข "ละอ่อนบรรเลง ระมิงค์ขับขาน"

เครือข่ายดนตรีสร้างสุข ร่วมกับ เทศบาลนครเชียงใหม่ โฮงเฮียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนา ภายใต้การสนับสนุนของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จะได้จัด เทศกาลล้านนาดนตรีสร้างสุข "ละอ่อนบรรเลง ระมิงค์ขับขาน" ในวันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม 2552 ณ ลานดนตรีประตูท่าแพ ถนนคนเดิน เชียงใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อส่งเสริมดนตรีและศิลปะ เป็นสื่อสร้างสุขภาวะแก่เด็กและเยาวชน สานสายใยครอบครัว แบ่งปันสร้างสุขสำหรับทุกคน

กิจกรรมศิลปะในงานเริ่มตั้งแต่ 17.00 น. โดยมีซุ้มสืบสานล้านนา ตอกลาย ทำโคม สวยดอก ถักข้าว สานสัตว์ ตัดตุง ซุ้มภูมิปัญญาชนเผ่า ปักผ้าลายม้ง สายสร้อยร้อยเมล็ดพันธุ์ ปกากะญอ นาฏศิลป์ไทยใหญ่ ซุ้มศิลปะสร้างสุข โปสการ์ดส่งใจให้แม่ระมิงค์ สมุดทำมือรีไซเคิล เข็มกลัดแบบเดียวในโลก ฯลฯ ทุกกิจกรรมเน้นการมีส่วนร่วม ให้พ่อแม่ลูก เด็กกับผู้ใหญ่ ได้ใช้เวลาทำกิจกรรมทำมือสื่อความสุขร่วมกัน โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ

เทศกาลล้านนาดนตรีสร้างสุข
"ละอ่อนบรรเลง ระมิงค์ขับขาน"
22 มีนาคม 2552 ณ ข่วงประตูท่าแพ ถนนคนเดิน เชียงใหม่
17.00 กิจกรรมศิลปะดนตรี แบ่งปันสร้างสุข

ซุ้มสืบสานล้านนา
ตอกลาย ทำโคม สวยดอก ถักข้าว สานสัตว์ ตัดตุง

ซุ้มภูมิปัญญาชนเผ่า
ปักผ้าลายม้ง สายสร้อยร้อยเมล็ดพันธุ์ปกากะญอ นาฏศิลป์ไทยใหญ่

ซุ้มศิลปะสร้างสุข
โปสการ์ด ฮอมฮักแม่ระมิงค์ สมุดทำมือรีไซเคิล เข็มกลัดแบบเดียวในโลก
18.00 การแสดงบนเวที "ละอ่อนบรรเลง" ล้านนาดนตรีสร้างสุข
- จ๊อยซอประสานเสียงเชียงดาว กลุ่มคีตะนาฎการล้านนา เชียงใหม่
- กลองสะบัดไชย บ้านเมืองก๊ะ ชมรมเบิกฟ้าล้านนา เชียงใหม่
- ดนตรีวิถีคนเมือง กลุ่มลูกธนศิลป์บ้านโฮ่ง ลำพูน
- ระบำปกากะญอ โดยเยาวชนจากป่าสนวัดจันทร์ อำเภอแม่แจ่ม เชียงใหม่
- ดนตรีชนเผ่าเล่าภูมิปัญญา มูลนิธิภูมิปัญญาชาติพันธุ์ (ชิ สุวิชาน) เชียงใหม่
- ดนตรีละอ่อนดอย สมาคมม้งแห่งประเทศไทย
- "เอาดนตรีมาคุยกัน" เยาวชนดนตรีสร้างสุขจากปาย แม่ฮ่องสอน
- "ไม้ไผ่บรรเลง" โดยละอ่อนดนตรี กลุ่มลายคำ แม่ออน เชียงใหม่
20.00 คอนเสิร์ต "ระมิงค์ขับขาน"
- ครั้งแรกของล้านนาออเคสตรา คำหล้า ธัญยพร
- การบรรเลง "หิมาลัย โขง สาละวิน" โดย ๓ วง ๓ รุ่นดนตรีล้านนาร่วมสมัย ลายเมือง ช่อคำ รักษ์ล้านนา

สอบถามรายละเอียด
ณัฐกุล โทร. 080-058-8028
เครือข่ายดนตรีสร้างสุข โทร. 0-2623-2838-9




*เสวนา "บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศ : สื่อเพื่อการเปลี่ยนแปลงและการสร้างนโยบายอย่างมีส่วนร่วม"

วันพฤหัสบดี ที่ 26 เดือน มีนาคม ปี 2552 เวลา 08.30 - 13.30 น.

ณ ห้อง ๗๐๗ อาคารบรมราชกุมารี ชั้น ๗ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


กำหนดการโครงการความเคลื่อนไหวเรื่องความสุขมวลรวมประชาชาติฯ

เวทีสังเคราะห์และบูรณาการความรู้ บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศ : สื่อเพื่อการเปลี่ยนแปลงและการสร้างนโยบายอย่างมีส่วนร่วม

๐๘.๓๐-๐๙.๐๐ น. ลงทะเบียน
๐๙.๐๐-๐๙.๑๐ น. เกริ่นนำโครงการจีเอ็นเอชฯ
๐๙.๑๐-๑๐.๐๐ น. ดร.โสรัจจ์ หงศ์ลดารมภ์ ศูนย์จริยธรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย บรรยายเรื่อง "เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนา การประสานระบบคุณค่า จริยธรรม วัฒนธรรมกับเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน"

๑๐.๐๐-๑๐.๑๕ น. พักรับประทานอาหารว่าง
๑๐.๑๕-๑๒.๐๐ น. กรณีศึกษาบทบาทของสื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศต่อการเปลี่ยนแปลงทัศนคติให้ไปพ้นจากผลผลิตมวลรวมประชาชาติ

- ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) "ICT เครื่องมือเพื่อสร้างความสุขให้คนด้อยโอกาสในสังคม"
- คุณสมบัติ บุญงามอนงค์ มูลนิธิกระจกเงา "การใช้สื่อสารสนเทศในการเคลื่อนไหวทางสังคม และในโครงการความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรม"
- คุณสุเทพ วิไลเลิศ คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฎิรูปสื่อ "บทบาทของวิทยุชุมชนเพื่อการพัฒนาชุมชน"
- คุณสุนิตย์ เชรษฐา Change Fusion "นวัตกรรมเพื่อสังคม ICT"
- คุณชิดพงษ์ กิตตินราเครือข่ายครีเอทีฟคอมมอนส์ "การส่งเสริมเสรีภาพในการแบ่งปันต่อยอดสื่อสร้างสรรค์บนโลกออนไลน์"
- ผศ.สุรัตน์ โหราชัยกุล รองคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดำเนินรายการ

๑๒.๐๐ - ๑๒.๒๕ ซักถามแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
๑๒.๒๕- ๑๒.๓๐ พิธีปิด
๑๒.๓๐ - ๑๓.๓๐ รับประทานอาหารกลางวัน

สอบถามรายละเอียดและสำรองที่นั่ง ฟรี
โทร. ๐๒-๖๒๒-๐๙๕๕, ๐๒-๒๒๒-๕๖๙๘, ๐๘๖-๘๓๗-๓๘๔๖
แฟ็กซ์ ๐๒-๖๒๒-๓๒๒๘
อีเมล sajee@gnh-movement.org, k_sajee@hotmail.com


โดย: jenifaae วันที่: 26 มีนาคม 2552 เวลา:22:40:32 น.  

 
*กลยุทธ์สร้างความยั่งยืนตามแนวทาง THD Model

วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2552 เวลา 13.30 – 16.30 น.
ณ ห้องสัมมนา 3C อาคารสถาบันส่งเสริมเทคโนโลยี ซ.พัฒนาการ 18
จัดโดย สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น)
(จากัดจานวนผู้เข้าฟังบรรยาย หน่วยงานละไม่เกิน 2 ท่าน)
“คุณค่าขององค์การท่านอยู่ที่ไหน” คาตอบนี้คงไม่พ้นเรื่อง คนที่มีคุณค่า (Human Capital) และเทคโนโลยีเฉพาะ (Intrinsic
Technology) เป็นข้อพิสูจน์ไปแล้วว่าองค์การชั้นนาหลายแห่งในโลกที่ใช้แนวคิดจากการพัฒนาคุณค่าของคน เพื่อนาไปสู่การเพิ่มคุณค่าเติบโตอย่าง
ต่อเนื่อง ตลอดจนถึงเป็นองค์การที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน (Sustainable Competitiveness)
วัตถุประสงค์
1. สร้างแนวความคิดในการพัฒนาบุคลากรภายใต้ THD Model
2. สามารถนาแนวคิดของ THD ใช้กับกลยุทธ์ TQM, TPM, Lean
วิธีการสมัคร
1. กรอกรายละเอียดในใบสมัครและส่งมาทางโทรสารหมายเลข 0-2719-9481-3
2. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-2717-3000-29 ต่อ 81 หรือ ต่อ 751, 753, 754 e-mail ungwara@tpa.or.th
ใบสมัครเข้ารับฟังการสัมมนา “กลยุทธ์สร้างความยัั่งยืนตามแนวทาง THD Modell”
ชื่อหน่วยงาน........................................................................................................................................................สมาชิก ส.สท. . No …………………….....
ที่อย.ู่ .................................................................................................................................................................................................................................
โทรศัพท์.....................................................................ต่อ.........................................โทรสาร...........................................................
ขอแจ้งยืนยันการเข้าร่วมฟังบรรยายพิเศษ โดยมีรายชื่อดังต่อไปนี้
1...................................................................................................................ตาแหน่ง.....................................................................................................................
2..................................................................................................................ตาแหน่ง.....................................................................................................................
ลงชื่อผู้แจ้ง......................................................................ตัวบรรจง
โทรศัพท์........................................................................
e-mail address....................................................................
ในกรณีที่ไม่สามารถมาฟังบรรยายได้ กรุณาแจ้งล่วงหน้าก่อนวันบรรยายอย่างน้อย 2 วันทาการ

K08YW03TH
217-0703-02-117-9
THD Model เป็นแนวทางเลือกรูปแบบหนึ่ง ที่ให้
ความสาคัญกับเรื่องของคน โดยมุ่งเน้นในสองส่วนหลัก ๆ คือ การ
พัฒนา (Develop) และการบริหาร (Management) ซึ่งทั้งสองส่วน
ต้องทาควบคู่กันไปโดยที่มีการใช้เครื่องมือ (Tools) ที่เหมาะสมกับ
องค์การนั้น ๆ และผลลัพธ์สุดท้าย (Outcome) ที่เกิดขึ้นนั้น คนใน
องค์การจะต้องมีศักยภาพ ในการปฏิบัติงานที่เป็นแรงขับเคลื่อนให้
องค์การเป็นไปตามจุดมุ่งหมายสุดท้ายคือความปรารถนาในเรื่อง
ขีดความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน
หัวข้อการสัมมา
1 แนวทางการสร้าง Learning Roadmap ในองค์การ
2 การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ใน 3 ระดับ องค์การ,
กระบวนการและบุคคล
3 HRM should be….. for SME
4 ถาม-ตอบ
นอกจากนี้แล้ว THD Model ยังมุ่งเน้นให้ความสาคัญที่
จะไปสร้าง หรือรักษาระบบบริหาร TQM , TPM, LEAN ให้มี
ความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น สาหรับองค์การที่นาระบบดังกล่าวมาใช้เป็น
แนวทางหลักในการบริหารองค์การ ท่านที่สนใจหลักการแนวคิด
ของ THD Model ขอเชิญเข้าร่วมสัมมนาในวันดังกล่าว


โดย: jenifaae วันที่: 26 มีนาคม 2552 เวลา:22:41:18 น.  

 
*บรรยายสาธารณะ

ขอเชิญเข้าร่วมฟังบรรยาย “บรรยายสาธารณะ” โดยมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ Lek-Prapai Viriyapant Foundation public lecture series

นำเสนอการบรรยายกึ่งเคร่งเครียดกึ่งผ่อนคลาย สบายๆ แบบมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ค้นหาความหมาย ข้อมูล เรื่องราวบอกเล่าที่สัมพันธ์กับความเปลี่ยนแปลงของสังคม เหมาะสำหรับผู้ต้องการขบคิดและถกเถียงอย่างสร้างสรรค์และไม่ชอบด่วนสรุปเพื่อหาข้อยุติ

ทุกวันพุธ กลางๆ เดือน หลังอาหารเที่ยง เชิญมาร่วมฟังบรรยาย ฟรี

ณ ห้องประชุม ชั้น 2 อาคารพัฒนาธุรกิจโบรกเกอร์ เชิงสะพานวันชาติ ใกล้ห้องอาหารดรรชนี แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพฯ

เรียนเชิญผู้สนใจสำรองที่นั่งได้ตั้งแต่บัดนี้ที่
lek_prapai@yahoo.com (รับจำนวนจำกัด)
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม Tel. 02-2811988,02-2803340
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่//www.lek-prapai.org

1. ไทชาวอู ชาวของ : การเคลื่อนย้ายของคนไทในตำนานขุนบรม-ขุนเจือง

วันพุธ 18 มีนาคม 2552 เวลา 13.00 – 15.00 น.

ศรีศักร วัลลิโภดม

เสนอข้อมูลใหม่เรื่องความเคลื่อนไหวของคนไทในช่วงต้นประวัติศาสตร์และการเชื่อมโยงตำนานท้องถิ่นที่ยากยิ่งจะแปลความหมายเข้ากับภูมิประเทศแถบหลวงพระบาง โดยต้นตำหรับนักภูมิวัฒนธรรม [Cultural Landscape] ของเมืองไทย อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม

2. ประวัติศาสตร์ลาวสมัยใหม่ มองผ่านการฟื้นฟูคัมภีร์ใบลานลาวในยุคอาณานิคม

วันพุธ 22 เมษายน 2552 เวลา 13.00 – 15.00 น.

ดร.บัวไข เพ็งพระจันทร์

นักวิชาการนักเรียนทุนสมเด็จพระเทพรัตนฯ จากหอสมุดแห่งชาติลาว จะนำเสนอบางส่วนในวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก จากการมองประวัติศาสตร์ลาวสมัยใหม่ผ่านโครงการอนุรักษ์ใบลานที่กลายเป็นประเด็นปัญหาเรื่องชาตินิยมในช่วงอาณานิคม และสำรวจความเป็นไปในประวัติศาสตร์ลาวสมัยใหม่ที่คนไทยต้องให้ความสนใจ

3. ดุซงญอ กรือเซะ ตากใบ และการยอมรับความจริงในสังคมไทย

วันพุธ 13 พฤษภาคม 2552 เวลา 13.00 – 15.00 น.

พล.ต.ต.จำรูญ เด่นอุดม

สามเหตุการณ์ดังกล่าวคือจุดบอดในสังคมไทยที่เร่งอุณหภูมิการเมืองในสามจังหวัดภาคใต้ให้ร้อนฉ่าและไม่มีวันยุติความรุนแรง หากสังคมและรัฐไทยไม่นำมาขบคิด กล่าวถึงและพิจารณาหาเหตุแห่งความรุนแรงนั้น พบกับผู้อยู่ในเหตุการณ์และเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการบอกเล่าความเป็นจริงจากภายใน นำเสนอการวิเคราะห์ในเชิงวิชาการ

4. คนจามที่เจ๊าดก เวียดนาม กับการปรับตัวในโลกสมัยใหม่

วันพุธ 17 มิถุนายน 2552 เวลา 13.00 – 15.00 น.

ฮูน วัน ฟุค (Huynh Van Phuc)

นักเรียนชาวเวียดนามที่พูดและเขียนภาษาไทยได้ดีกว่าคนไทยบางคนจะนำเสนอข้อมูลจากภาคสนามในหมู่บ้านชาวจามที่เจ๊าดก ชายแดนเวียดนาม-กัมพูชา ในสังคมชาวมุสลิมจามแบบเวียดนาม การเปลี่ยนแปลงจากโลกสมัยใหม่มีผลกระทบกับชีวิตอย่างไร รับรู้และเปรียบเทียบทั้งทาง ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์จามในบ้านเมืองเราและสังคมชาวมุสลิมที่ได้รับผลกระทบจาก Malay World เช่นเดียวกัน

5. เล่าเรื่องสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง: โบราณคดี ประวัติศาสตร์และความเชื่อของผู้คน

วันพุธ 15 กรกฎาคม 2552 เวลา 13.00 – 15.00 น.

วลัยลักษณ์ ทรงศิริ
สามเหลี่ยมปากแม่น้ำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ใหญ่โตและสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งคือสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง การไปพบเห็นเรื่องราวของชาวน้ำในพื้นที่ซึ่งถูกจัดการ ดัดแปลงเพื่อการอยู่อาศัยของมนุษย์ในยุคตั้งแต่การค้าทางทะเลเฟื่องฟู ทำให้เกิดเรื่องราวของผู้คน ศาสนาความเชื่อ การต่อสู้มากมาย อีกทั้งนำมาเปรียบเทียบกับชีวิตชาวเราในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเจ้าพระยา


โดย: jenifaae วันที่: 26 มีนาคม 2552 เวลา:22:41:58 น.  

 
*โครงการจัดทำคู่มือข้อมูลวัฏจักรชีวิตผลิตภัณฑ์ (LCI-LCA)

ขอเรียนเชิญเข้าร่วมงานสัมมนาโครงการจัดทำคู่มือข้อมูลวัฏจักรชีวิตผลิตภัณฑ์(LCI-LCA)" วันที่ 19 มีนาคม 2552 โรงแรมอิสติน กรุงเทพฯ

//ftiweb.off.fti.or.th/iei/file/project/34/จดหมายเชิญ%20LCI-LCA.pdf

โครงการจัดทำคู่มือข้อมูลวัฏจักรชีวิตผลิตภัณฑ์ (LCI-LCA)

เพื่อให้เกิดการบูรณาการ และประยุกต์ใช้แนวคิดและความรู้ด้านการประเมินวัฏจักรชีวิตผลิตภัณฑ์ รวมถึงเครื่องมือการจัดการสิ่งแวดล้อมสมัยใหม่ที่ต่อเนื่องกับ LCA และพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากรภาครัฐและภาคอุตสาหกรรม ให้สามารถประยุกต์ใช้แนวคิด และหลักการของ LCA เป็นแนวทางสำหรับการดำเนินงาน สามารถใช้แนวทาง LCA และ Eco design สำหรับเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม


- กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มอุตสาหกรรมโลหะที่มิใช่เหล็ก

- ระยะเวลาดำเนินงาน พฤศจิกายน 2550 – สิงหาคม 2551

- ผู้สนับสนุน กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม




*Programme : WBU SUNDAY FORUM

Topic : The Vessantara Jataka

Date & Time : April 5, 2552(2009), 12:00 – 13.30 : P.M.

Speaker : Dr. Somboon Duangsamosorn

About the Topic : The Vessantara Jataka

The Vessantara Jataka is a well known story from the Buddhist canon, that part of the Tipitaka (one of the Three Baskets) that contains stories, parables and other pronouncements made by the Buddha. A part of pali literature, it is one of the most loved stories and often recited on important occasions at it contains an important teaching of the Buddha at a popular level, the Mahadanaparamita, or the Fulfillment of the Great Donation. The Vessantara Jataka is the story of the Last Life of the Past Ten Lives before the Buddha reaches Enlightenment. There are known to be two kinds of Buddha, i.e the Pajjekabuddha and the Sammasambuddha, the former having attained Enlightenment but unable to form the doctrine, while the Sammasambuddha, meaning The All Enlightened One can do so.

In the Tenth life we learn of the Buddha as a charitable young Prince, named Vessantara who gives up all his valuable possessions, including his children and his wife, which is the act of pattadaradana, by which he becomes the Bodhisattva and is born in this world to become Lord Buddha.

The most important Dhamma points in the story are :

1. Female beauty and dignity
2. The great donation
3. Determination wins over temptation
4. Loving kindness
5. Moderation
6. Gratitude and loyalty
7. Honesty

About the Speaker

Dr. Somboon Duangsamosorn, a former monk, Pali scholar and capable teacher in both religious and secular education institutions, earned his Ph. D. in Political Science. Before his retirement he held administrative positions at Assumption University of Thailand and was visiting professor in China. He also served the World Buddhist University as Moderator and Organizer of Dhamma Talk and remains a frequent speaker here. He now is Honorary Rector of International Buddhist College, Songkhla Province and Province and President, Pali and Dhamma Graduates Club of Nakhon Pathom Province.

Location :

Meeting Room, the World Buddhist University, 3rd floor, WFB Headquarters Bldg., in Benjasiri Park, Sukhumvit 24, Bangkok, Time : 12.00-13.30 pm.
All are welcome to join the programme free of charge.
For more information, please call 02-258-0369-73 Fax.02-258-0372.
//www.wb-university.org,


โดย: jenifaae วันที่: 26 มีนาคม 2552 เวลา:22:42:58 น.  

 
*“พลังลมปราณ” สมาธิเพื่อการเยียวยา และรักษาสุขภาพ การทำอาณาปานสติ ตามแบบ “หลวงพ่อลี” วัดอโศการาม

ชมรมพุทธบุตรฯ เชิญผู้สนใจเข้าร่วมอบรมการปฏิบัติสมาธิภาวนา ตามหลักคำสอนของหลวงพ่อลี วัดอโศการาม

การเจริญอาณาปานสติ และผนวกองค์ความรู้ด้านการใช้ “พลังลมปราณ” เพื่อการเยียวยารักษาโรค และส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรง

ประโยชน์ที่จะได้รับ

- ผู้เข้ารับการอบรมจะได้รับพื้นฐานการฝึกสมาธิ และวิปัสสนา ไปพร้อมๆ กัน
- เมื่อฝึกฝนจนชำนาญแล้ว สามารถใช้ “พลังลมปราณ” เพื่อส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรงขึ้น สำหรับผู้ป่วยก็จะเป็นการเยียวยาตนเองด้วยการฟอกลมหายใจให้บริสุทธิ์ และส่งออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อย่างเต็มที่
- สุขภาพใจสงบสันติ และสุขภาพกายจะแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ


โดยวิทยากร อาจารย์ชูชาติ เดชปุญพัฒน์ ในระหว่างวันที่ 21-22 มีนาคม 2552 เวลา 9.00-17.00 น. ณ พุทธเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน การอบรมครั้งนี้ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น

ผู้ที่สนใจ

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม และลงทะเบียน ได้ที่หมายเลข โทรศัพท์ 084 149 8899




*ขอเชิญร่วมเรียนรู้การใช้ชีวิตอย่างตื่นรู้ในทุกลมหายใจ ผ่านการเจริญสติในชีวิตประจำวัน

ร่วมเรียนรู้การใช้ชีวิตอย่างตื่นรู้ในทุกลมหายใจ ผ่านการเจริญสติในชีวิตประจำวัน ตามแนวทาง ท่านติช นัท ฮันห์ พระเถระนิกายเซนมหายาน นำภาวนาโดย คณะพระธรรมาจารย์จากหมู่บ้านพลัม ประเทศฝรั่งเศส อเมริกา และเวียดนาม ระหว่างวันที่ 8 - 29 เมษายน 2552
//www.thaiplumvillage.org/act5204_schedule.html

พ.18 มีนาคม 2552
เวลา 18.00 - 21.00 น. เติมพลังแห่งสติกลางสัปดาห์ เิบิกบานกับกิจกรรมภาวนา ยามเย็น ประจำวันพุธที่สามของเดือน กับสังฆะพุทธสาม

ณ บริษัท Hats ชั้น 15 อาคารอัมรินทร์เทาเวอร์ มีทางเชื่อมเข้าอาคารจากสถานีรถไฟฟ้า ชิดลม สอบถามทางเพิ่มเติมได้ที่ โทร.081-644-8986

สอบถามรายละเีอียด :
คุณเก๋ โทร. 081-341-4841
E-mail : npoglad@yahoo.com




*สัมมนาเรื่อง กฎหมายสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
ขอเชิญเข้าร่วมอบรม

“กฎหมายสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม”


วันอังคารที่ 31 มีนาคม 2552 เวลา 08.00 – 16.30 น.
ณ อาคาร KU HOME มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กรุงเทพฯ

กลุ่ม: ผู้ประกอบการธุรกิจในภาคอุตสาหกรรม

วันที่: 31/3/2552

เวลา: 8:30-16:30

สถานที่จัด: อาคาร KU HOME มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ที่อยู่ของสถานที่จัด: 50 ถ. พหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

เบอร์โทรของสถานที่จัด: 0-2942-8555 ต่อ 1402,1439,1440

ห้อง-ชั้น: อาคาร KU HOME

จำนวนคนสูงสุด: 40 คน

ค่าใช้จ่ายต่อคน: ไม่มีค่าใช้จ่าย

แผนที่: View

ผู้บรรยาย: -

เอกสารประกอบ: -

ผู้จัดสัมมนา: สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

วิธีเข้าร่วมการสัมมนาหรือการอบรม: ผู้สนใจสามารถสำรองที่นั่ง หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 0-2345-1261-4 หรือ //www.fti.or.th รับจำนวนจำกัดเพียง 40 ท่านเท่านั้น หมดเขตรับสมัครวันศุกร์ที่ 20 มีนาคม นี้


โดย: jenifaae วันที่: 26 มีนาคม 2552 เวลา:22:43:29 น.  

 
*งานรำลึกประวัติศาสตร์สะพานรัษฎาภิเศก ครบ 92 ปี

ตอน แอ่วขัวหลวงรัษฎาฯ...เมื่อคราศิลปะผลิบาน”
28 – 29 มีนาคม 2552 ณ สะพานรัษฎาภิเศก ต.หัวเวียง อ.เมือง จ.ลำปาง

เทศบาลนครลำปางขอเชิญเที่ยว “งานรำลึกประวัติศาสตร์สะพานรัษฎาภิเศก ครบ 92 ปี ตอน แอ่วขัวหลวงรัษฎาฯ...เมื่อคราศิลปะผลิบาน”

ในงานพบกับ เทศกาลศิลปะพื้นบ้านและศิลปะร่วมสมัย และร่วมตักบาตรยามเช้า พร้อมชมการแสดงละครอิงประวัติศาสตร์ประกอบแสงสีเสียง ในวันที่ 28 – 29 มีนาคมนี้ ณ สะพานรัษฎาภิเศก ต.หัวเวียง อ.เมือง จ.ลำปาง ตั้งแต่ 17.00 น.เป็นต้นไป

*สอบถามรายละเอียดได้ที่ งานส่งเสริมการท่องเที่ยวเทศบาลนครลำปาง โทร 054-237229 หรือ ติดตามได้ที่ //www.lampangcity.go.th และ //lampangartfest.hi5.com




*สัมมนา “เสริมสร้างการมีส่วนร่วมและความเข้มแข็งทางการเมืองของผู้ใช้แรงงาน”

วันอังคารที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๒ ระหว่างเวลา ๐๙.๐๐ – ๑๗.๐๐ น.

ณ โรงแรมอีสติน มักกะสัน ราชเทวี กรุงเทพฯ (ตรงข้ามสถานีรถไฟมักกะสัน)


ร่วมจัดโดย คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย และ มูลนิธิพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย

สนับสนุนโดย สภาพัฒนาการเมือง สถาบันพระปกเกล้า


๐๙.๐๐ ลงทะเบียน/รับเอกสาร

๐๙.๓๐ กล่าวต้อนรับและรายงานวัตถุประสงค์การจัด

โดย วิไลวรรณ แซ่เตีย ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย

๐๙.๔๐ กล่าวเปิด และบรรยายพิเศษ หัวข้อ “บทบาทสภาพัฒนาการเมือง”

โดย ศาสตราจารย์สุจิต บุญบงการ ประธานสภาพัฒนาการเมือง

ดำเนินรายการโดย ศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยา นักวิชาการแรงงาน

๑๐.๑๐ เปิดเวทีซักถามแลกเปลี่ยน

๑๐.๓๐ พักเบรกชา กาแฟ

๑๐.๔๕ การอภิปราย “การมีส่วนร่วมทางการเมืองสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ใช้แรงงาน”โดย ศาสตราภิชาน แล ดิลกวิทยรัตน์ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

นางสาววิไลวรรณ แซ่เตีย

ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย

ดำเนินรายการโดย นายศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยา นักวิชาการแรงงาน

๑๑.๔๕ เปิดเวทีซักถามแลกเปลี่ยน

๑๒.๑๕ พักรับประทานอาหารกลางวัน

๑๓.๑๕ อธิบายรูปแบบการสัมมนาเชิงปฏิบัติการกลุ่มย่อย ๖ กลุ่ม

“ยุทธศาสตร์การสร้างความเข้มแข็งของผู้ใช้แรงงาน ในการมีส่วนร่วมทางการเมือง”

๑๖.๐๐ การจัดสรรตำแหน่งกรรมการบริหาร

ดำเนินรายการโดย วิไลวรรณ แซ่เตีย และ สาวิทย์ แก้วหวาน

๑๗.๐๐ ปิดการสัมมนา


โดย: jenifaae วันที่: 26 มีนาคม 2552 เวลา:22:44:03 น.  

 
*ประกาศรับสมัครบุคคลเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

ด้วยคณะกรรมการสรรหากรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้กำหนดให้มีการเปิดรับสมัครบุคคลผู้ซึ่งมีความรู้หรือประสบการณ์ด้านการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนเป็นที่ประจักษ์ที่มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องตามมาตร 6 และมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ประกอบกับมาตรา 207 (4) และมาตรา 209 (2) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 เพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามมาตรา 256 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 โดยเปิดรับสมัครตั้งแต่วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม 2552 ถึง วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2552 ในเวลาราชการ ไม่เว้นวันหยุดราชการ ณ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ อาคารบี ชั้น 6 ห้องเสวนา ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพ 10210

รายละเอียดดังเอกสาร :-

๑. ประกาศคณะกรรมการสรรหากรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรื่อง การรับสมัครบุคคลเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และรายละเอียดแนบท้ายประกาศ

๒. ใบสมัครและหนังสือให้ความยินยอม ของผู้สมัครเข้ารับการสรรหาเป็นกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

ดาวน์โหลดเอกสาร PDF ได้ที่ //www.nhrc.or.th/download_file.php?download_id=72




*รับสมัครสตรีและเยาวชนสตรีเข้ารับการฝึกอบรม

สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสุพรรณบุรี ร่วมเปิดฝึกอบรมวิชาชีพให้แก่สตรีและเยาวชนสตรีที่มาจากครอบครัวที่มีรายได้น้อย

นายอนุสันต์ เทียนทอง พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสุพรรณบุรี เปิดเผยว่า สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสุพรรณบุรีเปิดฝึกอบรมวิชาชีพ โดยเปิดรับสมัครสตรีและเยาวชนสตรีเข้ารับฝึกอบรมวิชาชีพ หลักสูตร 6 เดือน 8 สาขาวิชา และหลักสูตรระยะสั้น 120 และ 360 ชั่วโมง

ขอเชิญชวนสตรีและเยาวชนสตรีผู้มีรายได้น้อยและขาดโอกาสทางการศึกษา สมัครร่วมเข้าฝึกอบรมวิชาชีพ ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2552 ผู้สนใจสมัครหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสุพรรณบุรี โทร. 0-3553-5386-7 ในวันและเวลาราชการ




*“เปิดเว็บไซต์ฟรีกับ //www.dbdmart.com โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า”

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้เปิดให้บริการตลาดกลางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ภายใต้ชื่อ //www.dbdmart.com สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการทำการทำการค้าผ่านทางอินเทอร์เน็ต หรือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งเพื่อเพิ่มช่องทางทางการตลาดให้กับสินค้า/บริการของท่าน ให้เป็นที่รู้จักเพิ่มมากขึ้น โดยท่านสามารถสมัครสมาชิกเพื่อขอใช้บริการในระบบต่างๆ ได้ฟรี ไม่ว่าจะเป็นการสร้างหน้าร้านอิเล็กทรอนิกส์ , Webboard โดยระบบจะมี

- Template ของหน้าร้านอิเล็กทรอนิกส์ให้เลือก 10 แบบ

- สามารถสร้าง Product Catalog ได้แบบไม่จำกัดจำนวนสินค้า

- มีระบบ Matching เมื่อผู้ซื้อ-ผู้ขายได้ลงประกาศซื้อ - ขายไว้บน กระดานซื้อ-ขาย เมื่อมีความต้องการสินค้าใดตรงกันระหว่างผู้ซื้อ - ผู้ขายสินค้านั้น ระบบจะทำการจับคู่ผู้ซื้อ-ผู้ขาย และแจ้ง และแจ้งเตือนไปยัง e-mail ของผู้ซื้อ และผู้ขายทันที

- มีระบบ Directory ร้านค้าและสินค้า

- สามารถเชื่อมข้อมูลไปยังฐานข้อมูลการจดทะเบียนผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

- สามารถเชื่อมข้อมูลไปยัง Homepage การขอใช้เครื่องหมาย Trustmark

สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02 547-5959-61 หรือ e-commerce@dbd.go.th


โดย: jenifaae วันที่: 26 มีนาคม 2552 เวลา:22:44:48 น.  

 
*เริ่มต้นธุรกิจอย่างไร? ให้เป็นมืออาชีพ

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กำหนดฝึกอบรมเพื่อปูพื้นฐานในการดำเนินธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่เพิ่งเริ่มต้นประกอบธุรกิจ ในหลักสูตร “การเริ่มต้นธุรกิจแบบมืออาชีพ” ระหว่างวันที่ 18-20 และ 25-27 มีนาคม 2552 ณ โรงแรมริชมอนด์ จังหวัดนนทบุรี

นายสุทธิศักดิ์ เลาหชีวิน รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้า มุ่งส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs เพื่อให้มีความสามารถในการดำเนินธุรกิจ ให้มีความพร้อมและความมั่นใจในการทำธุรกิจ ตลอดจนสามารถนำความรู้ที่ได้รับจากการฝึกอบรมไปประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการธุรกิจได้อย่างเหมาะสม และเป็นการสร้างผู้ประกอบการรายใหม่ให้มีขีดความสามารถ จนสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างเข้มแข็ง โดยกำหนดจัดอบรมหลักสูตร “การเริ่มต้นธุรกิจแบบมืออาชีพ” ซึ่งหัวข้ออบรมประกอบด้วย การแสวงหาโอกาสทางธุรกิจ, การตัดสินใจลงทุน, ความรู้เกี่ยวกับบัญชีและภาษีอากร, หลักการเขียนแผนธุรกิจ, รูปแบบการจัดตั้งธุรกิจ, การวิเคราะห์แผนธุรกิจ, การเขียนแผนธุรกิจ, กลยุทธ์และแผนการตลาดเพื่อสร้างโอกาสในภาวะวิกฤต, เทคนิคการสร้างความประทับใจเพื่อให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ ตลอดจนพาศึกษาดูงานนอกสถานที่ โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐและเอกชนมาเป็นวิทยากรบรรยายและฝึกปฏิบัติตลอดหลักสูตร

ผู้ประกอบธุรกิจและผู้สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสมัครเข้ารับการอบรมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ได้ที่สำนักพัฒนาผู้ประกอบธุรกิจ ชั้น 12 กรมพัฒนาธุรกิจการค้า โทรศัพท์ 0 2547 5962,64โทรสาร 0 2547 5963 E-mail : training@dbd.go.th หรือ //www.dbd.go.th





*สัมมนา BSA เรื่อง วิธีที่เหมาะสมในการบริหารจัดการซอฟต์แวร์ในองค์กรของท่าน

กรมทรัพย์สินทางปัญญา ร่วมกับกองปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย สมาคมอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ไทย กลุ่มพันธมิตรธุรกิจซอฟต์แวร์ (Business Software Alliance หรือ BSA) จัดกิจกรรมโครงการรวมใจใช้ซอฟต์แวร์แท้แห่งชาติ ปีที่2 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนและองค์กร ธุรกิจต่างๆ ตระหนักและเคารพสิทธิของเจ้าของลิขสิทธิ์ รวมทั้งรณรงค์ส่งเสริมการใช้ซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์ที่ถูกกฎหมายในกลุ่มผู้ใช้ที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจ เช่น บริษัท ห้างร้าน เป็นต้น
โดยมีกำหนดจัดสัมมนา เรื่อง การบริหารสินทรัพย์ประเภทซอฟต์แวร์ : วิธีที่เหมาะสมในการบริหารจัดการซอฟต์แวร์ในองค์กรของท่าน ในกรุงเทพฯ และจังหวัดต่างๆ จำนวน 6 ครั้ง ได้แก่
1. กรุงเทพมหานคร วันที่ 26 มีนาคม 2552 โรงแรม พลาซา อเธนี
2. เชียงใหม่ วันที่ 31 มีนาคม 2552 โรงแรม ดิอิมพีเรียล แม่ปิง
3. ชลบุรี วันที่ 21 เมษายน 2552 โรงแรม เอ-วัน เดอะ รอยัล ครูส พัทยา
4. อยุธยา วันที่ 23 เมษายน 2552 โรงแรม วรบุรี อโยธยา คอนเวนชั่น รีสอร์ท
5. นครราชสีมา วันที่ 30 เมษายน 2552 โรงแรม สีมาธานี
6. ปราจีนบุรี วันที่ 20 พฤษภาคม 2552 โรงแรม ทวาราวดี

กำหนดการสัมมนา แบบตอบรับ
//www.ipthailand.org/ipthailand/index.php?option=com_content&task=view&id=1097&Itemid=424


โดย: jenifaae วันที่: 26 มีนาคม 2552 เวลา:22:45:24 น.  

 
*การผึกอบรมเชิงปฏิบัติการทดสอบน้ำมันเชื้อเพลิงไบโอดีเซลสำหรับประชาชน

วัตถุประสงค์

เพื่อให้ประชาชนเข้าใจคุณสมบัติต่าง ๆ ของน้ำมันไบโอดีเซล และยอมรับการนำ
น้ำมันไบโอดีเซลมาใช้ทดแทนน้ำมันดีเซลจากปิโตรเลียม
หลักการ และเหตุผล
เนื่องจากในปัจจุบันสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงสูงขึ้นเข้าสู่สภาวะวิกฤติ รัฐบาลจึงมี
นโยบายให้นำพลังงานทดแทนมาใช้เพื่อบรรเทาปัญหาดังกล่าว ไบโอดีเซลเป็นแหล่งพลังงานหนึ่งที่
รัฐบาลสนับสนุนให้นำมาทดแทนน้ำมันดีเซลจากปิโตรเลียม โดยในปัจจุบันได้นำน้ำมันไบโอดีเซล
มาผสมกับน้ำมันดีเซลในอัตราส่วน 5% เรียกว่า B5 และพบว่ามีแนวโน้มที่จะผสมสัดส่วนของ
น้ำมันไบโอดีเซลให้สูงขึ้น
วันเวลา และสภานที่ในการฝึกอบรม
วันพุธที่ 13 พฤษภาคม 2552 9.00-16.00น ณ ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
จำนวนผู้เข้าอบรมที่สามารถรับได้ 20 ท่าน
ค่าลงทะเบียน ไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น

กำหนดการ

8.30-9.00 ลงทะเบียนรับเอกสารประกอบการอบรม
9.00-9.10 พิธีการเปิดการอบรม
9.10-9.50 พลังงานทดแทนในปัจจุบัน
9.50-10.00 พักรับประทานอาหารว่าง
10.00-11.00 ไบโอดีเซล และการวิเคราะห์คุณสมบัติต่าง ๆ
11.00-12.00 ปฏิบัติการผลิตน้ำมันไบโอดีเซล
12.00-13.00 รับประทานอาหารกลางวัน
13.00-14.30 ปฏิบัติการทดสอบน้ำมันไบโอดีเซล
14.30-14.40 พักรับประทานอาหารว่าง
14.40-16.00 ปฏิบัติการทดสอบน้ำมันไบโอดีเซล (ต่อ)
16.00-16.30 ตอบคำถามข้อสงสัย และประเมินผล
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม: ดร.ชนาธิป สามารถ, ดร.วราวุธ ติยพงศ์พัฒนา 02-5644440 ต่อ 2418
แบบลงทะเบียน
การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการทดสอบน้ำมันเชื้อเพลิงไบโอดีเซลสำหรับประชาชน
ชื่อ-นามสกุล
ตำแหน่ง
สถานที่ทำงาน
ที่อยู่
เบอร์โทรศัพท์ที่ทำงาน โทรสาร
โทรศัพท์มือถือ
อีเมลล์
ต้องการให้จองที่พัก (หัองพักภายในมหาวิทยาลัย)
ต้องการ ไม่ต้องการ
จำนวนห้อง ห้อง ระยะเวลา คืน
รับจำนวนจำกัดเพียง 20 คนเท่านั้น กรุณาแฟกซ์แบบลงทะเบียนมาที่หมายเลข
โทรศัพท์ 02-5644483 หรือโทรแจ้งมาที่หมายเลข 02-5644440 ต่อ 2418 อ.ดร.
ชนาธิป สามารถ หรือ อ.ดร.วราวุธ ติยพงศ์พัฒนา หมดเขตลงทะเบียน 30
เมษายน 2552
แจ้งผลการตอบรับให้เข้าร่วมฝึกอบรมภายในวันที่ 3 พฤษภาคม 2552




*กรมทรัพย์สินทางปัญญาจะจัดอบรม “การใช้งานระบบสืบค้นข้อมูลสิทธิบัตร”

ที่กรมพัฒนาขึ้นใหม่เพื่อเผยแพร่การใช้งานและส่งเสริมให้ประชาชนสามารถใช้งานได้อย่างถูกต้อง และเข้าถึงข้อมูลสิทธิบัตรได้สะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ เป็นการส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเอกสารสิทธิบัตรเพื่อการพัฒนาและต่อยอดเทคโนโลยีในการสร้างสรรค์และคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ
การอบรมนี้จัดเป็นประจำในวันพุธของทุกเดือน เดือนละ 2 ครั้ง ตั้งแต่ เดือนพฤศจิกายน 2551 จนถึง เดือนกันยายน 2552 ณ ห้องฝึกอบรมศูนย์ทรัพย์สินทางปัญญา ชั้น 4 กรมทรัพย์สินทางปัญญา เวลา 13.30-16.30 น. จำกัดจำนวนผู้รับการอบรมครั้งละ 20 คน เท่านั้น
ผู้สนใจเข้ารับการอบรม สามารถสมัครได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-5474313 และ 02-5474661




* เปิด “คลินิก อีคอมเมิร์ช” ช่วงงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ

ศูนย์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ร่วมกับ บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่นจำกัด (มหาชน) เปิด “คลินิก อีคอมเมิร์ช” ช่วงงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ในวันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน 2552 ที่บูทหนังสือ ซีเอ็ด V08 โซนพลาซา ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตั้งแต่เวลา 16.30 - 18.00 น.

กิจกรรมครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมความรู้การทำธุรกิจด้วยการใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ลดต้นทุน และขยายช่องทางการตลาด โดย คุณสิทธิเดช ลีมัคเดช ผู้เขียนหนังสือ “คิดได้ขายเป็นบนโลกออนไลน์” และ “เมื่อ SMEs จะมีเว็บไซต์” เป็นผู้มีประสบการณ์ในการผลักดันปลาทูออนไลน์จนขายไปสหรัฐอเมริกาได้ถึงเดือนละ 2,400 เข่ง และขายกล้วยตาก Banana Click ผ่านเว็บไซต์ จนผลิตไม่ทันขาย จะเป็นผู้ให้คำแนะนำตั้งแต่การเริ่มต้น แนวคิดธุรกิจ การซื้อสินค้าผ่านอินเทอร์เน็ต วิธีป้องกันการโกงออนไลน์ การสร้างเว็บไซต์ ตลอดจนการประชาสัมพันธ์เว็บให้กลุ่มเป้าหมายรู้จัก งานนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น...

ผู้สนใจ โทรศัพท์สอบถามรายละเอียดได้ที่โทร 084-140-6000


โดย: jenifaae วันที่: 26 มีนาคม 2552 เวลา:22:46:01 น.  

 
* เชิญเข้าร่วมการสัมมนา เรื่อง “ยกขีดความสามารถไอซีทีไทย สู้ภัยวิกฤติเศรษฐกิจ”

จัดโดย
กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ร่วมกับสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)
วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม 2552 ระหว่างเวลา 08.30 – 12.30 น.
ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมเซ็นจูรี่พาร์ค (ถนนราชปรารภ)

นำเสนอผลการศึกษาโดย ดร. สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ และ ดร. เสาวรัจ รัตนคำฟู

สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)

และเชิญรับฟังการเสวนาหัวข้อเดียวกัน โดย ซีอีโอ บริษัทไอทีรุ่นใหม่ และผู้เชี่ยวชาญ

คุณศิริวัฒน์ วงศ์จารุกรณ์

กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) (MFEC)

คุณครรชิต นิงสานนท์

กรรมการผู้จัดการ บริษัทอินโนวา ซอฟต์แวร์ จำกัด

ดร. พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์

เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ

ดำเนินการอภิปรายโดบ รศ.ดร. บวร ปภัสราทร

ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมการสัมมนาได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย กรุณาติดต่อคุณศิรเพ็ญ หรือคุณปราณี 02-718-5460 ต่อ 506




* งานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ Samart Innovation Awards 2009

บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ Samart Innovation Awards 2009 ซึ่งเป็นโครงการสำคัญที่ “กลุ่มบริษัทสามารถ” จะช่วยส่งเสริมความสามารถ และกระตุ้นให้เยาวชนไทยเกิดความตื่นตัวและสนใจต่อเทคโนโลยีและการสื่อสาร โดยเปิดโอกาสให้เยาวชนไทยได้แสดงความรู้ความสามารถในการเป็นนักคิด นักพัฒนาซอฟต์แวร์บนมือถือของไทย และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือการร่วมสนับสนุนนโยบายของรัฐ ในการเสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพของเยาวชนและบุคลากรของประเทศ จึงได้จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการดังกล่าวขึ้น ในวันที่ 25 มีนาคม 2552 เวลา 13.30 – 16.00 น. ณ ห้อง Lotus 3-4 โรงแรม CENTARA GRAND (at Central world) ชั้น 22 โดยมีคุณสุวิภา วรรณสาธพ ผู้อำนวยการเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย และคุณเจริญรัฐ วิไลลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.สามารถคอร์ปอเรชั่น เข้าร่วมแถลงข่าวในครั้งนี้ สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่วรรษกร ปลื้มจิตต์ (ตุ๊ก) 085-9181175 และ วทิรา ลุยากร (ใหม่) 085-9181172
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 085-9181175 วรรษกร ปลื้มจิตต์




* อบรมหลักสูตร “การสืบค้นข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญา"

ศูนย์ฝึกอบรมทรัพย์สินทางปัญญา จัดอบรมหลักสูตร “การสืบค้นข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญา" ซึ่งประกอบด้วย 2 หลักสูตรย่อย คือ หลักสูตรสืบค้นข้อมูลเทคโนโลยีจากเอกสารสิทธิบัตร (Patent Search) และหลักสูตรสืบค้นข้อมูลสารระบบเครื่องหมายการค้า (Trademark Search)
ผู้สนใจสามารถสมัครได้โดยทำการเลือกหลักสูตรและวันที่ที่ต้องการเข้ารับการอบรมตามเอกสารแนบ และแจ้งมาทาง E-mail: iptraining@moc.go.th อีเมลนี้จะถูกป้องกันจากสแปมบอท แต่คุณต้องเปิดการใช้งานจาวาสคริปเพื่ออ่านมันได้ หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ โทร. 02-547-4664 และ 02-547-4314 (ในเวลาราชการ)

การอบรมหลักสูตร “การสืบค้นข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญา
(เครื่องหมายการค้า และ สิทธิบัตร สาขาต่างๆ)”
ครั้งที่
หลักสูตร / ระยะเวลาในการรับสมัคร
วัน-เวลาในการอบรม
ครั้งที่ 1
พฤศจิกายน 2551
เครื่องหมายการค้า
7-26 พ.ย. 2551
28 พ.ย. 51
9.00 น. – 12.00 น.
ครั้งที่ 2
ธันวาคม 2551
สิทธิบัตร สาขา วิศวกรรมเครื่องกล/ไฟฟ้า
1-19 ธ.ค. 2551
22 ธ.ค. 51
9.00 น. – 12.00 น.
ครั้งที่ 3
มกราคม 2552
เครื่องหมายการค้า
5-26 ม.ค. 2552
29 ม.ค. 52
9.00 น. – 12.00 น.
ครั้งที่ 4
กุมภาพันธ์ 2552
สิทธิบัตร สาขา วิศวกรรมฟิสิกส์/ปิโตรเคมี
2-23 ก.พ. 2552
26 ก.พ. 52
9.00 น. – 12.00 น.
ครั้งที่ 5
มีนาคม 2552
เครื่องหมายการค้า
2-23 มี.ค.2552
27 มี.ค. 52
9.00 น. – 12.00 น.
ครั้งที่ 6
เมษายน 2552
สิทธิบัตร สาขา เคมีชีวภาพ/เคมีเทคนิค
1-24 เม.ย. 2552
28 เม.ย. 52
9.00 น. – 12.00 น.
ครั้งที่ 7
พฤษภาคม 2552
เครื่องหมายการค้า
1-25 พ.ค. 2552
28 พ.ค. 52
9.00 น. – 12.00 น.
ครั้งที่ 8
มิถุนายน 2552
สิทธิบัตร สาขา วิศวกรรมเครื่องกล/ไฟฟ้า
1-26 มิ.ย. 2552
29 มิ.ย. 52
9.00 น. – 12.00 น.
ครั้งที่ 9
กรกฎาคม 2552
เครื่องหมายการค้า
1-23 ก.ค. 2552
24 ก.ค. 52
9.00 น. – 12.00 น.
ครั้งที่ 10
สิงหาคม 2552
สิทธิบัตร สาขา วิศวกรรมฟิสิกส์/ปิโตรเคมี
3-24 ส.ค. 2552
27 ส.ค. 52
9.00 น. – 12.00 น.
//www.ipthailand.org/ipthailand/index.php?option=com_content&task=view&id=1031&Itemid=424


โดย: jenifaae วันที่: 26 มีนาคม 2552 เวลา:22:46:43 น.  

 
*บริษัท โมเดอร์นฟอร์มเฮลท์แอนด์แคร์ จำกัด ร่วมกับ โรงพยาบาลกรุงเทพ นำเสนอ "ศาสตร์แห่งการชะลอวัย Anti Aging"

ที่เน้นการรักษาร่างกายคนเราทำงานได้อย่างแข็งแรง และยาวนานยิ่งขึ้น จัดกิจกรรม Healthy Talk พูดคุยกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ Workshop การประกอบอาหารเพื่อสุขภาพ และตรวจสุขภาพด้วยเครื่อง BMI

พร้อมอ่านผลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลกรุงเทพ ณ อาคาร โมเดอร์นฟอร์มทาว์เวอร์ ชั้น 1 ถนนศรีนครินทร์

โดยรายละเอียดของงานมีดังต่อไปนี้

สัปดาห์ที่ 1 : วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม 2552
ศาตร์แห่งการชะลอวัย เพื่อป้องกันภาวะเสื่อม
รอบเช้า 9.30-12.00 น. Healthy Talk
โดย พ.ญ.พัฒศรี (พงษ์สถิต) เชื้อพูล แพทย์เฉพาะทางเวชศาตร์ชะลอวัย และ นพ. วัชรพงศ์ ชูศรี แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรกรรมระบบประสาท จากโรงพยาบาลกรุงเทพ
รอบบ่าย 13.30 – 16.00 น. Workshop
ฝึกทำอาหารเพื่อป้องกันภาวะสมองเสื่อม โดย Chef ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารสุขภาพจากครัวเขาค้อทะเลภู

สัปดาห์ที่ 2 : วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม 2552
เทคนิคการชะลอวัย เพื่อหัวใจที่แข็งแรง
รอบเช้า 9.30-12.00 น. Healthy Talk
โดย พ.ญ. พัฒศรี (พงษ์สถิต) เชื้อพูล แพทย์เฉพาะทางเวชศาตร์ชะลอวัย และ นพ.โชคชัย สุวรรณกิจบริหาร ศัลยแพทย์โรคหัวใจและทรวงอก จากโรงพยาบาลกรุงเทพ
รอบบ่าย 13.30 – 16.00 น. Workshop
ฝึกทำอาหารเพื่อบำรุงหัวใจ โดย Chef ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารสุขภาพจากครัวเขาค้อทะเลภู

สนใจสอบถามหรือสำรองที่นั่ง 02-722-8033-5 ต่อ 333
คุณอะตอม




*สัมมนาพิเศษหัวข้อ “โอกาสไทยใน จีน ฝ่ายุควิกฤตเศรษฐกิจโลก”

บมจ. ซีพี ออลล์ ผู้บริหารร้านสะดวกซื้อ เซเว่น อีเลฟเว่น จัดสัมมนาพิเศษหัวข้อ “โอกาสไทยใน จีน ฝ่ายุควิกฤตเศรษฐกิจโลก” ภายใต้โครงการ Chinese Network Academy โดยมี รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ ที่ปรึกษาคณะกรรมการกรมส่งเสริมการส่งออก เป็นวิทยากร ในวันที่ 25 มีนาคม 2552 เวลา 13.30-17.00 น. ณ โรงแรม The Twin Towers ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่ คุณวันทนีย์ เปรื่องวิทยางกูร โทร. 02-677-9036 โทรสาร 02-677-9030 หรือ E-mail: wantaneepru@cpall.co.th ภายในวันที่ 13 มีนาคม 2552 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 026771921 อรพินท์ ธัญญาพิทักษ์




*กิจกรรมฟังบรรยายพิเศษ สู่ความเป็นเลิศด้านการศึกษาต่อต่างประเทศภายใต้หัวข้อ Australian and UK High Schools

วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม 2552 ณ ร้านทรูไลฟ์ สาขาจามจุรี สแควร์
เวลา 10.00 – 12.00 น.

ทรู คอฟฟี่ ร่วมกับเมนเทอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ศูนย์แนะแนวการศึกษาต่อระดับแนวหน้าของเมืองไทย จัดบรรยาย พิ่มพูนความรู้ให้กับลูกค้า ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Innovative Learning House”
ขอเชิญทุกท่านเข้าร่วมงานบรรยายพิเศษ สู่ความเป็นเลิศด้านการศึกษาต่อต่างประเทศ ภายใต้หัวข้อ Australian and UK High Schools เพื่อเอาใจผู้ปกครองที่สนใจส่งบุตรหลานของตนไปศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาในประเทศออสเตรเลีย และอังกฤษ ในวันเสาร์ที่ 21 มีนาคม 2552 ณ ร้านทรูไลฟ์ สาขาจามจุรี สแควร์ เวลา 10.00 – 12.00 น.

สื่อมวลชนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่:
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น
พิมลพรรณ ศิริวงศ์วานงาม โทร: +66 (0) 2699 2772 อีเมลล์: pimolpan_sir@truecorp.co.th
โปรดปราน เสริญวงศ์สัตย์ (ผิง) โทร: +66 (0) 2699 2774 อีเมลล์: prodpran_ser@truecorp.co.th
บริษัท ธนบุรินทร์ เอเชีย แปซิฟิค จำกัด
เกษมศรี ยูเฟมิโย (081 611 4696) โทร: +66 (0) 2231 6158 อีเมลล์: kasemsri@thanaburin.co.th
ธิดาพร จำรัสคำ (081 734 0473) โทร: +66 (0) 2231 6159 อีเมลล์: tidaporn@thanaburin.co.th ศูนย์แนะการศึกษาต่อต่างประเทศ เมนเทอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล
รัชฏาภรณ์ พิชัยศรีสวัสดิ์ โทร: +66 (0) 255 5157-9 อีเมลล์: ratchadaporn@mentor.ac


โดย: jenifaae วันที่: 26 มีนาคม 2552 เวลา:22:47:25 น.  

 
*งาน ‘ร้อยกิจกรรมวันหนังสือเด็กแห่งชาติ’

เนื่องในโอกาสวันหนังสือเด็กแห่งชาติ ซึ่งตรงกับวันที่ 2 เมษายน ของทุกปี เป็นวันสำคัญเนื่องในวันพระราชสมภพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และเป็นวันเกิดของ ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน นักเขียนและนักเล่านิทานชาวเดนมาร์ก ซึ่งเป็นนักแต่งนิทานที่มีชื่อเสียงในระดับโลก จึงเป็นโอกาสอันดี ที่จะมีการจัดกิจกรรมสร้างวัฒนธรรมรักการอ่าน ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย ประเทศซึ่งได้ชื่อว่ามีสถิติการอ่านน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ
งาน ‘ร้อยกิจกรรมวันหนังสือเด็กแห่งชาติ’ จึงเกิดขึ้น จากความร่วมมือขององค์กรต่างๆ ที่เห็นความสำคัญของการส่งเสริมการอ่าน โดยมี 4 องค์กรหลักคือ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ(สกศ.), สำนักงานอุทยานการเรียนรู้(TK Park), มูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก นิตยสาร Mother & Care และองค์กรอื่นๆ อีกจำนวนมาก
โอกาสนี้ทั้ง 4 องค์กร มีความยินดีขอเรียนเชิญสื่อมวลชนทุกท่าน เข้าร่วมงานแถลงข่าว ‘ร้อยกิจกรรมวันหนังสือเด็กแห่งชาติ’ ในวันพุธที่ 18 มีนาคม 2552 เวลา 13.30-16.00 น. ณ ลานสานฝัน TK Park ชั้น 8 เซ็นทรัลเวิร์ล
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ(สกศ.), สำนักงานอุทยานการเรียนรู้(TK Park), มูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก และนิตยสาร Mother & Care หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความร่วมมือจากสื่อมวลชนทุกท่านในการเข้าร่วมงานแถลงข่าวและประชาสัมพันธ์กิจกรรมดังกล่าวต่อไป

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์โทร.02-628-8818-9/086-5488388 /089-4825866 กมลฉัตร/รวิยา


โดย: jenifaae วันที่: 26 มีนาคม 2552 เวลา:22:48:10 น.  

 
*the New Look of Library with "Pop Culture Corner"

The Japan Foundation, Bangkok (JFBKK) introduces the New Look of Library with "Pop Culture Corner"
"Japanese Boom" is a phenomenon which has been commonly happening in Thailand for some time. We can easily find people who frequently love to have Japanese food or repeatedly visit Japan. The number of Japanese language learners almost doubled in the past ten years and reaches around 70,000 (from the survey done by the Japan Foundation in 2006). One of the reasons for this might be the great amount of interest in Japanese pop culture, for example, animation, manga, fashion or music.
In order to facilitate the young Thais with the opportunity to experience Japanese pop culture more closely and conveniently, JFBKK has extended its new service, "Pop Culture Corner" which has been completed along with the recent renovation of our library. In the area of this corner, visitors can listen to the newest songs by J-POP artists sent directly from Japan, and they will be updated with 40 new songs monthly. Manga and fashion magazines are provided, along with DVD concerts of popular artists. In the book section, we still have a large number of books on Japanese culture and Japanese language education of around 20,000; the number of our audiovisual media adds up to around 2,000 and we still provide a variety of newspapers and magazines. Please see the photos of our newly renovated library at <//www.jfbkk.or.th/2009/lib_renovate.php3>.
On the occasion of the commencement of our new-look library, JFBKK will hold an event which includes Japanese language and pop culture activities on June 30th to be participated by high school students. In this event, there will be the demonstration of Japanese language teaching by using the book, "Let's learn Japanese by DVD Erin's Challenge! I Can Speak Japanese", which was just translated into Thai and published recently. Moreover, there will be "Erin Manga Contest" which invites high school students to participate by adding Japanese sentences to the cartoons in this book. In the evening, there will be the special film showing of "Shimotsuma Monogatari" (directed by Tetsuya Nakashima); this film is a romantic comedy which portrays the lifestyle and fashion of Japanese youths at present. Interested persons are cordially invited to join this film presentation.
Thus, JFBKK will have to close the library service on that day in order to hold this event. We apologize for the inconvenience.
Date / Time / Venue
Date / Time Tuesday 30th June 2009, 13.30 – 16.00
Venue The Japan Foundation, Bangkok
10th Fl, Sermmit Tower, 159 Sukhumvit 21, Bangkok 10110
Tel. 0-2260-8560~4 Fax. 0-2260-8565

Program
Part 1
13.30-14.20 Opening ceremony (speech by honorary guest, introducing the library)
14.30-15.30 Demonstration of Japanese Language Teaching with "Let's learn Japanese by DVD Erin's Challenge! I Can Speak Japanese"
15.30-16.00 Erin Manga Contest and award presentation
Part 2
18.30-20.30 Special film showing, "Shimotsuma Monogatari" staring Kyoko Fukada, Anna Tsuchiya (first shown in 2004) with Thai subtitles

For further information, please contact:
Japanese: Mr.Uchida (uchida@jfbkk.or.th) or Mr.Hirabayashi (hirabayashi@jfbkk.or.th)
Thai/English: Ms.Duangchai (duangchai@jfbkk.or.th) or
Ms.Chanida (chanida@jfbkk.or.th)


-------------------------------------------------------
The Japan Foundation, Bangkok
10th Fl. Serm-Mit Tower,
159 sukhumvit 21 Rd., Bangkok 10110
Tel. (662) 260-8560-4 Fax. (662) 260-8565
Website: //www.jfbkk.or.th




**เชิญชมนิทรรศการ "24 มิถุนา (อดีต?) วันชาติไทย"

24 มิถุนา (อดีต?) วันชาติไทย

หากเปิดปฏิทินดูทุกวันนี้ เราจะพบว่า "วันชาติไทย" ตรงกับ
วันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี อันเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ของกษัตริย์ไทย

แต่หากย้อนเวลากลับไปเพียงไม่ถึงกึ่งศตวรรษที่แล้วนั้น
วันชาติไทย กลับตรงกับวันที่ 24 มิถุนายน อันเป็นวันเปลี่ยน
แปลงการปกครองเมื่อพุทธศักราช 2475

จากวันชาติไทย ซึ่งเฉลิมฉลองปรากฏการณ์ที่ "ราษฎร"
สามารถลุกขึ้นมายึดอำนาจจากสถาบันกษัตริย์ในนามของ
ประชาธิปไตย กลายมาเป็นวันชาติไทย ซึ่งเฉลิมฉลองวัน
พระราชสมภพของกษัตริย์ได้อย่างไร?

ชมรมประวัติศาสตร์ ขอเชิญทุกท่านร่วมค้นหาประวัติศาสตร์
การต่อสู้ของสองขั้วอำนาจที่หายไปจากความทรงจำของชาว
ไทยในเสวนาวิชาการครั้งนี้


วิทยากร:

สมยศ พฤกษาเกษมสุข - แกนนำ นปช รุ่นสอง ผู้เสนอให้นำเอา
24 มิถุนายน กลับมาเป็นวันชาติอีกครั้ง

รศ. ดร. สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ - ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ 2475
จะอภิปรายบริบทของวันชาติไทยทั้งสอง "เวอร์ชั่น"

ดร. พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ - นักรัฐศาสตร์เจ้าของรายการ "บ้านเมือง
ไม่ใช่ของเรา" จะร่วมค้นหาว่า วันชาติไทยเป็นของใคร

วันอังคารที่ 23 มิถุนายน 2552
เวลา 16.00-18.00

ห้อง 707 ตึกบรมราชกุมารี คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

*เชิญชมนิทรรศการ "24 มิถุนา (อดีต?) วันชาติไทย" ที่โถงตึกบรมราชกุมารี ตั้งแต่วันที่ 22 - 26 มิถุนายน*

จัดโดย ชมรมประวัติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

รายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อ

--
Suluck Lamubol (Fai)

Chulalongkorn University
Student Federation of Thailand

Email: Suluck@gmail.com
MSN: suluck_fai@hotmail.com
Skype: fai.suluck




*พบกับเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ที่เหนือกว่า กล้อง CCTV!!

ปรากฎการณ์ใหม่ของ ตลาดกล้องวงจรปิด !! แอ็กซิสเปิดตัวเทคโนโลยีล่าสุดสำหรับ ‘กล้องวิดีโอวงจรปิดบนเครือข่าย’ พร้อมเผยกลยุทธ์และความสำเร็จในตลาดประเทศไทย

โลกกำลังเปลี่ยนแปลงจากการใช้กล้องวิดีโอวงจรปิดแบบอนาล็อคไปสู่ยุคของกล้องวิดีโอดิจิตอล ทำให้ปรากฎการณ์การเติบโตของตลาดกล้องวิดีโอวงจรปิดบนเครือข่าย (Network VDO Solution) สูงขึ้นอย่างน่ามหัศจรรย์ และยังได้รับการยอมรับว่าเป็นเทคโนโลยีที่เติบโตอย่างเห็นได้ชัด ด้วยความได้เปรียบทั้งด้านค่าใช้จ่ายและประสิทธิภาพ โซลูชั่นวิดีโอบนเครือข่ายนั้นจึงกลายเป็นโซลูชั่นหลักของตลาด ณ ปัจจุบัน

แอ็กซิส ผู้นำในตลาดนวัตกรรมล่าสุดด้าน “โซลูชั่นกล้องวิดีโอวงจรปิดบนเครือข่าย” ขอเรียนเชิญท่านสื่อมวลชนเข้าร่วมงานแถลงข่าวเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่ช่วยให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์สูงสุดต่อสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน พร้อมความสำเร็จและอัพเดทกลยุทธ์ธุรกิจสำหรับประเทศไทย สื่อมวลชนทุกท่านจะได้พบกับมิสโบดิล โซเนสสัน กัลลอง รองประธานกรรมการฝ่ายการขาย บริษัทแอ็กซิส คอมมูนิเคชั่น เพื่อได้รับทราบวิสัยทัศน์และภารกิจของบริษัท ภาพรวมและแนวโน้มของตลาดทั่วโลก ระดับภูมิภาค และประเทศไทย

นอกจากนั้น ผู้บริหารยังร่วมให้ข้อมูลเกี่ยวกับความท้าทายและโอกาสที่จะเติบโตในตลาดประเทศไทยและระดับภูมิภาค ทำอย่างไรที่จะตอบสนองความต้องการที่เติบโตขึ่นเรื่อยๆในปัจจุบัน รวมถึงบทบาท

ความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีของแอ็กซิสที่ช่วยขับเคลื่อนพันธมิตรทางธุรกิจต่อสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน งานแถลงข่าวจัดขึ้นตามรายละเอียดดังนี้

วัน พฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน 2552

เวลา 10.30 – 12.00 น. (ลงทะเบียน 10.30 น.และร่วมรับประทานอาหารกลางวันหลังงานแถลงข่าว)

สถานที่ ห้องอโศก 2 (ชั้น 2) โรงแรมเชอราตันแกรนด์ สุขุมวิท (รถไฟฟ้าBTS & รถไฟใต้ดินสถานีอโศก)

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อคุณปราณีหรือคุณญาดาที่ pranee@pc-a.co.th/yada_t@faq.co.th หรือโทร 02 9713711

10.30 น. สื่อมวลชนลงทะเบียนพร้อมรับประทานอาหารว่าง

11.00 น. พิธีกรกล่าวต้อนรับ

11.05 น. มิสโบดิล โซเนสสัน กัลลอง
รองประธานกรรมการฝ่ายขาย แอ็กซิส คอมมูนิเคชั่น
- ภาพรวมของตลาดกล้องวิดีโอวงจรปิดบนเครือข่ายทั่วโลกและระดับภูมิภาค
- วิสัยทัศน์ของแอ็กซิสและกลยุทธ์ในระดับภูมิภาค และประเทศไทย

11.25 น. มร. โอ ที ลี
ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิคใต้ และ
มร. นาฟิส จัสมานี
ผู้จัดการฝ่ายขายประจำภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
- ความสำเร็จของแอ็กซิสในประเทศไทยและ เอเชียแปซิฟิค
- ความท้าทายและโอกาสที่จะเติบโตในตลาดประเทศไทยและระดับภูมิภาค
- บทบาทของแอ็กซิสต่อสถานการณ์ธุรกิจในปัจจุบัน
- ความเชี่ยวชาญ & เทคโนโลยีของแอ็กซิสต่อสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน

11.45 น. สาธิตการใช้ผลิตภัณฑ์

12.00 น. ตอบคำถามสื่อมวลชน

12.10 น. จบการแถลงข่าวและขอเชิญรับประทานอาหารกลางวัน


โดย: jenifaae วันที่: 29 มิถุนายน 2552 เวลา:19:43:13 น.  

 
*ขอเชิญท่านเข้าร่วมรับฟังการประชุมวาระแห่งชาติ เรื่อง “การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย การวางรากฐาน ระบบไอซีทีของ ประเทศ”

อินเทล ขอเชิญท่านเข้าร่วมรับฟังการประชุมวาระแห่งชาติ เรื่อง “การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย การวางรากฐาน ระบบไอซีทีของ ประเทศ” จัดโดย กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2552
ตั้งแต่เวลา 08:00 – 12.00 น.
ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ไอซีที ๓ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
อาคาร 9 บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ถนนแจ้งวัฒนะ หลักสี่ กรุงเทพฯ

กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในฐานะหน่วยงานหลักที่สนับสนุนให้ประชาชนทุกภาคส่วนได้มีโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอย่างทั่วถึง ได้เปิดโอกาสให้กระทรวงต่างๆ มีส่วนร่วมในการกำหนดแนวทางและผลักดันให้มีการบรรจุอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงไว้ในแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของชาติ ในฐานะที่เป็นเทคโนโลยีขั้นพื้นฐานของประเทศ กระทรวงฯ จึงจัดให้มีงานประชุมวาระแห่งชาติครั้งนี้ขึ้น
ทั้งนี้ บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด ขอเชิญท่านเข้าร่วมงานอภิปรายในครั้งนี้ เพื่อรับฟังถึงแนวทางในการวางรากฐานระบบไอซีทีของหน่วยงานต่างๆ ในภาครัฐบาล ที่จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นและเป็นการพัฒนาประเทศต่อไปในระยะยาว
ภายในงานท่านจะได้รับทราบถึง:
การแถลงถึงนโยบายของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เกี่ยวกับการผลักดันเทคโนโลยีบรอดแบนด์ให้เป็นแผนวาระแห่งชาติ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทย
โดยร้อยตรีหญิงระนองรักษ์ สุวรรณฉวี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

การนำเสนอ “กรณีศึกษา: เทคโนโลยีบรอดแบนด์ช่วยกระตุ้นจีดีพีได้จริงหรือ?”
โดยผู้บริหารจากบริษัท Connected Nation, Inc .ประเทศสหรัฐอเมริกา
ที่ปรึกษาด้านแผนกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐบาลของนาย บารัค โอบามา

การกล่าวสรุปกรณีศึกษาและกล่าวถึงภาพรวมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่เอื้อต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทย
โดย นายเอกรัศมิ์ อวยสินประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ
บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด

การอภิปรายและแสดงความคิดเห็นในหัวข้อ การลงทุนด้านไอซีทีของภาครัฐ จะมีส่วนช่วยสนับสนุนและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทยได้อย่างไร
โดยนายอังศุมาล ศุนาลัย รองปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ร่วมด้วยผู้บริหารระดับซีไอโอจาก 20 กระทรวง รวมถึง สำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน)

สอบถามเพิ่มเติม หรือยืนยันการเข้าร่วมกิจกรรม กรุณาติดต่อ:
สายวรุณ หรือ นิดา คาร์ลบายร์ แอนด์ แอสโซซิเอทส์
โทรศัพท์ 0-2627-3501 ต่อ 213, 108
หรือ อีเมล์ saiwaroon@carlbyoir.com.hk และ npuwanich@carlbyoir.com.hk




*ขอเรียนเชิญผู้สนใจทุกท่าน เข้าร่วมรับฟังแนวทางพัฒนา Outsourcing ด้วย ISO29110 VSE Model

ISO29110 VSE Model ISO29110 เป็นแนวคิดยุคใหม่ของ ISO ที่เน้นการเติบโตของอุตสาหกรรมขนาด กลางและเล็ก รวมทั้งผู้ประกอบใหม่ ที่เข้ามาให้มีโอกาสในการแข่งขันตามแนวทางการพัฒนา ฯ Outsourcing ที่มีความสลับซับซ้อนยุ่งยาก ในการปฏิบัติตาม ประกอบกับมาตรฐานซอฟต์แวร์ระดับสากลที่มีอยู่ในปัจจุบันจะตอบรับกับการปฏิบัติขององค์กรขนาดใหญ่ ISO29110 จึ่งถูกพัฒนาด้วยแนวคิดพื้นฐานเพื่อสนับสนุนองค์กรขนาดเล็ก ให้มีโอกาสในการรับรองคุณภาพต่อไปในระดับสากล จึงขอเรียนเชิญผู้สนใจทุกท่าน เข้าร่วมรับฟังแนวทางพัฒนา Outsourcing ด้วย ISO29110 VSE Model

โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตามวันและเวลาดังกล่าว

ระยะเวลา วันอังคารที่ 23 มิถุนายน 2552 เวลา 9.30 – 15.00 น.(เริ่มลงทะเบียนเวลา 9.00 – 9.30 น.)

สถานที่ ห้องอบรม ชั้น 6 อาคารพญาไทพลาซ่า (อาคารจะติดกับสถานที่รถไฟฟ้าBTS พญาไท)

เอกสารประกอบการฝึกอบรม

สามารถ download ได้ ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 19 มิ.ย. เป็นต้นไป

ที่ //www.center4vse.net/eng/default.aspx?targetCtrl=uc_supporting_center

การรับสมัครและการติดต่อ

รายละเอียดการอบรมและเอกสารการสมัคร

ที่ //www.swpark.or.th/spi@ease/img/ISO29110%20intro%20course_promotion.pdf

ส่งใบลงทะเบียนได้ที่

Fax: 02-216-5771 หรือที่ Mail : jintana@thaicom.tv

ติดต่อสอบถามได้ที่

คุณจินตนา เหล่าขาล เบอร์ติดต่อ 02-216-5769




*งานสัมมนาเรื่องพลอยสี ฟรี

สถาบันจีไอเอจัดงานสัมมนาเรื่องพลอยสี ฟรี โดยมี ดร.ดีทมาร์ ชวาทส์ จากแลปอัญมณีศาสตร์กูเบอลิน สวิสเซอร์แลนด์มาให้ความรู้ สถาบันอัญมณีศาสตร์แห่งสหรัฐอเมริกา หรือจีไอเอ สาขาประเทศไทย จะจัดงานฉลองครบรอบสัมมนาด้านอัญมณีครั้งที่ 25 ขึ้น ซึ่งงานนี้ ได้รับเกียรติจาก ดร.ดีทมาร์ ชวาทส์ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านอัญมณีศาสตร์จากศูนย์วิจัยอัญมณีศาสตร์กูเบอลิน สวิสเซอร์แลนด์ มาร่วมเป็นวิทยากรโดยให้ความรู้ในหัวข้อ “พลอยสี – จากเหมืองสู่เมือง” ในการสัมนาครั้งนี้จะกล่าวถึงประสบการณ์ของดร.ชวาทส์ในด้านการศึกษาพลอยสีทั้งในรูปแบบของวิชาการและภาคสนาม

อนึ่ง โดยทางสถาบันจีไอเอ ขอเชิญผู้ที่สนใจ ร่วมรับประทานอาหารว่างและเครื่องดื่ม ณ ห้อง มูราโน ชั้น 2 โรงแรมตะวันนา ในวันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2552 เริ่มเวลา 18.00 น. ซึ่งการบรรยายจะเริ่มต้นเวลา 19.00 น.

งานสัมมนานี้ จัดขึ้นโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งนี้ สำหรับผู้สนใจทั่วไป สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและสำรองที่นั่งได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 02-632-4090 และ 02-237-9575 ภายในวันอังคารที่ 23 มิถุนายนนี้

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ:
รุ่งนภา ชาญวิเศษ
เวเบอร์ แชนด์วิค โทร. 02 343 6000 ต่อ 061
E-mail: rungnapa@webershandwick.com




* การสัมมนาเผยแพร่ผลงานวิจัย เรื่อง กลยุทธ์การขับเคลื่อนนวัตกรรมการเปลี่ยนผ่านการศึกษา “สัตตศิลา” สู่โรงเรียน

วันอังคารที่ 23 มิถุนายน 2552
ณ ห้องมิราเคิลแกรนด์ เอบี โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร วันอังคารที่ 23 มิถุนายน 2552

08.30 – 09.30 น. ผู้เข้าร่วมสัมมนาลงทะเบียน/รับเอกสาร
รับประทานอาหารว่าง (น้ำชา - กาแฟ)
09.30 – 10.00 น. พิธีเปิดการสัมมนาเผยแพร่ผลงานวิจัย เรื่อง กลยุทธ์การขับเคลื่อนนวัตกรรมการเปลี่ยนผ่านการศึกษา “สัตตศิลา” สู่โรงเรียน
กล่าวรายงาน โดย นางกาญจนา ปานข่อยงาม
รองเลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
กล่าวเปิด โดย ศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ บุณยะรัตเวช
เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
10.00 – 11.00 น. การบรรยาย เรื่อง หลัก “สัตตศิลา”
โดย ศาสตราจารย์ ดร. ไพฑูรย์ สินลารัตน์
หัวหน้าโครงการวิจัย
รองศาสตราจารย์ ลัดดา ภู่เกียรติ
รองศาสตราจารย์ ดร.อาชัญญา รัตนอุบล
คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
11.00 – 12.00 น. การนำเสนอผลงานวิจัย เรื่อง กลยุทธ์การขับเคลื่อนนวัตกรรมการเปลี่ยนผ่านการศึกษา “สัตตศิลา” สู่โรงเรียน
โดย ศาสตราจารย์ ดร.ไพฑูรย์ สินลารัตน์
ศาสตราจารย์ ดร.ศิริชัย กาญจนวาสี
ศาสตราจารย์ ดร.สุวิมล ว่องวาณิช
คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
12.00 – 12.30 น. การเสวนาและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน
โดย นายญาณวิทย์ บัวหอม
รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาศรีษะเกษ เขต3
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เสนอ ภิรมจิตผ่อง
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
ดร.สมลักษ์ พรหมมีเนตร
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิษณุโลก เขต 1
12.30 น. สรุปและปิดการสัมมนา
รับประทานอาหารกลางวัน


โดย: jenifaae วันที่: 29 มิถุนายน 2552 เวลา:19:46:28 น.  

 
*การประชุมระดมสมอง เรื่อง “โอกาสหรือวิกฤตการวิจัยเซลล์ต้นกำเนิดของประเทศไทย”

สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กำหนดจัดการประชุมระดมสมอง เรื่อง “โอกาสหรือวิกฤตการวิจัยเซลล์ต้นกำเนิดของประเทศไทย” ในวันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน 2552 ณ ห้องมิราเคิลแกรนด์ A ชั้น 4 โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร โดย ศาสตราจารย์อานนท์ บุณยะรัตเวช เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ เป็นประธาน เวลา 09.00 น.

สำนักอำนวยการกลาง
ส่วนประชาสัมพันธ์และเผยแพร่
โทร. 0 2579 0431 , 0 2561 2445 ต่อ 473
โทรสาร 0 2579 9775




*ขอเชิญสมาชิก สสว. ร่วมงานเสวนา " SMEs จะได้อะไรจากโครงการประกันสินเชื่อ"

เรียน สมาชิก สสว.


ตามที่ท่านได้ให้ความสนใจและสมัครเป็น "สมาชิก สสว." นั้น สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ขอขอบพระคุณในความสนใจและเข้าร่วมเป็น สมาชิก สสว. โดย สสว. จะเร่งดำเนินการวางแผนและจัดให้มีกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ เพื่อมอบให้แก่ท่านในโอกาสต่อไป


สำหรับกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ที่ สสว. จะขอแจ้งแก่ท่านในขณะนี้ คือ สสว. ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย จัดงานเสวนา "SMEs จะไ้ด้อะไรจากโครงการประกันสินเชื่อ" ในวันที่ 19 มิย. 52 เวลา 9.00 - 12.00 น. ณ ห้องประชุมป๋วย อึ๊งภากรณ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์เื่พื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ได้ทราบและเข้าใจถึงมาตรการของภาครัฐที่ให้การช่วยเหลือ SMEs ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อของ บสย. ได้รับทราบรายละเอียดโครงการค้ำประกันสินเชื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน โดยภายในงานจะเป็นการเสวนาของผู้บริหาร ธปท., สสว., บสย., และธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะเป็นโอกาสให้ผู้ร่วมงานได้ซักถามโดยตรงกับวิทยากรที่เป็นผู้บริหารของหน่วยงานนั้น ๆ ด้วย

จึงใคร่ขอเรียนเชิญสมาชิก สสว. ที่มีความสนใจ และต้องการใช้บริการการค้ำประกันสินเชื่อของ บสย. เข้าร่วมงานดังกล่าว โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย (ฟรี) สมัครด่วน!!! รับจำนวนจำกัด


Download รายละเอียดเพิ่มเติม ดังนี้

1. กำหนดการเสวนา
2. ใบตอบรับเข้าร่วมการเสวนา
ที่มา : //cms.sme.go.th/cms/c/journal_articles/view_article_content?article_id=01-ACTIVITY-150609


สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและส่งใบสมัคร ได้ที่

ธนาคารแห่งประเทศไทย
คุณวนิดา เก่งเขตต์วิทย์
โทรศัพท์ 02-356-7613
โทรสาร 02-356-7425
E-Mail : wanidak@bot.or.th




* เชิญร่วมงานสัมมนาฟรี I-INSPIRE Season 2 ปลุกเร้าแรงบันดาลใจ เติมไฟธุรกิจฯ

เรียน สมาชิก สสว.

ตามที่ท่านได้ให้ความสนใจและสมัครเป็น "สมาชิก สสว." นั้น สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ขอขอบพระคุณในความสนใจและเข้าร่วมเป็น สมาชิก สสว. โดย สสว. จะเร่งดำเนินการวางแผนและจัดให้มีกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ เพื่อมอบให้แก่ท่านในโอกาสต่อไป

สำหรับกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ที่ สสว. จะขอมอบแก่ท่านในขณะนี้ คือ สมาคมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสตรีไทย (TWoSA) ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กำหนดจัดงานสัมมนา I-INSPIRE Season 2 “ปลุกเร้าแรงบันดาลใจ เติมไฟธุรกิจ พิชิตวิกฤติเศรษฐกิจด้วย สปีริต SMEs” ในวันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน 2552 เวลา 12.30-16.30 น. ณ หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย ชั้น 3 อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถ.รัชดาภิเษก เขตคลองเตย กรุงเทพฯ

จึงใคร่ขอเรียนเชิญสมาชิก สสว. และผู้สนใจทั่วไป เข้าร่วมงานดังกล่าวโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ

ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

1. รายละเอียดงาน
2. ข้กำหนดการ
3. ใบสมัคร
4. แผนที่ไปงาน


*** สมาชิกที่สนใจโครงการดังกล่าว กรุณาโทรเพื่อสมัครโดยตรง ตามเบอร์โทรของ สมาคมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสตรีไทย เท่านั้นค่ะ ***

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสำรองที่นั่ง (รับจำกัดภายใน 16 มิ.ย. 52) ได้ที่

คุณสุธิษา ธรรมวิลัยพันธ์
สมาคมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสตรีไทย (TWoSA)
โทรศัพท์/โทรสาร : 0-2382-2159
มือถือ 08-6367-7279

E-mail: twosapr@gmail.com , twosaadmin@gmail.com




*ขอเชิญร่วมสัมมนา "ทิศทางและการเตรียมความพร้อมเพื่อการจัดตั้ง..."

เรียน สมาชิก สสว.

ตามที่ท่านได้ให้ความสนใจและสมัครเป็น "สมาชิก สสว." นั้น สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ขอขอบพระคุณในความสนใจและเข้าร่วมเป็น สมาชิก สสว. โดย สสว. จะเร่งดำเนินการวางแผนและจัดให้มีกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ เพื่อมอบให้แก่ท่านในโอกาสต่อไป

สำหรับกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ที่ สสว. จะขอแจ้งแก่ท่านในขณะนี้ คือ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) โดย โครงการศึกษาวิเคราะห์และเตือนภัย SMEs รายสาขา (วต.) ร่วมกับ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่กำหนดจัดงานสัมมนา ภายใต้หัวข้อเรื่อง “ทิศทางและการเตรียมความพร้อมเพื่อการตั้งศูนย์กลางโลจิสติกส์คู่แฝดโลก : ไทย-กวางโจว” ในวันที่ 29 มิถุนายน 2552 เวลา 8.30 – 13.00 น. ณ โรงแรมเรดิสัน กรุงเทพฯ เพื่อรายงานสรุปสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของไทยและของ SMEs รายสาขาอุตสาหกรรม รวมถึงเพื่อชี้แนะโอกาสการลงทุน ให้ผู้ประกอบการ SMEs หรือส่งสัญญาณเตือนภัยในกรณีที่ธุรกิจอาจเกิดปัญหาในภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ และการเตรียมความพร้อมในการปรับตัวให้ทันต่อกระแสโลกาภิวัฒน์ สามารถแข่งขันได้ อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในด้านบริการโลจิสติกส์ของ SMEs ไทยเพื่อก้าวไปสู่การเป็น Knowledge-based SMEs ที่สมบูรณ์แบบต่อไป
ในการนี้ สสว. ใคร่ขอเรียนเชิญท่านสมาชิก สสว. ท่านผู้ประกอบการ SMEs ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้สนใจทั่วไปเข้าร่วมงานสัมมนาดังกล่าว โดยสามารถลงทะเบียนสำรองที่นั่ง ได้ทางออนไลน์ภายใน วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน 2552 เป็นอย่างช้า สำหรับท่านผู้สนใจ สามารถดาวน์โหลดกำหนดการ ใบสมัครสัมมนา และแผนที่สถานที่จัดงาน ได้ตามด้านล่าง

รายละเอียดเพิ่มเติม

กำหนดการสัมมนา

แผนที่โรงแรมเรดิสัน

สมัครสัมมนาออนไลน์

ตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมงาน *** ตั้งแต่ วันที่ 26 มิถุนายน 2552 เป็นต้นไป ***
ปล. กรณีคลิกสมัครสัมมนาออนไลน์ อย่าเปิดเว็บไซต์ผ่านโปรแกรม เช่น outlook (จะไม่สามารถสมัครออนไลน์ได้) เว็บไซต์จะแสดงผลได้ดีที่สุด บนโปรแกรม Internet Explorer
วิฺธีแก้ไข เปิดโปรแกรม Internet Explorer (IE) เข้าไปที่ //app.sme.go.th/survey/view_sheet_detail.do?questionaireSheet.sheetId=3679 แล้วจึงทำการพิมพ์เพื่อสมัคร


ที่มา : //cms.sme.go.th/cms/c/journal_articles/view_article_content?article_id=01-ACTIVITY-120609

หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณสมศรี, คุณอริยวัตร,คุณมะลิวรรณ
โครงการศึกษาวิเคราะห์และเตือนภัย SMEs รายสาขา (สสว.)
โทรศัพท์ : 02-278-8800 ต่อ 466, 126, 129,
โทรสาร 02-278-8800 ต่อ 146 E-mail: maliwan@sme.go.th


โดย: jenifaae วันที่: 29 มิถุนายน 2552 เวลา:19:47:46 น.  

 
*Training of Trainers (TOT)

การฝึกทักษะการเป็นกระบวนการ

เหมาะสำหรับ
-นิสิตนักศึกษาที่ทำงานชมรม/สโมสร/องค์การ
- คนที่ชอบทำค่ายนานาชนิด
- คนที่อยากฝึกตนเองเพื่อการนำกิจกรรม Group Dynamic ไปใช้ต่อ
- คนที่อยากเรียนรู้สิ่งใหม่ๆเพื่อการพัฒนาตนเองและเข้าใจผู้อื่น

ผู้เข้าร่วมจะได้ฝึก
- การนำกิจกรรมสันทนาการ และเกมเพื่อการพัฒนาหลากรูปแบบ
- ฝึกการนำคุย จับประเด็น ขึ้นกระดานอย่างมีประสิทธิภาพ
- เรียนรู้กระบวนการกิจกรรมต่างๆที่นำไปสู่การเข้าใจตนเองและผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง


จัดโดย กลุ่ม Food not Bombs Thailand ร่วมกับสถาบันต้นกล้า
อบรมวันอังคารที่ 30 มิถุนายน – วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม 2552
สถานที่ อุทยานแห่งชาติวนกร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

ค่าเข้าร่วมอบรม 200 บาท
สมัครภายในวันที่ 25 มิถุนายน 2552

สนใจติดต่อได้ที่ ฝ้าย 086 319 3976 หรือ แอดเอ็มมาคุยก่อนที่ freethinker@windowslive.com นะจ๊ะๆ




*การเสวนาพิเศษของ มหาวิทยาลัยสยาม ได้ในหัวข้อ "สร้างเป้าหมายให้ชีวิต...เพื่อ อนาคตที่ดีกว่า"

หากคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องวางแผนอนาคต แต่ขาดติวเตอร์ เข้าร่วมฟังการเสวนาพิเศษของ มหาวิทยาลัยสยาม ได้ในหัวข้อ "สร้างเป้าหมายให้ชีวิต...เพื่อ อนาคตที่ดีกว่า" โดยเนื้อหาจะมีตั้งแต่การเสริมสร้างความรู้ให้แก่นักเรียน นักศึกษา เพื่อนำไปใช้ในการวางแผนการศึกษาต่อ และการแนะนำเทคนิคการสมัครงาน รวมถึงแนวทางในการประกอบอาชีพอิสระ เพื่อก้าวสู่เส้นทางอาชีพที่ต้องการได้อย่างมั่นคง

งานนี้ได้วิทยากรที่มีความรู้และมีประสบการณ์ในสาขาวิชาชีพและการรับสมัครงาน มาร่วมพูดคุยเสนอแนวคิดในการวางเป้าหมายทางการศึกษา อย่างเฉลียว อยู่สีมารักษ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา พิชัย เอกพิทักษ์ดำรง อธิบดีกรมการจัดหางาน รศ.ดร.อัญชลี จันทาโภ ผู้อำนวยการสำนักรับสมัครนักศึกษา มหาวิทยาลัยสยาม โดยได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ นริศรา ชวาลตันพิพัทธ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีและปาฐกถาพิเศษ นักศึกษาทั้งในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและระดับอาชีวศึกษาสามารถเข้าร่วมงานได้ในวันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน 2552 เวลา 08.00-12.00 น. ที่ห้องประชุมมหาวิทยาลัยสยาม ผู้เข้าร่วมงานจะได้รับเอกสารวิชาการ อาหาร และของที่ระลึก โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ และหากสถานศึกษาหรือนักเรียนที่สนใจ ติดต่อขอสมัครและสำรองที่นั่งเป็นหมู่คณะฟรีได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 22 มิถุนายน 2552 รายละเอียดได้ที่ โทร.0-2618-7781-4 ต่อ 107




*การบรรยายพิเศษด้านโลจิสติกส์

ครั้งที่ 9 ประจำปีงบประมาณ 2552

หัวข้อ “ การบริหารจัดการโลจิสติกส์คลังสินค้า และการขนส่งแนวทางใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ในอุตสาหกรรม”

วันอังคารที่ 14 กรกฏาคม2552 เวลา 08.30 –12.00 น.
ณ ห้องประชุม ชั้น 1 กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่


08.30 - 09.00 น.
ลงทะเบียน

09.00 –09.05 น.
กล่าวต้อนรับ โดย ผู้อำนวยการสำนักโลจิสติกส์

09.05 - 10.30 น.
การบรรยาย หัวข้อ กลยุทธ์ด้านโลจิสติกส์ กับสภาพเศรษฐกิจที่ถดถอย
โดย : ผศ.ดร.วันชัย รัตนวงศ์มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย



10.30 - 10.45น.
พักรับประทานอาหารว่าง

10.45 - 12.00น.
การบรรยายหัวข้อ การจัดการขนส่งสินค้าที่มีประสิทธิผล : วิธีการขนส่ง การกำหนดเส้นทาง อุปกรณ์ เทคโนโลยี และเทคนิค Consolidation, Backhaul, Milk-run, Just-in-time etc.
โดย : ดร. พงษ์ธนา วณิชย์กอบจินดา มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

ขอความกรุณาส่งแบบตอบรับภายในวันศุกร์ที่ 10 กรกฏาคม 2552

สำนักโลจิสติกส์ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ถ.พระรามที่ 6 ราชเทวี กทม. 10400

รายละเอียดเพิ่มเติม

โทรศัพท์ 0 2202 3817, 0 2202 3727 โทรสาร 0 2644 4355

E-Mail: logistics@dpim.go.th

Download ใบสมัครเพิ่มเติมที่ Website: //logistics.dpim.go.th

ติดต่อ: คุณภิญญาพัชญ์ ทัพพะรังสี, คุณอารยา มณีสุวรรณ




*เชิญผู้สนใจเข้ารับการฝึกอบรมถ่ายทอดเทคโนโลยีสารสนเทศ โลจิสติกส์ ครั้งที่ 2

กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) เชิญผู้สนใจเข้ารับการฝึกอบรมถ่ายทอดเทคโนโลยีสารสนเทศ โลจิสติกส์ ครั้งที่ 2 โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ในหัวข้อการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี Barcode ในการจัดการระบบโลจิสติกส์ วันอังคารที่ 30 มิถุนายน 2552 เวลา 08.30-16.15 น. ณ ห้องฝึกอบรม ชั้น 4 กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่

เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการปรับตัวให้สอดรับกับกระแสเศรษฐกิจยุคโลกาภิวัตน์ แล้วยังเป็นการปรับบทบาทเพื่อการพัฒนาและยกระดับสมรรถนะด้านการบริหารจัดการโลจิสติกส์อุตสาหกรรม ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนอย่างยิ่งสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย โดยมุ่งหวังให้สถานประกอบการสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของตลาดและความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคในยุคการค้าเสรี ดังนั้น กพร.จึงเร่งดำเนินยุทธศาสตร์สำคัญด้าน โลจิสติกส์เพื่อขับเคลื่อนและพัฒนาขีดความสามารถของอุตสาหกรรมภาคการผลิต ของประเทศ โดยการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านการบริหารจัดการโลจิสติกส์ในโซ่อุปทานด้วยการประชาสัมพันธ์เชิงรุกควบคู่กับการถ่ายทอดองค์ความรู้แก่ผู้ประกอบการ

ทั้งนี้ การฝึกอบรมรับผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมเพียง 50 รายเท่านั้น สนใจรายละเอียดติดต่อ โทร.สำนักโลจิสติกส์ (website://logistics.dpim.go.th) กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ โทร.0-2202-3817, 0-2202-3727 โทรสาร 0-2644-4355




*กำหนดการสัมมนา “ต้นทุนที่ลดได้ คือกำไรที่เพิ่มขึ้น”

วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน 2552 เวลา 08.30 – 16.30 น.

ณ ห้องแกรนด์ฮอลล์ 1 – 3 ศูนย์การประชุมไบเทค บางนา

8.30 – 9.15 น. ลงทะเบียน
9.15 – 9.45 น. พิธีเปิดการสัมมนา
กล่าวรายงาน โดย นายปราโมทย์ วิทยาสุข อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม

กล่าวเปิดการสัมมนา โดย นายดำริ สุโขธนัง ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม

10.00 น. รับประทานอาหารว่างและเครื่องดื่ม
10.00 – 12.30 น. เสวนาหัวข้อ “ต้นทุนที่ลดได้ คือกำไรที่เพิ่มขึ้น ตอนที่ 1”
โดย นายฉัตรแก้ว ฮาตระวัง ผู้อำนวยการฝ่ายโรงงาน ไทยซัมมิท ออโต้พาร์ท อินดัสทรีย์ จำกัด
นายอภิชาต การุณกรสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเซีย พรีซิชั่น จำกัด
รศ.ดร. จรัมพร หรรษมนตร์ ม. เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
รศ.ดร.สุเทพ บุตรดี รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและพัฒนามหาวิทยาลัย ม. เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (ผู้ดำเนินรายการ)

12.30 – 14.00 น. รับประทานอาหารกลางวัน
14.00 – 16.00 น. เสวนาหัวข้อ “ต้นทุนที่ลดได้ คือกำไรที่เพิ่มขึ้น ตอนที่ 2”
โดย นายประเสริฐ ธรรมมนุญกุล ประธานสมาพันธ์สมาคมอุตสาหกรรมสนับสนุน
นายประสาทศิลป์ อ่อนอรรถ นายกสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย
นายบูรณางค์ ศุขสมิติ กรรมการสมาคมเครื่องจักรกลไทย
นายธันวา เลาหศิริวงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท IBM จำกัด
นายวิโรจน์ ศิริธนาศาสตร์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ไทย
(ผู้ดำเนินรายการ)

16.00 -16.30 บรรยายหัวข้อ “การเข้าถึงแหล่งเงินทุนของธุรกิจ SMEs”
นายปพนธ์ มังคละธนะกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานการตลาดและผลิตภัณฑ์ธุรกิจ SMEs ธนาคารทหารไทย จำกัด มหาชน


โดย: jenifaae วันที่: 29 มิถุนายน 2552 เวลา:19:52:08 น.  

 
*ประชุมวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ เปิดกูรู"มก.- สถาบันสิรินธร"

ดร.สมพร จองคำ ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทน. แถลงข่าวการจัดการประชุมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ ในหัวข้อ "เทคโนโลยีนิวเคลียร์สู่สังคมไทย" วันที่ 2-3 กรกฎาคมนี้ ที่หอประชุมมหิศร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง สทน. และสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (ปส.) ว่า การประชุมดังกล่าว จัดขึ้นเพื่อเผยแพร่ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีนิวเคลียร์ อาทิ ฟิสิกส์ เคมี การแพทย์ โดยงานนี้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จไปทรงเป็นประธานในพิธีเปิดและทรงบรรยายพิเศษให้กับนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย และผู้เข้าร่วมสัมมนาจากทั่วประเทศ

ดร.สมพรกล่าวว่า นักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ระดับชาติ ดร.ซูโอะ มาชิ (Sueo Machi) ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีรังสีจากประเทศญี่ปุ่น ด้านการค้นคว้าเทคโนโลยีรังสีมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม จะมาร่วมงานนี้พร้อมนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ดีเด่นและนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ดาวรุ่งประจำปี 2552 ได้แก่ นางอรุณี วงศ์ปิยะสถิต อาจารย์จากภาควิชารังสีประยุกต์และไอโซโทป คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จากผลงานวิจัยพัฒนาพันธุ์พืชชนิดใหม่ เช่น ถั่วเหลืองพันธ์ "ดอยคำ" ที่ต้านทานต่อโรคราสนิม และให้ผลผลิตสูงในสภาพที่มีการระบาดของโรคราสนิม นักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ดาวรุ่ง คือ ผศ.ดร.ธวัชชัย อ่อนจันทร์ อาจารย์ประจำสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความสามารถในการวิจัยเรื่อง พลาสมาและนิวเคลียร์ฟิวชั่น ซึ่งเป็นการศึกษาพลังงานรูปแบบใหม่จากเชื้อเพลิงไฮโดรเจนนำมาผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้า

ผศ.ดร.ธวัชชัยกล่าวว่า ขณะนี้ได้ร่วมกับฝรั่งเศสศึกษาวิจัยเทคโนโลยีนิวเคลียร์ฟิวชั่นรูปแบบใหม่ ที่ให้พลังงานที่สูงและปลอดภัยกว่า เพื่อเป็นองค์ความรู้พัฒนาเป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศไทยในอนาคต คาดว่าจะได้ประโยชน์ในการให้พลังงานนิวเคลียร์ที่ใช้เชื้อเพลิงน้อยกว่า ไม่เสี่ยงต่อการระเบิด และให้พลังงานที่สูงกว่า โดยใช้เชื้อเพลิงเป็นไอโซโทปไฮโดรเจน ซึ่งเป็นเชื้อเพลงจากน้ำทะเล ไม่ต้องกังวลเรื่องกาก และระเบิด เพราะถ้ามีรอยรั่วปฏิกิริยาจะหยุดทันที




*การสัมมนา “สร้างพลัง ฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจ”

บริษัท NUSKIN ยินดีมอบบัตรเข้ารับฟังการสัมมนา “สร้างพลัง ฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจ” ในวันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม 2552 เวลา 12.00 – 16.30 น. ณ หอประชุม มหิศร อาคารไทยพาณิชย์ ปาร์ค พลาซ่า (ตามรายละเอียดที่แนบ) โดยมีผมและทีมผู้ชำนาญการ ชมรมจึงขอมอบบัตรเข้าฟังฟรีจำนวน 10 ใบให้แก่สมาชิกผู้สนใจ โดยบัตรแต่ละใบมีราคา 120 บาท สมาชิกที่ประสงค์จะได้รับบัตรนี้กรุณาแจ้งความจำนงและส่งรายชื่อมาที่ชมรมคนออมเงินได้จนถึงวันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม 2552 โดยจะแจ้งผลให้ทราบในสัปดาห์ที่ 13 กรกฎาคม 2552




*การสัมมนาทางเศรษฐกิจ “มหัศจรรย์ตลาดอินเดีย – โอกาสทองของไทยในวิกฤติเศรษฐกิจโลก”

ระหว่างวันที่ 2-3 กรกฎาคม 2552 สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี จะจัดการสัมมนาทางเศรษฐกิจ“มหัศจรรย์ตลาดอินเดีย – โอกาสทองของไทยในวิกฤติเศรษฐกิจโลก” ที่โรงแรม อมารีวอเตอร์เกท กรุงเทพฯโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลการวิจัยข้อมูลเชิงลึกตลาดอินเดีย และเพื่อชี้ลู่ทางและโอกาสทางการค้าและการลงทุนไทย-อินเดีย ตลอดจนให้คำแนะนำและขั้นตอนการทำธุรกิจไทยที่สามารถปฏิบัติได้จริงอย่างเจาะลึก ใน 7 สาขา คือ กลุ่มสินค้าเฟอร์นิเจอร์และของใช้ในครัวเรือน วัสดุก่อสร้าง การบริการ ชิ้นส่วนรถยนต์ การขายปลีก และการขนส่ง และสาขาการ
ท่องเที่ยว
สถานเอกอัครราชทูตฯ จึงขอเชิญชวนนักธุรกิจและผู้สนใจ เข้าร่วมการสัมมนา ในวันและสถานที่ดังกล่าว โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น โดยในระหว่างการสัมมนาทั้ง 2 วัน สถานเอกอัครราชทูตฯ จะจัดอาหารกลางวัน พร้อมทั้ง coffee break ทั้งในช่วงเช้า-บ่าย สำหรับบริการผู้เข้าร่วมการสัมมนาทุกท่าน นอกจากนี้ ยังมีเอกสารต่างๆ ที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้เข้าร่วมการสัมมนาด้วยเช่นกัน


เหตุผล – ความสำคัญของตลาดอินเดียในปัจจุบัน


“Recession has not hit India as much as it has impacted the US and other western countries” - Pravin Nanavati, President, Surat Diamond Association.


ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา อินเดียเปรียบเสมือนแหล่งทองของโอกาสทางเศรษฐกิจ ตัวเลขและดัชนีต่างๆ ชี้ให้เห็นว่าการลงทุนในอินเดียยังเดินหน้าไปได้อย่างดี มีการว่าจ้างงานเพิ่มขึ้น และภาคอุตสาหกรรมมีความเข้มแข็ง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ ซีเมนต์ เหล็กกล้า เครื่องจักร การขนส่งทางเรือ และเทคโนโลยีสารสนเทศ ทั้งนี้ ดัชนี Composite Leading Index (CLI) ของธนาคาร Nomura ดัชนี Lead Economic Indicator (LEI) ของธนาคาร UBS และดัชนีPurchasing Managers’ Index (PMI) ของธนาคาร ABN Amro ต่างชี้ไปในทางเดียวกันว่าเศรษฐกิจอินเดียกำลังจะพลิกฟื้นขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว


ตลาดอินเดียจึงเป็นที่จับตาของโลกในขณะนี้ ในส่วนของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นักธุรกิจชาวสิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซียมีความกระตือรือร้นที่จะขยายฐานทางธุรกิจมาในตลาดอินเดีย เช่นเดียวกับนักธุรกิจไทยที่หันมาให้ความสำคัญกับตลาดอินเดียมากขึ้น และจำนวนของผู้ประกอบการไทยในหลากหลายสาขาที่สามารถเข้าถึงตลาดอินเดียได้อย่างประสบความสำเร็จ ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โอกาสทางธุรกิจในอินเดียจึงนับวันจะทวีคูณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะหลังการบรรลุข้อตกลงเขตการค้าเสรีไทย-อินเดีย และในอนาคตอันใกล้อาเซียน-อินเดีย


โดยที่ตลาดอินเดียยังถือว่าเป็นตลาดใหม่ในสายตาของนักธุรกิจไทย ข้อมูลเชิงลึกที่มีประสิทธิภาพจึงมีความสำคัญเพื่อจะนำไปประกอบการวิเคราะห์โอกาสทางธุรกิจและทำความเข้าใจตลาดอินเดียอย่างถูกต้องต่อไป สถานเอกอัครราชทูตฯ จึงเห็นว่าข้อมูลจากการวิจัยเจาะลึกดังกล่าวจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อนักธุรกิจไทย และสมควรนำเสนอให้นักธุรกิจไทยทราบโดยตรง โดยเฉพาะในช่วงเวลาปัจจุบันที่มีการแข่งขันสูง ทำให้นักธุรกิจมีความจำเป็นต้องเสาะหาโอกาสและลู่ทางการค้าการลงทุนใหม่ ๆ


รูปแบบการสัมมนา


- สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ประสานหน่วยงานอินเดียและไทยที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อคัดเลือกและเชิญผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วมเป็นผู้บรรยายในการสัมมนา โดยมุ่งเน้นที่จะเชิญผู้ที่มีความรู้ ผู้เชี่ยวชาญ และ/หรือ ผู้ที่มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจในอินเดีย เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้เข้าร่วมการสัมมนา


- จัดแบ่งการสัมมนาเป็น 3 ช่วงหลัก คือ ช่วงแรก เป็นการบรรยายถึงภาพรวมของโอกาสและลู่ทางการทำธุรกิจในอินเดีย ช่วงที่สอง เป็นการบรรยายถึงโอกาสและลู่ทางการทำธุรกิจ ตลอดจนขั้นตอนการปฏิบัติในการทำธุรกิจรายสาขา รวม 7 สาขาดังกล่าวข้างต้น และช่วงที่สามเป็นช่วงของ “คลินิกทางธุรกิจ” โดยจะเชิญผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย และผู้เชี่ยวชาญด้านการทำธุรกรรมในอินเดีย รวมถึงด้านอื่นๆ ที่สถานเอกอัครราชทูตฯ เห็นว่าเป็นประโยชน์มาเป็นผู้ให้ความรู้ และตอบคำถามเฉพาะทางแก่ผู้เข้าร่วมการสัมมนา


- เพื่อให้ผู้ร่วมสัมมนาได้รับประโยชน์สูงสุด สถานเอกอัครราชทูตฯ จะแจกเอกสารรายชื่อบริษัทอินเดียที่ต้องการนำเข้าสินค้า/ หาผู้ลงทุนจากไทย ซึ่งนักธุรกิจไทยสามารถใช้เป็นประโยชน์ต่อไปในการหาคู่ค้าทำธุรกิจในอินเดีย นอกจากนั้น เพื่อให้การสัมมนาครั้งนี้เป็นประโยชน์กับนักธุรกิจไทยสถานเอกอัครราชทูตฯ จะจัดทำแบบสอบถามความเห็นของนักธุรกิจไทยทั้งก่อนและระหว่าง การสัมมนา เพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการจัดสัมมนาให้สอดคล้องกับความสนใจมากที่สุด


- ทั้งนี้ สถานเอกอัครราชทูตฯ ขอเชิญชวนให้นักธุรกิจร่วมตอบแบบสอบถามที่สถานเอกอัครราชทูตฯ จัดทำขึ้น เพื่อที่สถานเอกอัครราชทูตฯ จะได้นำผลจากความคิดเห็นของนักธุรกิจมาประกอบใช้ในการสัมมนาครั้งนี้ และเพื่อปรับปรุงการจัดทำฐานข้อมูลในเว็บไซต์ศูนย์บริการข้อมูลทางธุรกิจ (THAIBIC Business Information Center) ของสถานเอกอัครราชทูตฯ เพื่อประโยชน์ของนักธุรกิจไทยต่อไป โดยท่านสามารถดาวโหลดแบบสอบถามได้จากเว็บไซต์ของสถานเอกอัครราชทูตฯ //www.thaiemb.org.in

--------------------------------------------------------------------------------


ร่างกำหนดการสัมมนา
“มหัศจรรย์ตลาดอินเดีย – โอกาสทองของไทยในวิกฤติเศรษฐกิจโลก”


วันที่ 2 ก.ค. 2552
ช่วงเช้า 9.00 – 9.30 น. ลงทะเบียน
10.00 น. พิธีเปิดการสัมมนา
10.30 น. Introductory Session
ภาพรวมโอกาสและช่องทางการทำธุรกิจในอินเดีย


11.30 น. รับประทานอาหารว่าง
11.45 น. ช่วงถาม-ตอบ
12.15 น. รับประทานอาหารกลางวัน

ช่วงบ่าย
13.30 น. Session
กลุ่มสินค้าชิ้นส่วนยานยนต์ (Automobile Components)
14.30 น. Session II
กลุ่มสินค้าวัสดุก่อสร้าง (Construction Materials)
15.30 น. รับประทานอาหารว่าง
16.00 น. Session III
กลุ่มการขนส่ง (Logistics)
17.00 น. จบวันแรก


วันที่ 3 ก.ค. 2552
ช่วงเช้า 9.30 น. Session IV
กลุ่มเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ในครัวเรือน (Home Utility and Furnishing)
10.30 น. รับประทานอาหารว่าง
11.00 น. Session V
กลุ่มการขายปลีก (Retails)
12.00 น. รับประทานอาหารกลางวัน

ช่วงบ่าย
13.00 น. Session VI
กลุ่มการบริการ สปา และร้านอาหารไทยในโรงแรม
(Thai Spa and Hotel Restaurant Business)
14.00 น. Session VII
กลุ่มการท่องเที่ยว
15.00 น. รับประทานอาหารว่าง
15.30 น. ช่วง Export and Investment Clinic - การธนาคารและกฎหมายการลงทุนในอินเดีย
17.00 น. จบการสัมมนา


--------------------------------------------------------------------------------

แบบตอบรับการเข้าร่วมสัมมนา “มหัศจรรย์ตลาดอินเดีย-โอกาสทองของไทยในวิกฤติเศรษฐกิจโลก”
วันที่ 2-3 กรกฎาคม 2552 ณ โรงแรมอมารีวอเตอร์เกท กรุงเทพมหานคร

โปรดส่งแบบตอบรับภายในวันที่ 22 มิถุนายน 2552 ไปที่ thaiindiabusinessseminar2009@gmail.com หรือ กองเอเชียใต้ กรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา กระทรวงการต่างประเทศ โทรสาร 02-643-5045


โดย: jenifaae วันที่: 29 มิถุนายน 2552 เวลา:19:53:56 น.  

 
*ผลงานวิจัยจากทุนมูลนิธิกระจกอาซาฮี

ขอเรียนเชิญเป็นเกียรติในพิธีเปิดและเข้าร่วมสัมมนาพิเศษ


ด้วยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมูลนิธิกระจกอาซาฮี จะจัดประชุมสัมมนาพิเศษ ครั้งที่ 17 ประจำปี พ.ศ. 2552 เรื่อง Sustainable Development in Economic Crisis Period by Science & Technology Research : ผลงานวิจัยจากทุนมูลนิธิกระจกอาซาฮี ในวันพุธที่ 1 กรกฎาคม 2552 เวลา 08.30 - 12.30 น. ณ ห้อง 105 และห้อง 111 อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


ทั้งนี้ จึงใคร่ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมการสัมมนาดังกล่าว ส่งแบบตอบรับทางโทรสาร 0-2218-0236 ภายในวันที่ 25 มิถุนายน 2552
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนส่งเสริมและพัฒนาวิจัย สำนักบริหารวิชาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โทร. 0-2218-0238 (คุณปริณุต)




*สัมมนา 70 ปี สยามเป็นไทย-ย้อนเวลาสู่อนาคต 24 มิถุนายน 2482-2552

70th Anniversary-From Siam to Thailand: Back to the Future? 24 June 1939-2009

พุธ 24 มิถุนายน 2552 - 9.00 - 18.00 น.
ณ หอ (เล็ก) ศรีบูรพา ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ พระนคร

09.00 ลงทะเบียน (วีซีดีสยามเป็นไทย)

09.30 กล่าวต้อนรับและเปิดงาน
โดย ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล นายกสภาฯ ธรรมศาสตร์

10.00 เปิดตัวหนังสือ “หนึ่งศตวรรษ: รัฐธรรมนูญและรัฐประหารกับการเมืองสยามประเทศไทย จาก กบฏ ร.ศ. 130 ถึงรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 หรือ ประชาธิปไตยกับอำมาตยาธิปไตย”
โดย ดร. ศรีประภา เพชรมีศรี และ ผศ.ดร..ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์

10.30 ขับร้องเพลงประสานเสียง “เพลงชาติสยาม - ชาติไทย - 24 มิถุนา” โดย SEAS/TU BAND

10.45 ปาฐกถานำ “พัฒนาการของรัฐชาติกับความขัดแย้งภายในของชาวสยาม”
โดย ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล

12.00 อาหารกลางวันตามอัธยาศัย (วีซีดี สยามเป็นไทย)

13.00 อภิปราย “การเมืองสยามประเทศไทย เราจะไปทางไหนกัน”
คุณ บัญญัติ บรรทัดฐาน
คุณ จาตุรนต์ ฉายแสง
ศ.ผาสุก พงษ์ไพจิตร
คุณคำสิงห์ ศรีนอก (ลาวคำหอม)
ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ ดำเนินรายการ

(จบรายการด้วยขับร้องเพลงประสานเสียง “เพลงชาติลาว-กัมพูชา-พม่า” เพื่อนบ้านของเราในอุษาคเนย์/อาเซียน)

15.30 ละครประกอบเพลง “70 ปี ดอกไม้งามจากสยามเป็นไทย”

16.30 ขับเพลงประสานเสียง-เพลงศรีอโยธยา, ราตรีประดับดาว, มาร์ช มธก.
โดย SEAS/TU BAND

17.00 งิ้วธรรมศาสตร์ (จูเนียร์) ตอน “เสียมก๊ก ตอนเปาบุ้นจิ้นผจญโป๊ยก๊ก”

18.00 ปิดงาน

พิธีกร - สมฤทธิ์ ลือชัย -อัครพงษ์ ค่ำคูณ และ นศ. SEAS/TU

หมายเหตุ

จัดโดย: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ 02-424-5768

ร่วมด้วย
* คณะศิลปศาสตร์ มธ., โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ศศ. มธ.
* สมาคมจดหมายเหตุสยาม, กองทุนจิตร ภูมิศักดิ์, ชมรมอุษาคเนย์-อาเซียน

เนื่องในโอกาส
* 77 ปีของการอภิวัฒน์/ปฏิวัติ 24 มิถุนายน (2475-2552)
* 75 ปี มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (2477-2552)
* 70 ปี สยามประเทศไทย (2482-2552) รวมทั้งวาระครบรอบ
* 57 ปี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (2495-2552) และ
* 47 คณะศิลปศาสตร์ (2505-2552) และ
* 10 ปี โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา (2542-2552)

ไม่มีค่าลงทะเบียน


โดย: jenifaae วันที่: 29 มิถุนายน 2552 เวลา:19:55:11 น.  

 
*การอนุรักษ์พลังงาน: จากมหาวิทยาลัยสู่อุตสาหกรรม

โครงการเปิดโลกลานเกียร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดการอบรม เรื่อง "การอนุรักษ์พลังงาน: จากมหาวิทยาลัยสู่อุตสาหกรรม" โดย รศ.ดร.พงษ์ธร จรัญญากรณ์ ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล ในวันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม 2552 เวลา 09.00-12.00 น. ณ ห้อง 209 ตึก 3




*การอบรม เรื่อง "เทคโนโลยีถ่านหินสะอาด"

โครงการเปิดโลกลานเกียร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดการอบรม เรื่อง "เทคโนโลยีถ่านหินสะอาด" โดย รศ.ดร.ภิญโญ มีชำนะ และ ผศ. ดร.สุนทร พุ่มรินทร์ ภาควิชาวิศวกรรมเหมืองแร่และปิโตรเลียม ในวันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม 2552 เวลา 09.00-12.00 น. ณ ห้อง 209 ตึก 3




*เทศกาลภาพยนตร์อุษาคเนย์ ครั้งที่ 6

30 ต.ค.- 4 ธ.ค. เทศกาลภาพยนตร์อุษาคเนย์ ครั้งที่ 6: ตอน “แด่ ASEAN ที่รัก”

Activity Date:
Fri, 2009-10-30 13:00
ภาพยนตร์เพื่อความเข้าใจในเพือนบ้านและแผ่นดินของเรา
Understanding Asean and Make Love not War with Our Neighbors

โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ฉลองวาระครบรอบ 10 ปี แห่งการสถาปนา ด้วยการจัดฉายภาพยนตร์อุษาคเนย์เพื่อการศึกษา พร้อมการเสวนาภาพยนตร์โดยผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายสาขาวิชา ใน ทุกวันศุกร์และวันเสาร์ เริ่มตั้งแต่วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม ถึง วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม เวลา 13.00-16.00 น. ณ ห้องเรวัติ พุทธินันท์ ชั้น U2 หอสมุดปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

ชมฟรี ! (ไม่ต้องเสียบัตรผ่านประตู แต่ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ห้องสมุดว่ามาเข้าชมภาพยนตร์)

Southeast Asian Film Show 6th "My Dear ASEAN"

On the occasion of its 10th Anniversary, 2000-2009, the Southeast Asian Studies Program, Thammasat University will hold a Southeast Asian Film Show 6th under the theme of “My Dear ASEAN” on every Friday and Saturday from 30 October to 4 December 2009 (1 pm to 4 pm) at Rewat Buddhinan Room, Floor U2 Pridi Panomyong Library, Thammasat University, Tha Prachan Campus.

Free admission!

*********************************************
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2552/ 30 October 2009
ฉายภาพยนตร์เรื่อง Burma VJ ( Burma )
วิทยากร/Commentator : Soe Aung

วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม 2552 / 31 October 2009
ฉายภาพยนตร์เรื่อง Un Soir Apres La Guerre ( Cambodia)
วิทยากร/ Commentator: อ. ทรงยศ แววหงษ์/Songyote Waehongsa

วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2552/ 6 November 2009
ฉายภาพยนตร์เรื่อง My Magic ( Singapore)
วิทยากร/Commentator: ผศ. กำจร หลุยยะพงศ์ / Kamjohn Louiyapong

วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2552/ 7 November 2009
ฉายภาพยนตร์เรื่อง Bagong Buwan ( Philippines)
วิทยากร/Commentator: อ. ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์/Sirote Klampaiboon

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2552/ 13 November 2009
ฉายภาพยนตร์เรื่อง Nerakhoon ( Laos)
วิทยากร/Commentator: อ.ดร. ชาญวิทย์ เกษตรศิริ/Dr. Charnvit Kasetsiri
วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2552/14 November 2009
ฉายภาพยนตร์เรื่อง Wonderful Town (Thailand)
วิทยากร/Commentator: Prof. Benedict Anderson

วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2552 / 20 November 2009
ฉายภาพยนตร์เรื่อง Laskar Pelangi ( Indonesia)
วิทยากร/Commentator: อ. อรอนงค์ ทิพย์พิมล/Onanong Thippimol
วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2552/ 21 November 2009
ฉายภาพยนตร์เรื่อง Journey From The Fall ( Vietnam)
วิทยากร/Commentator: ดร. ศรีประภา เพชรมีศรี/Dr. Sriprapha Petcharamesree

วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2552/ 27 November 2009
ฉายภาพยนตร์เรื่อง The Last Communist ( Malaysia)
วิทยากร/ Commentator: คุณสุภลักษณ์ กาญจนขุนดี/Supalak Ganjanakhundee

วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2552 / 28 November 2009
ฉายภาพยนตร์เรื่อง Long Road To Heaven (Indonesia)
วิทยากร/ Commentator: อ.ชญานิตย์ พูลยรัตน์/Chayanit Poonyarat

วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2552/ 4 December 2009
ฉายภาพยนตร์เรื่อง A Hero's Journey ( Timor Leste)
วิทยากร/ Commentator: ดร.สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์/Dr. Saranarat Kanjanavanit

***************************
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ โครงการ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 02-6132672 02-6132672 ชมรายละเอียดการจัดฉายภาพยนตร์ครั้งนี้และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการฉลองครบ รอบ 10 ปี แห่งการสถาปนาโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาได้ที่//seas.arts.tu.ac.th/


For more information, please contact Southeast Asian Studies Program, Faculty of Liberal Arts Thammasat University at 02-6132672 02-6132672 or click //seas.arts.tu.ac.th


โดย: jenifaae วันที่: 3 ธันวาคม 2552 เวลา:20:59:55 น.  

 
*โครงการอ่านบทละคร อ่านสันติภาพ โดยพระจันทร์เสี้ยวการละคร

Activity Date:
Sat, 2009-10-24 13:00


พระจันทร์เสี้ยวการละคร ภูมิใจเสนอ โครงการอ่านบทละคร อ่านสันติภาพ

ชมการแสดงอ่านบทละครจากมุมมองของนักการละคร 10คน
สายฟ้า ตันธนา, ไพบูลย์ โสภณสุวภาพ, จิรยุทธ์ สินธุพันธุ์,ภาวิณี สมรรคบุตร, ดุจดาว วัฒนปกรณ์, วสุรัชต อุณาพรหม, วรัญญู อินทรกำแหง, กมลภัทร อินทรศร, วิชย อาทมาท, สุกัญญา เพี้ยนศรี
จัดแสดง วันที่ 24-25 ตุลาคม 2552 เวลา 13.00 และ 15.30 น. @ Crescent Moon Space สถาบันปรีดี พนมยงค์ ซ.ทองหล่อ
ชมฟรีไม่เก็บบัตร
สำรองที่นั่ง (รอบละ 30 ที่นั่ง)
โทร 083 995 6040, 081 259 6906

ร่วมแสดงในงาน ศิลปกับสังคม “อภิวัฒน์สู่สันติ” ในวาระครบรอบ 110 ปี รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์

อ่าน(เรื่อง)รัก โดยท่านสามารถอ่านบรรยากาศครั้งที่แล้วได้ที่ //www.oknation.net/blog/nonglakspace/2009/02/11/entry-1




*ปาฐกถา 60 ปี เศรษฐศาสตร์ มธ. "เศรษฐศาสน์กับการผลิตอวิชชาเชิงโครงสร้าง" โดย เสกสรรค์ ประเสริฐกุล

Activity Date:
2009-10-19 14:00
คณะกรรมการจัดงาน 60 ปี เศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์

คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ขอเรียนเชิญท่านเข้าร่วมรับฟัง

ปาฐกถา 60 ปี เศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ 10

"เศรษฐศาสน์กับการผลิตอวิชชาเชิงโครงสร้าง"

(Economic Religion and the Production of Structural Ignorance)

โดย

ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล

ในวันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม 2552 เวลา 14.00-15.30 น. ณ ห้องประชุมชั้น 5 คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์




*ดนตรีเดือนตุลา

Activity Date:
Wed, 2009-10-14 18:00
เนื่องในโอกาสครบรอบ 36 ปี 14 ตุลาคม 2516 และ 33 ปี 6 ตุลาคม 2519 งานนี้จึงจะจัดขึ้นเพื่อเชิดชูวีรกรรมอันห้าวหาญของวีรชน 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 19 ที่มีจิตใจกล้าต่อสู้ กล้าเสียสละเพื่อส่วนรวม ของมวลนิสิต นักศึกษาและประชาชนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และความเป็นธรรมในสังคม แม้ยังจะต้องต่อสู้อีกหลายต่อหลายครั้งเพื่อสถาปนาการปกครองของมวลมหา ประชาชน โดยอำนาจของมวลมหาประชาชน เพื่อมวลมหาประชาชนอย่างแท้จริง

บทเพลงที่ใช้แสดง: คัดเลือกบทเพลงเกี่ยวกับเดือนตุลาคมเป็นสำคัญ ทั้งในช่วงระหว่างปี พ.ศ.2516 - 2519 และเพลงเดือนตุลาที่แต่งหลังปี 2519 รวมมากกว่า 40 เพลง

ไม่มีค่าเข้าชมการแสดง: ในงานจะมีกล่องช่วยค่าเดิน ทางแก่นักดนตรี และกล่องรับบริจาคสำหรับอดีตนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ถ้ามีโอกาสอย่าลืมเตรียมตัว-ชักชวนมิตรสหายมาร่วมกันบริจาคเพื่อส่วนรวมด้วย
จัดโดย: คณะผู้จัดงานเพลงประชาชน ซึ่งดำเนินการจัดงานเช่นนี้มาแล้ว 3 ครั้งในปี 2552 ติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ cpt.song@gmail.com หรือ ติดต่อที่ คุณจันทิรา สระทองเขียว หมายเลขโทรศัพท์: 084.116.4992

รูปแบบการแสดง: เป็นการร้องเพลงและแสดงดนตรี โดยผู้เข้าร่วมสามารถมีส่วนในการขับร้อง รำวง เพราะเพลงเหล่านี้คือเพลงของมวลมหาประชาชน
อย่างแท้จริง
พิเศษสุด: จะมีนักร้อง Original กิตติมศักดิ์ อาสามาร่วมร้องเพลงในงานนี้ด้วย
ฟรี แต่ที่นั่งมีจำกัดเพียง 150 ที่เท่านั้น จองด่วนตามลำดับก่อนหลัง หากจองช้า-ที่นั่งหมดแน่นอน
ดูรายละเอียดและจอง Online ที่ //cpt.igetweb.com

ในโอกาสครบรอบ 36 ปี 14 ตุลาคม 2516 และ 33 ปี 6 ตุลาคม 2519 คณะผู้จัดงานเพลงประชาชน จัดงาน "ดนตรีเดือนตุลา” เพื่อเชิดชูวีรกรรมอันห้าวหาญของวีรชน 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 19 ที่มีจิตใจกล้าต่อสู้ กล้าเสียสละเพื่อส่วนรวม ของมวลนิสิต นักศึกษาและประชาชนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และความเป็นธรรมในสังคม ในวันพุธที่ 14 ตุลาคม 2552 18:00 – 21:00 น. ณ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว กรุงเทพมหานคร ชมฟรี แต่ที่นั่งมีจำกัดเพียง 150 ที่เท่านั้น




*"เสื้อยืดเปลี่ยนโลก"

กำหนดการ"เสื้อยืดเปลี่ยนโลก"
วันที่ 10-11 ตุลาคม 2552 ณ.สวนสันติชัยปราการ
เวลา 15.00 น.-20.30 น.

วันที10 ตุลาคม 52
15.30-16.30 น. Present เสื้อยืด (ที่ส่งประกวด) สำหรับคนที่ได้เข้ารอบเพื่อตัดสิน
16.30-17.00 น ดนตรีหรือการแสดง วงดนตรีสืบ
17.00-17.10 น. ชวนอวดเสื้อยืดเก่า (รณรงค์)
17.10-18.10 น. เสวนา เสื้อยืดเปลี่ยนโลก
ผู้ร่วมวงเสวนา :
1.ดร.สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ เลขาธิการมูลนิธิโลกสีเขียว
2. ตุล ไวทูลเกีรยติ * วงอพาร์ตเมนต์คุณป้าและกวีอิสระ
3.อาจารย์ พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์* คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์
4.กิตติชัย งามชัยพิสิฐ ดำเนินรายการ
18.10 – 18.40 น. ดนตรี มิ้น วาซาบิ
18.40-19.15 น. แนะนำเสื้อยืดรณรงค์ขององค์กรต่างๆ
1 โลกสีเขียว
2 สมานฉันท์
3 มูลนิธิสืบ
4 .เสื้อเป่ายิ้งฉุบ*
19.15-20.00 ดนตรี

วันที่ 11 ตุลาคม 52
15.00-16.30 ว่าง
16.31-17.00 วงในดนตรีสร้างสุข
17.01-17.15 อวดเสื้อยืดเก่า(รณรงค์) คนทั่วไป 2 คน
17.15-18.15 Fair Trade กับ T-shirt เปลี่ยนโลกได้อย่างไร
ผู้ร่วมเสวนา :
ตัวแทนจากกลุ่มสมานฉันท์
ศักดิ์สินี ธนะกุลมาส
กิตติชัย งามชัยพิสิฐ (ดำเนินรายการ)
18.15-18.45 TK BAND
18.45-19.15 แนะนำเสื้อยืดขององค์กรต่างๆ
1 .สถาบันต้นกล้า
2.สมาคม อนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย
3. มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค

19.15-19.-35 ประการศผลการประกวด (หนึ่งในองค์กรร่วมจัดเป็นคนมอบรางวัล)
19.35-20.15 ดนตรี ศรีราชาร็อกเกอร์
*กิจกรรมภายในงานอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม
*ถ้ามีเสื้อที่คิดว่าเปลี่ยนโลกแล้วอยากทำมาจำหน่ายในงานติดต่อมาที่ 089-7906790(ตุ๊ก)
*อยากให้ทุกคนเอาเสื้อเก่ามาออกแบบใหม่ให้เปลี่ยนโลกมากกว่าเดิมคะ
กิจกรรมภายในงาน
? แจกสื่อรณรงค์ประกอบด้วย แผ่นพับ คู่มือ สติกเกอร์ เป็นต้น
? การตัดสิน ประกวดการออกแบบเสื้อยืดเปลี่ยนโลกรอบสุดท้าย
? นิทรรศการ เนื้อหา
- เสื้อยืดบอก Identity อย่างไร?
- Fair Trade
- การบริโภคอย่างมีสติ
- กว่าจะมาเป็นเสื้อยืดและ ขั้นตอนการผลิตเสื้อยืด
- อวดเสื้อรณรงค์เก่าและเล่าเรื่องให้กันฟัง

? อบรม ( Workshop)
- การ Recycle เสื้อเก่า
- การออกแบบและผลิตเสื้อยืดด้วยตัวเอง
- เพ้นท์เสือ้ด้วยตัวเอง

? ดนตรี และการแสดงวัฒนธรรม เช่น
- วงดนตรีมูลนิธิสืบ นาคะเสถียร
- TK BAND
- มิ้นวาซาบิ
- ศรีราชาร็อกเกอร์

? เสวนา หัวข้อเสวนา
- เสื้อยืดเลี่ยนโลก
- Fair Trade
? กิจกรรมศิลปะทำมือ เช่น ระบายเสื้อยืด


โดย: jenifaae วันที่: 3 ธันวาคม 2552 เวลา:21:00:25 น.  

 
*งานรำลึก ๑๔ ตุลา ประจำปี ๒๕๕๒

วันพุธ ที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๒ เวลา ๗.๐๐ เป็นต้นไป
ณ อนุสรณ์สถาน ๑๔ ตุลา ๑๖ สี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนินกลาง กรุงเทพฯ
ภาคเช้า พิธีการรำลึกและ ปาฐกถา ๑๔ ตุลา
๗.๐๐-๘.๐๐ น. พิธีตักบาตรพระสงฆ์จำนวน ๓๗ รูป ด้านหน้าอนุสรณ์สถาน ๑๔ ตุลา
๗.๐๐-๘.๒๐ น. ตัวแทนองค์กรประชาธิปไตยวางพวงมาลา บริเวณลานอนุสรณ์สถาน ๑๔ ตุลา
๘.๒๐-๘.๓๐ น. ผู้ดำเนินรายการกล่าวชี้แจงรายละเอียดการจัดงานและกำหนดการตามลำดับ
๘.๓๐-๙.๐๐ น. พิธีกรรมทางศาสนา ๓ ศาสนา ได้แก่
๘.๓๐-๘.๔๐ น. ตัวแทนศาสนาพุทธ
๘.๔๐-๘.๕๐ น. ตัวแทนศาสนาคริสต์
๘.๕๐-๙.๐๐ น. ตัวแทนศาสนาอิสลาม
๙.๐๐-๙.๐๕ น. ตีกลองสะบัดชัยประกาศตุลาธรรมตุลาชัยเป็นอาณัติสัญญาณ เริ่มพิธีกล่าวสดุดีวีรชนประชาธิปไตย
๙.๐๕-๑๐.๐๕ น. พิธีวางพวงมาลาและกล่าวสดุดีวีรชนประชาธิปไตย
๙.๐๕-๙.๑๑ น. ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี
๙.๑๑-๙.๑๗ น. ฯพณฯ ประธานรัฐสภา
๙.๑๗-๙.๒๓ น. ผู้นำฝ่ายค้าน
๙.๒๓-๙.๒๙ น. ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
๙.๒๙-๙.๓๕ น. ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
๙.๓๕-๙.๔๑ น. ตัวแทนญาติวีรชน ๑๔ ตุลา
๙.๔๑-๙.๔๗ น. ตัวแทนฝ่ายประชาธิปไตยและแรงงาน
๙.๔๗-๙.๕๓ น. ตัวแทนชาวบ้านนักต่อสู้เพื่อสิทธิชุมชน
๙.๕๓-๙.๕๙ น. ตัวแทนนิสิตนักศึกษา
๙.๕๙-๑๐.๑๕ น. บทกวีรำลึก ๓๖ ปี ๑๔ ตุลา โดย จิระนันท์ พิตรปรีชา
๑๐.๑๕-๑๐.๒๐น. ตีกลองสะบัดชัยประกาศตุลาธรรมตุลาชัยเป็นอาณัติสัญญาณลา
สิ้นสุดพิธีการรำลึก
ห้องประชุม ๑๔ ตุลา
๑๐.๔๐-๑๐.๔๕ น. รศ.ดร.ธเนศวร์ เจริญเมือง กล่าวแนะนำองค์ปาฐก
๑๐.๔๕-๑๑.๔๕ น. ปาฐกถา ๑๔ ตุลา หัวข้อ “ความขัดแย้งทางการเมืองของไทย: ข้ามไปให้พ้นพลวัตภายใน”
โดย รศ.ดร.กุลลดา เกษบุญชู-มี้ด
๑๑.๔๕-๑๑.๕๕ น. นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒนประธานมูลนิธิ ๑๔ ตุลา กล่าวขอบคุณและ มอบโล่รางวัลแก่ องค์ปาฐก ประจำปี ๒๕๕๒
๑๑.๕๕-๑๒.๐๐ น. ศ.ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร กล่าวปัจฉิมกถา
พิธีกรกล่าวขอบคุณผู้ร่วมงาน
ภาคบ่าย
๑๓.๓๐-๑๕.๐๐ น. แถลงเปิดตัวหนังสือ “สมุดภาพแห่งความทรงจำ จารึกประวัติศาสตร์ ๑๔ ตุลา”
โดย นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน
ผศ.ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
สว.ประสาร มฤคพิทักษ์
รศ.สุรัสวดี หุ่นพยนต์
๑๕.๐๐-๑๗.๓๐ น. เสวนา บทเรียนจากการต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพ และประชาธิปไตยในต่างแดน ศึกษากรณีประเทศในเอเซีย : จากพม่า อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เกาหลีใต้ จีน เนปาล ปาเลสไตน์ และติมอร์ตะวันออก
โดย บุญแทน ตันสุเทพวีรวงศ์
ให้ความเห็นโดย
สุนัย ผาสุก*
ศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยา*
เมธา มาสขาว
ฯลฯ
(จัดโดยมูลนิธิ ๑๔ ตุลา ร่วมกับ คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน-ครส.และศูนย์ประสานงานเยาวชนเพื่อประชาธิปไตย-YPD)
ภาคค่ำ (ห้องประชุมชั้นใต้ดินอนุสรณ์สถาน ๑๔ ตุลา)
๑๘.๐๐-๒๑.๐๐ น. “ดนตรีเดือนตุลา” เนื่องในโอกาสครบรอบ ๓๖ ปี ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ และ ๓๓ ปี ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ //cpt.igetweb.com




*ปิดเทอม เข้าค่าย สายน้ำ วิถีชีวิต และวิทยาศาสตร์ เรียนรู้ร่วมกัน กับชมรมนักธรรมชาติวิทยารุ่นเยาว์

หลังสอบมีอะไรทำกันรึยัง ว่างหรอ
ร่วมค้นหาความจริงภายใต้วิถีชีวิตและภูมิปัญญาของชุมชนริมคลองมหาสวัสดิ์

วันที่ 7-8 ตุลาคม 2552
แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์และความคิด

- ชมสวนกล้วยไม้
- ชมสวนผลไม้
- ทำข้าวตัง
- วาดภาพเชิงวิทยาศาสตร์
- วิถีชีวิตชุมชน
- เวทีสนทนา
-กระบวนการคิดทางด้านวิทยาศาสตร์

ตารางกิจกรรมอย่างคร่าวๆ
(อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม)

วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2552
7.30-8.00 ลงทะเบียน พร้อมกันที่มหิดลศาลายา
8.00-8.30 เดินทางไปยังโรงเรียนวัดสุวรรณาราม
8.30-9.30 identity molecules
9.30-10.30 กระบวนการคิดทางวิทยาศาสตร์
10.-30-11.30 ชมสวนผลไม้
11.30-12.30 รับประทานอาหารกลางวัน
12.30-14.00 แบ่งกลุ่มไปสวนกล้วยไม้/ทำข้าวตัง
14.00-15.30 สลับกลุ่มไปสวนกล้วยไม้/ทำข้าวตัง
16.00-16.45 พร้อมกันที่นาบัว สรุปกิจกรรม
16.45-17.00 ห้วงคำนึง
17.00-19.30 กลับที่พัก(โรงเรียน)รับประทานอาหารเย็นและทำภาระกิจส่วนตัว
19.30-22.00 Open Space

วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม 2552
7.00-8.00 รับประทานอาหารเช้า
8.00-9.00 แนวคิดและโครงสร้างชมรม
9.00-10.00 การเขียน proposal
10.00-12.00 เรียนรู้การเขียน proposal ด้วยตนเอง
12.00-13.00 รับประทานอาหารกลางวัน
13.00-15.00 นำเสนอผลงาน
15.00-16.00 สรุปกิจกรรม
16.00-16.30 กระจกเงา
16.30-17.00 ปิดท้ายกิจกรรม แยกย้ายกันกลับบ้าน

รับจำนวนจำกัดเพียง 20 คนเท่านั้น
ไม่จำกัดเพศ และความสนใจ เป็นคนที่กำลังศึกษาอยู่ทั้งในระดับมัธยมปลายและมหาวิทยาลัย (ได้ทั้งตรี,โท,เอก เลยค่ะ)
ค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมกิจกรรม 200 บาท (ค่าอาหาร ค่าเรือ และค่าอุปกรณ์ในการทำกิจกรรม)

สามารถโอนเงินมาได้ที่ ชื่อบัญชี นางสาวสุภัชญา เตชะชูเชิด
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาศาลายา 316-275227-4
หลังจากโอนแล้วช่วยส่งชื่อและวันที่มาทางอีเมล์ด้วยค่ะ
หรือสะดวกสแกนต์หรือแฟกต์ใบสลิปมาได้ที่ fax.026110763

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ nhyc.mu@gmail.com สมัครเข้าร่วมโครงการโดย ดาวโหลดใบสมัครด้านล่างแล้ว
อีเมล์มาที่ NHYC.mu@gmail.com
สิ่งที่ต้องเตรียมมา*

- เสื้อผ้าสำหรับ 2 วัน 1 คืน

- อุปกรณ์ในการอาบน้ำ ผ้าถุง ผ้าขาวม้า

- ถุงนอน

- ขวดน้ำ

- สมุดบันทึก ดินสอ ปากกา ยางลบ (ย้ำ! กิจกรรมวาดรูปใช้ดินสอกับยางลบ)

- ยากันยุง




*Book Expo Thailand 2009

Owner: The Publishers and Booksellers Association of Thailand (PUBAT)
10 a.m. - 9 p.m.
Realizing that “True Knowledge Comes From Reading” as its inspiration, The Publishers and Booksellers Association of Thailand (PUBAT) proudly presents Book Expo Thailand 2009. Aiming to promote the paramount significance of reading among youngsters in line with fostering Thailand’s ambitions to become a learning society, the event is scheduled for October 15-25, 2009 from 10 a.m. to 9 p.m. at QSNCC.
The event will see well-known Thai publishing houses presented at over 350 booths offering a wide range of premium-quality books at bargain prices. Visitors to the show will also have the chance to view an exhibition of learning promotion materials, participate in related activities and attend academic seminars, onstage discussions and the “14th Tor Fun Pun Nung Sue Hai Nong” fund-raising campaign.
เพราะ “ความรู้คู่การอ่าน” สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย จึงเตรียมจัดงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 14 ขึ้น เพื่อให้เยาวชนเห็นความสำคัญของการอ่าน และรณรงค์ส่งเสริมให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ที่มีพื้นฐานมาจากการ อ่าน กำหนด
พบกับสำนักพิมพ์กว่า 350 แห่งทั่วประเทศ มาร่วมออกบูธจำหน่ายหนังสือคุณภาพดีในราคาสุดพิเศษ นอกจากนี้ ยังมีนิทรรศการและกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ การสัมมนาทางวิชาการ การเสวนาบนเวที และโครงการทอฝันปันหนังสือให้น้อง ครั้งที่ 14

Organizer : The Publishers and Booksellers Association of Thailand (PUBAT)
Tel : +66 (0) 2 954 9560-4
Website : //www.thailandbookfair.com


โดย: jenifaae วันที่: 3 ธันวาคม 2552 เวลา:21:01:12 น.  

 
*MBMG Women for Women’

Ladies looking for financial tips and an opportunity to share views on family healthcare, personal finance, wealth management, Wills and Trusts, are exclusively invited to ‘MBMG Women for Women’ sessions, a series of quarterly gatherings tailored especially for women.

The forthcoming session – next week in Central Bangkok – will include a round table discussion: ‘What you can do to keep your family safe’.

The forum will lead by Khun Chayada Klinpongsa, International Affairs Co-ordinator, Samitivej Hospital.

Family healthcare will be a particular focus, with an H1N1 virus update, illness prevention advice, discussion on health insurance cover and pitfalls to avoid when filing claims.

Date: Wednesday 14th, October 2009
Venue: The Grand Millennium Sukhumvit, Function Room, 5th Floor.
Time: For your convenience, there are two identical sessions to choose from:
Morning: 10.30 hrs. -12.00 noon
Evening: 18.30-20.00 hrs.

Both will be conducted in English.
The sessions are free, courtesy of MBMG Group, and refreshments will be provided. Reserve your seat now to avoid disappointment by emailing MBMG’s client desk at nat@mbmg-international.com or calling 02 655 6044.

Notes for editors only:

For further information please contact:
Wikanda Promkhuntong or Suthatip Boonsaeng
Grayling Thailand
Wikanda@th.grayling.com; Suthatip@th.grayling.com
Tel: 02 635 7151-4
Fax: 02 635 7155




* "คนของโลก"

วันที่ 9 ตุลาคมนี้จะครบรอบ 14 ปี เต็มกับการจากไปของปราชญ์แผ่นดินสยาม ท่าน ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช บรรดาศิษย์ ทายาท จัดงานรำลึกถึงท่านที่บ้านซอยสวนพลู สาทร เวลา 09.00 น. พร้อมกระทรวงวัฒนธรรม จะมาพูดคุยเรื่อง "คนของโลก" ซึ่งองค์กร ยูเนสโก จะประกาศชื่อของท่านอีกไม่นาน เพราะท่านจะมีอายุครบ 100 ปี ในปีพ.ศ.2554...




*"อะเจย์ ปุริ" เด็กอัจฉริยะไอทีระดับโลกในเมืองไทย

ยุค นี้คงไม่มีใครปฏิเสธว่าระบบการศึกษาของไทยก็สามารถผลิตเยาวชนที่มีคุณภาพโดด เด่นทางวิชาการไม่แพ้ประเทศใดในโลก จากที่เด็กไทยสามารถโชว์ฝีมือจนคว้ารางวัลระดับอินเตอร์มากมาย ครั้งนี้มารู้จักกับ "อะเจย์ ปุริ" เด็กอัจฉริยะไอทีระดับโลกที่อยู่ในเมืองไทยเรานี่เอง

อะเจย์เป็น อัจฉริยะตัวน้อย ที่สื่อทั่วโลกต่างให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง ตั้งแต่เขาเป็นทารกเพียง 2 ขวบเศษ และได้ปรากฏตัวทั้งในซีเอ็นเอ็น บีซีซี ซีเอ็นบีซี ZEE TV, Star Plus, Gemini TV, ETV และสถานีโทรทัศน์ชั้นนำอื่นๆ ของโลกอีกหลายแห่ง

หนุ่มน้อยได้มี โอกาสพบปะพูดคุยกับบุคคลระดับผู้นำประเทศและผู้มีชื่อเสียงของโลก ทั้งอดีตนายกรัฐมนตรีวาจปายีแห่งอินเดีย นางโซเนีย คานธี ประธานาธิบดีบิล คลินตัน แห่งสหรัฐ อดีตนายกรัฐมนตรีชวน หลีกภัย ล่าสุด นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่สำคัญสำหรับเขาคือการได้พบกับบุรุษผู้อยู่เบื้องหลังและเบื้องหน้าของ ไมโครซอฟท์ บิล เกตส์ โดยได้พบกันแบบ Exclusive Appointment ถึงสองครั้ง ครั้งแรกที่เมืองไฮเดอราบัด ประเทศอินเดีย เมื่อ พ.ศ. 2545 ครั้งที่สองในกรุงเทพฯเมื่อ พ.ศ. 2548

อะเจย์ บุตรชายคนโตของ มร.ระวี ปุริ ผู้บริหารบริษัท Atherstone Capital (Thailand) Limited เกิดที่เมืองไฮเดอราบัด อินเดีย และติดตามครอบครัวมาพำนักในประเทศไทยตั้งแต่เล็กๆ เริ่มฉายแววความฉลาดมาตั้งแต่อายุ 1 ขวบครึ่ง ในวัยซึ่งเด็กส่วนใหญ่คงกำลังเล่นกับตุ๊กตาหรือของเล่นสำหรับเด็กเล็กทั่วไป แต่อะเจย์เริ่มต้นใช้คอมพิวเตอร์แล้ว ในไม่ช้าเขาก็สามารถใช้โปรแกรมต่างๆ ของไมโครซอฟท์ได้อย่างคล่องแคล่ว ทั้ง Word, Excel, PowerPoint, FrontPage และ Access Database รวมทั้งการส่งอี-เมลพร้อมแนบไฟล์ต่างๆ การสแกนภาพ บันทึกวิดีโอเมล์ และพูดสดบนอินเตอร์เน็ต

จน อายุเพียง 3 ขวบ เขาได้สร้างเว็บไชต์ของตัวเอง //www.microsoftkid.com โดยใช้โปรแกรม FrontPage ในเว็บไซต์ของเขาจะมีทั้ง hyper links, thumb nails, background music, frames, DHTML, forms อื่นๆ จนได้ชื่อว่าเป็นเว็บดีไซเนอร์ที่อายุน้อยที่สุดของโลก

ด้าน โปรแกรม Access Database อะเจย์ก็เป็นระดับเซียนคนหนึ่งเ เขาสามารถสร้าง fields สร้าง forms สำหรับใส่ข้อมูล สร้าง SQL queries และสร้างรายงานจากข้อมูลที่ต้องการ ทั้งยังเชี่ยวชาญการใช้โปรแกรม Adobe Flash สามารถสร้าง Gif image ด้วยโปรแกรม Gif Animator และกำลังเริ่มต้นเรียนรู้โปรแกรม Visual Basic และเทคโนโลยีด้านแอนิเมชั่นเพื่อการสร้างภาพยนตร์

วันนี้อะเจย์ เพิ่งฉลองวันเกิด 13 ปี ไปหมาดๆ กำลังเรียนอยู่ในเกรด 9 ที่โรงเรียนเดอะ รีเจ้นท์-กรุงเทพฯ หนึ่งในโรงเรียนนานาชาติของไทยที่ได้สร้างชื่อเสียงจากการเพาะบ่มเยาวชน คุณภาพสู่สถาบันการศึกษาระดับโลกมากมาย

มร.มาร์ติน นีท อาจารย์ใหญ่ เปิดเผยว่า โรงเรียนเดอะ รีเจ้นท์ มีการเรียนการสอนตามระบบอังกฤษและนอกเหนือจากการให้ความรู้ทางวิชาการแล้ว โรงเรียนยังยึดถือปรัชญาที่เป็นเสาหลัก 6 ประการ (The Six Pillars) ได้แก่ ความสำนึกในการเป็นส่วนหนึ่งของสากล ความเป็นประชาธิปไตย ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม การผจญภัย ความเป็นผู้นำ และการให้บริการต่อผู้อื่น ดังนั้น จึงมีกิจกรรมต่างๆ ให้นักเรียนได้เข้าร่วมมากมาย รวมทั้งกิจกรรมที่เป็นการทำประโยชน์เพื่อสังคม

"ประเทศไทยปัจจุบัน นับได้ว่าเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ ของผู้ต้องการเข้ารับการศึกษาหลักสูตรนานาชาติในภูมิภาคเอเชีย ด้วยความพร้อมและศักยภาพในหลายๆ ด้าน สิ่งที่สำคัญคือความหลากหลาย เนื่องจากไทยมีหลักสูตรการศึกษาให้เลือกตามความต้องการทั้งหลักสูตรระบบ อังกฤษ อเมริกัน ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น ผู้ปกครองจึงมีโอกาสเลือกระบบการศึกษาที่เหมาะกับบุตรหลานได้ดียิ่งขึ้น"

อะเจย์ กล่าวว่า ขณะนี้เขาต้องทุ่มเทให้กับการเรียน แต่เมื่อมีเวลาเมื่อไรก็จะมานั่งฝึกฝนหาความรู้กับคอมพิวเตอร์ โดยใช้เวลาประมาณวันละ 2 ชั่วโมง ในเวลาว่างที่ไม่ได้อยู่หน้าแป้น คีย์บอร์ด เขาชอบดูหนัง และสักวันหนึ่งอาจจะสร้างภาพยนตร์แอนิเมชั่นของตัวเองขึ้นมาก็ได้ ในด้านการเรียน เขาทำกิจกรรมต่างๆ แต่ในสิ่งที่ตัวเองสนใจเฉพาะจริงๆ ก็จำเป็นที่จะต้องหาความรู้เพิ่มเติม เพราะการเรียนรู้ไม่มีวันหยุด และการมีเพื่อนก็เป็นสิ่งที่สำคัญ บางครั้งที่เราทำอะไรไม่ได้หรือติดขัดอะไร เพื่อนสามารถช่วยได้ และเมื่อเพื่อนมีปัญหาเราก็พร้อมจะช่วยเหลือเพื่อนเช่นกัน

อะเจย์ ทิ้งท้ายว่า "เราควรจะรู้ก่อนว่าเราต้องการทำอะไร ควรจะลองทำอะไรหลายๆ อย่างในโรงเรียน เพื่อที่จะได้รู้ว่าเราชอบทำอะไรจริงๆ เพราะมันจะทำให้เราทำสิ่งนั้นๆ ได้ดี"

เร็วๆ นี้ อะเจย์จะไปร่วมให้สัมภาษณ์แบบเจาะใจในงานนิทรรศการการศึกษานานาชาติของไทย ปี 2552 (Thailand International Education Exhibition 2009 : TIEE 2009) ที่กรมส่งเสริมการส่งออก ร่วมกับองค์กรภาครัฐและเอกชน วันที่ 9-11 ตุลาคมนี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อแสดงศักยภาพและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์อันแข็งแกร่งของประเทศใน ด้านการให้บริการทางการศึกษาตามมาตรฐานระดับโลก พร้อมทั้งตอกย้ำความเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาของอาเซียนและภูมิภาคเอเชีย ซึ่งจะมีสถาบันการศึกษานานาชาติจากทั่วไทย ครอบคลุมทุกระดับการศึกษา ทุกหลักสูตร รวมถึงผู้ประกอบการธุรกิจบริการและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องครบครัน

พร้อม แขกวีไอพี องค์หญิงยี่หวาง พินดาริกา แห่งราชอาณาจักรภูฏาน ชมเบื้องหลังกว่าจะเป็นรายการข่าวจากนักข่าวคนดัง พัชรี รักษาวงศ์ หุ่นยนต์กู้ภัยสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ แชมป์โลกหุ่นกู้ภัย World Robo Cup Rescue 2009 รถฟอร์มูล่าวัน ผลงานนักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ลาดกระบัง เจ้าของรางวัล 2008 Student Formula SAE Competition of Japan ชมสาธิตการแต่งหน้าจากพี่ม้า อรนภา กฤษฎี หรือจะฝึกหัดเป็นนักบินด้วยเครื่อง Simulator จำลองการบินจากโรงเรียนการบินพลเรือนก็ทำได้ ฯลฯ

มาพูดคุยกับ อะเจย์ ปุริ เด็กอัจฉริยะในงานนี้ได้


โดย: jenifaae วันที่: 3 ธันวาคม 2552 เวลา:21:01:51 น.  

 
*การสมัครใช้งานจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (e-Mail) Gmail.com สำหรับผู้สูงวัย

ผู้สูงวัยท่านใดที่มีปัญหาในการใช้งาน Gmail.com

สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ นายทศพนธ์ นรทัศน์ (ยินดีตอบทุกคำถาม)

สายด่วน โทร. 08-1261-0726

ชมรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อความเท่าเทียมกัน

Information and Communication Technology for All (ICT for All Club)

ตู้ ปณ.2 ปณฝ.ราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10401

e-Mail: info@ictforall.org Website: //www.ICTforALL.org




* ขอเชิญร่วมงานสัมมนา ฟรี TQM Forum 2009#2 ผู้นำองค์กรแบบ TQM

เรียน ท่านผู้สนใจ

ด้วยมูลนิธิส่งเสริมทีคิวเอ็มในประเทศไทย เป็นมูลนิธิซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะส่งเสริมและผลักดันการประยุกต์ใช้ TQM
เพื่อเป็นเครื่องมือในการพัฒนาความสามารถในด้านการจัดการ ร่วมกับ สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น
ได้กำหนดให้มีกิจกรรมเพื่อการรณรงค์ส่งเสริมการนำแนวคิดของ TQM มาใช้ในการปรับปรุงองค์กรผ่านกิจกรรม
สัมมนา TQM Forum ซึ่งเป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความรู้ในการปฏิบัติและประยุกต์ใช้แนวคิดของ TQM
ซึ่งได้กำหนดจัดเป็นประจำทุกปี ในปี 2552 นี้ ได้กำหนดจัดในหัวข้อ ผู้นำองค์กรแบบ TQM
ในวันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2552
เวลา 12.30-16.30 น.
ณ ห้อง 501 อาคาร C สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น ถนนพัฒนาการ ซอย 37

โดยเป็นการเชิญผู้แทนจากหลากหลายองค์กรเพื่อให้ทราบถึงแนวทางวิธีปฏิบัติที่เป็นแบบอย่างของการจัดการขององค์กรนั้นๆ จนประสบผลสำเร็จ

ด้วยเหตุนี้ มูลนิธิฯ จึงเรียนเชิญท่าน บุคลากรในหน่วยงาน เข้าร่วมสัมมนาดังกล่าวโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
โดยสามารถลงทะเบียนผ่านทางอินเตอร์เน็ตที่ //www.ftqm.or.th/activity2_2009_2.html ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

สอบถามข้อมูลสำหรับการลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่คุณเจริญชัย ฉิมเนียม โทรศัพท์ 086-311-7890

หมายเหตุ
มูลนิธิฯ ต้องขออภัยหากอิเมล์ฉบับนี้เป็นการรบกวนท่าน
หรือหากจะเป็นประโยชน์ต่อบุคคลอื่น ท่านสามารถส่งข้อมูลนี้ต่อไปยังท่านอื่นๆ ได้

________________________________________________________________
มูลนิธิส่งเสริมทีคิวเอ็มในประเทศไทย
//www.ftqm.or.th




*งาน "การประชุมนานาชาติด้านการเรียนการสอน"

ไมโครซอฟท์ส่ง Window Multipoint

ปฏิวัติการสอนในร.ร.กว่าหมื่นโรง ชี้ครูไทยเจ๋ง-ชิงระดับโลกที่บราซิล

นาย สุพจน์ ศรีนุตพงษ์ ผู้จัดการฝ่ายการศึกษา บริษัท ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า เพื่อกระตุ้นให้การเรียนการสอนแบบใหม่มีชีวิตชีวา และมีประสิทธิภาพ บริษัทได้จัดทำโปรแกรม Windows MultiPoint ขึ้น โดยออกแบบให้เป็นรูปตัวการ์ตูนมีสีสันน่าสนใจ เพื่อให้นักเรียนมีความรู้สึกอยากเรียน โดยโรงเรียนมีเพียงคอมพิวเตอร์ และเม้าส์ตามจำนวนนักเรียนเท่านั้น โปรแกรมดังกล่าวจะช่วยให้นักเรียนในห้องที่ได้รับเม้าส์ สามารถปฏิสัมพันธ์กันบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ร่วมกันบนหน้าจอเดียว ครูจะเป็นผู้ที่อยู่ในส่วนควบคุมโปรแกรมดังกล่าว โดยใช้พาวเวอร์พอยท์สไลด์ที่นักเรียนสามารถทำกิจกรรมร่วมกันบนสไลด์ที่ออก แบบโดยครู ซึ่งเด็กแต่ละคนจะต้องใช้ความคิดในการตอบคำถาม เพราะมีการรวมคะแนนให้ได้ทันทีในท้ายชั่วโมง ซึ่งครูสามารถประเมินนักเรียนได้ตลอด ไม่จำเป็นต้องรอสอบกลางภาคเรียนเหมือนที่ผ่านมา

นายสุพจน์กล่าวว่า โปรแกรมดังกล่าวหากพัฒนาเต็มรูปแบบ สามารถรองรับเด็กได้ถึง 256 คนพร้อมๆ กัน ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดลอง และได้ทดลองกับเด็กไปแล้ว 30 คน แต่หากมีนักเรียนเกิน 40 คนในชั้นเรียน ครูอาจใช้วิธีให้เด็กจับคู่ ร่วมกันคิด และใช้เม้าส์ร่วมกัน ในอนาคตจะรองรับได้ 100 คน สำหรับโรงเรียนที่สนใจต้องเตรียมความพร้อมดังนี้ ห้องเรียนต้องใช้ไฟฟ้ากระแสสลับ ครูผู้ดูแลต้องมีความรู้พื้นฐานทางเทคนิคเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์บ้าง ใช้โปรแกรมพาวเวอร์พอยท์ได้ โดยในช่วงแรกทีมงานไมโครซอฟท์จะอบรมให้ฟรี นอกจากนี้ ยังปรับใช้กับเด็กพิการหูหนวกได้อีกด้วย โดยได้เริ่มทำแล้วที่ จ.มุกดาหาร ซึ่งเด็กตื่นเต้น และชอบโปรแกรมนี้มาก

"ขณะนี้ไมโครซอฟท์ ได้ลงนามร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ภายใน 5 ปี จะอบรมการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ รวมทั้ง การใช้โปรแกรม Window Multipoint ด้วย แม้จะเป็นเรื่องใหม่ แต่ครูไทยจากโรงเรียนปทุมวิไล ก็พัฒนานวัตกรรมการสอนจนสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศในระดับเอเชียเมื่อกลางปี ที่ผ่านมา และโรงเรียนอนุบาลเชียงใหม่ได้รับรางวัล Popular Vote โดยบริษัทจะส่งผู้ชนะเลิศไปประกวดในระดับโลกที่ประเทศบราซิลต้นเดือน พฤศจิกายน นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์ได้ลงนามกับโรงเรียนในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร 400 แห่ง เพื่อติดตั้ง และอบรมการใช้โปรแกรมดังกล่าวด้วย" นายสุพจน์กล่าว

นาย สุพจน์กล่าวด้วยว่า เนื่องจากอยู่ในช่วงทดลอง สามารถดาวน์โหลดมาเพื่อทดลองใช้ฟรี ที่ //www.pil.in.th สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ info@in.th หรือชมการสาธิตได้ฟรี และสัมผัสการคิดค้นนวัตกรรมจากคุณครูโรงเรียนปทุมวิไลได้ในงาน "การประชุมนานาชาติด้านการเรียนการสอน" วันที่ 15-17 ตุลาคม ที่ไบเทค บางนา




*มหกรรมพลังเยาวชน พลังสังคม ครั้งที่ 1 “ร่วมสร้างประเทศไทยด้วยการให้”

วันที่ 9-11 ตุลาคม 2552 นี้ ขอเชิญเพื่อนๆร่วมกิจกรรมในงาน มหกรรมพลังเยาวชน พลังสังคม ครั้งที่ 1 “ร่วมสร้างประเทศไทย...ด้วยการให้”

บริเวณ ดิสคัฟเวอรี่ พลาซ่า, สยามเซ็นเตอร์, พาร์คพารากอน, อุทยานการเรียนรู้ (TK Park) และหอศิลป์กรุงเทพฯ พบกับกิจกรรมมากมายของน้องๆเยาวชนทั่วประเทศ

ใครอยากทำดีเชิญทางนี้ “ตลาดนัดจิตอาสา” กับ มูลนิธิกองทุนไทย พบกับกิจกรรมมากมายให้คนทั่วไปร่วมทำดีด้วยการให้บริเวณ ดิสคัฟเวอรี่ พลาซ่า อาทิ ช่วยกันเย็บผ้ารองนอนมอบให้กับน้องๆบ้านเด็กอ่อนรังสิต, Postcard ทำมือ ส่งความหวังดีและกำลังใจถึงกัน, สมุดทำมือลดโลกร้อน, นิทานทำมือ, Hanna เพื่อสังคม รายได้ส่วนหนึ่งมอบให้มูลนิธิสงเคราะห์เด็กอ่อนพญาไท เป็นต้น คิดถึงค่าย ฟังเพลงค่าย เจอกัน วันที่ 10 ตค. ประมาณ 11.00 น. การแสดงดนตรี เพลงค่าย โดย กลุ่มรองเท้าแตะ

ภายในยังมีกิจกรรม และการแสดงที่น่าสนใจอีกมากมาย เช่น พลังเยาวชน พลังรักษ์โลก บริเวณ พาร์คพารากอน น้องๆที่ทำกิจกรรมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติจะมาสาธิตการย้อมผ้าสีธรรมชาติ, การแสดงลิเกฮูลู, ละครเกี่ยวกับป่า ฯลฯ เพื่อนๆ จาก “ตาวิเศษ” ฝากบอกว่า “ใครมีถุงผ้าบริจาคก็นำติดไม้ติดมือมาแลกกล้าไม้ได้” ถุงผ้าที่ได้เราจะนำไปให้น้องๆที่อยู่บริเวณผืนป่าตะวันตก


ดูรายละเอียดกิจกรรมได้ที่ //www.okkid.net/youth_festival/main.php


โดย: jenifaae วันที่: 3 ธันวาคม 2552 เวลา:21:02:58 น.  

 
*อาจารย์พิชัย วาศนาส่ง และ คุณปวีณา สิงห์บูรณา กับหนังสือบันทึกชีวิตเล่มแรก "ข้างครู"

ข้างครู ศูนย์หนังสือจุฬาฯ ขอเชิญแฟนๆ นักอ่านร่วมพบปะพูดคุยกับ อาจารย์พิชัย วาศนาส่ง และ คุณปวีณา สิงห์บูรณา กับหนังสือบันทึกชีวิตเล่มแรก "ข้างครู" ในวาระครบรอบ 80 ปี อ.พิชัย วาศนาส่ง พร้อมแจกลายเซ็น ในวันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม 2552 ตั้งแต่เวลา 13.30 -15.00 น. ณ ศูนย์หนังสือจุฬาฯ สยามสแควร์ สอบถามได้ที่ โทร.0-2218-9893-5 0-2255-4433 //www.chulabook.com

แม้จะอยู่ในวัย 80 แต่ดูเหมือนว่า อ. พิชัย วาศนาส่ง ยังคงไม่เคยหยุดนิ่งกับการหาความรู้ในทุกสิ่งอย่างโดยเฉพาะการติดตามข่าวต่างประเทศ ทุกวันนี้ยังวิเคราะห์เกาะติดสถานการณ์โลกเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต อ.พิชัย วาศนาส่ง บุคคล ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับในทุกวงการ ว่าเป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถรอบด้าน ทั้งการเมือง สถาปัตยกรรม แวดวงธุรกิจ สื่อสารมวลชน เพลงคลาสสิก หรือแม้แต่เรื่องอาหาร ต้องยกให้กับ อ.พิชัย วาศนาส่ง ที่แม้ว่าอายุจะล่วงเลยมากว่า 80 ปี แต่เรื่องราวต่างๆในอดีตยังคงจดจำได้ไม่ลบเลือน "ข้างครู" จึงเป็นหนังสือที่บันทึกเรื่องราวในมุมมอง 360 องศา หลากหลายเรื่องราวของ อ.พิชัย วาศนาส่ง ที่ยังไม่เคยเปิดเผยมาก่อน โดยมี ปวีณา สิงห์บูรณา เป็นผู้ถ่ายทอด

พิชัย วาศนาส่ง นับว่าเป็น 'ครู' ในหลายๆ ด้าน เขาเคยดำรงตำแหน่งหน่วยงานต่างๆ ของภาครัฐและเอกชนหลายตำแหน่ง อีกทั้งเคยเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษารัฐมนตรีหลายครั้ง ตลอดจนเป็นผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์-นักจัดรายการวิทยุยุคบุกเบิก ผู้เชี่ยวชาญดนตรีคลาสสิกและอาหาร และโดดเด่นที่สุดในฐานะ 'นักวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศ' ซึ่งได้สร้างลูกศิษย์ลูกหาต่อมาอีกหลายคน และปัจจุบันยังดำรงตำแหน่งผู้บริหารขององค์กรเอกชนหลายหน่วยงานอีกด้วย

นอกจากนี้ยังเป็นผู้รักการอ่าน การเขียน และการถ่ายทอดความรู้ต่างๆ อยู่ตลอดเวลา โดยมีทั้งผลงานเขียน งานแปล และบทความ ได้แก่ ข้างครัว, อพอลโล ลงดวงจันทร์, ตำราพิชัยสงคราม ซุนวู, ข้างเตียง, โลกาอุทาหรณ์ และล่าสุดกับหนังสือ 'ข้างครู' เรื่องราวชีวประวัติในวาระครบรอบ 80 ปี เรียบเรียงโดย ปวีณา สิงห์บูรณา ซึ่งมีจำหน่ายที่ ศูนย์หนังสือจุฬาฯ และร้านหนังสือชั้นนำ

ขอเชิญทุกท่านพบกับ ตัวจริงเสียง อาจารย์พิชัย วาศนาส่ง กับ คุณปวีณา สิงห์บูรณา จะมาบอกเล่าเรื่องราวของหนังสือ ข้างครู ในวันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม 2552 นี้ เวลา 13.30-15.00 น. ณ ศูนย์หนังสือจุฬาฯ สยามสแควร์ สอบถามได้ที่ โทร.0-2218-9893-5 โทรสาร 0-2255-4433




* ขอเชิญชวนประชาชนเข้าร่วมประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อหาค่านิยมหลัก ประชาธิปไตย

สถาบัน พระปกเกล้า ขอเชิญชวนประชาชนเข้าร่วมประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อหาค่านิยมหลัก ประชาธิปไตย (Democratic Core values) ในวันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2552 เวลา 9.00-16.00 น. ณ สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ถนนวิภาวดีรังสิต รับจำนวนจำกัด

สถาบันพระปกเกล้าเป็นสถาบันวิชาการแห่งชาติซึ่งมีภารกิจหลักที่สำคัญคือ การเผยแพร่ ส่งเสริม และพัฒนาประชาธิปไตย ได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่างๆ มาร่วมกลั่นกรองความคิดเพื่อหาจุดร่วมค่านิยมหลักประชาธิปไตยที่เหมาะสมและ สอดคล้องกับบริบทของสังคมไทย เพื่อใช้เป็นแนวทางที่จะปลูกฝังความรู้ด้านประชาธิปไตยแก่เยาวชน ซึ่งจะเป็นการศึกษาภายใต้ “โครงการ e-learning เพื่อพัฒนาความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย และเพื่อให้ค่านิยมหลักประชาธิปไตย ที่เกิดจากการกลั่นกรองของคณะกรรมการสามารถขยายไปสู่การเรียนรู้และการศึกษา ที่เป็นวงกว้างมากขึ้น ผู้เข้าร่วมสัมมนา แบ่งเป็น 6 กลุ่ม ประกอบด้วย นักวิชากร สื่อมวลชน องค์กรภาคพลเมือง เยาวชน นักการเมือง ประชาชนและผู้สนใจ

ผู้สนใจเข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการ ขอเชิญสำรองที่นั่งภายในวันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม 2552 (รับจำนวนจำกัด) โทรศัพท์ 0-2527-7830-9 ต่อ 2303-2305 โทรสาร 0-2527-7822 ติดต่อ นางสาวจินห์จุฑา ลิ้มสวัสดิ์ หรือนางสาวอรอุมา ภูมิบูรณ์

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 02-6312290 ต่อ 309 บริษัท นิโอ ทาร์เก็ต จำกัด




* มหกรรมสืบสานวัฒนธรรมเพื่อสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้

เมื่อเปรียบเทียบสภาพสังคมปัจจุบันซึ่งอยู่ท่ามกลางความเจริญเติบโตทาง เศรษฐกิจอย่างรวดเร็วได้ก่อให้เกิดปัญหาความเสื่อมโทรมทางสังคมศีลธรรม จริยธรรมอย่างรุนแรง แม้ในปัจจุบันมีหน่วยงานองค์กร สถาบัน ทั้งภาครัฐและเอกชนได้จัดกระบวนการเรียนรู้ เพื่อการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม อย่างหลากหลายรูปแบบ แต่ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งเป็นพื้นที่ความขัดแย้งของคนในสังคม ยิ่งซ้ำเติมปัญหาคุณธรรม จริยธรรมให้เสื่อมลงอย่างเห็นได้ชัดยิ่งขึ้น ผนวกกับปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นได้ส่งผลให้สถาบันในครอบครัวมีผลกระทบโดย ตรง เกิดเด็กกำพร้า หญิงหม้ายขึ้นในสังคม
ปัญหาสังคมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในปัจจุบัน ปฏิเสธไม่ได้ว่าสังคมถูกครอบงำโดยวัฒนธรรมตะวันตกอย่างไร้ขีดจำกัด ผู้คนห่างเหินจากศาสนา อำนาจวัตถุนิยมได้ซึมซับเข้าไปในจิตใจของคนในสังคมส่งผลให้เกิดปัญหาสังคม ตามมามากมาย ดังที่ได้เห็นในทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหายาเสพติด การพนัน การมั่วสุมระหว่างชายหญิงอย่างเสรีจนเกิดปัญหาการผิดประเวณีนำสู่การทำแท้ง ในหมู่เยาวชนมุสลิมในพื้นที่ ผู้คนในสังคมขาดความรัก ความสามัคคี เกิดความแตกแยกของคนในครอบครัว ชุมชน หรือแม้กระทั่งปัญหาการหย่าร้างในครอบครัว ที่ส่งผลให้คนในครอบครัวขาดความรัก ความอบอุ่น ซึ่งเป็นเกราะป้องกันปัญหาต่างๆได้ถูกทำลายลง ส่งผลให้เกิดปัญหาดังที่ได้กล่าวข้างต้น
การแก้ไขปัญหาดังกล่าวจะต้องส่งเสริมให้คนในสังคมยึดมั่นในศาสนา ซึมซับถึงแก่นแท้ของศาสนา พร้อมส่งเสริมให้คนในครอบครัวมีความรัก ความอบอุ่นอีกทั้งเสริมสร้างให้คนสังคมมีคุณธรรม จริยธรรม ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีองค์กรเพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหา โดยตรง อย่างเป็นรูปธรรม สามารถแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลประโยชน์สูงสุดต่อคนในสังคมได้ และเมื่อเปรียบเทียบสภาพสังคมมุสลิมในอดีตสังคมมุสลิมเป็นสังคมสันติสุขมี ความอนุรักษ์ด้านวัฒนธรรมและศาสนาสูงเคารพความเป็นมุสลิมช่วยเหลือซึ่งกัน และกัน แต่ปัจจุบันสังคมมุสลิมเกิดปัญหาหลายอย่างโดยหลักๆ คือปัญหาด้านสังคมวิถีวัฒนธรรม ภาษา และความเป็นอยู่ เช่น สังคมขาดระเบียบสังคมวุ่นวาย ครอบครัวแตกแยก ปัญหายาเสพติด อบายมุข ตลอดจนความยุ่งเหยิงทางวัฒนธรรม และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ซึ่งปัญหาเหล่านี้เกิดจากปัจจัยต่าง ๆ ของสภาพแวดล้อมทางสังคมปัจจุบัน ที่คล้อยตามกระแสโลกาภิวัฒน์ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในสังคมมุสลิม จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างจริง จัง
ดังนั้นทางมูลนิธิวัฒนธรรมอิสลามภาคใต้มีมติในที่ประชุมเห็นสมควรมีการจัด โครงการดังกล่าวเพื่อจัดงานให้ประชาชน ในพื้นที่มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นเพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหาสังคม มุสลิมโดยมีบทบาทร่วมสร้างเสริมให้คนให้สังคมมีคุณธรรม จริยธรรม รวมทั้งป้องกัน แก้ไขปัญหาในสังคมร่วมกันเพื่อสร้างสรรค์สังคมให้เกิดสันติสุขอย่างยั่งยืน


กำหนดการโครงการมหกรรมสืบสานวัฒนธรรมเพื่อสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้
วันที่ 28-29 ตุลาคม 2552 มหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา โดย สหพันธ์นิสิตนักศึกษาจังหวัดชายแดนใต้ ร่วมกับมูลนิธิวัฒนธรรมอิสลามภาคใต้


วันที่ 28 ตุลาคม 2552
เวลา กิจกรรม

09.30น. พิธีเปิดโครงการฯ โดยการอ่านพระมหาคำภีร์ อัล-กุรอาน
กล่าวรายงานโดย นายรอมซี ดอฆอประธานโครงการ
กล่าวเปิดงานโดย พล.ต.ต.จำรูญ เด่นอุดม ประธานมูลนิธิวัฒนธรรมอิสลามภาคใต้ ทีปรึกษาโครงการ

10.00น. สานเสวนาหัวข้อ “สื่อกับการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมและการเผยแผ่หลักการอิสลาม”
เสวนาโดย 1.ทนายอดิลัน อาลีอิสเฮาะ
-ประธานศูนย์ทนายมุสลิม
2.นายตูแวดานียา มือรีงี
-สื่อมวลชน
ดำเนินรายการโดย นายสุไฮมี อาแว

11.30น. กิจกรรม อนาซีด และอื่นๆ
12.30น. พักเที่ยง ละหมาดซุฮ์รี
13.00น. กิจกรรม อนาซีด และอื่นๆ

13.30น. สานเสวนาหัวข้อ “อิสลามกับการพัฒนาสังคม”
เสวนาโดย อับดุชชะกูร์ บินซาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)
-ผู้ช่วยผู้จัดการโรงเรียนจริยธรรมศึกษามูลนิธิ
ดำเนินรายการโดย นายรอมซี ดอฆอ
15.00น. กิจกรรม อนาซีด และอื่นๆ
16.00น. เสร็จสิ้นกิจกรรม

วันที่ 29 ตุลาคม 2552
เวลา กิจกรรม

09.30น. กิจกรรม อนาซีด และอื่นๆ
10.00น. สานเสวนาหัวข้อ “บทบาทอูลามอต่อการแก้ไขปัญหาเยาวชน”
เสวนาโดย อาจารย์อิบรอฮิม ยานยา
-รองประธานมูลนิธิวัฒนธรรมอิสลามภาคใต้
-นักวิชาการอิสระ
ดำเนินรายการโดย นายสุไฮมี ดูลาสะ

11.30น. กิจกรรม อ่านบทกวีมลายูท้องถิ่น และอื่นๆ
12.30น. พักเที่ยง ละหมาดซุฮ์รี
13.00น. กิจกรรม อนาซีด และอื่นๆ

13.30น. สานเสวนาหัวข้อ “ประวัติศาสตร์กับวัฒนธรรมชายแดนใต้”
เสวนาโดย 1.พล.ต.ต.จำรูญ เด่นอุดม
-ประธานมูลนิธิวัฒนธรรมอิสลามภาคใต้
-สมาชิกสภาพัฒนาการเมืองและนักวิชาการอิสระ
2.นิรอมลี นิมะ
-ที่ปรึกษามูลนิธิวัฒนธรรมอิสลามภาคใต้
ดำเนินรายการโดย นายสุไฮมี อาแว
15.00น. กิจกรรม อนาซีด และอื่นๆ
16.00น. พิธีปิด


โดย: jenifaae วันที่: 3 ธันวาคม 2552 เวลา:21:03:45 น.  

 
* จัดบรรยายทางวิชาการเรื่อง “หย่อมย่านบ้านช่องในสมัยอยุธยา”

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา จ.พระนครศรีอยุธยา

จัดบรรยายทางวิชาการเรื่อง “หย่อมย่านบ้านช่องในสมัยอยุธยา” โดย ดร. ปรีดี พิศภูมิวิถี

ในวันเสาร์ที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๒ เวลา ๑๓.๐๐ น.
ณ อาคาร ๒ ในพิพิธภัณฑ์ฯ เข้าฟังฟรี

สอบถามเพิ่มเติมที่ (๐๓๕) ๒๔๑-๕๘๗




* กำหนดจัดการสัมมนาเวทีสาธารณะ เรื่อง “การเปิดตลาดการค้าบริการระหว่างอาเซียน-จีน”

ด้วย กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กำหนดจัดการสัมมนาเวทีสาธารณะ เรื่อง “การเปิดตลาดการค้าบริการระหว่างอาเซียน-จีน” เพื่อระดมความคิดเห็นจากภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมใน การพิจารณาจัดทำข้อผูกพันการค้าบริการระหว่างอาเซียน-จีน ในวันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2552 ณ ห้องควีนส์ปาร์ค 1, 2 โรงแรม อิมพีเรียล ควีนส์ปาร์ค สุขุมวิท 22 กรุงเทพฯ

กำหนดการ

08.30 - 09.00 น. ลงทะเบียน

09.00 – 09.45 น. กล่าวเปิดงานสัมมนา
โดย คุณอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
กล่าวรายงาน
โดย รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ

09.45 – 10.00 น. พักรับประทานอาหารว่าง

10.00 – 12.30 น. อภิปราย เรื่อง “ โอกาสทางธุรกิจบริการกับการเปิดตลาดด้านบริการอาเซียนและจีน”
โดย คุณพิษณุ เหรียญมหาสาร รองอธิการบดีและคณบดี คณะบริหารธุรกิจ
มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์
อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
คุณธนากร เสรีบุรี
รองประธานกรรมการ บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด
คุณบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ผู้อำนวยการสำนักเจรจาการค้าบริการและการลงทุน
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
ผู้แทนภาคเอกชน
ดำเนินการอภิปรายโดย คุณอภิรักษ์ หาญพิชิตวณิชย์

12.30 – 13.30 น. รับประทานอาหารกลางวัน

13.30 – 15.30 น. เปิดเวทีระดมความคิดเห็นจากผู้เข้าร่วมสัมมนา
โดย คุณรณรงค์ พูลพิพัฒน์
ผู้อำนวยการส่วนการค้าบริการอาเซียน กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
คุณจิระวัฒน์ ภูมิศรีแก้ว นักวิชาการพาณิชย์ ชำนาญการ
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
Arthit Prapasawat (PangPond)
Public Relations Consultant ...
People Media Co,Ltd
Tel. 0-2704-7958
Fax. 0-2734-2664
E-Mail : dek_pr@hotmail.com





* ขอเชิญร่วมฟังสัมมนาให้ความรู้เรื่อง “สุขภาพตาและสารพันปัญหาโรคต้อ กับวิธีรักษาแนวใหม่”

ศูนย์ จักษุ โรงพยาบาลปิยะเวท และ ตรัยยา ศูนย์สุขภาพองค์รวม และสปา ขอเชิญร่วมฟังสัมมนาให้ความรู้เรื่อง “สุขภาพตาและสารพันปัญหาโรคต้อ กับวิธีรักษาแนวใหม่” ท่านจะได้รับฟังในหลากหลายหัวข้อเกี่ยวกับโรคต้อ เช่น ต้อกระจก ต้อหิน ต้อเนื้อ ต้อลม รวมถึงสุขภาพตาอื่น ๆ ซึ่งบางโรคที่เกิดขึ้นกับดวงตา หากไม่ได้รับการตรวจรักษาอย่างถูกต้อง อาจทำให้ตาบอดได้ พร้อมรับฟังแนวทางการรักษา รวมถึงวิธีการป้องกันดูแลสุขภาพดวงตา จากทีมจักษุแพทย์ และรับฟังในหัวข้อ “อ่านใจและเข้าใจลูก ด้วยกลไกการสื่อสารที่ได้ผล” ในวันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม 2552 เวลา 9.00 – 12.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 4 ตรัยยา โรงพยาบาลปิยะเวท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและสำรองที่นั่งโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายที่ Call Center โทร. 02-625-6555




* หอภาพยนตร์ฯ เปิดเวทีประลองหนัง

ชวนมือถ่ายหนังสมัครเล่นร่วมประชัน

ถ่ายทุกข์ ถ่ายสุข ถ่ายสนุก ถ่ายเรื่อยๆ ถ่ายเน้นๆ
หนังบ้านดีๆ ถ่ายเองกับมือ หรือมีเก็บไว้.. ภูมิใจนำเสนอ
หอภาพยนตร์ฯ สนอง ให้คุณได้ฉายบนจอหนัง ชิงรางวัลหนังบ้านดีเด่น

ในวันหนังบ้านสากล ที่จัดกันทั่วโลกในวันที่ 17 ต.ค. นี้!
รีบเขียนลงแผ่นดีวีดีหรือถือฟิล์มไปส่งผลงานเข้าประกวดได้ที่
หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) 94 หมู่ 3 ถ.พุทธมณฑลสาย 5 ศาลายา นครปฐม 73170

โทร. 0 2482 2013-5 ติดต่อ คุณเฉลิมพล... (ปิดรับผลงาน 14 ตุลาคม 2552)

ทุกปี นับตั้งแต่ปี 2548 (ค.ศ.2002) เป็นต้นมา มีการกำหนดให้วันเสาร์ที่สองของเดือนสิงหาคมของทุกปีเป็น “วันหนังบ้าน” (Home Movie Day) ที่หลายประเทศทั่วโลกพร้อมใจกันจัดให้เป็นงานเฉลิมฉลองของนักถ่ายหนังมือ สมัครเล่นอย่างเป็นสากล แต่นับจากปีที่แล้ววันหนังบ้านจะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่สองของเดือนตุลาคมแทน ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม 2552

หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) ในฐานะหน่วยงานที่เก็บอนุรักษ์หนังบ้านของประเทศไทยไว้มากที่สุด จึงขอเชิญชวนนักถ่ายหนังมือสมัครเล่น ร่วมงานวันหนังบ้าน และส่งหนังบ้านที่ถ่ายเก็บสะสมไว้มาฉายประกวด อวดให้สาธารณชนได้ชม ภาพบันทึกแห่งชีวิต เหตุการณ์ ตัวแทนความรู้สึก ความผูกพันในครอบครัว ผ่านยุคผ่านสมัย ซึ่งสะท้อนวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชุมชนได้เป็นอย่างดี โดยการประกวดหนังบ้านจะจัดแบ่งรางวัลเป็นหมวดหมู่ หนังบ้านประเพณี หนังบ้านเหตุการณ์ หนังบ้านท่องเที่ยว หนังบ้านอมยิ้ม หนังบ้านการแสดง หนังบ้านโบราณ (30 ปีขึ้นไป) และหนังบ้านขวัญใจคนดู

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมายในงาน วันหนังบ้าน ศาลายา ซึ่งจัด ณ หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) ศาลายา อาทิเช่น การเปิดคลินิกตรวจฟิล์ม การรับบริจาคหนังบ้าน ทั้งฟิล์ม 16 มม. 8 มม. หรือวิดีโอเทปต่างๆ จะมีหมอหนังมารับตรวจรักษาหนังบ้านภายในงาน มีมุมฉายหนัง นิทรรศการให้เลือกชมตามอัธยาศัย สอบถามรายละเอียด โทร. 0 2 482 2013-5 ต่อ 114


ข้อมูลหนังบ้าน

ในอดีตหนังบ้านนิยมถ่ายกันด้วยฟิล์มภาพยนตร์ขนาด ๑๖ และ ๘ มิลลิเมตร แต่ในปัจจุบันกล้องวีดิโอที่หลากหลายและราคาย่อมเยา ทั้งถ่ายทำแสนง่าย ทำให้การถ่ายหนังบ้านเป็นของธรรมดาหรือเป็นสามัญประจำบ้านอีกอย่างหนึ่งไป แล้ว

อย่างไรก็ดี หนังบ้านที่ถ่ายทำด้วยฟิล์มภาพยนตร์ โดยเฉพาะ ๑๖ และ ๘ มิลลิเมตร ซึ่งเคยมีอยู่มหาศาลทั่วโลก แต่นับวันจะหาดูกันยาก เพราะเครื่องฉายภาพยนตร์ชำรุดไป ฟิล์มซึ่งได้รับการเก็บดูแลไม่ถูกต้องเหมาะสมก็ชำรุดไป ตกไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลานก็ถูกทิ้งขว้างไปตลอดเวลา ยกเว้นคนที่เห็นคุณค่าที่รักและหวงแหน ได้พยายามเก็บรักษาไว้ทั้งฟิล์มและเครื่องฉาย แต่คนที่รักส่วนมากมักจะหาทางถ่ายทอดฟิล์มหนังบ้านที่มีอยู่เป็นสื่อดิจิตอล ซึ่งสะดวกในการชมและทำสำเนาแจกจ่ายกัน แต่ก็มีคนจำนวนมากที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์เมื่อถ่ายฟิล์มเป็นสื่อดิจิตอลแล้ว ก็คิดว่าได้อนุรักษ์หนังบ้านที่แสนหวงไว้ได้แล้ว เลยพาลปล่อยปละละเลยหรือทิ้งขยะฟิล์มนั้นไปเสียฉิบ กว่าจะรู้ว่าสื่อดิจิตอลยังไม่สามารถเก็บรักษาไว้อย่างถาวรได้ เพราะมันยังเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด และเสี่ยงต่อการสูญหายในชั่วพริบตา ก็สายเกินแก้ ได้แต่น้ำตาตก ทำให้นึกถึงคำคมของ หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร บิดาแห่งเกษตรสมัยใหม่ไทย ที่ว่า “เงินทองเป็นมายา ข้าวปลาเป็นของจริง” เมื่อก่อนใครฟังก็อาจยังไม่ซึ้งถึงใจ แต่ถึงวันนี้ได้เห็นบริษัทการเงินยักษ์ใหญ่ในโลกล้มสูญเป็นแสนๆล้านในพริบตา ก็คงหายสงสัย หากบอกว่า “ดิจิตอลเป็นมายา ฟิล์มนั้นหนาเป็นของจริง” จะว่าอย่างไร

สำหรับประเทศไทย หนังบ้าน หรือบางทีก็เรียก หนังครอบครัว หรือ หนังสมัครเล่น ก็เป็นที่นิยมเล่นกันพร้อม ๆ กับชาวโลกมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๖ เมื่อมีการผลิตกล้องและฟิล์มถ่ายหนังขนาด ๑๖ มิลลิเมตรออกขาย วงการหนังบ้านไทยรุ่งเรืองมากในสมัยรัชกาลที่ ๗ เพราะพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงมีพระราชนิยม โปรดภาพยนตร์มากและทรงเป็นนักถ่ายภาพยนตร์สมัครเล่นระดับโลก โปรดให้ตั้ง “สมาคมภาพยนตร์สมัครเล่นแห่งสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์” ทำให้วงการหนังบ้านไทยคึกคักที่สุด น่าเสียดายที่สมาคมต้องยุติไปหลังเกิดเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ กล้องถ่ายภาพยนตร์ขนาด ๘ มิลลิเมตรกลายเป็นยอดนิยม ทำให้วงการหนังบ้านไทยคึกคักอีกครั้ง เล่นกันได้ทั่วไปทั้งเศรษฐีและคนธรรมดา ก่อนที่กล้องวีดิโอและกล้องถ่ายรูปหรือแม้กระทั่งโทรศัพท์มือถือดิจิตอลซึ่ง สามารถถ่ายคลิปวีดิโอหลายนาทีได้ เข้ามาระบาดพร้อม ๆ กับจอหนังในห้องนั่งเล่นที่บ้านกลายไปอยู่บนจออินเตอร์เน็ตที่คลิกดูได้ พร้อมกันทั้งโลก


โดย: jenifaae วันที่: 3 ธันวาคม 2552 เวลา:21:05:20 น.  

 
*อนุ กมธ. วุฒิสภาจะจัดสัมมนาทิศทางการอยู่รอดของการสื่อสารโทรคมนาคม

อนุกรรมาธิการเพิ่มประสิทธิภาพรัฐวิสาหกิจสาขาสื่อสารโทรคมนาคม วุฒิสภา จะจัดสัมมนาทิศทางการอยู่รอดของการสื่อสารโทรคมนาคม วันอังคารที่ 20 ตุลาคม นี้ หวัง พัฒนาการบริหารจัดการด้านการโทรคมนาคมของรัฐให้มีประสิทธิภาพและปลอดจากการแทรกแซงทางการเมือง

นายอนันต์ วรธิติพงศ์ ประธานคณะอนุกรรมาธิการเพิ่มประสิทธิภาพรัฐวิสาหกิจสาขาสื่อสารโทรคมนาคม กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมในการจัดสัมมนา ทิศทางการอยู่รอดของการสื่อสารโทรคมนาคม ที่จะจัดขึ้นในวันอังคารที่ 20 ตุลาคม 2552 ณ โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค กรุงเทพฯ ว่า คณะกรรมาธิการฯ จะจัดให้มีการแสดงความคิดเห็นและวางแนวทางร่วมกันในการบริหารจัดการกิจการโทรคมนาคมของรัฐทั้ง 2 บริษัทได้แก่บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ที่ต้องปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเพื่อให้อยู่รอดในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน รวมถึงศึกษาแนวโน้มของเทคโนโลยีการสื่อสารใหม่ที่เข้ามาในประเทศโดยเฉพาะเทคโนโลยี 3 จี เพื่อให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทย โดยได้เชิญ ผู้แทนจากภาครัฐ ภาควิชาการ และผู้ที่เกี่ยวข้องกับกิจการโทรคมนาคมของไทยทั้งหมดเข้าร่วมการสัมมนา

ประธานคณะอนุกรรมาธิการเพิ่มประสิทธิภาพรัฐวิสาหกิจสาขาสื่อสารโทรคมนาคม กล่าวด้วยว่า การสัมมนาในครั้งนี้ จะมีการหารือร่วมกันเพื่อทำให้บริษัท ทศท. และกสท. ปลอดจากการแทรกแซงทางการเมือง ที่เข้ามาในรูปของคณะกรรมการบริหารบริษัท เพื่อให้การทำงานมีนโยบายที่ชัดเจนและเกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องกว่าปัจจุบัน




*ขอเชิญเข้าร่วมกิจกรรมของสภาพัฒนาการเมือง ตามโครงการ"สร้างความเข้มแข็งการเมืองภาคพลเมือง"


วาระการประชุม

เวลา

08.30 – 09.00 น. ลงทะเบียน

09.00 – 09.15 น. ฉายวีดิทัศน์แนะนำสภาพัฒนาการเมือง สถาบันพระปกเกล้า

09.15 – 09.45 น. แนะนำโครงการและวัตถุประสงค์ของโครงการ

09.45 – 11.30 น. ความจำเป็นของการเมืองภาคพลเมืองและจิตสาธารณะ

11.30 – 12.00 น. เปิดเวทีให้ผู้เข้าร่วมประชุมซักถาม


โครงการ สร้างความเข้มแข็งการเมืองภาคพลเมือง (คนพิการ ประชาชน และเยาวชน กทม.)


ผู้รับผิดชอบ ชมรมคนพิการพัฒนาตนเองคลองเตย สมาคมเครือข่ายผู้ปกครองแห่งชาติ

(พื้นที่รับผิดชอบ สัมพันธ์วงศ์ , สะพานสูง , ดอนเมือง , หลักสี่ , หนองจอก , บางนา , บางขุนเทียน)


1. หลักการและเหตุผล

การปกครองที่พึงปรารถนาสำหรับสังคมประชาธิปไตย คือ ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมโดยประชาชนสนใจและเข้าใจระบบการเมือง

ปัจจุบัน สังคมไทยมีปัญหา ในเรื่อง การขาดองค์ความรู้ในระบอบประชาธิปไตย รับรู้ในสิทธิหน้าที่ของพลเมืองที่ดีในการปกครองระบอบประชาธิปไตย ไม่ค่อยกล้าหาญที่จะแสดงบทบาทของประชาชนเจ้าของสิทธิและอำนาจที่แท้จริง ไม่มีสื่อที่จะติดต่อถึงกันได้ ในความเดือดร้อน และการถูกละเมิดสิทธิต่างๆ และมีการใช้อำนาจในการปกครอง ไปในทางที่ทำให้ประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรมมากขึ้น จนเกิดปัญหาวิกฤติชาติ ในฐานะของ พลเมืองที่ดี และองค์กรที่ต้องการพัฒนาการเมืองในระดับรากหญ้า ที่ต้องการพัฒนา ให้ความรู้ การปกครองในระบอบประชาธิปไตย แก่ประชาชน และทำให้ประชาชนที่เข้มแข็ง หาก ประชาชน มีองค์ความรู้ในระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ก็จะมีผลดีต่อการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตย ยังผลให้เกิดความเป็นธรรมต่อประชาชนทั่วประเทศ เกิดธรรมาภิบาลในการปกครอง

ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้น องค์กรต่างๆ จึงคิดโครงการนี้ เพื่อให้ ความรู้แก่ประชาชน เรื่องสิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของประชาชน เกี่ยวกับปัญหาบ้านเมืองและทางออก

2. วัตถุประสงค์ /เป้าหมาย ประชาชน และเยาวชน ในกทม.

2.1. เพื่อให้ความรู้ ในสิทธิหน้าที่ บทบาทของประชาชนต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ กทม. ในประเด็นต่าง ๆ ของสังคมที่เกี่ยวข้องกับระบอบประชาธิปไตย

2.2. เพื่อประชาสัมพันธ์บทบาทของสภาพัฒนาการเมือง

2.3. เพื่อให้เยาวชน ประชาชน มีส่วนร่วมในการทำหน้าที่ ของสมาชิก สภาพัฒนาการเมือง

2.4. เพื่อสร้าง และขยายเครือข่ายภาคประชาชนให้เข้มแข็ง และจัดตั้งสภาธรรมาภิบาล

2.5 เพื่อให้รัฐบาลได้แก้ไขปัญหาต่อไป


3.เป้าหมาย

- แกนนำประชาชน โดยเฉพาะแกนนำกลุ่มคนพิการ เยาวชน ในกทม.ที่สนใจการเมือง ในพื้นที่ที่รับผิดชอบ

- เครือข่ายภาคประชาสังคมที่สนใจทางการเมือง


4. การดำเนินการ รูปแบบรายการ

- จัดตั้งคณะกรรมการ จาก เครือข่ายภาคประชาชน

- จัดกลุ่มสัมมนาให้องค์ความรู้แก่แกนนำ

- จัดทำแผ่นพับและป้ายประชาสัมพันธ์

- เผยแพร่ องค์ความรู้เกี่ยวกับบทบาทของสภาพัฒนาการเมือง โดยผ่านทางเครือข่ายเยาวชน และ ประชาชน สู่ประชาชน

- ลงทะเบียนสมาชิก

- จัดประชุมรวมกลุ่ม เพื่อร่วมเป็นสมัชชาพัฒนาการเมือง และดำเนินการ จัดตั้ง สภาธรรมาภิบาล


5. ระยะเวลาดำเนินการ

- ตั้งแต่ 1กันยายน 2552 - 31 ธค. 2552


6 สถานที่

- สถานที่เอกชน รัฐ


7. งบประมาณ กองทุนพัฒนาการเมือง


8. การประเมินผล ประเมินผลจาก

8.1 ผู้ที่เข้ารับเอกสาร และการร่วมกิจกรรม เช่น สมัครสมาชิกสมัชชาพัฒนาการเมือง

8.2 ประเมินจากแบบสอบถาม ประชาชน สุ่มตัวอย่างก่อน และหลังโครงการ

8.3 จำนวนสมาชิกสมัชชาพัฒนาการเมือง

9. ผลที่คาดว่าจะได้รับ

9.1 ประชาชน มีความรู้ด้านการปกครองในระบอบประชาธิปไตย รู้สิทธิหน้าที่พลเมืองที่ดี

9.2 ประชาชนมีส่วนร่วมในกิจกรรมเพื่อส่วนรวมมากขึ้น

9.3 ประชาชนรู้จักบทบาทหน้าที่ ของสภาพัฒนาการเมือง

9.5 มีการสร้างเครือข่ายของภาคประชาชนให้เข้มแข็งมากขึ้น

9.6 ให้เยาวชนรู้จักการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ และมีงานทำ


10. ผู้รับผิดชอบโครงการ

ชมรมคนพิการพัฒนาตนเองเขตคลองเตย


โดย: jenifaae วันที่: 3 ธันวาคม 2552 เวลา:21:06:30 น.  

 
*“แนวทางสู่การเข้าถึงผู้สูงวัยที่ยังเข้าไม่ถึงคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต"

ชมรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อความเท่าเทียมกัน (ICT for All Club) ขอเชิญผู้สูงวัย นักวิชาการและผู้ที่สนใจเข้าร่วมการประชุมทางวิชาการ

การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเทคโนโลยีสารสนเทศและความรู้ในประชากรผู้สูงวัย ICT for All Symposium on “แนวทางสู่การเข้าถึงผู้สูงวัยที่ยังเข้าไม่ถึงคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต Reach The Unreached And Bridge

วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม 2552 เวลา 12.30-17.30 น.
สถานที่ ณ ห้องประชุม OPS Training Center บริษัท โอเพ่น เซิร์ฟ (ประเทศไทย) จำกัด
เลขที่ 11 (ระหว่างอาคารชินวัตร 2 และอาคารพหลโยธินเพลส, ห่างจากสถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ ประมาณ 600 เมตร) ซอยสายลม (พหลโยธิน 8) สามเสนใน พญาไท กรุงเทพมหานคร
แจ้งความประสงค์เข้าร่วมงานได้ที่ นายทศพนธ์ นรทัศน์ โทร. 0812610726 หรือ info@ictforall.org
หรือตู้ ปณ.2 ปณฝ.ราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10401
(ค่าลงทะเบียนชำระที่หน้างาน 50 บาท (สำหรับผู้สูงวัยอายุ 50 ปีขึ้นไป), 100 บาท (สำหรับนักวิชาการและผู้สนใจทั่วไป)
เพื่อเป็นค่าอาหารว่างและเครื่องดื่ม (@50 บาท/คน)
และเป็นค่าเช่าสถานที่ห้องประชุม (ทางบริษัทคิดค่าใช้จ่ายครึ่งวันที่ 3,000 บาท,

ค่าเจ้าหน้าที่ดูแลสถานที่เนื่องจากเป็นวันหยุด 300 บาท))
//wwwserve.biz/product_trainingcenter.html
รับจำนวนจำกัดเพียง 35 ท่าน (สงวนไว้สำหรับวิทยากรและผู้นำเสนอ 10 ท่าน)
รวมทั้งสิ้น 45 ท่าน

ดู(ร่าง) กำหนดการและแผนที่เดินทางได้ที่ //www.ictforall.org




*ขอเชิญท่านหรือผู้แทนร่วมฟัง สัมมนาโครงการเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ของอาจารย์ผู้สอนวิชาการเงินใน สถาบันอุดมศึกษา ปี 2552

ศูนย์ ส่งเสริมการพัฒนาความรู้ตลาดทุน สถาบันกองทุนเพื่อพัฒนาตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ขอเชิญท่านหรือผู้แทนร่วมฟัง สัมมนาโครงการเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ของอาจารย์ผู้สอนวิชาการเงินใน สถาบันอุดมศึกษา ปี 2552 ในวันจันทร์ที่ 12 และอังคารที่ 13 ตุลาคม 2552 เวลา 9.00 - 16.00 น. ณ หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย ชั้น 3 อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ

วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2552

08.30 – 09.00 น. ลงทะเบียน

09.00 – 09.15 น. พิธีเปิด
โดย คุณพันธ์ศักดิ์ เวชอนุรักษ์
รองกรรมการผู้อำนวยการ สถาบันกองทุนเพื่อพัฒนาตลาดทุน
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

09.15 – 11.00 น. Financial Planner: วิชาชีพนักวางแผนการเงิน น้องใหม่มาแรงจริงหรือ
โดย คุณวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ, CFPTM
นายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทย
คุณสุวภา เจริญยิ่ง, CFPTM
กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน)
คุณสาระ ล่ำซำ
กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด
ดำเนินรายการโดย ผู้ดำเนินรายการจากสถานีโทรทัศน์ Money Channel

11.15 – 12.00 น. เตรียมหลักสูตรอย่างไร ให้ลูกศิษย์ก้าวไกลไปสู่ Financial Planner
โดย ดร.กฤษฎา เสกตระกูล, CFPTM
ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาความรู้ผู้ประกอบวิชาชีพหลักทรัพย์และฝ่ายพัฒนาความรู้ผู้ลงทุน
ศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาความรู้ตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

13.00 – 15.00 น. Client Center: หัวใจสำคัญของ Financial Planning
โดย คุณอุมาพันธุ์ เจริญยิ่ง, CFPTM
ผู้อำนวยการ, ผู้บริหารฝ่ายวางแผนการเงินส่วนบุคคล
ธนาคาร กสิกรไทย จำกัด (มหาชน)

15.00 – 16.00 น. สร้างคนรุ่นใหม่ ใส่ใจเรื่องการเงิน
โดย คุณรัชนีกร วงศ์จันทร์
อาจารย์ประจำสาขาวิชาการเงินและการธนาคาร
มหาวิทยาลัยพายัพ

วันอังคารที่ 13 ตุลาคม 2552

09.00 – 10.30 น. รอบรู้การลงทุนในทองคำ
โดย นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ
ประธานกรรมการ ห้างทองแม่ทองสุก
คุณสาธิต วรรณศิลปิน
กรรมการผู้จัดการ บริษัท จีที เวลท์ แมนเนจเม้นท์ จำกัด
คุณกิดาการ สุวรรณธรรมา
ผู้อำนวยการ ฝ่ายอนุพันธ์
บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
ดำเนินรายการโดย ผู้ดำเนินรายการจากสถานีโทรทัศน์ Money Channel

10.45 – 12.00 น. กลยุทธ์การลงทุนในทองคำ (ทองคำ: เรียนรู้วิธีการลงทุนอย่างมืออาชีพ)
โดย คุณอภิชาติ ลักษณะสิริศักดิ์
กรรมการผู้จัดการ
บริษัท ที.ซี.ออสสิริส ฟิวเจอร์ จำกัด

13.00 – 16.00 น. กลยุทธ์การลงทุนใน Gold Futures (Gold Futures: ทางเลือกในการเพิ่มผลตอบแทนและป้องกันความเสี่ยง)
โดย คุณอติ อติกุล, CFA, FRM
ผู้อำนวยการ ฝ่ายตราสารอนุพันธ์
บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)




*งานสัมมนาเชิงวิชาการเรื่อง “From (Ethanol) Waste To Electricity”

วันอังคารที่ 13 ตุลาคม 2552 8.30 น. — 16.30 น. ณ ห้องวิภาวดีบอลรูม บี ชั้น 1 โรงแรม โซฟิเทล เซนทารา แกรนด์ ถ. วิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ

รศ.ดร.บุญสม เลิศหิรัญวงศ์ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้ เกียรติเป็นประธานเปิดงานสัมมนาเชิงวิชาการเรื่อง “From (Ethanol) Waste To Electricity” ซึ่งจัดโดย บริษัท อิตัลไทยอุตสาหกรรม จำกัด ร่วมกับ บริษัท GE Jenbacher ประเทศออสเตรีย บริษัท BioGasclean ประเทศเดนมาร์ค และคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ ห้องวิภาวดีบอลรูม บี ชั้น 1 โรงแรม โซฟิเทล เซนทารา แกรนด์ ถ. วิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ




*สัมมนาเรื่อง "การเปิดตลาดการค้าบริการระหว่างอาเซียน-จีน"

คอลัมน์ สังคมประจำวัน

-เวลา 09.00 น. อลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดสัมมนาเรื่อง "การเปิดตลาดการค้าบริการระหว่างอาเซียน-จีน" ที่ห้องควีนส์ปาร์ค 1-2 โรงแรมอิมพีเรียลควีนส์ปาร์ค สุขุมวิท 22...
-เวลา 09.00 น. ประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา เป็นประธานเปิดสัมมนาเรื่อง "การบริหารจัดการและการบรรเทาน้ำท่วมในเขตลุ่มน้ำภาคกลาง" ที่ห้องแกรนด์ บอลรูม โรงแรมรามาการ์เด้นส์...
-เวลา 09.00 น. สถาบันพระปกเกล้าจัดสัมมนาเรื่อง "สัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อหาค่านิยมหลักประชาธิปไตย" ที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ถนนวิภาวดีรังสิต...
-เวลา 10.00 น. พรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดงาน "นิทรรศการการศึกษานานาชาติของไทยปี 2552" (TIEE 2009) ที่บริเวณห้องโถงหน้าเพลนารีฮอลล์ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์...


โดย: jenifaae วันที่: 3 ธันวาคม 2552 เวลา:21:07:13 น.  

 
*"รวมพลคนรักเช" (ครั้งที่ 2)

9 ตุลาคม 2552 19.00 น.


ณ ร้าน Moonshine Bar ถนนพระอาทิตย์

ครบรอบ 42 ปี การเสียชีวิตของ เช กูวารา Che Guevara นักปฏิวัติ

9 ตุลาคม 2510(1967) - 9 ตุลาคม 2552(2009)

"เอาเชมาโชว์" ใส่สัญลักษณ์ "เช" มาแสดงตัว

มารู้จักเพื่อนพ้องน้องพี่ครอบครัวเดียวกันในโลกใบใหญ่
พบปะสังสรรค์พูดคุยกันอย่างเรียบง่าย
มาร่วมฟังเพลงเกี่ยวกับเช อุดมการณ์แบบเชๆ


ร่ำดื่มสุรา-อาหารตามสบายแล้วแต่สตางค์มี

วันสังหารเช กูวารา คือวันนับถอยหลังความตายของทุนนิยม

Organize By YPD and Moonshine bar
//www.oknation.net/blog/ypd

ลดราคาจากร้านฟรี 10% สำหรับเพื่อนเช

ศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2552, สัมมนา “National Seminar on Copyright in Film Industry”

ร้าน Moonshine Bar ท่าพระอาทิตย์ ตรงข้าม Unicef

เรื่องเล่าของวีรบุรุษของคนหนุ่มสาวร่วมสมัย ที่ยังคงขลังและตราตรึงไม่เสื่อมคลาย สำหรับคนหนุ่มสาวค่อนโลกแล้ว เช กูวารา คือวีรบุรุษในดวงใจของใครหลายคนไม่มากก็น้อย ตั้งแต่ฮิปปี้อเมริกาต่อต้านสงครามเวียดนาม ถึงกระทั่งขบวนการนิสิตนักศึกษาประชาชนไทยในการปฏิวัติ 2516 รวมถึงคนหนุ่มสาวร่วมสมัยในปัจจุบัน ตั้งแต่แผ่นดินละตินอเมริกาถึงชายฝั่งเอเชีย-แปซิฟิค

ภาพของเขาผ่านการก๊อปปี้ครั้งแล้วครั้งเล่า.. เรื่องราวของเขาถูกเล่าผ่านนานนับไม่ถ้วน..

เขาผู้ไม่ยินยอมค้อมหัวให้อำนาจเผด็จการฟาสซิสต์ป่าเถื่อนและจักรวรรดินิยมอเมริกา เขาผู้จากบ้านมาแต่ไกลเพื่อปลดปล่อยประเทศคิวบาจนได้รับชัยชนะ ทั้งยังทิ้งลาภยศสรรเสริญมุ่งหน้าสู่โบลิเวีย เพื่อร่วมกองทัพปลดปล่อยประชาชนจนถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิต เมื่อโดนกองกำลังทหารรัฐโบลิเวียร่วมมือกับ CIA จับกุมตัวเขาไว้ได้ ..

ด้วยความเป็นวีรบุรุษของฝ่ายซ้ายทั่วโลกในขณะนั้น ศัตรูถึงกลับตัดมือและเท้าของเขาเพื่อทำลายร่องรอยของศพ และฝังกลบสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้เยี่ยงวีรบุรุษของเขาให้โลกลืม,..

แต่กระนั้น 30 ปีให้หลัง ศพของเขาก็ถูกค้นพบ..




*นิทรรศการ "สุก-ดิบ อาทิตย์อุไทย"

ร่วมเฉลิมฉลองปีแลกเปลี่ยนระหว่าง
ประเทศแม่น้ำโขงและญี่ปุ่น ด้วยนิทรรศการศิลปะร่วมสมัย
"สุก-ดิบ อาทิตย์อุไทย"

หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพฯร่วมกับเจแปนฟาวน์เดชั่นนำเสนอนิทรรศการศิลปะร่วมสมัย "สุก-ดิบ อาทิตย์อุไทย" โดยศิลปินร่วมสมัยที่โดดเด่นชาวญี่ปุ่น

นิทรรศการศิลปะนี้นำเสนอระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2552 ถึงเดือนมกราคม 2553 เป็นการแนะนำอย่างเป็นทางการให้สาธารณชนรู้จักกับผลงานของศิลปินญี่ปุ่นซึ่งได้รับอิทธิพล อย่างสูงจาก วัฒนธรรมสมัยนิยม (pop culture) อย่างเช่น การ์ตูนมังงะ และการ์ตูนอนิเมะ โดยเน้นให้เห็นถึงแนวทางสังคมและกระแสใหม่น่าสนใจที่เกิดขึ้นในวัฒนธรรมญี่ปุ่นในระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ผลงานอันหลากหลายที่นำมาจัดแสดงถูกคัดสรรโดย เคนจิ คูโบตะ ภัณฑารักษ์อิสระ และ โยโกะ โนเสะภัณฑารักษ์จากพิพิธภัณฑ์ศิลปะ โตโยต้า มิวนิซิเพิล โดยมุ่งหวังให้นิทรรศการ "สุก-ดิบ อาทิตย์อุไทย" นี้เป็นการสำรวจผลงานศิลปะที่สะท้อนให้เห็นถึงหลากหลายแง่มุมทั้งกรอบความคิดและสังคมของคนร่วมสมัย จากงานจิตรกรรม ศิลปะการจัดวาง วิดีโออาร์ต ประติมากรรม ภาพถ่าย หรือแม้แต่หุ่นยนต์ขนาดใหญ่สูงกว่า 7 เมตรตามด้วยหุ่นยนต์ขนาดจิ๋ว นิทรรศการร่วมสมัยนี้นำเสนองานทัศนศิลป์ที่ประกอบด้วยรายละเอียดทางศิลปะที่เปี่ยมไปด้วยพลังในการสร้างสรรค์ และแฝงความหมายล้ำลึกเกี่ยวเนื่องกับสังคมและประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น นิทรรศการนี้จะเป็นการรวบรวมผลงานกว่า 40 ชิ้นจากศิลปินญี่ปุ่น 17 คน

วัฒนธรรมญี่ปุ่นในรูปแบบของการ์ตูนมังงะ การ์ตูนอนิเมะ เกมส์ ดนตรี วรรณกรรม และภาพยนตร์ ไม่ใช่รูปแบบทางวัฒนธรรมรูปแบบเดียวที่ผ่านเข้ามากลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้คนในสังคมไทยเท่านั้น แต่อิทธิพลนี้ยังได้แผ่ขยายไปถึง อาหาร เสื้อผ้า จนถึงที่พักอาศัย นิทรรศการ "สุก-ดิบ อาทิตย์อุไทย" จึงเป็นโอกาสให้ผู้ชมในวงกว้างสามารถมองเห็นและรับรู้ได้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมร่วมสมัยของญี่ปุ่นและจินตนาการที่เกิดขึ้นจากมุมมองทางศิลปะ และนอกจากงานศิลปะแล้วยังมีกิจกรรมเสวนาระหว่างศิลปินไทยและญี่ปุ่น รวมถึงการบรรยายจากศิลปินญี่ปุ่นต่อสาธารณชน โดยเฉพาะนักศึกษาไทย ซึ่งท้ายที่สุดจุดประสงค์ของนิทรรศการคือการก่อให้เกิดมุมมองที่เป็นประโยชน์ ในการสร้างความเข้าใจเพื่อกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและญี่ปุ่นต่อไปในอนาคต

นิทรรศการ "สุก-ดิบ อาทิตย์อุไทย" เป็นส่วนหนึ่งของโครงการจากเจแปนฟาวน์เดชั่น เพื่อเฉลิมฉลองปีแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศลุ่มแม่น้ำโขงและญี่ปุ่น เปิดให้ผู้สนใจเข้าชมระหว่างวันที่ 19 พฤศจิกายน 2552 ถึง 10 มกราคม 2553 ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร สี่แยกปทุมวัน เวลาทำการระหว่าง 10.00 น. - 21.00 น. วันอังคารถึงวันอาทิตย์ (หยุดทุกวันจันทร์) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์หมายเลข 02-214 6630-8

-------------------------------------------------------
The Japan Foundation, Bangkok
10th Fl. Serm-Mit Tower,
159 sukhumvit 21 Rd., Bangkok 10110
Tel. (662) 260-8560-4 Fax. (662) 260-8565
Website: //www.jfbkk.or.th




*กมธ.วิทย์ฯวุฒิสภา เตรียมจัดสัมมนารองรับวิกฤตโทรคมนาคม

ประธานคณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การสื่อสารและโทรคมนาคม วุฒิสภา เตรียมจัดสัมมนาเรื่อง“ทิศทางการอยู่รอดของการสื่อสารโทรคมนาคม” ในวันอังคารที่ 20 ตุลาคมนี้ เพื่อหาทางออกให้กับวิฤตการสื่อสารโทรคมนาคมไทย

นายประสิทธิ์ โพธสุธน ประธานคณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การสื่อสารและโทรคมนาคม วุฒิสภา กล่าวว่า ในวันอังคารที่ 20 ตุลาคม 2552 นี้ คณะกรรมาธิการเตรียมที่จะจัดสัมมนาในหัวข้อ เรื่อง “ทิศทางการอยู่รอดของการสื่อสารโทรคมนาคม” ในรูปแบบของเวทีสาธารณะเพื่อเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับกิจการสื่อสารโทรคมนาคมของ ไทยในยุคที่กิจการสื่อสารโทรคมนาคมมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง

ทั้งนี้การสัมมนาในหัวข้อ “ทิศทางการอยู่รอดของการสื่อสารโทรคมนาคม” ที่คณะกรรมาธิการจัดนี้จะ จัดขึ้นที่ ห้องเจ้าพระยาบอลรูม โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค กรุงเทพมหานคร ในระหว่างเวลา08.30 - 16.30 น.ซึ่งจะ มีการอภิปรายในหัวข้อ “ทิศทางการอยู่รอดของการสื่อสารโทรคมนาคม : ด้านเทคโนโลยีและการบริการ ด้านบริหารงานและข้อกฎหมาย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ TOT และ CAT” โดยประชาชนที่สนใจสามารถเข้าร่วมการสัมมนาได้ในวันและเวลาดังกล่าว




*โครงการปาฐกถาธรรม Togetherness is the Way : ร่วมกันคือหนทาง

สำนักเสริมศึกษาและบริการสังคม ร่วมกับ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ มูลนิธิหมู่บ้านพลัมประเทศไทย จัดโครงการปาฐกถาธรรม Togetherness is the Way : ร่วมกันคือหนทาง ในวันที่ 20 ตุลาคม ตั้งแต่เวลา 17.00-21.00 น. ที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ สำรองที่นั่งโทร. 0-2613-3820-5 ดูรายละเอียดที่ //www.icess.tu.ac.th


โดย: jenifaae วันที่: 3 ธันวาคม 2552 เวลา:21:08:12 น.  

 
*งาน “50 ปีวช. พัฒนางานวิจัย พัฒนาไทยยั่งยืน”

นายกรัฐมนตรี เตรียมเปิดงานครบรอบ 50 ปีวช. พร้อมเรื่องการวิจัย นวัตกรรม เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยภายในงานมีการแสดงนิทรรศการผลงานวิจัยกว่า 100 ชิ้นงาน พร้อมแจกผลิตภัณฑ์ผลงานวิจัยใหม่เจลล้างมือจากผงไหม และบริการตรวจสุขภาพฟรี
นางกาญจนา ปานข่อยงาม รองเลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ในฐานะรักษาราชการเลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กล่วว่า วช.ได้เตรียมจัดงานวันคล้ายวันสถาปนาวช. ครบรอบ 50 ปี ที่ตรงกับวันที่ 28 ตุลาคมนี้ โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานในการเปิดงาน “50 ปีวช. พัฒนางานวิจัย พัฒนาไทยยั่งยืน” ในวันดังกล่าวเวลาประมาณ 13.00 น. พร้อมปาฐกถาพิเศษเรื่องการวิจัย นวัตกรรม เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้งจะมีการเสวนาทางวิชาการ 3 สภา กับความก้าวหน้าของประเทศ ได้แก่ สภาวิจัย สภาพัฒน์ฯ และสภาการศึกษา นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการเผยแพร่นิทรรศการผลงานวิจัยและสิ่งประดิษฐ์กว่า 100 ชิ้นงานที่วช.ให้ทุนสนับสนุน ตลอด 50 ปี ที่ผ่านมา อาทิ สารสกัดกระเจี๊ยบแดง การเพิ่มมูลค่าของวัสดุเหลือใช้จากไหม มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองนอกฤดูกาล การวินิจฉัยและรักษาโรคข้อเสื่อม เครื่องป้องกันการหลับ ขณะขับยานพาหนะ พร้อมทั้ง จะมีการสาธิตแนะนำการประกอบอาชีพ อาทิ การทำน้ำตะไคร้ใบเตย ผสมเนื้อว่านหางจระเข้ เจลล้างมือสูตรใหม่จากผงไหม ลูกประคบ รวมถึงจะแจกผลิตภัณฑ์ให้กับผู้ที่เข้าร่วมชมงานและเปิดบริการให้ตรวจสุขภาพ ฟรีด้วย ทั้งนี้ งานดังกล่าวจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28-30 ตุลาคมนี้ ที่สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
รักษาการเลขาธิการวช. กล่าวว่า ทิศทางการวิจัยในอนาคตได้มุ่งเน้นงานวิจัยที่สนองความต้องการจากภาคประชาชน ทุกภูมิภาคมากยิ่งขี้น ทั้งชุมชน และเกษตรกร พร้อมเชื่อมโยงข้อมูลผลงานวิจัยภายในประเทศให้เข้าถึงผู้ประกอบการ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์




*วันเวชศาสตร์ฟื้นฟู 2552 (Rehab Day 2009)

ชั้น 6 เซ็นทรัลเวิลด์พลาซ่า เวลา 11.00 – 19.00 น.
วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม 2552
เชิญพบกับกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิเช่น
? ความรู้สู่ประชาชนเรื่อง
"สายกลางเพิ่มคุณภาพชีวิต" โดย ศ.กิตติคุณ นพ.เสก อักษรานุเคราะห์
? ปรึกษาปัญหาสุขภาพฟรีโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์ฟื้นฟู
o ปวดข้อ กระดูก กล้ามเนื้อ
o Office syndrome
o การฟื้นฟูผู้สูงอายุ ป้องกันการหกล้ม
o โรคกระดูกพรุน
o ปัญหาเด็กพิการทางกาย
o อัมพาต ชา อ่อนแรง
? สาธิตการแสดงผลงานที่น่าสนใจ
o นวัตกรรมต่างๆ ของมูลนิธิขาเทียมฯ
o การตรวจไฟฟ้ากล้ามเนื้อและการชักนำกระแสประสาท
? ฟรี ทดสอบสุขภาพในมิติต่าง ๆ

o วัดมวลกระดูก
o วัดการทรงตัวผู้สูงอายุ
o วัดความไวปฏิกิริยาโต้ตอบ
o วัดความคล่องการใช้งานมือ
o วัดความมั่นคงข้อต่อกระดูกสันหลัง
o ทดสอบพัฒนาการทางกายและการเคลื่อนไหวของเด็กผ่านการเล่น




*พม.เปิดเวทีสมัชชาสวัสดิการสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 17

“สังคมไทยกับการเข้าถึงบริการสวัสดิการสังคมของประชาชน” เนื่องในโอกาสวันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติและวันอาสาสมัครไทย ประจำปี 2551
วันที่บันทึก : 21/10/2008 ปรับปรุงวันที่ 21/10/2008 ผู้ชม : 509 ครั้ง
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จัดประชุมสมัชชาสวัสดิการสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 17 เรื่อง สังคมไทยกับการเข้าถึงบริการสวัสดิการสังคมของประชาชน เนื่องในโอกาสวันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติและวันอาสาสมัครไทย ประจำปี 2551 เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานด้านสวัสดิการสังคม สังคมสงเคราะห์ และการพัฒนาสังคม ตลอดจนอาสาสมัครได้พบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อพัฒนาการดำเนินงานป้องกันแก้ไขปัญหาและพัฒนาสังคม โดยนางอุบล หลิมสกุล รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานเปิดการประชุม วันอังคารที่ 21 ตุลาคม 2551 ระหว่างเวลา 09.00 น. ณ ห้องบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร

นางอุบล หลิมสกุล รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า การจัดประชุมสมัชชาสวัสดิการสังคมแห่งชาติเป็นกิจกรรมหนึ่ง เนื่องในโอกาสวันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติและวันอาสาสมัครไทย ที่คณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติกำหนดจัดให้มีขึ้นเป็น ประจำทุกปี นับตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นมา ในปีนี้ ได้กำหนดหัวข้อการประชุม เรื่อง สังคมไทยกับการเข้าถึงบริการสวัสดิการสังคมของประชาชน เพื่อให้ผู้แทนจากองค์การสวัสดิการสังคม นักสังคมสงเคราะห์ อาสาสมัคร ตลอดจนหน่วยงานและบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ได้รับทราบ ทบทวนระบบและทิศทางการพัฒนาระบบสวัสดิการไทย 4 ระบบ คือ

1. ระบบบริการทางสังคม เป็นระบบสวัสดิการที่เป็นหน้าที่ของรัฐที่จัดให้แก่ประชาชนทุกคน เช่น 6 มาตรการ 6 เดือนฝ่าวิกฤติเพื่อคนไทยทุกคน การศึกษาฟรี การรักษาพยาบาลฟรี
2. ระบบประกันสังคม เป็นระบบสวัสดิการที่ประชาชนต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการซื้อหลักประกันให้แก่ ตนเอง เช่น การประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ การประกันภัยเอกชน กองทุนบำนาญแห่งชาติ รวมทั้งการจัดสวัสดิการกันเองของประชาชนในรูปสวัสดิการชุมชน
3. ระบบการช่วยเหลือทางสังคม เป็นระบบสวัสดิการที่ให้การช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อน เช่น การสงเคราะห์เด็ก การสงเคราะห์ครอบครัว เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ป่วยเอดส์ กองทุนกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา
4. ระบบส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม เป็นระบบสวัสดิการที่ส่งเสริมให้ภาคส่วนต่างๆ ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดสวัสดิการ ทั้งบทบาทขององค์การเอกชน องค์การธุรกิจ และบทบาทของอาสาสมัคร

“หากเราสามารถพัฒนาระบบสวัสดิการทั้ง ๔ ระบบ ให้มีความสมบูรณ์ จะเป็นหลักประกันให้แก่ประชาชน และสามารถรองรับการเข้าถึงบริการสวัสดิการสังคมของประชาชนในสังคมไทยได้ ในการประชุมครั้งนี้จะได้มีการประมวลความเห็นเพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการส่ง เสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ และรัฐบาล เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติต่อไป” นางอุบล กล่าว




*สัมมนาเรื่อง “การเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการงบประมาณเพื่อเสริมสร้างสันติสุขใน จังหวัดชายแดนภาคใต้”

วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม 2552 เวลา 08.30 - 16.00 นาฬิกา คณะ กรรมาธิการการทหาร วุฒิสภา จัดสัมมนาเรื่อง “การเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการงบประมาณเพื่อเสริมสร้างสันติสุขใน จังหวัดชายแดนภาคใต้” ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการหมายเลข 306-308 ชั้น 3 อาคารรัฐสภา 2




*“ประชาชน ASEAN ร่วมร้องเรียกหาความยุติธรรมและสันติภาพ”

วันที่ 16-17 ตุลาคม 2009
ณ ศูนย์กลางอิสลาม กรุงเทพ

16 ตุลาคม 2552
8.00 น. -9.00 น. ลงทะเบียน
9.00 น. -9.30 น. กล่าวเปิดโดยประธานองค์กร NADI และ เจ้าภาพ(สภาองค์กรมุสลิม)
9.30 น.-10.00น. นำเสนอบทความเรื่อง “The Asean Peaple call for Peace and Justice” โดย Mohideen Kader,Director Citizen International

10.00น.-12.00น. นำเสนอบทความเรื่อง “Human Right Violation-The hotspots of ASEAN conflict and people struggle” การละเมิดสิทธิมนุษย์ชนในประเด็น.-
1.-“คนไร้รัฐชาวโรฮิงญา ในรัฐอาระกัน พม่า” โดย อับดุลฮามิต เอ็มวี มูซา อาลี
2.-“เลือดที่ไม่มีวันเหือดแห้งในภาคใต้ประเทศไทย โดย สมชาย หอมละออ
วีดีทัศน์ “เสียงจากเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายชาวมลายูมุสลิม”
3.-ความขัดแย้งใน มินดาเนา ฟิลิปปินส์ โดย UNYPAD
12.00น. -13.30 น. พักรับประทานอาหารเที่ยง/ละหมาด
14.00 น.-15.30 น. ร่างบันทึกแถลงการณ์ และแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน Endorsing The ASEAN NGOs Bangkok Declaration and Media conference โดย Mohd. Azmi Abdul Hamid, Nusantara Initiative/Citizens International
15.30 น.-17.00 น. People to People Approach for Peace and justice ASEAN NGO. Network Initiative (พบปะระหว่างกันเพื่อสร้างสันติภาพและยุติธรรมในกลุ่มเครือข่ายเอ็นจีโอ)
17.00 น. -19.00 น. พักเบรก
19.00 น. เลี้ยงอาหารค่ำรับรอง โดยเจ้าภาพ และDinner Talk

17 ตุลาคม 2552
8.30 น. กลุ่มที่ 1 เยี่ยมชุมชนผู้ลี้ภัยชาวมุสลิมโรฮิงญา ในกรุงเทพฯ หรือปริมณฑล/พักผ่อน ตามอัธยาศัย
กลุ่มที่2 ร่วมงานสัมมนา 5 ปีตากใบ ที่ ม.ธรรมศาสตร์ ผู้เข้าร่วมประชุมจากภาคใต้ และต่างประเทศเดินทางกลับ

18 ตุลาคม 2552
ตัวแทนเข้าร่วมประชุม Asean People Forum ที่ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี

19 ตุลาคม 2552
9.00 น. จัดผู้แทนไปยื่นหนังสือแถลงการณ์ขององค์กรเครือข่ายแก่นายกรัฐมนตรีไทย และผู้นำอาเซียน


โดย: jenifaae วันที่: 3 ธันวาคม 2552 เวลา:21:09:43 น.  

 
*เชิญร่วมกิจกรรมชมรมเกษตรในเมือง

การเรียนรู้เพื่อการพึ่งพาตนเอง ครั้งที่ 1

เรื่อง การทำแชมพูมะกรูดปลอดสารเคมี และพื้นฐานการทำสวนครัวคนเมืองแบบเกษตรธรรมชาติ

วันที่ 17 ตุลาคม 2552 ตั้งแต่เวลา 9.30 – 15.30 น. โดยจัดขึ้นที่ 9/711 ซอยสตรีวิทยา 2 ซอย 3 ถ.สตรีวิทยา 2 เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ

กำหนดการกิจกรรม มีดังต่อไปนี้

09.30 – 11.30 น. พื้นฐานการทำสวนครัวคนเมืองแบบเกษตรธรรมชาติ
- หลักเกษตรธรรมชาติ
- การสำรวจพื้นที่ ความต้องการ ชุมชนและทรัพยากรในการทำสวนครัว
- ปฏิบัติการสำรวจดิน
- แจกการบ้าน
11.45 -12.45 น. ทานอาหารเที่ยง
13.00 – 14.30 น. ปฏิบัติการ “ทำแชมพูมะกณุดปลอดสารเคมีใช้เอง”
14.30 – 15.00 น. สรุปกิจกรรม และนัดหมายกิจกรรมครั้งต่อไป

*** หมายเหตุ ในกิจกรรมครั้งนี้ ขอให้สมาชิกตระเตรียมอุปกรณ์มาด้วย ดังนี้ คือ

- ผลมะกรูดยังไม่สุกมาก คนละ ไม่เกิน 1 ก.ก.
- ขวดแก้ว หรือขวดพลาสติกชนิดหนา มีฝาปิด ขนาด 500 ซีซี. ไม่เกิน 2 ขวด


สนใจตอบรับการเข้าร่วมกิจกรรมมาที่
คุณ นคร ลิมปคุปตถาวร (ปริ๊นซ์) 081-867-2042
คุณ ชูเกียรติ โกแมน (กอล์ฟ) 085-090-2283




*เสวนาวิชาการ - มุมมองทางกฎหมาย กรณีไต่สวนการตายคดีตากใบ

โครงการเสวนาวิชาการ
"มุมมองทางกฎหมาย กรณีไต่สวนการตายคดีตากใบ"
วันที่ 17 ตุลาคม 2552 เวลา 8.30 - 12.30 น.
ณ ห้องจิตติ ติงศภัทิย์ คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

จากเหตุการณ์ปล้นปืนเดือนมกราคม ปี พ.ศ.2547 เป็นต้นมา ได้เกิดสถานการณ์ความรุนแรงขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ภายใต้การบังคับใช้กฎอัยการศึก และกฎหมายในสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นเหตุให้มีการค้น จับกุมคุมขัง ผู้ต้องสงสัยว่าจะกระทำความผิดในข้อหาเกี่ยวข้องกับความมั่นคงเป็นจำนวนมาก ในขณะที่ข้อมูลการร้องเรียนขอความช่วยเหลือเนื่องจากถูกทรมาน อุ้มหาย หรือถูกดำเนินคดีโดยไม่ได้กระทำความผิดก็มีจำนวนมากเช่นกัน ทำให้ประชาชนจำนวนหนึ่งมีความลังเล สงสัยและไม่กล้าเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมที่ดำเนินไปภายใต้สถานการณ์ดัง กล่าวเพราะเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม

การสลายการชุมนุม บริเวณสถานีตำรวจภูธรอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2547 เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากมีประชาชน เสียชีวิตขณะมีการสลายการชุมนุมโดยอาวุธปืนจำนวน 6 คน และเสียชีวิตระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัวไปยังค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี จำนวน 78 คน ซึ่งตามมาตรา 150 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มีหลักว่า หากมีการตายในระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติ ราชการตามหน้าที่ กฎหมายกำหนดศาลมีหน้าที่ในการไต่สวนและทำคำสั่งแสดงว่าผู้ตายคือใคร ตายที่ไหน และถึงเหตุและพฤติการณ์ที่ตาย ถ้าตายโดยคนทำร้ายให้กล่าวว่าใครเป็นผู้กระทำร้ายเท่าที่จะทราบได้ พนักงานอัยการจึงยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ศาลไต่สวนการตายจากเหตการณ์ดังกล่าว เป็นคดีหมายเลขดำที่ ช.16/2548 และเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2552 ศาลจังหวัดสงขลาได้มีคำสั่งเป็นคดีหมายเลขแดงที่ ช. 8/2552 ระบุเหตุและพฤติการณ์ที่ตายคือ ผู้ตายทั้งเจ็ดสิบแปดขาดอากาศหายใจในระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงาน ซึ่งปฏิบัติราชการตามหน้าที่ ใช้เวลาในการดำเนินการทั้งกระบวนการนับแต่วันเกิดเหตุทั้งสิ้นเกือบ 5 ปี

เครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน ร่วมกับมูลนิธิผสานวัฒนธรรมและสมาคมสิทธิเสรีภาพ (สสส.) ได้ตระหนักถึงความสำคัญของกระบวนการไต่สวนการตาย มาตราฐานการไต่สวน บทบาทของพนักงานอัยการ บทบาททนายความ และหน้าที่ในการดำเนิกระบวนพิจารณารวมถึงการทำคำสั่งตามมาตรา 150 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเพื่อร่วมผลักดันให้เกิดมาตราฐานในกระบวนการยุติธรรมที่เป็นธรรมอย่างแท้จริง จึงจัดเสวนาวิชาการ "มุมมองทางกฎหมาย กรณีไต่สวนการตายคดีตากใบ" ขึ้นในวันที่ 17 ตุลาคม 2552 เวลา 8.30 - 12.30 น. ณ ห้องจิตติ ติงศภัทิย์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) เพื่อระดมความคิดเห็นต่อคำสั่งของศาลดังกล่าวในประเด็นเกี่ยวกับเจตนารมณ์ของการไต่สวนการตาย หลักการไต่สวนการตายและการรับฟังพยานหลักฐานของศาลเพื่อทำคำสั่งในการไต่สวนการตาย ทั้งนี้ เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ต่อผู้ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวข้องกับการไต่สวนการตาย และเผยแพร่เพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะต่อไป

วัตถุประสงค์

1. เพื่อระดมความเห็นและมุมมองทางกฎหมายต่อคำสั่งไต่สวนการตายกรณีการสลายการชุมนุมตากใบ
2. เพื่อค้นหาเจตนารมณ์ หลักการ และมาตราฐานที่ถูกต้องและเป็นธรรม ในการดำเนินการไต่สวนการตาย
3. เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ต่อผู้ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวข้องกับการไต่สวนการตาย และเผยแพร่เพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะต่อไป

ผู้เข้าร่วม

นักกฎหมาย ทนายความ นักวิชาการ นักสังเกตการณ์คดี และตัวแทนของกลไกในกระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวข้องกับการไต่สวนการตาย ประมาณ 30 คน

ผู้รับผิดชอบโครงการ

- เครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (HRLA)
- มูลนิธิผสานวัฒนธรรม
- สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน

กำหนดการโครงการเสวนาวิชาการ "มุมมองทางกฎหมาย กรณีไต่สวนการตายคดีตากใบ"
วัน 17 ตุลาคม 2552 เวลา 8.30 - 12.30 น.
ณ ห้องจิตติ ติงศภัทิย์ คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

8.30 น. - 9.00 น. ลงทะเบียน

9.00 น. - 9.15 น. ชี้แจงวัตถุประสงค์ของการเสวนาวิชาการ และประเด็นในการระดมความเห็น โดย นายไพโรจน์ พลเพชร สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.)

9.15 น. - 9.45 น. ข้อเท็จจริงและภาพรวมการดำเนินคดีไต่สวนการตาย โดย นายรัษฎา มนูรัษฎา ทนายความ

9.45 น. - 10.15 น. ข้อสังเกตของผู้สังเกตการณ์คดีต่อกระบวนการพิจารณาคดีไต่สวนการตายตากใบ โดย นางสาวดรุณี ไพศาลพาณิชกุล นักสังเกตการณ์คดี , นางสาวปรีดา ทองชุมนุม มูลนิธิผสานวัฒนธรรม

10.15 น.- 12.00 น. ระดมความเห็นทางกฎหมายต่อกระบวนการพิจารณาคดีไต่สวนการตายและคำสั่งศาลคดีตากใบ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นโดย

นางสาวพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม
นายอาดิลัน อาลีอิสเฮาะ ศูนย์ทนายความมุสลิม
ศาสตราจารย์แสวง บุญเฉลิมวิภาส อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
นายสมชาย หอมลออ ที่ปรึกษาเครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน
นางสาววรลักษณ์ สงวนแก้ว ศูนย์สิทธิมนุษยชนศึกษาและการพัฒนาสังคม
รศ.ประธาน วัฒนวาณิชย์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
นายเทียมทัน อุณหะสุวรรณี ตัวแทนสำนักงานอัยการสูงสุด
นายไพบูลย์ วราหะ ไพฑูรย์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ*
พล.ต.อ.วันชัย ศรีนวลนัด กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ*
ตัวแทนจากกรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ
นางสาวมาดี ธรรมสัจจกูล ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยรพีพัฒนศักดิ์
ตัวแทนจากกรมพระธรรมนูญ *
ตัวแทนกองทัพบก*
ผู้สนใจเข้าร่วมเสวนา
12.00 น. - 12.30 น. สรุปรวบรวมความเห็นจากการเสวนาและการดำเนินการต่อไป ดำเนินรายการโดย นายไพโรจน์ พลเพชร

หมายเหตุ :
- มีอาหารว่างระหว่างเสวนา
* อยู่ระหว่างการประสานงาน กำหนดการอาจมีการเปลี่ยนแปลง




*เสวนาทางวิชาการเรื่อง “แก้ไขรัฐธรรมนูญ : ใครได้ใครเสีย”

วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม 2552 เวลา 09.00-14.00 นาฬิกา คณะ กรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค คณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน และคณะกรรมาธิการสามัญศึกษาการบังคับใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 วุฒิสภา ร่วมกับมูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย จัดเสวนาทางวิชาการเรื่อง “แก้ไขรัฐธรรมนูญ : ใครได้ใครเสีย” ณ ห้องรับรอง 1-2 ชั้น 3 อาคารรัฐสภา 2




*การประชุมวิชาการครุศาสตร์อุตสาหกรรมนานาชาติ ครั้งที่ 1

ผู้ช่วยศาสตราจารย์พนาฤทธิ์ เศรษฐกุล คณบดีคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม แจ้งข่าวคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยา ลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เป็นเจ้าภาพในนามสมาคมครุศาสตร์อุตสาหกรรมไทย จัดการประชุมวิชาการครุศา
สตร์อุตสาหกรรมนานาชาติ ครั้งที่ 1( The International Conference on Technical Education ) ระหว่างวันที่ 21-22
มกราคม 2553 ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรับฟังความคิดเห็นนวตกรรม
ด้านครุศาสตร์อุตสาหกรรมในระดับสากล รวบรวมองค์ความรู้ที่เป็นผลงานทางวิชาการ ทางครุศาสตร์อุตสาหกรรมและอาชีว
ศึกษา รวมถึงกระตุ้นให้เกิดการทำผลงานวิจัย ที่สอดคล้องกับการพัฒนาครุศาสตร์อุตสาหกรรมและอาชีวศึกษาในระดับนานา
ชาติ
คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม ขอเข้าร่วมประชุมวิชาการ และร่วมส่งผลงานวิจัยบทความวิจัย ในกลุ่มสาขาวิชาตามรายละเอียด
ในแผ่นประชาสัมพันธ์ความยาวไม่เกิน 6 หน้ากระดาษ โดยกำหนดส่งบทความภายในวันที่ 1 พฤษจิกายน 2552 สามารถดูราย
ละเอียดเพิ่มเติม วิธีการส่งบทความ และ Download บทความได้ทาง //www.icted.org
สอบถามรายละเอียดได้ที่ คณะกรรมการดำเนินการจัดประชุมวิชาการครุศาสตร์อุตสาหกรรมนานาชาติ ครั้งที่ 1 โทร.0-2913-2500-24 ต่อ 3272


โดย: jenifaae วันที่: 3 ธันวาคม 2552 เวลา:21:11:07 น.  

 
*กทม. ชวนคนกรุง ฟังดนตรี ชมสวน รับไอหนาว

กรุงเทพ มหานคร จัด เทศกาล "คืนรอยยิ้มให้คนกรุงเทพฯ ด้วยเสียงเพลง" หรืองาน "Bangkok Smile Music in the Park" โดยจะเริ่มในวันที่ 24 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป
นางทยา ทีปสุวรรณ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานแถลงข่าวการจัดงานมหกรรมดนตรีในสวน ภายใต้ชื่อ “เทศกาลคืนรอยยิ้มให้คนกรุงเทพฯ ด้วยเสียงเพลง” หรืองาน ‘Bangkok Smile Music in the Park’ โดยนางทยากล่าวว่า กรุงเทพมหานครได้จัดงานมหกรรมดนตรีในสวนขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ซึ่งในปีจะจัดนำเสนอให้ครบทุกแนวเพลง ครบทุกช่วงอายุผู้ฟังดนตรี ทั้งแนว เพลงป๊อบ ร๊อค ลูกทุ่ง อมตะ เพื่อสนับสนุนให้สถาบันครอบครัวได้ทำกิจกรรมร่วมกัน อันจะเป็นเกราะป้องกันภัยให้แก่เยาวชนของกรุงเทพมหานคร โดยคอนเสิร์ต งาน Bangkok Smile Music in the Park จะหมุนเวียนจัดที่สวนสาธารณะทั้ง 7 แห่งของกทม. ประกอบด้วย อุทยานเบญจสิริ สวนวชิรเบญทัศ(สวนรถไฟ) สวนจตุจักร สวนพระนคร สวนลุมพินี สวนสราญรมย์ สวนธนบุรีรมย์ และบริเวณหน้าลานฮาร์ทร๊อค สยามสแควร์ เป็นเวลา 8 สัปดาห์ ซึ่งพิธีเปิดจะมีขึ้นที่อุทยานเบญจสิริในวันที่ 24 ตุลาคมนี้
รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวด้วยว่า กิจกรรมดังกล่าว นอกจากเป็นการช่วยให้ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่ กทม.ได้ผ่อนคลายกับการทำงานหนัก และภาวะวิกฤติเศรษฐกิจแล้ว ยังถือเป็นการประชาสัมพันธ์สวนสาธารณะของกรุงเทพมหานคร ให้ประชาชนได้รู้จักเพิ่มขึ้น เพื่อใช้เลือกเป็นสถานที่ออกกำลังกายและพักผ่อนในวันหยุด โดยผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดการจัดแสดงดนตรีได้ที่ สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กทม. โทร 0-2246-0301 ถึง 3 หรือ สายด่วน กทม. 1555




*สัมมนาการใช้งาน LabVIEW

จัดโดย: สำนักพัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรม (สพอ.) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ร่วมกับ บริษัท เซ็นเซอร์นิกส์ จำกัด และ บริษัท เนชั่นแนล อินสทรูเม้นทส์ จำกัด

วันที่อบรม สัมมนา:
วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม 2552 เวลา 9.00-16.00 น

หัวข้ออบรม สัมมนา:

กำหนดการ/โบว์ชัวร์:

วิทยากร:

ค่าลงทะเบียน/โปรโมชั่น:
ฟรีตลอดงานครับ

คุณสมบัติผู้เข้าอบรม สัมมนา:

สถานที่จัดอบรม สัมมนา:
ณ ห้องสัมมนา ชั้น 7 สำนักพัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรม

แผนที่:

ลงทะเบียน/สำรองที่นั่งได้ที่:
ลงทะเบียนเข้าร่วมสัมมนาที่
คุณสุรีรัตน์ วงศ์สนิท โทร. 081-482-1629 , 0-2913-2500 ต่อ 2606
ลงทะเบียนเข้าร่วมด่วน!!!!!!!!! ก่อน 15 ตุลาคม 2552

หมายเหตุ:

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่:
สอบถามเพิ่มเติมที่
คุณณัฐพล จะสูงเนิน
โทร. 089-474-9426
Email: nattapholj@kmutnb.ac.th




*การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการดูแลรักษาผู้ป่วยบวมน้ำเหลือง"แขนโตขาโต บำบัดได้ โรคบวมน้ำเหลืองรักษาได้"

การสัมมนาเชิงปฏิบัติการครั้งที่ ๓ สู่การสถาปนาบรรทัดฐานภูษาบำบัด/ขันชะเนาะลดบวม

วันพุธที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๒ ณ ห้องประชุมมีเกรท ชั้น ๘

อาคารเฉลิมพระเกียรติฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล

แบบตอบรับเข้าร่วมการประชุม

(ไม่เสียค่าลงทะเบียน)


ชื่อ-สกุล………………………………………………………………………

ตำแหน่ง..………………………………………….………………………….

หน่วยงานต้นสังกัด………………………………………………….………

ที่อยู่ที่ติดต่อสะดวก………………………………………………….………

………………………………………………….………………………………

โทรศัพท์………………………………………………………………………

Email…………………………………………………………………………

กรุณาส่งมายังหมายเลขโทรสาร (Fax) 02-354-8395

หรือทาง Email: nujrama@gmail.com

หรือแจ้งความประสงค์เข้าร่วมฝึกอบรมได้ที่

-คุณยุพยงค์ โทร 02-354-8395

-คุณนฤมล โทร 085-368-2555

สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ //www.lymphedemathailand.com




*กำหนดการ "OKnation Meeting 3 "

ในโอกาสฉลองครบรอบ 3 ปีการก่อตั้ง เว็บบล็อก OKnation.net จะจัดงานรวมพลคนเขียนบล็อกครั้งที่ 3 "OKnation Meeting 3 " ในวันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม 2552 นี้ ณ "ห้องมีตติ้ง รูม 3" ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งนอกจากจะเป็นงานพบปะสังสรรค์ของชาวบล็อกแล้ว ในงานยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจอีก 2 รายการคือ การเสวนาจ่าก " Blog to Book" และการเปิดตัวของ "OKnation Book Shop Online" ร้านหนังสือออนไลน์ อันเป็นบริการรูปแบบใหม่ของ OKnation.net

งานเสวนา Blog to Book เรื่อง "เขียนอย่างไรให้เป็นรูปเล่ม" มีบล็อกเกอร์OKnation หลายท่าน ให้เกียรติมาร่วมงาน พร้อมนำเคล็บลับในการเขียนบล็อกให้โดนตาโดนใจมาเล่าสู่กันฟัง นำโดย บล็อกเกอร์ครูอุ๋ย บล็อกเกอร์ปราณชลี บล็อกเกอร์hooknoi และ บล็อกเกอร์ Veerin มีคุณ นันทขว้าง สิรสุนทร นักเขียนและคอลัมนิสต์ชื่อดัง เป็นผู้ดำเนินรายการ

สำหรับ OKNation Book Shop Online เป็นร้านหนังสือออนไลน์ที่เปิดให้บุคคลทั่วไป และสำนักพิมพ์ต่างๆ สามารถเข้ามา Post ซื้อ – ขายหนังสือมือ 1 มือ 2 ในระบบได้ตลอด 24 ชั่วโมง เปิดช่องทางให้ผู้ซื้อและผู้ขายได้มีช่องทางสื่อสารกันได้ใกล้ชิดมากขึ้น เพื่อการตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด และ ตอบโจทย์นักอ่านทุกท่านได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึง

OKNation จึงขอเรียนเชิญสมาชิกโอเคเนชั่นและผู้สนใจทุกท่าน เข้าร่วมกิจกรรมและพบปะสังสรรค์ในงานรวมพลคนเขียนบล็อกครั้งที่ 3

กำหนดการ "OKnation Meeting 3 "

13.00 น. : บล็อกเกอร์และผู้ร่วมงานลงทะเบียน
รับป้ายชื่อ ,30 ท่านแรกที่มาลงทะเบียน รับของที่ระลึกฟรี!)
13.15 - 14.15 น. : พบปะสังสรรค์พูดคุยตามประสาเพื่อนพ้องน้องพี่โอเคเนชั่น
ดำเนินการโดยบล็อกเกอร์มะอึก
14.30 - 15.30 น. : เสวนา "จาก Blog to Book" เรื่อง เขียนอย่างไรให้เป็นรูปเล่ม
โดย บล็อกเกอร์ครูอุ๋ย , บล็อกเกอร์ปราณชลี ,บล็อกเกอร์ Hooknoi และบล็อกเกอร์Veerin
ดำเนินการเสวนาโดย นันทขว้าง สิรสุนทร
16.00 - 17.00 น. : แถลงข่าวเปิดเว็บไซต์ใหม่ "OKnation Book Shop Online"

หมายเหตุ : ปลอดค่าใช้จ่ายตลอดงาน




*ขอเชิญเข้าร่วมการเสวนาหัวข้อ “การสร้างความเข้มแข็งการเมืองภาคพลเมือง ทางรอดของชาติ”

ชมรมคนพิการพัฒนาตนเองคลองเตย และสมาคมเครือข่ายผู้ปกครองแห่งชาติได้รับงบประมาณจาก กองทุนพัฒนาการเมือง ได้กำหนดจัดกิจกรรมการเมืองภาคพลเมือง โดยจะจัดการเสวนาเพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้ ทราบถึงการปกครองในระบบประชาธิปไตยที่แท้จริงเป็นอย่างไร

ในการนี้ จึงใคร่ขอเชิญชวนท่านผู้นำชุมชนใน 8 เขตพื้นที่ (ดอนเมือง สัมพันธวงศ์ หลักสี่ หนองจอก สะพานสูง บางนา จตุจักร บางขุนเทียน) และประชาชนผู้สนใจเข้าร่วมการเสวนา (ไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น) ในวันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน 2552 ณ ห้องประชุมชั้น 1 อาคาร 6 โรงเรียนศรีวัฒนาบริหารธุรกิจและเทคโนโลยีนานาชาติ (อยู่ระหว่างซอยสุขุมวิท 64/1 และซอยสุขุมวิท 66) ตั้งแต่เวลา 08.30 - 17.00 น. (ได้แนบรายละเอียดสถานที่ และวาระการเสวนามาพร้อมกันนี้) และขอได้โปรดแจ้งความจำนงในการเข้าร่วมกิจกรรมล่วงหน้าภายในวันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม 2552 ที่หมายเลขโทรศัพท์ 08-5493-2120 และ 08-6367-1004 หรือหมายเลขโทรสาร 02-763-7722 ด้วยจักขอบคุณยิ่ง

ขอแสดงความนับถือ

(นายอภิเดช เดชวัฒนะสกุล)
ประธานชมรมคนพิการพัฒนาตนเองคลองเตย

ฝ่ายประสานงาน โทร. 08-1298-0284

วาระการประชุม

08.30 - 09.00 น. ลงทะเบียน
09.00 – 09.10 น. ฉายวีดิทัศน์ สภาพัฒนาการเมือง
09.10 – 09.30 น. พิธีเปิด และบรรยาย “ปัญหา อุปสรรคของการเมืองการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตยในมุมมองนักการเมือง” โดย คุณอุทัย พิมพ์ใจชน*
09.30 – 11.30 น. “การปกครองในระบอบประชาธิปไตย เพื่อประชาชน โดยประชาชน” โดย
- คุณอุดร ตันติสุนทร
- คุณไชยวัฒน์ สินสุวงศ์
- คุณพล พลพนาธรรม
ดำเนินรายการโดย พท.พญ.กมลพรรณ ชีวพันธ์ศรี
11.30 – 12.00 น. เปิดเวทีซักถาม
12.00 – 13.00 น. พักรับประทานอาหารเที่ยง
13.00 – 14.00 น. “จิตอาสา พาชาติพ้นภัย” โดย ศ. ศิวรักษ์ (คุณสุลักษณ์ ศิวรักษ์)
14.00 – 15.00 น. “การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง”
โดย พันเอก(พิเศษ) สุบรรณ แสงพันธุ์
ผู้อำนวยการใหญ่องค์การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ (อ.ต.ร.)
15.00 – 16.00 น. ตัวอย่างการเมืองภาคพลเมือง “พลังงานไทย เพื่อใคร”
โดย สมาชิกสภาธรรมาภิบาล และสภา พลังงานภาคประชาชน
16.00 – 17.00 น. การพิจารณาโครงการเงินอุดหนุน

หมายเหตุ * อยู่ในระหว่างดำเนินการติดต่อวิทยากร

จุดสังเกต
ทางเข้าโรงเรียนศรีวัฒนาฯ อยู่ติดกับโชว์รูมรถยนต์เชฟโรเลต

การเดินทาง

1. รถไฟฟ้า ลงรถไฟฟ้า (BTS) ที่สถานีอ่อนนุช ใช้ทางออกฝั่งตรงข้ามโลตัส เดินทางต่อด้วยรถเมล์
ลงป้ายหยุดรถประจำทาง “ซอย 101/1” หรือ รถรับจ้างสาธารณะ (รถแท็กซี่)

2. รถยนต์ส่วนตัว ขึ้นทางด่วนมุ่งหน้าบางนา ใช้ทางออกด่าน “สุขุมวิท 62” ถึงสามแยกไฟแดงให้เลี้ยวขวา
สังเกตป้ายซอยสุขุมวิท 101/1 (ด้านซ้ายมือ) เป็นหลักแล้วกลับรถ


โดย: jenifaae วันที่: 3 ธันวาคม 2552 เวลา:21:12:01 น.  

 
*สธ.เปิดลงทะเบียนบริการ “ทำรากฟันเทียมฟรีใน 85 โรงพยาบาล” 21 ต.ค.นี้

กระทรวง สาธารณสุข เปิดลงทะเบียนบริการ “ทำรากฟันเทียมฟรีใน 85 โรงพยาบาล” วันที่ 21 ตุลาคมนี้ น้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พระมารดาแห่งการทันตสาธารณสุขไทย
นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ และคณะทันตแพทยศาสตร์ 6 มหาวิทยาลัย จัดโครงการตรวจสุขภาพช่องปากแก่ประชาชนทั่วไป และบริการฝังรากฟันเทียมฟรี แก่ผู้สูงอายุที่ใส่ฟันเทียมทั้งปาก ในโครงการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องระหว่าง พ.ศ. 2551-2554 ตั้งเป้าช่วยผู้สูงอายุที่มีปัญหาไร้ฟันที่พบมากถึง 600,000 คนทั่วประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาพบปัญหาแม้จะมีฟันปลอมแต่ไม่ยึดแน่นจนไม่สามารถเคี้ยวอาหารได้ สร้างความทรมานแก่ผู้สูงอายุจำนวนมาก การใส่รากฟันเทียมนี้จะช่วยยึดแผงฟันปลอมให้ติดแน่น โดยจากการสำรวจสุขภาพช่องปากระดับประเทศครั้งล่าสุดในปี 2550 พบคนไทยกว่าร้อยละ 50 มีปัญหาฟันผุ ส่วนการฝังรากฟันเทียม หากทำเองต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงถึงรากละ 50,000-120,000 บาท
ผู้สูงอายุที่สนใจเข้าร่วมโครงการเริ่มลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคมนี้ ซึ่งถือเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พระมารดาแห่งการทันตสาธารณสุขไทย และเป็นวันทันตสาธารณสุขแห่งชาติ ซึ่งสามารถติดต่อโดยตรงที่โรงพยาบาล 85 แห่งทั่วประเทศ คือ โรงพยาบาลประจำจังหวัดสังกัดกระทรวงสาธารณสุข 76 แห่ง ร.พ.ศิริราช ร.พ.ตำรวจ ร.พ.จุฬาลงกรณ์ คณะทันตแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยมหิดล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์หาดใหญ่ หรือสมัครที่สถาบันทันตกรรม ใกล้ศูนย์สิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ ถ.ติวานนท์ อ.เมือง จ.นนทบุรี โทร.02-5884005-8 ต่อ 103 รับไม่จำกัดจำนวน




*กิจกรรมสัมมนา Logistics Showcase ครั้งที่ 1

กิจกรรมสัมมนา Logistics Showcase ครั้งที่ 1 หัวข้อยุทธศาสตร์ประเทศกับแนวทางการยกระดับศักยภาพโลจิสติกส์ของประเทศไทย

วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน 2552 ห้องประชุมชั้น 1 กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่

กิจกรรมสัมมนา Logistics Showcase ครั้งที่ 1

ยุทธศาสตร์ประเทศกับแนวทางการยกระดับศักยภาพโลจิสติกส์ของประเทศไทย

1. บทบาทเชิงบูรณาการของภาครัฐในการพัฒนา และผลักดันให้เกิดประสิทธิภาพการจัดการโลจิสติกส์ของประเทศ

2. Manufacturing Logistics Roadmap เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

3. แนวทางการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตเหล็กด้วยการจัดการโลจิสติกส์

4. ศักยภาพด้านการจัดการขนส่ง เพื่อธุรกิจส่งออกระดับสากล

ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม

อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่

กรรมการผู้จัดการบริษัท

สยามยูไนเต็ดสตีล (1995) จำกัด

คุณสุวัฒน์ นวลขาว

ผู้จัดการฝ่ายขนส่งและคลังสินค้า




*ขอเชิญร่วมประชุมสัมมนา โครงการเอ็นจีโอ อาเซี่ยนซัมมิต

สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทน สมาชิกสภาพัฒนาการเมือง กรรมการ มูลนิธิฯ สมาคม คุณจงรักษ์, คุณสินสมุทร และผู้สนใจ
ขอเชิญร่วมประชุมสัมมนา โครงการเอ็นจีโอ อาเซี่ยนซัมมิต ที่ศูนย์กลางอิสลามแห่งประเทศไทย ใน ๑๖ ต.ค.๕๒ ระหว่างเวลาส 09.00 นถึง 16.00 น.ยินดีหากมีคณะของท่านๆละ 1-2 ท่านไปร่วมด้วย ผู้ที่สนใจสามารถไปลงทะเบียนร่วมเสวนาได้ที่ศูนย์กลางอิสลามแห่งประเทศไทยเพื่อทำความรู้จักเอ็นจีโอ อาเซี่ยน และช่วยประชาสัมพันธ์ให้ด้วย




*"แนวทางสู่การเข้าถึงผู้สูงวัยที่ยังเข้าไม่ถึงคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต Reach The Unreached And Bridge The Digital Divide for Elderly People"

ชมรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อความเท่าเทียมกัน (ICT for All Club)

แจ้งเปลี่ยนสถานที่จัดการประชุมทางวิชาการการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ

ทางเทคโนโลยีสารสนเทศและความรู้ในประชากรผู้สูงวัย

ICT for All Symposium on "แนวทางสู่การเข้าถึงผู้สูงวัยที่ยังเข้าไม่ถึงคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต

Reach The Unreached And Bridge

The Digital Divide for Elderly People"

วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม 2552 เวลา 12.30-17.00 น.

จากเดิม "ห้องประชุม OPS Training Center บริษัท โอเพ่น เซิร์ฟ (ประเทศไทย) จำกัด"

ไปเป็น "ณ ห้องบรรยาย 1 หน่วยประสานงานมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ กรุงเทพมหานคร"

เลขที่ 979/42-46 อาคาร SM Tower ชั้น 19 ถนนพหลโยธิน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร

ท่านที่สนใจแจ้งความประสงค์เข้าร่วมงานได้ที่ โทร. 08-1261-0726 (ทศพนธ์)
ดูรายละเอียดหรือลงทะเบียนออนไลน์ได้ที่ //www.ictforall.org




*งานสัมมาวิชาการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศอุตสาหกรรมค้าส่ง-ค้าปลีก

วันที่ 21 ต.ค. 52 - 21 ต.ค. 52
เวลา 09:00 - 16:00
สถานที่ ณ ห้องอโนมา 1-3 โรงแรมอโนมา กรุงเทพ




*ฉลอง 12 ปี รวมพลคนกรุงสุขภาพดี

เสาร์ที่ 17 ตุลาคม 2552 เวลา 06.00 – 09.00 น.
ณ อาคารพลเมืองอาวุโสกรุงเทพมหานคร สวนลุมพินี

โรงพยาบาลกรุงเทพ ร่วมกับ ศูนย์เยาวชนลุมพินี และสวนลุมพินี จัดกิจกรรม “ฉลองครบรอบ 12 ปี โครงการรวมพลคนกรุงสุขภาพดี” อย่างยิ่งใหญ่ โดยเปิดให้บริการตรวจสุขภาพเบื้องต้น กว่า 12 รายการ อาทิ

ตรวจร่างกายโดยแพทย์แผนจีน (แมะ)
อัลตร้าซาวนด์ตับเบื้องต้น
ตรวจการตีบตันของเส้นเลือดคอที่ไปเลี้ยงสมอง
ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ EKG
ตรวจคัดกรองการได้ยิน
สอนเทคนิคการคลำเต้านม เพื่อป้องกันการเป็นมะเร็งเต้านม
ตรวจวัดความดันโลหิต
ตรวจวัดสายตา ด้วยระบบความพิวเตอร์
ตรวจวัดปริมาณไขมันใต้ผิวหนัง Body Fat
ตรวจวัดความสมดุลของร่างกาย Inbody
ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด
ตรวจวัดส่วนสูง / ชั่งน้ำหนัก
พร้อมมอบเครื่องออกกำลังกายมูลค่า 200,000 บาทให้กับศูนย์เยาวชนสวนลุมพินี แล้วมารับฟังสาระความรู้เกี่ยวกับเรื่อง “3 โรคฮิต จู่โจมคนเมือง” โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากโรคสมอง มะเร็งและหัวใจ พร้อมฟังเคล็ดลับดูแลสุขภาพให้แข็งแรงกับเหล่าคนดัง อาทิ จิ๊ก-เนาวรัตน์, น้ำ-รพีภัทร และพลอย ชิดจันทร์




*สัมมนา เรื่อง “ชำแหละโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555”

วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2552 เวลา 08.30-15.00 นาฬิกา คณะ กรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน และคณะกรรมาธิการกิจการองค์กรตามรัฐธรรมนูญและติดตามการบริหารงบประมาณ วุฒิสภา จัดสัมมนา เรื่อง “ชำแหละโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555” ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ หมายเลข 306-308 ชั้น 3 อาคารรัฐสภา 2




*ประกายไฟเสวนา ตอน “บททดสอบภาคประชาชน เมื่อสิทธิการชุมนุมถูกปราบโดยรัฐ”

13.00 – 16.00 น. วันอาทิตย์ ที่ 18 ตุลาคม 2552

@ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว ราชดำเนิน กรุงเทพฯ


สืบเนื่องจากกรณี 3 ผู้นำที่ชุมนุมกรณีเรียกร้องให้รัฐบาลมีการช่วยเหลือเรื่องราคาข้าวนาปรังที่ตกต่ำ ที่เชียงรายถูกที่จำคุก 6 เดือน ไม่รอลงอาญา เมื่อ 23 กรกฎาคม 2552 หลงจากนั้นเพียงเดือนเศษ สหภาพแรงงานไทรอัมพ์อินเตอร์เนชั่นแนลแห่งประเทศไทย สหภาพแรงงาน อิเล็กทรอนิกส์และแม็คคานิคส์ในเครือ ซึ่งเป็นคนงานบริษัทเอนี่ออน อิเล็กทรอนิกส์(ไทยแลนด์) จำกัด และคนงานบริษัท เวิล์ลเวลล์การ์เม้นท์ที่เดินทางมายื่นข้อเรียกร้องและติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการแก้ไขปัญหาของรับบาลบริเวณหน้าทำเนียบและรัฐสภา ในวันที่ 27 สิงหาคม 2552 ที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากได้ได้รับความสนใจจากรัฐบาลและการพยายามสลายการชุมนุมด้วยเครื่องทำลายประสาทหูหรือ LRAD แล้ว ยังถูกออกหมายจับ 3 แกนนำ ด้วยข้อหาก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 215 และ 216 เช่นเดียวกับคนขายหวยจากจังหวัดเลยที่มาประท้วงกระทรวงการคลังไม่จัดสรรโควตาสลาก เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2552 ที่ผ่านมา

และล่าสุดก็กรณีที่พี่น้องชาวบ้านที่หนองแซงประสบ คือผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีแจ้งความดำเนินคดีข้อหาปิดถนนทางสาธารณะกับแกนนำชาวบ้าน 6 คน ด้วยพ.ร.บ.ทางหลวง มาตรา 39 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 229 โดยอ้างว่าทำให้ปิดทางสาธารณะอันน่าจะทำให้เกิดเหตุอันตราย และปรากฏว่าพี่น้องเราถุกจับกุมขณะกลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า 3 คน ภายหลังการชุมนุมบนถนนสายพหลโยธินตั้งแต่วันที่ 24 กันยายน 2552 และได้ยุติการชุมชนในวันที่ 25 กันยายน 2552 เพื่อแสดงตัวตนและสื่อสารต่อสาธารณะของชาวบ้านที่เป็นเหยื่อของการพัฒนาที่ไม่เป็นธรรมและขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนผู้เป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติ

ซึ่งก็เช่นเดียวกับที่คนงานไทรอัมพ์ เอนิออนและเวิลเวล การ์เมนท์ ได้มาชุมนุมที่หน้าทำเนียบและรัฐสภา ที่นอกจากการเรียกร้องต่อรัฐบาลและการติดตามผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาแล้ว ยังเป็นการแสดงตัวตนและสื่อสารต่อสาธารณะถึงปัญหาการส่งเสริมการลงทุนของรัฐที่ก่อให้เกิดการย้ายฐานการผลิตและความด้วยประสิทธิภาพในการจัดการปัญหาเศรษฐกิจและแรงงานของรัฐบาล เหล่านี้แทนที่การใช้สิทธิพลเมืองในการแสดงตัวตนและสื่อสารต่อสาธารณะจะได้รับความสนใจและแก้ไขปัญหาจากรัฐ แต่ผลกลับเป็นการเปิดปากหรือปราบโดยรัฐด้วยการออกหมายจับติดๆกัน สะท้อนให้เห็นทางหนึ่งคือรัฐได้ลุแก่อำนาจ แทนที่จะจัดการแก้ไขปัญหากลับมองประชาชนผู้เดือดร้อนเป็นตัวปัญหาที่ต้องปิดปากแล้ว อีกทางหนึ่งยังเป็นการพิสูจย์น้ำยาของขบวนการภาคประชาชนในขณะนี้ด้วยว่าจะรับมือกับการรุกคืบเข้ามาของอำนาจรัฐที่นับวันยิ่งลุแก่อำนาจมาขึ้น ด้วยเหตุนี้ทางกลุ่มประกายไฟและองค์กรภาคประชาชนที่ประสบกับปัญหาจึงร่วมกันจัดกิจกรรมในลักษณะของการเสวนาเชิงปฏิบัติการ เพื่อร่วมกันหามาตราการป้องกันและแก้ไขกับปัญหาที่กำลังทวีเพิ่มมากขึ้นี้ ภายใต้ชื่อกิจกรรม ประกายไฟเสวนา ตอน “บททดสอบภาคประชาชน เมื่อสิทธิการชุมนุมถูกปราบโดยรัฐ”


วัตถุประสงค์
1.เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การถูกปราบหรือละเมิดสิทธิพลเมืองโดยรัฐที่เคยเกิดขึ้น
2.เพื่อให้ได้แนวทางร่วมกันในการป้องกันและแก้ไขปัญหาสิทธิการชุมนุมที่ถูกปราบโดยรัฐของภาคประชาชนร่วมกัน


กิจกรรม
12.30 – 13.00 น. ลงทะเบียน พูดคุยกันตามอัธยาศรัย
13.00 – 16.00 น. เสวนา ในหัวข้อ “บททดสอบภาคประชาชน เมื่อสิทธิการชุมนุมถูกปราบโดยรัฐ”
นำเสวนาโดย
ตัวแทนจากสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ฯ
ตัวแทนจากกลุ่มคัดค้านโครงการโรงไฟฟ้าหนองแซง สระบุรี
นักกฏหมายสิทธิมนุษยชนจากมูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม
อุเชนทร์ เชียงเสน นักศึกษาปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์
ดำเนินรายการโดย เก่งกิจ กิติเรียงลาภ กลุ่มประกายไฟ


โดย: jenifaae วันที่: 3 ธันวาคม 2552 เวลา:21:12:58 น.  

 
*งาน “SMOT Fair ครั้งที่ 2”

โครงการ “SMOT Fair ครั้งที่ 2”
โดยเครือข่ายผู้ประกอบธุรกิจเอสเอ็มอี-โอท็อป
(SMEs-OTOP NETWORK)

สถานที่ตั้ง เลขที่207 สี่แยกโรงพยาบาลศิริราช ถ.พรานนก แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กทม.โทรศัพท์ 02-4112062 ฝ่ายเลขานุการ 083-2983182
e-mail:smotthailand@gmil.com webside:www.smotthai.com


1. หลักการและเหตุผล

สภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ตกต่ำมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การประกอบอาชีพทำมาหากินของพี่น้องประชาชนฝืดเคืองเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการทำมาค้าขายและธุรกิจการให้บริการต่างๆ เช่น ธุรกิจเอสเอ็มอี- โอท็อป ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว เป็นต้น เครือข่ายผู้ประกอบธุรกิจเอสเอ็มอี-โอท็อป (SMOT) เป็นองค์กรความร่วมมือของนักธุรกิจเอสเอ็มอี-โอท็อปที่มีเป้าหมายระยะสั้นใน การจัดการทางด้านการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อนำพาสมาชิกฟันฝ่า วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ไปให้ได้ คณะกรรมการบริหารเครือข่ายผู้ประกอบธุรกิจเอสเอ็มอี-โอท็อปจึงกำหนดแผนงาน ให้มีการจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของสมาชิกทุกๆ 3 เดือน พร้อมๆไปกับการจัดเสวนาทางด้านเศรษฐกิจ เพื่อให้สมาชิกและพี่น้องประชาชนที่สนใจได้รับทราบถึงสภาวะที่เป็นจริงของ เศรษฐกิจ เพื่อเป็นการเตรียมตัวรับมือกับปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและ ที่จะดำเนินต่อไปในอนาคต ตลอดจนการหาช่องทางและกลยุทธ์ต่างๆในการประคับประคองธุรกิจต่อไป

ผลิตภัณฑ์เอสเอ็มอี-โอท็อปเป็นของดีมีคุณค่า สร้างสรรค์ขึ้นมาจากภูมิปัญญาของคนไทยที่สั่งสมกันมานับร้อยๆปี จึงสมควรแก่การยกระดับขึ้นไปให้ชาวต่างประเทศได้พบเห็น เพื่อเพิ่มโอกาสในการซื้อ-ขายและการเจรจาทางธุรกิจ ด้วยเหตุนี้เครือข่ายผู้ประกอบธุรกิจเอสเอ็มอี-โอท็อป จึงมีแผนงานที่จะเป็นเจ้าภาพจัดกิจกรรม “SMOT Fair ครั้งที่ 2”ณ โรงแรมย่านธุรกิจใจกลางกรุงเทพฯ ซึ่งมีกำหนดการจัดงานขึ้นในวันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม 2552 ณ โรงแรมอินทรา ประตูน้ำ ตั้งแต่เวลา 9.00 – 20.00 น. โดยกิจกรรมการเสวนาทางด้านเศรษฐกิจจะจัดขึ้น ณ ห้องมรกต โดยเรียนเชิญวิทยากรผู้เชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐกิจ เช่น นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี นายจาตุรนต์ ฉายแสง รศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช และ รศ.ดร.พิชิต ลิขิต กิจสมบูรณ์ มาวิเคราะห์ถึงสภาพการณ์ของปัญหาเศรษฐกิจและแนวทางการแก้ปัญหาของพี่น้อง ประชาชนในอนาคตดำเนินการการเสวนาโดยคุณศุภรัตน์ นาคบุญนำ และทีมงานรายการสถานีประชาธิปไตยแห่งสถานีโทรทัศน์ People Channel ส่วนกิจกรรมการจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์จะจัด ณ ห้องทับทิมและบริเวณห้องโถงด้านหน้าห้องมรกต

นอกจากนี้ SMOT ยังได้เรียนเชิญนักธุรกิจชาวไทยและชาวเยอรมันที่ประกอบธุรกิจในประเทศ เยอรมนีให้มาเยี่ยมชมผลิตภัณฑ์ในงานนี้ รวมทั้งจะทำการประชาสัมพันธ์ให้นักธุรกิจและนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศได้ รับทราบถึงการจัดกิจกรรม “SMOT Fair ครั้งที่ 2” อย่างกว้างขวาง ทั้งนี้เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสในซื้อ-ขายผลิตภัณฑ์และการเจรจาธุรกิจสำหรับ การส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังต่างประเทศ รายได้ที่เหลือจากการจัดกิจกรรมครั้งนี้จะนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนิน กิจกรรมของ SMOT เช่น ค่าเช่าสำนักงาน และการจัดการอบรมหลักสูตรต่างๆเพื่อนำความรู้ไปต่อยอดธุรกิจให้กับสมาชิก ต่อไป

2. วัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรม “SMOT Fair ครั้งที่ 2”

2.1) เพื่อเป็นเวทีสำหรับสมาชิกและพี่น้องประชาชนที่ประกอบธุรกิจเอสเอ็มอี-โอ ท็อปได้จัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ต่อผู้บริโภคชาวไทย นักธุรกิจชาวไทย และนักธุรกิจชาวต่างประเทศ
2.2) เพื่อให้สมาชิกและพี่น้องประชาชนได้รับทราบสภาพการณ์ที่เป็นจริงของเศรษฐกิจ โลก/ไทยในปัจจุบัน และทิศทางของเศรษฐกิจที่จะเป็นไปในอนาคต
2.3) เพื่อให้สมาชิกและพี่น้องประชาชนที่ประกอบธุรกิจเอสเอ็มอี-โอท็อปได้ทราบถึง ช่องทางและกลยุทธ์ต่างๆในการประคับประคองธุรกิจภายใต้วิกฤตเศรษฐกิจ
2.4) เพื่อเวทีในประชาสัมพันธ์และเรียกร้องให้พี่น้องประชาชนหันมาสนับสนุนผลิตภัณฑ์เอสเอ็มอี-โอท็อปเพิ่มขึ้น

กำหนดการจัดงาน “SMOT Fair ครั้งที่ 2”


ณ โรงแรมอินทรา (ชั้น 4) ประตูน้ำ กรุงเทพฯ
วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม 2552 เวลา 9.00 – 20.00 น.

10.00 – 10.45 น. การแสดงตีกลองสะบัดชัยของคณะนักเรียนโรงเรียน ……………
10.40 – 11.00 น. วีดิทัศน์แนะนำ SMOT และกำหนดการ
11.00 – 12.30 น. ปาฐกถา “เศรษฐกิจไทยและเอสเอ็มอี-โอท็อปจะฟื้นตัวได้อย่างไร”
รศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีต รมว.คลัง
12.30 – 13.00 น. พักรับประทานอาหารว่าง-กาแฟ
13.00 – 14.00 น. ดนตรีโดยคุณจำรัส เศวตาภรณ์
14.00 – 14.30 น. ทิศทางการขับเคลื่อนและอนาคตของ SMOT
ดร.ปริวรรต สาคร ประธาน SMOT
14.30 – 16.00 น. การเสวนา “ความหวังและโอกาสของคนไทยต่อเศรษฐกิจปี 2553”
นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรองนายกฯและรมว.คลัง
รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ คณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์
ดำเนินรายการโดยคุณศุภรัตน์ นาคบุญนำ
16.00 – 16.30 น. พักรับประทานอาหารว่าง-กาแฟ
16.30 – 18.00 น. การเสวนา “คนเสื้อแดงกับประชาธิปไตยทางด้านเศรษฐกิจ”
นายแพทย์เหวง โตจิราการ
นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา
18.00 – 19.00 น. โด่งไลฟ์สไตล์
คุณอรรถชัย อนันตเมฆ
19.00 – 19.30 น. พิธีมอบของที่ระลึกให้กับผู้อุปการคุณ
20.00 น. ปิดงาน




*วิพากษ์ประกาศโครงการที่อาจก่อผลกระทบรุนแรง ตามมาตรา67

กำหนดการเสวนาเรื่อง
“วิพากษ์ประกาศโครงการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบรุนแรง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 67 : บทพิสูจน์สิทธิชุมชน”
วันที่ 15 ตุลาคม 2552
ห้องประชุมสมาคมนิสิตเก่ารัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชั้น 2 อาคารเกษมอุทยานิน

08.30 – 09.00 น. ลงทะเบียน
09.00 – 10.15 น. โครงการรุนแรงฯ ที่ถูกมองข้ามจากประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม
โดยกลุ่มนักวิชาการด้านผลกระทบจากอุตสาหกรรม
1) ความรุนแรงและผลกระทบกรณีเหมืองใต้ดินและเหมืองทองคำ
โดย : อาจารย์สันติภาพ ศิริวัฒนไพบูลย์ สถาบันราชภัฎอุดรธานี
2) ความรุนแรงและผลกระทบกรณีอุตสาหกรรมการผลิตเหล็ก
โดย : อาจารย์อาภา หวังเกียรติ มหาวิทยาลัยรังสิต
3) ความรุนแรงและผลกระทบกรณี อุตสาหกรรมปิโตรเคมี
โดย : นางสาวเพ็ญโฉม แซ่ตั้ง มูลนิธิบูรณะนิเวศ
4) ความรุนแรงและผลกระทบกรณีโรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้า
โดย : นางสาวธัญญาภรณ์ สุรภักดี มูลนิธินโยบายสุขภาวะ
10.15 – 10.30 น. พักรับประทานอาหารว่าง
10.30 - 11.45 น. เสียงสะท้อนจากชุมชน ที่ถูกมองข้ามจากประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม
1) โครงการโรงถลุงเหล็ก อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์
โดย : นายสุพจน์ ส่งเสียง
กลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์
2) โครงการโรงไฟฟ้าหนองแซง อ.หนองแซง จ.สระบุรี
โดย : นายตี๋ ตรัยรัตนแสงมณี
เครือข่ายอนุรักษ์วิถีเกษตรกรรม อ.หนองแซง จ.สระบุรี
3) การขยายอุตสาหกรรมในพื้นที่มาบตาพุด
โดย : นายสุทธิ อัชฌาศัย
เครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก
4) กรณีเหมืองทองพิจิตร
โดย : นางสื่อกัญญา ธีระชาติดำรง
เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากเหมืองทอง พิจิตร เพชรบูรณ์ พิษณุโลก
5) กรณีเหมืองใต้ดินโปแตซ
โดย : อยู่ระหว่างการติดต่อ
11.45 – 12.30 น. หลักเกณฑ์การกำหนดประเภทโครงการรุนแรง และกระบวนการใช้สิทธิของประชาชน
โดย คุณบัณฑูร เศรษฐศิโรฒม์*
คุณสุรชัย ตรงงาม โครงการนิติธรรมสิ่งแวดล้อม
12.30– 13.00 น. ผู้เข้าร่วมซักถามและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
ดำเนินรายการโดย ดร.ประภาส ปิ่นตบแต่ง
อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
หมายเหตุ * อยู่ระหว่างการติดต่อ


โดย: jenifaae วันที่: 3 ธันวาคม 2552 เวลา:21:15:15 น.  

 
*ขอเชิญร่วมงาน ระพีเสวนาครั้งที่ ๓/๗ "สุขภาพทางเลือกเพื่อดุลยภาพแห่งชีวิต"

โครงการระพีเสวนา: การเรียนรู้เพื่อความเป็นไท ภายใต้ความร่วมมือของภาคีร่วมจัด อันได้แก่ มูลนิธิระพี-กัลยา สาคริก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล มูลนิธิสยามกัมมาจล และสถาบันอาศรมศิลป์ มูลนิธิโรงเรียนรุ่งอรุณ
ขอเชิญร่วมงาน ระพีเสวนา กลุ่มที่ ๓ สุขภาพทางเลือกเพื่อดุลยภาพแห่งชีวิต จะจัดขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๒ เวลา ๘.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. ณ หอประชุมมหิศร ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ โดยภายในงานจะประกอบด้วยเวทีเสวนา กิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และนิทรรศการมีชีวิต

เวทีเสวนา “โครงการระพีเสวนา: การเรียนรู้เพื่อความเป็นไท”
เป็นเวทีเสวนาที่เปิดพื้นที่ให้แก่ผู้ลงมือปฏิบัติจริงในสายงานทางเลือก โดยในกลุ่มที่ ๓: แพทย์และสาธารณสุขทางเลือก โดยก่อนการดำเนินเวทีระพีเสวนาในแต่ละเวที คณะนักวิจัยได้จัดกิจกรรมที่สร้างปฏิบัติการการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมต่างๆ ตามกลุ่มการเรียนรู้เพื่อสร้างชุมชนปฏิบัติการ (Community of Practices: COPS) เช่น โครงการค่ายสุข (ภาพ) กันเถอะเรา ที่เรียนรู้และบูรณาการผสมผสานแนวทางของแพทย์ทางเลือกหลากหลายศาสตร์มาทดลอง ปฏิบัติจริง เป็นเวลาประมาณ ๑ เดือน เพื่อสร้างนิสัยใหม่ในการดูแลสุขภาพก่อนป่วยไข้ เป็นต้น
นอกจากนั้นในเวทีระพีเสวนายังเน้นการสื่อสารสองทาง (Two-way Communication) ที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานได้ตกผลึกและสะท้อนการเรียนรู้ (Reflection) รวมทั้งเปิดพื้นที่การแลกเปลี่ยนระหว่างแพทย์ทางเลือก และผู้เข้าร่วมงานอย่างหลากหลายในเวทีช่วงบ่าย “สถานีสุขภาพ” ที่เอื้อให้ผู้เข้าร่วมมีประสบการตรงกับการดูแลสุขภาพ พร้อมมีเวทีสรุปสะท้อนการเรียนรู้ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่สำคัญ
นิทรรศการ
สำหรับนิทรรศการในงานระพีเสวนาฯ เป็นการจัดนิทรรศการในลักษณะนิทรรศการมีชีวิต (Living Museum) ที่เน้นให้ผู้เข้าร่วมนิทรรศการได้รับประสบการณ์ตรงที่สัมผัสได้จากการลงไม้ ลงมือทำ ที่ผู้จัดนิทรรศการได้เตรียมกิจกรรม workshop เอาไว้
อื่นๆ
นอกจากกิจกรรมเสวนาและนิทรรศการ ภายในงานยังจะมีซุ้มอาหารอร่อยๆ จากเครือข่ายตลาดนัดสีเขียวกว่า ๑๕ ซุ้ม และหนังสือดีๆ จากสำนักพิมพ์ที่จะมาร่วมกันขายหนังสือในงานอีกด้วย

กำหนดการ
ระพีเสวนา: การเรียนรู้เพื่อความเป็นไท ครั้งที่ ๓/๗
สุขภาพทางเลือกเพื่อดุลยภาพแห่งชีวิต
วันพฤหัสบดีที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๒
ณ หอประชุมมหิศร ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่
๐๘.๐๐ - ๐๘.๓๐ น. ลงทะเบียน
๐๘.๓๐ - ๐๘.๔๕ น. ศาสตราจารย์ระพี สาคริก กล่าวเปิดงาน
๐๘.๔๕ - ๐๙.๑๕ น. ปาฐกถา โดย นพ.ประสาน ต่างใจ
๐๙.๑๕ - ๐๙.๓๐ น. การนำเสนอประเด็นการเรียนรู้จากนักวิจัย โครงการระพีเสวนาฯ
๐๙.๓๐ - ๑๐.๑๕ น. “เยียวยาผู้ป่วยไข้ ด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์” แรงบันดาลใจ ประสบการณ์การเรียนรู้และดูแลรักษาคนไข้ด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ของแพทย์ทาง เลือก
• “แพทย์ทางเลือกสู่ชุมชนพึ่งตนเอง” หมอทราย พิชิต กัณฑรัตน์
• “เยียวยาจิตใจ คือเยียวยาร่างกาย แบบแพทย์แผนธิเบต” หมอดิน ตถตา ทองเพียร
ร่วมเสวนาโดย อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์
๑๐.๑๕ - ๑๐.๓๐ น. พัก
๑๐.๓๐ - ๑๑.๓๐ น. “ การดูแลสุขภาพด้วยการสร้างดุลยภาพแห่งชีวิต” การผสมผสาน คิดค้น และสร้างองค์ความรู้ด้านการรักษาจากการปฏิบัติ โดย
ผู้ดำเนินรายการ:
• รศ.พญ.ลดาวัลย์ สุวรรณกิติ และผู้ป่วยที่ฟื้นฟูตัวเองจาก
องค์ความรู้และการบูรณาการศาสตร์ “ดุลยภาพบำบัด”
• หมอเขียว ใจเพชร กล้าจน และผู้ป่วยที่ฟื้นฟูตัวเองจาก
องค์ความรู้และบูรณาการศาสตร์ “แพทย์ทางเลือกวิถีพุทธ”
• หมอแดง วีรชัย วาสิกดิลก และผู้ป่วยที่ฟื้นฟูตัวเองจาก
องค์ความรู้และบูรณาการศาสตร์ “ธรรมชาติบำบัด”
๑๑.๓๐ – ๑๓.๓๐ น. พักรับประทานอาหารเมนูสุขภาพ และชมนิทรรศการมีชีวิต (Living Museum)
จากเครือข่ายตลาดนัดสีเขียว, ร้านอาหารทำเสื้อ ทำสวน, ครัวป้าตา และอื่นๆ อีกมากมาย
๑๓.๓๐ – ๑๔.๓๐ น. กิจกรรม Workshop “สถานีสุขภาพ” และเสวนากลุ่มย่อย ๘ กลุ่ม ได้แก่
• ค่ายศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล
• ค่ายสุขภาพโรงเรียนรุ่งอรุณ และสถาบันอาศรมศิลป์
• ค่ายโยคะฝึกจิตพิชิตโรค
• “สมุนไพรและการดูแลตนเองแบบไทย” โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร
• “แพทย์วิถีพุทธ” โดย ทีมสวนป่านาบุญ และหมอเขียว ใจเพชร กล้าจน
• “ใครไม่ป่วยยกมือขึ้น” โดย หมอแดง วีระชัย วาสิกดิลก
• “แพทย์วิถีพึ่งตนเอง” โดย หมอทราย พิชิต กัณฑรัตน์
• “ดุลยภาพบำบัด” รศ.พญ.ลดาวัลย์ สุวรรณกิตติ
๑๔.๓๐ – ๑๕.๓๐ น. สรุปสะท้อนการเรียนรู้แต่ละกลุ่มย่อยจากสถานีสุขภาพทั้ง ๘ กลุ่ม
๑๕.๓๐ - ๑๖.๐๐ น. นายแพทย์อำพล จินดาวัฒนะ กล่าวปิดและสรุปสะท้อนความคิดเห็น
สอบถามและสมัครเข้าร่วมกิจกรรมที่ได้
โทรศัพท์ ๐๒-๘๖๗-๐๙๐๓-๔, ๐๒-๔๕๙-๓๒๒๖-๗, ๐๒-๘๔๐-๒๖๒๖ ต่อ ๑๐๑, ๑๐๒
ติดต่อ นางโชติกา นิตยนันท์. น.ส.อนันตยา เสริมทรัพย์
หรือทางโทรสาร ต่อ ๑๓๙

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม และ Download แบบตอบรับที่ //www.rapeesewana.com
และส่งใบตอบรับมาที่ E-Mail: info@rapeesewana.comหรือ admin@arsomsilp.ac.th




*"สิ่งทอสร้างสรรค์...สู่อนาคต Creative Textiles for Today and Tomorrow"

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2552 เวลา 09.00 – 15.00 น.

ณ ห้องอินฟินิตี้ ชั้น 1 โรงแรมพูลแมน บางกอก คิงพาวเวอร์ (ซอยรางน้ำ) กรุงเทพฯ

---------------------------------------------
สัมมนาฟรี!! (รับจำนวนจำกัด!!)
พร้อมรับหนังสือ "ข้อมูลตลาด Technical Textiles" (มูลค่า 500 บาท)..ฟรี!

เพื่อเป็นการพัฒนาเปิดโอกาสให้อุตสาหกรรมสิ่งทอไทยก้าวหน้าต่อไปสู่การพัฒนา อย่างยั่งยืน และมุ่งสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นนโยบายในระดับประเทศ สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอจึงได้จัดงานสัมมนา "สิ่งทอสร้างสรรค์...สู่อนาคต Creative Textiles for Today and Tomorrow" ขึ้นเพื่อนำเสนอแนวคิดใหม่ๆ สำหรับผู้ประกอบการสิ่งทอภายใต้แนวคิดสิ่งทอสร้างสรรค์ (Creative Textiles) ที่เน้นการเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ลงในอุตสาหกรรมสิ่งทอด้วย 3 แนวทางคือ

- สร้างนวัตกรรม ………………….… Innovation

- การออกแบบอย่างสากล .................Universal Design

- เพิ่มคุณค่าทางอารมณ์ …………….Emotional Value

โดยการพัฒนาแบบครบวงจร ทั้งผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิต การตลาด บุคลากร และ หน่วยงานสนับสนุนในอุตสาหกรรมสิ่งทอให้สอดคล้องกัน เพื่อให้เกิดผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรม และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการทุกท่านสามารถแวะชมโครงการต่างๆ ในบริเวณงาน (ในช่วงบ่าย) โดยผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการในวันดังกล่าวจะได้รับสิทธิพิเศษทันทีภายในงาน!!

------------------------------------------------------------------

กำหนดการ

09.00 – 09.30 น.
ลงทะเบียน พร้อมรับหนังสือ "ข้อมูลตลาดสิ่งทอเทคนิค (Technical Textiles)" มูลค่า 500 บาท (ฟรี!)

09.30 – 10.10 น.
พิธีเปิด และกล่าวรายงาน

10.10 – 10.30 น.
กล่าวเปิดการสัมมนา โดย นายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม

10.30 – 11.15 น.
"สิ่งทอสร้างสรรค์ สู่ อนาคต" โดย คุณกิตติรัตน์ ปิติพานิช

ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาการออกแบบและธุรกิจสร้างสรรค์ - TCDC

11.15 – 12.15 น.
โครงการที่น่าสนใจสำหรับปี 2553 โดย สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ

12.15 – 13.15 น.
รับประทานอาหารกลางวัน

13.15 – 15.00 น.
ผู้ประกอบการสิ่งทอสามารถเดินชมโครงการที่น่าสนใจบริเวณงาน (พร้อมรับสิทธิพิเศษหากสมัครเข้าร่วมภายในงาน)

หมายเหตุ: บริการอาหารว่างในห้องสัมมนาเวลาประมาณ 10.30 น. / รับประทานอาหารกลางวัน (buffet) ภายในโรงแรม

สำรองที่นั่ง on-line ได้ที่ //www.thaitextile.org/temp/seminar87.asp

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
โทร. 02-713-5492-9 ต่อ 221, 230


โดย: jenifaae วันที่: 3 ธันวาคม 2552 เวลา:21:18:09 น.  

 
*แบบตอบรับการเข้าร่วมการประชุมวิชาการระดับชาติของนักเศรษฐศาสตร์ ครั้งที่ 5

(The fifth National Conference of Economists)
"เศรษฐกิจโลกยุคใหม่กับการปรับตัวของไทย"
วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม 2552 เวลา 08.00 – 16.30 น.
ณ หอประชุมเฉลิมพระเกียรติ 60 ชนมพรรษา
ชื่อ – นามสกุล............... .................................................................................................................................
ตำแหน่ง………………………………………………………………………………………………………
หน่วยงาน…………………………………………………………………………………………………….
.........................................................................................................................................................................
ที่อยู่/โทรศัพท์/Email
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
แจ้งความประสงค์เข้าร่วมประชุมภาคเช้า (08.30 – 12.00 น.)
เรื่อง "เศรษฐกิจโลกยุคใหม่กับการปรับตัวของไทย"
?? เข้าร่วมประชุม ?? ไม่เข้าร่วมประชุม
แจ้งความประสงค์เข้าร่วมประชุม ภาคบ่าย (13.00 – 16.30 น.)
?? กลุ่ม 1 นโยบายเศรษฐกิจมหภาค
?? กลุ่ม 2 เศรษฐศาสตร์สถาบันและธรรมาภิบาล
?? กลุ่ม 3 เศรษฐศาสตร์การเงินและโลกาภิวัตน์
?? กลุ่ม 4 เศรษฐศาสตร์การพัฒนาและนโยบายสาธารณะ
?? กลุ่ม 5 เศรษฐศาสตร์รายสาขา
?? กลุ่ม 6 ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและชุมชน
?? กลุ่ม 7 เศรษฐกิจพอเพียง
?? กลุ่ม 8 เศรษฐศาสตร์มโนสาเร่
ส่งแบบตอบรับมาภายใน วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม 2552
โทรสาร 02-3758842 หรือ Email ncecon@nida.ac.th
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ที่โทรศัพท์เลขหมาย 02-7273178 ,02-7273180 ,02-3744301




*บลาสโตซิสท์คัลเจอร์ : วิธีการรักษาภาวะมีบุตรยาก และผ่าตัดมดลูกผ่านกล้อง

สถาบัน Perfect Woman โรงพยาบาลปิยะเวท จัดสัมมนาให้ความรู้เรื่อง บลาสโตซิสท์คัลเจอร์ : วิธีการรักษาภาวะมีบุตรยาก และผ่าตัดมดลูกผ่านกล้อง โดย นายแพทย์ ม.ร.ว.ทองทิศ ทองใหญ่ และ นายแพทย์พูนศักด์ สุชนวณิช ในวันที่ 17 ตุลาคม เวลา 08.00 – 12.00 น.ที่ห้องประชุมชั้น 4 โรงพยาบาลปิยะเวท สำรองที่นั่งโทร 0-2625 -6555




*เศรษฐกิจโลกยุคใหม่กับการปรับตัวของไทย

สถาบันการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์ 6 แห่ง จัดประชุมวิชาการระดับชาติของนักเศรษฐศาสตร์ครั้งที่ 5 หัวข้อ เศรษฐกิจโลกยุคใหม่กับการปรับตัวของไทย ในวันที่ 16 ตุลาคม เวลา 08.00-16.30 น. ที่หอประชุมเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ดูรายละเอียดเพิ่มเติม //ncecon5.nida.ac.th/
กำหนดการประชุมวิชาการระดับชาติของนักเศรษฐศาสตร์ ครั้งที่ 5
วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม 2552 เวลา 08.00 – 16.30 น.
ณ หอประชุมเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กรุงเทพฯ
08.00 – 08.30 น. ลงทะเบียน
08.30 – 08.40 น. พิธีเปิดการประชุม
- กล่าวรายงานโดย รศ.ดร.ราเชนทร์ ชินทยารังสรรค์
คณบดีคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
- กล่าวต้อนรับโดย ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์
อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
- กล่าวเปิดประชุม โดย รศ.ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา
นายกสภาสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
08.40 – 09.10 น. มอบรางวัลโครงการ “เศรษฐทัศน์” ธนาคารแห่งประเทศไทย ประจำปี 2552
09.10 – 10.10 น. ปาฐกถาพิเศษ โดย ดร.ฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์
เรื่อง “เศรษฐกิจโลกยุคใหม่กับการปรับตัวของไทย”
10.10 – 10.30 น. พักรับประทานอาหารว่าง
10.30 – 11.45 น. เสวนาพิเศษ “อนาคตเศรษฐกิจไทย : มุมมองจาก 6 สำนัก”
โดย คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์จาก 6 สถาบัน
ดำเนินรายการโดย ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล
11.45 – 11.50 น. พิธีมอบธงให้เจ้าภาพการจัดประชุมวิชาการระดับชาติของนักเศรษฐศาสตร์
ครั้งที่ 6 โดย คณบดีคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
มอบธงให้คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
12.00 – 13.00 น. พักรับประทานอาหารกลางวัน
13.00 – 14.30 น. นำเสนอบทความทางวิชาการ 8 กลุ่ม ณ ห้องประชุมกลุ่มย่อย อาคารต่าง ๆ
กลุ่ม 1 นโยบายเศรษฐกิจมหภาค
กลุ่ม 2 เศรษฐศาสตร์สถาบันและธรรมาภิบาล
กลุ่ม 3 เศรษฐศาสตร์การเงินและโลกาภิวัตน์
กลุ่ม 4 เศรษฐศาสตร์การพัฒนาและนโยบายสาธารณะ
กลุ่ม 5 เศรษฐศาสตร์รายสาขา
กลุ่ม 6 ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและชุมชน
กลุ่ม 7 เศรษฐกิจพอเพียง
กลุ่ม 8 เศรษฐศาสตร์มโนสาเร่
14.30 – 14.45 น. พักรับประทานอาหารว่าง
14.45 – 16.30 น. นำเสนอบทความทางวิชาการ 8 กลุ่ม (ต่อ)




*เปิดโลกวิศวะ สจล.24-25ต.ค.

นายกอบ ชัย เดชหาญ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เปิดเผยว่า คณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล.จัดกิจกรรมภายใต้ชื่อเปิดโลกวิศวกรรมศาสตร์ (OPEN HOUSE) เวลา 09.00-17.00 น. วันที่ 24-25 ตุลาคม ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งแต่ละภาควิชา และสาขาวิชาต่างๆ ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ จะให้ข้อมูลของการเรียนการสอน พร้อมแนะแนวการศึกษาในคณะวิศวกรรมศาสตร์อย่างละเอียด แต่ละภาควิชายังนำผลงานวิจัยที่น่าสนใจมาโชว์ภายในงานด้วย เช่น หุ่นยนต์จิ๋วขนาดเล็กกว่าเหรียญบาท ที่คว้ารางวัลชนะเลิศระดับนานาชาติจากญี่ปุ่น เตาหมูปิ้งสะเต๊ะอัตโนมัติ ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศการแข่งขันประลองการประดิษฐ์ "ยุทธการขยับหมู" ในรายการคิดข้ามเมฆ และหุ่นยนต์ 2 ล้อ ยานพาหนะส่วนบุคคล 2 ล้อ ตัวแรกของเมืองไทย ที่ประดิษฐ์คิดค้นจากฝีมือคนไทย ขับเคลื่อนโดยใช้พลังงานไฟฟ้า สนใจโทร.0-2326-4111, 0-2326-4165, 0-2737-3000 ต่อ 3469, 3470 แจกฟรี! กระเป๋าถุงผ้าช่วยลดโลกร้อน สำหรับผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมงานทุกคน




*เสวนาวิชาการประจำปี 2552 (TK Forum) เรื่อง “วาระแห่งชาติ ทศวรรษการอ่าน นโยบายการอ่าน”

สำนัก งานอุทยานการเรียนรู้ (TK park) สังกัดสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) จัดเสวนาวิชาการประจำปี 2552 (TK Forum) เรื่อง “วาระแห่งชาติ ทศวรรษการอ่าน นโยบายการอ่าน” จัดโดย วันศุกร์ที่ 16 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2552 ณ ห้อง Meeting room 1-2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยศาสตราจารย์ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

กำหนดการ

8.30 – 9.00 น. ลงทะเบียน และรับประทานอาหารว่าง

9.05 – 9.10 น. กล่าวรายงาน โดย ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (สบร.)

9.10 – 9.15 น. กล่าวเปิดงาน โดย ประธานกรรมการบริหารสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้

9.15 – 9.20 น. วีดิทัศน์นำสู่เนื้อหาการประชุม

9.20 – 10.00 น. ปาฐกถา เรื่อง “ทศวรรษการอ่านกับนโยบายการอ่าน”
โดย ศาสตราจารย์ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย
องคมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

10.00 – 12.00 น. เวทีเสวนา “จากวาระแห่งชาติ สู่นโยบายการอ่าน”
ผู้ร่วมเสวนา
- รองศาสตราจารย์ ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ
อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
- คุณอภิรักษ์ โกษะโยธิน
ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี
-คุณสุวรรณี คำมั่น
รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ดำเนินรายการโดย : คุณจอม เพ็ชรประดับ

12.00 – 13.00 น. พักรับประทานอาหารกลางวันตามอัธยาศัย

13.00 – 13.30 น. นำเสนอ ข้อเสนอเชิงนโยบายจากเวที TK Forum ครั้งที่ 1 – 3
โดย สำนักงานอุทยานการเรียนรู้

13.30 – 14.30 น. ร่วมอภิปรายข้อเสนอเชิงนโยบายการอ่าน

14.30 – 16.00 น. แบ่งกลุ่มย่อยร่วมระดมความคิด
“แนวทางรูปธรรมในการร่วมกันผลักดันข้อเสนอสู่ผู้กำหนดนโยบาย”

16.00 – 16.30 น. นำเสนอผลการระดมความคิดเห็น

** ผู้เข้าร่วมสัมมนาจะได้รับถุงผ้าที่ระลึกพร้อมชุดเอกสารประกอบการสัมมนาและอาหารว่าง 2 มื้อ (ไม่รวมอาหารกลางวัน)

สอบถามรายละเอียดและสำรองที่นั่งได้ที่ อุทยานการเรียนรู้ TK park Dazzle Zone ชั้น 8 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เว็บไซต์ //www.tkpark.or.th หรือโทรศัพท์ 0 2257 4300


โดย: jenifaae วันที่: 3 ธันวาคม 2552 เวลา:21:19:10 น.  

 
*โครงการอบรม ธรรมะและโยคะเพื่อผู้ป่วย ครั้งที่ 9

โดย เครือข่ายชีวิตสิกขา //www.jivitasikkha.org
ณ สโมสรโรงเรียนนายเรืออากาศ
วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน 2552 เวลา 08.30 – 17.00 น.
***********************************

ภาวะ เจ็บป่วยทางร่างกายที่เกิดขึ้นไม่เพียงต้องการ การดูแลเยียวยาทางกายภาพที่ดีและเหมาะสมกับโรคเท่านั้น หากยังต้องการองค์ประกอบร่วมทั้งทางด้านจิตใจ สังคมและปัญญา เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยอยู่ได้อย่างมีสุขภาวะที่ดีและสมศักดิ์ศรีของความเป็น มนุษย์ เพราะถึงแม้ทางกายภาพอาจจะไม่สมบูรณ์ แต่ศักยภาพทางด้านจิตใจและปัญญา ยังสามารถพัฒนาได้ไปจนถึงขั้นสูงสุด ดังนั้นทั้งตัวผู้ป่วยและผู้ดูแลผู้ป่วยเองต่างก็ต้องการความรู้ ความเข้าใจ และทัศนคติในการรับมือกับความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นเพื่อให้สามารถวางใจได้ว่า แม้กายจะป่วยแต่ใจไม่ป่วยเลย ค่อย ๆ ถอดถอนจากผู้เป็นทุกข์ สู่ผู้เห็นทุกข์ จวบจนกระทั่งสามารถสร้างเหตุปัจจัยในการเตรียมพร้อมที่จะเผชิญกับช่วงเวลา เปลี่ยนผ่านสำคัญที่สุดของชีวิตอย่างเกื้อกูล

กระบวน การอบรม

1. ฝึกเจริญสติภาวนารู้ตัวทั่วพร้อม ตามแนวทางหลวงพ่อเทียน

2. ธรรมะในการวางใจรับมือกับความเจ็บป่วย

3. ฝึกโยคะเพื่อการรู้ ตื่น ปล่อยวาง

4. กิจกรรมเรียนรู้ กับพลังกลุ่มเพื่อการเยียวยาความเจ็บป่วย

สำหรับ ผู้สนใจและเห็นคุณค่าในการอบรม ขอให้ท่านแน่ใจว่าสามารถเข้าร่วมได้ตลอดการอบรม
เนื่องจากมีผู้ประสงค์เข้าร่วมโครงการอบรมเป็นจำนวนมากแต่สามารถรับสมัครได้ เพียงจำนวนจำกัด

ไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมอบรม

การเตรียมตัว เตรียมเสื่อหรือผ้าปูรองนอนเพื่อฝึกโยคะ และ แต่งกายสวมใส่เสื้อผ้าสบายและสะดวกเพื่อการฝึกโยคะ ไม่จำเป็นต้องใส่ชุดขาว สามารถเข้าร่วมได้ทั้งผู้ป่วย ผู้ดูแลผู้ป่วย และผู้สนใจทั่วไป

***********************************************************

ใบลงทะเบียนเข้าร่วมอบรมโครงการธรรมะและโยคะเพื่อผู้ป่วย ครั้งที่ 9

ชื่อ____________________นามสกุล____________________________อายุ_______ ปี
เพศ O ชาย O หญิง O สุขภาพปกติ O ป่วยด้วยโรค/ O ดูแลผู้ป่วยโรค_________________
สังกัดหน่วยงาน_________________________เบอร์โทรศัพท์_____________________
อีเมล์____________________________ท่านทราบข่าวจาก _____________________
ท่านเคยเข้าอบรมกับเครือข่ายชีวิตสิกขาในโครงการ_______________________เมื่อ________

ส่งใบสมัครได้ที่ jivitasikkha@yahoo.com หรือทางแฟกซ์ 02-900-5429, //www.jivitasikkha.org

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่เบอร์ 084-388-0182, 087-678-1669-089-899-0094

***********************************************************


โปรแกรมอบรม ธรรมะและโยคะเพื่อผู้ป่วย ครั้งที่ 9

เครือข่ายชีวิตสิกขา //www.jivitasikkha.org

ณ โรงเรียนนายเรืออากาศ

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน 2552 เวลา 08.30 – 17.00 น.

08.00-08.30 ลงทะเบียน2เปิดการอบรมและปฐมนิเทศ
08.30-10.30 ฝึกการเจริญสติภาวนาตามแนวทางหลวงพ่อเทียน : แด่เธอผู้รู้สึกตัว
พระวิทยากร:พระอธิการครรชิต อกิณจโน วัดป่าสันติธรรม จ.ชัยภูมิ
10.30-12.00 ฝึกโยคะเพื่อการรู้ ตื่น ปล่อยวาง/ดำเนินการสอนตามแนวทางสถาบันโยคะวิชาการ
12.00-13.00 พิจารณาอาหารกลางวัน
13.00-14.30 วิถีแห่งบัวบาน - วางใจรับมือกับมะเร็งระยะสุดท้ายสู่การเปลี่ยนผ่านที่สำคัญที่สุดของคุณบัว
พระวิทยากร:พระอธิการครรชิต อกิณจโน วัดป่าสันติธรรม จ.ชัยภูมิ
14.30-15.00 ฝึกเทคนิคการหายใจเพื่อความผ่อนคลาย/ดำเนินการสอนตามแนวทางสถาบันโยคะวิชาการ
15.00-17.00 กิจกรรม พลังกลุ่มเพื่อการเยียวยาความเจ็บป่วย/วิทยากรเครือข่ายชีวิตสิกขา
สรุปและปิดการฝึกอบรม ร่วมทำบุญถวายปัจจัยแด่พระอาจารย์ และรับพรก่อนกลับบ้าน




*โรงพยาบาลหัวเฉียว จัดการบรรยายธรรม ในโครงการธรรมโอสถ

ในวันที่ 16 ตุลาคม เวลา 13.00-15.00 น. ที่ห้องประชุม 10/3 ชั้น 10 สอบถามรายละเอียดโทร 0-2223-1351




*โรงพยาบาลหัวเฉียว จัดการบรรยายธรรม ในโครงการธรรมโอสถ

กําหนดการ
กิจกรรมเสริมสร?างขีดความสามารถผู?ประกอบการ
วันพุธที่ 21 ตุลาคม2552 เวลา08.30 –16.30 น.
ณ แกรนด?บอลรูมโรงแรมมิราเคิลแกรนด? คอนเวนชั่นกรุงเทพฯ
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เวลา 08.30 - 09.00 น.
- ลงทะเบียน
09.00 - 09.10 น.
- พิธีเป?ดการสัมมนา
กล?าวรายงาน โดย ผู?อํานวยการสํานักพัฒนาผู?ประกอบการ
นางบุญเจือ วงษ?เกษม
กล?าวเป?ด
โดย รองอธิบดีกรมส?งเสริมอุตสาหกรรม
นางสาวกฤษณา รวยอาจิณ
กิจกรรมการสัมมนา
09.10 – 12.00 น. - สัมมนาเรื่อง ผู?นํา: กลยุทธ?นําองค?กรสู?ความสําเร็จ
เนื้อหา - ภาวะผู?นํา
- แบบอย?างผู?นําที่ประสบความสําเร็จ
- 10 กลยุทธ?นําองค?กรสู?ความสําเร็จ
โดย รศ.ดร.จรัมพร หรรษมนตร?
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล?าพระนครเหนือ
13.00 – 14.30 น. - สัมมนาเรื่อง การเสริมสร?างขีดความสามารถผู?ประกอบการ
• ห?องB เรื่อง การเพิ่มผลิตภาพอย?างมีนวัตกรรม
โดย 1. รศ.ดร.จรัมพร หรรษมนตร?
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล?าพระนครเหนือ
2. ผศ.ดร.วรนุช เกิดสินธ?ชัย
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล?าธนบุรี
• ห?องC เรื่องการเพิ่มศักยภาพบริหารทุนมนุษย?
โดย 1. นายพลรชฎ เป?ยถนอม
บริษัทเอ็มดิกโฮลดิ้งจํากัด
2. นายเกรียงศักดิ์ เทพผดุงพร
บริษัทอําพลฟูดส?โพรเซสซิ่งจํากัด
เวลา 14.30- 16.30
- สัมมนาเรื่อง การเสริมสร?างขีดความสามารถผู?ประกอบการ
• ห?องB เรื่องการบริหารการตลาดยุคใหม?
โดย 1. นางสาวศุภมาศวัฒนกุล
ผู?อํานวยการบริหารสมาคมการตลาดแห?งประเทศไทย
2. นายมนตร?ชัยสุนทราวัฒน?
บริษัทดัชมิลล?กรุ?ปจํากัด
• ห?องC เรื่อง การเพิ่มประสิทธิภาพบริหารต?นทุน และการวางแผนภาษี
โดย 1. นายณัฐพล ลีลาวัฒนานันท?
บริษัทเอ็กเซลเลนท?บิสเนสแมเนชเม?นท?จํากัด
2. นายจรัมพรหรรษมนตร?
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล?าพระนครเหนือ
3. นางสาวอรวรรณวรนิจ
บริษัทเจวีเคอินเตอร?เนชั่นแนลมูฟเวอรส?จํากัด
กิจกรรมคลินิกให?คําปรึกษาและรับสมัครเข?าร?วมโครงการตลอดวัน
เวลา 09.00 – 16.30 น.
- กลุ?มที่1 การเพิ่มผลิตภาพอย?างมีนวัตกรรม
- กลุ?มที่2 การเพิ่มศักยภาพบริหารทุนมนุษย?
- กลุ?มที่3 การบริหารการตลาดยุคใหม?
- กลุ?มที่4 การเพิ่มประสิทธิภาพบริหารต?นทุน และการวางแผนภาษี
หมายเหตุ 1. พักรับประทานอาหารว?างเวลา10.10-10.15 น. และเวลา14.30 – 14.40 น.
2. พักรับประทานอาหารกลางวันเวลา12.00-13.00 น

แบบฟอร?มใบตอบรับเข?าร?วม

กิจกรรมเสริมสร?างขีดความสามารถผู?ประกอบการ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บริษัท.....................................................................................
1. สนใจเข?าร?วมรับฟ?งการการสัมมนา
ช?วงเช?าเรื่องผู?นํา: กลยุทธ?นําองค?กรสู?ความสําเร็จ
ช?วงบ?ายเรื่องการเสริมสร?างขีดความสามารถผู?ประกอบการ แบ?งเป?น2 ห?องดังนี้
ห?องB เรื่อง การเพิ่มผลิตภาพอย?างมีนวัตกรรม
ห?องB เรื่อง การบริหารการตลาดยุคใหม?
ห?องC เรื่อง การเพิ่มศักยภาพบริหารทุนมนุษย?
ห?องC เรื่อง การเพิ่มประสิทธิภาพบริหารต?นทุนและเรื่อง การวางแผนภาษี
2. คลินิคปรึกษาแนะนําและสมัครเข?าโครงการเสริมสร?างขีดความสามารถผู?ประกอบการ
กลุ?มที่1 การเพิ่มผลิตภาพอย?างมีนวัตกรรม
กลุ?มที่2 การเพิ่มศักยภาพบริหารทุนมนุษย?
กลุ?มที่3 การบริหารการตลาดยุคใหม?
กลุ?มที่4 การเพิ่มประสิทธิภาพบริหารต?นทุนและการวางแผนภาษี
รายชื่อผู?เข?าร?วมกิจกรรมการเสริมสร?างขีดความสามารถผู?ประกอบการ (จํานวน3 ท?าน)
1. นาย/นาง/นางสาว......................................................................... ตําแหน?ง...............................................
2. นาย/นาง/นางสาว......................................................................... ตําแหน?ง...............................................
3.. นาย/นาง/นางสาว......................................................................... ตําแหน?ง...............................................
......................................................
ผู?ประสานงาน
โทรศัพท?......................................
หมายเหตุ 1. รับจํานวนจํากัดครบตามจํานวนอาจป?ดก?อนกําหนดเวลา
2. กรุณาส?งแบบฟอร?มใบตอบรับภายในวันศุกร?ที่16 ตุลาคม2552


โดย: jenifaae วันที่: 3 ธันวาคม 2552 เวลา:21:19:54 น.  

 
*ขอเชิญร่วมงานสัมมนาพิเศษภายใต้หัวข้อ Communications Management Success Story: Pathway to success of Blackberry

เมน เทอร์ อินเตอร์เนชั่นแนลร่วมกับธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย ขอเชิญร่วมงานสัมมนาพิเศษภายใต้หัวข้อ Communications Management Success Story: Pathway to success of Blackberry

วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2552 เวลา 13.00 - 15.30น. ณ ห้องมณฑาทิพย์ 3 - 4 โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ

เมนเทอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ศูนย์แนะแนวการศึกษาต่างประเทศระดับชั้นแนวหน้าของเมืองไทย จับมือกับ ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย จัดสัมมนาพิเศษภายใต้หัวข้อ"Communications Management Success Story: Pathway to success of Blackberry" โดยจุดประสงค์หลักในการจัดงานครั้งนี้เพื่อแบ่งปันและให้ความรู้เกี่ยวกับ การสื่อสารด้านการตลาดและด้านเทคโนโลยีสารสนเทศซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในการ ประกอบธุรกิจในยุคปัจจุบัน อีกทั้งมุ่งเน้นที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักศึกษาไทยที่สนใจศึกษาต่อที่ มหาวิทยาลัยชั้นนำ ณ สหราชอาณาจักรและประเทศออสเตรเลีย โดยเฉพาะนักศึกษาที่เตรียมตัวจะไปศึกษาต่อสาขาสื่อสารด้านการตลาดและไอที นอกจากนี้ทั้งสององค์กรได้เล็งเห็นความสำคัญที่จะต่อยอดและเพิ่มพูนความรู้ ให้แก่นักศึกษาไทยที่กำลังวางแผนจะไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยชั้นนำ ณ สหราชอาณาจักรและประเทศออสเตรเลีย อีกทั้งเมนเทอร์ อินเตอร์เนชั่นแนลและธนาคารเอชเอสบีซีเชื่อมั่นว่าผู้เข้าร่วมงานดังกล่าวจะ สามารถนำความรู้ไปปรับใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งในชีวิตการเรียนและ การทำงาน

สำหรับงานสัมมนาครั้งนี้ได้รับเกียรติจากคุณอริยะ พนมยงค์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการพาณิชย์ คอนเวอร์เจนซ์ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จะมาบอกเล่าแบ่งปันประสบการณ์ความเป็นมาและความสำเร็จของ Blackberry ที่ได้กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ทั้งกลุ่มของคนทำงานและนักศึกษายุคปัจจุบัน ภายใต้หัวข้อ "Why Blackberry is one of the most popular smart phones in Thailand and worldwide?"

นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมงานทุกท่านจะได้ร่วมเวิร์คช้อปต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเรียนรู้วิธีการใช้ Blackberry เครื่องมือสื่อสารที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์คุณเป็นอย่างดี จากทีมงานของทรู มูฟ พร้อมทั้งคุณจะได้เรียนรู้ถึงเทคโนโลยี อันล้ำสมัยอย่าง Blackberry ที่จะช่วยให้ชีวิตการเรียนในต่างแดนง่ายขึ้นกว่าที่คุณคิด และบริการด้านการเงินจากธนาคารเอชเอสบีซี ธนาคารระดับโลกที่เข้าใจคุณ

*พิเศษสำหรับผู้เข้าร่วมงาน 100 ท่านแรกที่มาลงทะเบียนในวันงาน มีสิทธิ์ลุ้นรับ Blackberry Bold 9000 มูลค่า 25,500 บาท จำนวน 2 เครื่อง ส่วนเงื่อนไขการรับรางวัลผู้โชคดีจะต้องสมัครเรียนต่อต่างประเทศกับทางเมน เทอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล นอกจากนี้ เพียงลงทะเบียนที่บูธของเอชเอสบีซี พรีเมียร์ รับของที่ระลึกฟรี ทันที

ผู้ที่สนใจเข้าร่วมสัมมนาครั้งนี้ ไม่ต้องเสียคิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น อย่าพลาดโอกาสดีครั้งนี้ที่รอให้คุณได้สัมผัสกับประสบการณ์อันล้ำค่า

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและสำรองที่นั่งล่วงหน้าที่ เมนเทอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล โทร. 02 255 5157-9 หรือเว็บไซต์ //www.mentor.ac

ข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ
นางสาวรัชฎาภรณ์ พิชัยศรีสวัสดิ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์
ศูนย์แนะแนวการศึกษาต่อต่างประเทศ เมนเทอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล
โทร. 0-2255-5157-9




*ขอเชิญร่วมเสวนา "สืบสานพระราชบิดา...สู่การศึกษาเพื่อพัฒนามนุษย์"

ศูนย์จิตตปัญญาศึกษา ม.มหิดล ขอเชิญร่วมเสวนา "สืบสานพระราชบิดา...สู่การศึกษาเพื่อพัฒนามนุษย์"


วันพฤหัสบดีที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๒
เวลา ๐๘.๓๐ – ๑๓.๓๐ น.
ณ คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ ม.มหิดล ศาลายา

ขอ เชิญร่วมงานเวทีจิตตปัญญาเสวนาเทิดพระนาม "สืบสานพระราชบิดา…สู่การศึกษาเพื่อพัฒนามนุษย์" วันพฤหัสบดีที่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ เวลา ๐๘.๓๐ – ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องบรรยายรวม (ห้อง ๔๒๒๔) อาคารสิ่งแวดล้อมพัฒนดล มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา จัดโดย ศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับ งานจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ ภาควิชาศิลปกรรมศาสตร์ วิทยาลัยนานาชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสำรองที่นั่งได้ที่ ศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล โทร 02 441 5000 ต่อ 4303-5 //www.ce.mahidol.ac.th cewww@mahidol.ac.th
สอบถามรายละเอียดได้ที่โทร. ๐-๒๔๔๑-๕๐๐๐ ต่อ ๔๓๐๓ – ๔๓๐๕ //www.ce.mahidol.ac.th
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 0-2849-6208-10 mu-pr




*การประกาศรางวัล "สายฟ้าน้อยครั้งที่ 5"

ทรู ร่วมกับสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ชวนลุ้นการประกาศรางวัล "สายฟ้าน้อยครั้งที่ 5" รางวัลผลงานข่าววิทยุ โทรทัศน์ระดับอุดมศึกษา ในวันเสาร์ที่ 17 ตุลาคมนี้ ณ ห้องแกรนด์บอลรูม 1 โรงแรมดิเอมเมอรัลด์

บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น ร่วมกับสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย จัดงานประกาศผลและมอบรางวัลรางวัลสารคดีเชิงข่าววิทยุ-โทรทัศน์ "สายฟ้าน้อย ครั้งที่ 5" ชิงโล่เกียรติยศและทุนการศึกษา มูลค่ารวมกว่า 1 แสนบาท พบกับการวิเคราะห์ เจาะลึกจากคณะกรรมการผู้คร่ำหวอดในวงการสื่อสารมวลชน และแวดวงผู้ผลิตสื่อของไทย ต่อผลงานที่ผ่านการคัดเลือกของน้องๆ นิสิตนักศึกษาด้านสื่อสารมวลชน และนิเทศศาสตร์ทั่วประเทศ ในวันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม 2552 เวลา 13.00 – 16.30 น. ณ ห้องแกรนด์บอลรูม 1 ชั้น 3 โรงแรมดิเอมเมอรัลด์




*งานสัมมนา "ไขปริศนารัฐวิสาหกิจ : ปัจจัยแห่งความรุ่งโรจน์และล้มเหลว"

โครงการ ปริญญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการพัฒนาธรรมาภิบาล มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม ได้เล็งเห็นความสำคัญของการเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยกระบวนการพัฒนาภาครัฐวิสาหกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน จึงได้มีการจัดงานสัมมนา "ไขปริศนารัฐวิสาหกิจ : ปัจจัยแห่งความรุ่งโรจน์และล้มเหลว" เพื่อเป็นเวทีสร้างสรรค์แนวคิดจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และกระตุ้นให้ผู้บริหาร พนักงานรัฐวิสาหกิจ และสาธารณชนได้ตระหนักถึงการพัฒนารัฐวิสาหกิจไปในทิศทางที่ถูกต้อง อันจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม
โอกาสนี้ ใคร่ขอเรียนเชิญท่านสื่อมวลชนให้เกียรติเข้าร่วมงานดังกล่าว ซึ่งกำหนดจัดขึ้น ในวันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม 2552 เวลา 9.30-12.00 น. ณ สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ตึกช้าง ทาวเวอร์บี ชั้น 9 โดยมีกำหนดการดังนี้

9.30 - 10.00 น. สื่อมวลชนลงทะเบียน พร้อมรับประทานอาหารว่าง

10.00 – 11.30 น. เสวนาเรื่อง "ไขปริศนารัฐวิสาหกิจ : ปัจจัยแห่งความรุ่งโรจน์และล้มเหลว"
โดย...
รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์
ผอ.โครงการดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการพัฒนาธรรมาภิบาล
มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม
คุณศิริชัย ไม้งาม
ประธานสภาพแรงงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
คุณเกริกกล้า สนธิมาศ
ประธานสมาพันธ์โลจิสติกส์ไทย
ดำเนินรายการโดย คุณผดุงศักดิ์ เหล่ากิจไพศาล นายกสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ

11.30-12.00 น. ถาม-ตอบ และสื่อมวลชนร่วมแสดงความคิดเห็น

12.00-13.00 น. ร่วมรับประทานอาหารกลางวัน

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและยืนยันการเข้าร่วมงาน :
พิภพ ฆ้องวง (ท๊อป) 02-248-7967-8 ต่อ 118
e-mail address : c_mastermind@hotmail.com




*งาน "เอเชีย-แปซิฟิค ไอร์แลนด์บิสิเนส ฟอรั่ม"

สภาหอการค้าไอร์แลนด์และกลุ่มธุรกิจไอริชมีความยินดีเรียนเชิญท่านสื่อมวลชนร่วมงาน "เอเชีย-แปซิฟิค ไอร์แลนด์
บิสิเนส ฟอรั่ม" (the Asia-Pacific Ireland Business Forum) หรือ APIBFครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นงานที่รวมนักธุรกิจชาวไอริชทั่วทั้ง
ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิคครั้งใหญ่ที่สุดแห่งปี
โดยงานนี้ได้รับเกียรติจากนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มร.ดิค สปริง (Mr. Dick Spring) อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไอร์แลนด์ และ ฯพณฯ นายยูจีน ฮัตชินสัน (H.E.Mr. Eugene Hutchinson) เอกอัครราชทูตไอร์แลนด์มาบรรยายพิเศษภายในงาน
งานดังกล่าวจะมีขึ้นในวันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม 2552 ระหว่างเวลา 9.00-12.30 น. ณ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ นอกจากนี้จะมีการประกาศผลรางวัล "บิสิเนส แอนด์ ไฟแนนซ์ เอเชีย แปซิฟิค/ไอร์แลนด์ บิสิเนส อวอร์ดส 2009"




*กิจกรรมเวทีไม่ควรพลาด

นอกจากจะมีหนังสือดีให้เลือกแล้ว สำนักพิมพ์มติชนยังได้จัดกิจกรรมหลากหลายสำหรับผู้สนใจ

โดย วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม เวลา 16.00-17.00 น. กิจกรรมบนเวทีกลาง (Hall A) หัวข้อ "ปฏิวัติ 19 กันยา ในสายตาผู้ถูก ลับ ลวง พราง" ผู้ร่วม เสวนา ประกอบด้วย นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช และ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี โดยมี อิศรินทร์ หนูเมือง เป็นผู้ดำเนินรายการ

จากนั้น วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม เวลา 13.00-17.00 น. ณ ห้อง Meeting room 2 มีกิจกรรม "มหัศจรรย์ แนนเนรมิต English is alive" พูดคุยเปิดตัวหนังสือ "แนนเนรมิต English is alive" โดยครูพี่แนน-อริสรา ธนาปกิจ ท้ายรายการมีกิจกรรมสอนภาษาอังกฤษแบบครูพี่แนนให้ได้ครึกครื้น

กิจกรรม สุดท้าย วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม เวลา 15.00-16.00 น. บนเวทีกลาง (Hall A) พบกับการเสวนาหัวข้อ "2 โหรดัง ผ่าดวงเมืองปีเสือผยอง" โดยมีผู้ร่วมเสวนาคือ กรหริส บัวสรวง และภิญโญ พงศ์เจริญ ดำเนินรายการโดยสาโรจน์ มณีรัตน์

กิจกรรมดีๆ อย่างนี้ จะพลาดได้อย่างไร!


โดย: jenifaae วันที่: 3 ธันวาคม 2552 เวลา:21:20:45 น.  

 
*ไมโครซอฟท์ส่ง Window Multipoint

ปฏิวัติการสอนในร.ร.กว่าหมื่นโรง ชี้ครูไทยเจ๋ง-ชิงระดับโลกที่บราซิล

นาย สุพจน์ ศรีนุตพงษ์ ผู้จัดการฝ่ายการศึกษา บริษัท ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า เพื่อกระตุ้นให้การเรียนการสอนแบบใหม่มีชีวิตชีวา และมีประสิทธิภาพ บริษัทได้จัดทำโปรแกรม Windows MultiPoint ขึ้น โดยออกแบบให้เป็นรูปตัวการ์ตูนมีสีสันน่าสนใจ เพื่อให้นักเรียนมีความรู้สึกอยากเรียน โดยโรงเรียนมีเพียงคอมพิวเตอร์ และเม้าส์ตามจำนวนนักเรียนเท่านั้น โปรแกรมดังกล่าวจะช่วยให้นักเรียนในห้องที่ได้รับเม้าส์ สามารถปฏิสัมพันธ์กันบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ร่วมกันบนหน้าจอเดียว ครูจะเป็นผู้ที่อยู่ในส่วนควบคุมโปรแกรมดังกล่าว โดยใช้พาวเวอร์พอยท์สไลด์ที่นักเรียนสามารถทำกิจกรรมร่วมกันบนสไลด์ที่ออก แบบโดยครู ซึ่งเด็กแต่ละคนจะต้องใช้ความคิดในการตอบคำถาม เพราะมีการรวมคะแนนให้ได้ทันทีในท้ายชั่วโมง ซึ่งครูสามารถประเมินนักเรียนได้ตลอด ไม่จำเป็นต้องรอสอบกลางภาคเรียนเหมือนที่ผ่านมา

นายสุพจน์กล่าวว่า โปรแกรมดังกล่าวหากพัฒนาเต็มรูปแบบ สามารถรองรับเด็กได้ถึง 256 คนพร้อมๆ กัน ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดลอง และได้ทดลองกับเด็กไปแล้ว 30 คน แต่หากมีนักเรียนเกิน 40 คนในชั้นเรียน ครูอาจใช้วิธีให้เด็กจับคู่ ร่วมกันคิด และใช้เม้าส์ร่วมกัน ในอนาคตจะรองรับได้ 100 คน สำหรับโรงเรียนที่สนใจต้องเตรียมความพร้อมดังนี้ ห้องเรียนต้องใช้ไฟฟ้ากระแสสลับ ครูผู้ดูแลต้องมีความรู้พื้นฐานทางเทคนิคเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์บ้าง ใช้โปรแกรมพาวเวอร์พอยท์ได้ โดยในช่วงแรกทีมงานไมโครซอฟท์จะอบรมให้ฟรี นอกจากนี้ ยังปรับใช้กับเด็กพิการหูหนวกได้อีกด้วย โดยได้เริ่มทำแล้วที่ จ.มุกดาหาร ซึ่งเด็กตื่นเต้น และชอบโปรแกรมนี้มาก

"ขณะนี้ไมโครซอฟท์ ได้ลงนามร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ภายใน 5 ปี จะอบรมการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ รวมทั้ง การใช้โปรแกรม Window Multipoint ด้วย แม้จะเป็นเรื่องใหม่ แต่ครูไทยจากโรงเรียนปทุมวิไล ก็พัฒนานวัตกรรมการสอนจนสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศในระดับเอเชียเมื่อกลางปี ที่ผ่านมา และโรงเรียนอนุบาลเชียงใหม่ได้รับรางวัล Popular Vote โดยบริษัทจะส่งผู้ชนะเลิศไปประกวดในระดับโลกที่ประเทศบราซิลต้นเดือน พฤศจิกายน นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์ได้ลงนามกับโรงเรียนในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร 400 แห่ง เพื่อติดตั้ง และอบรมการใช้โปรแกรมดังกล่าวด้วย" นายสุพจน์กล่าว

นาย สุพจน์กล่าวด้วยว่า เนื่องจากอยู่ในช่วงทดลอง สามารถดาวน์โหลดมาเพื่อทดลองใช้ฟรี ที่ //www.pil.in.th สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ info@in.th หรือชมการสาธิตได้ฟรี และสัมผัสการคิดค้นนวัตกรรมจากคุณครูโรงเรียนปทุมวิไลได้ในงาน "การประชุมนานาชาติด้านการเรียนการสอน" วันที่ 15-17 ตุลาคม ที่ไบเทค บางนา




*กิจกรรมอบรมเรื่อง "การสื่อสารอย่างสันติ" ขั้นต้น(3 วัน)

การ สื่อสารอย่างสันติ จะช่วยนำพาให้เรารับฟัง พูดด้วยความเข้าใจและรับรู้ความต้องการภายในใจกันอย่างแท้จริง บนฐานแห่งความรัก ความกรุณา ที่เป็นพื้นเดิมของทุกคน ปัญหาความขัดแย้งจักถูก คลี่คลายไปเมื่อต่างฝ่ายต่างเข้าใจกัน ก่อเกิดมิตรภาพที่ยั่งยืนลึกซึ้ง และร่วมกันสร้างสภาวะที่เอื้อต่อการตอบสนองความต้องการของกันและกัน
วิธี การนี้มีพื้นฐานบนหลักการ Nonviolent Communication ของ ดร. มาแชล โรเซนเบอร์ก (www.cnvc.org) ผู้พัฒนาวิธีการสื่อสารนี้ จนได้รับการนำไปใช้ทั้งในระดับความสัมพันธ์ส่วนบุคคล องค์กร สถาบันการศึกษา การบริการด้านสุขภาพ บริษัทธุรกิจ การทำงานเพื่อสังคม หน่วยงานของรัฐ ในความขัดแย้งทางการเมือง คลี่คลายความขัดแย้งในหลากหลายประเทศ ฯลฯ


วันที่อบรม สัมมนา:
วันที่ 5-7 ธันวาคม 2552 เวลา 9.00-17.00น. ไปเช้า-เย็นกลับ

หัวข้ออบรม สัมมนา:

ในการอบรมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้คุณจะได้เรียนรู้
• หัวใจหลักของการสื่อสารอย่างสันติ อันประกอบด้วย สังเกต ความรู้สึก ความต้องการ และขอร้อง
• การเข้าใจตนเองและผู้อื่นด้วยความกรุณา
• การสื่อสารให้ผู้อื่นรับรู้ถึงความต้องการของเราอย่างมีประสิทธิภาพ


วิทยากร:
ทีมวิทยากร : เป็นผู้ฝึกฝนการเป็นกระบวนกรตามแนวทางการสื่อสารอย่างสันติ ในโครงการ "คุยกันด้วยหัวใจ : การสื่อสารอย่างสันติ คลี่คลายปัญหาด้วยความกรุณาและปัญญา" ได้รับทุนจากโครงการสุขแท้ด้วยปัญญา ปี 2

ค่าลงทะเบียน/โปรโมชั่น:
ไม่เสียค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมกิจกรรม
(โครงการสนับสนุนค่าอบรม ค่าอาหารว่าง อาหารกลางวัน แต่ไม่รวมค่าเดินทาง)

คุณสมบัติผู้เข้าอบรม สัมมนา:
คุณสมบัติดังนี้
1. มีอายุระหว่าง 20-35 ปี
2. เป็นนักศึกษา/คนทำงานภาคสังคม/คนทั่วไปที่มีประวัติการทำงานอาสาสมัคร
3. เป็นผู้มีรายได้น้อยที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมอบรมการสื่อสารอย่างสันติ
4. สามารถเข้าร่วมกิจกรรมต่อเนื่องตลอดทั้ง 3 วัน

จำนวนที่รับ:
ผู้เข้าร่วม 20 คน
สถานที่จัดอบรม สัมมนา:
บ้านพักคริสเตียน (สีลม) กรุงเทพ


ลงทะเบียน/สำรองที่นั่งได้ที่:
ส่งใบสมัครภายในวันที 20 ตุลาคม พ.ศ. 2552
** ประกาศรายชื่อผู้ที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมภายในวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2552

หมายเหตุ:
ภายใต้การ ดูแลของ : กัญญา ลิขนสุทธิ์ ได้รับการฝึกอบรมด้านการสื่อสารอย่างสันติจาก Bay Area Nonviolent Communication และจบหลักสูตรจิตบำบัดที่เน้นศูนย์กลางที่ร่างกายจาก Hakomi Institute เคยเป็นอาจารย์สอนการสื่อสารด้วยความกรุณาและการโค้ชชิ่งสำหรับบุคคลและการ เปลี่ยนแปลงสังคมที่ State University of New York-Binghamton เป็นนักฝึกอบรมด้านการโค้ชชิ่ง การเป็นคนกลางและเป็นที่ปรึกษาให้กับกลุ่มองค์กรต่าง ๆ รวมทั้งเป็นนักจิตบำบัดสำหรับบุคคล คู่รัก และครอบครัว

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่:
สอบถามรายละเอียดได้ที่ communicationwithheart@gmail.com
หรือ ติดต่อ นา 084-665-3894 แฟกซ์ 02-235-3370




*สัมมนาเรื่อง "ทิศทางการอยู่รอดของการสื่อสาร โทรคมนาคม"

วันอังคารที่ 20 ตุลาคม 2552
- เวลา 08.30-16.00 นาฬิกา คณะ กรรมาธิการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การสื่อสารและโทรคมนาคม วุฒิสภา จัดสัมมนาเรื่อง "ทิศทางการอยู่รอดของการสื่อสาร โทรคมนาคม" ณ ห้องเจ้าพระยาบอลรูม โรงแรมเจ้าพระยา ปาร์ค กรุงเทพมหานคร
- เวลา 08.30 – 16.00 นาฬิกา คณะ กรรมาธิการการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภาจัดสัมมนาเรื่อง "คณะกรรมการมรดกโลก : ชนวนความขัดแย้งระหว่างไทย – กัมพูชา" ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ หมายเลข 306 – 308 ชั้น 3 อาคารรัฐสภา 2




*ขอเชิญร่วมวงเสวนาในวาระ 36 ปี 14 ตุลา"สื่อเก่า สื่อใหม่ กับพัฒนาการประชาธิปไตย"

เครือข่ายพลเมืองเน็ต ขอเชิญร่วมวงเสวนา

ในวาระ 36 ปี 14 ตุลา

"สื่อเก่า สื่อใหม่ กับพัฒนาการประชาธิปไตย"
วันที่ 16 ตุลาคม 2552 เวลา 13.30 - 16.00 น.
ห้อง GM Hall ศศนิเวศน์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ผู้ร่วมเสวนา

ชูวัส ฤกษ์ศิริสุข บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ออนไลน์ประชาไท
สฤณี อาชวานันทกุล บล็อกเกอร์ นักเขียน นักแปลและนักวิชาการอิสระ
กานต์ ยืนยง ผู้อำนวยการ Siam Intelligence Unit (SIU)
พิชัย พืชมงคล กรรมการบริหาร สำนักกฎหมายธรรมนิติ
ดำเนินรายการโดย สุภิญญา กลางณรงค์

สอบถาม 0891232296




*เข้าร่วมงานนิทรรศการแสดงสินค้าฟรี

เรียนผู้ประกอบการที่สนใจลงทุนในตลาดตะวันออกกลาง

เนื่องจากบริษัท Al Maha Group ต้องการลงทุนร่วมและรับเป็นสปอนเซอร์ให้กับนักลงทุนไทยที่สนใจไปลงทุนหรือเปิดตลาดขายสินค้าในตลาดตะวันออกกลาง โดยบริษัทกำหนดจัดนิทรรศการแสดงสินค้า ในวันอังคารที่ 20 ตุลาคม 2552 นี้ เวลาบ่ายโมง-5 โมงเย็น ณ โรงแรม JW MARRIOTT สุขุมวิท โทรศัพท์ 02-6567700 ตามรายละเอียดด้านล่าง
หากท่านสนใจนำสินค้า/โบวชัวร์มาแสดงหรือต้องการเข้าร่วมกิจกรรมในงานดังกล่าว โปรดแจ้งความจำนงและกรอกแบบ Company Profile (หากเคยกรอกแล้วไม่ต้องค่ะ) และส่งกลับมาที่ e-mail นี้ ภายในวันที่ 18 ต.ค. 2552 ไม่มีค่าใช้จ่าย

..
ปิยาภรณ์ อุณหบัณฑิต
นักวิชาการพาณิชย์ชำนาญการ
ส่วนส่งเสริมพัฒนาธุรกิจบริการ
สำนักส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
กระทรวงพาณิชย์


โดย: jenifaae วันที่: 3 ธันวาคม 2552 เวลา:21:21:37 น.  

 
*กิจกรรม TQM Forum 2009

หลักการและเหตุผล

ด้วยการแข่งขันทางเศรษฐกิจ ทำให้องค์กรต่างๆ มุ่งเน้นในการพัฒนาองค์กรเพื่อให้สามารถแข่งขันกับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ไปอย่างรวดเร็วของโลกทั้งในด้านเทคโนโลยี สังคม และระบบเศรษฐกิจ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เครื่องมือในการบริหารและการจัดการองค์กรเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการทำให้ องค์กรนั้นมีความยั่งยืนอยู่ได้

TQM เป็นแนวทางหนึ่งที่มีความสำคัญและเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในการนำไป ประยุกต์ใช้ในการพัฒนาองค์กรให้เกิดความยั่งยืน ทำให้เกิดการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องของกระบวนการเพิ่มมูลค่าทุกกระบวนการที่ ดำเนินการอยู่ในองค์กร ความมีส่วนร่วมของสมาชิกขององค์กรในการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ กระบวนการ การบริการ และวัฒนธรรมองค์กร อีกทั้ง TQM ยังสามารถกำหนดเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการกำหนดคุณภาพขององค์กรได้เป็นอย่างดี

ด้วยความสำคัญของแนวคิด TQM นี้ มูลนิธิส่งเสริมทีคิวเอ็มในประเทศไทย จึงได้จัดกิจกรรม TQM Forum 2009 ครั้งที่ 2 ภายใต้หัวข้อ ผู้นำองค์กรแบบ TQM ขึ้นเพื่อเป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้องค์ความรู้ทางด้านการนำองค์กรจาก ผู้นำองค์กรไปสู่ความสำเร็จในการดำเนินกิจการให้ประสบผลสำเร็จ โดยไม่ค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมงาน

วัตถุประสงค์

1. เพื่อเป็นการให้ความรู้ความเข้าใจในการนำแนวทาง TQM ไปใช้ในการปรับปรุงองค์กร
2. เพื่อเป็นเวทีกลางในการแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกันเพื่อต่อยอดองค์ความรู้ด้านต่าง ๆ

วัน เวลา และสถานที่
เสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2552
เวลา 12.30-16.30 น.

สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น ถนนพัฒนาการ กรุงเทพฯ อาคาร C ห้อง 501

วิทยากร

1. คุณโสรัตน์ วณิชวรากิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แพนเอเชียอุตสาหกรรม จำกัด
2. คุณจงสฤษดิ์ คุ้นวงศ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท จุลไหมไทย จำกัด
3. นายแพทย์กิตติโชติ ตั้งกิตติถาวร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชตะพานหิน
ดำเนินรายการโดย
ดร.ณัฐกาญจน์ สุวรรณปฏิกรณ์ อาจารย์ประจำ บัณฑิตวิทยาลัย สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น
กลุ่มเป้าหมายและจำนวนผู้เข้าฟัง
พนักงานในองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนที่มุ่งเน้นการนำแนวทาง TQM ไปใช้ในการปรับปรุง องค์กร
จำนวน 200 คน

วิธีการลงทะเบียน

สามารถลงทะเบียนผ่านทางระบบอินเตอร์เน็ต ที่ //www.ftqm.or.th เท่านั้น โดยมีขั้นตอนดังนี้
1. สมัครเป็นสมาชิกการใช้เว็บมูลนิธิฯ เพื่อกำหนด username และ password (ไม่เสียค่าใช้จ่าย)
สมัครสมาชิก clickที่นี่
2. นำ username และ password ทำการ login ระบบสมาชิก เพื่อลงทะเบียน online หรือแก้ไข
ยกเลิก เปลี่ยนแปลง ข้อมูลต่างๆ
3. 1 user ลงทะเบียนได้ 1 คน เท่านั้น ผู้ที่เคยเป็นสมาชิกแล้วสามารถ login ลงทะเบียนได้ทันที
4. ระบบจะตอบรับการลงทะเบียนอัตโนมัติผ่านทาง e-mail ของท่าน
5. การสมัครเป็นสมาชิกการใช้งานเว็บไซต์ของมูลนิธิ จะเป็นประโยชน์ต่อตัวท่านในการรับทราบ
ข่าวสาร กิจกรรมต่างๆ
ลงทะเบียนเข้าร่วมสัมมนา TQM Forum 2009 ครั้งที่ 2 Click ที่นี่
สัมมนาฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย
(การสมัครเข้าร่วมงานต้องสมัครเป็นสมาชิกก่อน)
จัดโดย
มูลนิธิส่งเสริมทีคิวเอ็มในประเทศไทย ร่วมกับ สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น
สนับสนุนโดย
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ
ติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการจัดการประชุมทีคิวเอ็ม
105/703 ถนนนวมินทร์ ซอย 57 แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ 10240
คุณเจริญชัย ฉิมเนียม โทรศัพท์ 086-311-7890 โทรสาร 0-2734-6200
e-mail : crcbkk@gmail.com
Website : //www.ftqm.or.th




*สัมมนา “The Role of Copyright for Developing Creative Industry”

กรมทรัพย์สินทางปัญญาร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการลิขสิทธิ์เกาหลีประจำประเทศ ไทย(Korea Copyright Commission Bangkok) กำหนดจัดสัมมนา “The Role of Copyright for Developing Creative Industry” ในวันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2552 เวลา 09.30 -17.00 น. (เริ่มลงทะเบียน 09.00 น.) ณ ห้อง Platinum โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนทัล (แยกราชประสงค์) กรุงเทพฯ โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิจากสำนักงานคณะกรรมการลิขสิทธิ์เกาหลี และภาคเอกชนที่ประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรมบันเทิงไทยและเกาหลี ร่วมเป็นวิทยากรบรรยาย รายละเอียดกำหนดการและใบตอบรับเข้าร่วมสัมมนาสามารถ Download ตาม file ที่แนบ
การสัมมนาดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการปกป้อง คุ้มครองลิขสิทธิ์ และการบริหารจัดการลิขสิทธิ์ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมบันเทิง เช่น อุตสาหกรรมเพลง ดิจิตอลคอนเทนท์ ภาพยนต์ ละครโทรทัศน์ เป็นต้น ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Industry) รวมทั้งแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านกลยุทธ์เพื่อพัฒนาผลงานในอุตสาหกรรมบันเทิง ให้สามารถแข่งขันในตลาดสากลได้อย่างยั่งยืน
ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมการสัมมนา โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย สามารถ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณชีพชนก เชิญขวัญมา (ผู้ประสานงาน) สำนักงานคณะกรรมการลิขสิทธิ์เกาหลี ประจำประเทศไทย 999/9 ชั้น 38 อาคารดิออฟฟิศเศส แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ถ.พระราม 1 เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ Tel: 02-6131723 Fax: 02-6131724

รายละเอียด

หมายเหตุ * การสัมมนาบรรยายภาษาเกาหลี-ภาษาอังกฤษ ผ่านล่ามแปลพร้อมอุปกรณ์การรับฟัง
** (ด่วนรับจำนวนจำกัด) ขอสงวนสิทธิ์สำหรับผู้สำรองที่นั่งล่วงหน้าและได้รับการตอบรับแล้วเท่านั้น




*สัมมนา “National Seminar on Copyright in Film Industry”

กรมทรัพย์สินทางปัญญาร่วมกับองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (World Intellectual Property Organization - WIPO) กำหนดจัดสัมมนา “National Seminar on Copyright in Film Industry” ในระหว่างวันจันทร์ที่ 26 - วันอังคารที่ 27 ตุลาคม 2552 เวลา 08.00 -17.00 น. (เริ่มลงทะเบียน 08.00 น.) ณ ห้องสีลม1 โรงแรมฮอลิเดย์อินน์ สีลม กรุงเทพฯ โดยมี ผู้ทรงคุณวุฒิด้านลิขสิทธิ์และภาพยนตร์จากต่างประเทศ และภาคเอกชนที่ประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรมบันเทิงไทย ร่วมเป็นวิทยากรบรรยาย รายละเอียดกำหนดการและใบตอบรับเข้าร่วมสัมมนาสามารถ Download ตาม file ที่แนบ

การสัมมนาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้แทนภาคเอกชน สมาคม และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ได้รับทราบข้อมูลและเรียนรู้เรื่องลิขสิทธิ์ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมการใช้ประโยชน์ทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อเพิ่มมูลค่าให้ กับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ตลอดจนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการธุรกิจที่เกี่ยว ข้อง อันเป็นการนำเศรษฐกิจไทยไปสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy)

ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมการสัมมนา โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณน้ำหยาด นันตา (ผู้ประสานงาน)กองส่งเสริมและพัฒนาทรัพย์สินทางปัญญา กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ 44/100 ถ.นนทบุรี1 อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000 Tel: 02-5474652 Fax: 02-5474665 , 02-5474651

รายละเอียด

หมายเหตุ * การสัมมนาบรรยายภาษาไทย-ภาษาอังกฤษ ผ่านล่ามแปลพร้อมอุปกรณ์การรับฟัง
** (ด่วนรับจำนวนจำกัด) ขอสงวนสิทธิ์สำหรับผู้สำรองที่นั่งล่วงหน้าและได้รับการตอบรับแล้วเท่านั้น


โดย: jenifaae วันที่: 3 ธันวาคม 2552 เวลา:21:22:27 น.  

 
*สัมมนาฟรีเรื่อง "ทรัพย์สินทางอุตสาหกรรม : ธงรบแห่งเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ของไทย"

สมาคมส่งเสริมทรัพย์สินทางปัญญาแห่ง ประเทศไทย (สสทท.) ร่วมกับ สำนักงานสิทธิบัตรญี่ปุ่น (Japan Patent Office) และ Japan Institute of Invention and Innovation (JIII) ของประเทศญี่ปุ่น จัดงานสัมมนาฟรีเรื่อง "ทรัพย์สินทางอุตสาหกรรม : ธงรบแห่งเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ของไทย" (Industrial Property : Flag Ship for Thai Creative Economy) ในวันที่ 3 – 4 พฤศจิกายน 2552 ณ ห้องแลนด์มาร์ค บอลรูม ชั้น 7 โรงแรมแลนด์มาร์ค ถ.สุขุมวิท

ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ โทร. 0-2664-4393




*กำหนดจัดเสวนาทางวิชาการ HROD TALK (Theory-Application Linking Knowledge) ครั้งที่ 16

ด้วย คณะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ร่วมกับ หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ 360? รายสัปดาห์ กำหนดจัดเสวนาทางวิชาการ HROD TALK (Theory-Application Linking Knowledge) ครั้งที่ 16 ในวันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2552 เวลา 13.30 - 15.30 น ณ ห้อง 301 ชั้น 3 อาคารมาลัย หุวะนันทน์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างนักวิชาการและผู้ปฏิบัติงานในวิชาชีพด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการพัฒนาองค์การ เพื่อพัฒนา และต่อยอดความรู้และเผยแพร่ความรู้ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนาองค์การสู่ประชาชนผู้สนใจทั่วไป ดังรายละเอียดประชาสัมพันธ์ที่แนบมาพร้อมนี้ โดยครั้งนี้ พบกับหัวข้อการเสวนาเรื่อง...

"การสื่อสารของผู้นำเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในภาวะวิกฤต"

โดย

1. ดร.วาสิตา บุญสาธร อาจารย์ประจำคณะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และรองผู้อำนวยการสำนักวิจัย สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
2. คุณวรเดช เลิศโรจน์ปัญญา ตำแหน่ง ผู้จัดการฝ่ายส่งเสริมธุรกิจแฟรนไชส์ บริษัท ซี พี ออล์ จำกัด (มหาชน)
3. คุณอัจฉรา จุ้ยเจริญ ตำแหน่ง Managing Director และ Senior Consultant บริษัท AcComm & Image International Co., Ltd.

อนึ่ง ท่านที่สนใจโปรดติดต่อสำรองที่นั่งได้ที่ //www.hrd.nida.ac.th ได้ตั้งแต่วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2552 เป็นต้นไป

รับจำนวนจำกัดเพียง 100 ท่านแรกที่สำรองที่นั่งเท่านั้น

สำนักงานเลขานุการคณะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์

โทรศัพท์ 02-727-3477 โทรสาร 02-375-3976

//www.hrd.nida.ac.th




*กมธ.เด็กฯ สผ. เตรียมจัดโครงการเสวนาวันรณรงค์ยุติความรุนแรง

คณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุและผู้พิการ สภาผู้แทนราษฎร มีมติให้จัดโครงการเสวนาและจัดนิทรรศการเพื่อรณรงค์ยุติความรุนแรง 25 พฤศจิกายนนี้ ที่รัฐสภา

นายสุรเชษฐ์ มาศดิตถ์ ประธานคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุและผู้พิการ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมได้มีมติให้จัดโครงการเสวนาและแถลงข่าว พร้อมทั้งจัดนิทรรศการเพื่อรณรงค์ยุติความรุนแรง ร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในวันพุธที่ 25 พฤศจิกายน 2552 ณ อาคารรัฐสภา ส่วนรายละเอียดกมธ.จะหารือกันอีกครั้งในวันพุธที่ 21 ตุลาคม นี้ นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีมติตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาศึกษาร่างเอกสารประกอบการประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ทั้งนี้ หากคณะทำงานชุดดังกล่าวพิจารณาเสร็จแล้วให้เสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการพิจารณาต่อไป




* วาระก้าวสู่ปีที่ 23 “กรุงเทพธุรกิจ” ร่วมกับ ภาคธุรกิจ เปิดเวที Thailand Tomorrow

ส่องกล้องมองประเทศไทยจากหลายแง่มุม ร่วมค้นหาคำตอบ สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2553 จะเป็นอย่างไร?

ธุรกิจถึงเวลา ยูเทิร์น หรือยัง ? และ บนทางหลายแพร่ง เราจะกำหนดอนาคตของประเทศไทยได้อย่างไร ? พร้อมเปิดเวที ความคิด ธุรกิจยุคใหม่ มองไกลถึงสังคม ระหว่างวันที่ 29-30 ตุลาคม 2552 ณ ห้องคริสตัลฮอลล์ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี ถนนวิทยุ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม 0-2338-3000 กด 1

29 ตุลาคม 2552

10.00 - 10.40 “Thailand Tomorrow ประเทศไทย 2553”
ปาฐกถาพิเศษ โดย ฯพณฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี

10.45 - 11.15 “Roadmap for Thailand Economic Reform”
ปาฐกถาพิเศษ โดย ฯพณฯ กรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

11.20- 11.50 “ทิศทางส่งออกไทย ปี 2553”
ปาฐกถาพิเศษ โดย ฯพณฯ พรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

11.55-12.25 “ทิศทางเศรษฐกิจไทยปี 2553 ”
ปาฐกถาพิเศษ โดย ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

13.40 - 14.10 “ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานความรู้ : มิติใหม่เศรษฐกิจเอเชีย” ( บรรยายภาษาอังกฤษ)
ปาฐกถาพิเศษ โดย Mr. NR Narayana Murthy
ประธานกรรมการ และประธานคณะที่ปรึกษา บริษัท อินโฟซิส เทคโนโลยีส์

14. 20 - 16.00 “Post Crisis โอกาส และ ความท้าทาย ของธุรกิจไทย” โดย
คุณบุญชัย โชควัฒนา ประธารกรรมการบริหาร บมจ. สหพัฒนพิบูล
คุณตัน ภาสกรนที ประธานกรรมการบริหารโออิชิ กรุ๊ป
คุณปฐมา จันทรักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด

30 ตุลาคม 2552

09.50 - 10.25 “พลวัตรธุรกิจขับเคลื่อนประเทศไทย”
ปาฐกถาพิเศษ โดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี

10.25 - 11.10 “กลยุทธ์ธุรกิจสร้างกิจการเพื่อสังคม”
ปาฐกถาพิเศษ โดย คุณมีชัย วีระไวทยะ

11.10 - 11.45 “สัจจะออมทรัพย์ : ปรัชญาเศรษฐกิจเงินปากผี”
ปาฐกถาพิเศษ โดย ครูชบ ยอดแก้ว

13.15 - 14.30 “Creative Capitalism : ทุนนิยมสร้างสรรค์กิจการเพื่อสังคม” โดย
ดร.บัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย
ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษา สถาบันบัณฑิตศศินทร์
แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

14.50-16.50 “ Triple Bottom Line : เทรนด์ใหม่ธุรกิจเปลี่ยนโลก” โดย

คุณสินี จักรธรานนท์ ผู้อำนวยการ มูลนิธิอโชก้า (ประเทศไทย)
คุณบุญชัย เบญจรงคกุล ประธานกรรมการมูลนิธิรักบ้านเกิด
ประธานกรรมการ บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น
คุณปราโมท เตชะสุพัฒน์กุล ประธานกรรมการพัฒนาสู่ความยั่งยืน
กรรมการผู้จัดการใหญ่กลุ่มธุรกิจซิเมนต์ SCG.
Mr.Murray Darling กรรมการผู้จัดการ Starbucks Coffee Thailand




*สัมมนา "สิทธิบัตรพันธุกรรมข้าวหอมมะลิ: ยุทธศาสตร์การคุ้มครองพันธุ์ข้าวไทย"

คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ร่วมกับ ชุดโครงการพัฒนาความรู้และยุทธศาสตร์ความตกลงพหุภาคีด้านสิ่งแวดล้อมฯ (MEAs Watch)
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ฝ่ายสวัสดิภาพสาธารณะ
ขอเชิญเข้าร่วมทำข่าวการสัมมนาวิชาการคณะนิติศาสตร์ ครั้งที่ ๑ ประจำปี พ.ศ.๒๕๕๒
เรื่อง "สิทธิบัตรพันธุกรรมข้าวหอมมะลิ: ยุทธศาสตร์การคุ้มครองพันธุ์ข้าวไทย"
วันอังคารที่ 27 ตุลาคม 2552 เวลา 08.30 -12.00 น. ณ ห้องประชุม 10201 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ถ.วิภาวดีรังสิต ดินแดง
08.30 – 09.00 น.
ลงทะเบียน
09.00 – 09.15 น.
กล่าวรายงาน
? รศ. ดร. จีรเดช อู่สวัสดิ์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
ประธานกล่าวเปิดการสัมมนา
นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์
09.15 – 09.45 น.
ปาฐกถาพิเศษ:ความหลากหลายทางชีวภาพและสิทธิชุมชนในกระแสโลกาภิวัฒน์
? ศ.เสน่ห์ จามริก อดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
09.45 – 10.00 น.
พักรับประทานกาแฟ – ของว่าง
10.00 – 11.00 น.
สัมมนา"สิทธิบัตรพันธุกรรมข้าวหอมมะลิ: ยุทธศาสตร์การคุ้มครองพันธุ์ข้าวไทย"
? รศ.ดร.สุรวิช วรรณไกรโรจน์ ภาควิชาพืชสวน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
? ดร. เจษฎ์ โทณะวณิก นักกฎหมายด้านทรัพย์สินทางปัญญา
? นายบัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ ผู้ประสานงาน MEAs Watch สกว.
(ผอ.สถาบันธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม)
ผู้ดำเนินรายการ
? ผศ.ดร.สมชาย รัตนชื่อสกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
11.00 – 11.45 น.
ร่วมอภิปราย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น
11.45-12.00 น.
สรุปและปิดการประชุม
หรือ Click อ่านรายละเอียดที่ //www.measwatch.org/autopage/show_page.php?t=2&s_id=193&d_id=193


โดย: jenifaae วันที่: 3 ธันวาคม 2552 เวลา:21:23:25 น.  

 
*เชิญร่วมสัมมนาและสำรวจชายฝั่งทะเลบางขุนเทียน เรื่อง การวางแผนเพื่อกรุงเทพฯ เมืองนิเวศ

เรียน อาจารย์,นักวิชาการ นิสิต นักศึกษา และผู้ที่สนใจ

สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ,Paris-Lodron University Salzburg,Austria,สมาคมนักผังเมืองไทย และคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ขอเชิญ ร่วมสัมมนาและสำรวจชายฝั่งทะเลบางขุนเทียน เรื่อง การวางแผนเพื่อกรุงเทพฯ เมืองนิเวศ (Planning for Eco-City Bangkok) โดย วิทยากรด้านการวางแผนพัฒนาเมืองและสิ่งแวดล้อมหลากหลายสถาบัน (ดังรายละเอียดหมายกำหนดการตามเอกสารประกอบที่ได้แนบมา) ในวันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม 2552 ตั้งแต่เวลา 08.00 น.เป็นต้นไป

สนใจติดต่อ คุณเรวดี โทร.081-697-7224,087-237-0531 ด่วน! รับจำนวนจำกัดครับ (หมายเหตุ:ไม่มีค่าใช้จ่ายตลอดการสัมมนา)


Invitation to

Joint Workshop on Planning for Eco-City Bangkok

Organized by

Chulalongkorn University Social Research Institute

Association of Thai Planners

Faculty of Architecture Kasetsart University

Paris-Lodron University Salzburg, Austria


22 October 2009,9.00-17.00 hr.

at

Room 1302, 3rd Floor

Faculty of Architecture Kasetsart University Bangkok Campus, Bangkok, Thailand


Agenda


08.00 - 09.00 — Registration
09.00 - 09.15 — Welcome Address
— Background of Workshop
— Opening Speech
09.15 - 10.15 — Urban Ecosystem Management for Sustainable Urban Development (Dr. J?rgen Breuste, Paris-Lodron University Salzburg, Austria)

10.15 - 10.35 — Eco-City Amsterdam, the Netherlands (Dr. Bart Lambregth, Faculty of Architecture Kasetsart University)

10.35 – 10.45 — Coffee Break
10.45 – 11.05 — Indicators of Eco-City (Dr. Suwattana Thadaniti, Chulalongkorn University Social Research Institute )
11.05 - 11.25 — Bang Khun Thien: A District in Distress? (Dr. Narumon Arunotai, Chulalongkorn University Social Research Institute )
11.25 – 11.45 — Eco-city Bangkok (Dr. Orapim Pimcharoen, BMA)
11.45 - 12.15 — Discussions
13.30 – 17.00 — Field trip to Bang Khun Thien




*พิธีปิดโครงการขยายผลและขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาคุณภาพชีวิตการทำงานในองค์กร

สถาบัน เสริมสร้างขีดความสามารถมนุษย์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดพิธีปิดโครงการขยายผลและขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาคุณภาพชีวิตการทำงานใน องค์กร โดยมีคุณสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นประธานในพิธี พร้อมการเสวนา ในหัวข้อเรื่อง " กว่าจะได้มาซึ่ง MS-QWL : ประโยชน์ + ความคุ้มค่าอย่างยั่งยืน " ในวันที่ 27 ตุลาคม 2552 เวลา13.00 – 17.00 น. ณ ห้องบอลรูม 2 ชั้น 3 โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์

สื่อมวลชนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ
บริษัท นิโอ ทาร์เก็ต จำกัด
กณิศอันน์ มโนพิโมกษ์ 02-631-2290-5 ต่อ 318 E-mail : kaniss-un@neotarget.com
กฤษฏ์ อำนวยพล 02-631-2290-5 ต่อ 304 E-mail : khridh@neotarget.com




*ขอเชิญอบรม "บริหารคลังยุคใหม่ ใช้เทคโนโลยีอย่างไรจึงได้ผลจริง"

กลุ่มเป้าหมาย
•ผู้บริหาร ผู้จัดการ ผู้ปฏิบัติงานระดับอาวุโส แผนก IT, Production, Warehouse, Logistics, QC
•กลุ่ม SMEs ทั้งระดับผู้ประกอบการและระดับปฏิบัติการ
•ผู้ที่มีความสนใจเทคโนโลยีการบริหารจัดการ Warehouse ยุคใหม่ อย่างมีประสิทธิภาพ ไปใช้ในการพัฒนาประสิทธิภาพขององค์กร
•นักศึกษาและบุคคลทั่วไป

กำหนดการอบรม
08.30 - 09.00 ลงทะเบียน
09.00 - 10.30 วิทยากร จาก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร
- Warehouse Operation Overview
- Material Handling & Pick Methods
10.30 - 10.45 Coffee break
10.45 - 12.00 - Warehouse System Management & Automatic Data Capture
- Question & Answer
13.00 - 14.30 เทคนิคและแนวทางการบริหารจัดการ Warehouse
โดย บริษัท กรุงเทพคลังเอกสาร จำกัด
14.30 - 14.45 Coffee break
14.45 - 16.15 เทคนิคและแนวทางการบริหารจัดการ Warehouse
โดย บริษัท โบ๊ทบุคส์ สเตชั่นเนอรี่ จำกัด
16.15 - 16.30 ตอบข้อซักถาม

วัน/เวลาในการอบรม
วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน 52 เวลา 9.00 – 16.30 น.
วิทยากร

ดร.วิจิตรสวัสดิ์ สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร

คุณสุภาพ ตั้งตรัยรัตนกุล
บริษัท กรุงเทพคลังเอกสาร จำกัด

คุณสมบัติ วรประเสริฐศิลป์
บริษัท โบ๊ทบุคส์ สเตชั่นเนอรี่ จำกัด

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สถาบันรหัสสากล สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
โทรศัพท์ 02 345 1207, 02 3451190 -1 โทรสาร 02 345 1217-8 e-Mail : training@gs1thailand.org


ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ //www.gs1thailand.org


โดย: jenifaae วันที่: 3 ธันวาคม 2552 เวลา:21:24:21 น.  

 
*อบรมฟรี หลักสูตร ตรวจวิเคราะห์การอนุรักษ์พลังงาน ในอาคาร/โรงงานขนาดกลางและเล็ก (SME)

จัดโดย: สมาคมผู้รับผิดชอบด้านพลังงาน ( PREclub )
วันที่อบรม สัมมนา:
วันที่ 23 - 25 พฤศจิกายน 52

ค่าลงทะเบียน/โปรโมชั่น:
อบรมฟรี

สถานที่จัดอบรม สัมมนา:
ณ โรงแรม กานต์มณี พาเลส กรุงเทพฯ

ลงทะเบียน/สำรองที่นั่งได้ที่:
สมัครหรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร. 0-2691-9533-4 ต่อ 11,18

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่:
สอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร. 0-2691-9533-4 ต่อ 11,18




*สัมมนาฟรี! การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับมรดกทางวัฒนธรรม : จากลังกา…สู่สยามประเทศ

จัดโดย: หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการจัดการทางวัฒนธรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


สำหรับวัตถุประสงค์การจัดสัมมนาในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับมรดก ทางวัฒนธรรม รวมถึงการกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนได้เข้าใจถึงความสำคัญและความจำเป็นของการ อนุรักษ์ การจัดการ การตลาด และการสื่อความหมายของมรดกวัฒนธรรมไทยอันสามารถจะสร้างมูลค่าเพิ่มในระดับ ชาติได้ อีกทั้งเป็นการผลักดันให้หน่วยงานและองค์กรทางวัฒนธรรมต่างๆ เกิดความตระหนักและค้นหาแนวทางในการสร้างมูลค่าเพิ่มมรดกวัฒนธรรมอันจะเป็น ประโยชน์ต่อประเทศชาติต่อไป


วันที่อบรม สัมมนา:
วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม 2552 เวลา 9.00 น.

วิทยากร:
วิทยากรรับเชิญ ศาสตราจารย์ภิชาน หม่อมราชวงศ์จักรรถ จิตรพงศ์และนายวงศ์ฉัตร ฉัตรกุล ณ อยุธยา

ค่าลงทะเบียน/โปรโมชั่น:
ไม่มีค่าใช้จ่าย

สถานที่จัดอบรม สัมมนา:
ณ ห้องบอลรูม โรงแรมแพนแปซิฟิก กรุงเทพฯ

ลงทะเบียน/สำรองที่นั่งได้ที่:
ผู้สนใจสามารถสำรองที่นั่งได้ที่โทร. 086-504-4950(คุณแคร์) ,084-021-1459 (คุณรัตน์)mail : srilanka.macm03@yahoo.com

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่:
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ (คุณปิ๋ว) 084-4521469 (คุณเจิน) 089-6652529




*ขอ เชิญร่วมงานเสวนาพิเศษ วิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจและการเงิน (Crisis Watch Series 11)

เรื่อง"จับตาอุตสาหกรรมพลังงานและพลังงานทดแทน ก้าวสู่อนาคต Green Energy" วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม 2552 เวลา 09.30 - 12.00 น. ณ โถงนิทรรศการ ชั้น 1 อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วิทยากรโดย คุณสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส สถาบันวิจัยนครหลวงไทย

รศ.ดร. เอกชัย นิตยาเกษตรวัฒน์ คณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ และ คุณไกรฤทธิ์ นิลคูหา อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน สำรองที่นั่งได้ที่ 081 919 7559 หรือ E- mail : Nakorn999@hotmail.com (ฟรี !! ไม่มีค่าใช้จ่าย)

กำหนดการ

09.30-10.00 น. ลงทะเบียน/รับประทานอาหารว่าง
10.00-10.20 น. เสวนาวิเคราะห์จับตาสถานการณ์เศรษฐกิจ การเงิน และอุตสาหกรรม โดย
- รศ.ดร. เอกชัย นิตยาเกษตรวัฒน์
คณบดี และประธานโครงการสร้าง "CFO มืออาชีพ"
คณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
ที่ปรึกษา สถาบันวิจัยนครหลวงไทย
- คุณสุกิจ อุดมศิริกุล
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส สถาบันวิจัยนครหลวงไทย
10.20-11.00 น. ได้รับเกียรติการกล่าวเปิดงานและแสดงปาฐกถาพิเศษ
"วิสัยทัศน์และบทบาทของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานสู่อนาคต Green Energy"
- คุณไกรฤทธิ์ นิลคูหา
อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน
กระทรวงพลังงาน
11.00-12.30 น. แถลงดัชนีชี้วัดขีดความสามารถในการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานและพลังงานทดแทน และ เสวนา
"จับตาอุตสาหกรรมพลังงานและพลังงานทดแทน ก้าวสู่อนาคต Green Energy"
- ดร.อนุสรณ์ แสงนิ่มนวล
กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)
- ดร.บุญรอด สัจจกุลนุกิจ
ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานทดแทน
บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE)
- ผศ.ดร.ธัชวรรณ กนิษฐ์พงศ์
หัวหน้าโครงการจัดทำดัชนีชี้วัดขีดความสามารถในการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานและ
พลังงานทดแทน NIDA Business School
- คุณสุกิจ อุดมศิริกุล
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส สถาบันวิจัยนครหลวงไทย

ดำเนินรายการโดย คุณปิยมิตร ยอดเมือง

12.30-12.45 น. ถามตอบ / จบการเสวนา
12.45-13.30 น. ร่วมรับประทานอาหารระหว่าง วิทยากร และผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมพลังงานและ
พลังงานทดแทน

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
กฤติยาพร พลตรี
Kritiyaporn Pontree
Business Development
Siam City Securitis Co.,Ltd
Tel. 0-2624-8965
Fax. 0-2624-8955
E-mail : Kritiyapornp@scis.co.th




*กรมสุขภาพจิต จัดงานประกาศผลมอบรางวัล สื่อสร้างสรรค์สุขภาพจิต ประจำปี 2552

(Mental Health Media Award 2009)
วันที่ 2 พฤศจิกายน 2552 เวลา 9:00 น. - 16:00 น.
กรม สุขภาพจิต ร่วมกับ ๑๐ กว่าสมาคมวิชาชีพ ด้านสื่อสารมวลชน ด้านสุขภาพจิต และประชาสังคม ได้แก่ สมาพันธ์สมาคมวิชาชีพวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ สมาคมโฆษณาธุรกิจแห่งประเทศไทย สมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย สมาคมพยาบาลจิตเวชแห่งประเทศไทย สมาคมนักสังคมสงเคราะห์จิตเวช สมาคมนักจิตวิทยาคลินิกไทย สมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิต สมาคมสายใยครอบครัว และสมาคมผู้ปกครองบุคคลออทึซึมไทย
ขอเรียนเชิญท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน สื่อมวลชนทุกสาขา นักศึกษาและประชาชน ร่วมเป็นเกียรติและเข้าร่วมงาน "การประกาศผลมอบรางวัล สื่อสร้างสรรค์สุขภาพจิต ประจำปี 2552" ในงาน "Mental Health Media Award 2009" ในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2552 นี้ ณ. ห้องธาราเทพ โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค รัชดา กรุงเทพ ฯ
การจัดโครงการมอบรางวัลสื่อสร้างสรรค์สุขภาพจิต ในครั้งนี้ จัดขึ้นเป็นปีที่ 3 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประกาศเกียรติคุณและเชิดชูเกียรติให้กับสื่อมวลชนที่ สร้างสรรค์งานที่ดีในด้านสุขภาพจิต และเพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูคุณงามความดี ให้ผู้ผลิตสื่อมีกำลังใจในการผลิตผลงานดีๆ โดยเน้นให้สื่อตระหนักถึงสุขภาพจิตของคนในสังคม ผลิตสื่ออย่างเข้าใจ และเข้าถึงวิธีการในการนำเสนอสื่ออย่างสร้างสรรค์มีคุณภาพ คำนึงถึงผลกระทบต่อจิตใจของผู้รับสาร ตลอดจนเป็นตัวอย่างที่ดี ในการเป็นแบบอย่างให้สื่อ รุ่นหลังได้ดำเนินรอยตาม และพร้อมที่จะพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นต่อไป ซึ่งจะทำให้ประชาชนสามารถรับข่าวสารในแง่มุมดีๆ จากสื่อต่างๆ มาปรับใช้ประโยชน์ในการนำมาพัฒนาวิธีคิดและการแก้ปัญหาสุขภาพจิตได้อย่างถูก วิธี อันจะเป็นผลดี ต่อผู้มีปัญหาสุขภาพจิต และผู้ที่อยู่ร่วมกันในสังคม
สำหรับการคัดเลือกและพิจารณารางวัลสื่อสร้างสรรค์สุขภาพจิต ประจำปี 2552 นี้ แบ่งออกเป็น ๔ สาขาๆ ละ ๕ รางวัล ประกอบด้วย สาขาสื่อโฆษณาโทรทัศน์ สาขาสื่อภาพยนตร์ สาขาสื่อภาพข่าวหนังสือพิมพ์ และสาขาสื่อละครโทรทัศน์ รวม ๒๐ รางวัล โดยเป็นผลงานที่เผยแพร่ระหว่างวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๑ - ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๒
วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2552 นี้ ในงาน "Mental Health Media Award 2009" ร่วมเป็นเกียรติเข้าร่วมงาน มอบรางวัลสื่อสร้างสรรค์สุขภาพจิต ประจำปี 2552 ณ. ห้องธาราเทพ โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค รัชดา กรุงเทพ ฯ และในส่วนรายละเอียดของงาน ท่านสามารถติดตามได้ ที่ //mhm-award.blogspot.com หรือโทร ๐๒ ๕๙๐ ๘๑๖๘




*ขอเชิญร่วมงานสัมมนาพิเศษภายใต้หัวข้อ Communications Management Success Story: Pathway to success of Blackberry

วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2552 เวลา 13.00 - 15.30น. ณ ห้องมณฑาทิพย์ 3 - 4 โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ
เมนเทอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ศูนย์แนะแนวการศึกษาต่างประเทศระดับชั้นแนวหน้าของเมืองไทย จับมือกับ ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย จัดสัมมนาพิเศษภายใต้หัวข้อ"Communications Management Success Story: Pathway to success of Blackberry" โดยจุดประสงค์หลักในการจัดงานครั้งนี้เพื่อแบ่งปันและให้ความรู้เกี่ยวกับ การสื่อสารด้านการตลาดและด้านเทคโนโลยีสารสนเทศซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในการ ประกอบธุรกิจในยุคปัจจุบัน อีกทั้งมุ่งเน้นที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักศึกษาไทยที่สนใจศึกษาต่อที่ มหาวิทยาลัยชั้นนำ ณ สหราชอาณาจักรและประเทศออสเตรเลีย โดยเฉพาะนักศึกษาที่เตรียมตัวจะไปศึกษาต่อสาขาสื่อสารด้านการตลาดและไอที นอกจากนี้ทั้งสององค์กรได้เล็งเห็นความสำคัญที่จะต่อยอดและเพิ่มพูนความรู้ ให้แก่นักศึกษาไทยที่กำลังวางแผนจะไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยชั้นนำ ณ สหราชอาณาจักรและประเทศออสเตรเลีย อีกทั้งเมนเทอร์ อินเตอร์เนชั่นแนลและธนาคารเอชเอสบีซีเชื่อมั่นว่าผู้เข้าร่วมงานดังกล่าวจะ สามารถนำความรู้ไปปรับใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งในชีวิตการเรียนและ การทำงาน
สำหรับงานสัมมนาครั้งนี้ได้รับเกียรติจากคุณอริยะ พนมยงค์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการพาณิชย์ คอนเวอร์เจนซ์ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จะมาบอกเล่าแบ่งปันประสบการณ์ความเป็นมาและความสำเร็จของ Blackberry ที่ได้กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ทั้งกลุ่มของคนทำงานและนักศึกษายุคปัจจุบัน ภายใต้หัวข้อ "Why Blackberry is one of the most popular smart phones in Thailand and worldwide?"
นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมงานทุกท่านจะได้ร่วมเวิร์คช้อปต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเรียนรู้วิธีการใช้ Blackberry เครื่องมือสื่อสารที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์คุณเป็นอย่างดี จากทีมงานของทรู มูฟ พร้อมทั้งคุณจะได้เรียนรู้ถึงเทคโนโลยี อันล้ำสมัยอย่าง Blackberry ที่จะช่วยให้ชีวิตการเรียนในต่างแดนง่ายขึ้นกว่าที่คุณคิด และบริการด้านการเงินจากธนาคารเอชเอสบีซี ธนาคารระดับโลกที่เข้าใจคุณ
*พิเศษสำหรับผู้เข้าร่วมงาน 100 ท่านแรกที่มาลงทะเบียนในวันงาน มีสิทธิ์ลุ้นรับ Blackberry Bold 9000 มูลค่า 25,500 บาท จำนวน 2 เครื่อง ส่วนเงื่อนไขการรับรางวัลผู้โชคดีจะต้องสมัครเรียนต่อต่างประเทศกับทางเมน เทอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล นอกจากนี้ เพียงลงทะเบียนที่บูธของเอชเอสบีซี พรีเมียร์ รับของที่ระลึกฟรี ทันที
ผู้ที่สนใจเข้าร่วมสัมมนาครั้งนี้ ไม่ต้องเสียคิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น อย่าพลาดโอกาสดีครั้งนี้ที่รอให้คุณได้สัมผัสกับประสบการณ์อันล้ำค่า
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและสำรองที่นั่งล่วงหน้าที่ เมนเทอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล โทร. 02 255 5157-9 หรือเว็บไซต์ //www.mentor.ac

ข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ
นางสาวรัชฎาภรณ์ พิชัยศรีสวัสดิ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์
ศูนย์แนะแนวการศึกษาต่อต่างประเทศ เมนเทอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล
โทร. 0-2255-5157-9


โดย: jenifaae วันที่: 3 ธันวาคม 2552 เวลา:21:25:26 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jenifaae
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Editor
บทความ ความคิดเห็นที่นำลง"สนามหลวงแก็งค์" ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เพียงเราเห็นว่าน่าสนใจและเป็นประโยชน์ในทางข้อมูล ข่าวสาร
หากท่านมีข้อคิดเห็นประการใด โปรดแจ้งให้เราทราบ จักขอบคุณยิ่ง
"สนามหลวงแก็งค์"
kunkorn : Facebook



"Sanamluang's Gang"
"สนามหลวงแก๊งค์"

kunkorn : Facebook

     เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนให้เกิดการศึกษา การเรียนรู้ เผยแพร่ ส่งเสริม สนับสนุน รวบรวมข้อมูล ข่าวสาร อนุรักษ์ รักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย วิถีชีวิต และปรัชญา คุณค่าจิตวิญญาณที่งดงาม สืบสานต่อยอดกันมานานนับพันๆปี และกำลังถูกทำลายด้วยอิทธิพลจากแนวคิดเชิงวัตถุนิยมแบบตะวันตก

● เพื่อการศึกษาหาความรู้ ส่งเสริม สนับสนุน ให้เกิดการศึกษา เรียนรู้ สิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบ และนำมาเผยแพร่แก่มวลมนุษยชาติ อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง มิใช่เพียงวิทยาศาสตร์เชิงวัตถุเพียงอย่างเดียว เพราะถือว่าพระพุทธเจ้า ทรงค้นพบความจริงของธรรมชาติ ทั้งหมดทั้งสิ้น ที่มนุษย์ธรรมดาสามัญอย่างเราๆ ท่านๆ ยังเป็นเพียงผู้รู้ แค่หางอึ่งที่ยังอยู่ในกะลาครอบ แต่บังอาจด่วนสรุป ขัดแย้งกับ สิ่งที่องค์ศาสดาทรงค้นพบมากว่าสองพันปี จนทำให้บังเกิดความสับสน ลดความน่าเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ

● สนามหลวงแก๊งค์ ต้องขออนุญาตและขอขอบคุณท่านเจ้าของข่าวสาร ข้อมูล ที่เราได้นำลงในสนามหลวงแก๊งค์ ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยจิตคารวะ ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็เพื่อให้สนามหลวงแก๊งค์ เป็นแหล่งในการเผยแพร่ ข้อมูล ข่าวสารที่เป็นประโยชน์และเพื่อเป็นวิทยาทานแก่สาธารณชน แต่หากท่านเจ้าของข้อมูล ข่าวสารที่ สนามหลวงแก๊งค์ นำลงไม่มีความประสงค์ให้นำลง ขอได้โปรดแจ้งความประสงค์ เรายินดีที่จะถอดออกต่อไป

ด้วยจิตคารวะ
www.sanamluang.bloggang.com
kunkorn : Facebook


ดาวหาง
     เป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นในห้วงมหาจักรวาลอันยิ่งใหญ่ ลี้ลับไร้ขอบเขต ทุกครั้งที่ดาวหางปรากฏ มันจะส่งสัญญาณแห่งความพินาศ มหันตภัย ธรรมชาติ ความตาย ความเจ็บป่วย สงคราม ความขัดแย้ง การกดขี่ การเอารัดเอาเปรียบ การคดโกง การเบียดเบียนของมนุษย์บนพื้นพิภพใบนี้

     มันคือสัญญาณเตือนภัยที่มนุษย์ไม่อาจจะควบคุมได้ ทั้งภัยทางธรรมชาติและภัยที่เกิดขึ้นจากมนุษย์สร้างกันขึ้นมาเองในทุกรอบพันปี

     ไม่ว่ามนุษย์จะคิดว่าตัวเองเก่งกาจสามารถ ฉลาดสักเพียงไหน ก็ไม่อาจหลีกพ้นมหันตภัยเหล่านี้ไปได้
     ดังนั้น จงเชื่อและปฎิบัติตามอย่างไม่ลังเลต่อคำสอนของศาสดาของเราอย่างจริงจังเถิด

     แม้จอมจักรพรรดิ จอมราชันย์ หรือจอมทรราชที่ยิ่งใหญ่ในอดีต ก็ต้องตายร่างกายเน่าเปื่อยเป็นผุยผง และในที่สุดวิญญาณของเขาก็ต้องชดใช้กรรม ด้วยการถูกไฟนรกเผาผลาญโดยไม่มีข้อยกเว้นทั้งทั้งสิ้น

     จงอย่าอหังการ์ว่าตัวเองเก่ง ฉลาด และยิ่งใหญ่กว่าคำสอนของพระศาสดา ไม่มีมนุษย์ตนใดที่จะพ้นจากกฎแห่งธรรมชาติได้ มนุษย์ที่เก่งกว่าเรา เขาได้ตายร่างกายทับถมปฐพีแห่งนี้นับไม่ถ้วนแล้ว


     ● ขออนุญาตนำภาพวาด "วีระชนบนพานรัฐธรรมนูญ" ของ คุณสถาพร ไชยเศรษฐ ศิลปินอิสระ อดีตแนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย ซึ่งวาดเนื่องในโอกาส 2 ปี 14 ตุลา มาเป็นส่วนหนึ่งของหัว "สนามหลวงบล็อก"                


บริการดูดวง



"สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" มีความภาคภูมิใจในความสำเร็จตามอุดมการณ์ของเรา ที่ได้ตั้งเอาไว้ว่า "เราจะใช้วิชาความรู้ในด้านการพยากรณ์เพื่อให้เป็นประโยชน์สำหรับการให้การปรึกษาของผู้คนที่กำลังประสบปัญหา ความเดือดเนื้อร้อนใจ หรือการเผชิญกับปัญหานั้นๆได้อย่างไรดี

มนุษย์เกิดแต่กรรม มนุษย์มีกรรมเป็นเหตุ เมื่อเราประสบเคราะห์กรรม ปัญหาอยู่ที่ว่าหากเราทราบเสียก่อน ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่าการไม่ทราบ อย่างน้อยก็ทำให้เราระมัดระวังตัว อย่างน้อยก็ทำให้เราหลีกเลี่ยงเพื่อทำให้เราเผชิญกับกรรมน้อยลงไป อย่างน้อยก้ทำให้เรารู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมันมีที่มา มันมีที่ไปของมัน

มีนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์วัตถุจิตนิยม มักโจมตีอยู่เสมอว่า การดูดวง เป็นเรื่องของความงมงาย หมอดูคู่กับหมอเดา หมายถึงว่า เขาไม่เชื่อในเรื่องของวิชาโหราศาสตร์เพราะคิดไปว่ามันเป็นเรื่องเดียรัจฉานวิชาบ้าง เป็นการคาดเดาเอาเองบ้าง คิดว่ามันเป็นวิชาที่ใช้สถิติสุ่มเอาบ้าง ไม่เชื่อว่าวิชาโหราศาสตร์จะสามารถไขปริศนาแห่งรหัสลับของดวงดาว จักรวาล และธรรมชาติรอบตัว

แสดงว่าเขาลืมไปว่า อัลเบิร์ต ไอสไตน์ และสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกรอบตัวเรา ตั้งแต่เล็กเท่าอะตอม (จุลจักรวาล)จนถึงมหาจักรวาล ล้วนมีความผูกพัน ล้วนมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งแยกกันไม่ออก เพียงแต่ว่า กับอะไร เมื่อไร อย่างไร เท่านั้น

กรรมเป็นผลจากการกระทำของเราในอดีตชาติ จะดีหรือจะร้ายก็เพราะเราทำ เป็นสิ่งที่เราจะต้องได้รับผลแห่งการกระทำเหล่านั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โหรฯเป็นเพียงผู้แปลรหัสของดวงดาวและธรรมชาติรอบตัว เพื่อเผยแผนที่ชีวิตของเรา และสามารถมองเห็นช่องทางที่จะเลี่ยงหลบสิ่งเลวร้าย ให้ลดน้อยถอยลงหรือพบพานแต่สิ่งที่ดีดี

การสะเดาะเคราะห์ หรือพิธีการตัดกรรมที่กำลังกล่าวขานถึงก็คือการขออโหสิกรรม ลดการอาฆาตจองเวรกับเจ้ากรรมนายเวรที่กำลังจ้องจองเวรด้วยความอาฆาตพยาบาทที่ถูกเรากระทำในอดีตชาติ ไม่ใช่เป็นการตัดทอนผลกรรมที่เราทำให้หมดไปหรือให้ลดลง เพราะกรรมที่เรากระทำไม่สามารถตัดทอนลงไปได้



สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์พยากรณ์เที่ยงตรง แม่นยำเชื่อถือได้ วิเคราะห์พยากรณ์อย่างเป็นระบบ ไม่เลื่อนลอย ยึดมั่นในอุดมการณ์ของครูที่ท่านได้กำชับให้นำเอาวิชาการพยากรณ์มาช่วยเหลือแนะนำ บรรเทาทุกข์ของผู้คนมากกว่าการพยากรณ์เพื่อการค้า

ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าประเทศใด? ชาติใด ภาษาใด? สมัยไหน? ชนชั้นวรรณะใด? ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสัว นักธุรกิจ นักการค้า แม่บ้าน นักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ หรือไม่เว้นแต่นายพล นายพัน รัฐมนตรี หรือระดับผู้นำประเทศ ล้วนแต่เคยดูดวงด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ว่า เราจะเชื่ออย่างงมงายหรือจะเชื่อโดยใช้เหตุผลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ โดยนำเอาคำพยากรณ์มาใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการดำเนินชีวิต หรือทำธุรกิจ การค้า หรือเพื่อการทำสงครามฯ

"สนามหลวงแก็งค์" ไม่สนับสนุนให้เชื่อเรื่อง "ดวง" อย่างงมงาย แต่เราสนับสนุนให้ใช้คำ "พยากรณ์"อย่างมีวิจารณญาณประกอบการตัดสินใจอย่างมีสติ ใช้ "ปัญญา"อย่างมี "เหตุผล"

หลังจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม จนต้องมีการเข้าจองคิวดูดวงเป็นจำนวนมาก ณ ขณะนี้ ไม่ใช่แต่เฉพาะคนไทยในประเทศที่เข้ามาใช้บริการจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"เท่านั้น

แต่ยังมีคนไทยที่อยู่หลายประเทศทั่วโลกเข้ามาดูดวง ตรวจสอบชื่อ นามสกุลมากมาย ทั้งนี้คงเป็นเพราะผู้ที่เข้ามา"ดูดวง" กับ "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับความพอใจในคำพยากรณ์ที่ถูกต้อง แม่นยำ แนะนำแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมตามหลักโหราศาสตร์ จึงได้มีการบอกเล่า แนะนำชักชวนกันปากต่อปากเป็นจำนวนมาก

ปัจจุบันนี้ มีผู้เข้ามาเยี่ยมชมwww.sanamluang.bloggang.com มีจำนวนถึง 118 ประเทศ โดยเข้ามาเปิดดูหน้า "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"คิดเป็นร้อยละ 80 ของ pageviews ต่างๆใน www.sanamluang.bloggang.comจัดทำบล็อกครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2550 มีผู้เข้าชมจำนวนทั้งสิ้น 579,020 ครั้ง จากจำนวน 262,960 visitors (ข้อมูล ณ เวลา 12.00 น.ของวันพุธที่ 6 ตุลาคม 2553)

ส่วนใหญ่ลูกค้าที่โทรเข้ามาเกือบ 98% เมื่อโทรฯ เข้ามาดูดวงแล้ว จะสามารถนัดวัน เวลาดูดวงได้โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด อาจจะมีอยู่บ้างเพียงไม่กี่รายที่โทรฯเข้ามาเพื่อสอบถามรายละเอียดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

อาจจะเนื่องมาจากไม่คุ้นเคยการทำธุรกิจแบบออนไลน์ โดยมีการโอนเงินก่อน ไม่ไว้ใจ หรือไม่กล้า ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก ประมาณ 2%

สำหรับที่เมลฯมาถามและเงียบไป ไม่สามารถทราบจำนวนได้ อาจเนื่องจากเป็นรายที่โทรเข้ามานัดอีกทางหนึ่งก็เป็นได้

สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์ ยังมีอาจารย์ผู้สอนวิชาโหราศาสตร์ ผ่านประสบการณ์ในการดูดวงหลายปีคิดเป็นจำนวนหลายพันดวง

แน่นอน แม่นยำกระชับ ชัดเจน หากไม่ทราบเวลาตกฟากท่านก็ยังสามารถดูได้ รายที่กำลังประสบเคราะห์หามยามร้าย ท่านก็จะช่วยแนะนำและแก้ไขเรื่องเลวร้ายให้กลายเป็นดีด้วยศาสตร์แห่งความลี้ลับของโหราศาสตร์ โดยไม่ต้องเสียเงินสะเดาะเคราะห์ สามารถดูได้ถึงขนาดปัญหาเรื่องคู่ครอง เรื่องเคราะห์ เรื่องหน้าที่การงาน โดยใช้ "วิชาโหราศาสตร์ดวงไทย"อันเป็นสุดยอดของวิชาโหราศาตร์โบราณของไทย

นอกจากนั้น เรายังมี ซินแส ที่เชี่ยวชาญเรื่องการดูฮวงจุ้ย ทำเลปลูกบ้าน อาคารสำนักงาน ดูฤกษ์ยาม แต่งงาน คลอดบุตร ขึ้นบ้านใหม่ เปิดกิจการต่างๆโดยใช้วิชาโหราศาสตร์จีนโบราณผสานตำราดวงไทย ซึ่งซินแสท่านมีประสบการณ์การดูดวงมาไม่น้อยกว่า 45 ปี ผ่านการดูให้กับนักธุรกิจชื่อดังของเมืองไทย และนักธุรกิจชั้นนำจากฮ่องกงหลายราย

ติดต่อ 081-4834367 หรือ workingmailhome@hotmail.com
--------------------------------------------
● ปรึกษาปัญหากฏหมาย
ละเมิด,สัญญา,อายัดทรัพย์ ยึดทรัพย์
--------------------------------------------
● ปัญหาติดต่อราชการ
บริการปรีกษาเรื่อง ภาษีป้าย ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน ค่าธรรมเนียมต่างๆ และการติดต่อราชการต่างๆ ของสำนักงานเขต
--------------------------------------------
● พิมพ์รายงาน,ค้นหาข้อมูล,

● งานพิมพ์ Lay-Out,Art Work
--------------------------------------------
สำนักพิมพ์ดาวหาง
www.sanamluang.bloggang.com




รับวาดรูปเหมือน และสอนวาดรูป
โดยอาจารย์ ผู้ชำนาญ

ราคาย่อมเยา

















หลังเกิดเหตการณ์ 14 ตุลา 2516 นิสิต นักศึกษา ปัญญาชน ต่างหลั่งไหลดั่งสายน้ำ ล้นขอบ ออกจากเมือง เข้าสู่ ชนบท เหตุเกิดเมื่อ กลางปี พ.ศ.2516 จนถึง พ.ศ.2519 นักศึกษากลุ่มหนึ่ง ได้ พบกันโดยบังเอิญ และ ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับชาวบ้าน ณ หมู่บ้าน แม่ตะมาน ตำบลกื๊ดช้าง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้ ชื่อโครงการว่า "โครงการหมู่บ้านสหกรณ์แม่ตะมาน"
เชิญ พบ และติดตาม กับเรื่องราว และบทสรุป อันควรเป็นจุดเริ่มต้น ต่อไปใน

     เมล็ดพันธุ์ประชาธิปไตย ที่ถูกหว่านทั่วท้องทุ่งแห่งประชาไทย มาบัดเดี๋ยวนี้ เมื่อต้องฝน ต้องลม แห่งกาลเวลาพัดผ่าน จาก 2516 , 2519 2535,จน 2540 ถึง 2550บางเมล็ดพันธุ์ก็ยังขาวพิสุทธิ์สดใส บ้างเมล็ดพันธุ์เปลี่ยนสี บ้างก็ดอกสีเหลือง บ้างก็ดอกสีแดง บ้างก็ดอกสีม่วงก้มี สีเขียว สีน้ำเงิน หรือบ้างก็อาจเฉาโรยรา หรือบ้าง ผสมผสานกลายพันธุ์ ก็มีไม่น้อย
มาบัดเดี๋ยวนี้ มันไม่ใช่ จิต วิญญาณ แห่ง 14 ตุลา เดิมเสียแล้ว ไม่ใช่พันธุ์เดียวกัน อย่าได้ เอ่ยอ้างเลย ว่า วิญญาณ 14 ตุลา ยังคง...มันประชาธิปไตย ที่ไม่ บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนอย่างเดิมเสียแล้ว.....
..แต่มันเป็น.ประชาธิปไตย...เพื่อใคร..??


“ทุกวันนี้ เราจะรับรู้ ได้เห็น ได้ยินแต่เรื่องเลวร้าย ในสังคม
เราจึงขอบันทึกสิ่งที่ดีๆ ต่างๆ เหล่านี้ ด้วยจิตคารวะ และขอเป็นกำลังใจให้เกิดสิ่งที่ดีงามเหล่านี้ต่อไป”>>>



อ่านงานเขียนเกี่ยวกับภาพยนตร์หลากหลายประเทศทั่วโลก ที่นี่ >>>





*จำนวนผู้ชมทั้งสิ้น* สถาปนาบล็อค 21 ก.ค.2550
Friends' blogs
[Add jenifaae's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.