Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2552
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
10 พฤศจิกายน 2552
 
All Blogs
 

ย้อนรอย พิชิตฟูจิซัง ภาค 2 (ตอนจบ)

หลังจากภาคที่แล้ว เด็กน้อยได้เห็นฟูจิซังเต็มๆตา
อย่างที่เคยฝันไว้ และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของภาค 2

เพราะเป็นภูเขาที่สวยเหลือเกิน ประกอบกับความบ้า
ของผม จึงตัดสินใจตั้งแต่ตอนนั้นว่า สักวันจะต้องปีน
ขึ้นไปบนยอดให้ได้ หึ.....



แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่ความตั้งใจลอยๆ
เพราะไม่รู้ว่าจะได้กลับมาญี่ปุ่นอีกรึเปล่า
ถึงได้กลับมา โอกาสจะได้ไปปีนก็น้อยเหลือเกิน

หลังจากนั้นโครงการนี้ก็โดนแช่แข็งไว้ในสมอง
แข็งซะจนลืมไปเลย...................

พอมีโอกาสได้กลับมาญี่ปุ่นอีกครั้ง ก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย
แต่พอดีว่าตอนที่มาถึงญี่ปุ่นกำลังเข้าหน้าร้อนพอดี
เป็นช่วงที่มีการเปิดให้ปีนฟูจิซังได้ ประมาณ 2 เดือน
กรกฎาฯ กับสิงหาฯ

จุดประกายที่ทำให้ ปิ๊งๆๆ เห็นแสงรำไร ในการไปปีนครั้งนี้
ก็พอดีว่าเข้า ห้อง @japan นี่แหละ เห็นกระทู้ว่าจะไปปีนฟูจิซังกัน
ก็เลยเสนอตัวไปด้วยอย่างรวดเร็ว ไม่ได้คิดเลยว่าสังขารตัวเอง
จะปีนไหวรึเปล่า -_-''

พอตัดสินใจว่าไปแล้ว งานนี้ก็ต้องมีการเตรียมตัวกันหน่อย
ก็เริ่มเซิร์ชหาเลยว่า คนตุ้ยนุ้ยน่ารักอย่างเราพอจะปีนไปถึง
ยอดได้รึเปล่า เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งหัวใจวายกลางทาง
คงต้องเรียกเฮลิคอร์ปเตอร์มาหิ้วลง



สุดท้ายมีผู้หลงผิดมาด้วยกัน 4 ท่าน(2 หนุ่ม 2 สาว)
ผม,พี่กุน,พี่เกด,พี่นุ้ย..
ต่างคนแยกย้ายกันหาข้อมูล แล้วก็หาเวลาที่ลงตัว
พอได้เวลาแล้ว ขั้นตอนแรกคือจองตั๋วรถทัวร์เพื่อไปยัง
จุดสตาร์ทของการปีน ซึ่งอยู่บนชั้น 5 ของฟูจิซัง
เป็นชั้นสูงสุดที่นักท่องเที่ยวทั่วไปนั่งรถขึ้นไปชมวิวได้

แค่จองตั๋วอุปสรรคก็มาเยือนเลย
พวกเราจองตั๋วกระชั้นชิดไปนิดนึง ทำให้เหลือแค่เที่ยวรถ
ออกจากชินจุกุประมาณ 5 โมงเย็น นั่นหมายความว่าจะไป
ถึงฟูจิประมาณ เกือบสองทุ่ม โอ้ววว......

ปัญหาคือจะไม่มีเวลาพักเลย แล้วถ้าต้องการไปดูพระอาทิตย์ขึ้น
ก็ต้องปีนรวดเดียว(พักได้นิดหน่อยเท่านั้น)
ช่วยไม่ได้ สุดท้ายจำใจเอาเที่ยวนั้นแหละ



ลืมบอกไปว่า ผมยังไม่เคยเห็นหน้าเพื่อนร่วมทางอีกสองคนเลย(อีกคนรู้จักแล้ว)รู้แต่ว่าเราเด็กสุดในกลุ่ม กร๊ากกก......

พวกเรานัดเจอกันที่สถานีชินจุกุ พอไปเจอก็แยกย้ายกันหาซื้อ
สะเบียงก่อนขึ้นรถ
เท่าที่ศึกษามาล่วงหน้า รู้แค่ว่า อาหารข้างบนแพงขึ้นตามระดับความสูง
คือยิ่งสูงยิ่งแพง แล้วขยะทุกชิ้นก็ต้องนำกลับลงมาเอง ไม่มีถังขยะให้นะพี่น้อง

ไม่รู้จะซื้ออะไรดี เลยได้ข้าวปั้นมา เลือกหลายๆหน้ากันเบื่อ แล้วก็กล้วย
กับน้ำเปล่าสองขวดใหญ คิดว่าเหลือเฟือ เพราะเป็นคนกินน้ำไม่เยอะ

ออ...ที่ลืมไม่ได้คือ เสื้อกันหนาวกับหน้ากากปิดจมูก แม้ว่าจะเป็นหน้าร้อนแต่บนยอดฟูจิ คือหน้าหนาวตลอดปี และมีแต่หินภูเขาไฟกับฝุ่นล้วนๆ
ส่วนอุปกรณ์อื่นๆก็แล้วแต่บุคคล ใครจะเอาตุ๊กตาน้องหมี หมอนข้างหรือเครื่องสำอางค์ไปด้วย
ก็ไม่ว่ากัน (ถ้าคิดว่าแบกไหวนะ)

หลังจากออกเดินทางจากชินจุกุ ฟ้ายังสว่าง พอใกล้ถึงฟูจิฟ้าเริ่มมืด
ไปถึงจุดสตาร์ทก็มืดสนิทพอดี



พอโผล่ตัวจากรถ จ๊ากกก เลย อากาศค่อนข้างหนาว ใส่เสื้อกันแทบไม่ทัน
แต่ที่สุดยอดคือมีทะเลหมอกให้เห็นด้วย อารมณ์ประมาณดูทะเลหมอกตาม
ดอยในบ้านเรา นี่ขนาดยังไม่ได้ปีนเลยนะเนี่ย
และด้วยความที่อากาศหนาวอย่างนี้ เริ่มเห็นหายนะอยู่รำไร เหอะๆ

ที่บนชั้น 5 นี้มีร้านอาหาร(เปิดกลางวัน), ร้านขายของที่ระลึกและ
อุปกรณ์สำหรับปีนเขา ที่เด่นๆ เลย คือไม้พลองเอาไว้ค้ำยัน และเอาไว้ปั๊มสัญญลักษณ์เก็บเป็นที่ระลึก.....
ผมเล็งเห็นแล้วว่า เจ้าไม้นี่จะไปเป็นภาระซะเปล่าๆ แทนที่จะช่วยค้ำยัน
เราอาจจะต้องค้ำมัน เลยไม่ได้ซื้อ ทำตัวให้เบาที่สุดดีกว่า

พวกเราแยกย้ายกันเข้าห้องน้ำ ซื้อข้าวของกันเล็กน้อย บางคน
ก็เติมพลังก่อนเริ่มปีน .....พอได้เวลาประมาณ 2 ทุ่ม ฤกษ์งามยามดี

รวมพล ไหว้พ่อแก้วแม่แก้ว แล้วออกเดินทาง ...................



ช่วงแรกๆเราเดินเกาะกลุ่มคุยกันไป ชมวิวข้างล่าง ไม่แน่ใจว่าเป็นเมืองอะไร
เห็นแต่แสงไฟดวงเล็กๆ ...เล็กจนแทบจะเท่ากับเม็ดฝุ่น เปรียบเทียบง่ายๆ
วิวที่เห็นไม่ต่างกับวิวตอนอยู่บนเครื่องบินซักเท่าไหร่
เหมือนมีคนมาย่อส่วนทุกอย่างให้เล็กเท่าขี้เล็บ ที่สำคัญ เป็นวิวที่งดงามมาก

ทางแรกๆยังสบายอยู่ เพราะยังไม่ต้องเดินขึ้นเขาอะไร พอเดินได้ซักพัก
ถึงช่วงที่ต้องเดินขึ้นทางชัน แม้จะไม่ได้ชันมาก แต่การต้องฝืนแรงโน้มถ่วง
ของโลกทำให้หมดแรง......สารภาพเลยว่าเดินได้ไม่กี่ร้อยเมตร แรงหมด..หมดแรง เหอๆ

ถ้าเราเดินพื้นราบธรรมดาไม่ใช่ปัญหา แต่พอต้องเดินขึ้นเขา แต่ละก้าว
มันดูเหมือนจะยากเย็นเหลือเกิน หรือว่าคนปีนน้ำหนักเกินก็ไม่รุ ฮ่าๆๆๆ

ตอนแรกเราเดินเกาะกลุ่มกันไป 4 คน ซักพัก สาวๆบอก ให้ไปก่อนเฮอะ
เดี๋ยวจะตามไป ผมกับพี่กุนเลยเดินนำไปก่อน.......
บรรยากาศค่อนข้างวังเวง เพราะไม่ค่อยเจอใครเลย เดินกันไปเรื่อยๆๆ
ผมอดไม่ได้ที่จะแหงนหน้าขึ้นไปมองบนยอด คิดในใจ "อีกไกลแค่ไหนฟร่ะเนี่ย"

ข้างบนเห็นแสงไฟอยู่เป็นช่วงๆตามจุดพัก "เอ้อ ก็ดูไม่ค่อยไกลนี่หว่า"
ค่อยมีกำลังใจขึ้นมาหน่อย หารู้ไม่ว่า นั่นมันแค่ จุดพักช่วงแรกๆเท่านั้นเเอง -_-''

เดินอยู่พักใหญ่ ผมชักตะหงิดๆว่า ทำไมไม่มีใครเดินตามเรา หรือเดินนำหน้าเราเลย
หรือว่าดึกแบบนี้คนไม่ค่อยปีน....ก็ไม่น่าใช่ ตะกี้ยังเห็นเยอะอยู่เลย

ทุกอย่างมืด มีแค่ชายหนุ่มตัวแทนทีมชาติไทย 2 คนเท่านั้น.....จริงๆ
ลองปรึกษากันดู ได้ข้อสรุปว่าเราเดินหลงทางแล้วหละ ก็ไม่เชิงหลงนะ
คือเดินผิดทาง แล้วมันจะไปถึงยอดมั๊ยละนี่ T_T''

ครั้นจะกลับหลัง ก็ถลำตัวมาไกลซะแล้ว .......เลยตัดสินใจเดินไปเรื่อยๆตามทางนี้แหละ สุดท้าย โชคดี ทางไปบรรจบกับจุดพักของทางปกติ เฮ้อ......โล่งอก

แต่ที่ซวยคือทางที่เดินผิด มันเป็นทางอ้อมโคตรๆ กินแรงไปเยอะมาก
ตอนนั้นเริ่มคิดแล้วละ ว่า "ไม่ถึงแน่ๆตรู....." รู้สึกว่าร่างกายนิ่งไปเลย
ไม่อยากขยับไปไหนทั้งสิ้น ได้พักซักสิบนาที ....เอาว่ะ แข็งใจเดินต่อ
ไหนๆก็มาขนาดนี้แล้ว ให้ถอยกลับซะตอนนี้จะเสียเชิงชาย



เดินมาได้อีกซักพัก ผมกับพี่กุนก็เริ่มแยกกัน ใครไหวก็ไปก่อนเลย
ไม่ต้องรอกันแล้ว มัวมารอกันอยู่ อาจจะไม่ถึงยอดทั้งคู่ ช่วงนี้คนเริ่มเยอะขึ้นมาก
ขาไม่มีความรู้สึก ใช้ใจเดินล้วนๆ ค่อยๆก้าวทีละก้าว ไม่ต้องพูดถึงว่าเหลือระยะทาง
อีกเท่าไหร่ แค่ไปให้ถึงก้าวข้างหน้าก็เหนื่อยแล้ว..................

ลืมบอกไปว่าฟูจิซัง มีทั้งหมด 8 ชั้น อย่างที่บอกเริ่มสตาร์ทจากชั้น 5
จะมีจุดแวะพักหลักๆที่ชั้น 6, 7 ตามลำดับ

น่าจะประมาณ ตีสองกว่าๆ แม้จะเดินเป็นเต่าด้วยความเหนื่อยยาก ผมก็มาถึง
ชั้น 7 จนได้

ออ....มีเรื่องไม่น่าเชื่อเกิดขึ้น มีอยู่ช่วงนึง รู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยมาก หายใจไม่ค่อยออก
แล้วก็หนาวจนทนไม่ไหว (เสื้อกันหนาวที่พกมาบางไปหน่อย)

ก็เลยตัดสินใจว่า พอล่ะ ขอหยุดนอนอยู่ตรงนี้ดีกว่า ไปต่อไม่ไหวจริงๆ
ถ้าตื่นมามีแรงก็ค่อยเดินต่อ
สภาพตรงนั้นมีแต่หินขรุขระ คนเดินกันแน่นมาก ฝุ่นก็เยอะ แต่ด้วยความล้า
ทำให้เผลอหลับไป นานแค่ไหนไม่รู้ จู่ๆก็ฝันว่า เห็นพี่กุนเดินมา เลยรู้สึกตัวตื่น ปรากฎว่าพี่กุนกำลังเดินผ่านตรงหน้าพอดีเหมือนที่เห็นในฝัน ก็เลยเรียกพี่แก ให้รอด้วย
ไม่รู้ว่าฝันแบบนั้นได้ไง ถือเป็นโชคดี ไม่งั้นคงได้นอนเอ้งเม้งอยู่ตรงนั้น รอคอปเตอร์มาเก็บศพ ฮ่าๆๆ
ก็เลยได้กลับมาเดินพร้อมกันอีกครั้ง



ตะกี้ที่บอกค้างไว้ว่า มาถึงชั้น 7....กำลังใจมันกลับมาอีกครั้ง ใกล้แล้วๆๆ เหลืออีกแค่ชั้นเดียว
อึดใจเดียว ........................(รึเปล่า)
จากชั้น 7 นี้อุปสรรคคือคน ทางเดินแคบๆ แต่คนเป็นพัน ทำให้การจราจรติดขัด
เดินได้ช้าๆแค่ทีละก้าวเท่านั้น คนติดกันเป็นพรืด บางครั้งถึงกับติดชะงัก

เดินมาได้ซักชั่วโมง เฮ้ย...ทำไมยังไม่ถึงฟร่ะ และไม่มีวี่แววว่าจะถึง....
จริงๆแล้ว การมาถึงชั้น 7 เป็นเพียงหลุมพรางหลอกให้นักปีนเขาดีใจเล่น
ว่าใกล้ถึงแล้วนะ เหลือแค่ช่วงเดียว

แต่เอาเข้าจริง แค่ช่วงนี้ช่วงเดียว ยาวกว่าช่วงไหนๆที่ปีนมา
ยาวววววจนรู้สึกว่าภูเขาลูกนี้มันสูงไปถึงพระจันทร์เลยรึไงว่ะ!!
เครื่องบินจะบินเฉี่ยวหัวอยู่แล้วเนี่ย ยังไม่ถึงอีกเรอะ....!!
บวกกับพลังที่หมดไปเรียบร้อย ....อยากตาย........

ระหว่างที่เดินไปแบบไร้จุดหมาย แอบหันไปมองคนอื่นรอบๆ
บางคู่ก็กอดกันแก้หนาว เด็กบางคนกำลังร้องไห้ บอกป่าป๊าว่าไม่ไหวแล้ว
คุณลุงคุณป้าที่ยังเดินชิวๆยังกะมาเดินเล่น และอีกหลากหลายอารมณ์
มองเพลินๆ แก้อาการท้อไปได้นิดหน่อย

ที่สังเกตคือคนที่มาปีนฟูจิ ไม่ใช่มีแค่หนุ่มๆสาวๆ
ทั้งลูกเล็กเด็กแดง คุณลุงคุณป้า ยันคุณตาคุณยาย ก็ยังมาปีนกัน
อดคิดไม่ได้ว่า เค้าขึ้นมากันยังไงเนี่ย หรือแอบมีลิฟท์ซ่อนอยู่ -_-''

เด็กสุดเท่าที่เห็นน่าจะประมาณ 10 ขวบ ส่วนแก่สุดนี่กะไม่ถูก
แต่หัวหงอกหง่อมๆกันแล้วอ่ะ ..คนญี่ปุ่นนี่แข็งแรงจริงๆ...



เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงจนใกล้เวลาพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว
ทุกคนก็ยังตั้งหน้าตั้งตาปีนกันอยู่ ทางช่วงนี้ค่อนข้างลำบาก
บางช่วงต้องใช้คลานเอา ลืมบอกไปว่า ให้เอาถุงมือติดมาด้วย
นอกจากกันหนาวแล้วก็มีประโยชน์ตอนปีนนี่แหละ กันหินบาด

ตอนนั้นกังวัลว่าจะถึงยอดไม่ทันพระอาทิตย์ขึ้น
พยายามรวบรวมกำลังเฮือกสุดท้าย ปีนแบบไม่หยุดเลย
จนฟ้าจากที่มืดสนิท เริ่มสลัวๆสว่างขึ้น แหงนหน้าขึ้นไปมอง
เห็นเสาประตูโทริอิอยู่ไม่ไกล โอ้ววววววว...............
ในที่สุดก็ได้เห็นยอดฟูจิซังแล้ว

อีกไม่กี่อึดใจก็ปีนมาถึงยอดก่อนพระอาทิตย์ขึ้นจนได้
คนแน่นมาก ต้องพยายามหาทำเล ชมพระอาทิตย์ขึ้น
ซึ่งเป็นไฮไลท์ของการพิชิตยอดฟูจิซัง

อยากจะบอกว่าวิวสวยโคตรๆ สวยที่สุดตั้งแต่ลืมตาออกจากท้องแม่
มองลงไปเห็นทะเลสาปอชิ(ที่ฮาโกเน่) เหลืออันเท่าฝ่าเท้า
มองตรงออกไปเห็นมหาสมุทรเมฆสุดลูกหูลูกตาจนไปถึงขอบโลก



แต่ละคนถ่ายรูปกันไม่ยั้ง มองไปทางไหนก็สวยไปหมด
ครู่เดียวท้องฟ้าเริ่มเป็นสีส้ม...ทุกคนจับจองที่เพื่อหามุม
ดูพระอาทิตย์ขึ้น ผมก็ลุ้นไปกับเค้าด้วย

และแล้วก็เห็นวงกลมสีส้มเล็กๆค่อยๆโผล่ขึ้นมาจากขอบโลก
ท้องฟ้ากลายเป็นสีแสด พร้อมกับเสียงฮือฮา และเสียงตะโกน
อะไรซักอย่าง จำไมได้ แหะๆ

วินาทีนั้น เข้าใจเลย ว่าทำไมต้องเรียกประเทศนี้ว่า ดินแดนพระอาทิตย์อุทัย
พระอาทิตย์มันอุทัยสมชื่อจริงๆ ......



หลังจากชื่นชมพระอาทิตย์ขึ้น ถ่ายรูปกันจนอิ่มอกอิ่มใจแล้ว
ด้วยความเหนื่อยและหิว เลยสำรวจซะหน่อยว่าบนยอดมีอะไรขายบ้าง

ที่นี่มีโรงเตี๊ยมติดๆกันอยู่ไม่กี่หลัง เปิดเป็นร้านอาหารง่ายๆและขาย
ของที่ระลึก

เห็นคนนั่งกินอาหารกันควันลอยหอมฉุย เลยอดใจไม่ไหว
แม้ว่าราคาถ้าเทียบกับข้างล่างแล้วโหดน่าดู ซุปมิโสะเปล่าๆ
ถ้วยละ 800 เยน เฮือก!!

จังหวะนั้นหน้ามืดตามัวไม่ได้ดูราคาแล้ว มีอะไรเอามาเลยไอ้น้อง
พอซัดอาหารเสร็จ เพิ่งมาคิดได้ว่าร่างกายไม่มีแรง

ช่วงนี้ต่างคนต่างแยกย้ายกันพักตามอัธยาศัย แล้วค่อยมาเจอกันอีก
ตอนประมาณ 9 โมง เพื่อเดินทางลงจากเขา



แอบมองลงไปตามเส้นทางที่เดินขึ้นมาเมื่อคืน แล้วถามกับตัวเองว่า
"จะหอบสังขารกลับลงไปได้ไงฟระเนี่ย..-_-''
ด้วยความที่สูงมากทำให้มองไม่เห็นพื้นแม้แต่นิดเดียว
เห็นก็แต่เส้นทางที่คดเคี้ยวลงไปสุดลูกหูลูกตา

คิดได้ดังนั้น ก็กะว่าต้องออมแรงไว้เยอะๆ
พอดีตรงนั้นมีเก้าอี้ยาว(แต่ก็ยังสั้นกว่าตัว จขบ.) ใช้เป้เป็นหมอน
นอนรับแสงแดดแก้หนาว ตั้งใจว่าหลับปุ๋ยแล้วค่อยตื่นมาอีกที 9 โมงเลย

แต่ด้วยความหนาวและเหนื่อยทำให้หลับไม่สนิท พอทำท่าจะหลับดี
อ้าว..... 9 โมงซะแล้วว ไม่อยากให้มาถึงเล้ยยย

ตอนนั้นแอบคิดในใจ ถ้ารวยนะ จะโทรไปเรียกคอปเตอร์มารับแน่นอน
นึกไม่ออกว่า จะลงไปให้ถึงพื้นได้ไง แต่ถ้าไม่กลับวันนี้ก็ไม่ทันรถที่จองไว้
ต้องทิ้งตั๋วไปฟรีๆ



ทางลงจะซิกแซกไปเรื่อยๆตามแนวเขา ตอนแรกคิดว่า คงสบายกว่าขาขึ้น
คิดผิด.....!! ความลำบากมันอยู่ที่เราต้องเอาท้าวจิกไปบนหินภูเขาไฟ เพื่อเบรครับน้ำหนักตัวเอง(คงพอนึกภาพออก) แล้วทางบางช่วงชันก็ยิ่งต้องจิกเท้าแรง แถมฝุ่นฟุ้งกระจาย ขึ้หู ขี้ตา ดำสนิท

แล้วด้วยความที่ไม่ดูป้ายให้ดี เดินไปหลายชั่วโมงชักสงสัย เอ๊ะ...ทำไมใช้เวลานานกว่าที่คิด มารู้ตัวอีกที เหอะๆๆๆ ....เดินลงผิดทาง คือพวกเราเดินลงอีกฟากนึงของภูเขา ซึ่งเป็นคนละด้านกับที่ขึ้นมา ตอนนั้นแต่ละคนก็แตกกระจายกันเดิน ปัญหาคือ ไม่สามารถกลับไปขึ้นรถบัสที่จองได้ทัน

และให้ตายเถอะ พ่อแก้วแม่แก้ว ทางที่ลงผิดโคตรลำบากเลย ช่วงที่จำจนวันตายคือ มันไม่เป็นทางปกติ ต้องสไลด์ลงมาตามทางลาดของภูเขา ง่ายๆเลย ให้คิดถึงลานเล่นสกีแต่ให้เปลี่ยนจากหิมะ เป็นหินกรวดภูเขาไฟ

สไลด์แรงไปก็ไม่ได้ ถ้าหน้าคะมำขึ้นมา พรุนแน่ๆ
ถ้ามันไม่ไกลก็ยังพอทน นี่ต้องสไลด์อยู่อย่างนั้น เป็นชั่วโมง
รู้งี้โดดปล่องภูเขาไฟตายให้รู้แล้วรู้รอดตั้งแต่อยู่บนยอดละ ToT''

พอสไลด์ลงมาจนเริ่มเห็นพื้นข้างล่าง ชักเริ่มมีกำลังใจกลับขึ้นมาอีกครั้ง
"ใกล้รอดแล้วตรู..." คิดถึงที่นอนอุ่นๆ จิบน้ำชา แช่น้ำร้อน โอ้ยยย
พอลงไปถึงข้างล่าง อีกไม่กี่อึดใจถึงลานพักข้างล่าง
ก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมอง จากตรงนั้นมองไม่เห็นยอดแล้ว เพราะมีเมฆบังจนหมด
รู้สึกว่า ทั้งรักทั้งชัง มันสวยเกินบรรยาย และก็โหดร้ายเกินพรรณนา

เข้าใจแล้วที่เค้าพูดกันว่า "มีแต่คนโง่เท่านั้น ที่จะกลับไปปีนฟูจิซังอีกรอบ"
บอกกับตัวเองว่า คงไม่ยอมเป็นคนโง่ ครั้งเดียวก็เกินพอ..................

เมื่อมาถึงเส้นชัยข้างล่าง เจอพี่ที่มาถึงก่อนนั่งรอหาไรกินกัน ไม่พลาดแน่นอน
เพราะตลอดทางเดินลง ได้กินแค่น้ำ หิวโคตรๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ข้างล่างมีห้องน้ำให้อาบ(คิดตังค์) มีสายฉีดลม ให้ฉีดเอาฝุ่นออก
สภาพตอนนั้น เหมือนกุ้งชุปแป้งทอดที่เตรียมลงกระทะ
ทั้งกระเป๋า เสื้อผ้า ทุกส่วนเต็มไปด้วยฝุ่น ร้องเท้าผ้าใบที่ใส่ไปไม่ต้องพูดถึง
ขนาดว่าพื้นหนาๆ ทะลุพรุน หินติดอยู่ข้างในเพียบ กลับถึงบ้านทิ้งสถานเดียว.....

ออ...โชคดีอย่างนึงคือเรา ทั้ง 4 คน ลงผิดมาทางเดียวกันหมด
สรุปว่าไม่ได้กลับไปทางเดิมซักคน ลองถามดูว่านั่งแท็กซี่กลับไปทางขึ้นเดิมก็ประมาณ หมื่นนึง เลยตัดสินใจนั่งรถเมล์ แล้วไปต่อรถไฟกลับเข้าโตเกียวดีกว่า

ระหว่างทางนั่งคุยกันเรื่องที่เผชิญกันมาเมื่อคืน .......คงจะเล่ากันได้ไปถึง
ลูกถึงหลาน ว่าครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิต ฟูจิซัง อิอิ

ผมว่าการปีนฟูจิซัง คงไม่ได้เป็นเพียงการพิชิตยอดภูเขาไฟที่สวยที่สุดในโลก แต่เป็นการพิชิตใจตัวเองด้วย......ในยามที่ร่างกายไม่มีแรงเหลือ เราก็ยังเดินได้ด้วยพลังใจ
การเดิน 7-8 ชั่วโมงแทบจะติดต่อกัน มันเกินกำลังคนธรรมดา ที่ไม่เคยได้ฝึกมาก่อนเลย แต่ทุกคนก็ทำได้สำเร็จ..........................

เช่นเดียวกัน สำหรับคนญี่ปุ่น ฟูจิซัง คงไม่ได้เป็นเพียงแค่ ภูเขาไฟที่งดงาม ประจำชาติ แต่ยังเป็นสัญญลักษณ์อะไรบ้างอย่าง.....ที่สะท้อนความเพียรพยายามของชาวญี่ปุ่น......

มีอะไรจะสารภาพอย่างนึง.........หน้าร้อนปีถัดมา ผมกลับไปพิชิตยอดฟูจิซังอีกครั้งกับเพื่อนๆที่โรงเรียน ครั้งนี้ง่ายขึ้น แต่ยังเหนื่อยขาดใจเหมือนเดิม และที่พิเศษคือ มันตรงกับวันที่ 8 เดือน 8 ปี 2008 พอดี (เลขสวย อิอิ)

เอ๊ะ.....ไหนว่าจะไม่กลับไปแล้ว....
ที่บอกว่า "มีแต่คนโง่เท่านั้น ที่จะกลับไปปีนฟูจิซังอีกรอบ" คำพูดนี้มันก็จริง
แต่เชื่อเถอะ ถ้าได้สัมผัสรสชาติและได้เห็นอย่างที่ผมเห็น............
คุณจะยอมเป็นคนโง่...เพื่อกลับไปปีนฟูจิซังอีกครั้ง......................

ลืมเล่าไปว่า ตอนอยู่บนยอด ได้คุยกับคุณยายญี่ปุ่น แกเดินเข้ามาทักว่ามาจากไหน บอกไปว่ามาจากเมืองไทย
ถามแกว่า มาปีนแบบนี้ไม่เหนื่อยเหรอ แกบอกว่า เหนื่อย....แย่อยู่เหมือนกัน แต่นี่เป็นครั้งที่ 7 แล้ว ...เหอๆ.....

กลับมาถึงห้อง รีบถอดเสื้อผ้า วิ่งโทงเทงลงแช่อ่างทันที(กรุณาอย่าจินตนาการ อิอิ)
นั่งคิดว่าเมื่อคืนเรายังเดินขาลากคลุกฝุ่นอยู่บนภูเขา เหนื่อยแทบขาดใจ
ตอนนี้แช่น้ำร้อนสบายใจอยู่ในห้องตัวเอง พร้อมกับความรู้สึกภาคภูมิใจ.....
ไม่ใช่เรื่องที่พิชิตฟูจิซัง.......แต่ภูมิใจอย่างสุดซึ้งที่พิชิตความฝันของตัวเองได้ .....
ความฝันของเด็กน้อยในวันนั้น เป็นจริงในวันนี้......

ตอนนี้ไม่มีอะไรในญี่ปุ่นที่สูงกว่านี้ให้ปีนอีกแล้ว..............แต่ในชีวิตยังมีอีกหลายเรื่องที่รอให้เราต้องพิชิต................

สำหรับฟูจิซัง..........ก็ยังพร้อมเป็นคนโง่ ที่จะกลับไปพิชิตอีกครั้ง ......

จบแล้วครับ.......
พบกันใหม่บล็อกหน้า........สวัสดีครับ




 

Create Date : 10 พฤศจิกายน 2552
3 comments
Last Update : 10 พฤศจิกายน 2552 22:13:32 น.
Counter : 1448 Pageviews.

 

เข้ามาย้นรอยด้วยคน

เป็นประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืม

กวาเราจะประสบความสำเร็จ เจอกับสิ่งสวยงาม ก็ต้องผ่านความยากลำบากมาบางครั้งถึงกับท้อ ทำไปทำไมเพื่ออะไร แต่เมื่อเราเลือกแล้วก็ต้องพยายามให้ถึงที่สุด

ก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว ทีละก้าว จุดหมายใกล้เข้ามาแล้ว

สู้ต่อไป สู้ด้วยกัน(บอกตัวเองด้วยแหละ)

คิดถึงน้องจัง

 

โดย: ged IP: 210.136.121.25 11 พฤศจิกายน 2552 7:56:04 น.  

 

ถ่ายรูป ได้สวยมากๆ
เห็นแล้ว อยากไปสักครั้งนึงในชีวิตจังเลย
ขอบคุณจขบ. ที่แบ่งปันประสบการณ์

 

โดย: nana IP: 115.67.125.236 13 พฤศจิกายน 2552 16:13:58 น.  

 

รูปสวยมาก ๆ ค่า และก้อขอชูนิ้วค่า เก่งมากค่ะ
อ่านแล้ว นึกภาพออกเลย

 

โดย: นก (Kukas ) 14 พฤศจิกายน 2552 21:28:16 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ฝนเหงา
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




ไม่ได้รักแม่ปลาเท่าชีวิต.....แต่แม่ปลาคือชีวิตของพ่อปลา
Friends' blogs
[Add ฝนเหงา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.