<<
กุมภาพันธ์ 2553
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28 
28 กุมภาพันธ์ 2553

ความรักของคนบ้า....ขทที่ 1






ทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่นะหรือ ก็เพราะไอ้พวกข้างนอกไม่ยอมรับอัจฉริยะภาพในการเปิดพรมแดนใหม่แห่งการรับรู้ของผมนั่นเอง คนเรานี้ก็แปลก.... พอมีอะไรแตกต่างจากความรู้ หรือประสบการณ์พื้นฐานสามัญประจำบ้านของตนเอง ก็มักจะไม่ค่อยยอมรับสิ่งนั้นเอาดื้อ ๆ และพยายามผลักดันให้กลายเป็นสิ่งแปลกแยกนอกกรอบ

ในปีซึ่งเลวร้ายสำหรับผม อากาศร้อนและแห้งแล้ง ช่วงเวลานั้นเองเป็นจุดเริ่มต้นของผมในการได้ยินเสียงต้นไม้บ่นและพูดคุยกัน

นั่นไง… คุณเองก็เริ่มคิดว่าเป็นอาการของโรคประสาทแล้วล่ะสิ... ก็น่าเห็นใจกับคนคุ้นเคยอยู่กับ “การสื่อสารขั้นต่ำ” ซึ่งหมายถึงการใช้ภาษาพูดภาษาเขียนที่พวกคุณใช้กัน บางครั้งเราจะพบว่ามันไม่พอเพียงในการบอกหรืออธิบายบางอย่างให้คนอื่นได้รับรู้ ทำให้สภาวะความรู้ขั้นสูงเช่นการนิพพานหรือบรรลุโสดาบัน กลายเป็นสิ่งยากยิ่งต่อการเข้าใจ พอ ๆ กับความลำบากของนักวิทยาศาสตร์ซึ่งพยายามอธิบายเกี่ยวกับทฤษฎีทวิภาคของแสงหรือทฤษฎีควอนตัมให้คนทั่วไปฟัง

พวกพืชมีภาษาและมิติพิเศษในการสื่อสาร ผมคิดว่าพวกสัตว์คงจะเช่นกัน เสียดายว่าผมยังไม่สามารถเข้าถึงภาษาของพวกสัตว์ได้ ดังนั้นจึงยังไม่เคยได้ยินไอ้ด่างหมาหน้าบ้าน กล่าวสวัสดีทักทายขณะกลับเข้าบ้าน หรือได้ยินจิ้งจกสุมหัวบนเพดานนินทากัน แต่ถ้าเป็นพวกพืช การสื่อสารพูดคุยของเราเป็นไปด้วยดีมากขึ้น ในขณะผมเริ่มรู้สึกว่าพูดจากับมนุษย์ด้วยกันไม่ค่อยเข้าใจ ทั้งที่ใช้ภาษาเดียวกันแท้ ๆ เรียกว่าเริ่มพูดภาษาคนไม่ค่อยรู้เรื่องก็ว่าได้

แน่นอนว่าผู้คนละแวกบ้านเริ่มมองแปลก ๆ เมื่อเห็นผมนั่งคุยปรับทุกข์อยู่กับเหล่าต้นไม้ใบหญ้าข้างรั้ว หรือทักทายต้นสนหน้าบ้าน แต่สาเหตุแท้จริงในการถูกส่งมาอยู่ที่นี่ก็เพราะว่าวันสุดท้ายของการทำงาน ผมได้ยินเสียงร้องอย่างตื่นตกใจและเจ็บปวดท่ามกลางเสียงกราดเกรี้ยวของเครื่องตัดหญ้า ทำเอาผมกระโจนพรวดตะกายข้ามหัวเพื่อน ๆ และเจ้านายขณะประชุมลงไปสนามหญ้าหน้าตึก

พระเจ้าช่วยด้วยเถิด เจ้าคนงานแสนใจร้ายกำลังใช้เครื่องจักรกลมรณะทรงพลานุภาพร้ายแรง ตัดทำลายบรรดาต้นหญ้าผู้น่าสงสารและไร้ทางสู้อย่างเมามันและเอาเป็นเอาตาย เสียงกระหึ่มของอาวุธประลัยกัลป์นั่นไม่อาจกลบเสียงอ้อนวอนขอชีวิตของบรรดาหญ้าเคราะห์ร้ายทั้งหลายได้ ชิ้นส่วนของพวกเขาเหล่านั้นกระเด็นกระจัดกระจายเวียนว่อนอย่างสยดสยอง

“ไอ้ฆาตกรโหด...!!!”

ผมร้องอย่างโกรธแค้นตรงเข้าไปคว่ำเครื่องตัดหญ้า กระชากคอเสื้อคนงานเขย่าไปมาพลางตะโกนใส่ข้างหูของมันสุดเสียง

“บอกมาเดี๋ยวนี้ใครจ้างแกมา ใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ไอ้พวกฆาตรกรโรคจิต”

“จ้างอะไรกันครับ” คนงานละล่ำละลักอย่างตกใจขณะถูกจับคอเสื้อเขย่าจนหัวสั่นหัวคลอน หนอย..! ยังมีหน้ามาย้อนถามแบบไม่รู้ไม่ชี้อีก สมแล้วกับเป็นฆาตกรมืออาชีพ

“บอกว่าเดี๋ยวนี้ ใครจ้างแกมาทำลายล้างหญ้าที่น่าสงสารพวกนี้..”
“หัวหน้าไงครับ ท่านสั่งให้ผมทำ”

นั่นไง… ในที่สุดมันก็เปิดเผยผู้บงการอยู่เบื้องหลังด้วยวิธีการสอบสวนซึ่งผมจำมาจากบทบาทของตำรวจทางทีวี ผลักไอ้ฆาตกรใจโหดลงก้นจ้ำเบ้าพลางชี้หน้าตะคอก

“ถ้าแกยังทำลายล้างเผ่าพันธุ์หญ้าพวกนี้ต่อไป ฉันฆ่าตัดตอนแกแน่ จำไว้”

ความจริงผมไม่ต้องการจัดการกับพวกตัวเล็กตัวน้อยหรอก จะต้องจัดการกับบอสใหญ่ตัวการเลยดีกว่า ผมวิ่งตรงไปยังห้องทำงานของหัวหน้างานอย่างโกรธแค้นราวพายุฤดูร้อนท่ามกลางสายตาหลายคนซึ่งเริ่มหวาดผวาเมื่อสบตากับผม และแล้วพายุลูกนี้ก็ทำลายล้างห้องของหัวหน้าเละเทะกระจุยกระจาย พนักงานรักษาความปลอดภัยของบริษัทหลายคนช่วยกันลากผมออกมาก่อนบอสใหญ่จะสติแตกไปกับการอาละวาดของผม

ได้ข่าวว่าหัวหน้างานของผมลางานพักร้อนหลายวันจากเหตุการณ์ครั้งนั้นอย่างคนประสาทเสีย ผมไม่ได้ฆ่าให้ตายหรอก เพียงแต่สั่งสอนเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยการเตะต่อยแกประมาณสามสิบกว่าครั้งเท่านั้น ผมแน่ใจว่าแกสำนึกผิด เพราะเห็นลงไปนอนราบคาบแก้วกับพื้นเป็นเวลานานโดยไม่โต้เถียงเลยสักคำ หัวใจละเอียดอ่อน ใผ่สันติ เต็มไปด้วยความรักและมิตรภาพของผมนั่นเอง เป็นสิ่งฉุดรั้งให้หลุดพ้นจากการกลายเป็นฆาตกร แต่อย่างไรก็ตามพวกมันก็พากันส่งผมมายังสถาบันวิเคราะห์โรคทางจิตและยัดเยียดข้อหา “คนบ้า”ให้อย่างหน้าตาเฉย

++++

พูดถึงการมาอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากนัก ผมยังได้รับอนุญาตให้ออกมาเดินเล่นได้ช่วงเช้าและช่วงเย็น ส่วนตอนกลางวันต้องคอยตอบคำถามงี่เง่าจากพวกจิตแพทย์ทั้งหลาย ซึ่งไร้สาระสิ้นดี พวกเขาเหล่านั้นแปลความสามารถพิเศษของคนเรากลับกลายเป็นโรคทางจิตไปโน่น คิดดูก็น่าขำ สมควรแล้วล่ะที่พวกเขาไม่ได้รับสิทธิ์ให้มีความสามารถพิเศษแบบผม

โชคชะตาเปลี่ยนไปในเช้าวันหนึ่ง

ขณะผมนั่งเล่นบนเก้าอี้หินอ่อนในหมู่ไม้ร่มรื่นริมทางเดินระหว่างตึกอย่างปราศจากจุดหมายใด ๆ ผมก็พบกับเธอเป็นครั้งแรก มีผู้คนมากมายสับสนวุ่นวายในช่วงเวลาดังกล่าวแต่เธอดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ หญิงสาวในชุดคนไข้คนนั้นความจริงดูแล้วก็ไม่ใช่สวยบาดตาบาดใจอะไรมากมาย แต่ดูโดดเด่นน่ามองในความรู้สึกจนทำให้คนดี ๆ อย่างฃนิดที่นางพยาบาลทั้งสองคนด้านข้าง ของเธอถูกข่มไปถนัดชัดตา

คนไข้ส่วนใหญ่จะมีอากัปกิริยาแปลกประหลาดไม่มากก็น้อย แต่เธอคนนี้ดูสงบเหลือเกิน สายตาคู่นั้นไม่ได้บอกอะไรกับหลายคนซึ่งพยายามตืดต่อสื่อสาร

“ชอบเธอเข้าให้แล้วล่ะสิ”

ต้นมะขามหนุ่มซึ่งยืนต้นนิ่งอยู่ข้างหลังเอ่ยดักคอขึ้นเมื่อเห็นผมเหม่อมองจ้องตะลึง เขาเป็นต้นไม้นิสัยดีต้นหนึ่งทีเดียว มีความสุภาพและสุขุมอยู่ภายใต้ความแข็งแกร่งแห่งลำต้นมั่นคงนั้น

“เธอดูดีเหลือเกิน เธอเป็นอะไรไปนะถึงมาอยู่ที่นี่”

“ถ้าคุณสนใจผมจะสืบให้ก็ได้....พอดีผมมีเพื่อนอยู่ต้นหนึ่งแถว ๆ ข้างหน้าต่างห้องนอนของเธอ รอให้ลมพัดไปทางนั้นก่อนจะถามให้นะครับ”

“ขอบคุณมาก คุณเป็นต้นดีจริง ๆ”
“ความรักเป็นสิ่งงดงาม ผมจะดีใจมากถ้าสามารถสร้างสายไยแห่งความรักให้คนได้”

ต้นมะขามเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนและเป็นกันเอง จนผมต้องเอ่ยปากแสดงความมีน้ำใจบ้าง

“ถ้าคุณทำได้ผมจะเลี้ยงน้ำคุณหนึ่งถัง”
“ก็ดี ตอนนี้ยิ่งร้อน ๆ อยู่ด้วย ได้ราดน้ำสักถังคงชื่นใจ...ถ้าได้ปุ๋ยเสักนิดก็คงดีนะครับ”

ขณะเราคุยกันอยู่นั้น สายตาของผมไม่ได้ห่างไปจากใบหน้าของเธอเลย และตอนนั้นพยาบาลกำลังประคองเธอให้เดินผ่านไปอย่างช้า ๆ ราวมายาภาพในความฝันงดงาม ดูเธอได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีเป็นพิเศษผิดแผกแตกต่างจากคนไข้รายอื่น ๆ ขณะเธอผ่านไปในระยะห่างแทบเอื้อมมือถึง ผมรีบจ้องมองเก็บภาพใบหน้าท่าทางของเธอเก็บไว้ในความทรงจำอย่างทะนุถนอม นัยน์ตาของผมทำหน้าที่เป็นกล้องถ่ายภาพบันทึกข้อมูลไม่หยุดยั้ง กระทั่งเธอเดินเลยผ่านไปแต่ก็ยังสามารถรับรู้และสัมผัสได้ถึงพลังแห่งชีวิตจากการเคลื่อนไหว

สายลมพัดผ่าน ใบมะขามร่วงพร่างพรู

“ทำไมคุณต้องทำใบเก่า ๆ ของคุณหล่นลงมาตอนนี้ด้วย”
ผมต่อว่าต้นมะขามหนุ่มผู้ทำลายฉากแสนงาม แต่จะว่าไปแล้วก็ไม่เลวเหมือนกันกับภาพหญิงสาวเดินห่างออกไปกลางสายลมและม่านใบมะขามโปรยปรายรายโรย ให้ความรู้สึกคล้ายฉากหวานหวามไหวในม่านหิมะและสายลม

“ใจเย็น ๆ น่า ผมสืบข่าวมาแล้วล่ะ”

“ได้เรื่องว่าไงบ้าง” ผมเอ่ยเสียงเอื่อย ๆ ทำหน้าตาท่าทางเหมือนไม่ค่อยสนใจเท่าไรทั้งที่ใจรัวเต้นด้วยความอยากรู้

“เธอได้รับความกระทบกระเทือนใจอย่างรุนแรง จนตัดตัวเองจากโลกภายนอก”

“เรื่องอะไร”
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ผมวานให้เพื่อนผมคอยสนใจเก็บรายละเอียดแล้วล่ะ”

นางฟ้าผมเดินไปไม่ไกลนักก็หยุดนิ่งไม่ยอมเดินต่อไป บางทีเธออาจชอบความสดชื่นร่มรื่นของบริเวณนี้ก็เป็นได้ ต้นไม้ใหญ่น้อยสร้างร่มเงาร่มเย็นเป็นใจ

“เธอหยุดเดินแล้ว”

ผมกระซิบกับต้นมะขามอย่างตื่นเต้น คิดดูแล้วก็แปลก กับคนซึ่งเราสนใจ ทำอะไรก็น่าตื่นเต้นเร้าใจไปหมด พยาบาลสาวสองคนดูเหมือนพยายามให้เธอเดินต่อไป แต่ว่าไร้ผล ราวกับว่าเธอจะติดใจความร่มเย็นแห่งเงาไม้ เพราะในที่สุดเธอก็เดินไปนั่งเก้าอี้ม้าหินอ่อนริมทางเดินใต้ร่มเงาดงสนห่างออกไปไม่ไกลนัก

“เธอนั่งแล้ว.. เธอนั่งแล้ว”

“เป็นเอามาก”

ต้นมะขามส่ายใบไปมาอย่างอ่อนใจและหัวเราะกับท่าทางเหมือนคนบ้าของผม แหม.... ก็คนกำลังเริ่มมีความรัก อะไรมันก็คงเพี้ยน ๆ ไปบ้างเป็นธรรมดา

“คุณควรไปนั่งข้าง เธอสิ จะได้มองหน้าเธอชัด ๆ ตอนนี้พวกนางพยาบาลเดินไปคุยกันที่อื่นแล้ว”

ต้นมะขามหนุ่มแนะนำอย่างหวังดี
“คุณเห็นด้านตรงข้ามกับที่เธอนั่งอยู่ไหมล่ะ มีเก้าอี้หินอ่อนอยู่ คุณไปนั่งตรงนั้นก่อน”

นี่มันอะไรกัน.. เป็นคนแท้ ๆ แต่ต้องให้ต้นไม้มาชี้นำ คิดแล้วก็เป็นเรื่องแปลกดี ปกติเรื่องหน้าด้านผมไม่เป็นรองใครอยู่แล้ว แต่ทำไมตอนนี้รู้สึกขาดความมั่นใจอย่างไรพิกล

“ไม่ต้องเขินอายหรอกน่า”
ต้นมะขามเอ่ยขึ้นเหมือนจะรู้ใจ
“คุณต้องถือสุภาษิตว่า หน้าด้านเท่านั้นจะครองโลก”

คำพูดของต้นมะขามหนุ่มสร้างขวัญและกำลังใจเป็นอย่างดี และผมเป็นคนยุขึ้นเสียด้วย สมัยเป็นเด็กเพื่อน ๆ ชอบยุให้ขึ้นต้นไม้เสมอและทุกครั้งก็ไม่เคยทำให้เพื่อนผิดหวัง ประมาณว่าเป็นหัวโจกในการแอบปีนเก็บผลไม้จากสวนชาวบ้านมาแจกจ่ายเพื่อนฝูงเสมอ

“เอาก็เอา.. เป็นไงเป็นกัน”

ผมตัดสินใจลุกขึ้นเดินตรงไปนั่งเก้าอี้หินอ่อนอีกฝั่งหนึ่งของทางเดินทันที แกล้งทำเป็นเดินไปแบบ “บังเอิญผ่านไป” เท่านั้น ไม่จำเพาะเจาะจงเพื่อรักษาฟอร์ม พอนั่งเรียบร้อยยังไม่มองหน้าเธอในทันที หากแกล้งมองนกมองไม้โน่นนี่นั่นเฉียดเป้าหมายไปมาอยู่หลายรอบ ก่อนตัดสินใจพุ่งสายตามองหน้าเธอตรง ๆ ด้วยหัวใจเต้นระทึกปานตีกลอง ถ้าหากบังเอิญ “สบตา” กันแบบจังๆจะเป็นอย่างไร...ผมจะสลบล้มฟาดลงกับพื้นในทันทีทันใดหรือไม่ การสบตาเป็นเรื่องธรรมดาสามัญง่าย ๆ และดูเหมือนจะไม่สำคัญอะไรมากมายนักกับคนทั่วไป แต่การ “สบตา” กับคนสำคัญแห่งหัวใจ มันเป็นเรื่องแทบจะเรียกได้ว่าคอขาดบาดตาย เพียงวาบเดียวเมื่อสายตาประสานกัน มีอิทธิพลถึงขนาดทำให้เย็นยะเยียบทุกเส้นประสาท โลกหยุดนิ่ง หัวใจกระตุกสั่นใจจะขาดรอน ๆ เลยทีเดียว

คาดผิด
สายตาของเธอดูว่างเปล่าอ้างว้างเหลือเกิน เหมือนว่าสายตาของผมเป็นกรวดทรายถาโถมกลืนหายลงไปในความเวิ้งว้างเยือกเย็นของห้วงมหาสมุทรก็มิปาน

พริบตานั้น ความอ้างว้างเยือกเย็นดูเหมือนจะแผ่ซ่านเข้ามาในความรู้สึก สายตาของเธอดูเหมือนทะลุผ่านตัวและหัวใจของผมไปอย่างไร้ความหมาย ต้นมะขามเคยบอกว่าเป็นผลจากการกระทบกระเทือนใจอย่างรุนแรงจนเธอมีสภาพแบบนี้ มันเรื่องอะไรกันถึงสามารถทำร้ายจิตใจผู้คนได้ขนาดนี้

สายลมพัดใบสนร่วงตามแรงลมเส้นผมยาวสลวยของเธอพลิ้วไหวเล่นลมรอบข้างราวมีชีวิตตัดความสงบนิ่งหนึ่งเดียว กลายเป็นภาพตัดกันให้ความรู้สึกพิเศษชนิดหนึ่ง

“เธอมาที่นี่หลายวันแล้วค่ะ”

เสียงหวานใส แว่วมาจากด้านข้าง พอหันไปมองจึงรู้ว่าเป็นเสียงของกุหลาบสาวต้นหนึ่งนั่นเอง เธอเอียงดอกเหมือนมองมาอย่างสนใจ

“เธอมักมานั่งนิ่งอยู่ที่นี่เป็นเวลานาน ” กุหลาบสาวพูดต่อไป “และพวกนางพยาบาลก็ชินเสียแล้ว ว่าแต่คุณชอบเธอเข้าให้แล้วใช่ไหมคะ”

“เอ้อ...สงสัยใช่ครับ ขอบคุณมากครับที่ให้ข้อมูล ผมจะได้มานั่งรอเธอทุกวัน”

“พยายามเข้านะคะ ฉันและเพื่อนจะคอยเอาใจช่วย”

ผมยิ้มเขิน ๆ ให้กับกุหลาบสาวต้นนั้น เธอช่างเป็นต้นที่มีน้ำใจงดงามเหลือเกิน

“ผมควรทำอย่างไรดีครับ จะทำให้เธอพูดกับผม”
“คุณคงต้องใช้ความพยายามมากหน่อยค่ะ ตอนนี้จิตใจของเธอโบยบินไปอยู่ไหนก็ไม่รู้ แต่บางทีความรักอันบริสุทธิ์ใจของคุณอาจทำให้เธอรับรู้ได้นะคะ”

“ความรักบริสุทธิ์เหรอครับ”

“ใช่ค่ะ ดิฉันเชื่อว่าความรักน่าจะเป็นยาวิเศษ เปิดประตูใจของเธอให้กับคุณได้ ถ้าคุณมีความพยายามพอ คงไม่มีกำแพงแห่งใจไหนจะสามารถต้านทานอานุภาพแห่งความรักได้หรอกค่ะ”

“ขอบคุณมากครับ คุณกุหลาบ”

ผมซึ้งใจจริง ๆ กับกุหลาบสาวต้นนี้ ไม่แน่ว่าถ้าผมเป็นกุหลาบหนุ่ม อาจหลงเสน่ห์ของเธอเข้าให้แล้วก็เป็นได้ ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะพูดภาษาคนได้น่าคิดราวนักปราชญ์

“เรียกง่าย ๆ ว่าโรสก็ได้ค่ะ”
“ขอบคุณมากครับ โรส”
“ยินดีที่รู้จักค่ะ”
“เช่นกันครับ”

ผมเอื้อมมือไปจับใบของเธออย่างแผ่วเบาและระมัดระวัง ด้วยอากัปกิริยาเทียบได้กับการจับมือทักทายของผู้คน กุหลาบควรได้รับการทะนุถนอมเช่นเดียวกับอิสตรี ผมคิดอย่างนั้น เราทั้งสองใช้เวลาที่เหลือปรึกษาหารือกันจนกระทั่งนางพยาบาลทั้งสองกลับมาพาคนไข้สาวกลับเข้าไปในตึก อย่างน้อยวันนี้ก็ได้รู้อะไรหลาย ๆ อย่างเกี่ยวกับตัวเธอ และข้อมูลแทบทั้งหมดมาจากพวกพืชแสนดีทั้งนั้น แล้วแบบนี้จะหาว่าผมประสาทหลอนฟั่นเฟือนไปเองได้อย่างไร แต่ผมก็ไม่อยากโต้เถียงอะไรกับพวกหมอมากนัก คนพูดกับต้นไม้รู้เรื่อง ถูกจัดเป็นพวกคนบ้าอย่างไม่ต้องสงสัย

++++

เช้าวันต่อมาอากาศสดชื่นแจ่มใส ผมลุกออกจากเตียงนอนเช้ากว่าปกติวิสัย อาบน้ำแต่งตัวแล้วขออนุญาตออกมานอกตึก ยามรักษาการณ์ก็อนุญาตเป็นกรณีพิเศษ เพราะผมไม่เคยมีประวัติด่างพร้อยเสียหาย ความประพฤติดียอดเยี่ยม ไม่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช้า ๆ อย่างนี้เหล่าต้นไม้ใบหญ้าท่าทางสดชื่นรื่นรมย์รับแสงแรกแห่งรุ่งอรุณ ต้นมะขามหนุ่มต้นนั้นก็เช่นกัน ดูเช้านี้เต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิต

“ผมได้ข้อมูลใหม่เอี่ยมจากทางไกลมาให้คุณด้วยล่ะ” เขาบอกเมื่อผมเดินเข้าไปหา

“เธอคนนั้นชอบอ่านหนังสือมาก คุณควรจะหาหนังสือไปอ่านให้เธอฟังนะครับ เผื่อว่าเธอจะชอบแล้วเปิดจิตใจให้คุณ”

“ขอบใจมากเพื่อนรัก” ผมตบลำต้นของมะขามหนุ่ม เหมือนตบบ่าเพื่อนมนุษย์อย่างสนิทสนม เขาจะได้ข้อมูลมาด้วยวิธีไหนผมก็นึกไม่ออกเหมือนกัน
“แล้วเธอชอบหนังสือประเภทไหนพอรู้ไหม”
“อืมม์.... ตามข้อมูลของกล้วยไม้ข้างหน้าต่างข้างห้องนอน เธอชอบหนังสือสยองขวัญสั่นประสาทพวกนั้น”

“อะไรนะ...!!!!”
ผมอุทานเสียงหลง ปกติพวกผู้หญิงมักจะชอบเรื่องหวานแหววใสแจ๋วไม่ใช่หรือ แล้วผู้หญิงชอบเรื่องสยองขวัญนี่จะจัดเป็นผู้หญิงแนวไหนนะ

“ไม่เห็นเป็นอะไรนี่” ต้นมะขามหนุ่มบอกอย่างมั่นใจ

“ทุกวันนี้เขาพัฒนากันแล้ว คนชอบเรื่องเขย่าขวัญสั่นประสาทก็ไม่จำเป็นต้องเป็นคนจิตใจขวัญผวาหวีดสยองโรคจิตด้วยนี่ หลายคนก็เห็นน่ารักออกจะตาย คุณน่าจะลองเล่าเรื่องพวกนี้ให้เธอฟังก็ได้นะครับ”

ได้ฟังแล้วรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบเคลื่อนมาอยู่บนบ่า โธ่... ก็เรื่องสยองขวัญผมถนัดที่ไหน อิมเมจผมต้องเรื่องแนวน่ารักแสนหวาน เบาสมอง หรือการ์ตูนตาโตพวกนั้น เรื่องสยองขวัญสั่นประสาทนี่แค่เห็นชื่อเรื่องก็ผวาแล้ว บางครั้งอยู่บ้านเปลี่ยนช่องทีวีถ้าบังเอิญไปเจอหนังสยองขวัญเข้าทีไร แทบช็อคตายหน้าจอ ลนลานมือไม้สั่นเปลี่ยนช่องชนิดหายใจหายคอแทบไม่ทัน แต่คำแนะนำของต้นมะขามเพื่อนรักจะเมินเฉยได้อย่างไร ไม่ลองไม่รู้ ดังนั้นจึงคิดว่าน่าจะไปหาหนังสือพวกนี้มาสักเล่มศึกษาเป็นแนวทางก่อน แต่ตอนนี้ยังเช้าอยู่ การไปตามหาหนังสือสยองขวัญในเวลาเช้า ๆ แบบนี้คงไม่น่ารักแน่

เดินมานั่งเก้าอี้หินอ่อนใต้เงาต้นสนริมทางตัวเก่า ส่วนเก้าอี้อีกฟากของทางเดินยังปราศจากเรือนกายของคนไข้สาวผู้น่ารัก แต่ผมรอได้เพราะรู้ว่าอย่างไรเธอก็ต้องมา

“สวัสดีครับ โรส”

ผมไม่ลืมจะหันไปทักทายกับกุหลาบสาวแสนสวย

“วันนี้คุณดูสดชื่นจัง กลีบดอกกลีบเลี้ยงเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลสวยเชียว”
“ขอบคุณค่ะที่ชม”

เสียงของเธอมีแววพอใจอยู่ไม่น้อย แน่ล่ะ... ก็เธอเป็นดอกไม้ประเภทสวยงาม แม้ว่าความสวยงามนั้นจะไม่ยืนยงอยู่เนิ่นนานก็ตาม แต่พวกเธอก็มีมากมายหลายพันธุ์ และหมุนเวียนอยู่ประดับโลกนี้ให้งดงามตลอดไป

สนทนาฆ่าเวลาครู่หนึ่ง นางฟ้าของผมก็เดินมาตามทางเดินเหมือนภาพฝัน นางพยาบาลสาวทั้งสองติดตามมาเช่นเคย ผมทักทายกับเธอทั้งสองเป็นภาษามนุษย์สองสามคำเพื่อประกันความแน่ใจให้พวกเธอไว้ใจในตัวผม

ต้นสนเหล่านั้นดูท่าทางเป็นต้นพูดน้อย แต่ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการแกว่งไกวสะบัดใบตามสายลมประสานเสียงบทเพลง ด้วยสายตาของคนทั่วไปไม่สามารถมองเห็นปีกม่านและสายใยแห่งความเอื้ออาทรของเหล่าแมกไม้ แต่ผมเห็นชัดเจนจากความรู้สึก หญิงสาวผู้ซึ่งถูกห่อหุ้มปกป้องเหล่าไม้ทั้งร่มเงาและมิตรภาพละเอียดอ่อนอยู่ในปลอกหุ้มอันอบอุ่นปลอดภัย

“ไปนั่งข้างเธอสิ..เก้าอี้ยังว่างอยู่นะคะ” กุหลาบสาวกระซิบแนะนำ
“จะดีหรือ” ผมอิดออด
“หน้าด้านเข้าไว้สิคะ”

หลับตา พยายามรวบรวมความกล้าหาญเรื่องแบบนี้อาจดูง่ายสำหรับผู้ชายหลายคน แต่ว่ากับผมตอนนี้ช่างเป็นเรื่องยากเย็นเหลือเกิน จู่ ๆ ไปนั่งข้างสาวที่แอบชอบแบบไม่มีเหตุผลเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย แต่ในที่สุดความหน้าด้านก็เป็นฝ่ายชนะ ผมลุกขึ้นเดินไปนั่งเก้าอี้หินอ่อนข้างเธออย่างอกสั่นขวัญแขวนหัวใจเต้นแรง

เธอยังคงนั่งนิ่ง สองมือประสานบนตัก สายตาเหม่อลอยไปไกลแสนไกลสุดคาดคะเน

ผมเริ่มหาเรื่องทักทายกันเธอก่อนแบบเชย ๆ เรื่องแบบนี้เป็นสิ่งซึ่งไม่คุ้นเคยเป็นอย่างมาก และลำบากใจเหลือแสน

“เช้าวันนี้อากาศดีนะครับ”

เธอนิ่งเฉยจนผมรู้สึกใจหาย แต่มาถึงขั้นนี้แล้วต้องพยายามต่อไป

“เช้า ๆ ผมชอบมาแถวนี้นะครับ อากาศดี”

เธอยังคงนิ่งเฉย

“ทานข้าวหรือยังครับ”

“……….”

“ผมว่าเราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนใช่ไหมครับ”

“……….”

"คุณสบายดีหรือเปล่าครับ"

เสียงกุหลาบสาวหัวเราะก่อนส่งเสียงดังพอได้ยินว่า
“คุณคะ แหม... จะจีบสาวทั้งทีทำไมดูมันเฉิ่มเชยชอบกล มีอย่างที่ไหนไปถามแบบนั้น หาคำพูดอะไรให้สร้างสรรค์มากกว่านี้ได้ไหมคะ “

“โธ่ โรส... ก็ผมเขินนี่ครับ แล้วทำไงดี อีกอย่างเธอไม่เห็นจะสนใจอะไรเลยสักนิด”

“อย่าเพิ่งละความพยายามสิคะ ดักลอบต้องหมั่นกู้ เจ้าชู้ต้องหมั่นหน้าด้านค่ะ”
“โอ๊ย..ตายแน่คราวนี้” ผมกุมหัวร้องอย่างกลัดกลุ้ม

“ใจเย็นๆ นี่คุณมาจีบสาวนะ ไม่ใช่มาออกรบ ลองเล่าเรื่องอะไรให้เธอฟังดีกว่า เพื่อว่า ความจริงจังจริงใจของคุณจะเปิดใจของเธอได้”

ทันใดนั้นผมก็นึกถึงคำพูดของต้นมะขามขึ้นมาได้ จึงหันไปทางหญิงสาวพลางบอกว่า

“เอาล่ะ ผมมีเรื่องสยดสยองน่ากลัวมาเล่าให้คุณฟัง ถ้าคุณนั่งเฉย แปลว่าคุณอยากฟัง ถ้าคุณไม่อยากฟังก็กรุณาบอกตรงๆ นะครับ ผมจะได้ไม่เล่าให้ฟัง แต่บอกไว้ก่อนว่ามันน่ากลัวมาก”

เธอนิ่งเฉย ผมลอบถอนใจอย่างโล่งอก ในที่สุดเธอก็ตอบรับผมแล้ว การเฉยคือการตอบรับอย่างหนึ่งตามเงื่อนไขของผม
“คุณไม่ตอบ แสดงว่าคุณอยากฟัง เอาล่ะ ผมจะเริ่มเล่าให้ฟังแล้วนะ”

เรื่องสยองขวัญซึ่งผมเล่าให้เธอฟังในวันนั้นเป็นเรื่องที่ทั้งโรสและต้นมะขามฟังแล้วหัวเราะ บอกว่าทนฟังไม่ได้ ไม่เห็นว่าจะมันน่ากลัวตรงไหน และแนะนำให้ผมไปยืมหนังสือจากห้องสมุดมาอ่านให้เธอฟังจะดีกว่า ความพยายามครั้งแรกของผมล้มเหลวลงอย่างไม่เป็นท่า แต่ผมไม่ท้อถอย วันพรุ่งนี้ยังมีและจะต้องทำให้ดีกว่าวันนี้

เวลาผ่านไป ฤดูร้อนมาเยี่ยมเยือนทักทาย อากาศร้อนและอบอ้าวขึ้นเป็นลำดับ หากมุมหนึ่งของดงสนหลังหมู่ตึกสถาบันโรคทางจิตยังคงถูกโอบอ้อมด้วยร่มเงาไม้และตึกสูงใหญ่ ราวกับเป็นดินแดนพิเศษซึ่งแห่งจากสังคมภายนอก

ผมยังคงมานั่งรอเธอทุกวัน ในมือมีหนังสือซึ่งยืมมาจากห้องสมุด แน่ล่ะครับว่าผมยังคงเป็นคนไข้ซึ่งได้รับความไว้วางใจให้ยืมหนังสือได้โดยง่าย อันเนื่องมาจากไม่จัดอยู่ใน “กลุ่มเสี่ยง” นั่นเอง และทุกวันผมจะมีเรื่องเล่าให้เธอฟังโดยไม่ได้ขาดหายแม้แต่วันเดียว พลิกอ่านหนังสือทีละหน้าอย่างตั้งใจ ผม(พยายาม)คิดว่าเธอฟังอย่างตั้งใจเช่นกัน แม้ว่าเธอจะนั่งนิ่งเหมือนรูปปั้นก็ตาม

เวลาผ่านไปอีกนับเดือนเธอยังคงไม่มีปฏิกิริยาอันใดเป็นพิเศษ และพอได้เวลาก็จะลุกเดินกลับไป โดยไม่สนใจนักเล่าเรื่องผู้จงรักภักดีแม้แต่น้อย กุหลาบสาวต้นนั้นยังคงเป็นเพื่อนที่ดี เธอผลิดอกออกช่อตามประสาและคุยกับผมเสมอ ยังอ้อนวอนให้ทำการขยายพันธุ์เธอด้วย

“คุณจะมีเพื่อนคุยมาก ๆไงคะ” เธอให้เหตุผลในเช้าวันหนึ่ง

“คุณลองนึกดูสิคะว่าคุณนั่งอยู่กับสาวน้อยนางนั้นท่ามกลางดงกุหลาบมากมาย มีมวลหมู่ผีเสื้อโบยบินเรียงรายล้อมรอบ ในมือมีหนังสือเล่มหนึ่ง และอ่านให้เธอฟัง มันเป็นภาพสวยงามต้องทำให้เธอเปิดใจได้อย่างแน่นอน”

“ผมไม่มีความรู้เรื่องการติดตาตอนกิ่งเลยสักนิด” ผมอึกอัก เพราะสมัยเป็นนักเรียนไม่สนใจวิชาการเกษตรเลยแม้แต่น้อย
“แล้วการติดตาตอนกิ่งปักชำอะไรทำนองนั้น ไม่ทำให้คุณเจ็บหรือครับ”
“ถ้าเป็นจิตใจอันหวังดี ไม่เจ็บหรอกค่ะ”

ด้วยความเพียรพยายามศึกษาการขยายพันธุ์กุหลาบ การซักถามคนสวนของสถาบัน รวมทั้งการขอความช่วยเหลือหลายๆอย่างทำให้ผมสามารถสร้างแปลงกุหลาบบริเวณนั้นขึ้นมาหลายแปลงเลยทีเดียว ตอนนี้กุหลาบบานสะพรั่ง หยอกล้อกับมวลหมู่ผีเสื้ออย่างมีความสุข แต่นางฟ้าของผมยังไม่สนใจหรือรับรู้ความมีตัวตนของผมแม้แต่น้อย ผมยังคงเพียรพยายามอ่านเรื่องสั้น นิยาย บทความต่าง ๆ ให้เธอฟังทุกวันอย่างอดทน และอะไรบางอย่างบอกว่าทุกการกระทำ อยู่ในสายตาเธอเสมอ หากสมองยังไม่ยอมรับเท่านั้น ราวกับว่าเธออยู่ในจักรวาลโดเดี่ยวอ้างว้างปิดตายเพียงลำพัง

ตอนสายของวันหนึ่ง หลังจากเธอกลับห้องพักไปแล้ว ผมยังคงนั่งนิ่งอยู่นานโดยมีหนังสือเปิดทิ้งไว้หน้าตัก และเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่รู้สึกอ่อนล้าเหลือเกิน

แค่พูดกับผมสักคำ ก็พอ ..ได้โปรดที่รัก สักคำเดียว เพื่อทำให้คุณรับรู้ถึงความมีตัวตนของผม

เหล่ากุหลาบพวกนั้นดูสวยงามเหลือเกิน พวกเธอมีวันร่วงโรย มีวันเบ่งบาน ผลัดเปลี่ยนไปตามวาระและความเหมาะสม การเปลี่ยนแปลงทำให้รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวพลวัตรแห่งกระแสชีวิตอันน่าทึ่ง แต่เธอยังคงสงบนิ่ง แล้วผมกำลังพยายามทำอะไรอยู่

“อย่าท้อถอยสิคะ” โรซี่น้องสาวของโรสทักขึ้น คงเห็นหน้าเศร้าๆของผม พี่สาวของเธอคงนอนหลับอยู่เพราะเพิ่งสลัดดอกเมื่อวานนี้ แต่จิตวิญญาณของพวกเธอเป็นหนึ่งเดียวกันไม่ว่าจะมีกี่ต้นก็ตาม

“ผมจะทำแบบนี้ไปนานเท่าไรกันนะ”

“เรื่องบางอย่างมันต้องอาศัยเวลาและโอกาสของมันเองนะคะ” กุหลาบสาวสั่งสอน

“ความรักก็เหมือนกัน มันไม่มีเหตุผลหรอกว่าทำไม ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยหลักของเหตุผลหรืออะไรทั้งนั้นแต่หากใจคุณคิดว่าสมควรจะกระทำก็ทำต่อไปเถอะค่ะไม่ว่าจะนานสักแค่ไหน และความรักแท้จริงก็ไม่เห็นต้องรอบรรลุเป้าหมายนี่คะ มีความสุขกับการให้คนที่เรารักก็พอแล้ว”

“ขอบคุณมากนะครับ” ผมยิ้มให้กับเหล่ากุหลาบ พยาบาลบางคนเดินอยู่บริเวณนั้นมองดูด้วยสายตาปกติ ก็มันเป็นเรื่องธรรมดาของสถาบันแห่งนี้อยู่แล้ว เป็นสถานที่เดียวซึ่งคุณสามารถทำอะไรก็ได้ โดยถือว่าเป็นเรื่องธรรมดามาก ต่อให้ลุกขึ้นเต้นอย่างไม่มีเหตุผล ก็ไม่มีใครสนใจคุณเท่าไร หรือถ้าคุณบอกใครสักคนว่าคุณเป็นบ้า เขาก็จะพยักหน้ารับรู้อย่างปกติเหลือเกิน จะว่าไปมันก็ไม่เลวเสียเลยทีเดียว และผมก็ชักชอบที่นี่ขึ้นมาทีละน้อย

ต้นมะขามหนุ่มเป็นอีกต้นหนึ่งซึ่งยังคงเอาใจช่วยอย่างเสมอต้นเสมอปลาย เราคุยกันได้ทุกเรื่องจนทำให้สงสัยว่าเขาไปรับรู้เรื่องราวของกระแสโลกมาจากไหน ทั้งที่ไม่เคยเดินไปไหนมาไหนเลย

“เรื่องราวต่าง ๆ มันอยู่ในสายลมทั้งนั้นล่ะครับ” เขาเคยบอกว่าอย่างนี้

“ก็อย่างที่เคยบอกล่ะว่ามีการสื่อสารอีกมากมายหลายชนิดเหลือเกินซึ่งพวกมนุษย์ไม่รับรู้ และคิดว่าตนเองรับรู้สื่อสารมากกว่าสิ่งมีชีวิตอื่น มันไม่ถูกหรอก พวกผมเดินไม่ได้ จะให้พูดจาทักทายภาษาคนธรรมดา คงดูบ้าพิลึก”

โถ คุณมะขาม ต้นไม้เดินได้พูดได้ มันดูน่ากลัวมากกว่าดูบ้า ผมนึกขำในใจ

+++

ผมตื่นขึ้นมาเวลาค่อนรุ่งเพราะเสียงคำรามกึกก้องของท้องฟ้าซึ่งกระหน่ำฝนหลงฤดูอย่างบ้าคลั่งและยาวนาน กระทั่งรุ่งเช้าแม้ว่าจะซาเม็ดลงบ้างแต่ก็ยังมีฝนพรำบางบาง

ลานโต๊ะหินอ่อนใต้เงาสนแหล่งนัดพบของเราในเวลาเช้า บรรยากาศควรสว่างกระจ่างสดชื่นแจ่มใส หากเวลานี้กลับมืดมัวไปด้วยเมฆและสายฝน ลมกระโชกพัดรุนแรงเป็นระยะ ตามทางเดินเคยมีผู้คนเดินเรียงรายตอนนี้กลับอ้างว้าง

มันกลายเป็นกิจวัตรประจำวันซึ่งขาดเสียไม่ได้ไปเสียแล้ว ในการอ่านหนังสือในเธอฟัง และวันนี้อย่างไรจะต้องรอไม่ว่าเธอจะมาหรือไม่ก็ตาม ท่ามกลางสายฝนพรำ ผมเดินผ่านต้นมะขามหนุ่มไปยังดงสน ท่าทางของต้นมะขามหนุ่มดูสดชื่นร่าเริงเป็นอย่างมากกับสายฝน ใบของเขาถูกทำความสะอาดหมดจรดสะอาดเอี่ยม และถ้าหูไม่ฝาดยังได้ยินเสียงของเขาร้องเพลงเบา ๆปนมากับเสียงของสายลม

และเก้าอี้หินอ่อนประจำตำแหน่ง เช้านี้มีผมเพียงลำพังเท่านั้น
สายลมพัดผ่านใบสนดังหวีดหวิวครวญครางทั้งน่าฟังและน่ากลัว ผมนั่งลงเก้าอี้หินอ่อนซึ่งเย็นเฉียบและชุ่มโชก สายตาของผมยังมองไปยังทางเดินซึ่งเธอเคยเดินตรงมาเป็นประจำ รู้ว่าเจ้าหน้าที่คงไม่ยอมให้เธอออกมาเปียกฝนแน่ แต่ก็ยังหวังลม ๆ แล้ง ๆ ไม่ได้ว่าจะเห็นเธอเดินมาใต้ร่มคันงาม เดินมานั่งข้างผมเหมือนทุกวัน เป็นความหวังทั้งรู้ว่าเป็นไปไม่ได้แต่ก็ยังอยากจะหวัง

เนิ่นนาน
หนาวจนสั่น แรงยังพัดแรง รอบบริเวณตอนนี้เต็มไปด้วยเศษใบไม้ใบหญ้าและสายน้ำ นิ้วมือดูเหมือนจะซีดจนขาวอันเนื่องมาจากความหนาวเย็น หนังสืออยู่ในถุงพลาสติกเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ไม่เปียกน้ำ ทำไมยังอุตส่าห์ถือมาก็ไม่รู้ และจนสายเกินเวลากลับของเธอไปแล้ว สายลมสายฝนจึงหยุดลง เหลือไว้เพียงไอเย็นหม่นมัว มันก็คงไม่แปลกหรอก ถ้าจะพบว่ามีไอ้บ้าคนหนึ่งถือหนังสือนั่งตากฝนเดียวดาย ก็อย่างเคยบอกล่ะครับว่าอะไร ๆ ที่นี่มันก็ดู “ถูกปกติ” ไปหมด และเมื่อสายฝนสร่างซาผู้คนก็เริ่มเดิน วิถีชีวิตเริ่มกลับสู่สภาพปกติ

เธอจะรู้ไหมว่ามีใครคนหนึ่งมานั่งคอยอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางสายฝนพรำ ป่านนี้เธอทำอะไรอยู่นะ

................

ผมพยายามขดตัวให้ร่างกายอบอุ่น สภาพเหมือนลูกหมาตกน้ำ ฝนหยุดตกแล้ว บางทีเธออาจจะมาในตอนนี้

“คุณกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่านะคะ”

กุหลาบสาวแนะนำอย่างหวังดี หลายต้นถูกสายลมฝนพัดจนล้มลงกับพื้น ผมได้สติรีบลุกขึ้นตรงไปจัดการจับพวกเธอขึ้นและพยายามจัดตันกุหลาบให้ตั้งตรงตามเดิม

“เธอไม่มาหรอกวันนี้ มันเลยเวลาแล้วนะคะ” กุหลาบสาวยังเป็นห่วง
“ผมยังอ่านเรื่องสั้นค้างอยู่ เธอยังไม่ได้ฟังตอนจบเลย”

“พรุ่งนี้ก็ยังมีนี่คะ และไม่เธอเท่านั้นที่ได้ฟัง พวกเรายังได้ฟังอีก แต่พวกเรารอได้”

“จริงอย่างที่คุณพูด” ผมพยักหน้า ยิ้มอย่างแห้งแล้ง ในใจรู้สึกหดหู่อ่อนล้าเหลือเกิน การคิดถึงห่างหายใครบางคนมันก็ทรมานใจไม่น้อยบางทีสิ่งที่ผมทำอยู่มันอาจเป็นเรื่องบ้าๆบอๆ ของคนป่วยทางจิตคนหนึ่งเท่านั้น หรือว่าความรักของคนบ้าเป็นเรื่องต้องห้าม

“บางทีผมน่าจะเลิกหวังลม ๆ ฝน ๆ ได้แล้วและเลิกหลอกตัวเองเสียที เพราะตอนนี้ผมหนาวจนสั่นแล้ว”

------





 

Create Date : 28 กุมภาพันธ์ 2553
9 comments
Last Update : 2 มีนาคม 2553 7:37:40 น.
Counter : 893 Pageviews.

 

เป็นสถาบันที่น่าสนใจ ตรงที่จะลุกขึ้นมาทำอะไร ก็ดูไม่ผิดปกติ

ชอบตอนนี้จริงๆ

 

โดย: HoneyLemonSoda 28 กุมภาพันธ์ 2553 20:03:29 น.  

 

ผมตื่นมาตี 5 ครึ่ง ฟ้ายังมืดตื่ออยู่เลย เปิดคอมเช็คเมนท์ เช็คเมลล์ก่อน เมื่อวานเล่นอยู่ดีๆ หม้อแปลงใกล้บ้านระเบิด โทรศัพท์ใช้งานไม่ได้ เสร็จกัน นี่ก็สุ่มๆเอาเช้านี้ ปรากฏว่าใช้ได้ ดีครับ

เท่าที่มองปราดเดียว 2 เรื่องใหม่น่าสนใจครับ แต่เดี๋ยวค่อยเข้ามาอ่าน ตอนนี้ขอตัวไปช็อกกิ้งก่อนนะครับ

 

โดย: ปลายแป้นพิมพ์ 1 มีนาคม 2553 5:56:45 น.  

 

แวะมาขอบคุณที่แวะทักทายที่บล็อกนะคะ ยังอ่านไม่จบเลยเดี๋ยวมาอ่านใหม่ค่ะ น่าสนใจๆ

 

โดย: Thairabian 1 มีนาคม 2553 10:43:23 น.  

 

แวะเข้ามาทักทายครับ

 

โดย: หมอกมุงเมือง (สามปอยหลวง ) 1 มีนาคม 2553 12:13:52 น.  

 

แวะมาเยี่ยมบ้าง
ขอบคุณนะคับที่มาเม้นให้

 

โดย: jk (พยัคฆ์ร้ายสติเซื่อง ) 1 มีนาคม 2553 23:09:04 น.  

 

 

โดย: Setakan 2 มีนาคม 2553 9:39:26 น.  

 

อ่านแล้วนะครับ พอดีกับที่ได้ยินมะม่วงเขียวเสวยข้างบ้านร้องเรียก "พี่ติณ..ลืมรดน้ำให้หนู 2 วันแล้วนะคะ นี่ช่อใต้ชายคากำลังห่ามๆอยู่เลย ตะกร้อสอยก็อยู่ใต้ต้นแล้ว รีบมาสอยหนูเสียนะคะ ก่อนที่หนูจะเสียความบริสุทธิ์ให้เจ้าแมลงวันทอง 2-3 ตัวที่มาป้วนเปี้ยนหนูอยู่นี่ มาเลยนะคะ อย่าให้หนูรอนาน อ้อ หยิบมีดในครัวมาด้วยนะ ปอกหนูนะคะ ไม่ใช่มาสับต้นหนูให้ยางออก ไปละ คริ คริ.."

จ๊ากส์... ตู เป็นไรไปฟะเนี่ย หรือต้องจับส่งหลังคาแดงอีกคน กร๊าก..

เยี่ยมครับ ว่าแล้วก็ไปเอามะม่วงเขยเสวยที่ปอกไว้ในตู้เย็นมากิน พลางคลิ๊กไปบทที่ฉอง... เอิง เอ้ย

 

โดย: ปลายแป้นพิมพ์ 7 มีนาคม 2553 11:40:46 น.  

 

จะเป็นความรักภาษาดอกไม้หรือเปล่า อิอิ

 

โดย: มาโซคิส 26 ตุลาคม 2555 22:17:29 น.  

 

บรรยายสนุกน่าติดตาม มุกตลกสอดแทรกอ่านไปยิ้มไปหัวเราะคิกคิก น่ารักมากค่ะเรื่องนี้ น่าสนใจจริงๆนะ

 

โดย: Ilsalaino 5 มีนาคม 2556 14:23:46 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Psycho man
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




[Add Psycho man's blog to your web]