<<
มีนาคม 2553
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
2 มีนาคม 2553

ความรักของคนบ้า...ตอนที่ 3





ความรู้สึกผิดผุดพุ่งขึ้นมาในความคิด ทั้งกลัวทั้งรู้สึกผิดอย่างไม่มีเหตุผล ผมรู้ว่าตัวเองห่วงความรู้สึกของเธอมากกว่าความรู้สึกของตัวเอง ผมยอมจะทำอะไรก็ได้ขอให้เธออภัยให้ผมเท่านั้นกับความผิดพลาดที่ไม่ตั้งใจ

แต่แล้วเธอก็ค่อยเดินตรงไป ทรุดตัวนั่งคุกเข่าต่อหน้าแปลงกุหลาบ เอื้อมมือข้างหนึ่งไปแตะกลีบกุหลาบอย่างแผ่วเบานุ่มนวล

“อย่าไปแกล้งเขาเลยค่ะ”
เธอบอกกับต้นกุหลาบเหล้านั้นด้วยเสียงอันอ่อนหวาน ผมตกตะลึงราวกับเห็นฟ้าผ่าลงมาตรงหน้า ผมหูไม่เฝื่อนตาไม่ฝาดแน่ๆ เธอพูดด้วยประโยคที่ยาวกว่าทุกครั้งและน้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกเป็นประกายแจ่มใสอย่างไม่น่าเชื่อ

“เขาพยายามเล่าจนสุดความสามารถแล้วค่ะ ตอนจบถึงจะฟังแล้วขัด ๆ แต่ถ้าคนเล่ามีความตั้งใจในการเล่า มันก็เป็นตอนจบที่ดีได้ และคุณค่าของมันไม่ได้อยู่ตอนจบเสมอไปหรอก อยู่ที่ความจริงใจของคนเล่าให้ฟังต่างหากล่ะคะ”

ทันทีนั้น บรรดาต้นกุหลาบทั้งหลายพากันสะบัดใบดีใจไชโยโห่ร้องเซ็งแซ่อื้ออึงไปหมด ด้วยความยินดีตื่นเต้นในการมีพวกมนุษย์สามารถรับรู้และเข้าใจถึงการสื่อสารกับพวกพืชเพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้ว ส่วนผมนั่งสมองลั่นเปรี๊ยะ ดาวหลากสีแตกกระจายเต็มหน้า นี่มันอะไรกัน… เคยนึกว่าตัวเองเป็นคนเดียวสามารถติดต่อสื่อสารพูดคุยกับพืชได้ แล้วแบบนี้จะเรียกว่า เธออาการดีขึ้นหรืออาการแย่ลงกันแน่

นั่นเป็นอีกครั้งที่ผมเริ่มรู้สึกไม่แน่ใจในตนเอง เราบ้าหรือดีกันแน่

นางฟ้าคนดีที่หนึ่งของผมลุกขึ้น พริบตานั้นสีหน้าท่าทางของเธอสดใสมีชีวิตชีวา เงยหน้ามองท้องฟ้าเต็มตาเป็นครั้งแรก และราวกับว่าฟ้านั้นจะตอบสนองด้วยการให้สายลมพัดปุยเมฆหลบลี้หนีหน้า ให้แสงสว่างกระจ่างเจิดจำรัสไปทั่ว เสียงนกการ้องประสานขับขานบทเพลงแห่งท่วงทำนองยามสนสะบัดใบเล่นลม ผีเสื้อและแมลงปอเริ่มพากันโฉบเฉี่ยวไปมารอบบริเวณ แสงสว่างจับใบหน้าของเธอ ทั้งสดใสทั้งเต็มไปด้วยรอยยิ้ม โลกทั้งโลกพลันกระจ่างสวยงามยิ่งกว่าภาพวาดของจิตรกรคนใดในใต้หล้า ผมได้แต่นั่งตะลึง

“ขอบคุณมากนะคะ อุตส่าห์เล่าให้ฟังได้จนจบ” เธอบอกด้วยน้ำเสียงเปี่ยมด้วยพลังแห่งความมีชีวิต ทั้งรอยยิ้มซึ่งทำให้ผมแทบขาดใจตายไปในบัดดล

“ เขากำลังเขินค่ะ”

กุหลาบต้นหนึ่งได้ทีรีบชี้แจงขึ้นมาทันที อาจจะมีเจตนาแกล้ง ล้อเลียน หรืออะไรก็ตามแต่ อย่างน้อยทำให้ได้สติมีโอกาสทำใจตั้งหลักอีกครั้ง

“พูดมากเดี๋ยวก็เด็ดใบซะหรอก” ผมแยกเขี้ยวทำเสียงดุ แต่เหล่ากุหลาบไม่สนใจ ยังคงตั้งต้นตั้งใบกวนประสาทไม่ขาดระยะ ผมรำคาญจนกลายเป็นขำ ในที่สุดก็อดหัวเราะไปกับพวกต้นกุหลาบไม่ได้

เธอกลับมานั่งข้าง ๆ อีกครั้ง แต่คราวนี้เปลี่ยนไปอีกเป็นคนหนึ่ง อะไรทำให้คนเราเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ จากคนซึ่งตัดการรับรู้การติดต่อจากสังคมโดยสิ้นเชิง มาเป็นคนสื่อสารพูดคุยกับกุหลาบได้ แบบนี้จะสรุปว่า “ดีขึ้น”หรือ “แย่ลง” กันแน่

ผมเหลือบมองพวกนางพยาบาลซึ่งยังคงเมียงมองมาจากสุมทุมพุ่มไม้ พวกเธอพากันอ้าปากค้าง แน่นอนว่าเรื่องนี้จะต้องเข้าหูของพวกเจ้าหน้าที่ชั้นสูงของสถาบันอย่างไม่ต้องสงสัย และเป็นไปไม่ได้ว่า ข้อมูลของเธอจะถูกประทับตราเปรี้ยงลงไปว่า “ปกติ” แล้วโทรศัพท์เรียกทางบ้านเธอมารับตัวกลับบ้าน พวกนั้นไม่มีทางให้คนคุยกับต้นกุหลาบรู้เรื่องเป็นคนปกติได้เด็ดขาด

“คุณได้ยินเสียงพวกเรา”

ผมถามขึ้นเบา ๆ ตอนนี้รู้สึกว่าจะต้องระมัดระวังอากัปกิริยาเป็นพิเศษ ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ ซึ่งเคยคิดว่าเธอไม่สนใจโลกภายนอก

“ได้ยินคุณนานแล้วค่ะ แต่ไม่ชัดเจน มันลางเลือนเหมือนในความฝัน ช่วงหลังค่อยชัดเจนขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งเช้านี้ ถึงมองเห็นคุณ และได้ยินเสียงพวกกุหลาบน่ารักพวกนี้ค่ะ”

ตอนนี้จิตใจและร่างกายของเธอเปิดความความมีตัวตนของผมซึ่งเพียรพยายามมาหลายเดือน ผลพลอยได้คือการสื่อสารกับกุหลาบพวกนี้

“คุณจำอะไรได้แล้วหรือครับ” ผมลองถามแบบหยั่งเชิง

“จำอะไรคะ” เธอมีสีหน้ามึนงงสงสัย
“ผมหมายถึงคุณรู้ว่าคุณเป็นใคร อดีตของคุณ เรื่องราวของคุณ”

และนั่นเป็นคำถามผิดพลาดอย่างยิ่ง เธอมีสีหน้าขบคิดจนซึมเซาไปทันที คิ้วขมวดอย่างคนคิดหนัก ทำไมผมถึงทำอะไรบ้า ๆ ไปแบบนี้ น่าจะค่อยเป็นค่อยไปให้สภาพจิตใจของเธอปรับตัวได้ พอเห็นเธอนิ่งเงียบไปแบบนี้ชวนให้นึกเหลือเกินว่าเธอกลับไปสู่สภาพเดิมอีก นึกแล้วอยากลุกขึ้นแล้วกระโดดเตะปากตัวเองเหลือเกิน

แต่แล้วเธอก็สั่นศีรษะและยิ้มได้อีกครั้งพลางบอกด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจและเข้มแข็ง

“ช่างมันเถอะค่ะเรื่องนั้น อย่างน้อยชีวิตที่หลุดออกมาจากเงามืด มาอยู่จุดนี้ได้ มารู้จักเพื่อนที่ดีอย่างคุณ รู้จักดอกกุหลาบน่ารักเหล่านี้ ชีวิตก็มีความหมายมากแล้ว อดีตจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ความจริงถ้าไม่ยึดถือ มันก็ไม่ใช่ของเราอยู่แล้วใช่ไหมล่ะคะ คุณเคยอ่านให้ฉันฟังแบบนี้ จำได้”

เธอช่างจดจำอะไรต่อมิอะไรได้จนน่าทึ่ง และแน่นอนว่าหากพวกเจ้าหน้าที่มาได้ยินก็คงกลับไปเขียนรายงานเป็นปีก ไม่สนใจแล้วว่าใครจะดีจะบ้า ในเมื่อมีเพื่อนมากมาย ทั้งเหล่ากุหลาบสาวช่างแสนเจรจา และยังมีหญิงสาวแสนน่ารักอีกคนมาอยู่ในระบบแห่งการรับรู้

“พรุ่งนี้”

เธอเอ่ยขึ้นมาแล้วหยุดไปเสียเฉย ๆ มองหน้าผมนิ่งอยู่อย่างนั้น
“พรุ่งนี้มีอะไรครับ” ผมถามอย่างไม่แน่ใจ

“เรามาจัดการขยายพันธุ์กุหลาบเหล่านี้ ทำแปลงยาวออกไปเอาให้รอบ ๆ บริเวณนี้เลยดีไหมคะ พวกเธอจะได้รับแสงสว่างพอเพียง คุณลองคิดดู เราอยู่กลางวงล้อมกงล้อแห่งดงกุหลาบ มีพวกผีเสื้อบินไปมา ฟ้างามๆ และบรรยากาศสวย ๆ คุณจะร่วมมือกับความฝันครั้งนี้ด้วยไหมคะ”

“แน่นอนครับ”

ผมรับคำอย่างไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย เหล่ากุหลาบสาวซึ่งพากันฟังอยู่ร้องไชโยอย่างดีใจ ผมเองยังหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมเธอถึงคิดเช่นนี้ หรือมันมาจากส่วนลึกละเอียดอ่อนที่สุดของจิตใจ

พวกเรา ทั้งคนทั้งพืช พากันพูดคุยกันอย่างสนุกสนานครู่หนึ่ง หลังจากช่วยกันรดน้ำพรวนดินแปลงกุหลาบอย่างง่าย ๆ เธอจึงลุกขึ้นขอตัวกลับห้องพัก ซึ่งเดาว่าคงเป็นไปตามความเคยชินตลอดเวลาของการมาอยู่ในเงาไม้ต้นสน นางพยาบาลสาวสองคนพากันเดินตามหลังไปเช่นเคย และทายได้เลยว่าพวกเธอจะต้องวิ่งแจ้นไปรายงานหัวหน้าหน่วยงานทันทีกับเหตุการณ์วันนี้ ซึ่งหมายถึงพวกเขาจะต้องทำอะไรสักอย่าง

วันนี้มีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้นจนแทบตั้งตัวไม่ทัน และผมเชื่อว่ามีสิ่งดี ๆ มากมายเกิดขึ้นเช่นกัน เธอไม่เพียงเปิดใจให้กับผม ยังมีพวกพืชซึ่งพลอยได้รับอานิสงส์ด้วย แต่มีสิ่งหนึ่งยังรบกวนจิตใจคือทุกครั้งเมื่อเอ่ยถึงคนอื่น เธอจะนิ่งอึ้งไปทุกที เหมือนกับ “คนอื่น” เป็นตัวการแห่งการโยกกลไกปิดประตูลั่นดานหัวใจของเธออย่างนั้น

ช่างเถอะเรื่องนั้น ก่อนอื่นต้องไปติดต่อพวกคนงาน ขอยืมอุปกรณ์ในการทำแปลงดอกไม้ เตรียมการไว้สำหรับวันพรุ่งนี้ และผมมองเห็นแถวนั้นสะพรั่งด้วยดอกกุหลาบก่อนหน้าจะลงมือทำจริงเสียอีก การได้ร่วมมือร่วมใจสานฝันกับคนรักเป็นสิ่งสำคัญอย่างแน่นอน

------

หลังจากวันนั้น ทุก ๆ เช้าเราจะช่วยกันสร้างแปลงกุหลาบอย่างไม่รีบร้อน พวกเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องนี้มากนัก ตรงกันข้ามหลายคนดูพอใจกันเสียอีก ในการจะเห็นแปลงกุหลาบเป็นแนวยาวรายรอบขอบเขตภายในสถาบัน ช่วงแรกเราลำบากใจสมควรเมื่อต้องขุดต้นหญ้าในบางพื้นที่บางแห่งออก แต่เมื่อพวกหญ้าเหล่านั้นทราบความตั้งใจของเรา พวกเขาก็อุทิศพื้นที่ให้อย่างเต็มใจในการถูกขุดถูกถอน

มันเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิตเลยทีเดียว และหวังว่าความฝันสร้างกรอบวงล้อมแห่งกุหลาบนี้จ ะสัมฤทธิ์ผล โดยไม่มีอะไรมาขัดขวาง

เวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไป แปลงกุหลาบเริ่มยาวเหยียดออกไปตามริมทางเดิน ทุกเช้าเราจะพากันถือจอบ เสียม และอุปกรณ์จำเป็นในการสร้าง “ครอบครัว” ให้กับพืชที่น่ารัก เป็นช่วงเวลาแสนดีและงดงาม พวกเราฝันไว้ว่า สักวันแปลงกุหลาบจะล้อมรอบประดุจกงล้อกุหลาบ ในยามบานสะพรั่งจะสวยสดงดงามราวภาพฝัน กลิ่นหอมจะอบอวนทั่ว ภาพ “คนบ้า” สองคนช่วยกันขุดแปลง พรวนดิน รดน้ำ พูดคุยซึ่งกันและกัน รวมทั้งเสวนากับต้นไม้ใบหญ้ามันธรรมดาเกินกว่าจะมีคนดี ๆ ที่ไหนจะมาสนใจ

ตอนบ่ายของวันหนึ่ง หลังจากกระบวนการ “ทดสอบ” “สภาวะทางจิตประจำวัน” ผ่านไป เจ้าหน้าที่ระดับสูงคนหนึ่ง ซึ่งเป็นแพทย์ประจำตัวเธอก็เรียกตัวผมไปพบในห้องทำงาน ซึ่งจัดว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดใจอย่างยิ่ง แพทย์วัยค่อนอายุคนนั้นต้อนรับผมเป็นอย่างดีเกินกว่าในฐานะคนไข้ธรรมดา ดูท่าทางเขาแฝงแววกังวลอะไรบางอย่างลึก ๆ

“ผมมีเรื่องให้คุณช่วย”

เขาบอกจุดประสงค์ตรง ๆ เมื่อผ่านกระบวนการทักทายกันตามมรรยาททางสังคมครู่หนึ่ง

“เกี่ยวกับคนไข้หญิงคนที่ เอ้อ.... สนิทอยู่กับคุณนั่นล่ะ”
ถ้าเป็นเรื่องอื่นยังพอแกล้งทำเป็นไม่สนใจได้ แต่หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับเธอแล้วมีหรือจะทำเป็นเฉยอยู่ได้ แต่ยังผมคงรักษาความสงบนิ่งไว้เพียงมองด้วยสายตามีคำถามเท่านั้น

“เราพบว่าอาการของเธอแย่ลงกว่าเดิม”
แย่ลงกว่าเดิมในสายตาของพวกหมอคือการสื่อกับต้นไม้รู้เรื่องนั่นเอง หากไม่รับรู้ความมีตัวตนของบุคคลอื่นเลยนอกจากผม แต่เมื่อเทียบกับช่วงเวลาก่อนหน้าจะสื่อสารกันได้ ปัจจุบันเธอน่าจะถือว่า ”ปกติ” มากกว่าเสียด้วยซ้ำ

“คุณอยากให้เธอหายเป็นปกติหรือไม่ล่ะ” เขาถามขึ้นเหมือนเป็นการหยั่งเชิง

“ให้เธอหายเป็น “ปกติ” กลับไปสู่สังคมและโลกภายนอก มีชีวิตอยู่อย่างคนธรรมดาทั่วไป มีหน้าที่การงานมีครอบครัวเป็นปกติสุข คุณก็รู้ว่า เธอไม่เหมาะจะอยู่ที่นี่เลย”

“แล้วหมอจะให้ผมช่วยอะไร”

“ผมว่าคุณคงสังเกตเห็นว่าหมอและพยาบาลที่นี่ค่อนข้างเกรงใจ และดูแลเธอเป็นพิเศษ เธอมาจากครอบครัวร่ำรวยมหาศาล เราได้รับเงินก้อนโตมาใช้จ่ายในสถาบันของเราจากครอบครัวของเธอ และถ้าหากในช่วงเวลาที่กำหนด เธอยังไม่หายดี หมายถึงทางเราจะถูกตัดงบช่วยเหลือจำนวนมาก...”

ที่แท้ก็ห่วงผลประโยชน์นั่นเอง

“ตลอดเวลาผ่านมา พวกเราไม่ได้อยู่นิ่ง ทุ่มงบประมาณค้นคว้าวิจัยอย่างหนักจนได้ยาซึ่งมีผลในการรักษาในที่สุด หลังผ่านขั้นทดลองใช้แล้วมันได้ผล”

หมอหยุดพูดเพื่อดูท่าทีผม

ถ้าคำพูดนั่นเป็นจริง ก็หมายถึงว่าเธอต้องหายเป็น “ปกติ” ออกจากสถาบัน กลับสู่สังคมภายนอกกับครอบครัว และหายไปจากพวกเรา... หมายถึงเหล่ากุหลาบแสนจำนรรจา ต้นมะขามเพื่อนรัก เหล่าต้นสนผู้เงียบขรึม และตัวผมเอง

วูบนั้น ความรู้สึกเบาโหวงชนิดหนึ่งพลันวิ่งปราดเข้าเกาะกุมจิตใจ เหมือนกำลังตกหล่นลงไปในหล่มหลุมอันว่างเปล่าไม่มีจุดสิ้นสุด แน่ล่ะ.... ในเมื่อผมไม่ใช่บุคคลซึ่งตัดขาดจากธรรมดาสามัญชนเข้าสู่นิพพาน ย่อมมีความอยากอยู่ใกล้ชิดกับคนที่ชื่นชอบเป็นธรรมดา

“แล้วผมไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ตรงไหน”

“ยาแสนแพงชนิดนี้ จำเป็นต้องได้รับบำบัดทางจิตควบคู่ไปด้วย จิตใจคนเราละเอียดอ่อนซับซ้อนเกินกว่าจะหยั่งถึงหรือศึกษาหมดสิ้น นอกจากการกินด้วยความเต็มใจ ปราศจากการบังคับแล้ว คนไข้จะต้องได้รับยาจากผู้ซึ่งคนไข้ไว้ใจที่สุดด้วย”

ยาบ้าอะไรกันฟะ.. ผมคำรามในใจ... แบบนี้ก็มีด้วย ยามันเป็นบ้าด้วยหรือเปล่าฟะ? บ้ากันไปใหญ่แล้ว แต่ก็อย่างว่าล่ะครับ ที่นี่ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ถึงจะฟังดูพิลึกขาดเหตุผลก็ตาม

“ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องลำบากใจ” หมอพูดในขณะใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อตามใบหน้าทั้งที่อากาศในห้องเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศ แน่ล่ะ ก็มันหมายถึงเงินจำนวนมหาศาลว่าจะได้รับ หรือไม่ได้รับ

“แต่คุณคงไม่อยากให้เธออยู่ในสภาพเช่นนี้ตลอดไปหรอกนะ เธอควรกลับไปสู่สังคมและโลกที่แท้จริงของเธอไม่ใช่โลกของคนบ้าที่มีแต่ความบ้าคนบ้า ผมหวังว่าคุณคงเข้าใจ เรามียาเพียงสองเม็ดและไม่อาจเสี่ยงกับการผิดพลาด”

ผมนั่งอึ้งและนั่งนิ่งไปเนิ่นนาน

+++++

เช้าวันต่อมา เป็นครั้งแรกที่ผมไปยังแปลงกุหลาบสายกว่าปกติ

เธอกำลังยุ่งอยู่กับการพรวนดินให้แปลงกุหลาบ พูดคุยสนทนากันอย่างมีความสุขไปตามประสาเพื่อนสนิทชิดเชื้อ เม็ดเหงื่อเล็ก ๆ พราวอยู่ตามข้างแกมและซอกคอขาวเนียน พอเห็นหน้าผม ก็ยิ้มอย่างดีใจพลางบอกว่า

“พวกเรากำลังกำลังวางแผนถึงตำแหน่งของแปลงกุหลาบจะขยายต่อไปค่ะ คุณมาก็ดีแล้ว เราจะได้ปรึกษาหารือกันจนครบองค์ประชุม”

ผมฝืนยิ้ม เดินไปนั่งเก้าอี้หินอ่อนตัวหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ ๆ พยายามวางตัวให้เป็นปกติทั้งที่จิตใจหนักอึ้งสับสนหม่นหมองเหลือประมาณ จ้องมองด้วยสายตาของคนผู้ซึ่งกำลังจะสูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของชีวิต

ความรักก็คงเป็นเช่นนี้ มีพบมีจาก จะช้าจะเร็วสักวันต้องจากกัน ไม่ว่าจากไปด้วยเหตุผลใดก็ตาม ภาพของเธอผู้ง่วนอยู่กับเพื่อน ๆ กำลังจะกลายเป็นภาพแห่งความทรงจำ และหลังจากนี้เป็นต้นไป แปลงกุหลาบคงเงียบเหงาเศร้าสร้อย ผมคิดว่าหมอพูดถูก เธอจะอยู่แบบนี้ตลอดไปไม่ได้ เธอมีครอบครัวมีอนาคต โลกแท้จริงรออยู่ด้านนอก ชีวิตอันเป็นปกติอย่างควรจะเป็น แม้ว่าจะทรมานใจตาย แต่ผมก็ต้องทำตามสิ่งที่คุณหมอขอร้อง

ทำไมมันเจ็บปวดเช่นนี้ เป็นความเจ็บทางใจซึ่งหลบลี้หนีหลีกยังไม่ได้ ความร้าวลึกกัดกร่อนแผ่ซ่านไปตามร่างกายและจิตวิญญาณ เธอจะรู้ไหมว่าเช้าวันนี้อาจจะเป็นวันสุดท้ายของเธอสำหรับเพื่อนผองเหล่านี้ เสียงหัวเราะและรอยยิ้มจะไม่มีอีกแล้ว วันต่อไปคงมีไอ้บ้าคนหนึ่งนั่งเหงาหงอยอยู่กับแปลงกุหลาบอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ดูเหมือนว่าเธอจะสังเกตเห็นความผิดปกติ เธอลุกขึ้นและเดินมานั่งข้าง ๆ วางมือบนหลังมือของผม

“ไม่สบายหรือเปล่าคะ”

น้ำเสียงนั่นเต็มไปด้วยความห่วงไยโดยปราศจากการเสแสร้งปกปิดใด ๆ ในสังคมคนบ้าอย่างพวกเรา ไม่จำเป็นต้องมีมรรยาทอะไรมากมายนอกจากความจริงใจ

“ผมไม่เป็นไร...สบายดีครับ”
“แต่ดูคุณเหงา ๆ อย่างไรชอบกล”
“อย่ากังวลเลยครับ”

สายตาคมวาวคู่นั้นจ้องมองมาอย่างค้นหาและคาดคั้น ผมไม่ได้หลบสายตาอย่างควรจะกระทำ เพราะรู้ว่าเวลาของเราจะใกล้ชิดกันแบบนี้เหลือน้อยเต็มทีแล้ว คิดดูก็น่าแปลก แทนที่จะดีใจกับชีวิตใหม่ โลกใหม่ของเธอ กลับมานั่งคิดเศร้าบ้าบอคอแตกอะไรก็ไม่รู้

เสียงกุหลาบส่งเสียงแซวป่วนแว่วมาอย่างสนุกสนาน แต่ครั้งนี้ฟังแล้วไม่ได้เกิดอาการเขินอายอย่างแต่ก่อน

“พรุ่งนี้คุณจะจำพวกเราได้ไหม”

ผมถามขึ้นลอย ๆ เธอยิ่งจ้องหน้าอย่างสงสัยมากขึ้นไปอีกพลางย้อนถามว่า

“ทำไมถามแบบนั้นล่ะคะ”

“ผมเพียงถามดูเท่านั้น ไม่มีอะไรหรอกครับ พรุ่งนี้ความจริงจะมีอะไรเกิดขึ้นยังไม่รู้เลย”

ใบหน้าขาว ๆ กับแก้มเนียน ๆ อยู่ห่างเพียงคืบเดียว กลิ่นตามธรรมชาติอบร่ำจนแทบทำให้ใจฟุ้งซ่านรัญจวน แต่ไม่หรอก.. ผมจะไม่ฉวยโอกาสทำอะไรไม่เหมาะสมอย่างแน่นอน สายไยอันสวยงามแห่งความรักสมควรถักร้อยประสานด้วยความละเมียดละไมแห่งจิตใจมากกว่า

“ทำไมต้องลืมด้วยล่ะคะ พวกเรายังมีสัญญาต่อกันในการร่วมมือร่วมใจสร้างแนวรั้วของกุหลาบล้อมรอบบริเวณ ยังมีอะไรอีกมากมายจะต้องทำ จะลืมได้อย่างไร!”

ผมถือแก้วน้ำสำเร็จรูปแบบใช้แล้วทิ้งมาด้วย ค่อย ๆ แกะพลาสติกปิดปากแก้วออก และส่งเม็ดยาที่ได้รับจากคุณหมอให้ เธอมองหน้า แล้วหยิบยาใส่ปาก ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มตามลงไปแบบเด็กดีว่านอนสอนง่ายปราศจากการลังเลใจแม้แต่น้อย สายตาเต็มไปด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจ ไม่แม้แต่จะถามว่ายาอะไร ทำไม เพราะหลายเดือนผ่านมาเรารู้จักประสานความสัมพันธ์ด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจกันเกินกว่าจะสงสัยเคลือบแคลงใจกัน

ผมรู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน เจ็บปวดในความรู้สึกจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป

........

ยานั่น..ผมเกือบจะขว้างมันทิ้งไปแล้ว แต่ในที่สุด จิตสำนึกแห่งความถูกต้องก็ชนะความเห็นแก่ตัวของความรัก ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เธอควรกลับไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงหรืออย่างน้อยก็เป็นโลกซึ่งคนส่วนใหญ่คิดว่ามันเป็นจริง เธอจะอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้อย่างแน่นอน

........

เธอหันมาโบกมือให้พวกเราอย่างร่าเริง สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความสดชื่นร่าเริง ก่อนเดินลับหายไปกับมุมตึกและเงาไม้ในช่วงสายของวันนั้น ภาพแห่งความทรงจำงดงามสุดท้าย ไม่รู้เพราะอะไรน้ำตาของผมหลั่งไหลออกมาเป็นสาย ผมควรจะดีใจไม่ใช่หรือกับการเป็น “ปกติ” ของเธอ

ยังเหลือยาอีกเม็ดหนึ่ง และเป็นเม็ดสุดท้ายของสถาบัน คำพูดของหมอยังก้องอยู่ในหู

“เรารู้ว่าคุณลำบากใจ แต่ตอนนี้เราหาใครทำหน้าที่นี้ไม่ได้อีกแล้ว อย่างไรก็ดี เรามียาอยู่สองเม็ด จะให้คุณฟรี ๆ เม็ดหนึ่ง เป็นค่าจ้าง ด้วยราคาแพงมหาศาลของมันถ้าเราไม่ให้ คุณไม่มีทางซื้อได้หรอก มันจะรักษาคุณได้”

+++

หลับตา ฟังเสียงลมแรงพัดผ่านใบไม้หวีดหวิวคร่ำครวญ เมฆก้อนใหญ่เคลื่อนเข้าบดบังท้องฟ้าจนมืดมิด ใบไม้ใบหญ้าปลิวว่อนตามลมหวนฝนทำท่าจะตก แต่ผมยังนั่งอยู่เก้าอี้หินอ่อนใต้เงาสน รอให้สายฝนลงมาชะล้างจิตใจ ไม่มีเรี่ยวแรงแม้จะเดินกลับห้องพัก วงล้อแห่งกรงกุหลาบ ในที่สุดเป็นเพียงภาพฝันยังไม่สมบูรณ์

คืนนั้นฝนตกหนักตลอดคืน ผมหลับบ้างตื่นบ้าง ผ่านไปกับฝันร้ายยาวนาน

+++

อากาศตอนเช้าค่อนข้างหนาวเย็น ฝนเมื่อคืนยังคงทิ้งร่องรอยไว้ตามสุมทุมพุ่มไม้ อากาศเต็มไปด้วยความชื้น ผมไปนั่งรออยู่ ณ แหล่งนัดพบประจำของเราด้วยความเคยชินมากกว่าจะหวังจริงจังจนตอนสาย พวกแพทย์ พยาบาล คนไข้ หลายคนเดินผ่านไปมา แต่ไม่มีแม้แต่เงาของเธอ ถ้าหายเป็นปกติ ก็ควรกลับมาทักทายเพื่อนเก่าบ้าง แต่หากเธอไม่หายเป็นปกติย่อมไม่ต้องสงสัยว่าเธอจะไม่รีบมาตั้งแต่เช้าเช่นกัน มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

การรอคอยหรืออะไรบางอย่างดูมันยาวนานเหลือเกิน ยิ่งการรอคอยไร้ความหวังยิ่งทรมานใจเป็นพิเศษ เหล่ากุหลาบวันนี้ไม่สนุกสนานส่งเสียง เจื้อยแจ้วเจรจาตามปกติ ทุกต้นมีท่าทางวิตกกังวลใจและพูดคุยกันด้วยเสียงแผ่วเบา ต้นมะขามยังคงทำหน้าที่ผู้สื่อข่าวที่ดี เขาติดต่อกับกล้วยไม้ริมหน้าต่าง และบอกข่าวให้ผมฟังในขณะเดินกลับห้องพักอย่างเหงาหงอยใกล้เที่ยง

“เธอไม่อยู่ห้อง มีคนนำตัวเธอออกไปตั้งแต่เช้า”

นั่นเป็นสายใยสุดท้ายที่รับทราบในวันนั้น

++++++

เช้าวันต่อมาผมยังคงมารออยู่ที่เดิม กาลเวลาก็เดินทางผ่านไปอย่างเชื่องช้าและเลือดเย็นทิ้งไว้กับความผิดหวัง เหล่ากุหลาบก็ตั้งต้นตั้งกิ่งรอเช่นกัน แต่ละต้นดูผิดหวังและเหงาหงอย

“สงสัยเธอทิ้งพวกเราไปแน่เลย”

กุหลาบต้นหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างเศร้าซึม เวลาผ่านมาก่อให้เกิดมิตรภาพและความเคยชินจนเมื่อห่างหายไปเลยทำให้รู้สึกเหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง

“เธอไม่มีนิสัยแบบนั้นแน่”

อีกต้นซึ่งมีอายุมากกว่าค้านขึ้น “ตลอดเวลาที่เรารู้จักกับเธอ นิสัยเป็นอย่างไรพวกเราน่าจะรู้ รับรองว่าไม่ทิ้งพวกเราไปแบบไม่สั่งไม่ลาแบบนี้ แน่จะต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับเธออย่างแน่นอน”

ผมนั่งฟังด้วยใจเลื่อนลอยจนสายโด่ง ข้าวปลาไม่หิวและไม่มีแก่ใจนึกอยากกินอะไร

ทันใดนั้นหูก็ได้ยินเสียงต้นมะขามร้องเรียกมาแต่ไกล รู้สึกฟังไม่ถนัดจึงเดินตรงเข้าไปหาต้นมะขามเพื่อนรัก

“ได้ข่าวเธอแล้ว” เสียงของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“ตอนนี้เธออยู่ประตูหน้าสถาบัน คุณรีบตามไปโดยเร็ว”

ไม่ต้องเตือนช้ำสอง ผมออกวิ่งสุดชีวิตทันที ระยะทางไม่ไกลนักแต่ตอนนี้ดูเหมือนยาวไกลเหลือเกิน ประตูสถาบันทางจิตปกติมักจะปิด มียามคอยตรวจอย่างเข้มงวดแต่วันนี้มีผู้คนมากมายเต็มไปหมด สังเกตเห็นมีทั้งนักข่าวและช่างภาพ มีรถตำรวจสามสี่คันจอดอยู่ใกล้ ๆ เจ้าหน้าที่ของสถาบันหลายคนยืนเรียงรายเหมือนมีกิจกรรมพิเศษสำคัญอะไรสักอย่าง เสียงผู้คนตะโกนโหวกเหวกฟังไม่ได้ศัพท์

นั่นไง...ที่รักของผมอยู่ตรงประตูจริง ๆ และกำลังผ่านออกไปสู่โลกภายนอก

หันมามองผมสักนิดที่รัก...อยากตะโกนออกมาแบบนั้น แต่คำพูดทั้งหมดทำได้เพียงดังก้องอยู่ในความรู้สึกเท่านั้น

เธออยู่ในวงล้อมของตำรวจและนักข่าว ไม่ได้สวมชุดคนไข้อีกแล้ว แต่เป็นชุดหรูหราราคาแพง สง่างามราวเจ้าหญิง ผู้คนท่าทางภูมิฐานร่ำรวยหลายคนรออยู่ บางคนเข้ามาสวมกอดอย่างตื่นเต้นดีใจ

ไม่ต้องสงสัยอะไรอีกแล้วเธอหายเป็นปกติอย่างควรจะปกติ

เธอได้ความทรงจำของเธอกลับมาแล้ว ได้เพื่อน ๆ ได้ญาติพี่น้อง ได้สังคมภายนอกได้ชีวิตกลับคืนมาทุกประการ เป็นเรื่องน่ายินดีเหลือเกิน แต่ทำไมรู้สึกใจสั่นหวิวระริกร้าวก็ไม่รู้

ผมพยายามแหวกผู้คนตรงไปหาเธอตั้งใจจะทักทายเธอสั่งลาจากครั้งสุดท้าย แต่เจ้าหน้าที่บางคนดึงเอาไว้ก่อนจะเลื่อนประตูลูกกรงเหล็กกระแทกขอบประตูดังตึงสะเทือนเข้าไปถึงวิญญานปิดกั้นแยกเราสองห่างกันตลอดกาล

ความจริงเธออยู่ห่างออกไปไม่ไกลเลยแต่ดูไกลแสนไกล ได้โปรดเถิดที่รัก... หันมามองสักนิด ก่อนคุณจะทิ้งพวกเราไปอยู่โลกแห่งความเป็นปกติภายนอก ให้โอกาสเพื่อนของคุณคนนี้พูดเป็นครั้งสุดท้ายกับคุณสักสองสามคำ

คำอธิษฐานดูเหมือนจะได้ผล ขณะเกาะลูกกรงจับจ้องมองสีหน้ายิ้มแย้มและเต็มไปด้วยความสุขนั้น จังหวะหนึ่งเธอบังเอิญหันมาสบตาพอดี

ที่รัก.... อย่างนั้นล่ะ ผมต้องการสั่งลาจากคุณสักสองสามคำเท่านั้น.... เท่านั้นจริงๆอยากแสดงความยินดีกับชีวิตใหม่ สังคมใหม่ โลกใหม่ของคุณ อยากอวยพรให้คุณสักสองสามประโยค อยากบอกลาจากกันด้วยดี ผมรู้สึกขนลุกซู่ด้วยความดีใจเมื่อสบตาคู่งาม

แต่คำพูดกลับไม่สามารถหลุดออกมาได้สักคำเดียว ถ้อยคำกลืนหายลงในหล่มลึกมืดมนเย็นยะเยียบ สายตาคู่นั้นมองผมห่างเหินเย็นชาเหมือนคนแปลกหน้า คนไม่เคยรู้จักกัน และเต็มไปด้วยช่องว่างของความห่างไกลสุดประมาณ เหมือนสายตาของกุลสตรีผู้สูงศักดิ์ มองไอ้บ้าต่ำต้อยไร้ค่าในชุดคนป่วยทางจิตคนหนึ่งซึ่งเกาะลูกกรงประตูมองแบบหมามองดวงดาวอยู่เท่านั้น

ไม่เหลืออะไรเลยสักนิดในแววตา ไม่มีแววรู้จักจดจำหรือมิตรภาพอะไรทั้งนั้น หันหลังเดินออกไปด้วยความมั่นใจ

ชายหนุ่มหน้าตาดีแต่งกายภูมิฐานก้าวเข้ามาจากรถคันงาม สวมกอดเธอไว้ในวงแขน อาจเป็นคนรัก พี่ชาย หรือสามีอะไรก็ช่างเถิด สมองไม่อยากรับรู้อีกแล้ว เหมือนทั้งตัวกลายเป็นแก้วบอบบางถูกขว้างลงกับพื้นอย่างรุนแรง แม้ว่าตัวตนยังคงอยู่แต่จิตใจแตกสลายไปหมดสิ้น หัวใจหวิวไหวคล้ายจะเป็นลม มือเกาะลูกกรงสั่นระริกอย่างควบคุมไม่ได้ จนต้องทรุดลงอย่างสิ้นสภาพหน้าประตูทางออกนั่นเองโดยปราศจากคนสนใจแม้แต่น้อย

มันก็เป็นเรื่องถูกต้องแล้วไม่ใช่หรือ ผมควรจะดีใจกับเธอต่างหาก แต่ทำไมใจคนเราเป็นเช่นนี้ ?

ความจริงก็คือความจริง ไม่ว่าจะปกปิดบิดเบือนอย่างไรก็ยังคงเป้นความจริง นางฟ้าคนดีทีหนึ่งของผมโบยบินไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงแล้ว

เมื่อเธอเป็น”ปกติ” ก็กลับกลายเป็นว่าจิตใจของเธอเปิดอ้ารับสังคม รับรู้สภาพภายนอก ขณะโลกของผมซึ่งเธอคุ้นเคยรู้จักกลับถูกตอกปิดตายตลอดกาล กระทั่งความทรงจำก็ไม่เหลือ จิตใจของคนเราละเอียดอ่อนเกินกว่าจะหาคำอธิบายได้ มันเหมือนพระเจ้าเล่นตลกให้เธอมีทางเลือกและทางเดินอยู่สองทาง และสุดท้าย ความเป็น “ปกติ” เป็นฝ่ายชนะโดยมีผมเป็นคนเลือกทางนั้นให้ ผมได้แต่เกาะลูกกรงประตูมองดูขบวนต้อนรับการกลับสู่ภายนอก มุ่งหน้าไปสู่ความสับสนของผู้คน ยวดยาน การเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงหลากหลายจนลับตา ด้วยหัวใจลึกร้าวสุดบรรยาย


+++++++

บทส่งท้าย

วันเวลาผ่านไปอย่างลางเลือนโศกซม ผมคุกเข่าอยู่ข้างต้นกุหลาบอย่างเงียบ ๆ มือถือเศษไม้ยาวแค่คืบ พรวนดินให้พวกเธอช้าๆ อย่างเหม่อลอยและไร้ความหมาย เหล่ากุหลาบรับรู้เรื่องราวอย่างเศร้าสร้อย

น้ำตาของผมไหลรินลง มีกลีบละเอียดอ่อนของกุหลาบรองรับซับให้ บางหยดผ่านลงไปซึมหายไปในดิน ไม่แปลกว่าคนบ้าคนหนึ่งจะร้องไห้ น้ำตามันไหลเพราะว่าใจมันอยากร้องไห้เท่านั้น พวกเรามีมิตรภาพพิเศษให้กันและกัน มิตรภาพละเอียดอันอ่อนเกินผู้คนจะรับรู้ พวกเธอให้ผมซบหน้าลงกับกลีบกุหลาบ ซึ่งพวกเธอยินดีให้ใช้กลีบละมุนละไมซับน้ำตา มีส่วนร่วมรับรู้ความเจ็บปวดกับผมอย่างเต็มใจห่วงใย จวบจนสาแก่ใจน้ำตาไม่มีจะไหล เหล่าดอกกุหลาบจึงเริ่มปลอบโยน ไม่มีเสียงป่วนเสียงล้อเลียน นอกจากความรักความเข้าใจซึ่งมีต่อกัน ต้นมะขามโน้มกิ่งอย่างสงบ เขาไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาแต่รู้ว่าเขาเสียใจไม่น้อยเหมือนกัน

ยาเม็ดสุดท้ายที่คุณหมอให้มายังอยู่ในกระเป๋า ผมจะกินมันลงไปเพื่อให้กลับคืนสู่ความ”ปกติ” ดีหรือไม่.... ยาเม็ดนี้จะมีผลขนาดไหนก็ไม่อาจทราบได้ แต่มันเป็นความหวังในการออกไปสู่โลกภายนอก บางทีอาจจะติดตามหาเธอ แต่โลกภายนอกสำหรับผมแล้วดูอันตรายและน่ากลัว และเมื่อนึกไปว่าถึงจะตามเธอไปจนเจออย่างมากคงทำได้แค่เกาะประตูรั้วบ้าน มองเข้าไปสัมผัสความโอ่อ่าอบอุ่นมั่นคงของครอบครัว โดยไม่มีปัญญาทำอะไรได้

ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าการตัดสินใจส่งเธอกลับไปสู่ความปกติเป็นสิ่งถูกต้องหรือไม่ ผมควรให้เธอเป็นคนเลือกเอง ผมไม่ควรไปเลิอกตัดสินทางเดินของใคร แต่ก็นั่นล่ะ... เธอไม่ได้อยู่ในสภาพจะตัดสินใจเองได้ แต่ผมก็ควรเคารพในส่วนของความไม่ปกติของเธอไม่ใช่หรือ ยิ่งคิดยิ่งสับสน ถ้าเกิดความผิดพลาดกับเธอในสังคมภายนอก ก็จะเป็นความผิดของผมแน่นอน

“คุณคะ”

เสียงหวาน ๆ ใส ๆ ของเธอแว่วเข้าหู

ความดีใจฉีดวูบขึ้นมาเต็มความรู้สึก หัวใจกระตุกวูบ หันไปมอง เพื่อพบกับความว่างเปล่าของเงาสวยในใจฝัน

ผมถอนใจ เป็นเพียงอาการหูฝาดเผื่อนเท่านั้น คงเป็นเพราะคิดถึงเธอมากเกินไป ผมมองผ่านไปยังวงล้อกุหลาบซึ่งครั้งหนึ่งพวกเราร่วมมือร่วมใจกันสร้างมันขึ้นมา ยิ่งมองยิ่งนึกเห็นภาพของเธอลอยเด่นชัดในความทรงจำจนแทบจะปรากฏเป็นตัวตนออกมาได้

ผีเสื้อบินว่อนอวดโฉม สวยงามหลากสี หลายตัวโฉบลงมาหยอกล้อกับกุหลาบสวย เป็นภาพงดงามและเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาเหลือเกิน ชีวิตก็คือชีวิต จะสั้นจะยาวก็ย่อมสามารถมีคุณค่าได้ทั้งนั้น และทันใดนั้นผมเห็นแปลงกุหลาบเหมือนจะยาวขยายออกไปไกลสุดสายตา เงาของนางอันเป็นที่รักเหมือนวูบวายสั่นไหวอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้รายรอบ

ในความรู้สึกมืดมนหนักอึ้งสิ้นหวัง ผมเริ่มมองเห็นแสงสว่างเล็ก ๆ ลอดออกมาจากเมฆหมอกมืดดำ และค่อยขยายใหญ่ขึ้นทุกที แสงแห่งความฝัน-ความหวัง อบอุ่นอาบและลูบไล้จิตวิญญาณอย่างอ่อนโยน ปลอบประโลม ทำไมผมต้องไล่ตามเงาอันไม่มีตัวตนภายนอกนั้น ทำไมผมเพิ่งรู้สึกว่าหญิงสาวผู้เดินออกไปจากชีวิตไม่ใช่ตัวตนของเธอ ทำไมต้องไปยึดติดกับรูปลักษณ์ แท้ที่จริงแล้วเธอยังคงอยู่กับพวกเราที่นี่ อยู่ตามแปลงกุหลาบ นั่งใต้ต้นมะขาม และสำคัญอยู่ในใจของพวกเรานี่เอง

ใช้แขนเสื้อซับน้ำตาตัวเอง ใช้มือปัดหยดน้ำตาออกจากกลีบกุหลาบเบาบาง ลุกขึ้นยืน หยิบเม็ดยาในกระเป๋าออกมาขว้างหนีออกไปสุดแรง ไม่แยแสความเป็นปกติตามสายตาคนข้างนอก ทำไมผมต้องดิ้นรนออกไปภายนอกด้วย ในเมื่อที่นี่มีเพื่อนแสนน่ารักอย่างเหล่าต้นกุหลาบทั้งหลาย มีเพื่อนที่ดีอย่างต้นมะขาม และอีกมากมายหลายชนิด ผมจะ”ตัด”ใจทิ้งพวกเขาไปได้อย่างไรกันและชีวิตภายนอกสถาบันของผมไม่ได้สวยหรูเลอเลิศเลยสักนิด จะบ้าตายอยู่สถานที่แห่งนี้ก็ให้รู้ไป พลังใจและความเข้มแข็งของผมเริ่มกลับมาอีกครั้ง

คว้ากระป๋องน้ำ จอบ เดินดุ่มออกไปอยู่ท่ามกลางมวลหมู่บุปผาโบยบิน ความฝันสานสร้างไว้ยังค้างคา จะต้องสานต่อให้จบ กงล้อกุหลาบจะต้องเชื่อมต่อกับสะพานแห่งฝันให้ได้ ความฝันของเราสองคนจะต้องเป็นจริง ผมยังมีงานทำอีกมากมาย แปลงกุหลาบยังไม่วกกลับมาบรรจบครบรอบ

ผมเริ่มต้นขยายแปลงกุหลาบต่อไป ในใจไม่ปวดร้าวหนักหน่วงสาหัสอีกแล้ว เมื่อตระหนักว่าเธอยังอยู่ที่นี่ อยู่ในหัวสมองของผม อยู่กับพวกเรา อยู่ในหัวใจ อยู่ในความรู้สึกทั้งยามหลับยามตื่น ความทรงจำอันแสนงดงาม พอหยิบขึ้นมาทบทวนคราใดก็ล้วนสร้างกำลังใจให้กับชีวิตอย่างมหาศาล ระลึกถึงเธอในยามเศร้าเหงาเดียวดายคราใด ความเข้มแข็งก็จะกลับมาชะโลมใจเสมอ

ที่รัก... คุณห่างไกลผมได้แค่ทางกายเท่านั้น ส่วนทางจิตใจคุณจะอยู่กับผมเสมอและตลอดไปจนกว่าวาระสุดท้าย ผมจะไม่เศร้าไม่อ่อนแออีกแล้ว การปล่อยให้จิตใจเป็นแบบนั้น ไม่เพียงทำลายตัวเอง ยังทำลายความทรงจำอันมีคุณค่านั้นไปด้วย ทำให้สรรพสิ่งรอบตัวหม่นหมองไปด้วยราวโรคร้าย ผมจะเข้มแข็ง ไม่อ่อนแอ ไม่ให้คุณผิดหวังถึงคุณจะไม่มีโอกาสรู้ก็ตาม
ผมจะทำเพื่อคุณ

และผมก็พบคำตอบในใจของตัวเองและเริ่มมั่นใจว่าตัวเองไม่น่าทำผิด ถ้าเธอมีชีวิตอยู่โลกภายนอกอย่างมีความสุขและอบอุ่นผมต้องทำใจยินดีกับเธอ และถ้าเธอรับมันไม่ได้ สักวันเธอคงจะกลับมาหาผมเอง ณ สถานที่แห่งนี้เอง ผมมีหน้าที่เพียง “รอคอย” อย่างไม่รีบร้อนเท่านั้นแม้ว่าจะรู้ว่าเป็นการรอคอยไร้ความหวังตลอดกาล แม้ว่าจะต้องคอยเฝ้าชะเง้อมองทางเดินอยู่เสมอก็ตาม มันก็ไม่แปลกอะไรตราบใดยังมีความหวังและความฝัน ต่อให้ตายไปกับความหวังและความฝันแห่งการรอคอยนั้นผมก็ไม่เสียใจจนอ่อนล้าไร้กำลังใจอีกต่อไป

และถ้าเลือกได้ผมก็อยากหลับตาพักผ่อนอย่างสงบตลอดกาลในดงกุหลาบแห่งนี้โดยมีกลีบกุหลาบโรยรายปรายโปรยแผ่วผ่านเป็นการอำลาความมีชีวิตโดยมีเธอคนนั้นติดอยู่ในความคิดจนวินาทีสุดท้าย


แดดค่อนข้างร้อน ลมค่อนข้างแรง กุหลาบทั้งหลายเห็นผมเปลี่ยนไปในทางที่ดีก็เริ่มต้นส่งเสียงป่วนก่อกวนทักทายมาแต่ไกล ผมยิ้มให้กับสายลม ดีใจในการมีส่วนให้เพื่อนแสนน่ารักพลิกฟื้นหัวใจงดงามสดชื่นกลับมาได้ มือจับจอบเหวี่ยงลงไปบนพื้นดินสร้างวงล้อกุหลาบอย่างตั้งใจ

“เฮ้......ขยันจังนะคะ”

เสียงเบา ๆ ใส ๆ ดังข้างหู ผมหันไปมองดู

ผีเสื้อตัวน้อยแสนสวยหลายตัวตัวบินวนอยู่รอบตัว บางตัวหยอกล้อกับบรรดาเหล่าดอกกุหลาบบานสะพรั่ง สีหน้าท่าทางตื่นเต้นดีใจและเต็มไปด้วยไมตรี ผมตะลึงนิ่งงันไปครู่หนึ่งก่อนยิ้มกว้างอย่างดีใจ .

ในที่สุดก็ได้เพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งประเภทแล้วนอกจากพวกพืช ผมเริ่มคุยกับพวกสัตว์รู้เรื่อง สายไยแห่งมิตรภาพแผ่โยงไยผสมผสานกว้างไกลไร้พรมแดนไม่แปลกแยก คน พืช สัตว์ เพียงเปิดหน้าต่างพรมแดนแห่งมิตรภาพและมองออกไปเท่านั้น

"ยินดีที่ได้รู้จักทักทายครับ คุณผีเสื้อ”

ผมโค้งหัวให้เพื่อนสายพันธุ์ใหม่อย่างตื่นเต้นดีใจ นอกจากพืชแล้วตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจภาษาของสัตว์ มิตรภาพขยายขอบเขคข้ามไปยังอีกหนึ่งเผ่าพันธุ์แล้ว ไม่มีอะไรมากางกั้นความรักและมิตรภาพบริสุทธิ์จริงใจได้

ผมจะทิ้งที่นี่ ทิ้งความบ้าและทิ้งความฝันอันแสนงดงามนี้ไปได้อย่างไรกัน


++++++++++



Create Date : 02 มีนาคม 2553
Last Update : 10 ธันวาคม 2555 22:57:18 น. 4 comments
Counter : 985 Pageviews.  

 


โดย: Setakan วันที่: 2 มีนาคม 2553 เวลา:20:12:07 น.  

 
แมลงวันทองอย่างผม จะไม่เจาะผลมะม่วงอีกต่อไป แต่จะมาเจาะกลางใจคุณ ยินดีต้อนรับเป็นเพื่อนมิตรน้ำหมึกที่แสนดีในโลกไซเบอร์อีก 1 คน

อยากจะแนะนำให้รู้จักบรรณาธิการสาวนิตยสารวัยรุ่นซักคน คุณสนไหม เผื่อเธอมีช่องทางแนะนำคุณสู่สนามอันกว้างใหญ่ ลำพังผมเอง ผมไม่ประสีประสานัก จนถึงบัดนี้ไม่เคยถือว่าตัวเองเป็นนักเขียน ผมเป็นได้เพียง "นักอยากเขียน" เท่านั้น

รู้สึกว่ายังติดค้างอยู่อีกเรื่องหนึ่ง คือ "เกลียด" แล้วจะเข้ามาตักตวงครับ เพราะว่าผม "ชอบ" คุณ!! เข้าแล้ว


โดย: ปลายแป้นพิมพ์ วันที่: 7 มีนาคม 2553 เวลา:12:41:34 น.  

 
คราวนี้เลยมีเพื่อนเยอะขึ้นไปอีก
บางทีโลกภายนอกสำหรับเขาคงน่ากลัวเกินไป
ใครจะไปรู้ว่า อยู่ในโลกส่วนตัวแบบนั้นมีความสุขกว่า


โดย: HoneyLemonSoda วันที่: 14 มีนาคม 2553 เวลา:0:00:58 น.  

 
ถ้าบ้าแบบนี้ก็ยอมได้อยู่กับธรรมชาติ อันนี้ซึ้งคะ ไม่หลอน พักยกบ้าง


โดย: มาโซคิส วันที่: 27 ตุลาคม 2555 เวลา:7:16:33 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Psycho man
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




[Add Psycho man's blog to your web]