|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
MY VIP Friend
|
|
|
|
โรงเรียนอนุบาลแบบไหน ใช่ สำหรับลูก
โรงเรียนอนุบาลแบบไหน ใช่ สำหรับลูก สำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่แล้ว อะไรก็ดูจะใหม่ไปหมดทุกเรื่อง รวมถึงเรื่องการที่ลูกจะต้องเข้ารั้วโรงเรียนอนุบาล ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกวัยเข้าเรียนอาจต้องรับบทหนักในการเลือกเฟ้นโรงเรียนให้ลูกน้อย เพราะโรงเรียนที่ดีสำหรับลูก นอกจากลูกจะต้องมีความสุขกับการเรียนแล้ว คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องมีความสุข ที่สำคัญต้องสอดรับกับฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวด้วย
My School ฉบับนี้ จึงได้สรรหาหลากหลายคำแนะนำ ในการเลือกโรงเรียนอนุบาลให้ถูกใจทั้งคุณพ่อ คุณแม่ และคุณลูกมาฝากค่ะ เริ่มต้นจากการทำความรู้จักว่าลูกของคุณเป็นเด็กแบบไหน เพื่อจะได้มองหาโรงเรียนที่เหมาะสมกับบุคลิกภาพ ลักษณะนิสัย และความถนัดของเด็กๆ ซึ่งจะเป็นการวางรากฐานด้านการศึกษาที่ดีของพวกเขาต่อไปในอนาคต
ลูกของเราเป็นเด็กแบบไหน?
- เด็กสมาธิสั้น มักจะสนใจอะไรเพียงช่วงสั้นๆ เรียนรู้ช้า มีความอดทนต่อสิ่งต่างๆ ไม่นาน แต่ชอบสนุกกับการเล่น และเรียนรู้ที่ไม่มีรูปแบบแน่นอน เด็กลักษณะนี้จึงเหมาะกับการเรียนแบบเตรียมความพร้อม ที่มุ่งเน้นให้เด็กๆ เรียนรู้ผ่านการเล่นและฝึกทักษะกล้ามเนื้อต่างๆ หากคุณพ่อคุณแม่พาลูกลักษณะนี้เข้าโรงเรียนที่มีการสอนเน้นเร่งเรียนเขียนอ่าน มีการบ้านต้องทำมากมาย เด็กๆ อาจเกิดความเครียดและไม่สนุกกับการเรียนได้
- เด็กชอบการแข่งขัน จะมีความกระตือรือร้น เรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบข้างได้ไว มีความจำดี ชอบการทำงานมากๆ หรือการเรียนรู้ที่มีแบบแผนแน่นอน เด็กลักษณะนี้จึงควรเข้าโรงเรียนที่เน้นเร่งเรียนเขียนอ่าน ซึ่งตรงกับลักษณะนิสัยและความสนใจพื้นฐาน หากนำเด็กที่มีลักษณะนี้ไปเรียนในโรงเรียนที่มีรูปแบบการสอนแบบวิถีพุทธ หรือโฮมสคูล เด็กอาจจะเบื่อ และไม่สนุกกับการเรียนได้
- เด็กมีความสามารถพิเศษ เด็กที่มีความสามารถเฉพาะด้าน เช่น ดนตรี ศิลปะ ภาษา กีฬา วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เป็นทักษะพื้นฐานอยู่แล้ว และสนใจเรียนสาขาวิชาที่ชอบได้ดีกว่าเด็กอื่นๆ มีความคิดสร้างสรรค์เชื่อมโยงสิ่งต่างๆ ได้เป็นอย่างดี เด็กลักษณะนี้จะเหมาะกับโรงเรียนทางเลือกที่เน้นการเรียนการสอนที่ผ่านประสบการณ์จริงมากกว่าการเรียนแต่ทฤษฎีในห้อง
- เด็กพิเศษ หรือมีความต้องการพิเศษ หมายถึงเด็กที่ต้องการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ เช่น เด็กออทิสติก (Autistic) เด็กแอสเพอร์เจอร์ (Asperger) โรงเรียนที่เหมาะกับเด็กพิเศษจึงควรเป็นโรงเรียนเฉพาะทาง เช่น โรงเรียนสาธิตเกษตร โรงเรียนสาธิตสวนดุสิต เป็นต้น
โรงเรียนแบบไหนเหมาะกับลูกเรา? หลังจากคุณพ่อคุณแม่สังเกตแล้วว่าลูกของคุณเป็นเด็กลักษณะแบบใดแล้ว คราวนี้ลองมาดูกันต่อดีกว่าค่ะ การเลือกโรงเรียนอนุบาลให้ลูกนั้น มีข้ออื่นๆ ที่ควรนำมาพิจารณาอย่างไรบ้าง
1. เยี่ยมชมโรงเรียน คุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจเลือกโรงเรียนให้ลูกจากเหตุผลเพราะโรงเรียนอยู่ใกล้บ้านหรือได้รับคำชักชวนจากเพื่อนบ้าน แต่เนื่องจากโรงเรียนที่เลือกอาจไม่ตรงตามที่ต้องการ จึงควรเข้าไปเยี่ยมชมโรงเรียนด้วยตนเอง สิ่งที่ควรสังเกตได้แก่ - การเดินทางเข้าโรงเรียน สะดวกสบายมีสถานที่จอดรถหรือไม่ สภาพพื้นที่ภายนอกก่อนเข้าโรงเรียนปลอดภัยเพียงใด - ห้องเรียน ควรไปชมการเรียนการสอนในห้อง ตรวจดูความสะอาดและสิ่งอำนวยความสะดวกในห้องเรียน อุปกรณ์ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อมภายนอกห้องเรียน ข้อควรคำนึงคือระมัดระวังการจัดฉากในโรงเรียน - ระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ภายนอกห้องเรียน เช่น ระบบไฟฟ้า น้ำประปา ห้องน้ำ ตู้น้ำดื่ม ห้องพยาบาล โรงอาหาร สนามเด็กเล่น ได้มาตรฐานหรือไม่ - อาหารและนม คุณพ่อคุณแม่ควรเลือกไปเยี่ยมชมโรงเรียนช่วงก่อนรับประทานอาหารเที่ยงของนักเรียนเล็กน้อย เพื่อจะได้เห็นการรับประทานอาหารของเด็กนักเรียน และพิจารณาว่าอาหารและนมของเด็กมีคุณภาพเพียงพอหรือไม่ - ควรไปพร้อมกันทั้งพ่อแม่และลูก เพราะจะได้ถามความต้องการของลูก โดยพยายามอธิบายอย่างง่ายๆ ให้เขาเข้าใจในสิ่งที่พ่อแม่วางแผนไว้ ที่สำคัญอาจมีตัวเลือกให้เขาตัดสินใจร่วมด้วย
2. ขอดูนโยบายและแนวทางการเรียนการสอน โรงเรียนอนุบาลหลักๆ มี 2 แนว คือ แนวกระแสหลัก เน้นการเรียนรู้เชิงวิชาการ กับแนวทางเลือก เน้นการเตรียมความพร้อม และใช้นวัตกรรมการเรียนแบบใหม่
โรงเรียนอนุบาลส่วนใหญ่ จะเป็นแนวกระแสหลักหรือแนววิชาการ ด้วยเชื่อว่าเด็กมีศักยภาพในการเรียนรู้เต็มที่ ควรเร่งสอนให้เด็กหัดอ่าน หัดเขียน หัดบวกลบเลขให้ได้โดยเร็ว เพื่อจะสามารถเรียนรู้เพิ่มขีดความสามารถของสมองให้กว้างขึ้น
ส่วนโรงเรียนอนุบาลทางเลือกหรือแนวเตรียมความพร้อม จะเน้นพัฒนาศักยภาพของเด็ก โดยนำเอาความต้องการของเด็ก ความสุขของเด็กเป็นศูนย์กลาง การเรียนรู้ของเด็กจึงเริ่มที่ตัวเด็กเอง ผ่านกิจกรรมหลากหลาย เช่น วาดรูป เล่นเกม ร้องเพลง เพื่อพัฒนาแนวคิด
การศึกษาและสอบถามนโยบายและแนวทางการเรียนการสอนจากครูหรือผู้บริหาร จะทำให้เข้าใจแนวคิดของโรงเรียน และเป็นแนวทางปฏิบัติแก่ครูผู้สอน นอกจากนั้น ควรสอบถามถึงรางวัลโรงเรียนดีเด่นหรือรางวัลชนะเลิศด้านต่างๆ ของโรงเรียน อัตราการเข้าเรียนในโรงเรียนดัง รวมถึงอัตราส่วนครูกับนักเรียน ข้อมูลกิจวัตรประจำวันที่นักเรียนแต่ละคนต้องทำ
3. ตรวจสอบครูผู้สอน ครูผู้สอนมีบทบาทสำคัญในการอบรม สั่งสอน และปลูกฝังความคิด ทัศนคติและความรู้แก่เด็ก คุณพ่อคุณแม่ควรสัมภาษณ์ครูผู้สอน ประวัติการศึกษา ถ้าครูจบด้านครุศาสตร์โดยตรงจะได้เปรียบกว่าสายอื่นๆ เนื่องจากครูสามารถถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ได้อย่างดี ลักษณะและบุคลิกของครูผู้สอนก็เป็นสิ่งสำคัญ คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตอย่างรอบคอบ
4. ตรวจสอบค่าใช้จ่ายต่างๆ โรงเรียนอนุบาลเอกชน โดยมากมักมีค่าธรรมเนียมการศึกษาต่ำ แต่จะมีค่าแรกเข้าสูง หรือหลายๆ ครั้งโรงเรียนจะเลี่ยงการเก็บค่าแรกเข้าที่สูง โดยเก็บเป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าอุปกรณ์ ค่ากิจกรรมพิเศษ ค่าคอมพิวเตอร์ คุณพ่อคุณแม่ควรตรวจสอบเอกสารค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวกับค่าเทอมแรกเข้า ค่าเทอม 2 และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตลอดปีการศึกษา และถามเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่ผู้ปกครองต้องออกเพิ่มเติมด้วย เช่น ค่าเสื้อผ้า ค่าหนังสือ ค่ารถโรงเรียน ซึ่งโรงเรียนส่วนใหญ่จะไม่นำมาคำนวณในค่าเทอมแรกเข้า และควรคำนวณให้เพียงพอต่อรายได้ของครอบครัว
อาจารย์อารย์ ปาลเดชพงศ์ อุปนายกสมาคมอนุบาลศึกษาแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และผู้บริหารโรงเรียนอนุบาลเด่นหล้า ให้ความเห็นว่า การเลือกโรงเรียนอนุบาลให้ลูกไม่ควรไกลจากที่พักอาศัยมากนัก เพราะเด็กจะได้ไม่ต้องรีบเร่งตื่นแต่เช้ามืด หากหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ควรหาโรงเรียนที่ใกล้ที่ทำงานหรือทางผ่านผู้ปกครองเพื่อรับส่งได้สะดวก สถานที่ควรปลอดภัย ไม่มีจุดที่เป็นอันตรายต่อเด็ก เช่น ท่อ หรือบ่อน้ำ ภายในโรงเรียนควรสะอาดและมีบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ และมีโภชนาการที่ดี และอัตรากำลังหรือบุคลากรในโรงเรียน เช่น ครู ผู้ดูแลเด็ก และพี่เลี้ยงเด็กอนุบาล ควรมีจำนวนที่เหมาะสม เพื่อดูแลเด็กได้ทั่วถึง 5 สิ่งควรรู้...ก่อนเลือกโรงเรียน 1. โรงเรียนอนุบาลไม่ใช่สถานรับเลี้ยงเด็ก อย่าคิดว่าโรงเรียนอนุบาลคือสถานรับเลี้ยงเด็ก โรงเรียนที่ดีต้องมีหลักสูตรการเรียนการสอนที่ชัดเจน เพื่อให้เด็กมีพัฒนาการเพิ่มขึ้น ส่วนสถานรับเลี้ยงเด็กนั้น จะเน้นเรื่องการดูแลเด็กเป็นส่วนใหญ่
2. อย่าหลงเชื่อที่กิจกรรมพิเศษ กิจกรรมพิเศษนั้น หมายถึง พวกว่ายน้ำ เทควันโด้ คอมพิวเตอร์ และกิจกรรมเสริมทักษะด้านต่างๆ ซึ่งปัจจุบันโรงเรียนต่างๆ ก็ได้นำกิจกรรมพวกนี้ขึ้นมาโชว์ เพื่อเรียกให้ผู้ปกครองมาสมัคร ทางที่ดีคุณพ่อคุณแม่ต้องมีเวลาสักวันหนึ่ง ไปดูโรงเรียนด้วยตัวเองตั้งแต่เช้า ซึ่งจะดีกว่าเชื่อจากโฆษณาหรือจากคำบอกเล่าของคนอื่น
3. อย่ามองข้ามความต้องการของลูก ความต้องการของลูกก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม อย่าตัดสินใจเลือกโรงเรียนให้ลูกโดยมองข้ามความเห็นของลูก เพราะคนที่ต้องไปเรียน ไปอยู่ในสภาพแวดล้อมนั้นๆ คือลูกไม่ใช่คุณพ่อคุณแม่นะคะ
4. โรงเรียนใหญ่ใช่ว่าดี อย่าคิดว่าโรงเรียนใหญ่ๆ ต้องดีกว่าโรงเรียนเล็กๆ บางครั้งโรงเรียนขนาดใหญ่เกินไปก็อาจดูแลเด็กได้ไม่ทั่วถึง และก็มีหลายโรงเรียนที่แม้จะเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก แต่ก็มีคุณภาพ
5.โรงเรียนดี ไม่จำเป็นต้องแพงเสมอไป อย่าคิดว่าโรงเรียนแพงๆ จะต้องดีเสมอไป เพราะหลายโรงเรียนมักเรียกค่าใช้จ่ายสูงกว่าความเป็นจริง คุณแม่จึงควรขอเอกสารเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่จะต้องจ่ายจริงๆ ก่อนตัดสินใจเลือกโรงเรียนให้ลูกค่ะ ข้อมูลจาก : หนังสือเกี่ยวก้อยพาลูก (หลาน) เข้าโรงเรียนทางเลือก นิตยสารฉลาดซื้อ โดยมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค //www.magickidschool.com //www.bestmomclub.com //www.motherandbabythai.in.th/index.php?menu_id=9&content_id=8
Create Date : 15 มิถุนายน 2553 |
Last Update : 15 มิถุนายน 2553 12:23:41 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1340 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|