เหตุสมควรโกรธ ไม่มีในโลก
๑. ชีวิตคือทุกข์... ไม่มากก็น้อย
ชีวิตคนเราดูแล้วหลากหลายแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
ชีวิตของ เด็กเล็ก ๆ อายุ 3-4 ขวบ ชีวิตของ คนเต่าคนแก่ อายุ 100 ปี ชีวิตของ คนยากจน ขอทานข้างถนน ชีวิตของ มหาเศรษฐี ชีวิตของ คนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ชีวิตของ คนจบปริญญาเอก ชีวิตของ นักโทษประหาร ชีวิตของ ผู้ได้รับเกียรติเป็นบุคคลตัวอย่าง ชีวิตของ นักเลงพนัน ชีวิตของ ผู้ดีในสังคม
แต่ดูลึก ๆ แล้ว ชีวิตเราก็พอ ๆ กัน ในความรู้สึก สุข ทุกข์ ดีใจ พอใจ สุขใจ โกรธ น้อยใจ เสียใจ กลัว ฯลฯ
ชีวิตคือทุกข์ ไม่มากก็น้อย
ทุกข์ร้อน ทุกข์หนาว ทุกข์แบบไม่รู้ร้อนรู้หนาวก็มี แต่คนเราเกลียดทุกข์ กลัวทุกข์ พยายามหนีจากทุกข์ แสวงหาความสุขทั้งนั้น ตามสติปัญญาและความสามารถของแต่ละบุคคล หัวใจของมนุษย์ต่างก็เรียกร้อง “ความสุข ๆ ๆ” กันทุกคน แต่ที่เราหนีไม่พ้นจากทุกข์ เพราะพวกเราอยู่ในท่ามกลางไฟกันทั้งนั้น
ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้
ไฟ คือ โทสะ ไฟ คือ โลภะ ไฟ คือ โมหะ
เมื่อเราสามารถดับไฟได้ เมื่อนั้นก็เย็นสงบสุข ไฟโทสะร้ายกาจ เป็นข้าศึกต่อความสุข ถอนโทสะเพียงสิ่งเดียวออกจากจิตใจ ก็จะไม่ต้องต่อสู้กับคนรอบตัว โลกทั้งหมดจะสงบเย็น มีแต่คนน่ารัก มีแต่คนน่าสงสาร ควรแก่การเมตตากรุณา
๒. ไฟเสมอด้วยความโกรธไม่มี
พระพุทธเจ้าเปรียบความโกรธว่าเหมือนไฟ เช่นไฟไหม้ป่า เผาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า ความโกรธ มีพลัง มีอำนาจทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง ยิ่งกว่าไฟไหม้ป่าเสียอีก มีแต่โทษ ไม่มีคุณแม้แต่นิดเดียว
จะเห็นได้ว่าคนโบราณมีการอบรมสั่งสอนลูกหลานให้กลัว และระมัดระวังไฟ เพราะอันตรายมาก โดยเฉพาะ ไฟไหม้บ้าน ไฟไหม้ป่า ล้วนเผาทำราย พรึบเดียว ชั่วข้ามคืน ทำลายทั้งทรัพย์สมบัติจนหมดตัว และยังอาจทำลายชีวิตคนบางครั้งเป็นพันๆ หมื่น ๆ คนทีเดียว
แต่ความโกรธ อันตรายยิ่งกว่าไฟ ไฟเสมอด้วยโกรธไม่มี
เพราะความโกรธจะทำลายแม้แต่น้ำใจเรา คนที่เรารักสุดหัวใจก็ดี คนที่รักเราก็ดี ชื่อเสียง คุณงามความดีที่สะสมไว้ตั้งแต่อเนกชาติ ถูกทำลายย่อยยับได้ด้วยความโกรธ ความโกรธ โมโห ครั้งเดียว สามารถทำลายได้ทุกสิ่งทุกอย่าง น่ากลัวยิ่งกว่าไฟไหม้ !!!!!
ความโกรธนี้ฆ่าผู้มีพระคุณมาหลายต่อหลายคนแล้ว ฆ่าคนที่เรารัก คนที่รักเรา คู่รักที่ต่างรักใคร่ชอบพอกัน บางครั้งในที่สุด ความโกรธก็ทำให้เลิกร้างกัน ทำให้ชีวิตครอบครัวต้องแตกแยก จนถึงทำให้ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าลูกก็มี ผู้ใหญ่ในระดับประเทศโกรธกัน จนเป็นเหตุให้กลายเป็นสงคราม ฆ่ากันตาย เป็นพัน ๆ หมื่น ๆ แสน ๆ ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า สัตว์ทั้งหลายที่เราเห็นกันด้วยตา
นับแต่มด ยุง กบ เขียด แมว สุนัข วัวควาย มนุษย์ อย่างน้อยชาติหนึ่งเคยเป็นพี่น้องกันในวัฏสงสารที่ยืดยาว ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาเคยรักกันเกลียดกันมาอย่างนี้ จนทุกวันนี้ และต่อไปอีกหลายภพหลายชาติ ตราบเท่าที่ยังไม่บรรลุมรรคผลนิพพาน
เมื่อเป็นเช่นนี้ เราไม่ควรประมาท ทำใจให้สงบน้อมเข้ามาสู่ตน พิจารณาดูว่า มีใครบ้างที่เราอาฆาตพยาบาท ถ้ามีรีบให้อภัย อโหสิกรรมเสียแต่บัดนี้ อย่างน้อยก็ชาตินี้ ก่อนตายจะได้ไม่ต้องเป็นคู่เวรคู่กรรมกันอีกต่อไป อย่าคิดว่า ต่างคนต่างอยู่ ไม่เป็นไร แม้จะอยู่คนละจังหวัด คนละประเทศก็ตาม ก็จะมีโอกาสพบกันในชาติหน้า และมีโอกาสมากด้วย ถ้าหากมีอุปาทานยึดมั่นถือมั่น ดูใจของตน ก็เห็นชัด คิดถึงใครก็ดี คิดแค้นอาฆาตพยาบาทใครก็ตาม
นั่นแหละ! ระวังให้ดี ต่อไปจะเกิดมาพบกัน และทำความเดือดร้อนให้แก่กัน นับภพนับชาติไม่ถ้วน
ฉะนั้น ไม่ให้คิดมีเวรแก่กัน จงให้อภัย และอโหสิกรรมแก่กัน ไม่ให้คิดอาฆาตพยาบาท ไม่ให้คิดเบียดเบียนกัน มีแต่ปรารถนาดีต่อกัน พยายามทำแต่กรรมดีให้ทาน เอื้อเฟื้อกัน มีปิยวาจา พูดดี พูดไพเราะ ทำประโยชน์ช่วยเหลือสังคม วางตนเหมาะสม เสมอต้นเสมอปลาย การประพฤติปฏิบัติต่อกันอย่างนี้ จะทำให้เราอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขในปัจจุบัน และเป็นการสร้างกรรมดีต่อกัน
อนาคตถ้าเกิดมาพบกันอีก ก็จะเป็น พี่น้อง เพื่อนฝูงที่ดีต่อกัน เกื้อกูลสนับสนุนซึ่งกันและกัน
๓. ละความโกรธด้วยรักและเมตตา
เมตตาตรงข้ามกับโทสะ และพยาบาท ซึ่งเป็นความโกรธ ความมุ่งร้าย เมตตาเป็นความรัก ความปรารถนาดีให้มีความสุข เป็นความรักที่บริสุทธิ์ ไม่ใช่ความรักที่เป็นราคะคือความใคร่ ดังนั้นหากเราหมั่นอบรมจิตให้เมตตาตั้งขึ้นในจิตใจได้ จิตใจก็จะพ้นจากโทสะพยาบาท
เพื่อให้มีเมตตาเป็นพื้นฐานของจิต เราควรพิจารณาว่า ตัวเรารักสุข เกลียดทุกข์ฉันใด คนอื่น สัตว์อื่นก็รักสุข เกลียดทุกข์ฉันนั้น
ผู้ที่จะแผ่เมตตาได้ จะต้องทำใจตัวเองให้มีเมตตาก่อน คือทำจิตใจตัวเองให้อ่อนโยน สงบเย็น แล้วจึงแผ่เมตตาแก่ผู้อื่น เพราะการจะแผ่สิ่งใดออกมาได้ จิตใจจะต้องมีคุณสมบัตินั้นอย่างแท้จริง
การเจริญเมตตาภาวนา
เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ธรรมชาติของจิตเป็นประภัสสร บริสุทธิ์ผ่องใส โดยธรรมชาติ ความเบิกบานใจ สุขใจ นั้นมีอยู่ เป็นอยู่แต่ดั้งเดิม แต่ทุกวันนี้ ที่พวกเราไม่ค่อยสบายใจ ทุกข์ใจ เพราะมีอารมณ์ กิเลสเครื่องเศร้าหมองครอบงำจิต
เราสามารถเจริญสติน้อมเข้าไปสัมผัสความเบิกบานใจ สุขใจที่มีอยู่ได้ หน้าที่ของเราคือ ต้องสร้างกำลังใจ เจริญสติ สมาธิ ปัญญา รู้จักกุศโลบายที่จะน้อมเข้าไปสุ่ธรรมชาติ ของจิตประภัสสร
พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก วัดสุนันทวนาราม
----------------------------
ยังไม่จบนะคะ คราวหน้าเราจะมาดูวิธีการปฏิบัติเจริญเมตตา ภาวนา ว่ามีวิธีการอย่างไร เพื่อละความโกรธ กันค่ะ รับรองว่าไม่ยาก ค่ะ
Create Date : 23 มิถุนายน 2551 |
|
116 comments |
Last Update : 23 มิถุนายน 2551 22:47:50 น. |
Counter : 998 Pageviews. |
|
|
ไม่อยากเชื่อเลยว่าน้องอ้อจะมาเป็นคนแรกที่เจิมบล็อกพี่ปุ๊กในวันนี้
อุ๊บอิ๊บก่อนน่ะค่ะ
เดี่ยวพลาดโอกาศ อิอิ