Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2555
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
6 มิถุนายน 2555
 
All Blogs
 
กลิ่นแก้วกอกุหลาบ - ๑

*************
กลิ่นแก้วกอกุหลาบ
by...กิรนัจ
*************

คุยกันก่อน
สวัสดีค้าบบบ
และแล้วก็วันพุธ หลังจากรอมาอย่างใจจดใจจ่อ (หุหุ)
ได้เวลาอัพกลิ่นแก้วกอกุหลาบเสียที
เชิญชิม แอร๊ยยย์ เชิญอ่านกันนะค้าบ
ว่าจะโดนใจกันรึเปล่า แต่ตัวละครเรื่องนี้ปากจัดกันหน่อยน้า
ขออภัยล่วงหน้ากับคำหยาบคาย(หลายคำ)

^_____^



บทที่ ๑

"สถิติที่ฉันสำรวจมาจากละครและนิยายเกือบค่อนโลก นางเอกมักปลอมตัวหลายรูปแบบเพื่อเข้าไปหาคำตอบกลวงๆ ที่ตัวเองต้องการ มีทั้งการปลอมตัวเป็นผู้ดี ปลอมตัวเป็นผู้ชาย ปลอมตัวเป็นคนรับใช้ แม้กระทั่งปลอมตัวเป็นเมียของเขา... เออ อันหลังนี่ถึงจะมีเปอร์เซ็นน้อยแต่น่าสนใจแฮะ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นค่ะ ฟังทางนี้ สิ่งสำคัญคือ ร้อยละเก้าสิบ นางเอกจะต้องพรางตัวอยู่ในมาดใหม่ ไม่ให้คนอื่นสามารถจับได้ว่าเคยเป็นใครมาก่อน แม้ว่าบนหน้าจะแปะไฝเม็ดเท่าเห็บหมาก็ตาม"

วาจาร้อนแรงดุจจะแผดเผาหูของหญิงสาวให้ไหม้เป็นจุณ อาคิราเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าตัวเองขอความช่วยเหลือถูกคน เธอรู้สึกเหมือนโดนด่ากระทบกลายๆ จากปากของรสสุคนธ์ เพื่อนนักฝันผู้ปรารถนาจะผันตัวเป็นนักแสดง (แน่นอน ยังไม่ได้เป็นแม้แต่ตัวประกอบ) ที่คบหากันมานานกว่าสิบปี

“แกพูดจริงเหรอ”

คนถูกถามพยักหน้าหงึกหงัก

“ไม่จริง ฉันโกหก จะบ้าเหรอยัยแก้ว ใครเขาจะไปนั่งทำโพลพิลึกพิลั่นนั่นกันล่ะ”

“ฉันคิดว่าแกทำจริงนะ”

เหมือนมีเสียงขู่ฟ่อออกมาจากรสสุคนธ์

“เอาล่ะค่ะ เราจะไม่เสียเวลามากไปกว่านี้แล้ว และต่อให้สิ่งที่ฉันพูดมามันจะไม่มีหลักฐานอะไรยืนยันผลสัมฤทธิ์ เพราะมันเป็นเพียงแค่นิยายก็ตาม" ผู้เป็นเพื่อนยังคงพูดต่ออย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ "แต่นิยายก็อิงจากเรื่องจริง ฉะนั้น การที่แกจะเข้าไปในบ้านของท่านรัฐมนตรีเพื่อถามเขาว่า ทำไมถึงทิ้งเมีย...เอ่อ...ซึ่งก็คือแม่แก แกไม่สามารถเดินโทงๆ แล้วแหกปากตะโกนกับเขาว่า บอกความจริงมาเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นบ้านบึ้ม เพราะแกอาจจะถูกกระสุนไรเฟิลเจาะกบาลแหกตั้งแต่เท้ายังไม่เหยียบลงอาณาเขตบ้านเขาด้วยซ้ำ อย่าลืม ตอนนี้คนที่แกมั่นใจว่าเขาคือพ่อแกกำลังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีสามสมัย ต่อให้แกไปออกข่าวทีวี ฉันก็มั่นใจว่าหากเขาอยากตัดสายเลือดของตัวเองทิ้ง เขาก็สามารถใช้อิทธิพลและอำนาจเงินตราในมือได้อย่างง่ายๆ หนทางเดียวที่แกเหลืออยู่คือ แกต้องรู้จักเขาให้มากกว่านี้ แล้วค่อยตะล่อมถาม ต่อจากนั้นจะทำอะไรก็เรื่องของแก นึกออกใช่ไหม"

อาคิรากระพริบตาปริบๆ สานจินตนาการตามคำบรรยายของเพื่อนแล้วหวาดเสียวชอบกล อดไม่ได้ที่จะเอามือขึ้นมาลูบกลางหน้าผาก อีกฝ่ายคงเหลือระอา จึงกระแอมก่อนกล่าว

"สรุป ถ้าจะเข้าไปในบ้านนั้น แกต้องปลอมตัว"

"แล้วจะให้ฉันแปลงร่างเป็นอะไรล่ะ" คนมานั่งขอคำปรึกษาถาม

"อะไรล่ะที่น่าจะเหมาะที่สุด แกคิดว่าตัวเองน่าจะเป็นอะไรได้ดีที่สุด ฮึ ดอกแก้ว"

อาคิราเคาะนิ้วชี้เรียวยาวกับขมับเบาๆ เป็นจังหวะ เธอกำลังครุ่นคิด สักเสี้ยวอึดใจ ละม้ายมีแสงสว่างจากปลายทางพร้อมเสียงปิ๊งป่อง ได้คำตอบแล้ว

"ฉันน่าจะปลอมเป็นไฮโซนะ บุคลิกก็พอได้"

"มะเหงกสิ" ไม่พูดเปล่า รสสุคนธ์ยังเขกหัวอาคิราทีหนึ่ง จนคนโดนซูดปาก ร้องอู๊ย "ที่บ้านไม่มีกระจกใช่ไหมคะ"

"ปกติชะโงกดูเงากับน้ำในตุ่ม" อาคิราย้อน แล้วสะบัดตัวงอแง "แกอ่ะ... ฉันก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นซะหน่อย"

รสสุคนธ์ไม่ตอบ แต่หน้าบ่งบอกอารมณ์ได้ชัดแจ้งว่าไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเธอ

"อ่า... ก็ได้ งั้นแกคิดว่าฉันควรจะปลอมตัวเป็นอะไรล่ะ" อาคิรายอมแพ้

"ไม่ต้องปลอม"

คนฟังช็อกกับคำตอบประมาณสองวินาที

"ไหนแกบอกว่าฉันต้องปลอมตัวไง อ้อน"

"ก็ปลอมเป็นแกไง เข้าใจยากจริง"

"ยังไงวะ" คนงงชักยัวะ

"ฉันจะหาทางช่วยให้แกเข้าไปในบ้านหลังนั้น ในฐานะนางสาวดอกแก้ว ดีกรีปริญญาตรีนิติศาสตร์ แต่แสนอาภัพ ทำงานที่ไหนเขาก็ไล่ออกเพราะซุ่มซ่าม เป๋อเปิ่น เวิ่นเว้อ ไร้ความรอบคอบ ชอบทำลายข้าวของโดยไม่เจตนา ปราศจากอัธยาศัยไมตรี ดีแต่ลาป่วย จนบริษัทเขาแทบวายป่วง"

"แกไม่ต้องเอาความจริงมาพูดทั้งหมดก็ได้มั้ง"

"นั่นแหละ แกจะสมัครเข้าไปทำงานในบ้านหลังนั้นด้วยสถานะที่แกเป็นจริงๆ"

"แล้วเขาจะรับฉันเหรอ โปรไฟล์เริดปานนั้น" อาคิราอดไม่ได้ที่จะประชดเสียหน่อย

"แกรู้จักคำว่าบังเอิญไหม"

"อือ... บอ อะ งอ – บัง, ออ เออ นอ – เอิน, บังเอิญ ฉลาดไหม" อาคิราปรบมือแปะๆ

"ค่า... ฉลาดม้าก” รสสุคนธ์หัวเราะเสียงแหลมปรี๊ดก่อนกลับเป็นเสียงตวาด ปรับอารมณ์แทบไม่ทัน “อิเรื่องปัญญาอ่อนนี่หัวไวจริงเชียว"

"แกอ่า"

"โอ๊ย! ดอกแก้ว หัดทำตัวจริงจังหน่อยสิ นี่มันเรื่องของแกนะเว้ย ฉันจะบอกแกว่า คำว่าบังเอิญมันไม่มีในโลกหรอก ทุกอย่างมันเป็นแผนการ ถ้าไม่จากคนด้วยกันก็จากฟ้า และฉันจะเนรมิตรฉากให้เขาประทับใจแกก่อนที่แกจะไปสมัครงาน รับรองได้เลยว่า งานนี้ไม่พลาด!"

รสสุคนธ์หัวเราะคีย์สูงอีกครั้ง หากอาคิราขยาดกับความคิดพิศดารของเพื่อนสาว

ขนาดเรื่องยังไม่เริ่มนะเนี่ย




สิ่งหนึ่งที่อาคิราจำได้เป็นอย่างดีนับตั้งแต่วัยเด็ก นั่นคือคำพูดของยายที่มักจะก่นด่าผู้เป็นพ่อของเธออยู่เสมอ

"เอ็งไม่ต้องไปคิดว่าคนอย่างมันเป็นพ่อ ถ้ามันเห็นนังวิภาเป็นเมีย เห็นเอ็งเป็นลูก ข้าถามตรงๆ จากคนจนๆ โง่ๆ อย่างข้าหน่อยเถอะ ว่าตอนนี้เอ็งจะได้มานั่งฟังข้าด่าไหม แล้วลูกสาวข้ามันจะตายไหม"

ถ้อยคำของยายเต็มเปี่ยมไปด้วยความรุนแรงที่เป็นจริงเสมอ

อาคิราในยามเยาว์ได้แต่นิ่งเงียบ ตรึกตรองตามด้วยสมองกระจ้อย เธอไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกอาฆาตพยาบาทของผู้ใหญ่นัก คิดอย่างเดียวแค่ว่า ทำไมตัวเองถึงไม่มีพ่อกับแม่เหมือนคนอื่น

เธอฟังคำจากยาย แม่ของเธอชื่อวิภา เสียชีวิตหลังจากให้กำเนิดเธอได้เพียงแค่สามเดือน

"แม่เอ็งมันตรอมใจตายเพราะไปหลงคำลวงของไอ้พงษ์ ปากบอกว่ารักงู้นงี้ เป็นไงล่ะ พอเจออีคุณหญิงคุณนายที่มันช่วยให้ตัวเองใหญ่โตได้ ก็เฉดหัวเมียตัวเองทิ้ง แล้วหันไปเอาคนอื่น ไอ้ห่ะ - อย่าให้ต้องเจอหน้ากันอีกเลยชาตินี้ แค่เห็นหน้ามันในทีวีก็อยากเอาตีนลูบไม่รู้วันละกี่รอบ"

ยายของเธอมีสมบัติของสตรีผู้แข็งแกร่งเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว ดังนั้น อาคิราจึงไม่ค่อยแปลกใจสักนิดที่ตัวเองจะติดนิสัยเพียงบางส่วนมาจากยาย

แค่บางส่วนนะ

"ข้าจำได้แม่นยังกะดูหนังเลยโว้ย ตอนที่นังวิภาคลอดเอ็ง มันเขียนจดหมายไปหาไอ้ห่ะนั่น มันก็ส่งจดหมายบอกว่า ให้แม่เอ็งรอ นังวิภามันหน้าโง่ก็รอสิ แต่รอเท่าไหร่ผัวก็ยังไม่มาเสียที จนกระทั่งล้มเจ็บ ข้าเลยให้มันเขียนจดหมายไปหาเขาอีก มันก็ทำตามที่ข้าสั่ง แต่ก็ไม่มีวี่แวว รอกันหลายวัน แม้แต่หมาสักตัวยังไม่โผล่มาให้เห็นหน้า กระทั่งนังวิภามันตาย ข้าฝากให้คนข้างบ้านไปบอกข่าวเขา เพราะมัววุ่นวายกับงานศพ ก็อีศรีลูกตาเมืองนั่นแหละ มันอุตส่าห์ล่องเรือเอาข่าวไปบอก กลับโดนพวกเวรตะไลนั้นเอาน้ำสาดไล่กลับมา หาว่าเป็นเสนียด ข้านี่ท่องพุทโธ ธัมโม สังโฆ แต่ใจอยากวิ่งไปตบปากอีคนพูดจะแย่ ก็อดทนเอาจนเผาแม่เอ็งเสร็จ เลยไปตามหาไอ้ห่ะพงษ์ถึงบ้าน แม่เอ๊ย... อีคุณนายมันไล่ข้าอย่างกับหมูกับหมา พูดจายิ่งกว่ากุลี อยู่บ้านหลังใหญ่โตสวยงามเสียเปล่า จิตใจเน่าหนอนฟอนเฟะ ข้าเลยถุยน้ำลายใส่หน้ามันทีนึงแก้แค้นแทนแม่เอ็ง ฝากมันไปบอกผัว ว่าถ้ายังรู้สึกตัวอายเดรัจฉาน ก็ให้ดูดำดูดีเอ็งด้วย แล้วเป็นไง เห็นไหม เอ็งยังนั่งหัวโด่ฟังข้าบ่นอยู่นี่"

อาคิราฟังเรื่องเล่านี้รอบแล้วรอบเล่าจนแทบจะจำได้ขึ้นใจ แต่แหม... ฟังยายเล่ากี่ครั้งก็สนุกเหมือนเดิม

ในตอนนั้น เธอคิดว่ายายเป็นผู้หญิงที่สุดยอดมาก

ในตอนนี้ เธอก็ยังคิดเช่นเดิม... ยายเธอช่างเถื่อนได้ใจจริงๆ

"แต่แก้วอยากได้ยินจากปากพ่อเองนี่นายาย ว่าพ่อไม่รักแม่แล้ว" แล้วนี่ก็คือบทสนทนาซ้ำซากของเธอที่ยายคงจำได้ขึ้นใจเช่นกัน

"ตกลงเอ็งไม่ได้ฟังที่ข้าพูดเลยใช่ไหม นังดอกแก้ว"

"ฟังจ้ะ แต่อยากฟังพ่อด้วย"

"จะไปหาให้มันด่ากลับมารึ"

"จ้ะ"

"เอ๊ะ นังดอกแก้ว แกนี่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยเหรอไงวะ"

"โธ่ ยายจ๋า ฉันก็แค่อยากฟังพ่อพูดกับปากว่าไม่รักฉันกับแม่แล้วจริงๆ เท่านั้นเองนี่จ๊ะ"

ร่องรอยย่นยับบนหน้าของยายทวีความเคร่งเครียด

"เออ ถ้าเอ็งอยากจะไปหามันก็ได้ ข้าไม่ห้ามเอ็งหรอก แต่ข้าขอเอ็งนะ เห็นแก่หัวหงอกเถอะ เอ็งเรียนให้จบ ให้มีอนาคตดีๆ แล้วค่อยไปหามันนะ จะได้ตอกหน้ามันให้รู้เสียบ้าง ว่าต่อให้ไม่มีพ่อเฮงซวยอย่างมัน เอ็งก็เป็นคนดี เป็นคนเก่งได้ ถือว่าทำเพื่อนังวิภาแม่เอ็งก็แล้วกัน ได้ไหมนังดอกแก้ว"

เด็กหญิงอาคิรายิ้มรับ นันย์ตาส่อความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว

"ได้จ้ะยาย ฉันจะเรียนจบสูงๆ เป็นคนดี เป็นคนเก่ง แล้วค่อยไปหาพ่อ"

เรื่องราวในวันก่อนเก่า หล่อหลอมเด็กหญิงตัวน้อยให้เติบโตขึ้นมากลายเป็นอาคิราคนปัจจุบัน เธอรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับยายได้

อย่างน้อย การเรียนจบปริญญาตรีคณะนิติศาสตร์ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ก็น่าจะพอเป็นเกียรติเป็นศรีแก้หน้าให้แม่วิภาของเธอได้




รถเบ็นซ์สีดำ เลขทะเบียน วว-๙๙๙... เดินออกไป แกล้งทำเป็นลม... บอกเขาว่าจะมาสมัครงาน ทบทวนอีกครั้ง รถเบ็นซ์สีดำ เลขทะเบียน วว-๙๙๙... เดินออกไป แกล้งทำเป็นลม... บอกเขาว่าจะมาสมัครงาน

นี่เธอมัวทำบ้าอะไรวะเนี่ย

อาคิราหงุดหงิดกับแผนการของรสสุคนธ์ที่ทำให้เธอต้องมายืนใต้ร่มไม้หน้าโรงแรมสินวารินทร์ โฮเต็ล ซึ่งอยู่ริมถนนส่วนบุคคล ในช่วงที่แสงแดดเฉิดฉายจนทำให้ตาพร่า

เธอสวมชุดแซกสีเบจ คาดเข็มขัดดำเส้นเล็กตรงเอว แฟ้มในมือกระพือพั่บๆ เพื่อคลายอุณหภูมิในร่างกายที่เดือดทะลัก เหงื่อแต่ละเม็ดผุดพราวจนอยากกลับไปอาบน้ำใหม่ นี่ถ้าไม่ติดว่ารสสุคนธ์กำชับนักหนาว่าเป้าหมายของเธอจะโผล่มาตอนสิบโมงตรงเป๊ะ ไม่ล้ำไม่เหลื่อมแม้เสี้ยววินาทีล่ะก็ เธอคงหาทางเถลไถลไปนั่งตากแอร์เย็นๆ เป็นแน่

"ขั้นแรก แกต้องทำให้เขาสงสาร เขาจะได้รับแกเข้าทำงาน"

เสียงของคนต้นคิดยังดังก้องในหู จำได้ว่าเธอเถียงกลับ

"ฉันไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าทำไมฉันต้องเสี่ยงตายให้รถเขาชนเล่นด้วยวะ"

"แกไม่เคยเห็นในหนังเหรอไงยัยดอกแก้ว เวลาที่นางเอกเดินผ่านหน้ารถพระเอกปุ๊บ พระเอกจะรีบเบรกกึ๊ก นางเอกก็เป็นลมแต่ไม่ได้รับอันตรายอะไรเลย ทีนี้พ่อเจ้าประคุณทูนหัวก็จะลงมา ประคองกอดนางเอกไว้ในอ้อมอกด้วยความประทับใจ ระคนสำนึกผิด ตอนนั้นแหละที่ฟีโรโมนเพศจะพลุ่งพล่าน ทำให้เขาอยากใกล้ชิดและรู้จักมากขึ้น พอแกบอกเขาว่า แกจะสมัครงาน รับรอง แกได้ชัวร์"

"อ้อน... นั่นพ่อฉัน"

"เออ โทษทีว่ะ ลืม... มันก็เหมือนกันนั่นแหละ พ่อกับลูกมีสายสัมพันธ์กันใช่ไหม พอเจอหน้ากันปุ๊บ มันจะเหมือนมีแม่เหล็กดึงดูด ทำให้เกิดความรู้สึกแปลกๆ ว่านี่เป็นสายเลือดของเขา จากนั้นเขาก็จะสนใจแกมากขึ้น พอแกบอกจะสมัครงาน เขาก็จะรับแก"

"แล้วมันต่างยังไงกับไปสมัครงานตรงๆ"

"อ๊ายยย! ถามอะไรอย่างนั้นคะคุณดอกแก้ว ลองแกไปตามระบบงานแล้วไม่โดนฝ่ายบุคคลตะเพิดแกออกมาสิ ฉันยอมแก้ผ้ารำรอบบ้านเลย"

"อ่ะๆ ฉันเชื่อแก แต่สมมุตินะ ว่าถ้าเขาชนฉันตายขึ้นมาล่ะ"

"งั้น เรื่องนี้แกก็ไม่ใช่นางเอกไง ดอกแก้ว จริงไหม... อย่ามัวลังเลค่ะ ลุยเลย ห้ามทำพลาดล่ะ"

รสสุคนธ์สั่งเธอมาแค่นั้น ซึ่งนับว่าเป็นแผนการที่บ้าดีเดือดสิ้นดี หากคนที่บ้ากว่าคงจะเป็นเธอที่ยอมทำตามแผนการของเพื่อน

เอาเถอะ... เธอรอคอยมายี่สิบห้าปี เพื่อที่จะมีวันนี้ อย่างไรเสีย เธอจะต้องไม่ปล่อยให้โอกาสเลื่อนหลุดเป็นอันขาด

สิบนาฬิกาตรงเป๊ะ!

รถเบ็นซ์สีดำ เลขทะเบียน วว-๙๙๙ แล่นผ่านปากประตูรั้วของโรงแรมเข้ามา ไม่เร็วมาก แต่ก็ชวนให้หวาดเสียว สิ่งที่เธอต้องทำคือ กะจังหวะเดินออกไป แล้วแกล้งเป็นลม

อาคิรากลั้นใจ กระโดดออกไปกลางถนน แล้วกางแขนกางขา ยืนจังก้ากับรถที่กำลังพุ่งเข้ามา!

เสียงเบรกดังสนั่น รถหยุดกึกห่างจากเธอเพียงคืบ ไม่มีส่วนใดบุบสบาย แต่ดูเหมือนกระเพาะปัสสาวะจะหดตัวขั้นอุกฤต อาจหลั่งหยาดน้ำทะลักล้นได้ในเวลานี้หากขยับ หัวใจเต้นโครมครามราวกับมีใครเอากลองเข้าไปตีในอก

"น้อง เป็นอะไรรึเปล่า"

คนที่ลงมาจากรถเป็นคนแรกคือคนขับที่ใส่ยูนิฟอร์มสีขาวสะอาดของโรงแรม โครงหน้าเหลี่ยมขึ้งเครียด จนอาคิราอ่านความในใจออก เขาคงอยากแผดเสียงใส่หน้าเธอว่า “นังเวร” มากกว่า

"ทำไมจู่ๆ ถึงกระโจนออกมาขวางแบบนี้ เกือบตายแล้วไหมเรา"

"ฉัน..." สมองครุ่นคิดโดยด่วน เธอนึกแผนการไม่ออก รสสุคนธ์บอกเธอว่าอย่างไรนะ รถเบ็นซ์สีดำ เลขทะเบียน วว-๙๙๙... เดินออกไป แกล้งทำเป็นลม อ๋อ แกล้งทำเป็นลม

แฟ้มในมือของอาคิราร่วงหล่น กระจายเกลื่อนพื้น ร่างบางทรุดฮวบลงนอนในท่าที่น่าจะสวยที่สุดตามความคิดของเธอ

หญิงสาวหลับตา สองหูสดับเสียงรอบข้างชัดเจน

"อะไรอ่ำ" เสียงทุ้มหล่อ ฟังดูอบอุ่น แฝงความเซ็กซี่ละม้ายบั้นท้ายของหนุ่มละติน... แต่ พ่อเธอน่าจะเสียงแก่กว่านี้นะ

"น้องผู้หญิงคนนี้เป็นลมครับนาย ผมยังไม่ชนเลยนะครับ สงสัยช็อค"

ได้ยินคล้ายเสียงเปิดประตูรถ ตามด้วยเสียงปิดดังโครม ขนาดรถคันนี้เป็นรถเบ็นซ์เชียวนะ ถ้ากระแทกอารมณ์ใส่ประตูรถได้ขนาดนั้นล่ะก็ สงสัยอารมณ์คนที่ลงมาต้องคุกรุ่นแน่ๆ

ใจเย็นๆ ไว้ อาคิรา ตั้งสติ

กลิ่นน้ำหอมจางๆ แบบผู้ชายลอยกระทบนาสิกประสาท รู้สึกเหมือนคนๆ นั้นจะย่อตัวต่ำ เพื่อจ้องดูเธอ แต่ไม่แตะต้องอะไรเลยสักนิด

"คนสมัยนี้หาเงินแปลกๆ ยอมเจ็บตัวเพื่อแลกกับค่าทำขวัญก็เอา"

เจ้าของน้ำเสียงนุ่มสุดเย้ายวนเป็นคนพูด ทำอาคิราร้อนๆ หนาวๆ ให้ตายเถอะ... นี่เขากำลังคิดว่าเธอเป็นแก้งค์มิจฉาชีพเหรอ ดูถูกกันไปหน่อยไหม

แต่ยังไม่ลืมตา กลัวเสียแผน

แล้วสักพัก ก็รู้สึกเหมือนมีเศษกระดาษหล่นโปะลงบนหน้า

"สามพันคงพอนะ ไม่เป็นอะไรสักหน่อย อ่ำ เดี๋ยวเรียกยามลากออกไปทิ้งข้างนอกด้วย แล้วสั่งถ้าใครเจอผู้หญิงคนนี้อีก อย่าให้เข้ามาในโรงแรมเด็ดขาด"

"ครับ"

ไม่มีการเหลียวแลอะไรเพิ่มเติมสักนิด อาคิราฉุนจนทนไม่ไหว ลุกพรวดขึ้นนั่ง ตะโกนกลับ

"เอาเงินคุณคืนไป!"

บุรุษในชุดสูทดำซึ่งขณะนี้กำลังหันหลังให้เธอเพื่อขึ้นรถหยุดชะงัก

"ฉันไม่ได้มาทำอะไรทุเรศๆ แบบที่คุณคิด" เธอลุกยืน ปัดเศษดินเศษฝุ่นที่ติดตามเนื้อตัวออก ก่อนยัดธนบัตรใส่มือคนขับรถที่ชื่ออ่ำ "เอาคืนเจ้านายของพี่ด้วย ฉันไม่อยากได้"

อาคิราพูดจบก็ก้มลงเก็บเอกสารที่เกลื่อนกระจาย พลันนั้น กลับมีเงาคนทอดทับบดบังแสงแดดตรงหน้าเธอ หญิงสาวแหงนมอง ชายหนุ่มคนเดิมที่กล่าวหาเธอว่าเป็นมิจฉาชีพกำลังส่งยิ้มหยัน

พิศจากมุมนี้ เขาเป็นคนร่างใหญ่ บึกบึน โครงหน้าคมสัน ล้อมกรอบด้วยผมที่ค่อนข้างยาว ซอยประณีตตามเทรนด์ ดวงตาสีนิลเข้มดั่งไฟดำที่พร้อมหลอมละลายผู้ถูกจ้องมอง จมูกโด่ง ริมฝีปากยกยิ้มชวนให้คิดว่าเจ้าตัวเป็นคนอารมณ์ดีตลอดเวลา

หล่อ เท่ น่าหลงใหล... ในกรณีที่หุบปากไว้ไม่ให้หัวสุนัขโผล่ออกมา

"ฟื้นไวจังนะคุณ "

อาคิราหน้าบึ้ง มองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้วางใจ สองมือรีบเก็บเอกสารจนครบ แล้วลุกยืน โชคไม่ดีเอาเสียเลยที่ชายหนุ่มยังยืนนิ่งข้างเธอไม่ขยับ

จะบ้าตาย ไหนรสสุคนธ์บอกเธอว่า เจ้าของรถคันนี้คือบิดาของเธอ ท่าน รมต.ทัตพงศ์ จิระภักดี ไง ทำไมกลายเป็นไอ้หน้าหล่อนี่ได้นะ

หญิงสาวขยับตัว จะเดินหนี หากอีกฝ่ายขยับเยื้องมาบังทางเธอไว้

"อะไรของคุณ" เธอเอ็ด หากชายหนุ่มยักไหล่เบาๆ นัยน์ตาพราว

"เปล่า ผมแค่อยากรู้ว่าคุณเล่นอะไรอยู่"

อาคิราอยากเท้าสะเอว ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้แดดร้อนมาก เธอเลยต้องยกแฟ้มขึ้นบังแสงร้อนแรงจากดวงอาทิตย์

"ฉันไม่ได้เล่นอะไรทั้งนั้นแหละ"

"อ้าว แล้วที่กระโดดขวางหน้ารถผมเมื่อกี้ล่ะ"

"นั่นมันเรื่องของฉัน"

พูดจบ เดินหนี แต่ชายหนุ่มยังทำตัวเป็นเจ้ากรรมนายเวร ตามติด หนีอย่างไรก็ไม่พ้น ให้มันซวยได้อย่างนี้สิน่า

"ผมเข้าใจแล้วล่ะ คุณคงอยากอ่อยเหยื่อสินะ"

"ห๊ะ!"

"ก็... เรียกร้องความสนใจ แผนไม่ค่อยแนบเนียนเท่าไหร่นะครับ"

อาคิราอยากยกมือตบหน้าผากตัวเองสักป้าบ หรือไม่ก็ขอเตะผ่าหมากคนพูดสักที เธอไม่โกหกตัวเองว่า จากการพิจารณาทางสายตาแล้ว เขาหล่อ ถึงขึ้นหล่อมากเลยก็ได้เอ้า! แต่นั่นไมได้ทำให้เธอพิศวาสสักนิด

หญิงสาวฝืนยิ้มหวาน ค้อมคำนับเขาครั้งหนึ่งเป็นมารยาท

"ขอบคุณค่ะที่ให้เกียรติคิดว่าดิฉันอ่อยเหยื่อ เอาเป็นว่า อะไรทำที่ให้ผู้ชายหลงตัวเองแบบคุณคิดแล้วมีความสุขก็ทำไปนะคะ ดิฉันไม่ห้าม... ลา!"

กระแทกส้นเท้าเบาๆ แล้วเดินหนี อาคิรายังได้ยินเสียงหัวเราะไล่หลัง



รถแท็กซี่สีชมพูจอดเทียบริมบาทวิถีเมื่ออาคิราโบกเรียก หลังจากเธอต้องหน้าแตกกลางอุณหภูมิแตะสามสิบห้าองศาเซลเซียสมาเป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง และอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุเป็นระยะทางประมาณห้าร้อยเมตร

นั่นแหละ เพราะแผนการของรสสุคนธ์ตัวดี ที่ทำให้เธอต้องระเห็จออกมาจากโรงแรมนั้นอย่างไม่เป็นท่า หมดกัน ความหวังและความฝันยี่สิบห้าปีที่รอคอย

อาคิราบอกจุดหมายปลายทางแก่คนขับรถ อายุเขาน่าจะราวๆ สี่สิบปี ตัวผอม สีผิวเข้ม นัยน์ตาโปนเด่นที่สุดบนโครงหน้าที่เต็มไปด้วยเหลี่ยมมุมของโครงกะโหลก เขาตอบตกลง เธอจึงเปิดประตูขึ้นนั่งเบาะหลัง

พอสัมผัสอากาศเย็นๆ ได้ยินเสียงเพลงลูกทุ่งเคล้าคลอ อาคิราสะบัดผมเล็กน้อย ล้วงโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋า ต่อสายหาตัวต้นเหตุทันที

"ว่าไงจ๊ะ สำเร็จลุล่วงด้วยดีใช่ไหมล่ะ" รสสุคนธ์ถาม ในโทนเสียงละม้ายว่ากำลังฝึกร้องโอเปร่า

"ฉี่แทบเล็ด" อาคิราบ่น ถ้อยเสนาะดึงสายตาคนขับแท็กซี่ให้หันมามองแว่บหนึ่ง หากหญิงสาวไม่ใคร่ใส่ใจสายตาคนแปลกหน้านัก ยังเค้นอารมณ์กับเครื่องมือสื่อสารขนาดจิ๋วที่จ่อแนบหู "แถมไอ้รถคันนั้นก็ไม่ใช่รถพ่อฉันด้วย รถใครก็ไม่รู้"

ละม้ายเสียงร้องกรี๊ด หรือคิดอีกทีอาจเป็นการเอื้อน แต่สำหรับอาคิรานั้นช่างโหยหวนชวนนึกถึงสุนัขหมาป่านั่งตรงชะเงื้อมผา โก่งคอสุดเหยียด แหงนหอนแด่ดวงเดือน

"จำผิดคันรึเปล่าคะคุณเพื่อน รถเบ็นซ์สีดำนะ"

"เลขทะเบียน วว-๙๙๙ มาตอนสิบโมงตรงเป๊ะ ฉันไม่พลาดหรอกน่าเรื่องแค่นี้ ข้อมูลของแกต่างหากที่มั่ว"

"ไม่นะ เดี๋ยวไว้เช็คอีกทีก็ได้ แต่สรุปว่าแกทำไม่สำเร็จใช่ไหม"

"อือ"

"นั่นไง ฉันคาดการณ์ไว้แล้ว"

"แกก็เลยมีแผนสำรอง" อาคิราถาม

"ไม่มี ยังคิดไม่ออก ตอนนี้ฉันกำลังซ้อมละครเพลงเรื่องพบรักที่บางจากอยู่ ไม่มีสมาธิมาคิดพล็อตเรื่องให้แกหรอกนะ"

อาคิราเหลือกตาอย่างอดไม่ได้

"แกนั่นแหละตัวดีเลย วางแผนห่วย ขนาดหน้าพ่อฉันยังไม่ได้เจอ"

"เอาน่า... ลัลล้า" น่าจะเป็นโน้ตตัวซอลที่รสสุคนธ์เปล่งเสียง "แม้ฟ้าจะพรากเราจากกัน ฮ้า ฮา... ยังไงเสีย แกก็ไม่สิ้นหวังเสียทีเดียวหรอก เอางี้ มาหาฉันที่บ้านก่อน พักกินน้ำกินท่าเย็นๆ แล้วค่อยคิดกันต่อว่าจะเอายังไงดี บางทีฉันอาจหาพล็อตรองในเรื่องพบรักที่บางจากให้แกยืมใช้ก่อนก็ได้"

"เรื่องนั้นไม่ต้องบอกหรอก ฉันกำลังจะไปถล่มบ้านแกในอีกสิบห้านาทีนี้แหละ แล้วอย่าออกไปไหนนะ ถ้าฉันไม่เจอแก ฉันเหวี่ยงแน่"

"ค่า คุณเพื่อน เท่านี้ก่อนนะแก ฉันต้องใส่ลูกคอสิบสี่ชั้นตรงเนื้อร้องท่อนนี้ด้วย ไม่มีสมาธิเลยว่ะ"

รสสุคนธ์ตัดสาย เหลือแต่เสียงแห่งความว่างเปล่า อาคิราทำหน้าเซ็งๆ ให้กับโทรศัพท์มือถือ แล้วโยนมันกลับลงกระเป๋า ตรึกระลึกถึงแผนการคร่าวๆ ว่า ควรจะทำอย่างไรต่อไปเพื่อจะได้มีโอกาสเข้าใกล้บิดาของเธอ

สองหูสดับดนตรีเบาๆ จนกระทั่งจบเพลง ตามด้วยจิงเกิ้ลนำเข้าสู่ช่วงข่าวสั้นระหว่างพักเบรก เนื้อหาข่าวถูกรายงานอย่างรวดเร็ว เร่งร้อนจากปากนักข่าวสาว บ่งบอกว่ากำลังอยู่ในเหตุการณ์จริง

อาคิราไม่อยากจะฟังนัก แต่ไม่มีอะไรอย่างอื่นที่ดีกว่านี้ จึงปล่อยให้คลื่นเสียงเหล่านั้นไหลผ่านโสต นักข่าวสาวแจ้งสถานที่ที่ตนกำลังทำการถ่ายทอดสดอยู่ พร้อมรายงานสถานการณ์

"คุณหญิงนงนภัส จิระภักดีถูกจับเป็นตัวประกันโดยชายไม่ทราบชื่อมาเป็นเวลาร่วมสิบนาทีแล้วค่ะ ขณะที่ผู้ชายคนนั้นตะโกนออกมาเป็นระยะถึงความเครียดที่ตนเองสะสม ตำรวจและญาติของเขาต่างช่วยกันเกลี้ยกล่อมท่ามกลางเสียงเอ็ดอึงอลหม่าน..."

มีคำกล่าวว่า โชคดี ไม่ใช่สิ่งที่ประทานมาอยู่ในมือ แต่คือสิ่งที่มนุษย์ต้องไขว่คว้า จากโอกาสที่ผ่านมานานๆ ครั้ง

อาคิราตาโตลุกวาว หรือนี่อาจจะเป็นโชคดีของเธอ

หญิงสาวสะกิดแขนคนขับแท็กซี่ เขาหันกลับมามอง เธอสั่ง

"ไปตามข่าวเลยพี่ ไวที่สุดด้วย!"



(โปรดติดตามตอนต่อไป)



Create Date : 06 มิถุนายน 2555
Last Update : 6 มิถุนายน 2555 12:30:17 น. 5 comments
Counter : 2010 Pageviews.

 
รักดี สู้ๆ !!!

555 เพิ่งตื่นเลยแวะเข้ามาเชียร์


โดย: ploy666 IP: 110.169.203.202 วันที่: 6 มิถุนายน 2555 เวลา:22:45:10 น.  

 
หึยๆๆ คนนั้นใช่พระเอกมั้ยน่ะ? หึยๆๆๆ


โดย: เจ้าหญิงเปื้อนดิน วันที่: 28 กรกฎาคม 2555 เวลา:8:26:57 น.  

 
สวัสดีค้าบ คุณเจ้าหญิงเปื้อนดิน
ขอบคุณที่แวะมาอ่านค้าบบบบ
ตอนนี้คงแล้วล่ะสิ ว่าใช่พระเอกรึเปล่า หุหุหุ

ยินดีขนาดที่แวะมาจ้า ^_^


โดย: รักดี / กิรนัจ IP: 118.172.92.10 วันที่: 29 กรกฎาคม 2555 เวลา:11:14:20 น.  

 
สนุกดีค่ะ ชอบๆๆๆ


โดย: asasa IP: 223.206.192.55 วันที่: 4 สิงหาคม 2555 เวลา:23:11:28 น.  

 
คุณ asasa

ขอบคุณแทนคนเขียนค่ะ อย่าลืมติดตามต่อเน้อ...


โดย: ploy666 (ploy666 ) วันที่: 8 สิงหาคม 2555 เวลา:3:12:35 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ploy666
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




หนังสือที่มีวางจำหน่ายเฉพาะในบล็อก
https://ploy666.bloggang.com




ชื่อเรื่อง : เศวตธามัน (บัลลังก์ศศิธรา)
นามปากกา : สิตาปางค์
ประเภท : จินตนิยาย , โรแมนติก
รูปเล่ม : ขนาด 700 หน้า A5
ออกแบบปก : Little thing

ราคา : 850.- บาท
สินค้าหมด

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=ploy666&group=28

สั่งซื้อที่ : .........

หมายเหตุ : งดใส่ลายเซ็นนักเขียนทุกกรณีค่ะ

** ***********************************



ชื่อเรื่อง : เงาบรรณ
นามปากกา : ลายน้ำ
ราคา : 259.- บาท
สั่งซื้อที่ (ยุติการสั่งซื้อ)

สินค้าหมดค่ะ



****************

นิยายที่อัพล่าสุดคือเรื่อง

รอยทรายบนลายรัก
...และ...
กระต่ายในใจจันทร์



***********

เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่า
ทนไม่ไหวแล้ว...
จงเรียนรู้ ที่จะขอความช่วยเหลือ

โลกไม่ได้โหดร้ายเกินไปนัก
ผู้คน ก็ไม่ได้ใจร้ายไปซะทั้งหมด

เป็นกำลังใจให้ค่ะ...


Ploy666.



************

หมายเหตุสักนิดค่ะ...

ถ้าเป็นไปได้ งดการแปะรูปใส่คอมเม้นท์นะคะ
เจ้าของบล็อกเข้าหน้าจอไม่ได้จ้า เน็ตห่วยมากมาย

ขอบคุณคนใจดีทั้งหลายล่วงหน้าค่ะ


**************

เนื้อหาต่างๆที่อัพในบล็อก
สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย


Friends' blogs
[Add ploy666's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.