Group Blog
 
 
ธันวาคม 2555
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
12 ธันวาคม 2555
 
All Blogs
 

รอบทรายบนลายรัก ๒


คุยกันก่อน
คุณน้องรักดียังไม่โผล่ค่ะ พลอยเลยแอบเอานิยายมาอัพแปะให้ก่อน ตามนี้นะคะ 55+

------- ------------

สวัสดีวันพุธค้าบ...
ฤดูหนาวมาอีกแล้ว อากาศเย็น (เย็นมาก เชียงรายหน๊าวหนาว)
อย่าลืมรักษาสุขภาพของตัวเองกันด้วยนะครับ
เดี๋ยวถ้าคนอ่านเป็นหวัดหายไป คนเขียนก็จะหงอย
(เกี่ยวเนื่องนะเนี่ย 5555)

ช่วงนี้คนเขียนกำลังสนุกอยู่กับการจัดบ้านครับ
ค่อยๆ จัดไปวันละนิด วันละหน่อย แล้วก็ค้นพบว่า
โห... นี่เราหมักหมมเศษขยะไว้เยอะถึงขนาดนี้เลยเหรอฟระ
ยิ่งเจอยิ่งรื้อ ยิ่งเจอยิ่งขนไปทิ้ง จนแทบเกลี้ยงบ้าน T_T

และเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศที่ลมเหนือพัดมา
พร้อมต้อนรับเทศกาลวันหยุดที่อบอวลไปทั่วทั้งเดือน (ตรึมอ่ะ 555)
เลยนำรอยทรายฯ บทที่สองมาลงให้อ่านกันต่อ
อากาศเย็นๆ ในวันหยุด กับบรรยากาศร้อนระอุเป็นพักๆ ในนิยาย
แลดูเข้ากั๊น เข้ากัน (ตรงไหน? )

แต่ก็ต้องขอออกตัวไว้ก่อนว่าคนเขียนไม่ถนัดเรื่องแนวนี้จริงๆ...
ฉะนั้น ผิดบ้างพลาดบ้าง
ก็ขออภัยคุณผู้อ่านทุกท่านไว้ก่อนเลยแล้วกันนะค้าบ

สุขสันต์วันพุธ.... มีความสุขกับการอ่านนิยายค้าบบบ...
ขอบคุณครับ
^___^




..............................................................by กิรนัจ

รอยทรายบนลายรัก
บทที่ ๒


ช้องนางกำลังคิดว่าทฤษฎีที่กล่าว “คนตัวเล็กมักสมองใหญ่ ส่วนคนตัวใหญ่มักสมองเล็ก” ดูจะมีความเป็นไปได้สูง และค่อนข้างเป๊ะเว่อร์ เพราะเธอต้องใช้เวลาตลอดห้านาทีอันสูญเปล่าไปกับการรื้อฟื้นความทรงจำของไอ้เซ่อล่ำกล้ามโตตรงหน้าให้นึกให้ออกว่าเธอเป็นใคร ใหญ่คับบ้านคับเมืองขนาดไหน แต่ถึงจะงัดสารพัดสิ่งอ้าง ตาคลีก็ยังทำหน้านิ่งเป็นปูนปั้น ยืนยันเสียงแข็งว่าชื่อและเสี้ยวหน้าของเธอไม่อยู่ในซอกหลืบความทรงจำของเขาเลยแม้แต่น้อย ช้องนางถึงขั้นล้วงเอาบัตรประชาชนออกมาให้เขาแหกตาดู แต่พ่อคุณพ่อทูนหัวก็ยังปฏิเสธ และสั่งสอนเธอเล็กน้อย

“แล้วเลิกเรียกผมว่าคุณหมวดด้วย ยศผมร้อยเอก”

“โธ่ คุณหมวดคะ...”

“ผู้กอง!” น้ำเสียงชักเกรี้ยวกราด

“ฉันเข้าใจค่ะว่าตำแหน่งของคุณคือผู้กอง แต่คุณคิดสักนิดไหมคะว่าถ้าฉันเรียกคุณว่า คุณหมวด จะฟังดูน่ารักน่าเอ็นดูกว่า ให้ความรู้สึกอบอุ่น มีมนุษยสัมพันธ์ ให้อารมณ์มั่นคง น่าพึ่งพา และเป็นกันเองกับประชาชนมากกว่าคำว่าผู้กองที่แสนจะเย็นชา ห่างเหิน และอีกอย่างฉันไม่ปลื้มเลยค่ะ เรียกคุณหมวดน่ะดีแล้ว” พยายามแถเต็มที่ เจ็บสีข้างนิดๆ เหมือนมีรอยถลอก

ตาคลีจ้องเธอเขม็งครู่หนึ่ง ท่าทางเหมือนน้ำนิ่งไหลลึก ช้องนางกระพริบตาปริบๆ ยิ้มหวานเยิ้มหยดย้อยเอาใจคนตรงหน้า และไม่เสียแรงเปล่าที่ทำให้ชายหนุ่มถอนใจเฮือก แล้วศอกถองดันร่างอันแสนบอบบางของเธอซึ่งเกะกะขวางทางเขาออกเบาๆ เหมือนเขี่ยสิ่งปฏิกูล ตาคลีตรงไปยังประตูรั้ว เปิดออก ก้าวเข้าไป แล้วงับปิด ตึง! ช้องนางได้แต่มองตามตาละห้อย โอดครวญ

“โอ.เค. ค่ะ ผู้กองก็ผู้กอง” หญิงสาวเริ่มเจรจาอย่างสันติ ยังไงก็ต้องเอาใจเขาไว้ก่อนเพื่อตั๋วไปโปรตูเซีย แต่สาบานได้เลยว่า ถ้าได้ไปแล้วจะจัดการคืนทีหลัง ดั่งสุภาษิตจีนกล่าวไว้ สิบปีล้างแค้นก็ยังไม่สาย (ถ้าอีกฝ่ายยังไม่ตายไปก่อน) “ฉันถามคุณตรงๆ นะ คุณจำฉันไม่ได้เลยเหรอ เมื่อสิบปีก่อนไงคะคุณหมวด เอ้อ คุณผู้กอง ตอนที่คุณกำลังอกหักเพราะโดนแฟนหนีไปอเมริกาจนคุณเสียใจแทบไม่เป็นผู้เป็นคน ตอนนั้นฉันคอยอยู่ข้างๆ คุณ ปลอบประโลมจิตใจจนคุณเลิกโศกเศร้า กลับมามีแรงฮึดสู้กับชีวิตอีกครั้ง” เกลี้ยกล่อมได้ดีมาก ควบคุมสถานการณ์ได้ดีเยี่ยม น่าทึ่งสุดๆ เลยช้องนางเอ๊ย

“ถ้าคุณอยากเรียกการซ้ำเติมว่าปลอบ ก็ตามสบาย” ตาคลีบ่นงึมงำกับตัวเอง พลางโคลงศีรษะระอา “แต่อย่างน้อยๆ ถ้าจะจำก็ไม่ควรลืมด้วยว่าใครเป็นคนโวยวายไร้สติ ชี้คนร้ายผิดตัวจนทำให้ผมเข้าคุกแล้วไปตามนัดไม่ทัน!”

สายตาของเขาเย็นชาสุดขั้ว ขณะเดียวกันก็ละม้ายมีเสียงลั่นเปรี๊ยะราวกับก้อนน้ำแข็งแตกร้าว ตาคลีก็พูดเกินไป ทำให้ติดคุกอะไรกันล่ะ เธอแค่มอบโอกาสการใช้ชีวิตหลังม่านกรงขังให้เขาก็เท่านั้นเอง คิดดูสิว่าจะมีสักกี่คนบนโลกนี้ที่ได้ไปนอนในคุก กินข้าวแดงกับโอเลี้ยง อยู่สนทนากับตำรวจทั้งคืน จะหาซื้อทัวร์แบบนี้จากบริษัททั่วประเทศก็ไม่มีหรอก แต่อีตาคุณหมวดแทนที่จะมองโลกในแง่ดี กลับมีทัศนวิสัยแย่ ทำเป็นเจ้าคิดเจ้าแค้นไปได้ เดี๋ยวก็หน้าเหี่ยวก่อนวัยอันควรหรอก... ว่าแต่จัดการธุระเสร็จเธอคงต้องไปหาหมอที่คลินิกด้วยล่ะมั้ง ต้องหาข้อมูลก่อนว่าควรใช้ครีมกันแดดยี่ห้อไหนถึงจะต้านทานรังสียูวีที่โน่นได้

มัวแต่แก้ต่างให้ตัวเองในใจ กว่าจะนึกขึ้นได้ว่าเมื่อกี้เขาพูดอะไรออกมา “คุณจำฉันได้นี่”

“มาสคอตความซวยอย่างคุณ ใครจะลืมลง”

“ขอบคุณที่ชมว่าฉันน่ารักเหมือนตุ๊กตา” หญิงสาวมองโลกในแง่บวกสุดๆ “งี้ก็แปลว่าโกหกล่ะสิที่บอกว่าจำฉันไม่ได้น่ะ ทำไมเป็นคนอย่างนี้ล่ะคะคุณหมวด คุณเป็นทหารนะ”

“ทหาร ไม่ใช่พระ”

“นั่นแหละ คนในเครื่องแบบเหมือนกัน” หญิงสาวพยายามโยงอย่างเต็มที่ ในใจเดือดปุดๆ เมื่อรู้ว่าตัวเองโดนต้มเสียจนเกือบเปื่อย ก่อนจะรีบสะกดอารมณ์ลง แล้วคุยอย่างเป็นการเป็นงาน “แต่ไม่เป็นไร แม่ฉันสอนไว้ว่าคนเราจะสวยแต่หน้าตาอย่างเดียวไม่ได้ ใจต้องสวยด้วย ฉะนั้นฉันให้อภัยคุณ” พูดแล้วยิ้มเห็นฟันครึ่งหนึ่งแบบนางงาม “ว่าแต่คุณไม่คิดจะเปิดประตูให้ฉันเข้าไปคุยข้างในกันหน่อยเหรอ”

“วันนี้ผมไม่รับแขก” คำตอบห้วนสั้น

“แขกที่ไหน เราก็เหมือนคนในครอบครัวเดียวกันนั่นแหละ” ไม่พูดเปล่า ยังพยายามออกแรงดึงประตู แต่ตาคลีเอื้อมล็อกรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ ก่อนยันแขนกับขอบปูน เก๊กหล่อ พอรู้แน่ว่าเปิดไม่ได้ ช้องนางก็ยอมแพ้ “นี่คุณ คุยกันก่อนได้ไหมคะ ห๊ะ เห็นรึเปล่าว่าฉันมาดี มีของฝากด้วย” ยื่นขวดไวน์แดงเลอค่าอมตะให้ แต่ชายหนุ่มเค้นยิ้มแร้นแค้นน้อยๆ แวบหนึ่งเพียงชั่วพริบตา แล้วส่ายหน้ากวนๆ

“ติดสินบนเจ้าพนักงาน”

รู้ได้ไงวะ... ช้องนางรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ จงใจเฉไฉ แม้จะไม่แนบเนียนเท่าไหร่ก็เถอะ “สินบงสินบนอะไร้คุณหมวด...” ตาคลีคำรามขู่ “คุณผู้กอง... ฉันก็แค่คิดถึง มาเยี่ยมเยียนกันตามประสาคนรู้จัก คิดอะไรเลยเถิดเลอะเทอะ”

“เลิกมารยาเหอะ พี่ชายคุณโทรฯ มาบอกผมหมดแล้ว”

อ้าว ไอ้พี่โย เล่นกันแบบนี้ กะว่าจะขัดขวางเธอได้สินะ ไม่มีทาง! หญิงสาวชี้นิ้วดัชนีไปทางตาคลี ก่อนจะยื่นขวดไวน์ให้บอกว่าฝากถือ แล้วหันหลังกลับ ล้วงเอาคัมภีร์ชีวิตออกจากกระเป๋าถือ นิยายทะเลทราย หน้าร้อยสิบแปด ว่าด้วยเรื่องนาเดียยอมเอาตัวเข้าแลกกับท่านชีคเพื่อให้ท่านปล่อยตัวพี่ชายของเธอ แต่ท่านชีคจับได้ และถูกกล่าวหาอย่างสาดเสียเทเสียว่าเธอเป็นผู้หญิงร้อยเล่ห์เจ้ามารยา แต่ด้วยหัวใจอันแกร่งทรนง นาเดียจึงตอบท่านไปว่า...

“นี่คุณ อ่านอะไรน่ะ” เสียงตาคลีแทรกเข้ามาขัด ช้องนางรีบปิดหนังสือยัดลงกระเป๋าตามเดิม กลั่นอารมณ์จนน้ำตาคลอหน่วย แล้วหันกลับไปด้วยภาพสโลว์โมชั่น ปอยผมสลวยสะบัดพริ้ว น้ำเสียงสั่นเครือยามเอ่ยเอื้อน

“คุณจะกล่าวหาอะไรฉันก็เชิญเถิดค่ะ อยากจะพูดจาทำร้ายจิตใจฉันแค่ไหน หรืออยากจะลงทัณฑ์ทรมานฉันเพียงไรก็ได้ แต่กรุณาอย่าหมิ่นเกียรติและศักดิ์ศรีของฉัน ดวงตาของคุณต่อให้งดงามสักเพียงใด ก็คงไม่อาจมองเห็นหัวใจที่แท้จริงของฉันได้”

ตาคลีเกาหัวแกร๊ก สายตาของเขาบ่งบอกถึงความงุนงงเต็มที่ “เพ้ออะไรของคุณ”

“คุณไม่เข้าใจ” หญิงสาวก้าวถอย พลางกำหมัดแนบแน่นไว้กับหน้าอก ราวกับทรมานปิ่มจะขาดใจตาย “ผู้ชายอย่างคุณคงเห็นผู้หญิงเป็นเพียงเครื่องบำเรอ เห็นฉันเป็นแค่ทาสอารมณ์!” หญิงสาวเบือนหน้าหลบ เงยหน้ากระพริบตาปริบๆ เหมือนคนกำลังกลืนน้ำตา ตาคลีถอนใจเฮือก นั่งขัดสมาธิกับพื้น แขนข้างหนึ่งโอบขวดไวน์ มืออีกข้างเท้าคาง “พูดอีกสิคะ ทำร้ายจิตใจฉันอีกสิคะ ให้สมอุราให้สาแก่ใจของคุณเสีย เราจะได้ไม่มีอะไรติดค้างกันอีก แต่ฉันขอบอกคุณไว้ตรงนี้เลยว่า ฉันจะไม่มีวันร้องไห้ ร่ำไร เพราะฉันไม่ใช่หญิงเจ้าน้ำตา!!”

“จบยัง” ตาคลีถาม “แสดงเกือบดีแล้ว ติดตรงลิเกไปหน่อย เออ แล้วบทพูดน่ะ แน่ใจนะว่าคนปกติพูดกัน คุณคงรู้จักสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่าโทรศัพท์กับอินเตอร์เน็ตนะ มนุษย์ยุคใหม่เขาใช้เครื่องไม้เครื่องมือพวกนี้ในการติดต่อสื่อสาร ไม่ต้องร่ายผ่านเพลงยาวกันแล้ว ขอร้อง อย่าเยอะ”

“ฉันเสียใจอยู่นะ คุณต้องปลอบฉันสิ แล้วที่ยิ้มน่ะ ตลกนักเรอะ” ช้องนางกระทืบเท้าอย่างขัดใจ ให้ตายเหอะ ทำไมไม่เหมือนในนิยายวะ

“แหงสิ ผมไม่เคยดูอะไรขำขนาดนี้มาห้าปีแล้ว” ชายหนุ่มลุกขึ้น วางของกำนัลที่เธอมอบให้ไว้นอกประตูรั้ว บอก “วางไว้ตรงนี้นะ”

“เฮ้ ฮัลโหลลล... คุณหมวด ทำกับฉันอย่างนี้ไม่ได้นะยะ” หญิงสาวโผกระโจนเขย่าประตูรั้วอย่างบ้าคลั่ง ขาดความอดทน “ฉันต้องไปโปรตูเซีย แล้วพี่โยก็จะไม่ยอมให้ฉันไปถ้าคุณไม่ยอมรับประกันความปลอดภัยของฉัน โอ.เค. ฉันรู้ตัวว่าเคยทำผิดกับคุณมาก แต่ฉันก็อยากจะขอเจรจาปรับความเข้าใจเพื่อขอโอกาสแก้ตัวจากคุณ ฉันทั้งเครียด ทั้งจิตตกมาทั้งคืน แถมยังนั่งเกร็งระหว่างขับรถมาว่า เอ้อ ถ้าคุณยังโกรธฉันอยู่ฉันจะทำไงดี แล้วมันก็จริงด้วย ฉันแค่อยากได้โอกาสชี้แจงบ้าง เข้าใจม้ายยย คุณจะเดินหนีฉันอย่างนี้ได้ยังงายยย กลับมานี่ก่อนนน”

“เลิกโหยหวนทำลายวันหยุดผมซะที” เจ้าของเสียงเดินไปเกือบถึงตัวบ้าน

“คุณหมวดไม่เคยได้ยินเหรอไงว่าความทุกข์ร้อนของประชาชนไม่มีวันหยุด คุณต้องช่วยฉัน กลับมาช่วยฉันเดี๋ยวนี้!”

“ใช่ ความทุกข์ร้อนของคุณไม่มีวันหยุดหรอก แต่คุณหยุดทำให้คนอื่นเดือดร้อนสักวันนึงได้” เจ้าตัวถอดรองเท้า เตรียมขึ้นบ้าน

“ถ้าคุณไม่เปิด ฉันปีน!” ช้องนางยื่นคำขาด เท้าข้างหนึ่งเหยียบลูกกรง เตรียมตะกาย ตาคลีหันมองเธอครู่หนึ่ง ท่าทางเหมือนเริ่มใจอ่อน ช้องนางรู้ดีว่าเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ของผู้ชายต้องยอมอ่อนข้อให้เวลาที่ผู้หญิงเอาจริง รอยยิ้มกระหยิ่มผุดติดริมฝีปาก ทว่าก็เหือดหายรวดเร็วพอกัน

“ตามใจ ระวังเหล็กแหลมด้วย ถ้าคุณทำหักผมจะเก็บค่าเสียหายจากคุณ”

แล้วชายหนุ่มก็หายลับเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้หญิงสาวที่เพิ่งตระหนักว่าเขาคือหนึ่งเปอร์เซ็นต์ที่เหลือของผู้ชายเหล่านั้นขย่มประตูรั้วเหล็กระบายอารมณ์ตามลำพัง




โซเฟีย สไนเปอร์ก้าวเดินเนิบช้าเข้ามาภายในห้องทรงพระอักษร เธอสวมชุดสูทคัทติ้งพอดีตัว ผมรวบตึงเป็นหางม้าทิ้งสะบัดอยู่ด้านหลัง ในสมองครุ่นคิดถึงแต่ความผิดซ้ำซากครั้งแล้วครั้งเล่าที่เจ้าชายฟาอีสสร้างอย่างเหนื่อยหน่าย... ปัญหาที่ก่ออุปสรรคให้แก่งานของเธอเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องการออกราชโองการขอตัวช้องนางให้มายังโปรตูเซีย ไม่รู้ว่าไอ้พวกไม่มีหัวคิดคนไหนเสนอวิธีการบ้าบอพรรค์นี้ให้แก่เจ้าชาย หากรู้ล่ะก็ เธอคงสั่งเก็บหมด ไม่ให้เหลือรอดมาโชว์โง่ทำลายล้างสิ่งที่เธอค่อยๆ ก่อร่างสร้างประสานมาช้านานอย่างนี้หรอก

บานทวารออกสู่ระเบียงเปิดกว้าง เผยให้เห็นวรกายสูงใหญ่กำยำของเจ้าชายฟาอีส ที่ยืนหันพระขนอง เกศาสีดำสนิทยาวประปรายได้รับการตกแต่งเป็นระเบียบ พาหาแข็งแกร่งเด่นชัด ราวกับหินแกรนิตสลัก พระศอหนา ฉลองพระองค์สีขาวดูสามัญหากลึกลับและแฝงเร้น ราวกับถูกล้อมด้วยกำแพงล่องหนหนาทึบ

“ฝ่าบาท” น้ำเสียงขรึมล่วงผ่านริมฝีปากบาง ตั้งใจดึงคนตรงหน้าให้หลุดออกมาจากภวังค์ เจ้าชายหันกลับ แล้วเสด็จเข้ามาภายในห้อง ประทับนั่งตรงเก้าอี้หลังโต๊ะทรงอักษรสีไม้มะฮอกกานี พลางเอ่ยโอษฐ์เชื้อเชิญ

“นั่งสิ”

หญิงสาวถวายคำนับ แล้วนั่งตามรับสั่ง ดวงตาคมดุจตาเหยี่ยวของเธอสบเนตรกระด้างเบื้องหน้าตรงๆ “ฝ่าบาทประสงค์สิ่งใด จึงเรียกให้หม่อมฉันเข้าเฝ้า”

“ข้าเพิ่งรู้จากมหาดเล็กว่าเจ้าจะเดินทางไปประเทศไทย” กระแสเสียงตรัสกระด้าง “ทำไม”

โซเฟียสยายยิ้มบางเบา ตอบ “หม่อมฉันไม่แน่ใจในอุบายของพระองค์”

ดวงเนตรดุดันหรี่ลงเล็กน้อย แสงระยิบเหมือนเปลวเพลิงโชติช่วงแสดงถึงความไม่พอพระทัยอย่างเด่นชัด “คงหมายถึงเรื่องผู้หญิงคนนั้น” กระแสดำรัสออกแนวเหยียด “เจ้าวิตกมากเกินเหตุ ข้าส่งคำขอผ่านนายกรัฐมนตรีไทย ผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในประเทศนั่น หากเขาสั่งเพียงคำเดียว ทุกคนต้องทำตาม นับประสาอะไรกับผู้หญิงหนึ่งคน”

“ฝ่าบาทคงคุ้นชินแต่ระบบการปกครองในรูปแบบของพระองค์เท่านั้นกระมัง” โซเฟียยอกย้อน “สิทธิสตรีของไทยกับที่นี่แตกต่างกันนัก แม้พระองค์จะไม่ทรงยอมรับขนบใหม่ แต่ได้โปรดอย่าลืมว่าศูนย์กลางโลกมิได้อยู่ที่โปรตูเซีย อำนาจการตัดสินใจรวมอาจเป็นของรัฐ แต่หากอำนาจนั้นเป็นการริดรอนสิทธิขั้นพื้นฐาน นางเลือกที่จะไม่ทำได้” รอยยิ้มเหือดลงเล็กน้อยเมื่อกล่าวต่อ “มิสเตอร์ศักดิ์ชาติให้ความเกรงใจแก่ครอบครัวพชรเวชมาก อย่างไรเสียคงยอมเคารพการตัดสินใจของมิสเตอร์โยธา”

“เจ้ากำลังจะบอกว่าคำสั่งของข้าไม่ศักดิ์สิทธิ์”

“ตราบใดที่บัลลังก์ยังไม่เป็นของฝ่าบาทโดยสมบูรณ์ คำตรัสนั้นถือว่าถูกต้อง” โซเฟียตอบด้วยเสียงราบเรียบ หากนุ่มนวลประหนึ่งเมโลดี้ดนตรี

สีพักตร์ของเจ้าชายฟาอีสแข็งกระด้างขึ้นมาทันที

“มิสเตอร์โยธาไม่ใช่คนโง่” โซเฟียกล่าวต่อ ไร้ความแยแส “เขาย่อมรู้ดีว่าสถานการณ์ทางนี้ร้อนระอุด้วยไฟสงครามและเกมการเมือง การขอตัวน้องสาวของเขาให้มาช่วยงานดูจะเสี่ยงภัยและเป็นการเจาะจงมากเกินไปสักหน่อย ต่อให้เขายอมปล่อยตัวเธอมา ก็คงไม่ให้มาคนเดียวแน่”

“แต่หากข้าไม่จัดการเช่นนี้ เจ้าคิดว่าจะมีวิธีการใดที่จะลากตัวนางผู้นั้นมาโปรตูเซียได้เล่า”

“สารพัดวิธี ถ้าเพียงแต่พระองค์จะเลิกให้เหล่าเสนาเฒ่าทั้งหลายคิดแทนพระองค์” หญิงสาวเหน็บกลับ ด้วยถือว่าตัวเองก็มีอิทธิพลจากการค้าอาวุธและเป็นกำลังสนับสนุนสำคัญขององค์ชายฟาอีส จึงไม่ต้องคิดเกรงกลัว “ถ้าฝ่าบาทกับเจ้าชายยูซุฟจะแตกต่างกัน ก็ตรงที่เจ้าชายยูซุฟทรงตรึกตรองทุกสิ่งด้วยสมองขององค์เอง ในขณะที่ฝ่าบาททรงใช้งานแต่จากสมองเก่าๆ ของเหล่าราชบริพาร”

พระพักตร์ที่เคยขาว บัดนี้แดงกล่ำด้วยความกริ้ว “กำเริบ! เจ้าคิดว่าข้าไม่มีอำนาจเพียงพอที่จะลงโทษเจ้ารึ”

“เวลาเจ้าลูฟสังหารเหยื่อ มันจะจ้องแล้วโฉบตะครุบในทันที โดยไม่ขู่ให้กลัว” โซเฟียหมายถึงเหยี่ยวทะเลทราย สัตว์เลี้ยงแสนรักของเธอ “ฝ่าบาทเองก็ควรทำเช่นนั้นกับหม่อมฉัน”

เจ้าชายฟาอีสกระแทกแผ่นหลังเข้ากับพนักเก้าอี้ ราวกับจะบอกว่ายอมแพ้กับการปะทะคารมครั้งนี้ หากดวงเนตรขุ่นเขียว ตรัสถาม “ทำไมเจ้าต้องเดินทางไปเอง”

“มิสเตอร์โยธาสนิทสนมกับนายทหารที่เคยผ่านการฝึกรบพิเศษจากอเมริกาคนหนึ่ง”

“จะเก่งสักเพียงใดเชียว” คนพูดติดเสียงเยาะ “ทหารป่ามาเจอทะเลทราย ขาดน้ำวันสองวันก็คงตาย”

“ถ้าหม่อมฉันจะบอกว่าความสามารถของเขาเหนือกว่าองครักษ์ทั้งหมดที่พระองค์มี ฝ่าบาทจะทรงเชื่อไหม”

พระขนงขมวดนิดหนึ่ง พลางโน้มวรกายมาเบื้องหน้า พระกรทั้งสองวางพาดกับโต๊ะ หัตถ์ประสานกัน แสงแดดผ่านทางบัญชรกระทบต้องเสี้ยวหน้าด้านหนึ่งของเจ้าชายฟาอีส ดวงเนตรฉายแววพิศวง

“เป็นไปได้หรือ”

“ทีเคเป็นทหารคนเดียวของยูเอ็นที่รอดจากกองกำลังของเจ้าชายยูซุฟที่สมรภูมิรบแคว้นชีระเมื่อห้าปีก่อน” โซเฟียพูด โทนเสียงคงเดิม ภาพในความทรงจำไหลย้อนกลับเข้ามาเป็นสาย ภาพของบุรุษเชื้อชาติไทยนอนกอดปืนหลังอิงบังเกอร์ เนื้อตัวเปรอะคราบเขม่าดินปืนและรอยเลือด หน้าตามอมแมม รอบด้านมีแต่ศพทหารทั้งสองฝ่ายก่ายกอง... ภาพผ่านกล้องติดปืนไรเฟิลที่เธอกระชับมั่นในมือภาพนั้นยังเด่นชัดยิ่งกว่าภาพถ่าย สัมผัสของไกปืนยังตรึงแน่นที่ด้านในนิ้วชี้ขวา “หม่อมฉันเคยรู้จักเขามาก่อน และเพราะเหตุนี้ จึงถือเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่หม่อมฉันต้องไปจัดการเรื่องทั้งหมดด้วยตนเอง”

ไม่มีกระแสรับสั่งใดหลุดออกจากโอษฐ์เจ้าชายหนุ่มอีก โซเฟียจึงทูลลา และเมื่อลุกขึ้น เจ้าชายฟาอีสกลับใช้ถ้อยดำรัสรั้งเธอไว้

“งานที่เจ้าจะไปทำนี้ เจ้าทำเพื่อข้าหรือยูซุฟกันแน่”

คนถูกถามคลี่ยิ้มช้าๆ ติดเลสนัย ดวงตาชำเลืองผ่านแพขนตาหนา มองเจ้าชายที่ประทับนั่งเบื้องหน้า “หม่อมฉันทำเพื่อตัวเอง... ฝ่าบาท” ตอบจบก็ผละจากตำแหน่งที่นั่ง คำพูดของเธอจริงทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าชายยูซุฟ หรือเจ้าชายฟาอีส ล้วนไม่ใช่ฝ่ายของเธอทั้งสิ้น

เจ้าชายทั้งสองก็เป็นเพียงหมากบนกระดานที่เธอรอคอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในภายหลังเท่านั้นเอง!!




ตาคลีเผลอเอามือลูบรอยแผลเป็นใต้ชายโครงซ้ายที่สัมผัสผ่านเนื้อผ้าได้ เขาพยายามจะลบเลือนความทรงจำเมื่อห้าปีก่อนให้สิ้นซาก แต่ดูเหมือนชีวิตเขากลับเจอแต่ตลกร้าย ที่จู่ๆ โยธาก็โทรฯ ติดต่อแจ้งข่าวช้องนางถูกเชิญตัวให้ไปโปรตูเซียเพื่อฟื้นฟูโบราณสถานในแคว้นชีระ โยธารู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่างและกลัวว่าน้องตนอาจถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งภายใน จึงอยากให้เขาช่วย ฝึกหนัก ช้องนางเพื่อให้หญิงสาวล้มเลิกความตั้งใจเสีย แต่ถ้าไม่สำเร็จ เธอก็จะได้พร้อมสำหรับอันตรายที่อาจต้องเผชิญ ทว่าเขาดูจากสภาพที่เห็นเมื่อครู่แล้วไม่น่ารอด ไม่ต้องรอให้ไปถึงต่างแดนหรอก เอาแค่ไม่เดินทะเล่อทะล่าตกท่อระบายน้ำคอหักตายในประเทศเสียก่อนก็ถือว่าเป็นบุญสำหรับยัยต๊องนั่นแล้ว

เลิกผ้าม่านเล็กน้อยมองภายนอก เห็นช้องนางที่เดินเหวี่ยงสะบัดกลับขึ้นรถแล้วนึกถึงยาแก้ปวด อยากซัดสักแผงสองแผง ก่อนที่หญิงสาวหรือไม่ก็โยธา สองพี่น้องจอมวุ่นคนใดคนหนึ่งจะตามมารังควานเขาจนหาความสงบสุขไม่ได้อีก ตาคลีขับไล่ความคิดรกรุงรังออกจากหัว ตรงดิ่งเข้าครัว เปิดตู้เย็น รินน้ำใส่แก้วใสดื่มดับกระหาย ของเหลวล่วงเลยไปถึงกึ่งหลอดอาหาร พลันโสตประสาทก็สดับเสียงเอี๊ยดลั่นมาจากหน้าบ้าน ตามด้วยเสียงโครม! เสียงระเบิดปัง! แล้วไฟฟ้าภายในบ้านเขาก็ดับสนิท

ตาคลีสำลักจนแทบจะพ่นน้ำออกทางจมูก ตาแดงก่ำ พุ่งตัวว่องไวไปยังหน้าบ้าน พอผลักประตูออกเท่านั้น ก็เห็นปอร์เช่นรกถล่มกำแพงบ้านเขาไปแถบหนึ่ง มีเสาไฟฟ้าเอียงเล็กน้อย ด้านหลังพวงมาลัยคนขับ ช้องนางกำลังตะกายหลุดออกจากการกระแทกของถุงลมนิรภัย หัวฟู พอเธอเห็นหน้าเขาก็โบกมือหยอยๆ พร้อมรอยยิ้มแห้งแก้เก้อ

ชายหนุ่มยกมือกุมขมับ ให้มันได้อย่างนี้สิน่า ยัยช้องนาง!




“คุณหมวดอย่าโกรธฉันเลยน้า นะๆ นะๆ ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ เท้าฉันเผลอไปเหยียบโดนแล้วก็เบรกไม่ทัน กำแพงคุณพังแค่นิดเดียวเอง” ช้องนางหน้าแป้นแล้น ในนิยายอันเป็นสรณะของเธอ ยัยนาเดียถูกขับไล่ เลยโดนตัวร้ายจับไปขังไว้ในห้องมืด นางก็จุดเทียน นั่งน้ำตาคลอคร่ำครวญอยู่หน้ากระดาษกว่าๆ แล้วเผลอหลับจนไฟไหม้ห้อง ท่านชีคต้องมาช่วยเหลือด้วยความห่วงใย ทีแรกช้องนางตั้งใจจะใช้แผนการไฟไหม้บ้านนี้แหละเรียกร้องความสนใจจากตาคลี แต่เธอไม่ได้เอาไฟแช็คมา อีกอย่างเธอคงไม่บ้ามานั่งเผาปูนหรือรถแน่ ก็เลยดัดแปลงพล็อตนิดหน่อย เปลี่ยนจากอุบัติเหตุการเผาห้อง มาเป็นอุบัติเหตุรถชนรั้ว ตั้งใจจะชนนิดเดียวแค่นั้น แต่รถเขาแรงจริงอะไรจริง ผลลัพย์เลยมากกว่าที่คิดไปนี้ดดด

“ทั้งแถบ” เสียงคนตอบดังอย่างกับตะคอกจนช้องนางหน้าจ๋อย

“ทั้งแถบ... ก็ได้” หญิงสาวพยายามปลอบใจเต็มพิกัด เกาะแขนอ้อนทำท่าเหมือนตัวเองเป็นลูกแมวเหมียวตัวน้อยๆ แสนซนเมี๊ยวๆ “แต่ของนอกกาย ไม่ตายก็หาใหม่”

“ยังจะพูดอีก คุณโชคดีแค่ไหนแล้วที่ผมไม่แจ้งความจับคุณน่ะ” ชายหนุ่มสลัดแขนออก เดินสำรวจดูก้อนอิฐก้อนปูนที่พังมาทับต้นไม้ใบหญ้า ช้องนางเองก็ใจแป้วไม่น้อย แต่เธอไม่ได้ผิดซะหน่อย โทษเธอได้ไง รถพี่โยต่างหากที่ผิด รถไม่ดี แพงซะเปล่าขับไม่ได้เรื่องเลย แย่! ห่วย!

“คุณหมวดก็หัดคิดบวกหน่อยสิคะ โชคดีแค่ไหนแล้วที่เสาไฟฟ้าไม่หักลงมาทับบ้านคุณน่ะ”

“เหรอ”

ช้องนางเค้นยิ้มออกมาใช้ยามคับขัน “อย่าเครียดนะคะคุณหมวด ยิ่งคุณทำหน้าเครียดเยอะๆ แบบนี้หน้าผากคุณจะย่นเร็ว เดี๋ยวไม่หล่อนะคะ ปกติก็ไม่ได้หล่อมากมายอะไรอยู่แล้ว เฮ้อ” ไม่ยอมพูดเปล่า หญิงสาวยังมือบอน เอื้อมไปคลึงหน้าผากคนตรงหน้าพยายามให้เขาคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อด้วย ชายหนุ่มรีบปัดมือเธอทันควัน ดุเบาๆ

“อายคนอื่นหน่อย เขามองกันอยู่”

ช้องนางเหลียวมองรอบด้าน แลเห็นชาวประชาแห่แหนกันมาดูวินาศกรรมที่เธอสร้างขึ้นแล้วแสนจะเหนื่อยหน่าย นี่ล่ะนะคนเด่นคนดัง กระดิกตัวทำอะไรนิดหน่อยก็ต้องตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่น เฮ้อ แค่ทำกำแพงบ้านพังแค่นี้ มามุงกันอยู่ได้ อย่างกับไม่เคยทำกันอย่างนั้นแหละ

“ฉันชินแล้วล่ะ”

“ผมไม่ชิน!”

“โอ้โฮเฮะ... อย่าพูดเสียงดังอย่างนี้สิคะ เดี๋ยวคนอื่นเขาจะนึกว่าคู่รักกำลังทะเลาะกัน แล้วฉันจะเป็นฝ่ายเสียหายนะคุณหมวด”

“ผู้กอง!” ตาคลีเอ็ด “ให้ตายเหอะ คุณเคยถามแม่คุณมั่งไหมว่าตอนคุณเกิดนี่ฟ้าร้อง พายุคะนองบ้างรึเปล่า หรือว่าเกิดมาตอนที่ราหูมันอมหัวอมหู ห๊ะ คนบ้าอะไรมันจะพกพาความซวยไปแจกจ่ายคนอื่นได้มากขนาดนี้”

“ไม่นะ ฉันคลอดตามกำหนดเก้าเดือนเป๊ะเลย แถมยังเป็นคืนวันพระข้างขึ้นด้วย ดวงจันทร์ใสกระจ่างสะอาดบริสุทธิ์จะตาย แม่ยังบอกเสมอว่าฉันเป็นผู้มีบุญมาเกิด” ช้องนางตอบซื่อด้วยน้ำใสใจจริง

ชายหนุ่มกัดฟันกรอด จ้องถมึง ก่อนจะสบถกับตัวเอง ตั้งท่าเดินกลับเข้าบ้าน “ไปไกลๆ เลย อย่าเข้าใกล้ผมมากกว่านี้ ผมกลัว”

“แล้วคุณหมวดจะไปไหนคะ”

“หาคนซ่อมบ้าน”

“ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันโทรฯ กริ๊งเดียวให้พี่โยมาจัดการ รับรองว่าทุกอย่างเรียบร้อย เนียนกริ๊บเหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้นเลย” ช้องนางเจรจา “จะทำสีให้เก่าเหมือนเดิมก็ได้นะ เอามะ”

“คุณช้องนาง...” ชายหนุ่มชี้หน้าเธอ หากหญิงสาวยื่นหน้าเสนอ

“เรามาตกลงเรื่องไปโปรตูเซียกันดีกว่า”

“ไม่...”

หญิงสาวยักไหล่ ทำหน้าตาย “ก็แล้วแต่ งั้นฉันไม่รับประกันกำแพงแถบที่เหลือนะ”

“นี่หมายความว่าคุณจงใจพังบ้านผมจริงๆ ใช่ไหม”

ช้องนางทำตาล่อกแล่ก เปลี่ยนเป็นฝ่ายเดินหนีบ้าง อุตส่าห์แอบทำเนียนๆ แล้ว จับได้ๆ ไงหว่า แต่ตาคลีมือไวเป็นลิง คว้าข้อมือเธอได้ปุ๊บ ก็กระชากจนแทบเสียหลักหล่นจากส้นสูง หญิงสาวร้องเสียงหลง “เจ็บจริงนะคุณหมวด! เออ ก็ได้ ยอมรับอย่างลูกผู้หญิงอกสามสิบหกนิ้วเลยก็ได้ว่าฉันตั้งใจทำเองแหละ” แล้วฉีกยิ้มหวาน “ประหลาดใจใช่ไหมล่ะที่ฉันทุ่มตัวทุ่มใจทำถึงขนาดนี้ ตกลงคุณจะคุยกับฉันได้ยัง”

“คุณมันบ้า” ชายหนุ่มปล่อยมือหญิงสาว ช้องนางได้แต่คลำข้อมือเบาๆ บ่นงุบงิบ ก่อนจะทำหน้าบ้องแบ๊ว ช้อนตามองคนตัวสูง แล้วยักคิ้วให้เสียทีหนึ่ง ตาคลียกแขนกอดอก กัดฟันจนเห็นกรามใหญ่นูนออกมาดูเร้าใจสุดๆ เขาพูด

“ได้ คุณกับผม... เรามาคุยกัน!”





โปรดติดตามตอนต่อไป





 

Create Date : 12 ธันวาคม 2555
2 comments
Last Update : 25 ธันวาคม 2555 7:41:36 น.
Counter : 1101 Pageviews.

 

Ha ha, This is my new favourite novel. Thanks

 

โดย: Peter pan IP: 109.192.231.121 12 ธันวาคม 2555 14:51:48 น.  

 

สวัสดีค่ะคุณ Peter pan

หวังว่าจะถูกใจกับนิยายเรื่องนี้นะคะ
เจอกันทุกวันพุธค่ะ...

 

โดย: ploy666 IP: 115.87.103.222 13 ธันวาคม 2555 9:29:18 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ploy666
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




หนังสือที่มีวางจำหน่ายเฉพาะในบล็อก
https://ploy666.bloggang.com




ชื่อเรื่อง : เศวตธามัน (บัลลังก์ศศิธรา)
นามปากกา : สิตาปางค์
ประเภท : จินตนิยาย , โรแมนติก
รูปเล่ม : ขนาด 700 หน้า A5
ออกแบบปก : Little thing

ราคา : 850.- บาท
สินค้าหมด

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=ploy666&group=28

สั่งซื้อที่ : .........

หมายเหตุ : งดใส่ลายเซ็นนักเขียนทุกกรณีค่ะ

** ***********************************



ชื่อเรื่อง : เงาบรรณ
นามปากกา : ลายน้ำ
ราคา : 259.- บาท
สั่งซื้อที่ (ยุติการสั่งซื้อ)

สินค้าหมดค่ะ



****************

นิยายที่อัพล่าสุดคือเรื่อง

รอยทรายบนลายรัก
...และ...
กระต่ายในใจจันทร์



***********

เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่า
ทนไม่ไหวแล้ว...
จงเรียนรู้ ที่จะขอความช่วยเหลือ

โลกไม่ได้โหดร้ายเกินไปนัก
ผู้คน ก็ไม่ได้ใจร้ายไปซะทั้งหมด

เป็นกำลังใจให้ค่ะ...


Ploy666.



************

หมายเหตุสักนิดค่ะ...

ถ้าเป็นไปได้ งดการแปะรูปใส่คอมเม้นท์นะคะ
เจ้าของบล็อกเข้าหน้าจอไม่ได้จ้า เน็ตห่วยมากมาย

ขอบคุณคนใจดีทั้งหลายล่วงหน้าค่ะ


**************

เนื้อหาต่างๆที่อัพในบล็อก
สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย


Friends' blogs
[Add ploy666's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.