ไมเคิล ฮาเนเก้ ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวออสเตรียนั้นไม่เคยยั้งมือ หรือ ผ่อนปรนให้ผู้ชม ในการนำเสนอเรื่องราวของความเป็นมนุษย์ปุถุชน เขาอาจเคยยั่วโมโหทำให้คนดูโกรธเคืองในหนัง ฮิดเดน และ เดอะ เปียโน ทีชเชอร์ ต่อต้านสังคมอย่างรุนแรงโดยไม่อินังขังขอบกับเหตุผล หรือ ความผิดชอบขั่วดีในหนัง เบนนี'ส วิดีโอ และ ฟันนี เกมส์ แต่สิ่งน่าสนใจในหนังเรื่องใหม่ของเขาที่จับประเด็นของความรัก ซึ่งเจือกลิ่นอายความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นมายาวนาน ผ่านบรรยากาศค่อนข้างเงียบงันในบั้นปลายชีวิตของคู่รักวัยชรา หนังสามารถคว้ารางวัลปาล์มทองคำที่คานส์ และ รางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม ย่อมรับประกันผลงานของเขาได้เป็นอย่างดี
อามูร์ หรือ เลิฟ แปลว่าความรัก ฟังดูช่างแสนงดงามแต่เนื้อหาไม่ใช่สิ่งที่วัยรุ่นฮอร์โมนโหยหา หรือ ใครก็ตามที่กำลังออกเดตครั้งแรกจะนึกถึง เพราะหนังสะท้อนให้เห็นความรวดร้าวตรอมตรมผ่านริ้วรอยเหี่ยวย่นในวัยตกกระของคนแก่ยามไม้ใกล้ฝั่ง เมื่ออาการเจ็บไข้ได้ป่วย และ ความชราภาพมาเยือน ใครคนหนึ่งจำเป็นต้องเผชิญกับธรรมชาติอันโหดร้าย และ สัจธรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ด้วยสภาพจิตใจอันเปราะบางของตัวเอง
จอร์จ (ฌอง หลุยส์ ตรังติญญอง) และ อานน์ (เอ็มมานูเอล ริวา) คือสองสามีภรรยาวัยแปดสิบ ใช้ชีวิตหลังเกษียณจากการเป็นครูสอนดนตรีอยู่ในอพาร์ตเม้นต์ระดับชนชั้นกลางอย่างสุขสบาย ผนังห้องมีชั้นวางหนังสือ ภาพเขียน และ เปียโน หนังเปิดฉากเจ้าหน้าที่เข้ามาชันสูตรพลิกศพอานน์นอนตายอยู่บนเตียงมีดอกไม้ประดับรอบศรีษะ แล้วหนังก็เล่าย้อนกลับไปสู่เหตุการณ์ที่ผ่านมาไม่นาน ..
จอร์จ กับ อานน์ ไปชมคอนเสิร์ตลูกศิษย์วัยหนุ่ม (อเล็กซองดร์ ธาโรด์) ก่อนจะนั่งรถแท็กซี่กลับห้องพัก ชีวิตประจำวันของคู่รักวัยดึกไม่มีอะไรมากไปกว่าพูดคุยกันเกี่ยวกับข่าวสารในหนังสือพิมพ์ อ่านนิตยสาร และ ช่วยกันทำอาหารรับประทานเอง โดยมีสองผัวเมียผู้ดูแลตึกช่วยไปจ่ายตลาด แม้ผู้เฒ่าจะรู้ตัวดีว่าความตายคงมาถึงอีกไม่นาน แต่ไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด จู่ๆอานน์นิ่งอึ้ง สายตาเหม่อลอยหลังตักอาหารเข้าปาก จอร์จตกใจกำลังจะออกไปตามคนมาช่วย อานน์กลับมาเป็นปกติ และ จำอะไรไม่ได้เลยนอกจากเห็นสามีลืมปิดน้ำในอ่างล้างจานแล้วหายตัว ต่อมาสภาวะประสาทถดถอยนี้ส่งผลกำเริบหนักถึงขั้นโคมาจนจอร์จต้องนำอานน์ส่งโรงพยาบาล นี่คือสัญญาณอันตรายที่จะตามมาอีกระลอกใหญ่
ภายหลังกลับจากผ่าตัดรักษาตัวในโรงพยาบาลร่างกายซีกขวาของอานน์กลายเป็นอัมพาต เธอลุกขึ้นเดินไม่ได้ ต้องนอนกระแซ่วอยู่แต่บนเตียง อาศัยจอร์จช่วยพยุงให้นั่งรถวีลแชร์บังคับด้วยระบบไฟฟ้าวิ่งไปมาในห้อง หนังฉุดกระชากผู้ชมให้ช็อคทุกครั้งที่จบซีเควนซ์ อาการเจ็บป่วยของอานน์ทรุดลงแบบก้าวกระโดด ภาพแห่งความรักที่จอร์จแสดงต่ออานน์ ในฐานะสามีที่ดีพึงกระทำต่อภรรยา เขาไม่เคยรังเกียจหรือปริปากบ่นที่จะหิ้วปีกเธอเข้าห้องน้ำ นวดเท้า จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าเหม็นเน่าเพราะระบบขับถ่ายภรรยาผิดปกติ และ จ้างพยาบาล กับ แพทย์มาดูแลสุขภาพเธอเป็นครั้งคราว ในช่วงใกล้วาระสุดท้ายอย่างนี้จอร์จเริ่มมองเห็นผู้มาเยี่ยมเยือนด้วยความหวังดีกลายเป็นผู้บุกรุกก่อกวนความสงบ
นอกจากลูกศิษย์ผู้มาเยี่ยมไข้ และ หวังใจว่าครูจะชื่นชมในผลงานความสำเร็จของตัวเอง แล้วยังมีลูกสาววัยกลางคนอย่าง เอวา (อิสซาเบลล์ อูแปรต์) กับ ลูกเขย,ผู้กำกับละครเวที เดินทางจากลอนดอนมาปารีสเพียงเพื่อหวังมรดก อยากให้แม่ขายสมบัติยายนำเงินมาโปะหนี้จากการเก็งกำไรซื้อที่ดิน สุดท้ายเกิดสำนึกผิดอยากหาหนทางรักษาแม่ให้หายขาด และ ถูกพ่อกีดกันไม่ให้เห็นหน้าแม่อีก ท่าทีความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกจึงแลดูประหลาด การพูดคุยถึงสุขภาพของแม่เหมือนไปสัมภาษณ์รับรู้มากกว่าเธอจะห่วงใยจริงๆ สิ่งที่อานน์ต้องการขณะนั้นคือตายไปให้พ้นทุกข์เสียทีจะได้ไม่ต้องเป็นภาระของใคร
หากคำถามสำคัญของหนังพุ่งตรงไปสู่คำว่า รัก มีอำนาจอยู่จริงหรือไม่ และ นำพาคนเราไปสู่สิ่งใดกันแน่ เมื่ออยู่ในวิกฤติให้ต้องตัดสินใจทำอย่างใดอย่างหนึ่ง มันจะพ่ายแพ้ต่อความรู้สึกชั่วร้ายไหม การตัดสินใจของจอร์จตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรัก หรือ ความเห็นแก่ตัวกันแน่ หากเป็นคุณจะกล้าปลิดชีพคนรัก และ ตัวเองให้พ้นความเจ็บปวดทรมานหรือเปล่า โทนหนังค่อนข้างอ่อนโยน และ เบามือลงอย่างเห็นได้ชัด ภาพหลังความตายจึงดูอบอุ่นคล้ายปลอบใจผู้ชม นกพิราบที่บินหลงเข้ามาในห้องของจอร์จกับอานน์สื่อความหมายของอิสรภาพ แต่ ไมเคิล ฮาเนเก้ ยังเป็นผู้กำกับคนเดิมที่มักจะจู่โจม และ ทิ่มแทงขั้วหัวใจคนดูอย่างไม่ปราณี
*ย่อและเรียบเรียงใหม่จาก 1.Amour กรอบกำแพงแห่งรัก ชญานิน เตียงพิทยากร 2.Critics' Average นิตยสาร Starpics issue 829 May 2013