พฤศจิกายน 2554

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
30
 
 
All Blog
เล่ห์รักโนราห์ [นิยายจากมือใหม่หัดเขียน] ตอนที่ ๑๐

 
 
;*'^'~*-.,_,.-* ... *-.,_,.-*~


ความเดิม ดาราวลีเป็นลูกสาวโนราห์ดวงดาว เรียนเอกนาฏศิลป์ และรำมโนราห์รับจ้างตามงานต่างๆ ตั้งแต่เด็ก เธอเข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพฯ โดยอาศัยบ้านอาประเทือง กับอาเดือนเต็ม มีลูกสาวชื่อตวงพร ครอบครัวของอาสนิทกับคุณสุรีย์กับลูกสาว (พรศิริ) ต่อมาคุณสุรีย์แต่งงานใหม่กับนักธุรกิจ ซึ่งมีลูกชายรูปหล่อ (พีรวิชญ์) ทั้งหมดสนิทชอบพอกัน

ช่วงปิดเทอม ดาราวลีกลับบ้านต่างจังหวัด ทั้งสาม ตวงพร, พรศิริ และพีรวิชญ์ จึงเดินทางมาเที่ยวด้วย วันแรกดาราวลีพาเด็กสาวทั้งสองไปลุยตลาดกระบี่ ไม่กี่วันต่อมาดาราวลีมีงานเข้า เมื่อสูหยา เพื่อนบ้านเก่าแก่ในอดีตของตาเทพมาจ้างให้ไปรำในงานรื่นเริงที่เกาะกลางทะเล งานของดาราวลีในการรำมโนราห์ ชื่อ มโนราห์บูชายัญเป็นไปด้วยดี เสร็จงานแล้วจึงพากันอยู่เที่ยวต่อ

~*'^'~*-.,_,.-* ... *-.,_,.-*~


เล่ห์รักโนราห์ ตอนที่ ๑๐


ท้องฟ้าสีฟ้าสดใส ที่ปลายฟ้าฝั่งตะวันตกยังคงมีสีเหลืองทองจางๆ ห้องที่พักของดาราวลีอยู่ชั้นสามของโรงแรมทิศตะัวันตก ออกมาหน้าห้องก็มองเห็นวิวทะเลชัดเจน

ลมตีคลื่นกระทบฝั่งเบาจนไม่ได้ยินเสียงมาถึงที่นี่ แต่สายลมทะเลพัดบางเบามาถึง หญิงสาวสูดลมหายใจเอากลิ่นไอทะเลเข้าไปเต็มปอด งานลุล่วงไปด้วยดีเมื่อคืน แม้นอนดึกเช้านี้เธอก็มีแรงตื่นเช้า

ร่างสูงของใครบางคนเดินเลี้ยวผ่านมุมตึก กลิ่นหอมอะไรสักอย่างบางเบาตามมาด้วย แอบเผลอสูดดมความหอมนั้นเงียบๆ พร้อมกับต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้มหวาน เมื่อเขาเดินใกล้เข้ามา จึงสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นกลิ่นสบู่อาบน้ำ เขายิ้มกว้างดวงตาเป็นประกายวิบวับ สองสายตาประสานกันด้วยความสุขสดชื่น

“เด็กๆ ล่ะครับ” เขาถามก่อน

“ยังไม่มีใครตื่นเลยค่ะ คงอีกนานเพราะเมื่อคืนงานเลิกแล้วก็ยังมาคุยต่อกันจนค่อนรุ่ง”

“หนูลีตื่นเช้าจัง”

“ด้วยความเคยชินน่ะค่ะ เมื่อคืนงานเรียบร้อยดี เลยหลับสบายไม่มีอะไรกังวล คุณล่ะคะ หลับสบายไหม”

“หลับสนิทมากๆ วันนี้ก็เลยตื่นเช้า เราจะไปทานอาหารเช้ากันก่อนหรือว่าไปเดินเล่นกันดี”

“ลียังไม่หิวเลยค่ะ ไปเดินเล่นดูทะเลอีกฝั่งกันดีไหม รอแป๊ป ลีไปเอาโทรศัพท์ก่อน เด็กๆ ตื่นมาจะได้ตามได้”

“ไม่ต้องดีกว่า ผมถือมาแล้วเดี๋ยวเขาก็ตามผมเองแหละ”

“งั้นก็ได้ ลีเป็นไกด์จำเป็นให้ไม่ได้ เพราะนานมากแล้วที่ไม่ได้มา เอาเป็นว่าเราไปรู้ ไปเห็นพร้อมๆ กันนะคะ จำได้ว่ามีทางเดินรอบเกาะ ถือว่าเป็นการออกกำลังกายในตัวละกัน ถ้าจำไม่ผิดเริ่มจากทางนี้แล้วเดินวนขึ้นเขาไปออกทะเลอีกด้าน แล้ววกกลับมาที่เดิน ก็ประมาณสองกิโล ไหวไหมคะ” เธอยิ้มล้อเลียน เขายิ้มตอบ

“ไม่มีปัญหา..”


~*'^'~*-.,_,.-* ... *-.,_,.-*~



กรุุุุุุงเทพมหานคร เมืองหลวงอันศิวิไลซ์ของประเทศ บ้านเทพพิมานเช้านี้ คุณสุรีย์ตื่นเช้ามาเข้าครัวเองตามปกติ หลังจากจัดเตรียมอาหารไว้บนโต๊ะ คุณธนาก็เดินลงมาจากชั้นสอง โดยมีเสื้อสูทตัวนอกพาดไว้ที่แขน เขายิ้มประจบภรรยาคนสวย

“วันนี้มีอะไรใ้ห้ทานจ้ะ” คุณสุรีย์ยิ้มรับ

“ดิฉันทำข้าวต้มทรงเครื่องค่ะ ส่วนกาแฟ รอสักครู่นะคะ เดี๋ยวไปเตรียมมาให้” เขาโบกมือ

“ให้เด็กไปเตรียมดีกว่า มานั่งทานด้วยกันเลย ผมจะถามถึงเด็กๆ หน่อยไปถึงไหนกันแล้ว” คุณสุรีย์หันไปหาแม่บ้าน เพียงแค่พยักหน้า แม่บ้านคนเก่าคนแก่ก็รู้งาน รีบเดินเข้าครัวไปเตรียมเครื่องดื่มประจำของคุณผู้ชาย และคุณผู้หญิงคนใหม่

“เห็นว่าไปเกาะกัน หนูลีเขาไปทำงาน รำมโนราห์โชว์ในงานวันเกิดผู้ใหญ่คนหนึ่ง ไม่แน่ใจเหมือนกันว่านักการเมืองท้องถิ่นหรืออะไรนี่แหละค่ะ ลูกบอกเหมือนกัน ดิฉันก็ลืมเสีย”

“คุณรี..” หนุ่มใหญ่แกล้งเรียกเสียงดัง แล้วมองภรรยายิ้มๆ

“คะ” เธอทำท่าตกใจ หน้าตาเหรอหรา เขาหัวเราะ

“ดิฉันพูดอะไรผิดหรือคะ”

“ดิฉัน ดิฉันยังไม่ชินหรือคะ" คุณธนาแกล้งดัดเสียงเป็นผู้หญิงล้อเลียน

"เีรียกตัวเองว่ารีเหมือนที่คุยกับเพื่อนๆ สิ” คุณสุรีย์หัวเราะเขิน

“โธ่.. คุณนี่ ทำเสียงดังเสียตกอกตกใจหมด” เขาหัวเราะเสียงดัง แม่บ้านที่เดินเข้ามาเสิร์ฟกาแฟ ยิ้มตาม บ้านนี้เริ่มมีเสียงหัวเราะของความสุขอย่างเต็มเปี่ยม หลังจากที่หายไปนานหลายปี

“ขอบคุณค่ะป้า” คุณผู้หญิงคนใหม่กับแม่บ้านที่อยู่กันมานานเข้ากันได้ดี ทำให้เจ้าของบ้านยิ้มอย่างมีความสุขยิ่งขึ้น

“ตอนเย็นไปช้อปปิ้งกันไหมป้า วันนี้งานไม่เยอะ เข้าไปเซ็นเอกสารกับตรวจสอบงานนิดหน่อยแล้วจะวนกลับมารับ ไปกันหมดนี่แหละ” เขาถามยิ้มๆ

“ดีเหมือนกันค่ะคุณ ของในตู้เย็นก็เกือบหมดหลายอย่าง จะได้ไปเช็คของไว้” ป้าสาตอบนอบน้อม

“คุณว่าไง” เขาอิ่มข้าว ยกกาแฟขึ้นจิบระหว่างรอคำตอบ

“ก็ดีค่ะ ได้ยินว่าคุณวิชญ์จะกลับก่อน จะได้ไปหาอะไรมาเตรียมไว้ เืผื่อว่าเขาอยากทานอะไรที่ไม่ใช่อาหารใต้”

“โฮะๆๆ” หนุ่มใหญ่หัวเราะชอบใจ

“ขานั้นปล่อยมันเหอะ กินได้ทุกอย่างแหละ จริงไหมป้า” แม่บ้านยิ้ม พยักหน้าเป็นคำตอบ

~*'^'~*-.,_,.-* ... *-.,_,.-*~



บ้านของตวงพร สามี-ภรรยา นั่งรับประทานอาหารเช้ากันเพียงลำพัง วันนี้คุณเดือนเต็มเลือกทำอาหารเช้าแบบฝรั่ง หลังจากได้ยินสามีบ่นอยากทานมาสองสามวันแล้ว

“ยายตวงจะกลับมาเมื่อไหร่คุณ” พ่อบ้านถาม

“คงจะปลายๆ เดือน หรือไม่ก็ต้นเดือนหน้าค่ะ”

“เอ้อ บ้านเงียบไปเลยนะ เด็กๆ ไม่อยู่”

“ก็ว่างั้นเหมือนกันค่ะ แต่ก็โทรมาคุยเกือบทุกวันนะ นี่เห็นโม้ว่าไปเที่ยวทะเล เป็นเกาะกลางทะเล เกาะ...” เธอเอ่ยชื่อเกาะที่มีชื่อเสียงว่าหาดทรายขาว สวย และมีแหล่งดำน้ำดูปะการังที่สวยงามติดอันดับโลก

“อืม..” เขาเคี้ยวอาหารตุ้ยๆ อย่างน่าเอร็ดอร่อย

“เล่าเสียอยากไปด้วยแหนะค่ะ เห็นว่าหนูลีรำมโนราห์ให้แขกดู ทั้งไทย ทั้งต่างชาติ ติดใจ ปรบมือกันเกรียวกราวหลังจากรำเสร็จ”

“อืม..”

“วันนี้คงไปดำน้ำดูปะการังกัน เอ้..นานเท่าไหร่แล้วที่เราไม่ได้ไปทะเล หือ พ่อ..”

“อืม..” เขาใช้ส้อมจิ้มไส้กรอกเข้าปาก เคี้ยวหนุบหนับ คุณเดือนเต็มหมั่นไส้ ซัดมือลงไปบนไหล่สามี ลงน้ำหนักไปไม่น้อย

“เผียะ” .. แถมค้อนให้อีกครั้ง แล้วสะบัดหน้าลุกออกไป หยิบเอาถ้วยกาแฟของตัวเองติดมือเดินไปทางห้องครัว

“แค่กๆๆ” คุณสามีสำลักไอแค่กๆ รีบไขว่คว้าหาทิชชู่มาเช็ดวุ่นวาย

~*'^'~*-.,_,.-* ... *-.,_,.-*~



ใบหน้าสวยหวานแดงระเรื่อ เหงื่อเม็ดเล็กๆ ซึมตามไรผม ส่วนชายหนุ่มหายใจหนักๆ เพื่อระบายความเหน็ดเหนื่อยที่ได้รับ รอยยิ้มพราวระยับ สายลมทะเลพัดเบาๆ เสียงคลื่นซัดซ่า

“นั่งพักกันตรงนี้เลยนะ” ชายหนุ่มชี้ไปที่ร้านอาหารของโรงแรม ซึ่งมีโต๊ะจัดไว้ริมหาดทราย

“ก็ดีเหมือนกันค่ะ ทานอะไรกันตรงนี้เลยนะ ลีหิวแล้ว”

“ดีเหมือนกัน”

“เอ.. เราเดินกันจนวนรอบแล้ว ไม่เห็นใครโทรเข้า เด็กๆ ยังไม่ตื่นอีกหรือคะ”

“อืม..” เขาดูนาฬิกาที่ข้อมือ

“แปดโมงครึ่ง อาจจะยังไม่ตื่นกันมั้ง”

“โทรไปปลุกดีไหมคะ ลีไปคุยกับหน้าฟร้อนไว้มั่งๆ ว่าจะพากันออกทะเล เราซื้อตั๋ววันนี้ก่อนไปก็ได้ เรือจะออกตอนเก้าโมงครึ่งค่ะ เป็นทริปดำน้ำดูปะการังแบบสน็อกเกิ้ล เก้าโมงครึ่งถึงหกโมงครึ่ง เรียกว่าไปทั้งวันเต็มวันทีเดียว”

“โทรก็ดีเหมือนกันนะ” เขาล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์มือถือส่งให้ดาราวลี เธอรับมา เปิดล็อคแล้วกดเบอร์ที่คุ้นเคย ยังไม่ทันจะเสร็จ มือเล็กๆ เย็นๆ ก็มาปิดตา กลิ่นสบู่หอมอ่อนๆ
เป็นกลิ่นเดียวกับที่เธอใช้นั่นเอง

“โทรหาใคร บอกมาซะดีๆ” เสียงใสๆ ดังข้างหู ดาราวลียิ้มแกะมือออก ร่างเล็กๆ ของพรศิริเบียดแทรกเก้าอี้มานั่งข้างๆ ส่วนตวงพรเดินไปถอยเก้าอี้อีกตัวออก ก่อนจะนั่งลง

“หนีไปเที่ยวไหนกันมาแต่เช้าคะนี่ พวกเราเดินวนหาที่ห้องอาหารโน้นก็ไม่มี เลยเดินออกมาตรงนี้นี่แหละค่ะ” ตวงพรตัดพ้อเล็กๆ

“ไม่ได้หนีสักหน่อย เห็นนอนอุตุทั้งคู่ก็เลยออกมาเดินเล่น อยากเดินมั่งไหมล่ะ จะพาไป อ้อมจากตรงนี้ไป เดินไปเรื่อย ขึ้นเขา ออกไปทะเลอีกฝั่ง แล้วกลับมานี่ก็ประมาณสองกิโล อยากไปเดี๋ยวพาไป” สองสาวสั่นหน้าเดี้ยะ พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

“งั้นไม่ต้องหวังดีหรอกค่ะ หนูยอมอดเที่ยวดีกว่า” เสียงตอบจากตวงพร

“ทานอะไรมาหรือยัง” พีรวิชญ์ถาม

“ยังค่ะ มีคนไปเรียก เอาตั๋วอาหารเช้าไปให้ สำหรับสี่ที่ ใช้ได้ทั้งห้องอาหารข้างใน กับตรงนี้ บอกว่าอภินันทนาการจากคุณสัญญา เขาว่างั้น”

“นะ.. ถ้าไม่มีใครไปเคาะก็คงไม่ตื่นใช่ไหมเนี่ย” เขาถามเย้าๆ ดาราวลีพยักเพยิดเห็นด้วยกับเขา

“กินอิ่ม นอนหลับสบาย แบบนี้ถือว่าได้พักผ่อนอย่างแท้จริงค่ะ ช่างเถอะ” พี่สาวย่นจมูกเข้าใส่

“มาดูกันดีกว่า มื้อนี้มีไรให้กิน ดีน่ะ..มื้อนี้อิ่มจัง ตังค์อยู่ครบ กินไรกันดีล่ะ” พนักงานเดินเอาเมนูมาเพิ่มให้ ตวงพรยื่นคูปองให้ดู

“ถ้าใช้คูปอง จะมีอาหารชุดค่ะ” พนักงานเปิดเมนูในหน้าอาหารเช้าให้ดู

“รับแบบไหนดีคะ” แต่ละคนเลือกชี้ๆ ตามที่ตัวเองต้องการ พนักงานรับรายการแล้วจากไป

“มีอะไรให้ดูหลังจากเดินรอบเกาะ คะพี่วิชญ์” พรศิริชวนคุย

“เยอะแยะ มีนกสวยๆ ต้นใหญ่ใหญ่ ต้องใช้คนสักห้าหกคนโอบถึงจะรอบ ดอกไม้ และหาดทรายสวยๆ ขาวๆ”

“แล้วไม่เจอฝรั่งหล่อๆ บ้างเหรอพี่ ไม่เืผื่อน้องเผื่อนุ่งมั่งเลยนะ” ตวงพรกระเซ้า พี่่สาว หนุ่ม-สาว สบตากันหัวเราะ ดาราวลีหน้าแดงเรื่อเพราะนึกถึงตอนที่เธอรีบเดินลิ่วๆ หนีภาพนักท่องเที่ยวต่างชาติชาย-หญิง แสดงความรักต่อกันอย่างดูดดื่ม ริมหาดยามเช้า

พนักงานนำมาอาหารมาเสิร์ฟในเวลาไม่นาน คุยกันไป กินกันไป ... แล้วอิ่มอาหารกันค่อยข้างเร็ว เพราะจวนได้เวลาเรือนำเที่ยวออกจากฝั่ง

ดาราวลีเรียกให้ทุกคนไปเตรียมตัว เพื่อจะได้ออกเที่ยวกลางทะเล เก้าโมงสิบห้าทุกคนมารวมกันที่ล็อบบี้ ดาราวลีสวมชุดว่ายน้ำสีดำ เป็นกางเกงขาสั้นรัดรูปกับเสื้อเข้าชุด โดยสวมเสื้อยืดตัวโคร่งคลุมไว้อีกที เธอลงมาก่อนเพื่อจัดการเรื่องตั๋วไปเที่ยว ก่อนที่ทุกคนจะตามมาสมทบ

ชุดว่ายน้ำของตวงพรเป็นสีฟ้า ของพรศิริเป็นสีชมพู สามสาวแต่สไตล์เดียวกัน เพราะดาราวลีเป็นคนไปเลือกซื้อด้วยตัวเองทั้งหมดในตลาดตัวเมืองกระบี่ ก่อนที่จะลงมาเกาะนั่นเอง

ส่วนชายหนุ่มคนเดียว สวมกางเกงขาสั้นสีเขียวพอดีตัว กับเสื้อยืดคอกลมสีขาว เพิ่งซื้อมาใหม่จากร้านค้าตอนที่ไปเดินรอบเกาะกับดาราวลี กับหมวกแก็ปสีขาวเข้าชุด มีแว่นกันแดดเสียบไว้ที่คอเสื้อ ในมือถือแว่นกันแดดอีกสามอัน แจกให้สาวๆ คนละอัน

ทุกคนยกมือไหว้ก่อนรับของจากเขา ดาราวลีเดินไปสอบถามพนักงานหน้าฟร้อนท์ซึ่งให้คำแนะนำอย่างดี แล้วกลับมาที่กลุ่ม พยักหน้าให้ทุกคน

“พร้อมแล้วไปกันเถอะค่ะ” ทุกคนพยักหน้ารับแล้วเดินตามไกด์จำเป็นคนสวย

“เราต้องเดินไปที่ท่าเรือ เรือทริปสีเขียวๆ ลำใหญ่ ลีซื้อตั๋วจากแผนกทัวร์ของโรงแรมเรียบร้อยแล้ว จริงๆ เขามีพนักงานมารับ แต่ลีว่าเราจะเดินไปเอง แค่ยื่นตั๋วเองค่ะ คนไทย ถามใครไปก็ได้ ปะ..”

ขบวนนักท่องเที่ยวคนไทยสี่คน เดินปะปนมากับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ หลายชาติ หลายภาษา บางกลุ่มก็คุยกันเป็นภาษาอังกฤษ บางกลุ่มก็คุยกันเป็นภาษาที่ไม่คุ้นหู


มองเห็นเรือลำใหญ่สีเขียวแต่ไกล มีเรือหลายลำที่จอดเรียงกันอยู่ริมท่า เรือใหญ่สีเขียวจอดอยู่ริมนอกสุด ต้องเดินผ่านเรือสองลำกว่าไปไปถึง

เรือสีเขียวคาดขาว มีชื่อเป็นตัวหนังสือภาษาไทยและภาษาอังกฤษกำกับไว้ด้วย เป็นเรือสองชั้น ชั้นล่างด้านท้าย มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งผิวคล้ำ ไม่สวมเสื้อยืนอยู่ คนทยอยเดินขึ้นไป ส่งตั๋วให้เขา เสียงดังได้ยินทั่วบริเวณ

“เชิญครับๆ ขึ้นมารอบนเรือก่อน น้ำ ชา กาแฟ ดื่มฟรี ตลอดเส้นทางแต่ต้องบริการตัวเองนะครับ” บอกคนไทยเสร็จเขาก็หันไปบอกฝรั่งกลุ่มที่เดินมาพร้อมๆ กัน

“Welcome to Nantanach boat trip, show your ticket here and self service tea coffee water all free on the trip”

คนไทยหันไปมองเด็กหนุ่มอย่างทึ่งๆ แม้เขาจะพูดอังกฤษสำเนียงไทย แต่ก็ฟังกันรู้เรื่อง ฝรั่งทยอยเดินไปส่งตั๋วให้กับเขา แล้วเดินขึ้นเรือไปทีละคน สองคน เมื่อคนเริ่มมา คนขับสตาร์ทเรือเพื่ออุ่นเครื่อง แล้วเดินออกมาดูความคืบหน้าของการจัดการกับผู้โดยสารประจำวันนี้

“O.K. everybody please takes of your shoes put on the basket then go to up stair sit down waiting we’re staff sir”

เขาผายมือไปที่ตะกร้าสี่เหลี่ยมสำหรับใส่รองเท้า พนักงานอีกคนคอยส่งสัญญาณให้คนที่เดินขึ้นเรือมาแล้ว ขึ้นบันไดไปอยู่ชั้นบน

เด็กหนุ่มที่อยู่ท้ายเรือ นับตั๋วที่รับมาเช็คกับจำนวนที่อยู่ในกระดาษที่ทางสำนักงาน เมื่อเห็นว่าตรงกันก็ส่งสัญญาณพร้อมเดินเรือ

คนขับเรือหรือกัปตันเข้าประจำที่ เมื่อเด็กหนุ่มที่อยู่ท้ายเรือปลดเชือกที่พันยึดไว้ที่เรือลำที่จอดริมในสุด พร้อมส่งสัญญาณว่าเรียบร้อยแล้ว กัปตันเริ่มถอยออกห่างจากท่าเรือ

กะด้วยสายตาคร่าวๆ วันนี้มีผู้โดยสารทั้งหมดประมาณเกือบสี่สิบคน พนักงานสี่คน คนขับเรือหนึ่งคน ถือว่าเยอะใช้ได้ นอกจากคนเรือ มีเพียงสี่คนไทยกลุ่มของดาราวลีเท่านั้นที่เป็นผู้โดยสาร นอกนั้นเป็นนักท่องเที่ยวต่างสัญชาติที่เหมารวมไปได้เลย ว่า “ฝรั่ง” เสียงฝรั่งคุยกันไม่ต่างอะไรเหมือนนกกระจอกเข้ารัง จ้อกแจ้กจอแจ ฟังไม่ได้สรรพ

ตวงพรกับพรศิริ ไม่กล้ามองสบตากับฝรั่งคนไหนตรงๆ เลยเพราะแต่ละคนมาในชุดเตรียมพร้อมว่ายน้ำทั้งนั้นเลย มีเพียงสองชิ้น ปิดบน ปิดล่าง กับแว่นกันแดดเหมือนคำที่เคยหยอกเล่นกับพวกเพื่อนๆ ในชั้นเรียน นี่มาเห็นของแท้กับตาตัวเอง เขินไปไม่เป็นเลยล่ะ

บนชั้นสองของเรือนี้ เปิดโล่งทุกด้าน แบ่งเป็นสองโซน ครึ่งหนึ่งมีหลังคา ส่วนอีกครึ่งเป็นพื้นที่กว้าง มีฝรั่งหลายคนลงไปนั่ง แดดเจิดจ้า ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสดใส เมฆสีขาวๆ กระจายตัว ไม่เป็นกลุ่มเป็นก้อน เรือโยนตัวไปตามจังหวะของคลื่นเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ

พนักงาน ยกตะกร้าพลาสติกขึ้นมา ในนั้นมีอุปกรณ์ดำน้ำ คือหน้ากาก ตีนกบ หรือที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า สน็อกเกิ้ลกับฟินส์นั่นเอง

พนักงานแจกให้กับทุกๆ คน แต่ละคนสามารถเลือกเบอร์ตีนกบได้ตามขนาดเบอร์ของรองเท้า ทางเรือมีจำนวนมากพอให้ทุกคน

ระหว่างรอ สาวๆ จัดการโบ๊ะครีมกันแดดชนิดกันน้ำทั้งหน้าและแขนขา ต่างผลัดกันทาให้กันและกัน หลังจากเรียบร้อยแล้วก็ส่งให้ชายหนุ่มคนเดียวในกลุ่ม เขาทำท่าส่ายหน้า ดาราวลีพยักหน้า

“เชื่อพี่ลีเถอะค่ะ ถ้ายังอยากหล่อแบบไม่ตกสี ฮ่าๆๆๆ” ตวงพรบอก เพราะแอบมองหนุ่มๆ หลายคนบนเรือ มีหลายคนที่ผิวลอก บางคนก็ดำเฉพาะใบหน้าเว้นรอยแว่นตากันแดดไว้อย่างน่าตลก

“ไม่เชื่อแอบมองไปทางนั้นดิ” เธอชายตาไปยังหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งไม่ไกลทางด้านซ้ายของพีรวิชญ์ เด็กหนุ่มฝรั่งแปลกหน้า ตัวแดงเหมือนกุ้งต้ม แถมยังตัวลอก ถลอกปอกเปิกเป็นจุด กระนั้นเขาก็ยังไม่เข็ด มาเที่ยวทริปได้อีก

อย่างไรก็ตามนั่นเป็นข้อจำนนที่เขาเลยบีบครีมกันแดดจากหลอดมาโปะๆ ลูบๆ ตามใบหน้า แขนและขาด้วยเช่นกัน

เมื่อได้ครบแล้วพนักงานให้ทุกคนดูหมายเลขกำกับของที่ตัวเองได้ แล้วเดินถือกระดาษมาให้ทุกคนลงชื่อเพื่อรับผิดชอบ หลังจากจบทริปต้องเอามาคืน หากใครที่ปล่อยหาย ทิ้งไว้บนเกาะที่จะจอดเรือเยี่ยมชม ปล่อยให้จมน้ำ ต้องเสียค่าปรับ ตามรายการที่เขาแจ้งไว้ หรือไม่เช่นนั้นนักท่องเที่ยวที่ทำหายจะไปซื้อมาชดใช้ ในยี่ห้อเดียวกันก็ได้

เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ก็ประจวบเหมาะกับเวลาที่จอดจุดแรก มีพนักงานคนไทยอธิบายเป็นภาษาไทยก่อน แล้วมีไกด์เป็นฝรั่งด้วย

“จุดที่จอดนี้เราเรียกว่า จุดดูฉลามนะครับ ชาร์กพ้อยท์ บางครั้งก็มีฉลาม แต่ถ้าอยากเจอจริงๆ ต้องมาช่วงเช้าตรู่หรือไม่ก็เกือบเย็น ตอนนี้ฉลามน่าจะไปทำงานหนะครับ” ไกด์


ฝรั่งก็พูดเหมือนกับไกด์คนไทย ประมาณว่าตอนนี้ฉลามไม่อยู่บ้าน ไปทำงาน ฝรั่งในเรือหัวเราะเฮกันใหญ่ เพราะขึ้นชื่อว่าฉลาม หลายคนก็กลัว ต่อให้ได้รับการยืนยันว่าไม่อันตรายก็เถอะ

พอเรือจอด พนักงานบอกให้เล่นน้ำได้ ประมาณสามสิบนาที ฝรั่งที่สวมเสื้อผ้า หรือพันผ้าโสร่งมา เริ่มปลดออก หนุ่มๆ โดดจากข้างเรือชั้นสองเสียงดังตูมๆ


ทางเรือได้จัดพนักงานมาดูแลกลุ่มคนไทยสี่คนเป็นพิเศษ เขาถามว่าว่ายน้ำเป็นไหม เคยดำน้ำแบบสน็อกเกิ้ลมาก่อนหรือเปล่า พากันเดินลงมาชั้นล่าง

ท้ายเรือมีฝรั่งยืนอยู่ก่อนแล้วหลายคน บางคนก็โดดจากท้ายเรือ บางคนก็ลงทางบันไดที่พาดลึกลงไปในน้ำ

พีรวิชญ์ยืนอยู่เป็นเพื่อนเด็กๆ สาวๆ ถอดเสื้อยืดตัวโคร่งเหลือแต่ชุดว่ายน้ำเพื่อให้ลงน้ำได้สะดวก เขายืนเกาะเรือคานูที่อยู่ท้ายเรือซ้อนกันอยู่ห้าหกลำดูพนักงานสาธิตให้สาวๆ ดู

เขาไม่มีปัญหา เพราะว่ายน้ำเป็นอยู่แล้ว แต่สาวๆ ฟังแล้วก็ยังไม่มีใครกล้า พนักงานเลือกเสื้อชูชีพมาให้ใส่ เอาหน้ากากลงไปล้างในอ่างน้ำจืดผสมสบู่อ่อนๆ กับอีกอ่างเป็นอ่างน้ำจืดสนิทไว้ล้างคราบสบู่อีกที เขาอธิบายวิธีการใช้ช้าๆ พร้อมกับสาธิตให้ดูซ้ำอีกรอบ

ฝรั่งลงไปว่ายเล่นกันหมดแล้ว ปลาเสือ หรือปลาสลิดทะเล ว่ายวนรอบๆ ฝรั่งสาวๆ เป็นฝูง หลายฝูง ใครที่หยุดลอยตัว ปลาก็รุมฮือเข้าใกล้

พอเขาออกแรงว่ายน้ำ เจ้าปลาตัวน้อยก็แตกฮือไปคนละทาง แล้วกลับมารวมเป็นฝูงกันใหม่อีกรอบ ผลัดวนว่ายไล่จับคนกับปลาอยู่อย่างนั้นไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

พนักงานพยักหน้าเรียก

“การว่ายน้ำในทะเลลึกแบบนี้ จะแตกต่างจากการว่ายน้ำในสระ เพราะแรงคลื่นจะพาเราโยกตัวไปมา ถ้าใครที่ไม่ค่อยชินกับน้ำ ว่ายน้ำไม่แข็ง ต้องค่อยเรียนรู้ครับ ไม่ต้องเขิน พี่สาวพร้อมแล้วนะครับ ถ้ายังไม่ชิน ใส่แต่ชูชีพก่อน ไม่ต้องใช้ตีนกบ กับหน้ากากไต่ลงทางบันได ค่อยๆ ครับไม่ต้องรีบ”

ดาราวลีเคยมีประสบการณ์บ้างแล้ว เลยอาสาเป็นคนที่ลงไปจุ่มน้ำเค็มคนแรก ลงน้ำแบบโดยไม่สวมหน้ากาก ไม่สวมตีนกบแบบที่พนักงานแนะนำ

น้ำทะเลตอนนี้เป็นสีฟ้าเข้ม กระเพื่อมเป็นลูกคลื่นเบาๆ ตามแรงลม ดาราวลีลงน้ำไปแล้ว อุณหภูิมิในน้ำตอนนี้เย็นกว่าอุณหภูมิของร่างกาย แดดจัดจ้าส่องมากระทบ เมื่อร่างกายปรับอุณหภูมิได้

พนักงานหนุ่มที่ยืนอยู่บนเรือเห็นหญิงสาวพอทำได้แล้ว จึงกระโดดตูม หายลงไปในน้ำสีฟ้าเข้ม ก่อนจะโผล่ขึ้นมายิ้มเผล่ ฟันสีขาวตัดกับผิวคล้ำๆ ชวนให้คนมองอมยิ้ม

ดาราวลีเกาะยึดขอบบันไดไว้ก่อน พอเริ่มชินกับการลอยตัวในน้ำ ด้วยเสื้อชูชีพ จึงโผออกไปแล้วค่อยๆ วกกลับมา

เธอกลับขึ้นบนเรือ คราวนี้ถือหน้ากากติดมือไว้ไม่ยอมใส่ก่อนลงน้ำ จากนั้นก็จุ่มๆ ล้างๆ หน้ากากอีกครั้ง จากนั้นจึงสวมหน้ากากเข้ากับหัว เมื่อปรับจนพอดี ก็อมท่อหายใจไว้ในปากเต็มคำ ก้มหน้าลงมองโลกใต้ทะเลผ่านหน้ากาก หายใจโดยทางปากโดยท่อ ได้สักสองสามนาที ก็โผล่หน้าขึ้นมา ทำซ้ำอีกสองสามรอบจนชิน

เธอวกกลับขึ้นมาบนเรือ ชวนน้องทั้งสองคนที่ยืนมองไปลองเล่นด้วยตนเอง

“ปะ.. ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดหรอก ไปเร็ว ไปดูใต้ทะเลกัน ว่ามีอะไรกันบ้าง เสียดายไม่ได้ซื้อกล้องถ่ายรูปใต้น้ำมาด้วย” สองคนสอบตากันพยักหน้า แววตามุ่งมั่น

“ตามพี่มานะ ค่อยๆ ตวงตามพี่ ส่วนศิริตามพี่วิชญ์ก็แล้วกันนะ” พี่ๆ เริ่มแบ่งกันดูแลน้อง น้องซึ่งกล้าๆ กลัวๆ เริ่มมั่นใจในตัวพี่เลี้ยง

ดาราวลี ปลดหน้ากากของตัวเอง ห้อยคอไว้ ป้องกันหน้ากากหล่นลงทะเล และให้สาวๆทำตาม เอาหน้ากากห้อยคอไปด้วย

ดาราวลีค่อยๆ หย่อนตัวลงในน้ำ ให้ตวงพรตามลงมา ส่วนบันไดอีกข้าง พีรวิชญ์ลงน้ำโดยใช้บันได ลอยคอรอพรศิริอยู่ใกล้ๆ พรศิริค่อยๆ ไต่บันไดจุ่มตัวเองลงในน้ำ

“แบบนั้นแหละ ค่อยๆ ช้าๆ ไม่ต้องกลัว” พีรวิชญ์ลอยตัวห่างออกไป พรศิริ ถีบตัวเองออกจากบันได ค่อยๆ ลอยไปตามแรงคลื่นกระเพื่อม

“นั่นแหละ ชินกับการอยู่ในน้ำหรือยัง ลอยตัวสบายๆ ไม่ต้องกังวลนะ” พรศิริพยักหน้า

“เล่นน้ำสักสองสามนาทีก่อนก็ได้ ไม่ได้รีบไปไหน ค่อยๆ ช้าๆ ให้ปรับตัวลอยน้ำให้สบายๆ ก่อนค่อยสวมหน้ากาก”

พีรวิชญ์ว่ายน้ำวนๆ รอบๆ ไม่ไกลไปจากเด็กสาวทั้งสามคน ดาราวลีพยักหน้าให้เขาเล่นตามสบาย เธอจะคอยดูน้องทั้งสองเอง

เด็กๆ เล่นน้ำแบบไม่สวมสน็อกเกิ้ล ถีบตัวออกห่างจากเรือนิดหน่อย มีปลาสลิดทะเลว่ายเข้ามาใกล้ๆ อย่างน่าตื่นตะลึก พอวาดมือออกไปทำท่าคว้า ปลาเป็นฝูงก็แตกฮือ แล้วค่อยรวมตัวกันเข้ามาวนๆ เวียนๆใหม่อีกรอบ ดาราวลีคอยสังเกตเมื่อเห็นรอยยิ้มแต้มบนใบหน้าสาวน้อยทั้งสอง จึงเริ่มสอนขั้นต่อไป

“ทีนี้ว่ายไปเกาะที่บันไดไว้ เราจะเริ่มการใส่หน้ากาก สำหรับดูปะการังใต้ทะเลนะ” สาวๆ พยายามลอยตัวกลับเข้ามา บันไดมีสองข้าง ซ้ายขวา ทำจากเหล็กสแตนเลสกลมๆ เหมาะสำหรับการจับยึด ตวงพรกับพรศิริยึดบันไดไว้คนละอัน ดาราวลีลอยตัวใกล้ๆ

“เอาหละล้างหน้ากากก่อน เอาอีกสักรอบ จากนั้นก็สวมลงไป ปรับให้พอดี ไม่ต้องกลัวจม เพราะเราลอยน้ำกับเสื้อชูชีพ ขนาดนี้รับน้ำหนักได้เป็นร้อยโล ไม่ต้องกลัวหรอก”

ตวงพรหัวเราะ เพราะน้ำหนักของเธอเยอะกว่าของเพื่อน เผลอๆ เยอะกว่าของพี่สาวด้วย เนื่องจากเธอค่อนข้างตุ้ยนุ้ย


“ใส่หน้ากากเสร็จ อมท่อหายในไว้ในปาก ลองทดสอบหายใจทางปากดู ทำได้ไหม” เธอยกนิ้วโป้ง เป็นสัญลักษณ์ เด็กๆ พยายาม แต่ต้องถอดท่อหายใจ ถอดหน้ากากออกมาใหม่ เพราะไม่ชิน

“ไม่เป็นไร เอาใหม่ๆ ลองอีกรอบ” คราวนี้สองสาวลองพยายามแล้วยกนิ้วโป้งตอบ

“ค่อยๆ ก้มหน้าลงไปในน้ำ ตาของเราลืมได้ เพราะมีหน้ากากครอบไว้แล้ว เราหายใจทางปากได้ ลองดู ค่อยๆ ช้าๆ ช้าๆ” สองสาวทำตาม มองไม่เห็นอะไร นอกจากบันไดสแตนเลส จึงหันไปทางข้างๆ

ตวงพรหันไปหันปลา จนเริ่มเห็นปลาสลิดทะเล ปลานกแก้วสีน้ำเงิน ที่ว่ายวนเวียนอยู่ใกล้ๆ เหมือนจะุพุ่งเข้ามาหา จึงรีบเงยหน้าขึ้น อารามตกใจ เผลออ้าปาก กลืนน้ำเค็มเข้าไปอึกใหญ่ ดีว่ามือยังไม่ปล่อยจากบันไดสแตนเลส จึงตั้งหลักได้ไม่ยาก สำลักไอแค่กๆ

“ตวง ใจเย็นๆ ไม่ต้องกลัวนะ ไม่ต้องกลัว ถอดหน้ากากห้อยคอไว้ แล้วขึ้นไปนั่งพักบนเรือ” เสียงดาราวลีแว่วมาให้ได้ยิน ตวงพรปลดหน้ากากห้อยคอ ลูบหน้าจนลืมตาได้ปกติ น้ำทะเลเค็มจนขมปี๋ ตะเกียกตะกายจากน้ำขึ้นไปนั่งพักที่ท้ายเรือ

ดาราวลีว่ายมาเกาะตรงบันไดแทนที่

“เป็นไง โอเคมั้ย” ตวงพรพยักหน้า

“น้ำทะเลอร่อยไหมตวง” พรศิริที่ยังเกาะอยู่อีกฝั่งของบันได ส่งเสียงมาเยาะเย้ย ตวงพรยกมะเหงกให้เพื่อน

“เอ้อ.. ไม่พลาดมั่งก็แล้วไป” ดาราวลีกับพรศิริหัวเราะ ทำท่าจะเล่นกันต่อ แต่กัปตันบีบแตรดังลั่นเป็นสัญญาณว่าต้องไปจุดต่อไปแล้ว ทุกคนจึงขึ้นจากน้ำ พากันไปรับลมบนชั้นสอง

น้ำหยดเป็นทางเปียกไปทั้งเรือ ตวงพรไปกดน้ำเย็นดื่ม พอให้หายแสบคอ เสียงคุยกันกระเซ้าเหย้าแหย่

เรือแล่นไปตามร่องน้ำช้าๆ สายลมทะเลพัดกระไอแดดกับไอทะเลพอปะทะใบหน้า สดชื่น และมีความสุขกับสิ่งแวดล้อมรอบข้าง

คราวนี้แยกไกด์กันชัดเจน พนักงานคนเดิมมาดูแลสี่คนไทยต่อ

“คราวนี้เราจะไปจอดที่หาดรันตีนะครับ เป็นหาดที่มีหาดทรายขาว สวย และปะการังใต้น้ำสวยมาก เรือใหญ่จะจอดอยู่กลางทะเล ถ้าพี่สาวอยากเข้าหาด ผมจะเอาคานูพายไปส่ง แต่ถ้าไม่เข้าหาด ก็เล่นน้ำกันอยู่แถวๆ เรือที่จอดเหมือนจุดเมื่อกี้ก็ได้ เรามีเวลาเล่นน้ำอีกสามสิบนาที ก่อนจะไปจุดต่อไปครับ”


ทุกคนพยักหน้ารับ มองตากัน แล้วพยักเพยิดให้ดาราวลีเป็นคนตัดสินใจ

“ถ้างั้นเดี๋ยวเราเล่นน้ำกันอยู่แถวๆ ท้ายเรือ หัดให้น้องๆ ใช้สน็อกเกิ้ลให้ชินก่อน แล้วค่อยว่ากันในจุดต่อไปค่ะ ขอบคุณนะคะ”

“ครับ ถ้างั้นตามสบายนะ หิวก็ไปหาเครื่องดื่มอุ่นๆ ดื่มก่อน ผมจะไปช่วยพี่ๆ เขาทำข้าวผัดในครัวข้างล่าง เดี๋ยวเที่ยงเราจะเสริ์ฟข้าวให้ที่เกาะไผ่ พี่ๆ จะทานข้าวบนเรือ หรือจะไปทานบนกาะก็ได้ ผมจะเอาไปส่งให้”

“ค่อยว่ากันก็แล้วกันค่ะ ตามสบาย ขอบคุณมากนะคะ”

พีรวิชญ์เดินจากชั้นล่างขึ้นบนทีหลังใครเพื่อน ร่างสูงมีเพียงกางเกงขาสั้นที่ใส่ว่ายน้ำตัวเดียว ปล่อยท่อนบนให้เปลือยเปล่า ผิวขาวเนียนพราวไปด้วยหยดน้ำ กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ เรียงเป็นลอนสวยงาม ตามลักษณะของคนสุขภาพดี เขาคงออกกำลังกายสม่ำเสมอ เขาถอดเสื้อแล้วดูร่างกายสมบูรณ์ สวยงามไม่แพ้ฝรั่งหนุ่มๆ บนเรือเลย

เพราะความที่เิริ่มคุ้นเคยการการเปลือยท่อนบนของหนุ่มๆ บนเรือ สาวๆ ก็เลยไม่เขินเท่าไหร่ ยิ่งยัยตวงพร ทำท่าทะลึ่งกว่าใครเพื่อน กางมือทำเป็นว่าถ่ายรูป เล็งซ้าย เล็งขวา ส่วนพรศิริค้นกุกกักๆ ในกระเป๋า หยิบกล้องถ่ายรูปจริงมาถ่ายรูปเพื่อนไว้อีกที ก่อนจะเล็งกล้องมาเก็บบรรยากาศทั่วๆ ไป หลังจากขึ้นจากน้ำ

เขาเดินเข้ามาในกลุ่ม ส่งยิ้มเผล่มารายงานตัวก่อน

“ไง สนุกกันหรือเปล่า”

“สนุกซี พี่วิชญ์ น้ำทะเลเค็มจนขมปี๋เลย” ยัยตัวดีรีบจ้อ

“นะ.. คนเรา ไม่เขินสักนิดเลยนะ” พรศิริกระแทกไหล่เพื่อนเบาๆ แต่ตวงพรแกล้งทำเซ

“โอ๊ะๆ ..” เซไม่เซเปล่า เซไปหาหนุ่มใกล้ๆ ซะด้วย พีรวิชญ์ทำท่าจะพยุง พี่สาวมือไวกว่าฟาดเผียะเบาๆ ที่แขน กับท่าทีทะลึ่งของน้องสาว คนเป็นพี่เขินจนหน้าแดงซะเอง

“ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะประสานกันดังๆ ของเด็กสาว ส่วนพีรวิชญอมยิ้มแก้มตุ่ยไปเท่านั้นเอง

“โหย..ยังไม่หายมันส์เลยอะ เมื่อกี้” พรศิริทำท่าทาง

“เดี๋ยวเขาจะให้ลงใหม่อีกนานไหมคะ”

“อีกประมาณสามสิบนาที คราวนี้น่าจะคล่องกันกว่าเดิมแล้ว หลังจากนั้นไปลุยกันที่เกาะไผ่ เกาะไม้ไผ่หรือแบมบูไอส์แลนด์ที่ฝรั่งเรียกทับศัพท์ เป็นเกาะเล็กๆ เล็กกว่าเกาะที่เราพัก แต่มีหาดที่สวยงามกว่า เพราะไม่มีโรงแรม มีเพียงบ้านพักของอุทยานแห่งชาติ กับการกางเต้นท์นอนบนหาด ทำให้การทำลายล้างของมนุษย์ไปไม่ค่อยถึง จึงดูสุข สงบกว่าที่อื่น”

“โฮะ .. พี่ลี ใช้คำว่าการทำลายล้างของมนุษย์เลยรึ” ตวงพรค้อนพี่สาว

“อ้าว รึ ไม่จริง อะไรๆ ก็เกิดจากน้ำมือมนุษย์ทั้งนั้นแหละ ภาวะโลกร้อน น้ำท่วม ฝนแล้ง ตัดไม้ทำลายป่า”

“อะ พอๆ พอค่ะแม่ พอค่ะ หนูไม่ได้พกแม่ครูมาด้วย งานนี้ขอเที่ยวอย่างเดียว” ตวงพรเบรกพี่สาวดังเอี้ยด พี่สาวคนสวยเลยค้อนตากลับ

พีรวิชญ์ยิ้มอย่างเดียว ไม่พูดไม่จา

“หิวปะล่ะ” แม่ เอ้ยพี่สาวอีกแหละ เปิดกระเป๋าเป้โดเรม่อนที่เธอเป็นคนเก็บๆ รวมๆ ของใช้ ของกินใส่ลงไป ส่งแซนด์วิชที่ไม่รู้ไปซื้อตอนไหนส่งให้ ไม่มีใครปฏิเสธ รับไปแกะห่อเคี้ยวกันตุ้ยๆ พอได้เงียบเสียง ให้ดาราวลีทำท่านางเอกมิวสิค ทำซึ้ง มองฟ้า มองน้ำทะเล ปล่อยอารมณ์สุนทรีย์ในความสงบแต่ไม่เงียบ

ดาราวลีนั่งชันเข่า วางมือไว้บนราวสแตนเลสยึดไว้กันหล่น เดี๋ยวจะกลายเป็นนางเอกโก๊ะ หล่นจากที่นั่งตอนเรือเอียงวูบเพราะแรงคลื่น มันไม่งาม คิดยังไม่ทันไรเรือก็เอียงวูบจริงๆ ดีว่าเกาะไว้ เธอบดริมฝีปากเข้าหากันกลั้นยิ้มกับลม กับฟ้า กับความคิดของตัวเอง

พรศิริเห็นพี่สาวนั่งทำท่านางเอกมิวสิค ยักคิ้วให้เพื่อน รีบจัดการกับแซนด์วิชกันให้หมด ส่งซองพลาสติกให้เพื่อน ซึ่งกุลีกุจอเอาไปทิ้งอย่างรู้ใจกัน

พรศิริเดินไปจูงแขนพีรวิชญ์ที่เดินกลับมาจากการทิ้งขยะ เนื่องจากความสูงต่างกัน เธอจึงให้เขาก้มตัวลงกระซิบกระซาบ พีรวิชญ์เลิกคิ้วมองน้อง และหันไปมองตวงพรที่กลับมาจากการทิ้งขยะที่ถังท้ายๆ เรือ ตวงพรพยักหน้าหงึกๆ หงักๆ เป็นการยืนยัน พรศิริ ถือกล้องถ่ายรูปใจสั่น แต่ทำกล้าไปแตะแขนสาวฝรั่งหน้าตาดี ที่ยืนคุยกับเพื่อนอยู่ใกล้ๆ ตัว เธอหันมายิ้มกับเด็กสาวคนไทย

“ Excuse me, Please take photo for us” สาวฝรั่งพยักหน้า ถือกล้องไว้ยิ้มๆ พรศิริจัดให้พี่ชายนั่งข้างๆ ท่าเดียวกับดาราวลีแต่หันหลังชนกัน

ดาราวลีเพิ่งรู้ตัวหันมามองชาวคณะ แหงะมองคนที่มานั่งชนหลัง ขมวดคิ้วเมื่อน้องสาวส่ายหน้า ชี้ให้ดูกล้อง ตากล้องจำเป็นกดชัตเตอร์ไปแล้วสองสามรอบ เด็กสาวสองคนไปนั่งคุกเข่าด้านล่างแล้วทำท่าโค้งแขนเข้าหากัน ทำเป็นรูปหัวใจ ตากล้องจำเป็นกดชัตเตอร์รัว เก็บภาพบรรยากาศให้อย่างรู้งาน

ดาราวลีที่ไม่ทันตั้งตัว ขมวดคิ้ว หันไปมองคนข้างๆ ที่นั่งหันหน้าหากล้องยิ้มแต้ ทำหล่อเพราะกลัวไม่หล่อ แล้วเธอก็ต้องเผลอยิ้มเมื่อเห็นน้องสองคนเอียงโย้ไปมาตามแรงเรือที่กระทบลูกคลื่น

พอเรือเข้าสู่สภาวะปกติก็เก๊กกันใหม่ พอได้รูปสวยๆ ฝรั่งสาว ตากล้องจำเป็นก็ส่งกล้องคืนให้ เด็กๆ โค้งและกล่าวขอบคุณ

“Can we take photo with your group?” พูดฝรั่งสำเนียงไทย ตามประสาเด็กหัดใหม่ แต่ฝรั่งก็ให้อภัยและเข้าใจ

“sure” แหนะ ฝรั่งใจดี ยิ้มสวยรอ คราวนี้ พีรวิชญ์เป็นตากล้อง สาวน้อยลากพี่สาวไปเข้ากล้อง เก็บภาพบรรยากาศ หนุ่มๆ เห็นสาวๆ เฮฮากันก็เฮโลกันเข้ามาถ่ายภาพหมู่ด้วย

เสร็จจากการถ่ายรูป ก็สานสัมพันธ์กันต่อ ด้วยการให้อีเมล์ไว้เพื่อติดต่อกันผ่านสังคมออนไลน์ ดาราวลีถอยออกมานั่งที่เดิมมองน้องๆ สนทนากับเด็กหนุ่ม-สาว ชาวต่างชาติวัยใกล้เคียงกัน โชคดีของเด็กเมืองกรุงอย่างตวงพรและพรศิริที่ครอบครัว ให้โอกาสไปเรียนพิเศษภาษาอังกฤษกับชาวต่างชาติ ที่มีเปิดสอนกันทั่วไป ทำให้ไม่เกิดปัญหาเหมือนที่เธอเคยเจอ

ปัญหาของเด็กบ้านนอกอย่างเธอ ค่อนข้างตื่นฝรั่ง แม้ว่าจะผ่านการเรียนในโรงเรียนมาแล้ว ศัพท์ง่ายๆ อ่านได้ แปลออก ฟังรู้เรื่อง แต่เพื่อนเธอหลายคนไม่กล้าพูดกับฝรั่งจริงๆ

และถือเป็นโชคดีของเธอ ที่เรียนมาสาขานี้ หลายครั้งที่ไปรำงานต่างๆ แล้วเจอกับฝรั่งจริงๆ มาถ่ายรูปบ้าง มาคุยด้วยบ้าง เนื่องจากกระบี่บ้านเกิดเมืองนอน เป็นเมืองท่องเที่ยว ฝรั่งมากหน้าหลายตาแวะเวียนมาเที่ยว ทำให้ดาราวลีเองก็คุ้นชินกับฝรั่ง พอจะสนทนาเบื้องต้นกันได้บ้างๆ

เรือจอดให้เล่นน้ำอีกครั้ง คราวนี้ไม่ต้องประคับประคอง ประคบประหงม เหมือนครั้งแรก เด็กๆ ลองผิดลองถูกด้วยตนเอง ไม่กี่นาทีก็ออกไปปร๋อห่างจากเรือ ก้มหน้าดำดูปะการังโดยลอยตัวกับเสื้อชูชีพไปๆ มาๆ ชนิดไม่เรียกคงไม่เลิก

เสียงกรี๊ดกร๊าดตื่นเต้นกับการเจอสิ่งแปลกตาใต้ท้องทะเล เีรียกกันไปดูตรงจุดโน้นจุดนี้ ไม่นานก็ครบเวลาที่เรือไปต่อ กัปตันส่งเสียงบีบแตรเตือน ผู้โดยสารทยอยกันขึ้นมา สาวๆ คุยโม้กันถึงสีของปลา และหน้าตาปะการังที่ตนเองได้เห็น

พีรวิชญ์ได้แต่ยิ้มแก้มตุ่ยมองอย่างมีความสุข


** ขอบคุณสำหรับการสละเวลามาอ่าน พบกันใหม่ตอนหน้า มิกล้านัดเวลาค่ะ **

 



Create Date : 29 พฤศจิกายน 2554
Last Update : 31 ตุลาคม 2563 13:23:16 น.
Counter : 1355 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สีน้ำฟ้า
Location :
กระบี่  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



MY VIP Friend