กันยายน 2554

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
25
26
27
28
30
 
 
All Blog
เล่ห์รักโนราห์ [นิยายจากมือใหม่หัดเขียน] ตอนที่ ๗

 
 
;*'^'~*-.,_,.-* ... *-.,_,.-*~



ความเดิม ดาราวลีเป็นลูกสาวโนราห์ดวงดาว เข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพฯ โดยอาศัยบ้านอาประเทือง กับอาเดือนเต็ม ซึ่งมีลูกสาวชื่อตวงพร ครอบครัวของอาประเทืองสนิทกับครอบครัวคุณสุรีย์ ที่มีลูกสาวชื่อพรศิริ คุณสุรีย์แต่งงานใหม่กับนักธุรกิจ มีลูกชายคนหนึ่งคือพีรวิชญ์ เมื่อสองครอบครัวสนิทสนมกัน

ช่วงปิดเทอม ดาราวลีกลับบ้านต่างจังหวัด ทั้งสาม ตวงพร, พรศิริ และพีรวิชญ์ จึงเดินทางมาเที่ยวพร้อมกันนี้ด้วย วันแรกดาราวลีพาเด็กสาวทั้งสองไปลุยตลาดกระบี่

ดาราวลีมีงานเข้า เมื่อสูหยา เพื่อนบ้านเก่าแก่ในอดีตของตาเทพมาจ้างให้ไปรำในงานรื่นเริงที่เกาะกลางทะเล เช้านี้ทุกคนเลยเตรียมตัวเพื่อไปยังเกาะที่สวยงาม ขึ้นชื่อติดอันดับโลก


 
~*'^'~*-.,_,.-* ... *-.,_,.-*~


 
เชิญติดตามเรื่องราวตอนต่อไปได้เลยค่ะ
 
;*'^'~*-.,_,.-* ... *-.,_,.-*~



เล่ห์รักโนราห์ ตอนที่ ๗


“ไม่รู้เป็นไง วันหยุดต้องตื่นแต่เช้าทุกทีเลย” เสียงอู้อี้ๆ ของตวงพร ซึ่งนั่งงัวเงียอยู่บนโซฟาหน้าบ้านตอบเมื่อได้รับการสะกิดจากเพื่อนรัก

“อ๋อ อย่างนี้เค้าเรียกตื่นเช้าเหรอ” พรศิริหัวเราะ ท่าครึ่งนั่งครึ่งนอนของเพื่อน

“ไปกินอาหารเช้ากัน พี่ลีจะพาไปเที่ยว” พรศิริหัวเราะดังกว่าเก่าเมื่อเพื่อนเด้งจากท่าทางสลึมสลือมายิ้มแป้นแร้น

“จริงดิ ไปๆๆ ไปไหนหละ” เธอลุกขึ้น จูงมือเพื่อนเดินลงมาจากบนเรือน

“เห็นว่าพาไปเดินดูป่าชายเลน เป็นป่าโกงกางกลางใจเมืองกระบี่นี่เอง เอารถไป น้าชาติไปส่งแล้วประมาณแปดโมงครึ่งจะพาไปส่งท่าเรือ เพื่อนั่งเรือต่อไปที่เกาะ..” เธอเอ่ยชื่อเกาะที่งามเลื่องลือระบือนามระดับโลก

“เจ๋งเลย จัดกระเป๋าเสร็จตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ไปสองคืนใช่ปะ”

“เห็นว่าอาจจะค้างเที่ยวต่อ แต่ไม่เป็นไร ที่นั่นมีบริการซักผ้าไม่ต้องขนไปเยอะก็ได้ สำคัญๆ อย่างชุดว่ายน้ำ กับชุดเดินเที่ยวชายหาดก็พอไหว”

“ไม่เป็นไร ชุดนอนชุดเที่ยว ชุดว่ายน้ำ ของเราชุดเดียวกันได้ ฮ่าๆๆๆ” ตวงพรหัวเราะร่าอย่างเด็กอารมณ์ดี ร่างกายอวบท้วม สูงร้อยห้าสิบสามเซนติเมตรของเธอ กับใบหน้ากลมบ็อก ผมบ็อบสีดำขลับเปิดหน้าผากกว้าง เครื่องหน้าหมดจดสะอาดสะอ้าน ผิวขาวเหมือนสาวชาวกรุง เดินไปปะปนกับนักท่องเที่ยว ใครๆ อาจจะคิดว่าเป็นเด็กเกาหลีก็เป็นได้

เปรียบเทียบกับคนที่เดินเคียงกันมา สูงโปร่ง ผมบ็อบหน้าม้ายาวเลยติ่งหูมาหลายเซนติเมตรแล้ว เพราะมอปลาย อาจารย์ให้ไว้ผมยาวได้ แต่ต้องรวบให้เรียบร้อยเมื่อไปโรงเรียน แต่อยู่บ้านเธอปล่อยให้มันระต้นคอสบายๆ

พรศิริสวยเหมือนแม่ เธอได้เค้าหน้าคุณสุรีย์มาเหมือนจะก็อบปี้กันมา หากโตกว่านี้เธอต้องเป็นสาวสวยที่มีหนุ่มๆ หันมามองจนเหลียวหลังแน่ๆ

ดาราวลี พีรวิชญ์ นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร ยิ้มรับน้องสองคนที่เดินเข้ามา ตวงพรถามหาตาเทพ ดาราวลีตอบว่าออกไปหว่านเมล็ดถั่วเขียวบดในบริเวณที่ตาทำทุกวันยามเช้าๆ ตาเลี้ยงนกแบบนี้มาตั้งแต่ถูกดาราวลีปล่อยนกในกรงเสียเกลี้ยง สองกรง “กรงไม่ใช่บ้านของนกนะตา” ดาราวลีจำได้เธอทั้งกล่อม ทั้งขู่ สุดท้ายตาก็ยอมเพราะคำ คำนี้ กรงไม่ใช่บ้านของนก

ตวงพรมายืนเกาะที่เก้าอี้ของดาราวลี

“อิ่มแล้วหรือคะพี่ลี” เธอพยักหน้า

“จ้ะ” ตอบโดยไม่หันมามอง

“พี่วิชญ์หละคะ” เธอหันมาทางพี่ชายซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม เขาก็พยักหน้าก่อนจะตอบ

“อิ่มแล้วเหมือนกัน พี่จะไปเก็บเสื้อผ้าเพราะเมื่อคืนนอนเพลิน เดี๋ยวมานะ” เขาลุก แจกยิ้มให้สาวๆ แต่ยังยืนรีๆ รอๆ ไม่ได้เดินไปในทันที

“ค่า” ตวงพรกับพรศิริรับคำ ส่วนดาราวลียิ้ม เธอเตรียมตัวเสร็จหมดแล้ว แถมยกลงมาไว้ข้างล่างเรียบร้อยแล้วด้วย ขยับเก้าอี้เบาๆ ตวงพรถอยออกห่างให้พี่สาวลุกขึ้นยืน แล้วมองไป พูดด้วยสายตาว่านั่งตรงนี้ก็แล้วกัน ปากก็พูดว่า

“กินอะไรดีตวง ข้าวต้มหรือขนมปัง” ตวงพรส่ายศรีษะตอบอากัปกิริยาของพี่สาว

“ข้าวต้มค่ะพี่ลี ไม่ต้องบริการนะเดี๋ยวตวงไปจัดการเอง ส่วนกระเป๋าจัดเสร็จแล้วตั้งแต่เมื่อคืน เอาไปไม่เยอะ ตวงไม่มีเสื้อผ้ามากหรอกค่ะ” พูดจบทำท่าเดิน ดาราวลีพยักหน้าให้พีรวิชญ์ที่ยืนอยู่กับพรศิริ

“อื้ม เอาสิ ไป ไปตักข้าว" สองพี่น้องเดินเข้าครัว เสียงคุยกันดังมาได้ยินชัดเจน

"พี่ยกลงมาข้างล่างแล้วนะ เดี๋ยวอีกประมาณสิบห้านาที น้าชาติจะมารับ พี่ว่าจะพาไปเดินดูป่าโกงกาง สักพักจากนั้นค่อยไปท่าเรือ เราจะไปเที่ยวสิบโมงครึ่งนะ ถ้าไปเดินเล่น ไปเที่ยวแรกเ้ก้าโมงไม่ทัน ก็ถึงเกาะประมาณเที่ยงนั่นแหละ”

“พี่ลีจะรำคืนนี้เลยหรือเปล่าคะ” พรศิริส่งเสียงถาม คนเป็นพี่หยุดเดินหันมาตอบ ตวงพรเดินล่วงหน้าโดยไม่รอ

“เป็นคืนพรุ่งนี้จ้ะ ไปเตรียมเวทีก่อน ส่วนเอกสารแจกในงาน สูหยาสั่งพิมพ์แจกแล้วประมาณร้อยห้าสิบแผ่น”

“ถือว่าคนเยอะหรือน้อยคะนี่” ตวงพรเดินเข้าตักอาหารเสร็จแล้วมานั่งรับประทานที่โต๊ะ ร่วมวงสนทนาด้วย

“เยอะเหมือนกันนะ ได้ยินว่าเวทีไม่ใหญ่มาก บริเวณก็ไม่กว้างมากนัก แต่เป็นเวทีแบบเปิดริมหาด ดังนั้นอาจจะมีคนมากกว่านี้ แต่เป็นคนไทย ไม่ใช่ต่างชาติ ก็คือชาวบ้านบนเกาะที่เขาชอบดูงานบันเทิง”

“อืม..ค่ะ ศิริไปยกกระเป๋าดีกว่า เดี๋ยวน้าชาติมาจะได้ไม่ต้องรอเรานาน”

“ดีจ้ะ”

“เดี๋ยวเรายกของตวงมาด้วย ไม่ต้องห่วงนะ”

“ใจจ้า” ตวงพรยิ้มแป้นแร้น น่ารัก

“พี่ไปจัดการจานชามก่อน ตวงรีบทานนะ เดี๋ยวน้าจะมาแล้ว”

“ค่า”

ทุกคนแยกย้ายกันไป

----



แปดโมงตรงเป๊ะ น้าชาติเคลื่อนรถกระบะคันเดิมมาจอดหน้าบ้าน ทุกคนเตรียมขนของใส่ยกมือสวัสดีน้าชาติแล้วเข้านั่งประจำที่

“หน้าชาติบายดีหม้ายคะ” ตวงพรพยายามพูดใต้สำเนียงภาคกลาง น้าชาติหัวเราะ ขำเด็กสาว

“บายดีหลานเ้อ้อ วันเน้แข้บไปไหนหม้ายอะ” ตวงพรทำหน้าเหรอหรา ดาราวลียิ้ม แปลให้

“น้าบอกว่าสบายดี จะรีบไปไหนหรือเปล่า ทำลืมๆ แข้บ แปลว่ารีบเร่งไง”

“ฮะๆๆๆ ค่ะ ตวงลืม วันนี้ตามโปรแกรมแล้วไม่มีอะไรรีบร้อนค่ะน้าชาติ หม้ายต้องเหยียบเกินร้อยก็ได้” ทุกคนหัวเราะ

สิบห้านาทีจากบ้าน น้าชาติจอดรถให้ริมถนน หน้าสถานีพัฒนาทรัพยากรป่าชายเลนที่ 26 จังหวัดกระบี่

“เอาของไว้ในรถ น้าจะเลยไปธุระที่ตลาด เดี๋ยวสิบโมงมารับไปส่งที่ท่าเรือ” ผู้โดยสารทยอยลงจากรถทีละคน จนครบสมาชิกสี่คน ยกมือไหว้น้าชาติอีกครั้ง แล้วโบกมือให้รถแล่นออกไป

“เอาหละ เราจะเดินเล่นและดูนก ดูไม้ตรงนี้ประมาณเกือบๆ สองชั่วโมงแหละ เส้นทางเดินเป็นเส้นเดียว ไปทางไหนกลับทางนั้นไม่ต้องกลัวหลง”

“อ่า..ถ้าหลงรักคนกระบี่หละคะพี่ลี” ตวงพรทำทะเล้นแอบเหล่ไปทางพี่ชายที่ยืนทำหน้าขรึมๆ เก๊กๆ

“ช่วยไม่ได้จ้ะ ไปเดินลงไปนี่ก็ถึงสะพานไม้แล้วหละ”

“เดี๋ยวๆ ศิริถ่ายรูปดอกไม้ก่อนค่ะ ดอกหญ้าตรงนี้สวยมากเลย” ตวงพรกระโดดเหย็ง เมื่อหนไปเห็นตัวเองเกือบจะเหยียบดอกสวยของเพื่อนแบนแต๊ดแต๋

“อุ้ยๆ ขอโทษๆ ไม่ทันมอง แหม ดอกไม้สวยเกือบเป็นดอกไม้ซวยซะแล้ว” ดาราวลียิ้ม

“ที่นี่เขาเรียกอะไรนะ” พีรวิชญ์ถาม ดาราวลีชี้ให้ดูป้ายขนาดใหญ่ที่ติดอยู่ริมทาง ด้านหลังคนถาม หันไปก็เจอตัวหนังสือเบ้อเริ่มแล้ว ว่าที่นี่เขาเรียกว่าอะไร

“วิ้ดวิ้ว..” ตวงพรทำเสียงผิวปากเมื่อเห็นพี่ชายทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ หนุ่มหล่อหน้าแตกนี่เก๊กชะมัดเล้ย

“เดินลงเนินจากตรงนี้ไปจะเจอทางขึ้นสะพานไม้ ที่่ทอดยาวประมาณหนึ่งกิโลเมตร ไปกลับก็ราวๆ สองกิโล”

“สองกิโล !” ตวงพรตาโต ลูบพุงที่เพิ่งอิ่มข้าวมา

“จะหมดแรงข้าวต้มก่อนไหมเนี่ย พี่ลี”

“ไม่หรอกน่า อย่าใจเสาะ เดินเพลินๆ แป๊ปเดียว” สี่คนเดินตามกันลงเนินไป ซ้ายมือเป็นอาคารสำนักงาน ซึ่งปิดเงียบ สงสัยจะเช้าเกินไปยังไม่มีคนมาทำงานหรือเปล่าก็ไม่รู้ ด้านขวามือเป็นทะเล ที่เรียกกันว่าปากน้ำ เหมือนลำคลองมากกว่าทะเล เพราะมองเห็นเกาะเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยป่าโกงกางโดดเด่นอยู่ใกล้ๆ

น้ำทะเลแห้งเห็นโคลนสีคล้ำ มีท่าเรือเป็นสะพานไม้เล็กๆ มีเรือเร็วลำหนึ่งผูกเชือกไว้ที่ปลายเสา พรศิริมองที่โคลนจินตนาการว่าหากก้าวเท้าไปเหยียบ น่าจะจมมิดไปอย่างน้อยครึ่งน่องแน่ๆ น้ำทะเลสีขุ่นขลั่ก

ก่อนถึงสะพานมีโต๊ะไม้ไผ่เก่าๆ โย้เย้อยู่ตัวหนึ่ง โต๊ะสูงระดับเอวของพีรวิชญ์ เขาเดินไปใกล้ๆ ทักทายแมวสีขาวลายจุดสีดำเป็นปื้นตัวหนึ่ง นั่งพับขามองมา เขาแตะหัวมันเบาๆ มันหลับตาพริ้ม เขาเลยลูบหัวแมว เจ้าเหมียวอ้าปากหาว เห็นเขี้ยวยาวโง้ง

พีรวิชญ์ก้มตัวลงจมูกเกือบจะชนกับเจ้าเหมียว แมวท่าทางคุ้นเคยกับคนมากๆ มันยื่นจมูกมาดมๆ แล้วสบตากับเขา

สองสาวเดินไปล่วงหน้าแล้ว คุยกันหนุงหนิง ดาราวลีหยุดมองชายหนุ่มเล่นกับแมว โดยการค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง เจ้าเหมียวแสนรู้ค่อยๆ ปิดตาตามลงมา เธออยู่ไม่ใกล้แต่ก็ไม่ไกลนัก มองเห็นเขาหลับตาพริ้ม ขนตายาวหนางอนเช้งเหมือนผู้หญิง พอเขาหรี่ตามอง เจ้าเหมียวก็เปิดตามาสบตากับเขาใหม่ เขาเล่นอยู่สองสามรอบ หัวเราะเบาๆ แล้วหันมาสบตากับดาราวลี ซึ่งมัวแต่มองไม่ทันรู้ตัวว่าเขาจะหันมา

แก้มสาวร้อนซู่ ทำปากขมุบขมิบแล้วเดินจ้ำอ้าวไปก่อน พีรวิชญ์ยิ้มกว้างสาวเท้าตามไปจนทัน กันที่บันไดเตี้ยๆ สองสาวยืนอยู่บนสะพานแล้ว เขากับดาราวลีก้าวเท้าขึ้นบันไปไปพร้อมๆ กัน

พีรวิชญ์นั่งยองๆ เคาะไม้ที่ทำสะพาน

“อืม สะพานนี้แข็งแรงนะ”

“ค่ะ พื้นทำจากไม้เนื้อแข็ง ทั้งตงไม้และพุกไม้ทำจากไ้ม้เนื้อแข็งทั้งหมด ส่วนเสาเป็นเสาคอนกรีตเสริมเหล็ก น้ำหนักเหยียบร้อยของใครบางคน และรวมกับของเราสามคน รับรองเดินได้สบายมาก”

ดาราวลีอธิบายเพิ่มเติม เธอเป็นไกด์ที่ดีเยี่ยมจริงๆ พีรวิชญ์มองอย่างชื่นชม ดาราวลีสบสายตาเขาแต่ทำหน้าเฉยๆ เมินไปทางอื่น หากแต่ใครจะรู้ แก้มร้อนซู่อีกรอบ หวังว่าใครคงไม่สังเกต

“แหม.. น้ำหนักเหยียบร้อย พูดแล้วต้องชายตามาทางหนูด้วยนะ พี่ลี นะ”

“ร้อนตัวไปได้ ไป” ดาราวลีกอดคอน้องสาวเดินนำ

“ป่าชายเลนเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญ และเป็นที่อยู่ของสัตว์น้ำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นกุ้ง หอย ปู ปลา เดี๋ยวเราจะได้เห็นกันตามทางระหว่างเดิน”

“ป่าชายเลน..ๆ” พรศิริพยายามคิด

“ป่าชายเลนหมายถึงสังคมพืชที่ประกอบด้วยพันธุ์ไม้หลายตระกูล อยู่บริเวณชายฝั่งทะเล ปากแม่น้ำ ทะเลสาบ เกาะ หรืออ่าวต่างๆ ที่มีระดับน้ำทะเลท่วมถึงในช่วงที่น้ำทะเลสูงสุด”

“ฮื้อ เป๊ะ มากเลยศิริ จำมาจากไหน”

“จากในเน็ตค่ะ เมื่อคืนได้ยินพี่ลีพูดถึง เลยเสริชเข้าไปดูในเน็ต เห็นบล็อกเกอร์กระบี่ทูเดย์ ที่บล็อกโอเคเนชั่นเขารวบรวมไว้ค่ะ ชื่อตอนโกงกางใจกลางเมืองเขาอ้างอิงว่าได้มาจากโบชัวร์ของทางสถานีที่นี่กับเสริชข้อมูลในเน็ตประกอบ”

“อือ เก่งนี่ ไม่ได้เล่นแต่เกมส์ กะแช้ทในเฟสบุ้ค รู้จักหาความรู้ แบบนี้แหละ คือการใช้เน็ตที่ได้ประโยชน์” พรศิริยิ้มแต้ เพื่อนเลิฟปลดมือพี่สาวออกอย่างนุ่มนวลเดินถอยหลังมากอดเอวเอียงศีรษะมาโขก ทำเสียงกระซิบกระซาบ

“แหม..หน้าบานเชียะ” ข้อหาหมั่นไส้ ก่อนเดินทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ไปกอดเอวพี่สาวต่อเฉยเลย พรศิริหยุดเดินยืนเท้าสะเอวมอง

พีรวิชญ์ยืนมองอยู่ข้างหลังขำๆ

“พี่ลี เขาว่าสะพานห้าร้อยเมตรเองค่ะ ไหนพี่ลีว่าไปกลับสองกิโลหละ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่รบด้วย พรศิริเลยจ้ำอ้าวตามไป ดาราวลีหันมามอง

“เหรอ.. อ้าว สงสัยพี่จำผิด” ดาราวลียิ้มกริ่ม แววเจ้าเล่ห์ปรากฎในประกายตา พีรวิชญ์ยิ่งยิ้มกว้าง สาวเท้าก้าวตามไปเงียบๆ พอกันทั้งพี่ทั้งน้องเลยนะนั่น

“พี่ลีเราเดินผ่านมาแล้วแมื่อกี้อะไรคะ”

“อ๋อแปลงเพาะต้นโกงกาง เดี๋ยวค่อยกลับมาดู เดินทางนี้ก่อน”

“ค่ะ”

“นี่ไง ต้นโกงกาง เขาเรียกโกงกางใบใหญ่ สูงเกือบราวๆ ยี่สิบห้าถึงสามสิบห้าเมตร โกงกางจะมีรากพิเศษงอกออกมายึดลำต้น ระเกะระกะไปหมด แต่ว่ามั่นคง นี่เห็นฝักโกงกางไหม สีเขียวๆ ยาวเฟื้อยแบบนี้”

“อืม กินได้ไหมคะ”

“อ้าว เพิ่งกินข้าวมาอิ่มๆ จะกินโกงกางเลยเหรอตวง” พรศิริแขวะเพื่อน

“อะนะ แหม..”

“ที่พี่บอกมาดูต้นก่อน ค่อยกลับไปดูแปลงเพาะ ก็เพราะอย่างนี้ไง ฝักนี่แหละ ยาวเต็มที่ได้ถึงเก้าสิบเซ็นเลยนะ”

“โห ยาวมาก”

“อืม พี่ก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน อ่านมาจากในเน็ตเหมือนกันข้อมูลนี้”

“มีดอกไหมครับ” พีรวิชญ์ยืนล้วงกระเป๋าสบายๆ อยู่หลังสุดถามบ้าง

“มีค่ะ ดอกเป็นสีขาวๆ อมเหลือง ไม่แน่ใจว่าเราจะได้เห็นไหมวันนี้ ลีจำฤดูที่มีดอกออกผลไม่แม่นนัก แต่เคยเห็นด้วยตาตัวเองเหมือนกัน ดอกโกงกางถ้าจะเปรียบเทียบชัดสุด ก็คงจะเป็นจำปี อยู่รวมกันเป็นช่อๆ โคนดอกติดกัน หอมด้วยนะคะ หอมอ่อนๆ”

“อืม ถ้าเราโชคดีวันนี้คงได้เห็นมั่งๆ แหละนะ” ตวงพรพูด

“เมื่อกี้้ตวงถามว่ากินได้ไหม กินได้นะ โกงกางถือเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่ง เปลือกเอาไปต้ม กินน้ำต้มเปลือกโกงกางจะแก้โรคท้องร่วงได้ หรือแก้คลื่นเหียนอาเจียน โรคบิด”

“ดีจังนะคะ เปิดเทอมหน้า ศิริกับตวงมีเรื่องเล่าไปอวดเพื่อนเยอะแยะเลย”

“ถ้าจำได้ก็ดีสิ” พี่สาวจับศีรษะตวงพรยีเบาๆ แม้อยู่ด้วยกันไม่นาน ก็พอรู้หละว่าน้องตัวเป็นคนอย่างไร

“ได้อย่างเดียวหรือครับ หนูลี”

“ประโยชน์มีหลายอย่างค่ะ อย่างใบเนี่ย” เธอชี้ไปที่ใบอ่อนสีเขียว

“ใบอ่อนๆ แบบนี้ ถ้าฉุกเฉินก็เคี้ยวๆ ให้ละเอียด แล้วโปะไปบนแผลสด หรือไม่ก็เปลือกนี่เอาไปตำพอกปากแผลเพื่อห้ามเลือดได้ด้วยเหมือนกัน”

“ลำต้นหละ”

“เอาไปทำฟืนหรือเผาถ่านค่ะ ถ่านของไม้โกงกางเขาว่าใช้ดีนักหละ ราคาค่อนข้างสูงด้วยนะ เนื่องจากถ่านคุณภาพดีมากเลย ไม่มีสะเก็ด ให้ความร้อนสูง บางทีเขาก็เอาลำ้ต้นไปทำเสา หรือเฟอร์นิเจอร์”

“โอ้โห.. นี่คือธรรมชาติสร้างให้เลยนะคะเนี่ย ต้นเดียวได้ประโยชน์เยอะแยะเลย ขอเพียงให้รู้จักใช้เท่านั้นเอง” ตวงพรส่งมือให้พี่สาวดึงเพื่อลุกขึ้น ไม่รู้นั่งลงไปกับพื้นแกว่งขาด็อกแ็ด็กๆ ตั้งแต่ตอนไหน

“เราจะไปไหนต่อคะ”

“เดินย้อนกลับไปที่แปลงเพาะเมื่อกี้สิ เราเพิ่งมาได้สักสิบเมตรเองมั้งเนี่ย แล้วเชื่อหรือยังว่าเราจะอยู่นี่สองชั่วโมงเนี่ย เพลินๆ เลย”

“เชื่อแล้วค่ะ”

“ไปดูแปลงเพาะกัน เดินย้อนนิดหน่อยเอง จะได้เข้าใจแล้วเก็บไปเล่าอย่างถูกต้อง เข้าใจไหม” ดาราวลีจูงมือน้องสาวเดินนำ พรศิริกับพีรวิชญ์เดินตาม


“นั่นเป็นแปลงเตรียมดิน ผสมปุ๋ยหมัก ใส่ในถุงพลาสติกเล็กๆ สีดำ จากนั้นแปลงที่สองก็เป็นแปลงที่เขาเอาฝักที่แก่เต็มที่ของโกงกางมาปักลงไปให้ลึก แต่จะไม่ให้ทะลุก้นถุง หรือไม่ทำให้ก้นถุงรั่ว เวลารากงอก ถ้าย้ายไปปลูกแปลงที่สาม ต้นโกงกางจะได้ไม่เฉาตาย ส่วนไม้ที่ล้อมกรอบแปลงเพาะไว้ ตรงนั้น” ไกด์จำเป็นชี้ไปยังแปลงที่สาม

“ตรงนี้เป็นที่ ที่น้ำทะเลท่วมถึง หากไม่กันไว้ต้นโกงกางที่เพาะๆ ไว้อาจจะลอยไปตามน้ำเวลาน้ำลดก็ได้”

“ค่ะ ทีนี้ก็เข้าใจหละ ว่าทำไม พี่ลีพาไปดูต้นโกงกางก่อน จะได้เห็นภาพและจำ เข้าใจ เอาไปเล่าต่อได้ง่ายๆ นี่เอง”

“ไป เดินกันเหอะ สะพานนี้ไม่ยาวอย่างที่คิด แต่ไม่ได้หมายความว่าจะสั้น แป๊ปๆ ผ่านไปสิบห้านาที ยี่สิบนาทีแล้วเห็นมั้ย”


แดดสายสว่างจ้า แต่ลอดเข้ามาตรงสะพานกลางราวป่าโกงกางเพียงนิดหน่อย สายลมทะเลพัดพลิ้วฉ่ำ เย็นสบาย ไกด์เดินนำให้ลูกทัวร์เดินตามบ้าง เดินเคียงข้างกันไปบ้าง สองข้างทางเป็นป่าโกงกาง ที่มีป้ายไม้ปักบนดินบ้าง แขวนตามต้นไม้บ้าง บอกชื่อตลอดแนวทางเดิน

จนถึงลานสื่อความหมาย เป็นบอร์ดที่มีหลังคาพอคุ้มฝนคุ้มแดด มีโปสเตอร์ภาพนกต่างๆ ปลาทะเล และพืชพันธุ์ไม้ในป่าโกงกางที่เห็นผ่านตามาสักครู่ใหญ่สำหรับอ่านประดับความรู้

“แถวนี้จะเป็นเหงือกปลาหมอ เหงือกปลาหมอนี่ขึ้นเองตามธรรมชาติก็มีเหมือนกัน ในบริเวณปากน้ำแบบนี้ ถ้าเพาะก็ใช้ต้นที่มีอายุประมาณหนึ่งหรือสองปี ไปปักคล้ายๆ โกงกาง พอรากงอกก็ย้ายไปปลูก ประโยชน์ของเหงือกปลาหมอ ขับพยาธิ แก้โรคผิวหนัง บางคนเขาก็ใช้เป็นยาอายุเจริญอายุ โดยการปรุงกับพริกไทย กับน้ำผึ้ง”

“หวาย ไม่เอาหละค่ะ ตวงกลัวแก่ เอาแค่อายุขัยตามปกติดีกว่า กลัวเป็นคุณยายวรนาถ”

“นะ ดูละครมากไปไหมคุณเพื่อน”

“ฮิฮิ ประมาณว่า”

“เราเดินกันต่อดีกว่าค่ะพี่วิชญ์ ข้างหน้าน่าจะมีอะไรน่าสนใจอีกเยอะเลย” พรศิริเดินไปเกาะแขนพี่ชายที่ยืนอ่านโปสเตอร์บนบอร์ด เขาพยักหน้า หันมามองไกด์ ไกด์คนสวยก็พยักหน้าเช่นกัน เลยออกเดินกันต่อไป

[พบกันใหม่ พฤหัสบดีหน้าโดยประมาณค่ะ]



Create Date : 29 กันยายน 2554
Last Update : 31 ตุลาคม 2563 13:21:58 น.
Counter : 585 Pageviews.

1 comments
  
แวะมาฝากกำลังใจให้คุณแจมค่ะ
โดย: เนยสีฟ้า วันที่: 1 ตุลาคม 2554 เวลา:3:33:45 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สีน้ำฟ้า
Location :
กระบี่  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



MY VIP Friend