:::ปลายทางที่โค้งฟ้า..ตอนที่ 12 :::
ท่ามกลางความสับสนของฉันในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อชีวิต..ในวันที่คุณอายื่นข้อเสนอให้ฉันไปเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยในเมืองใหญ่ฉันไม่อยากไปไหน ฉันเป็นคนปรับตัวยาก ฉันไม่ชอบอยู่รวมกับคนอื่นเหมือนที่พ่อชอบค่อนแคะฉันเวลาฉันเกเร พ่อบอกว่าฉันเอาแต่ใจตัวเอง ความจริงแล้ว..ฉันยอมรับคนอื่นนะ.. แต่ต้องตามแบบฉบับของฉันฉันทนกับความลำบากความขัดแย้งได้เท่าที่เป็นความพอใจของฉัน..ในคืนวันที่เพื่อนส่วนหนึ่งจบการศึกษาและออกทำงานในภูมิลำเนา .ฉันเหงา.. ส่วนใหญ่เพื่อนเพื่อนจะมาจากต่างจังหวัดและไม่เรียนต่อในระยะสองปีสุดท้าย เพื่อนส่วนใหญ่ในกลุ่มมีงานรออยู่แล้ว ใจฉันกระโจนตามเพื่อนไปแม่ฮ่องสอนเลย..แต่พ่อให้ฉันเรียนต่อจนจบปริญญาตรีก่อนพ่อมองเห็นฉันเป็นเด็ก ฉันเข้าใจพ่อ.. พ่อไว้ใจฉัน แต่พ่อไม่ไว้ใจคนอื่น..อัจน์เรียนปีสุดท้าย แต่เพราะเธอต้องดร็อบในระยะที่ป่วยทำให้ต้องยืดเวลาออกไปอีก อัจน์เก็บหน่วยกิตในช่วงซัมเมอร์ของเทอมสุดท้าย แต่ก็หาโอกาสปลีกตัวมาพบฉันเสมอ วันหนึ่งอัจน์ได้พบกับพี่สรวง น้องสาวของพี่สันติ์ที่มาเยี่ยมเยียนพ่อและฉันเช่นเคย พี่สรวงเป็นพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลชุมชนซึ่งคุณแม่ของอัจน์เป็นคนไข้ประจำ พี่สันติ์ ได้คุยกับอัจน์อยู่นานที่ลานไผ่ ทิ้งฉันให้ทำอาหารสองคนกับพี่สรวงมีโอกาสได้คุยกันเรื่องอัจน์ ก็คุยเรื่องนั่นนี่สัพเพเหระตามนิสัยหญิงเหมือนเราคุยกันได้ทุกเรื่องราวรวมถึงเรื่องอัจน์ด้วยวันนั้นฉันได้รับรู้เรื่องราวของครอบครัวอัจน์ในมุมที่ฉันไม่เคยรู้..ครอบครัวของอัจน์..มีอย่างน้อยสองคนที่ฆ่าตัวตาย..หนึ่งคนพยายามฆ่าคนอื่นโดยเตรียมการไว้ก่อน..ฉันรู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก..ปัญหาทางจิต..สืบทอดทางสายเลือด..วันที่อัจน์ทวงคำตอบให้รอ ฉันเข้าใจว่าหมายถึงอะไร..แต่โดยท่าที..ฉันแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ..ท่าทีนุ่มนุ่มละมุนละไมของอัจน์ ฉันไม่อยากทำร้ายเธอเลยฉันพยายามคลี่คลายไม่ให้เธอทุกข์ ไม่อยากกดดันแต่ในขณะเดียวกัน ฉันไม่ชอบให้ความหวังคนอื่นแบบลมแล้งฉันบอกด้วยปากกับเธอเองในวันนั้น..กลางแดดอบอุ่นปลายฤดูหนาวฉันบอกเธอว่าฉันต้องเรียนต่อให้จบ..ฉันไม่ได้ไปไหนสักหน่อย.ฉันบอกอัจน์ว่าไม่อยากใช้คำว่ารอ ..การรอคอยบั่นทอนความรู้สึก..ทั้งต้นทางและปลายทาง..ซึ่งฉันรู้สึกอย่างนั้นจริงจริง" กลางก็ยังอยู่ที่นี่ ใครอยากมาก็มาได้ กลางกับพ่อยินดีต้อนรับอยู่แล้ว.. "ฉันอ้างพ่อเฉยเลย ก็จริงจริงนี่..พ่อยินดีต้อนรับทุกคนแหล่ะ..ฉันไม่ลืมหยอดท้ายเล่าเรื่องความคิดของฉันให้อัจน์ฟังในวันหนึ่งที่พ่อบอกว่าพ่อไม่ใช่จะอยู่ค้ำฟ้าดูแลฉันไปตลอดฉันบอกพ่อว่าฉันจะเปิดกิจการสงเคราะห์คนชรารับเลี้ยงผู้สูงอายุเพื่อให้พ่อมีเพื่อนในวัยเดียวกัน..พ่อถามว่า..แล้วถ้าพ่อตายก่อนแก่ล่ะ?" "กลางก็ไปอยู่ป่วนสถานสงเคราะห์คนชรา.."..ฉันคิดอย่างนี้ จริงจริงนะฉันขอให้เธอตั้งใจเรียนจะได้จบเร็วเร็วกับมาดูแลคุณแม่ ฉันเต็มใจที่จะเป็นกำลังใจให้อยู่ตรงนี้เหมือนเดิมไม่ว่าจะอย่างไรเราร่วมแผ่นดินผืนเดิมต่อให้ไกลเท่าไกล เราอยู่ใต้ฟ้าเดียวกัน ....พายุตั้งเค้า..มรสุมชีวิตของฉันโชยกลิ่นไอ.ปีสุดท้ายของการศึกษา น้องเล็กประสบอุบัติเหตุระหว่างร่วมกิจกรรมกับมหาวิทยาลัยเธอต้องตัดขาเพราะแผลที่ข้อเท้าลุกลามขาข้างที่ขาดหายมีขาเทียมทดแทนแต่ดวงใจร้าวรานของพ่อ..ยากที่จะซ่อมแซมในชีวิต..ฉันไม่เคยเห็นพ่อล้มป่วย เมื่อล้มสักครั้งยากเยียวยาเรื่องการพลัดพรากและการเจ็บป่วยอณูหนึ่งของวงจรชีวิต การเริ่มต้นชีวิตใหม่ - การสูญเสีย ,ฉันขลุกอยู่กับความเจ็บป่วยของบุคคลอันเป็นที่รักกว่าขวบปีไม่เคยลืมตัวเองที่วิ่งกระโปรงปลิวกระโดดขึ้นรถไฟทุกเย็นวันศุกร์ในช่วงปีสุดท้ายของระดับอุดมศึกษาปลายทางคือพ่อที่คอยอยู่ทุกขณะจิตในห้องพิเศษ 104ตึกพิเศษสีขาว คนไข้พิเศษของคุณหมอดนัยนายแพทย์ตัวเล็กเล็กแสนใจดี กับรอยยิ้มเย็นเย็นเปี่ยมเมตตา"มีอะไรหนู" เสียงนั้น สายตานั้นยังจำได้เสมอท่านอุตส่าห์ละจากแขกหันมาทักฉันเด็กผู้หญิงคนที่วิ่งเท้าเปล่าจากตึกพิเศษลงมายืนลับๆล่อๆถึงหน้าบ้านพักปาดน้ำตาแล้วบอกบนสะอื้น "คุณพ่อช็อค""เดี๋ยวหมอตามไป""เดี๋ยว" ของท่านก้อถึงพร้อมฉันนั่นแหล่ะความผูกพันเพียงแค่"คนบ้านเดียวกัน"และ "อาจารย์ของภรรยา" เท่านั้นเองจนป่านนี้ยังนึกไม่ออกเลยว่าฉันทำอย่างนั้นได้อย่างไรมีเด็กผู้หญิงสักกี่คนที่วิ่งถลาลงไปทุบเคาน์เตอร์พยาบาลตอนตีห้าไม่ได้ดั่งใจก้อกระโจนพรวดไปถึงหน้าบ้านพักหมอเลยเหตุการณ์อย่างนี้ดำเนินอยู่เกือบปีฉันเจอมรสุมแล้ว..ฉันจะผ่านชีวิตช่วงนี้ไปอย่างไรกันหนอ.. เพลงประกอบ: Green Field