เมษายน 2552

 
 
 
1
2
3
4
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
10 Fantastic days in Japan ⊰⊹ Kyoto - Osaka


วันนี้อากาศแจ่มใส เราจะไปชมเสาโทริอิสีแดงที่ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ Fushii Inari Taisha Shirine (伏見稲荷神社) ที่อยู่ในหนังเรื่อง Memoir of Geisha กันนะคะ

แต่ก่อนอื่นเราต้องนำกระเป๋าไปฝากเจ้าแมวดำที่เซเว่นแถวเรียวกังให้ส่งไปไว้ที่สนามบินคันไซกันก่อน เหลือเพียงกระเป๋าล้อลากใบเล็กติดไปนอนที่โอซาก้าด้วยกัน 2 คืน ถ่ายภาพของขายในเซเว่นบ้านเขามาฝากกัน





ระหว่างเดินไปขึ้นรถไฟที่สถานี Kyoto เราก็แวะเติมพลังกันที่ร้านข้างทางในราคาไม่แพง



เราเดินทางไปศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushimi inari) ทางรถไฟเพราะสะดวกกว่าไปทางรถเมล์





เรานั่งรถไฟสาย JR Nara line ใช้เวลาเดินทางจากสถานี Kyoto ประมาณ 5 นาที ภาพรถไฟรุ่นเดอะของญี่ปุ่นคลาสสิคมากค่ะ



ถึงสถานีรถไฟใกล้ศาลเจ้าแล้ว...



ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริจะมีสิ่งที่ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างวัดพุทธกับศาลเจ้าชินโต คือ ศาลเจ้าชินโตจะมีเสาโทริอิหลายพันต้นอยู่ภายในศาลเจ้า และปักอยู่ด้านหน้าทางเข้าศาลเจ้าเสมอ




บรรยากาศทางเข้าศาลเจ้า...





ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushimi inari) หรือ ศาลเจ้าพ่อจิ้งจอกขาว สร้างขึ้นเพื่อสักการะเทพ inari ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งการกสิกรรมและอุตสาหกรรม







ส่วนสุนัขจิ้งจอกนั้นถือเป็นผู้นำสาร หรือเรียกง่ายๆ ว่า Messenger ขององค์เทพเจ้านั่นเอง เพื่อให้พื้นที่บริเวณนี้มีน้ำอุดมสมบูรณ์ ปลูกข้าวได้ผลผลิตดีมีคุณภาพ และเป็นแหล่งผลิตเหล้าสาเกที่มีคุณภาพ



เมื่อเข้าไปภายในศาลเจ้าและเดินไปตามทางขึ้นสู่เนินเขา เราก็จะพบกับเสาโทริอินับพันต้นที่ตั้งอยู่บนเนินเขาภายในบริเวณศาลเจ้าจนกลายเป็นอุโมงค์เสาโทริอิ ซึ่งมีหลากหลายขนาดตั้งกันแยกเป็นหลายเส้นทาง ซึ่งรวมความยาวของอุโมงค์ทั้งหมดได้ประมาณ 4 กิโลเมตร



ถึงแม้เราจะไปแต่เช้าแต่ก็ไปไม่ถึงยอดเขาได้แค่เกือบๆ เพราะว่าไกลและเดินนานมากค่ะ (แปลง่ายๆว่า...เดินไม่ไหวนั่นเอง )



หลังจากนั้นเราก็นั่งรถไฟไปลงสถานีเกียวโตแล้วต่อรถเมล์ไป Kiyomizu-dera หรือ วัดน้ำใส โดยวัดนี้สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่ คันนง โบซัทสึ ซึ่งก็คือพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรหรือเจ้าแม่กวนอิมนั่นเอง

เมื่อถึงถนนสายกาน้ำชาเราก็แวะหาอะไรทานกัน รสชาติแค่พอทานได้นะคะถ้าใครไปแถวนั้นแนะนำว่าทานอาหารจากที่อื่นให้อิ่มก่อนดีกว่าค่ะ





ถนนสายกาน้ำชา ...มีของน่าซื้อน่าแวะชมมากมาย รวมทั้งผู้คนเยอะแยะไปหมด



ถึงแล้วค่ะ ... Kiyomizu ที่แปลเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า น้ำใสหรือน้ำบริสุทธิ์ ที่สร้างขึ้นเมื่อคริสต์ศักราช 794 แต่ได้รับความเสียหายมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ตัววัดที่อยู่มาจนถึงปัจจุบันนั้น ถูกสร้างใหม่โดยโชกุนโตกุกาว่า อิเอมิตสึ เมื่อปีคริสต์ศักราช 1633





เราเดินขึ้นไปยังวิหารใหญ่ (Hondo) ที่ตั้งอยู่บนไหล่เขารองรับด้วยเสาไม้มหึมาโดยมีระเบียง (บุไต) อันเป็นเวทีร่ายรำชะโงกเงื้อมเหนือหุบเหว
คนญี่ปุ่นจะเปรียบเทียบ ผู้ที่ต้องเสี่ยงครั้งสำคัญในชีวิตว่าเหมือนกับการกระโดดลงจากระเบียงแห่งนี้ ซึ่งจุดชมวิวที่สวยที่สุดของวัดแห่งนี้ โดยปัจจุบันตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเกียวโต





Kiyomizu-dera เป็น World Cultural Heritage Site เพราะมีระเบียงไม้ที่ใหญ่ที่สุด



วัดนี้ยังคงเป็นสุดยอดของความนิยมไม่เสื่อมคลาย สังเกตได้จากจำนวนคนที่เข้าคิวดื่มน้ำน้ำตกสามสาย (Otawa-no-taki watefall) ที่ยังยาวเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง โดยเชื่อกันว่าหากดื่มน้ำจากบ่อน้ำที่ไหลลงมาจากน้ำตกจะทำให้มีสุขภาพดี มีอายุยืน และประสบความสำเร็จในการเรียน



เมื่อเดินออกมาหน้าวัดเราได้พบกับเหล่าไมโกะที่มาแต่งตัวดึงดูดนักท่องเที่ยวหลายนาง



ระหว่างเดินลงเขาไปตามถนนสายกาน้ำชา เราก็เจอพระนางสุดฮอตเข้าให้ มีช็อตป้อนไอติมกันด้วยยยย (จริงๆแล้ว เขามาถ่ายแบบให้ 'อิน แมกกาซีน' กันค่ะ)



แวะชมของน่ารักระหว่างทาง ก่อนจะรีบเดินทางไปชม Nijo Castle กันต่อ



เรานั่งรถเมล์มาจนถึงหน้าปราสาท Nijo Castle ที่เป็นรู้จักกันดี เกี่ยวกับ Nightingale Floor





ปราสาทส่วนแรก ชื่อ Minomaru Palace จุดเด่นของปราสาท Minomaru ที่มีชื่อเสียงมานานว่า คือ ปราสาทนกไนติงเกล ก็เพราะที่นี่มีการออกแบบให้เมื่อเหยียบพื้นกระดานเพียงเบา ๆ ก็จะได้ยินเสียงเหมือนนกร้อง เพื่อดักนินจาที่อาจย่องมาลอบทำร้ายโชกุน โดยคานที่รองรับกระดานแต่ละแผ่นจะมีอุปกรณ์เล็กๆ ที่จะสั่นเป็นเสียงนกร้องทุกครั้งที่เหยียบลงไปแม้เพียงเบาๆ



หลังจากเต็มอิ่มกับเกียวโตเมืองที่รักมากที่สุดในทริป เราก็นั่งรถชินคันเซ็นไปยัง Shin Osaka Station เพื่อเอากระเป๋าไปเก็บที่โรงแรม Shin'osaka หลังสถานี



หลังจากเซ็งกับกลิ่นบุหรี่ที่อบอวลในห้องและพื้นพรมสีซีดมีรอยด่างทั้งห้องแล้ว กลิ่นบุหรี่อบอวลทั้งฟลอร์จนหายใจแทบไม่ออก แม้จะขอห้องที่ไม่สูบบุหรี่ตั้งแต่ตอนที่จ่ายเงินจองไปตั้งหลายเดือนแต่ก็ไม่ได้ เราก็เจรจากับพนักงานอยู่นานมาก

จนสุดท้ายได้เปลี่ยนห้องเป็นห้องที่สภาพดีขึ้น (จริงๆแล้วอยากเปลี่ยนโรงแรมแต่เดินออกมาไม่เจอโรงแรมอื่นในบริเวณใกล้เคียง เลยจะขอลดจากนอน 2 คืนเป็น 1 คืน พรุ่งนี้มีแรงจะย้ายไปนอนแถวอุเมดะ สุดท้ายพนักงานไม่ยอมคืนเงิน 1 คืน แต่กลับหาห้องว่างให้ได้ทั้งที่ตอนแรกบอกว่าเต็มทุกห้อง เปลี่ยนไม่ได้อยู่ตั้งนาน)

แต่ทั้งนี้ด้วยความเคารพจากใจจริง โรงแรมนี้ราคาไม่แพงแต่สภาพก็ไม่สมราคาเพราะทริปนี้เราย้ายโรงแรมกันบ่อย จ่ายในราคาประมาณนี้หลายแห่งแต่โรงแรมอื่นทำให้เห็นว่าแม้แต่เมืองชนบท โรงแรมเขาก็สะอาดกว่าหลายเท่า แม้จะเก่าแต่ลิฟท์หรือห้องพักไม่ได้มีสภาพทรุดโทรมเหมือนที่นี่ สรุปว่า ทั้งทริปไม่ประทับใจโรงแรมนี้ค่ะ คงดีตรงที่ใกล้สถานีรถไฟและมีฟรีอาหารเช้าถูกใจคนไทยมั้งคะ..คนถึงได้นิยมกัน ถ้าไม่ติดเรื่องอยากได้โรงแรมที่ใกล้สถานีรถไฟมากๆ ก็ไม่แนะนำให้พักนะคะ

พอได้ที่พักพอจะซุกหัวนอนและหายใจได้คล่องแล้ว เราก็ไปตะลุยย่านShinsaibashi (心斎橋) ตามหาป้ายกูลิโกะกัน เริ่มด้วยอาหารรสชาติใช้ได้แถวนั้น





ต่อด้วย “ทาโกะยากิ - Takoyaki” หน้าตาดูดี ในร้านมีแผ่นพับรณรงค์ให้คนโอซาก้าเลิกสูบบุหรี่และเดินจนบุหรี่ทิ่มหน้าเด็กด้วยค่ะ เมืองนี้สูบบุหรี่กันมากจนอากาศไม่บริสุทธิ์จริงๆ







หลังจากอิ่มแล้วเราก็ไปหาป้ายกูลิโกะ สัญลักษณ์ของย่าน Shinsaibashi







เดินเล่นกันจนดึกแล้วจึงกลับโรงแรม เพื่อตื่นไปปราสาทโอซาก้าและปราสาทฮิเมจิกันแต่เช้าค่ะ














Create Date : 20 เมษายน 2552
Last Update : 21 เมษายน 2552 0:24:43 น.
Counter : 3557 Pageviews.

3 comments
  
โดย: joyjeen วันที่: 21 กรกฎาคม 2552 เวลา:23:24:24 น.
  
//www.pantip.com/cafe/gallery/topic/G8562986/G8562986.html

แทรคมาจากกระทู้นี้จ้า ไปเฉลยที่บล๊อกย่าหน่อยรูปหนูรูปไหน อิอิ
โดย: ดา ดา วันที่: 4 ธันวาคม 2552 เวลา:11:08:52 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ภาษาดาว
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



"ภาษาดาว" ... เป็นผู้หญิงธรรมดา ๆ คนนึง ที่ อ่าน-ถาม-ตอบกระทู้ อยู่ใน Pantip มาสิบกว่าปี

ถ้าถามว่าอนาคตอยากเป็นอะไร? เมื่อก่อนคงอยากเป็นนักเขียน อยากทำงานอิสระและได้ท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ แต่ด้วยเวลาและอะไรหลายๆอย่าง ทำให้ค่อยๆ ห่างวงการนี้ไป แต่ทุกวันนี้ก็ยังขยันอ่าน ขยันหาความรู้รอบตัวต่างๆ ใส่สมองอันน้อยนิดอยู่เสมอ

หวังว่าสักวันหนึ่ง...ไม่ว่าตอนนั้น เราจะอยู่ตรงจุดไหนหรือทำอะไรก็ตาม...เราก็ยังคงมีความสุขในแบบของเราเอง ในแบบ...ภาษาดาว