Group Blog All Blog
|
แบ่งปันบรรยากาศ 'เว้-ดานัง-ฮอยอัน' ปี 2008 ✿ ตอนที่ 2 จากนั้นรีบออกเดินทางไปชมวัดเทียนมู่ (Thien Mu Pagoda) ตั้งอยู่บนเนินริมแม่น้ำหอม จุดเด่นของวัดคือเจดีย์ทรงเก๋งแปดเหลี่ยม สูงลดหลั่นกัน 7 ชั้น หมายถึงการเดินทางสู่สรวงสวรรค์ วัดแห่งนี้มีความสำคัญจากการที่เป็นวัดของเจ้าอาวาสที่เผาตัวเองประท้วงนโยบายกีดกันศาสนาในสมัยรัฐบาลโงดินห์เดียมที่มีนโยบายให้ประชาชนนับถือศาสนาคริสต์แทนศานาพุทธ รถออสตินที่หลวงพ่อ Thich Quang Duc ใช้เป็นพาหนะเดินทางไปที่ไซ่ง่อนเมืองหลวงของเวียดนาม แล้วนำน้ำมันราดตัวเองและจุดไฟเผาในท่านั่งสมาธิประท้วงรัฐบาลแบบอหิงสาโดยมีพระสงฆ์อีกหลายรูปเผาตัวเองตาม บรรยากาศภายในวัดเทียนมู่ซึ่งสวยงาม สงบ และ ร่มรื่น นอกจากนี้ภายในวัดยังมีระฆังทองสัมฤทธิ์ใบใหญ่หนักถึง 2 ตัน ซึ่งหากตีแล้ว จะได้ยินไปไกลถึง 10 กม. ร้านค้าระหว่างทางเดินไปยังวัดเทียนมู่ หลังจากนั้นเราเดินทางไปเที่ยวชมสุสานจักรพรรดิ์ไคดินห์ ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาตามศาสตร์ฮวงจุ้ย อยู่ห่างจากเมืองเว้ออกไปราว 10 กิโลเมตร ในอดีต เว้ (Hue) เป็นเมืองเอกของราชวงศ์เหงียน ราชวงศ์สุดท้ายของเวียดนาม จักรพรรดิ์ไดคินห์ ... จักรพรรดิ์องค์ที่ 12 ของราชวงศ์เหงียน เป็นจักรพรรดิ์ที่รักสวยรักงาม รวมทั้งเป็นจักรพรรดิ์ที่ทำให้ประชาชนและรัฐบาลในสมัยนั้นไม่พอใจเป็นอันมาก เนื่องจากมีการขึ้นภาษีที่เรียกเก็บจากราษฏรที่ส่วนใหญ่ยังยากจน เพื่อนำเงินส่วนหนึ่งไปสร้างสุสานให้กับตนเองขณะที่ยังมีชีวิต ตามความเชื่อที่ว่าจะได้เป็นที่อาศัยในภพหน้า ศิลปินผู้หนึ่งได้ระบายความรู้สึกผ่านงานศิลปะ โดยการใช้เท้าวาดภาพมังกร บนเพดานสุสานทุกห้องเพื่อเป็นการประชดประชัน โดยให้ชื่อภาพว่า มังกรในม่านเมฆ ความทราบถึงจักรพรรดิ์ไคดินห์จึงเรียกศิลปินผู้นี้มาสอบถามความจริงแต่ก็ไม่ได้ลงโทษ เนื่องจากเป็นภาพที่พระองค์ชื่นชอบและมีความสวยงามวิจิตรบรรจงเป็นอย่างมาก เดินทางไปชมสุสานพระเจ้ามินห์หม่าง (Tomb of Minh Mang) กันต่อนะคะ ซึ่งการก่อสร้างสุสานแห่งนี้เริ่มขึ้นในปี พ.ศ.2383 หรือ 1 ปีก่อนสิ้นพระชนม์และสำเร็จลงโดยพระเจ้าเถี่ยวตรี รัชทายาทของพระองค์ในปี พ.ศ. 2386 พระเจ้ามิงห์หม่างเป็นโอรสองค์ที่ 4 ของพระเจ้ายาลอง และเป็นจักรพรรดิองค์ที่ 2 ในราชวงศ์เหวียน พระองค์ทรงสร้างนครจักรพรรดิและได้รับการยกย่องอย่างสูงจากการที่ทรงปฏิรูปขนบธรรมเนียมประเพณีและเกษตรกรรม พระองค์ทรงยึดมั่นในแบบแผนการบริหาร การปกครองตามแบบจีนโดยการให้หัวเมืองต่างๆ ขึ้นตรงต่อราชสำนัก รวมทั้งนโยบายต่อต้านฝรั่งเศสและปราบปรามพวกนอกศาสนาอย่างรุนแรง ซึ่งนโยบายนี้เองที่ทำให้เวียดนามต้องตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส จุดแรกของการเยี่ยมชม คือ บริเวณลานกว้างที่มีรูปสลักหินของเหล่าบรรดาช้าง ม้า ทหาร และขุนนาง ที่ตั้งเรียงรายอยู่ ถัดมาเป็นศิลาจารึกที่ตั้งแท่นบูชาดวงพระวิญญาณ และพระตำหนักด้านในที่แวดล้อมไปด้วยบึงน้ำ รวมทั้งสวนอันร่มรื่นซึ่งสามารถมองเห็นหลุมฝังพระศพเป็นเนินดินวงกลมขนาดใหญ่ล้อมรอบด้วยรั้วสูง แต่ไม่เคยมีใครรู้เลยว่าตำแหน่งของที่ฝังพระศพที่แน่นอนนั้นอยู่ตรงไหนเพราะไม่อนุญาตให้ผู้ใด นอกจากผู้ที่ทำการฝังพระศพเข้าไป และผู้ที่ทำการฝังพระศพนั้นจะต้องฆ่าตัวตายตามพระองค์ด้วยเพื่อเป็นข้าราชบริพารรับใช้ในภพหน้า จากนั้นเราก็รีบเดินทางไปเมืองฮอยอัน ระหว่างทางแวะดานัง ทานอาหารกลางวันที่ Thanh Tam Restaurant ในลังโคบีช ซึ่งเป็นอาหารมื้อที่แย่ที่สุดของทริป แก้วน้ำเป็นพลาสติกสีขุ่นที่สกปรกมากคาดว่าไม่เคยล้าง อาหารก็เป็นลูกปูลูกปลารสชาติพอใช้ อาหารที่เห็นในภาพทานกัน 8 คนค่ะ แค่พอไม่ให้อดตายเท่านั้นเอง...เฮ้อ!! เส้นทางจากเว้สู่ดานังมีระยะทางประมาณ 108 กม. ตามทางหลวงหมายเลข 1 นั่งรถอีกไม่นานเราก็มาถึงอุโมงค์ไฮ่เวิน (Hai Van Pass ) ที่เจาะทะลุภูเขาความยาวของอุโมงค์ 6.3 กม ซึ่งยาวที่สุดในเอเชียใต้ โดยใช้เวลาลอดอุโมงค์ประมาณ 20 นาที กำหนดความเร็วไม่เกิน 60 กม. ก่อสร้างโดยเอกชนจากญี่ปุ่น ส่วนรัฐบาลฝรั่งเศสเป็นผู้ลงทุนด้านงบประมาณ เมื่อลอดพ้นอุโมงค์ไฮ่เวินก็เข้าสู่เขตเมืองดานังที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของเวียดนาม ซึ่งเป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญของเวียดนามตอนกลาง มีโรงงานอุตสาหกรรมและเป็นเมืองท่าสำคัญ ปัจจุบันดานังกำลังได้รับการพัฒนาเพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน อีกไม่นานเราจะเห็นสนามบินนานาชาติแห่งใหม่เกิดขึ้นที่นี่ แวะชมทะเลจีนใต้และเรือกระจาดรูปร่างแปลกตาริมหาด เรามาถึงฮอยอันในช่วงบ่าย แวะเช็คอินที่โรงแรม An Phu ซึ่งดัดแปลงมาจากพระราชวังเก่า โรงแรมนี้สวยงามมาก บรรยากาศดี ห้องพักสะอาด เครื่องดื่มต้อนรับรสชาติอร่อย ถูกใจมากค่ะ จากนั้นเราก็รีบนั่งรถไปอีกนิดนึง เพื่อไปเขตเมืองเก่าของฮอยอัน ที่ Unesco ได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม และสนับสนุนด้านการเงินในการบูรณะซ่อมแซม แวะต้องซื้อบัตรเข้าชมเมืองเก่าบริเวณหัวถนนตรันฝู ซึ่งสามารถเข้าชมได้ 5 สถานที่ภายใน 1 วัน โดยมีไฮไลท์อยู่ที่สะพานญี่ปุ่นซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองฮอยอันก็ว่าได้ สะพานญี่ปุ่น (Japanese Covered Bridge) เป็นสะพานไม้ที่สร้างคล่อมอยู่บนลำคลองเล็กๆ เป็นมรดกทางสถาปัตยกรรมอันล้ำค่าของชาวญี่ปุ่นที่สร้างทิ้งไว้ที่นี่เมื่อ 400 ปีก่อน มีรูปปั้นลิงและหมาที่หัวท้ายสะพานเพราะเริ่มสร้างในปีวอกและสร้างเสร็จในปีจอ ฮอยอันเป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่ยังมีชีวิตในปัจจุบัน...มีนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมเยอะมาก มีสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่างทั้ง บ้านโบราณ, ตึกเก่าที่เคยเป็นร้านค้าในสมัยนั้น, วัดเซน (วัดญี่ปุ่น) , ศาลเจ้า(แบบจีน) ยังอยู่ในสภาพที่ดีมาก แม้กระทั่งบ้านบางหลัง ที่ปัจจุบันนี้มีผู้สืบทอดมาจนถึงรุ่นที่ 6 และเครื่องใช้ไม้สอยบางอย่างมีอายุถึง 200 ปี บรรยากาศร้านค้าและบ้านเรือนในเมืองเก่าฮอยอัน ซึ่งส่วนใหญ่ดัดแปลงมาจากบ้านคนจีนโบราณโดยจะเน้นสีเหลืองไข่ไก่ และเป็นร้านขายของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว แอบดูหนุ่มสาวชาวเวียดนามมาถ่ายภาพแต่งงานกันนะคะ อลังการมากค่ะทั้งเสื้อผ้าหน้าผม กล้อง ไฟ ร้านที่โดดเด่นและเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของฮอยอัน คือ ร้านขายโคมไฟ ที่นี่ราคาไม่แพงและสวยมากๆค่ะ ราคาอยู่ประมาณ 80 - 200 บาท แล้วแต่แบบและขนาด หลังจากนั้น เราก็นั่งรถเลยเขตเมืองเก่าไปอีกเล็กน้อย เพื่อไปทานอาหารเย็นกันที่ Kim Do Restaurant สถานที่สวยงามดูหรูมากค่ะ อาหารก็อร่อยมากเช่นกัน หลังอิ่มท้องกันแล้วก็กลับไปเดินเล่นและแวะชิมขนมหวานที่เขตเมืองเก่า บรรยากาศยามค่ำคืนของเมืองฮอยอันสวยงามและโรแมนติกด้วยสีสันสวยงามของโคมไฟอันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองแห่งนี้ ร้านค้าในฮอยอันระหว่างทางเดินกลับโรงแรม สินค้าที่นี่จะมีราคาสูงกว่าที่เว้ค่ะ เราจบทริปของวันนี้กันเพียงแค่นี้ เดินกันทั้งวันต้องรีบนอนพักเอาแรงค่ะ พรุ่งนี้เราจะกลับไปเมืองเว้เพื่อไปชมพระราชวังต้องห้ามและช็อปปิ้งที่ตลาดดองบากันค่ะ เข้ามาอ่านที่ดาวเขียน อิอิ ให้ดาวเขียนได้ข้อมูลเยอะแยะ ของเราไม่รู้จะเขียนเมื่อไร ขี้เกียจจังช่วงนี้เรา เหอะๆๆ ขอโทษด้วยจ้า
โดย: คนชื่นชอบนิยาย IP: 125.25.37.125 วันที่: 8 กันยายน 2551 เวลา:18:10:51 น.
|
ภาษาดาว
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] "ภาษาดาว" ... เป็นผู้หญิงธรรมดา ๆ คนนึง ที่ อ่าน-ถาม-ตอบกระทู้ อยู่ใน Pantip มาสิบกว่าปี ถ้าถามว่าอนาคตอยากเป็นอะไร? เมื่อก่อนคงอยากเป็นนักเขียน อยากทำงานอิสระและได้ท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ แต่ด้วยเวลาและอะไรหลายๆอย่าง ทำให้ค่อยๆ ห่างวงการนี้ไป แต่ทุกวันนี้ก็ยังขยันอ่าน ขยันหาความรู้รอบตัวต่างๆ ใส่สมองอันน้อยนิดอยู่เสมอ หวังว่าสักวันหนึ่ง...ไม่ว่าตอนนั้น เราจะอยู่ตรงจุดไหนหรือทำอะไรก็ตาม...เราก็ยังคงมีความสุขในแบบของเราเอง ในแบบ...ภาษาดาว ★ Friends Blog
|