Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2549
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
13 ตุลาคม 2549
 
All Blogs
 
ความหวังครั้งสำคัญของ อรวี ศรัทธาเทพ

ความหวังครั้งสำคัญของ อรวี ศรัทธาเทพ

หากถอยระยะห่างออกมาสักห้าสิบเมตร บนฉากหลังสีฟ้าเข้มของท้องฟ้ามีปุยเมฆสีขาวที่ค่อยๆไหลเอื้อยไปตามแรงลมอยู่สามสี่ก้อนและถ้าลดสายตาให้ต่ำลงมาอีกหน่อยฉากหลังจะเปลี่ยนไปเป็นสีเขียวขจีของทุ่งข้าวที่กว้างใหญ่ที่ไหวลู่ไปตามระลอกลมที่พัดพา เอาล่ะที่นี้ให้ขยับตรงไปข้างหน้าตามคันหน้าอีกสักยี่สิบเมตร ภาพต้นโพธิ์ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงากินอาณาบริเวณรอบลำต้นอย่างกว้างขวางอยู่บนโคกดินสูงจะปรากฎชัดขึ้นในม่านตา

หากเคลื่อนเลาะไปตามคันนาคืบหน้าเข้าไปอีกจนอยู่ภายใต้ร่มเงาของต้นโพธิ์ใหญ่แล้ว จะเห็นรากอากาศที่ห้อยระโยงระยางรกเรื้อยาวจนเกือบจะถึงผืนดินคล้ายเป็นม่านลูกปัดที่ย้อยลงมาปกคลุมเมื่อบวกกับความสลัวจากร่มเงาอาจจะต้องหลับตาปรับสายตาให้ชินกับความสลัวเสียก่อนแล้วจึงแหวกรากอากาศเพื่อเข้าไปให้ถึงลำต้นของต้นโพธิ์

มีลมกระโชกมาหอบหนึ่งพัดเอาใบโพธิ์ไหวส่งเสียง ซู่ ซ่า เมื่อไล่สายตาไปตามโคนต้นจะพบพระพุทธรูปที่ชำรุดเสียหายวางระเกะระกะอยู่โดยรอบหากมองเหนือขึ้นไปตามลำต้นอีกนิดจะเห็นผ้าแพรหลากสีผูกมัดไว้กับลำต้น เหลียวเลยไปทางขวาอีกหน่อยจะพบบ้านทรงไทยขนาดเล็กยึดวางอยู่บนแผ่นไม้ที่ลอยตัวสูงจากพื้นดินด้วยเสาไม้ขนาดเท่าน่องของผู้ชายเพียงต้นเดียวปลายด้านโคนถูกฝั่งลงไปในดินอย่างแน่นหนาไม่ให้โยกคลอน

เบื้องหน้าบ้านทรงไทยขนาดเล็กมีหญิงสาววัยต้นๆยี่สิบ ผิวพรรณผุดผ่อง มีเพียงหน้าตาที่ดูหมองเศร้านั่งพับเพียบยกมือพนมขึ้นแนบอกแล้วก้มหน้าพร่ำบ่นกับอะไรสักอย่างในบ้านทรงไทยหลังเล็กหลังนั้น

ในเสียงพึมพำจนแทบจะไม่ได้ยินนั้นหากสำเหนียกให้ดีจะได้ยินอย่างชัดเจนว่า เธอกำลังตัดพ้อต่อโชคชะตาอยู่ เธอเรียนจบปริญญาตรีมาแล้วสีjเดือนเศษแต่ก็ยังหางานทำไม่ได้ ใช่ว่าเธอเป็นคนเกียจคร้าน เธอมุ่งมั่นออกเสาะหางานทำเป็นเนืองนิจ แต่ไม่มีหน่วยงานไหนทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ จะสนใจรับเธอเข้าทำงานเลยสักที่ เธอหวังพึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของท่านผู้อาศัยอยู่ในบ้านทรงไทยหลังเล็กนั่น เธออ้อนวอนให้ท่านเมตตาและบันดาลให้เธอมีงานมีการทำกับเขาเสียที เธอจะได้มีเงินใช้ เธอละอายทุกครั้งที่แบมือขอเงินจากผู้เป็นพ่อและแม่ และไหนจะเงินกู้ยืมเรียนที่เธอต้องชดใช้อีก น้ำตาเธอตกในเมื่อระลึกถึงเรื่องนี้ เขาส่งเสริมให้เรียน เขาอำนวยทุกอย่างสำหรับใครก็ตามที่อยากเรียน แต่ทำไมเขาไม่หางานรองรับให้ทำด้วยแล้วเงินที่กู้ยืมมาจะเอาที่ไหนไปใช้ให้ หากไม่มีงานไม่มีเงิน

เธอสะท้อนใจแยกมือข้างหนึ่งยกขึ้นมาปาดน้ำตาที่ขอบตาด้านล่างก่อนที่มันหยดไหลลงข้างแก้ม

เธอประกาศต่อหน้าบ้านทรงไทยหลังนั้นว่า หากครั้งนี้งานที่เธอสมัคร เธอได้รับคัดเลือกเข้าทำงาน เธอจะนำหัวหมูสิบหัว เป็ดไก่อย่างละสิบตัว พร้อมขนมหวานอีกห้าอย่างมาถวาย

ภาพค่อยๆถอยห่างออกจากความสลัวใต้ร่มเงา ผ่านรากอากาศ ออกสู่แสงสว่างยามบ่ายอีกครั้ง ทำให้บนหน้าจอโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่สว่างวาบอย่างกระทันหันเป็นผลให้ชายทั้งสองที่นั่งอยู่ด้านหน้าจอโปรเจคเตอร์ถึงกับต้องปิดเปลือกลงแล้วส่ายหัวไปมาเพราะอาการหน้ามืด

"นี่ท่าน ทำไมท่านเลื่อนภาพออกมาไวอย่างนั้นล่ะท่าน" ชายไว้หนวดที่ตกแต่งให้บิดเกลียวอย่างอ่อนช้อยคล้ายกนกลายไทยกล่าวหลังจากสายตาเริ่มกลับคืนสู่สภาวะปกติ

"ขอโทษท่าน กระผมก็หน้ามืดเหมือนกัน" เขากล่าวขอโทษพร้อมทั้งเอื้อมมือขึ้นมาขยับชฎาบนศีรษะที่เคลื่อนอยู่ไม่ตรงที่ให้เข้าที่

"ช่างเถิดท่าน แต่อย่าให้เกิดขึ้นบ่อยๆก็แล้วกันกระผมไม่อยากจะตาบอดไปเสียก่อน" ชายผู้มีหนวดงดงามกล่าวแล้วเดินตรงไปที่ระเบียงเพื่อ

มองลงมายังเบื้องล่าง--

บนคอนโดมิเนี่ยมทิพยพิมานนั้นเชื่อมต่อสัญญาณภาพและเสียงตรงจากบ้านทรงไทยหลังเล็กหลังนั้น มีรุขเทวดาสองตนเสวยสุขอยู่คอยรับเรื่องร้องทุกข์จากชาวประชาทั่วไป หากมีใครเดือดเนื้อร้อนใจเข้ามากราบไหว้ขอความเมตตาที่ใต้ร่มโพธิ์ใหญ่นั้น ภาพและเสียงจะถูกถ่ายทอดฉายขึ้นบนจอโปรเจคเตอร์สีขาวที่ขึงติดกับผนังขนาดกว้างยาวเทียบเท่าจอฉายภาพของโรงภาพยนตร์ชั้นไฮคลาสในมหานคร และด้วยไมโครโฟนรับเสียงที่เปี่ยมล้นไปด้วยเทคโนโลยี ขอให้เพียงมีเสียงเล็ดลอดออกมาจากไรฟันเท่านั้น ลำโพงก็จะเปล่งเสียงนั้นออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำด้วยระบบ ดอล์บี้ สเตอริโอ ดิจิทัล

"เอาอย่างไรดีท่าน กระผมรู้สึกเห็นใจสตรีนางนั้นเหลือเกินขอรับ" ชายหนวดงามยังคงเหม่อลอยอยู่ที่ระเบียง

"ไม่เอาอย่างไรท่าน เราต้องรออีกสักพักก่อน" ชายผู้มีชฎาอยู่บนศีรษะกล่าวแล้วจึงเดินเข้ามาสมทบที่ริมระเบียง ปล่อยสายตาให้มองตรงไปข้างหน้า ลมเย็นๆพัดเข้ามาต้องกายเนื้อ

แล้วทั้งสองก็สูดเอาไอเย็นเข้าไปล้ำลึก เนิ่นนาน ก่อนจะปล่อยไอเย็นออกมาอย่างหนักหน่วง

"เราต้องรอดูสถานการณ์ต่อไปอีกสักระยะ" ชายผู้สวมชฎากล่าวอีกครั้ง

"กระผมว่าเราน่าจะอนุโลมให้สตรีนางนั้นสักครานะท่าน"

"เราไม่ควรใช้อารมณ์มาใช้ตัดสินสิขอรับท่าน เราจะเป็นจะต้องรอดูว่าจะมีใครอื่นอีกที่จะเสนอสินน้ำใจให้เราทั้งสองได้มากกว่านี้"

"แต่ที่สตรีนางนั้นเสนอมาก็ถือว่ามากมายจนเราไม่สามารถจะบริโภคให้หมดสิ้นได้แล้วนะขอรับท่าน"

"ท่านอย่าลืมสิ หากมีท่านและกระผมสองคน ก็คงไม่เป็นไร แต่นี่เรายังต้องจำแนกแจกจ่ายไปสู่เบื้องบนอีกกี่ระดับชั้น ถ้าได้มาไม่มาก จะเหลือพอถึงเราไหมเล่าขอรับท่าน"

"ก็จริงของท่าน แต่เราก็ไม่ได้ขาดแคลนหิวโซ เว้นกรณีนี้ให้เป็นพิเศษไม่ได้หรือท่าน"

"ท่านอย่าใช้หัวใจทำงานสิขอรับ ใกล้ชิดมนุษย์ได้ไม่นานท่านกำลังจะมีหัวใจแบบเดียวกับมนุษย์นะขอรับ กระผมขอเตือนให้ท่านควบคุม

อารมณ์อ่อนไหวนั้นไว้ให้ดี มิฉะนั้นกระผมจำเป็นจะต้องทำบันทึกรายงานถึงเบื้องบนนะขอรับ"

"เอาล่ะท่าน ท่านเห็นควรอย่างไรกระผมก็เห็นตามนั้นขอรับ อย่าให้ถึงต้องรายงานเบื้องบนเลยขอรับกระผมไม่ต้องการถูกย้ายไปดำรงตำแหน่ง

ในที่ห่างไกล ที่ที่มันอดอยาก"

"ดีแล้วท่าน กระผมนิยมในตัวท่านมาก อยู่ร่วมกันที่นี่ไปนานๆเถิด"


----------------


อรวี ศรัทธาเทพ
ชื่อนี้ถูกปิดประกาศที่บริเวณส่วนประชาสัมพันธ์ของสำนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัด เจ้าของชื่อจะต้องมารายงานตัวอีกครั้งเพื่อทำการสัมภาษณ์คัดเลือกในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า พร้อมกับชื่อผู้ที่ผ่านการคัดเลือกในครั้งนี้อีกราวสามสิบคน


----------------

อรวี ศรัทธาเทพ
ยกมือขึ้นพนมเหนือหัวและกระโดดจนตัวลอยเมื่อเห็นชื่อของตัวเองปรากฏอยู่บนกระดานประกาศข่าว ตำแหน่งนโยบายและแผน เป็นตำแหน่งที่เธอปรารถนา เธอร่ำเรียนมาทางนี้ ปริญญาตรีรัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต คงช่วยให้เธอได้งานนี้และที่สำคัญคงเป็นเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยดลใจให้เธอเลือกคำตอบข้อที่ถูก เธออธิษฐานในใจเพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์รับรู้ว่าหากเธอได้งาน เธอจะไม่ลืมของเซ่นไหว้ที่เธอเอ่ยปากเสนอ

ภาพมุมสูงค่อยเลื่อนขึ้น เห็นเพียงผมบนศีรษะของ อรวี ศรัทธาเทพ เป็นจุดสีดำ เคลื่อนไหวยุ่งเหยิง

"เธอคงกำลังดีใจ?"

"ใช่ขอรับ เธอกำลังดีใจ"

"ฝีมือท่านใช่ไหม ท่านช่วยเธออย่างที่เธอกล่าวอ้างหรือไม่ขอรับ"

"เปล่านะขอรับ กระผมไม่ได้ช่วยเสริมส่งเธอเลยแม้แต่นิดเดียว"

"แล้วใย เธอทำข้อสอบได้เล่าขอรับ"

"ใครเล่าจะล่วงรู้ อาจเป็นเพราะเธออ่านหนังสือเตรียมสอบมาเป็นอย่างดีแล้วก็ได้นะขอรับ"

"ท่านแน่ใจนะขอรับ ว่าท่านไม่ได้ช่วยเธอ"

"แน่ใจขอรับ" "เอ่อ...ท่านขอรับ" ชายผู้ไว้หนวดครางอึกอัก

"มีอันใดเล่าท่าน"

"ตอนนี้มีใครมาเสนอของสินน้ำใจมากกว่าสตรีนางนั้นไหมขอรับ"

"ตอนนี้ยังไม่มีท่าน แต่เราก็ควรรอไปจนกว่าจะถึงวันสอบสัมภาษณ์ อาจจะมีคนเสนอให้เรามากกว่านี้"



----------------


สิรีนุช ศรีเส้น
เป็นชื่อที่ถูกติดประกาศอยู่บนกระดานประกาศข่าวในสำนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัด

----------------


ภาพบนจอโปรเจคเตอร์ขาดใหญ่กำลังฉายภาพ อรวี ศรัทธาเทพ เธอกำลังนั่งร้องร่ำไห้และตัดพ้อในโชคชะตาของตัวเอง สองมือของเธอทึ้งถอนต้นหญ้าที่แทงใบแฉกขึ้นมาเหลือดินด้วยความกราดเกรี้ยว เธอตีโพยตีพายโทษสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เธอเชื่อว่าสถิตย์อยู่ในบ้านทรงไทยหลังย่อมนั้น น้ำตาหยาดหยดลงพื้นดินที่แห้งผากแตกระแหง เธอคว้าท่อนไม้จากต้นโพธิ์ที่แห้งตายร่วงลงมานอนแนบพื้น เธอกำท่อนไม้ท่อนนั้นจนแน่น เธอเอี้ยวตัวเพื่อเสริมแรงเหวี่ยง และก่อนที่เธอจะลงไม้หวดลงไปที่บ้านทรงไทยหลังนั้น ก็พลันมีสายลมกรรโชกพัดโหมและเริ่มก่อตัวกลายเป็นลมบ้าหมูหมุนติ้วโดยที่เธออยู่ในใจกลางลมพายุนั่น เธอกรีดร้องด้วยความตระหนกสุดขีด ขว้างท่อนไม้ทิ้งและวิ่งหนีลับหายไปตามคันนา

"เกือบไปแล้วนะท่าน" ชายไว้หนวดกล่าว เขาจมอยู่กับโซฟาที่ขาวนวลตลอดตั้งแต่เครื่องฉายเริ่มฉายภาพของ อรวี ศรัทธาเทพ

"เกือบไปแล้วจริงๆ เครื่องมือเหล่านี้เราหาซื้อมาด้วยราคาแพง หากพังพินาศไป เบื้องบนคงพิโรธเราสองคนเป็นแน่" ชายใส่ชฏากล่าวเสริม

"ท่านต่างหากขอรับที่ต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว" ชายไว้หนวดลูบหนวดเกลียวกนกของตนเอง

"ใยท่านเอ่ยเช่นนั้น" ชายใส่ชฎาเหลียวหันไปสบสายตานิ่งนาน...



"สตรีนางนั้นนางเป็นผู้ชนะประมูล"

"ใช่"

"แต่นางไม่ผ่านการสอบสัมภาษณ์"

"ใช่"

"สิรีนุช ศรีเส้น มีสัมพันธ์อันใดกับท่านหรือขอรับ"

"เปล่า"

"แล้วใยสตรีนางนั้นจึงได้งานที่ควรจะเป็นของสตรีอีกนาง"

"สิรีนุช ศรีเส้น หาได้มีสัมพันธ์อันใดกับกระผมขอรับ แต่นางมีสัมพันธ์กับนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดคนปัจจุบัน ในฐานะหลานสาวแท้ๆ"

"แล้ว อรวี ศรัทธาเทพ เล่าขอรับ จะให้นางทำอย่างไร"

"หากนางยังคงรักษาคำมั่นสัญญา นางจะได้งานแน่นอน"

"ในที่ที่อำนาจของเราพอจะมีเส้นสายใช่ไหมขอรับ"

"ใช่ ท่านกล่าวได้ถูกต้องแล้ว"

ชายใส่ชฎาเดินมาหยุดตรงระเบียงแล้วมองผ่านปุยเมฆสีขาว และส่งกระแสจิตไปดลใจให้ อรวี ศรัทธาเทพ ไปยื่นใบสมัครที่บริษัทแห่งหนึ่ง
ซึ่งเป็นบริษัทที่มีเส้นสายโยงใยมาถึงที่นี่
คอนโดมิเนี่ยมทิพยพิมาน.




Create Date : 13 ตุลาคม 2549
Last Update : 1 พฤศจิกายน 2549 14:14:40 น. 4 comments
Counter : 342 Pageviews.

 
โอ...แม่เจ้า ปวดตาบ้างไหมทั่น? ฮ่า ฮ่า

*****
ท่านคิดว่าอย่างไร? แล้วตามด้วยเสียงฮา
ข้าพเจ้าก็ต้องเริ่มด้วยเสียง ฮา สิ อิ อิ

เรียนถาม...ไม่ทราบ ฮ่า ฮ่า ของท่าน เป็นชอบใจคำถาม?
หรือว่า ขันขื่น กับความโดดเดี่ยวที่ว่า?
หรือว่า มีนัยยะอื่นใดอีกบ้างขอรับ?

ความโดดเดี่ยว คงมีกันทุกคนนะขอรับ (we're all alone. Carpenter ว่าไว้!)

ขึ้นกับว่าเราจัดการ ความโดดเดียวอย่างไร?

CEO หลังประชุมระดมสมอง ยังต้องการเวลาโดดเดี่ยว นั่งคิดวางแผน ตัดสินใจ
ใช่ว่าผู้คนล้อมหน้าหลัง แล้วเราจะไม่โดดเดียว

ยามอำลาโลกนี้ไป....เราล้วนไปคนเดียว

'โดดเดี่ยว...ด้วยยินดี' อิ อิ

ท่าน!
วาทะกรรมครั้งล่าของท่านยังค้างคาอยู่ในกะโหลกข้าพเจ้า แต่ไม่ได้ปล่อยออกเสียที (จะบูดเน่าอยู่แล้วววว) รอวันดีคืนดีอยู่ขอรับ

วานท่านช่วย ขยายพี่ท่านนักกวีท่านนั้น
ให้ข้าพเจ้าได้รู้จักเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อยได้ไหมขอรับ?
ชีวิตท่านเป็นเช่นไร?
จัดการชีวิตอย่างไร?
เลี้ยงชีพอย่างไร?
เขียนอ่านเอง หรือเขียนส่งนิตยสาร?

ความตั้งใจหยุดบุหรี่ของท่าน น่าอนุโมทนา
พ่อข้าพเจ้าตั้งใจหยุดเมื่อมีลูกสาว
พอน้องสาวคนแรกข้าพเจ้าถือกำเนิด
พ่อหยุดเด็ดขาด ตลอดมาเลยขอรับ
ท่านทำได้แน่!

อากาศที่ใส้ติ่งประเทศไทย ไม่ยอมนิ่ง ร้อนจัด เย็นจัด
เมื่อวานพายุมา ถุงนอน มุ้ง ข้าพเจ้าเปียกหมด
ข้าพเจ้ามีแต่ผ้าบาติกบาง ๆ สามผืน ห่มอย่างไรก็ไม่หายหนาว หลับ ๆ ตื่น ๆ จนฟ้าสว่างเลยขอรับ

ได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว
กินด้วยกันไหมขอรับ?
แกงกะหรีไก่ อาจาด ราดข้าว

คารวะท่านเสมอมา


โดย: ธุลีดิน IP: 203.170.228.172 วันที่: 14 ตุลาคม 2549 เวลา:12:25:46 น.  

 
อ้าว...ขอโทษ ขอโทษ
ครั้งแรก ตัวอักษร เป็นสีขาวหมดเลย
ครั้งหลังเป็นสีดำแล้ว...

ไม่ปวดแล้วท่าน! โทษ! โทษ!


โดย: ธุลีดิน IP: 203.170.228.172 วันที่: 14 ตุลาคม 2549 เวลา:12:29:48 น.  

 
ฮา ฮา ทีนี้ เข้าใจเสียงหัวร่อของท่านแล้ว
เป็นเสียงที่อบอุ่น...สรวญเส...หาได้ขันขื่นโหยหา...อ้างว้าง...

เป็นเสียงที่ข้าพเจ้าได้รับ...ได้ยิน...ตลอดเวลาที่หลบอยู่ในชายคา 'บ้านหนอน'

เคยถามตัวเองหลายครั้ง
ก่อนหน้าเคยลองเขียนอักษร ทำไมเขียนไม่ได้
พอมาอยู่ในบรรยากาศแวดล้อมของเหล่าสหาย
ทำไมเขียนออกมาได้ (ทั้ง ๆ ที่ยากเย็นแสนเข็ญ เพราะไม่รู้จะเริ่มอย่างไรเอาเลย)

อีโก้...อยากโชว์ออฟหรือเปล่า?
อยากแสดงตัวตน?
อยากเป็นนักเขียน (กับเขาบ้าง!)?

พอตัดประเด็นเหล่านี้ออกไป เพราะไม่ใช่แน่!

ข้าพเจ้าใช้ชีวิตที่ลดจำนวนผู้คน สังคม ลงมากมายแล้ว
ไม่เคยคิดกลับเข้าไปในสังคมที่วุ่นวาย ว้าวุ่นอีก
ผู้คนที่ติดต่อมีแต่ แม่ค้าข้าวแกง พวกขายวัสดุการเกษตร
วัน ๆ ข้าพเจ้าแทบไม่ได้อ้าปากคุยภาษามนุษย์ด้วยซ้ำ (จะเคี้ยวข้าวตะกี้ กรามค้าง เจ็บใจ ลืมบริหารกราม)

ที่เหลือก็คือ บรรยากาศ ของพวกท่าน ช่างน่าขีด-เขียนนัก ช่วงพักของข้าพเจ้าสนุกจนลืมวันเวลา
(ก่อนหน้า ข้าพเจ้าใช้แต่แอลกอล์ฮอล์ !ลืมเหมือนกัน เมาแล้วจำอะไรไม่ได้!!)

ท่านอ้ายฯเคยเล่าให้ข้าพเจ้าฟังถึงช่วงเวลาเข้ามา 'บ้านหนอน' ปรากฏว่า เป็นอารมณ์เดียวกัน (ข้าพเจ้าลืมสอบถามท่าน ว่าช่วงเวลาตอนหายไป เป็นอารมณ์เช่นไร ฮา)

เป็นความรู้สึกที่ได้รับรู้ว่า มีคนที่กำลังทุ่มเทเวลาขีด-เขียน งานของเขารุดหน้าไปเรื่อย ๆ ไม่นานก็มีงานเป็นชิ้นเป็นอัน ทำไมเราไม่ลองทุ่มเทบ้าง?

ท่าน (hab) เรียกมันว่า 'เส้นด้าย' ที่โยงเราถึงกัน

ไม่เขียนสิ กลับโดดเดี่ยว!

เพราะผู้คนโดยมากในประเทศนี้ หาได้อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ (ไม่รวมอ่านข่าวสารนะ อ่านกันน่าดู อ่านจนต้องมาอ่านออกทีวี!)

เพื่อนน้องชายลงมาจาก กทม. ถามข้าพเจ้าว่า จะไปไหน?
ข้าพเจ้าบอกไปห้องสมุด
พี่แกถามต่อว่า ไปทำไม? ไปทำอะไร?
เป็นไงท่าน? โดดเดี่ยวไหม?

โลกของการอ่าน-เขียน
เหมือนเป็นโลกของเรา
ถึงเป็นโลกใบเล็ก
มีเพือนร่วมโลกเพียงคนสองคน
หรือแม้ไม่มีสักคน
ข้าพเจ้าก็เชื่อว่า ไม่โดดเดียว

เพราะเมื่อ เราได้อยู่ในที่ ๆ ชีวิต กับ วิญญาณ
หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
เราจะไม่มีวัน อ้างว้าง เคว้งคว้าง ค้นหา

จากนั้น เสียงสะท้อนจากรอบข้างจะก้องดังกลับมา
เหมือนท่านอ่านงานของพี่ท่านนักกวี ท่านนั้นไง!
เสียงสะท้อนจากท่าน บอกเขาไปแล้ว ว่า เขาไม่ได้โดดเดียว

แต่ไม่ได้หมายรวมถึงเดียวดาย
หากโดดเดียว คือ Lonesome
เดียวดาย คือ Lonely

Lonesome คือ โดดเดี่ยวไร้ผู้คนรอบข้าง
แต่ Lonely ถึงแม้จะมีผู้คนคอยเอาอกเอาใจ มีคนรักที่น่าทะนุถนอน มีเสียงเฮฮาห้อมล้อม ยังคง Lonely

นั่นคือ เดียวดาย

เดียวดาย ที่เป็นโศกนาฏกรรมชนิดหนึ่ง ของมนุษยชาติ

//

ต้องขอกล่าวย้อนถึง วาทะกรรมที่ติดค้างสักหน่อย
ได้อ่าน ข้อความของท่านแล้ว ข้าพเจ้าเป็นอันต้องสิ้นสุด หัวข้อ 'บ่นวรรณเวร' ไว้ ณ โอกาสนั้น

เพราะ แจ่มแจ้งแดงแจ๋แล้ว
เมื่อได้รับรู้ ชีวประวัติการอ่านของท่าน

ข้าพเจ้าเกริ่นเสียอ้อมโลก
หวังจะวกกลับเข้ามาเรื่อง เส้นสายแนวทางการเขียนของท่าน พอได้รับคำตอบ (ที่คำถามยังถามไม่เสร็จ เพราะมัวแต่อ้อมเสียโคตะระยาว)

มีบางอย่างแฝงอยู่ในสำเนียงของท่าน
ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าอะไร แต่รู้สึกได้
เป็นน้ำเสียงเอาจริงเอาจัง
ตัวอักษรแน่นหนัก
รูปแบบที่บรรจงจัดวาง

ตอนนี้รู้แล้ว!

ทีแรกข้าพเจ้าเกรงท่าน วนไปหารูปแบบเรื่องสั้นยอดนิยมในประเทศนี้ ที่พวกเวียนกันเข้าไปกระจุกในซอยตัน
จนท่านเจ้าสำนัก มากระเทาะกำแพงออกให้ (ทีแรกก็มีคนบ่น ด่า นะ ท่านจำสำนักโดนมาหนักน่าดู)

สาเหตุใหญ่ ก็คือพวกบรรณาธิการ ที่มุมคิดคับแคบ

พอเรื่องสั้นที่ผ่านการพิจารณาออกมาในรูปแบบเดียวกันไปหมด คนเขียนก็เขียนแนวนั้น (หากต้องการได้ลง) สุดท้ายพบทางตัน

ตอนนี้เคลียร์แล้วท่าน
ไม่ต่อ 'บ่นวรรณเวร' แล้ว

//
ฮันนิบาล ทั้งสามเล่ม
ข้าพเจ้าว่า เป็นตำราการเขียนนิยายเลยนะท่าน

แม้ สตีเฟ่น คิง ยังบ่นว่า "มัวไปมุดหัวทำอะไรอยู่ฟะ มันเขียนดีออกขนาดนั้น"

เพราะ โทมัส แฮริส เขียนไม่กี่เรื่อง

ไม่ได้เห่อ พวกตะวันตกนะขอรับ
แต่ต้องยอมรับว่า งานนิยาย เป็นงานของทางตะวันตก
ทางตะวันออก เป็นการเล่าคล้ายความเรียง ข้าพเจ้าเรียกไม่ถูก แต่ท่านลองดู สามก๊กฉบับเก่า หรือ ใหม่ขึ้นมาหน่อย ผู้ชนะสิบทิศ การเล่าจะเป็นอีกแบบ

ขณะที่ ทางตะวันตก เล่าแบบนิยายที่เราเห็น มานานแล้ว

กลิ่นอายเหล่านี้นี่เองที่แตะจมูก
หายสงสัย!

เชิญท่านก้าวเดินต่อไป

ข้าพเจ้าไม่เคยคิดอวยพรให้ท่านถึงจุดหมาย
เพราะข้าพเจ้าไม่เคยเชื่อเรื่อง จุดหมาย
เราเพียงปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน ดูแลชีวิต ดูแลคนรอบข้าง
ให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ไปทีละวัน ละวัน

เราเพียงใส่ 'การเขียน' ไว้ในชีวิตประจำวัน

ต่อให้งานท่านได้รับการตีพิมพ์เป็นร้อย ๆ เล่ม
หรือท่านรวยร้อยล้านพันล้าน

ตื่นเช้าขึ้นมา ท่านก็ยังนั่งลงเขียน
เพราะมันเป็นชีวิตท่าน
ท่านเขียนไปทีละวัน จนกว่าชีวาวาย

แล้วจะอวยพรไปหาจุดหมายอันใด...จริงไหมขอรับทั่นป๋า?

เห็นท่านสุขสันต์หรรษา...กับการเขียน
ก็ แจ่มแล้ว !!

'ผู้น้อยเอง'

ป.ล. คำถามสำหรับวันนี้ : หากท่านมีสาวน้อยข้างกายสักคน คิด-เห็น-เป็น อย่างแม่นาง ชังไฮเบบี้ คนนั้น
ท่านจะว่าอย่างไรขอรับ?


โดย: ธุลีดิน IP: 203.170.228.172 วันที่: 14 ตุลาคม 2549 เวลา:20:18:48 น.  

 
ยินดีด้วยท่าน...
ไปอ่านมาแล้ว!
กวีแก้วหมี่เหลืองเมืองหาดใหญ่

ศัพท์ภาษาลีลาล้วนสาใจ
นี่สิใช่!
แหล่งพักนักเดินทาง

ที่เคยห่วงล้วนหดหาย มลายสิ้น
มาได้ยินท่านเยือนเพื่อนร่วมฝัน

เป็นผู้ใช้ภาษากวีวรรณ
ข้าพเจ้าก็พลันเป็นสุขใจ

หนอนผีเสื้อถักทอสายใยอ่อน
ค่อยขยับค่อยขย่อนจากหม่อนใหม

จนปีกกล้าเติบโตโผบินไป
ล้วนอยู่บนตันไม้ใบเขียวงาม

ใช่สิ !

เราคือหนอน
แต่เป็นหนอนอะไร

นี่ไง!

คำถาม?

ท่านเกลื้อกกลั้วทั่วถิ่นกวีงาม
ไม่ต้องถาม ก็รู้ว่า....หนอนอาราย....ฯ



โดย: ธุลีดิน IP: 203.170.228.172 วันที่: 14 ตุลาคม 2549 เวลา:22:09:37 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

parchya
Location :
พิษณุโลก Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






Friends' blogs
[Add parchya's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.