1 เดือนกับการพักร้อนในเมืองไทย


เอาแหละค่ะได้เวลาอัพเดท blog ของตัวเองซะที ต้องเรียกว่า 1 เดือนที่มาพักกับความร้อนที่เมืองไทยคงจะเหมาะมากกว่าค่ะเพราะมันร้อนจริงๆ อากาศเย็นเพิ่งจะโผล่มาให้สัมผัสช่วงที่ก่อนจะเดินทางกลับเพียง 2-3 วันคิดว่าคราวหน้าคงต้องแพลนการเดินทางในเดือนพฤษจิกายนเสียแล้ว

ที่จริงเมืองไทยเราน่าจะมีการนำเอา Siesta แบบของสเปนมาใช้บ้างท่าจะดีนะคะ คือนอนหลับพักผ่อนหลังจากอาหารกลางวันสัก 1-2 ชั่วโมงเพื่อหลีกเลี่ยงความร้อนช่วงตอนเที่ยงและบ่ายแต่ข้อเสียก็คือต้องเลิกงานช้าออกไป คนที่ทำงานอยู่ในห้องแอร์คงจะไม่มีปัญหา แต่คนที่ต้องทำงานกลางแจ้งหรือไม่มีห้องแอร์ให้เข้าไปหลบอากาศร้อนทำให้เกิดความอ่อนเพลียและสมองขาดประสิทธิภาพในการทำงาน

กลับไปเมืองไทยคราวนี้ไม่ได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯเลยอดไปชอปปิ้ง เพื่อนฝูงก็โทรมาถามว่าจะเอาอะไรบ้าง โถแล้วใครจะไปบอกได้เพราะก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอยากจะได้อะไรถ้าไม่เห็นของมายั่วสายตา แถมฝนก็ตกแทบจะทุกวันช่วง 2 อาทิตย์แรกอย่างที่ทราบกันอยู่แล้ว อาทิตย์แรกที่ถึงเมืองไทยก็คือโทรตามหาช่างมาซ่อมหลังคาและฝ้ารอบบ้านเพราะฝ้าขึ้นราและน้ำรั่วในห้องนอนเมื่อหน้าฝนที่ผ่านมา เรียกว่าปีนี้กลับเมืองไทยอยู่เฝ้าบ้านจริงๆ

แต่ถึงกระนั้นก็มีเพื่อนฝูงไปเยี่ยมเยียนจากสวีเดนทำให้คลายเหงาไปได้บ้าง ชุดแรกเป็นเด็กรุ่นน้องที่ทำงานในแผนกเก่าที่ย้ายออกมาได้ปีกว่า เธอมากับแฟน และมาเจอกับเด็กหนุ่มชาวสวิตเซอร์แลนด์ที่นั่งรถบัสคันเดียวกันมา เลยกลายเป็นว่าพ่อหนุ่มคนนี้ติดสอยห้อยตามพวกเราไปด้วยตลอด

วันแรกที่พวกเขามาถึงก็พาไปทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารคีรีธารา ค่อนข้างจะมีชื่อเสียงในเมืองกาญจน์ เพราะนั่งท่องเที่ยวเยอะและบรรยากาศดี แต่ก่อนที่จะไปทานอาหารเย็นก็พากันไปดื่มเรียกน้ำย่อยกันก่อนที่บ้านก่อนเรียกว่าเปิดบาร์กันเลย เกือบจะติดลมเลยต้องถามพวกเขากันว่าจะกินข้าวหรือกินยอดข้าวกันแน่

ที่จริงมันเป็นเรื่องปกติของคนสวีดิชที่เวลาจะออกไปปาร์ตี้หรือทานข้าวกันนอกบ้านพวกเขาก็ต้องตั้งวงกันก่อนที่บ้านเพื่อให้มันเริ่มเข้าที่ก่อนเพราะถ้าขืนตั้งใจจะไปดื่มกันนอกบ้านคงหมดตัวแน่ เนื่องจากได้จองโต๊ะไว้แล้วเลยไม่มีปัญหาเรื่องที่นั่ง แต่พอไปถึงดันได้โต๊ะอยู่ใต้หลังคาและฝนก็ไม่ได้ตกเลยขอเปลี่ยนที่นั่งใหม่ การบริการต้องบอกว่าค่อนข้างดีหรืออาจจะเห็นว่าเป็นพวกฝรั่งหรือยังไงก็ไม่ทราบ พนักงานต้อนรับเข้ามาช่วยเสริฟเองทั้งๆที่ก็ยังมีพนักงานเสริฟยืนอยู่เฉยๆบางแห่ง เด็กเข้ามาถามว่าพี่เป็นไกด์หรือคะ
- ไม่ใช่ค่ะนี่เป็นน้องๆที่มาท่องเที่ยวเมืองไทย เราตอบออกไป
- เด็กพนักงานต้อนรับก็ถามต่อว่า แล้วมาจากประเทศไหนกันคะ
- เราก็หันไปมองหน้าทุกคน แล้วก็แปลให้ฝรั่งฟัง แฟนก็เริ่มรายงานตัวว่ามาจากสวีเดน Sandra ซึ่งเคยทำงานแผนกเดียวกันบอกมาจาก Poland Sander แฟนของเธอบอกมาจาก Holland ส่วน Julian หนุ่มน้อยเด็กที่สุดบอกมาจาก Switzerland น้องพนักงานต้อนรับยิ้มแล้วพยักหน้าแต่ก็ยังทำหน้างงๆแล้วก็เอ่ยบอกว่า เห็นพวกพี่พูดกันแล้วฟังไม่ออก เราก็เลยชี้บอกว่าเรา 4 คนนี่รวมทั้งตัวพี่อยู่ที่สวีเดนแต่ Julian อยู่สวิตเซอร์แลนด์เขาก็เลยพูดภาษาเยอรมันปนฝรั่งเศษกับ Sander แล้วก็พูดอังกฤษกับพวกเราที่เหลือ น้องก็เลยบอกอ๋อค่ะไม่น่าเล่าเพราะมันหลายภาษาปนกันเลยฟังไม่เข้าใจ

รู้สึกน้องพนักงานต้อนรับท่าทางจะถูกใจหนุ่ม Julian เพราะหมอนี่หน้าตายิ้มแย้มตลอด น้องเขาก็คอยแหย่ว่าหน้าเธอแดงแล้ว ทำนองให้รู้ว่าเธอดื่มมากแล้ว ทำให้หนุ่มน้อยยิ่งหน้าแดงเข้าไปใหญ่








แขกชุดแรกกลับแขกชุดที่สองก็ตามมา พักอยู่ด้วยกันที่บ้าน 1 อาทิตย์ก็สนุกสนานไปตามประสาคนแก่ๆ ออกไปกินข้าวนอกบ้านบ้างทำกินเองที่บ้านบ้าง ที่ทำกินที่บ้านก็จะเป็นอาหารง่ายๆแบบฝรั่งๆ แต่ที่เปลืองมากที่สุดก็คือเหล้าค่ะ หมดไม่รู้กี่ขวด พวกนี้เล่นกินแต่เพียวๆ ไม่หมดไม่เลิกค่ะ บางทีหมดแล้วก็พากันไปนั่งฟังเพลงสั่งเหล้าต่อในรีสอร์ทที่มีบ้านพักอยู่ ทำให้บางครั้งต้องขึ้นเสียงกันบ้างเพื่อให้รู้ว่า enough is enough






หลังจากที่ขับรถไปส่งเพื่อนที่หัวหิน สองคนตายายก็มานั่งคุยกันว่าอย่าอยู่บ้านเลยขับรถออกไปไหนก็ได้เพราะเหลือเวลาอีกแค่อาทิตย์เดียวถึงถ้าฝนจะตกก็ช่างมันจะได้มีเวลาพักผ่อนและเป็นตัวของตัวเอง เลยตกลงกันว่าขับขึ้นไปทางเหนือของเมืองกาญจน์ดีกว่าเพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยรู้จักบ้านเกิดของตัวเองว่ามีอะไรบ้าง

ขับรถออกจากบ้านตั้งแต่ 7 โมงครึ่งเช้าขับอย่างสบายๆเพราะแทบจะไม่มีรถระหว่างทางเลย แต่ก็ต้องคอยเตือนตลอดเวลาให้ขับช้าลงเพราะทั้งหมาและคนอาจจะโผล่มาจากที่ไหนก็ได้ เลยสั่งให้ขับแค่ 80 ก็พอเราไม่ได้รีบร้อนไปไหน ต้องนึกไว้เสมอว่าเวลาที่เกิดอุบัติเหตุ คนที่ใกล้ตายเกิดไม่อยากจะตายเสียอีก ทำให้ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงต้องมีภาระหน้าที่รับผิดชอบในสิ่งที่เขาไม่ได้ทำและก่อขึ้นมา เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นก็ไม่ต้องขับเร็วค่ะ

จุดแรกที่แวะก็คือน้ำตกไทรโยค เคยผ่านไปแต่ไม่เคยแวะเพราะเห็นรถทัวร์จอดและคนก็เยอะมาก จุดที่สองคือเขื่อนวชิราลงกรณ์ก็ไม่เห็นมีอะไรเป็นพิเศษ แต่สองข้างทางที่ขับไปถึงทองผาภูมิมีหมอกลงค่อนข้างต่ำทำให้ดูสวยดีเหมือนกัน กะว่าจะขับขึ้นไปถึงสังขละแต่ก็ถูกห้ามว่าช่วงนี้ฝนตกถ้าไม่รู้และไม่ชินทางค่อนข้างอันตรายก็เลยไปไม่ถึงสังขละ

ความตั้งใจครั้งแรกที่ขับไปทองผาภูมิเพื่อที่จะไปดูสถานที่พักผ่อนที่ชื่อว่า Thong Phaphoom Valley ซึ่งเจ้าของเป็น สจ ที่เมืองกาญจน์แต่เจ้าของต้องปิดกิจการเพราะไม่มีเวลาดำเนินการต่อ เมื่อไปถึงแล้วปรากฎคนเฝ้าก็ไม่อยู่เลยถือวิสาสะเดินเข้าไปดูรอบๆ บรรยากาศดีมากมีลำธารไหลผ่านเสียดายที่ไม่มีรูปมาให้ดูเพราะแบตเตอรี่หมด เลยขับออกไปที่ที่พักซึ่งอยู่ติดกันก็เลยได้ทราบว่ามีคนเข้ามาเช่าดำเนินกิจการต่อ แต่ก็ยังไม่ทราบว่าจะใช้ชื่อเดิมหรือเปล่า ถ้าใครมีโอกาสได้ไปทองผาภูมิลองแวะไปดูนะคะ ที่ว่านี้อยู่ทางที่ไปสังขละบุรีค่ะ คือเมื่อถึงทางทางแยกไปสังขละบุรีขับไปประมาณ 2-3 ก.ม.ก็เจอเพราะที่ติดกันมีร้านอาหารค่อนข้างมีชื่อในเขตนั้น ชื่อร้านอะไรก็จำไม่ได้แล้วค่ะ






พอตอนบ่ายเราก็เริ่มที่จะมองหาที่พักก็ขับกลับแล้วก็ดูแผนที่ไปเรื่อยๆว่าจะพักที่ไหนกันดี แห่งแรกที่เข้าไปดูคือที่ The River Kwai Paradise เป็นแพที่พักแต่เมื่อไปถึง เห็นป้ายเป็นภาษาอะไรก็ไม่รู้มีนักท่องเที่ยวอยู่เต็ม ผู้จัดการก็ออกมาต้อนรับถามอย่างงงๆ ว่าจะมาพบใครครับ เราก็เลยบอกว่ามาขอดูสถานที่ค่ะ ก็เลยทราบว่าที่นั่นรับแขกส่วนใหญ่เป็นชาวรัสเซีย ซึ่งมาจากพัทยา ห้องพักมีความสะดวกสบายแต่ถ้าพูดถึงพวกนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียก็เปรียบเทียบเหมือนกับพวกเยอรมันเมื่อ 10-20 ปีก่อนคือไม่มีมารยาท เป็นประเภทเพิ่งจะเริ่มรู้จักกับคำว่ามีเงินเลยลักษณะนิสัยออกจะเถื่อนนิดๆ

ไปดูอีกที่ River Kwai Village กับ Pung Waan Resort ก็ไม่ถูกใจเพราะสถานที่มันกว้างใหญ่เกินไป จอดรถนั่งดูแผนที่ต่อ นึกสงสัยเหมือนกันว่าตอนเช้าที่ขับขึ้นเหนือทำไมเห็นป้าย Resort เป็นแถวแต่ขากลับกลับไม่มีป้ายบอกทางฝั่งซ้าย เพราะตอนนั้นอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 80-90 ก.ม.ได้ ก็เลยบอกแฟนว่ากลับบ้านดีกว่าไม่ต้องเสียเงินค่าที่พักด้วย แฟนบอกว่าไหนๆก็ออกมาแล้วเดี๋ยวต้องหาที่พักให้ได้ ก็ขับวนไปวนมาทางถนนสายในที่จะไป River Kwai Golf & Country Club ก็หาไม่เจออีก เล่นแต่มีลูกศรชี้ไปแต่ระยะทางก็ไม่มีบอก เหมือนกับบอกเป็นนัยๆว่าขับไปเดี๋ยวก็เจอเอง

จนกระทั่งเจอเส้นทางที่จะไปถ้ำแก่งละว้า ดูแผนที่เห็นมีโรงแรมชื่อ Resotel อยู่ใกล้ๆเลยลองเสี่ยงไปดูรู้สึกระยะทางไกลออกจากถนนใหญ่มาก เมื่อไปถึงทางเข้ารู้สึกเงียบเชียบไม่มีรถจอดสักคัน เดินเข้าไปก็เห็นมีฝรั่งไม่กี่คนเลยไปถามที่แผนกต้อนรับว่ารับแขก walk-in รึเปล่าแล้วราคาห้องคืนละเท่าไร คำตอบก็คือว่าคืนละ 2500 บาทพร้อมอาหารเช้าเราก็เริ่มลังเลแต่แฟนบอกว่าเอาเถอะขี้เกียจขับรถหาแล้ว ก็เลยตกลงพักที่นี่ เด็กก็บอกว่าอาหารเย็นสั่งได้ถึง 2 ทุ่มมีดนตรีเล่นให้ฟังถึง 4 ทุ่ม เราก็เลยตกใจถามว่าถ้าพี่หิวตอนดึกๆ แล้วจะทำอย่างไร เพราะ 4 ทุ่มก็เงียบกริบแล้ว เด็กก็บอกว่าต้องสั่งล่วงหน้าแล้วจะเอาใส่กล่องไว้ให้

แฟนเริ่มสะกิดบอกเอาของไปเก็บที่ห้องก่อนเถอะตอนนี้ชั้นอยากดื่มเบียร์แล้ว พอเริ่มบ่ายพ่อเจ้าประคุณก็เริ่มรู้สึกกระหายน้ำค่ะ
เอากระเป๋าไปเก็บที่ห้องอาบน้ำเสร็จ ออกไปเดินชมสถานที่ เรียกได้ว่าบรรยากาศสงบเงียบเหมาะสำหรับการพักผ่อนจริงๆ สักพักเห็นนักท่องเที่ยวขึ้นมาเต็มไม่รู้ว่าโผล่มาจากทางไหน ก็เลยถามเด็ก เด็กบอกว่ามาทางเรือหางยาว ถึงได้ทราบว่าส่วนใหญ่แขกที่มาพักที่นี่เดินทางมาทางเรือ เราก็เลยถามต่อว่ามีทางออกไปถนนใหญ่ที่ใกล้ๆรึเปล่า ก็ได้รับคำตอบว่ามาทางไหนก็กลับทางนั้น ฮ่า ฮ่า ถ้ารู้ตั้งแต่แรกคงจะเอารถไปจอดที่ที่เขาลงเรือมากันจะดีกว่า






1 คืนที่พักอยู่ที่นี่มีเรื่องที่ต้องทำให้เศร้าใจและน้ำตาไหล พนักงานที่ทำงานและเสริฟในช่วงบ่ายจนถึงเวลาปิดของโรงแรมนี้เป็นผู้ชาย 4 คน ซึ่งทุกคนก็ให้บริการดีหน้าตายิ้มแย้มเพียงแต่สะดุดใจที่ว่าบางคนยังพูดภาษาไทยแปร่งๆ แต่ก็ไม่ได้นึกอะไรเพราะรู้ว่ามีพวกพม่ามาทำงานด้านก่อสร้างหรือทำงานเสริฟตามร้านอาหารในเมืองกาญจน์มากมาย แต่ความที่อยากรู้อยากเห็นก็เลยแกล้งถามไปว่า น้องเป็นคนพม่าใช่ไหม เขาตอบว่าไม่ใช่เป็นคนมอญ ถามต่อว่าทำไมพูดภาษาไทยได้เก่งถึงได้รู้ว่าอยู่ในเมืองไทยมา 5 ปีแล้ว

บอกตามตรงว่าไม่ค่อยมีความรู้ถึงเรื่องคนเผ่าพันธุ์อื่นในแถบชายแดนไทย-พม่าเท่าไร ที่รู้เรื่องก็คือพวกกะเหรี่ยงที่อพยพเข้ามาในเขตชายแดนไทยที่แม่ฮ่องสอนก็เพราะว่าได้รู้จักกับคนอเมริกันคนหนึ่งอยู่เมืองไทยมา 10 กว่าปีแต่ตอนนี้อยู่ที่เมืองกาญจน์อย่างถาวร ที่ทำงานช่วยเหลือพวกกะเหรี่ยงที่ลี้ภัยที่อยู่ในแคมพ์ตามชายแดนไทย-พม่าและนำไปอยู่ที่อเมริกา
ต่อถึงเรื่องเด็กที่ทำงานที่ Resotel ได้รู้ว่าพนักงานที่นี่ทั้งหมดเป็นคนมอญยกเว้นผู้ที่นั่งอยู่ที่ Reception, Cashier และ Manager และก็ได้ทราบว่ารายได้ของน้องที่เสริฟเราได้วันละ 60 บาทรวมอาหารกลางวัน

ได้ยินเรื่องรายได้ของน้องคนนี้ก็ถึงกับสะอึก ทำใหันึกถึงเรื่องการกดขี่ใช้แรงงานต่างชาติของนายทุนที่มีแต่หวังผลประโยชน์ ราคาค่าห้องคืนละ 2500 บาทกับอาหารเช้าที่ธรรมดามาก ได้คุยกับนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์กลุ่มหนึ่งที่ก็บ่นว่าน่าจะมีข้าวต้มให้ในตอนเช้า หลังจากที่แปลให้แฟนฟังปรากฎว่าเขานั่งอึ้งไปสักพักหนึ่งแล้วก็พูดว่าคนงานไทยที่ซ่อมบ้านเรายังได้วันละ 250 บาทซึ่งมันก็ต่างกันมาก คืนนั้นแฟนเป็นคนจ่ายเงินเห็นให้ทิปไปหลายร้อยบาทและได้ยินแฟนสั่งว่าไม่ต้องไปบอกให้ใครรู้แต่ถ้าจะแบ่งให้พวกที่ทำงานด้วยกันก็เป็นเรื่องส่วนตัว

เช้าวันรุ่งขึ้นนั่งเรือหางยาวไปที่ Jungle Raft ซึ่งตอนนี้เป็นเจ้าของเดียวกันกับ Resotel ที่ Jungle Raft ก็เช่นเดียวกันคือมีแต่คนมอญทำงานทั้งนั้นเพราะหมู่บ้านของพวกเขาก็กลายเป็นแหล่งสำหรับนักท่องเที่ยวไปด้วย สืบถามพนักงานว่าหมู่บ้านมอญกับ Jungle Raft อันไหนมาก่อนก็ไดรับคำตอบว่าหมู่บ้านมีอยู่นานแล้ว ผู้ที่เป็นเจ้าของ Jungle Raft คนแรกคือชาวฝรั่งเศษซึ่งตอนนั้นสร้างขึ้นมาเพื่อพวก backpacker ทั้งหลายแต่ตอนนี้เป็นของ Serenata Hotels & Resorts Group

การสร้างแพที่เป็นที่พักในตัวเมืองกาญจน์ไม่รู้ว่ามีการคอรัปชั่นกันมากน้อยแค่ไหน ลองนึกถึงเรื่องการถ่ายสิ่งสกปรกโสโครกลงไปในแม่น้ำก็ไม่รู้ว่ามีการตรวจสอบกันหรือเปล่า ถ้าพูดกันถึงเรื่องนี้ก็คงจะต้องมีเรื่องเขียนยืดยาวกันต่อไปอีก เอาไว้จะเอาไปเขียนในหัวข้ออื่นที่เกี่ยวกับเมืองไทยก็แล้วกัน







สิ่งที่ประทับใจและซาบซึ้งใจมากที่สุดที่ได้ไปเมืองไทยในครั้งนี้ คือได้พบปะและได้พูดคุยกับเพื่อนที่ได้รู้จักใน Bloggang นั่นก็คือ ครอบครัวของน้อง Pinkyrose และน้อง athena สำหรับน้อง athena ถึงแม้ว่าจะไม่มีโอกาสได้เจอตัวจริงแต่ก็ได้รับของที่ระลึกที่น้องส่งไปให้ทางไปรษณีย์และก็ได้คุยติดต่อกันทางโทรศัพท์เป็นเวลายาวนานของคืนวันหนึ่ง จำไม่ได้ว่าเริ่มต้นเป็นเวลาเท่าไรแต่จำได้ว่าสิ้นสุดการสนทนาเมื่อเวลาเกือบตีสอง เพราะน้องต้องทำงานในตอนเช้าแต่พี่จะตื่นกี่โมงก็ได้ค่ะ ทำให้พี่นึกถึงสมัยที่วัยยังเยาว์กว่าตอนนี้ที่นั่ง chat กับเพื่อนจนถึงรุ่งเช้าเมื่อประมาณ 7-8 ปีที่ผ่านมา แม้แต่เพียงที่ได้คุยกันทางโทรศัพท์แต่ก็มีความรู้สึกสนิทสนมและมีความห่วงใยมอบให้เสมือนกับได้มีน้องสาวที่แท้จริงในชีวิตเกิดขึ้นมาแล้ว

สำหรับน้องโรสก็ได้เจอกันทั้งครอบครัวทั้งคุณพ่อจอร์จ คุณแม่โรสและน้องพิงค์กี้ ครอบครัวนี้ดูท่าจะไม่เคยห่างกันเลยไปไหนก็ไปกันทั้งครอบครัว เป็นครอบครัวที่อบอุ่นและน่ารักกันทุกคน คนที่อ่านใน blog ของน้องโรสคงจะได้รับความรู้สึกถึงความเปิดเผย ความห่วงใยและความจริงใจที่น้องโรสมีให้กับเพื่อนทุกๆคน สิ่งที่ทุกคนได้อ่านใน blog ของน้องโรสนั่นก็เหมือนกับกระจกเงาที่ทุกคนได้สามารถรู้จักกับน้องโรสในความเป็นจริงค่ะ






ขอขอบคุณ Bloggang มา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ ที่เป็นแหล่งนำมิตรภาพอันอบอุ่นของคนไทยให้มาพบปะกันซึ่งกันและกันไม่ว่าจะอยู่แห่งไหนก็ตามในโลกนี้

วันนี้คงจะพอแค่นี้ก่อนเพราะยาวเหลือเกิน คราวหน้าจะเขียนเรื่องอะไรก็ยังนึกไม่ออกแต่ก็คงไม่พ้นที่จะเกี่ยวกับเมืองไทย เพราะมีเรื่องที่จะเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องได้โทรศัพท์ติดต่อถึง สสส รู้รึเปล่าคะว่า สสส คืออะไรถ้าไม่รู้ก็คอยติดตามอ่านก็แล้วกันค่ะ





 

Create Date : 12 พฤศจิกายน 2552
12 comments
Last Update : 13 พฤศจิกายน 2552 19:20:04 น.
Counter : 2875 Pageviews.

 

สวัสดีค่ะ...

วันนี้หนึ่งขอตามมาเที่ยวเมืองกาญจน์ด้วยคนนะคะ

เสียดายนะคะที่ขึ้นไปไม่ถึงสังขละบุรี
เป็นธรรมชาติสุดๆ เลยค่ะ

หนึ่งยังอยากไปอีกรอบเลย

วันนี้มีขนมห่อใบตองมาฝากด้วยค่ะ

 

โดย: chenyuye 12 พฤศจิกายน 2552 10:11:16 น.  

 

สวัสดีค่ะพี่ mellitus

ได้เห็นภาพสวยๆจากการมาเที่ยวที่ประเทศไทยครั้งนี้ของพี่แล้ว ก็ดูสดชื่นและน่าสบายตาสบายใจมากค่ะ สำหรับการที่ตัวเองเพิ่งกลับมาจากการทำงานเหนื่อยๆวันนี้

ยังไม่เคยไปจังหวัดกาญจนบุรีมาก่อนเลยค่ะ ทุกสิ่งที่พี่เล่าให้ฟัง เคยไปบ่อยที่สุดก็คือหัวหินค่ะ นอกนั้นไม่เคยไปค่ะ

เพื่อนที่ทำงานชวนให้ไปล่องแพจะมีแบบแพธรรมดา และแพเทค ที่จังหวัดกาญจนบุรีหลายครั้งแต่ก็ต้องปฎิเสธไป เพราะชีวิตไม่เคยว่าง

ไม่แปลกใจเลยค่ะ ที่ค่าแรงของพนักงานได้เพียงน้อยนิด เพราะมันก็เป็นแบบนี้มาช้านานแล้วค่ะ ก็คงจะเป็นเพราะเขาเป็นคนต่างด้าวด้วยมั่งค่ะ ก็เลยสามารถที่จะกดค่าแรงได้อย่างสบาย

แต่ถ้าเป็นค่าแรงของคนไทยเองก็อาจจะมากกว่าสักหน่อย แต่ถ้าเทียบกับค่าครองชีพในปัจจุบันก็คงจะต้องอยู่อย่างยากลำบากมากค่ะ

ดังนั้นก็มีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่จะต้องไปใช้แรงงานยังต่างประเทศค่ะ บางคนโชคดีได้ไปในที่ ที่เจ้านายมีจิตใจที่มีมนุษย์ธรรม บางคนโชคร้ายก็ถูกหลอกลวงกันอีก แล้วก็ต้องเสียเงินมากมายเพื่อให้ได้ไปเมืองนอกด้วยค่ะ

aha.....ได้เห็นครอบครัวพี่โรสแล้วน่ารักจริงๆค่ะ ดูอบอุ่นน่ารักดีจัง ส่วนของพี่ mellitus ก็เหมือนกันค่ะ ยิ้มแย้มแจ่มใสร่าเริงน่าดูเลยค่ะ


อิอิ......ขอบคุณน่ะค่ะที่อุตส่าห์แบกหนังสือตกแต่งบ้านและตุ๊กตาน้องหมากลับไปสวีเดนด้วยค่ะ

แค่นี่ผู้ให้ไปก็มีความสุขแล้วค่ะ

สำหรับเรื่องการโทรศัพท์ของเราค่ะ
จำได้ว่า.......

ครั้งแรกคุยกับพี่ 2 ชั่วโมงค่ะ

ครั้งที่สอง ตั้งแต่ 20.30 น ถึง 02.00 น ค่ะ เป็นเวลา 5 ชั่งโมง ครึ่งค่ะ

ครั้งที่สาม 30 นาทีค่ะ

ในชีวิตไม่เคยคุยโทรศัพท์ยาวนานมากมายขนาดนี้มาก่อนค่ะ ที่นานที่สุดก็ สามชั่วโมงกว่าๆ กับเพื่อนค่ะ สมัยวัยรุ่นค่ะ นานมากแล้ว

ก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะตอนแรกไม่ค่อยกล้าที่จะโทรไปหาค่ะ

แต่ด้วยความที่สัญญาไปแล้วว่าอยากจะช่วยในเรื่องบางสิ่งบางอย่าง แต่สุดท้ายทำไมได้ ก็เลยโทรไปหาดีกว่าค่ะ

และก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมถึงได้คุยกันได้อย่างสนิทสนมมากขนาดนั้น ก็ทุกครั้งที่จบเรื่องการสนทนา ก็มีเรื่องใหม่ๆเกิดขึ้นให้ได้คุยกันต่อเรื่อยๆค่ะ ก็เวลาเลยร่วงเลยไปจนถึงตี 2 ค่ะ


ก็ตามที่ได้เขียนมาก่อนหน้านั้นค่ะ หลังจากได้คุยกันแล้วก็ทวีความชอบเข้าไปอีกหลายเท่าเลยค่ะ หลายๆเรื่องที่ได้ ideas จากพี่ค่ะ ประกอบกับสภาพแวดล้อมต่างๆที่ตัวเองมาฝึกงานที่นี่เจอเข้าไปอีก ดังนั้นก็ไม่แปลกที่จะรู้สึกเช่นนี้ค่ะ

สุดท้ายก็เลยตัดสินใจเขียน blog ถึงพี่ mellitus โดยเฉพาะเลยดีกว่าค่ะ ที่เขียนขึ้นมา ก็ออกมาจากใจเลยค่ะในเนื้อหา ไม่ต้องไปคิดอะไรมากมาย

เพราะความประทับใจเป็นสิ่งถ่ายทอดสู่กันและกันได้ค่ะ

 

โดย: athena_b 12 พฤศจิกายน 2552 18:03:38 น.  

 

สวัสดีค่ะพี่จุ๋ม

โรสกะว่าจะอัพก่อนพี่อีกนะคะเนี่ย ตั้งใจว่าวันที่พี่เดินทางถึงสวีเดนก็จะทันได้ดูพอดี แต่ไปๆมาๆก็ไม่ว่าง สุดท้ายพี่แซงหน้าเลย 555

พี่เขียนได้ยาวและละเอียดมากเลยนะคะ เหมือนได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยเลย และก็ขอขอบคุณด้วยนะคะสำหรับคำชมถึงครอบครัวเราค่ะ ขอบอกว่าคู่ของพี่ก็น่ารักไม่แพ้ใครเลยค่ะ โรสเองก็ดีใจมากๆที่ได้รู้จักกับครอบครัวพี่ค่ะ

สำหรับโลกอินเตอร์เนต โรสว่ามันก็มีแบบทั้งดีและไม่ดีไม่ต่างกับโลกแห่งความเป็นจริงนี่หรอกค่ะ หลายๆอย่างมันก็ขึ้นอยู่กับตัวเราด้วยว่าจะเลือกแบบไหน หากเราจริงใจออกไป โรสเชื่อว่าอย่างน้อยเราก็ต้องได้รับสิ่งดีๆกลับมาบ้าง และหากไปเจอกับสิ่งไม่ดี โรสเองเลือกที่ถอยออกมาเพื่อไม่ให้เรื่องมันบานปลาย สุดท้ายชีวิตเราก็น่าจะมีความสุขมากกว่าการดิ้นรนหาเรื่องใส่ตัวค่ะ

ขอขอบคุณสำหรับมิตรภาพดีๆที่พี่มีให้นะคะ ขอให้พี่และครอบครัวมีความสุขในทุกคืนวันค่ะ

ปล.สักสัปดาห์หน้าโรสถึงจะอัพบล็อคค่ะ เพราะพรุ่งนี้มีมีทติ้งที่ต่างจังหวัด ชีพจรลงเท้าได้เที่ยวอีกแล้วค่ะ อิอิ

 

โดย: pinkyrose 13 พฤศจิกายน 2552 10:29:10 น.  

 

ขนมห่อใบตองเมื่อวานนี้
ข้างในมันเป็นเช่นนี้แล...

 

โดย: chenyuye 13 พฤศจิกายน 2552 12:00:45 น.  

 

วันนี้หนึ่งมีข้าวเหนียวมะม่วงมาฝากค่ะ

 

โดย: chenyuye 13 พฤศจิกายน 2552 13:43:38 น.  

 

สวัสดีค่ะพี่ mellitus

อากาศเมืองไทยร้อนจัด พอไปอยู่ที่นั่นก็หนาวจัด ร่วมกับเหนื่อย เพลีย จากการเดินทางอันยาวนาน ดังนั้น ร่างกายก็อ่อนแอค่ะ หวังว่าคงจะดีขึ้นในไม่ช้า

ถ้าพี่ mellitus ยังพอจะนึกถึงการสนทนาระหว่างเราทางโทรศัพท์ในคืนนั้นในเรื่องของ 2009 h1h1 vaccine

ในความเห็นส่วนตัวก็ขอยืนยันในการตัดสินใจของตัวเองค่ะ ด้วยเหตุผลตามที่ได้กล่าวไปแล้ว

สำหรับในเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตัดสินใจได้ยากมากค่ะ และไม่มีใครที่จะกล้าออกมาพูดกันมากมายนัก

เนื่องจากเป็นความตั้งใจและความปรารถณาดีที่ทุกคนในโลกนี้ร่วมช่วยกันผลิต vaccine ขึ้นมา เพื่อต้องการจะช่วยป้องกันการติดเชื้อ h1n1 ค่ะ

สำหรับตอนนี้ตัวเองในฐานะบุคคลากรที่ต้องทำงานอยู่ในโรงพยาบาลและเจอความเสี่ยงทุกวันมากกว่าคนปรกติ

สิ่งที่ทำก็คือ ได้ฉีด Seasonal Influenza Vaccine ไปแล้ว ไม่ใช่ 2009 h1n1 vaccine น่ะค่ะ

Seasonal Influenza Vaccine เป็น vaccine ป้องกันไข้หวัดใหญ่ประจำฤดูกาลค่ะ นั่นหมายความว่า ฤดูกาลนี้ได้มีการศึกษาแล้วว่า strains ของเชื้อ หรือสายพันธ์นี้จะระบาด

โดยสรุป seasonal influenza vaccine เราจะต้องฉีดกันทุกปีค่ะ เพราะแต่ละปีก็จะเปลี่ยนไปเป็นสายพันธ์อื่นๆค่ะ

ถ้าฉีด seasonal flu vaccine แล้วจะมีโอกาสเป็นหวัดได้อีกไหมในตลอดทั้งปี

ตอบว่ามีค่ะ เพราะเราไม่ได้ฉีดทุก strains หรือสายพันธ์ ของเชื้อไวรัสเข้าไป ดังนั้นถ้าเราเจอเชื้ออื่นๆที่เราไม่ได้ฉีด เราก็เป็นหวัดได้ค่ะ

แล้วทำไมต้องฉีดในเมื่อกันโรคหวัดไม่ได้ 100%

ก็เพราะว่า เชื้อส่วนใหญ่ที่นำมาทำเป็น vaccine ได้ถูกศึกษาแล้วว่า ถ้าเราติดเชื้อไวรัสนั้นมา จะก่อให้เกิดอันตรายสูง และที่สุดเราอาจเสียชีวิตได้จากภาวะแทรกซ้อนของการเป็นไข้หวัดใหญ่ เช่น ปอดปวมและอักเสบอย่างรุนแรง ในขณะเดียวกันถ้าผู้ป่วยท่านนั้นอยู่ในภาวะเสี่ยง เช่น มีโรคเรื้อรังอื่นๆร่วมด้วย,อายุมาก และอื่นๆอีกมาก ก็จะเพิ่มความเสี่ยงอย่างมากในการเสียชีวิต

สำหรับตัวเองได้แนะนำทุกคนในครอบครัวให้ฉีด seasonal influenza vaccine ค่ะ และทุกๆคนก็ได้ฉีดกันครบหมดแล้วค่ะ สุขภาพร่างกายก็แข็งแรงดีค่ะ คุณยายอายุ 70 ปี ก็ฉีดแล้วค่ะ ok ไม่เคยเป็นหวัดเลย

seasonal influenza vaccine เป็น vaccine ที่ถูกผลิตคิดค้นและทำการศึกษามาเป็นเวลานานมากแล้วค่ะ ในเรื่องความปลอดภัย โดยปรกติของการผลิตยาทุกชนิด จะมีขั้นตอน 4 phases ค่ะ คือ

Clinical trial phase 1
ทดลองในมนุษย์ที่มีสุขภาพดีทั่วไป

phase 2
ทดสอบประสิทธิภาพของยาในผู้กลุ่มเป้าหมายตามช่วงอายุ ดูในเรื่องขนาดยาที่เหมาะสม

phase 3
ทำการศึกษาแบบ multi center studies เพื่อดูในเรื่องประโยชน์และความปลอดภัยและอาการข้างเคียงข้อห้ามใช้ ข้อควรระหว่างก่อนออกจำหน่ายตามท้องตลาด

phase 4
เป็นการติดตามภายหลังจากที่ได้ว่างจำหน่ายในท้องตลาดแล้ว และ phase 4 นี่เองที่จะเป็นตัวกำหนดว่ายานี้จะถูกเพิกถอนทะเบียนหรือไม่ เพราะว่า เกิด unexpected adverse drug reaction ค่ะ

การทดลองในแต่ละ phase ใช้เวลานานเป็นปี และทดลองกับกลุ่มประชากรจำนวนจำกัดค่ะ ดังนั้น phase 4 จึงสำคัญอย่างมาก เราจะทราบหรือมีการถอนทะเบียนก็ต่อเมื่อเป็น phase 4 แล้วค่ะ

ขอยกตัวอย่าง ยา vioxx เป็นยา nsaids ค่ะซึ่งโด่งดังมากในสมัยก่อนมีการผลิตและจำหน่ายออกมาใช้กันหลายปีมาก เพราะให้ฤทธิ์ในการรักษาดีมาก
แต่ปรากฏว่าสุดท้ายยานี้ถูกถอนออกจากตลาดค่ะ เพราะทำให้ผู้ป่วยเกิด cardiovascular events ค่ะ หรือโรคทางหลอดเลือดหัวใจ และมีการฟ้องร้องกันเกิดขึ้นอย่างมาก

แม้ว่ายาดังกล่าวจะถูกผลิตออกมานานแล้ว แต่กว่าจะเจอ adverse drug events ก็ใช้เวลานานกว่าจะพบค่ะ

การฉีด vaccine ไม่ว่าจะเป็น vaccine ชนิดใดก็ตาม มีทั้งผู้ที่ฉีดแล้ว ok และไม่ ok ค่ะ บางคนเสียชีวิต บางคนพิการ และบางคนก็ได้รับอาการข้างเคียงบางอย่าง ดังนั้นทุกอย่างมีทั้งข้อดีและข้อเสียค่ะ แต่โอกาสที่จะเป็นผลเสียต่อผู้ป่วยถ้าเทียบกับสถิติก็น้อยมากค่ะ ส่วนใหญ่ผู้ที่เสียชีวิตมักจะมีโรค หรือ สภาวะบางอย่างที่ผู้ป่วยเป็นอยู่แล้วค่ะ

2009 h1n1 vaccine มี 2 แบบคือแบบ ฉีด และ spray ค่ะ

แบบฉีด ทำจากเชื้อที่ตายแล้ว

แบบ spray ทำจากเชื้อเป็น แต่ทำให้อ่อนแรงลงค่ะ

ข้อดีของเชื้อตาย คือปลอดภัย 100% ใช้เวลาในการผลิตนาน

แบบ spray สร้างภูมิคุ้มกันได้รวดเร็ว ผลิตได้เร็ว แต่ มีข้อห้ามใช้กับคนบางกลุ่มเช่น ผู้สูงอายุ ผู้ตั้งครรภ์ คนแพ้ไข่ มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคทางระบบทางเดินหายใจค่ะ

แต่การทำ vaccine นั้นไม่ได้ทำจากเชื้อไวรัส หรือสังเคราะห์อย่างเดียวค่ะ จะมีสารเคมีอีกบางชนิดที่ใส่ลงไปช่วยด้วย ซึ่งอันนี้สำคัญมากค่ะ ต้อง check ว่าใส่อะไรลงไปซึ่งการผลิตในแต่ละบริบัษจะแตกต่างกันบ้าง แต่ตามปรกติ ที่รายละเอียดกำกับการใช้ยาของที่ต่างๆ จะกำหนดข้อควรระวังหรือห้ามใช้ไว้แล้วค่ะ เพราะผู้ป่วยบางรายอาจจะแพ้ได้

อันนี้พยายามให้ข้อมูลที่เป็นกลางที่สุดค่ะ จะไม่บังคับ หรือชี้นำให้ใคร เลือกตัดสินใจแบบใดๆทั้งนั้นค่ะ ให้ข้อมูลทั้งหมดแล้ว ก็ให้แต่ละคนพิจารณากันเองดีกว่า ว่าอยากจะฉีดกันไหม

แต่ของตัวเอง คำนึงและจะพิจารณาจาก phase 4 อย่างหนักค่ะ ดังนั้นก็ขอไม่ทำอะไรเพิ่มเติมแล้วค่ะ พยายามหลีกเลี่ยงสถานที่หรือชุมชนมากๆก็แล้วกันค่ะ


















 

โดย: athena_b 14 พฤศจิกายน 2552 20:48:25 น.  

 

กำลังเคลียร์งานอยู่เหรอคะ

วันนี้หนึ่งมีหัวปลาหม้อไฟมาเสิร์ฟค่ะ
เหมาะกับอากาศหนาวๆ แบบนี้เลยนะคะ

 

โดย: chenyuye 16 พฤศจิกายน 2552 14:57:30 น.  

 

สวัสดีค่ะพี่ mellitus

ขอให้หายป่วยไวๆค่ะ

ที่ตัวเองเขียนซะยาวยืด ก็เพราะเป็นพี่ mellitus ค่ะ ถ้าเป็นคนอื่นก็คงจะเขียนตอบเพียงสั้นๆเท่านั้นค่ะ เพราะไม่ค่อยรู้สึกสนิทด้วยเท่าไหร่ค่ะ



 

โดย: athena_b 16 พฤศจิกายน 2552 18:56:18 น.  

 

ขอบคุณนะคะที่แวะไปให้กำลังใจ

มิตรภาพในโลกไซเบอร์ยังงดงามเสมอ

 

โดย: ผู้หญิงราศีพิจิก 16 พฤศจิกายน 2552 23:55:44 น.  

 

รู้สึกเหมือนว่าจะตกข่าว ไม่สบายเหรอคะพี่ โรสนึกว่าพี่ปรึกษากับน้องathena เพื่อฉีดยาป้องกันแค่นั้นค่ะ ขอให้พี่หายป่วยไวๆนะคะ แล้วจะแวะมาเยี่ยมใหม่ค่ะ

ปล.ถ้าว่างก็และพออ่านบล็อคไหวก็มาชวนไปดูความน่ารักของหลานชายในการทำกิจกรรมที่โรงเรียนด้วยค่ะ

 

โดย: pinkyrose 17 พฤศจิกายน 2552 16:30:44 น.  

 

ไม่สบายแบบนี้
อย่าลืมพักผ่อนเยอะๆ ดื่มน้ำมากๆ นะคะ
ขอให้หายไวๆ ค่ะ

วันนี้หนึ่งมีขนมใส่ไส้มาฝากด้วยนะคะ

 

โดย: chenyuye 18 พฤศจิกายน 2552 21:14:21 น.  

 

สวัสดีค่ะพี่จุ๋ม

อยู่ไกลบ้านเป็นอย่างไรบ้างคะ อากาศหนาวมากไหมคะ
สวีเดน อย่างไรก้อรักษาสุขภาพด้วยนะคะ

จาก เพื่อนสมาชิก BlogGang มิตรภาพไร้พรหมแดนค่ะ
ไม่ว่าจะอยู่ไหน ๆ เราส่งใจหากันได้นะคะ

เป็นพี่เป็นน้องกันได้ค่ะ

 

โดย: MotherBJ 26 พฤศจิกายน 2552 11:10:31 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Mellitus
Location :
กาญจนบุรี Sweden

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




ขอปรับปรุงข้อมูลของตัวเองซักหน่อยเอาเป็นว่าเป็นคนไทยคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในสวีเดนมานานพอสมควรและชอบกับระบบและวัฒนธรรมของสวีเดนจึงทำให้เข้ากับชีวิตประจำวันของตัวเองได้ดีทีเดียว

เป็นคนเกิดที่จังหวัดกาญจนบุรีแต่มาแก่อยู่ที่กรุงสต๊อกโฮล์ม อายุเริ่มมากแล้วแต่จิตใจยังวัยรุ่นอยู่เพราะไม่มีเวลาที่จะมากังวลเรื่องความแก่ ถ้าคิดว่าตัวเองแก่มันก็แก่อย่างที่คิด
กำลังคิดที่จะเขียนประวัติย่อๆของตัวเองเพราะมีน้องคนหนึ่งเขียนถามมา ที่จริงไม่ค่อยอยากจะเปิดเผยเท่าไร เพราะชีวิตจริงไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้นแต่อาจจะเป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่าย เพราะนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ทั้งที่ทำงานและในยามว่าง ไม่ค่อยมีคนไทยเป็นเพื่อนเนื่องจากเป็นคนตรงและปากเสีย เลยคนส่วนใหญ่ไม่อยากจะคบ ไม่เคยเกรงกลัวคนประเภทโอ่ๆทั้งหลาย เคยทำงานที่ Office of Commercial Affairs มาก่อน (เดี๋ยวนี่คงจะไม่มีแล้วในสวีเดน ไม่ทราบเหมือนกัน) เจอประเภทพวกใหญ่ๆโตๆทั้งหลายที่มาสวีเดนมาแล้วทำตัวเหมือนเจ้าแล้วมองคนอื่นเหมือนทาส เลยเบื่อและออกห่างจากสังคมไทยมานานเกือบ 20 ปีแล้วเนื่องจากเห็นมาเยอะ เกลียดคนที่ชอบเลียก้นนักการเมืองและผู้ที่มีอิทธิพลทั้งหลาย วัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีของไทยไม่เคยลืมแต่จะใช้และแสดงออกก็ต่อเมื่อฝ่ายตรงข้ามสมควรที่จะได้รับ



Locations of visitors to this page







Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
12 พฤศจิกายน 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Mellitus's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.