ขอต้อนรับสู่โลกของนิยายยูริ เรื่องจากประสบการณ์ และทำนายดวงชะตา โดย นิ้วนาง-เดียนา-ลำดวนพยากรณ์
 
พฤษภาคม 2558
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
12 พฤษภาคม 2558
 
 

อีกสักครั้ง? Again? ฉบับรีไรท์ ตอนที่ ๘

เพลงถ้าสักวันเธอจะกล้าพอ

https://www.youtube.com/watch?v=niF076zerWE



เจษฎาแวะมารับหล่อนที่ออฟฟิศก่อนเที่ยง เพื่อพาไปทานอาหารกลางวัน ขณะนั่งรถออกไปด้วยกันสักพัก หญิงสาวมองสองข้างทางอย่างคุ้นเคยเพราะเพิ่งแวะมาแถวนี้เมื่อวันก่อน วิ่งตรงไปอีกสามไฟแดงก็ถึงที่ทำงานของนัทชา

“เราจะไปร้านไหนเหรอคะพี่หนุ่ม?” ชนากานต์ถามอย่างสงสัย

เขาอมยิ้มแล้วบอกแต่ว่า

“อีกนิดก็ถึงแล้วครับ ร้านนี้พี่กล้าการันตีเรื่องความอร่อย”

“อร่อยขนาดนั้นเชียว”

“น้องกานต์น่าจะเคยแวะมาทานที่ร้านนี้แล้ว เป็นร้านเก่าแก่ที่เปิดมานานน่าจะเกือบสามสิบปี รับรองจะติดใจ”

หล่อนขมวดคิ้วและคิดตาม แถบนี้มีร้านอาหารใหญ่เก่าแก่อยู่ไม่กี่ร้าน นึกเดาในใจอย่างกังวล

'คงไม่ใช่ร้านนั้นหรอกนะ'

ชายหนุ่มเปิดสัญญาณไฟเลี้ยวซ้าย เข้าไปจอดยังลานจอดรถของร้านอาหาร...ภัตตาคารของครอบครัวมนัสนันท์

'เดาอะไรจะแม่นขนาดนั้นคะคุณกานต์'

หล่อนประชดตัวเองในใจ

เขาจอดรถและดับเครื่อง รีบก้าวลงจากรถมาเปิดประตูให้อีกฝ่าย แล้วโค้งตัวต่ำเลียนแบบบริกรโรงแรม

“เชิญครับ”

ร่างบางจำใจก้าวลงจากรถ แม้จะไม่เต็มใจนักก็ตาม

“ขอบคุณค่ะ”

ทำไมหล่อนจะไม่รู้จักร้านนี้ ร้านอาหารชื่อดังที่ขึ้นชื่ออาหารอร่อยมากกว่าสิบรายการ ร้านที่อยู่ในลิสต์ที่ลูกค้าของเลิฟ ริเวอร์ไซด์อยากแวะมาทานเป็นอันดับต้นๆ

แต่สาเหตุที่สาวสวยไม่อยากมาที่นี่ เพราะไม่อยากบังเอิญเจอกับ แก๊งค์เพื่อนสนิทสามคนของนัทชา โดยเฉพาะมนัสนันท์ที่ดูจะไม่ชอบหน้าหล่อนมาก มากกว่ากนกฉัตรและบงกชเสียอีก ส่วนสาเหตุแห่งความไม่ถูกชะตานั้น ร่างบางไม่มั่นใจนักจึงไม่กล้าเดาส่งเดช

“น้องกานต์เคยแวะมาร้านนี้ไหมครับ?” ชายหนุ่มชวนคุย หลังจากทั้งคู่เข้าไปนั่งในภัตตาคารที่ตอนนี้มีลูกค้าแน่นขนัด โชคดีที่เขาโทรมาจองโต๊ะเอาไว้ล่วงหน้าตั้งแต่สองวันก่อน

“เคยค่ะ แต่นานมากแล้ว”

“เหรอครับ แล้วชอบอาหารอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า?”

“ขอเป็นอาหารจานเดียวแล้วกันค่ะ”

“ได้ครับ” เขาโบกมือเรียกพนักงานให้มารับออเดอร์ เมื่อสั่งอาหารเสร็จก็สนทนากับหญิงสาวต่อ “ใกล้ปีใหม่แบบนี้ น้องกานต์คงงานยุ่งมากสิครับ”

“ค่ะ” ร่างบางตอบสั้นๆ

ย่างเข้าเดือนสุดท้ายของปี มีตารางงานแน่นยาวเหยียดตั้งแต่เช้ายันค่ำเกือบทุกวัน ทำให้หล่อนใช้เป็นเหตุผลปฏิเสธการออกงานกลางคืนแทนมารดา และไม่ได้เจอชายหนุ่มคนนี้มาหลายวัน

“แบบนี้พี่ก็เจอตัวน้องกานต์ลำบากสิครับ”

ชนากานต์ยิ้มน้อยๆ กับคำตัดพ้อต่อว่ากลายๆ

“เจอไม่ได้ โทรคุยแทนก็ได้ค่ะ”

ในใจนึกชม ที่เขาไม่พรวดพราดบุกไปหาหล่อนที่ทำงานโดยไม่ได้นัดก่อน อย่างน้อยชายหนุ่มก็มีมารยาทดีกว่าปริวัตรในเรื่องนี้ ทำให้หล่อนมีข้ออ้างปฏิเสธที่จะเจอเขาได้ร้อยแปดอย่าง

ชนากานต์มองคนตรงหน้าเป็นเหมือนพี่ชายหรือเพื่อน ที่สามารถคุยได้อย่างสะดวกใจ ไม่ได้มีความคิดเกินเลยไปมากกว่านั้น ส่วนเขาจะคิดยังไง? หล่อนไม่ทราบ และไม่สนใจที่จะทราบด้วย

“ก็ได้ครับ” ชายหนุ่มรับปากอย่างว่าง่าย

“ว่าแต่วันนี้นัดมาเลี้ยง เนื่องในโอกาสอะไรคะ?”

“ฉลองที่พี่ได้งานทำแล้วครับ” เขาตอบพร้อมยิ้มกว้างอย่างร่าเริง

อันที่จริงฐานะครอบครัวของเขาไม่ได้ต้อยต่ำเลย ถ้าชายหนุ่มคิดจะตั้งบริษัทของตัวเองก็ทำได้ เพราะพ่อแม่พร้อมจะสนับสนุน แต่เจษฎาปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่าขอหาประสบการณ์ก่อนสักสองสามปี จึงไปสมัครงานตามบริษัทที่ตนสนใจ และเพิ่งรู้ผลเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา

“ยินดีด้วยค่ะ” หญิงสาวยิ้มหวานให้อย่างจริงใจ “แย่จัง พี่หนุ่มไม่ยอมบอกก่อน กานต์เลยไม่มีของขวัญจะให้”

“แค่ออกมาทานข้าวด้วยแบบนี้ ก็พอใจมากแล้วครับ” เขาพูดเสียงนุ่มทุ้มชวนฟังไม่น้อย

ถ้าเป็นสาวอื่นคงเคลิ้มใจลอยหลงใหลได้ปลื้ม แต่ไม้นี้ใช้ไม่ได้กับชนากานต์ที่นึกขำในใจ แล้วส่งยิ้มสวยคืนให้เขาอย่างเท่าเทียม

“ไว้วันหลังกานต์จะหาของให้แล้วกัน”

“ขอบคุณล่วงหน้าครับ”

ไม่นานอาหารกับน้ำผลไม้ก็ถูกนำมาเสิร์ฟ ทั้งคู่ยิ้มให้กันก่อนเริ่มทานอาหารของตน แต่พอทานได้เพียงไม่กี่คำ

บรรยากาศสบายๆ ของ ‘คู่รัก’ ในสายตาของหลายคน ก็ถูกขัดจังหวะลงด้วยเสียงของใครบางคนที่เรียกดังกว่าปกติ

“พี่หนุ่ม!”

เจษฎามองคนเรียกที่เดินมาหยุดอยู่ข้างโต๊ะ เมื่อเห็นหน้าอีกคนชัด เขาก็ฉีกยิ้มกว้างออกมาอย่างยินดี ลุกยืนตัวตรงและเอ่ยทักทายตอบ

“นันท์”

หญิงสาวหน้าใสในชุดเชฟแบบฝรั่งสีขาวยืนเอียงคอมอง ก่อนถามขึ้นอย่างคุ้นเคยกันมานาน

“กลับมาเมืองไทยตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?”

“หลายอาทิตย์แล้วล่ะ”

“แล้วไม่แวะมาหาเนี่ยนะ คนใจร้าย” แสร้งทำหน้าบึ้งขณะต่อว่า

“อ่า โทษที พี่มัวแต่ยุ่งๆ ก็เลยลืมจริงๆ” เขายอมรับผิดแต่โดยดี

“ยุ่งเรื่องอะไร? พอจะบอกได้ไหม”

“เอ่อ...ไว้ค่อยคุยทีหลังดีกว่า” เจษฏาบ่ายเบี่ยง ลอบมองหญิงสาวที่นั่งร่วมโต๊ะ แล้วก็หันกลับมามองเชฟใหญ่แล้วโบ้ยบ้ายด้วยสายตา พลางผายมือแนะนำ “นันท์ นี่เพื่อนพี่ คุณชนากานต์”

แม่ครัวทำหน้างงเล็กน้อย ก่อนหันมองตาม ไม่ได้สังเกตว่าเขามากับคนอื่น ชะงักเล็กน้อยก่อนยกมือขึ้นไหว้หล่อนอย่างสุภาพ

“สวัสดีค่ะ”

ร่างบางยกมือขึ้นรับไหว้พร้อมทักทายอย่างอ่อนหวาน

“สวัสดีค่ะน้องนันท์”

“รู้จักกันด้วยเหรอครับ?” คราวนี้กลับเป็นเจษฎาที่แปลกใจ

“พี่กานต์เป็นรุ่นพี่ตอนเรียนมัธยมฯ ค่ะ” เชฟใหญ่เป็นคนตอบ

“อ้าวเหรอ ปล่อยไก่หมดเล้าเลย” เขาพูดขำๆ เรียกรอยยิ้มน้อยๆ จากสองสาว

แต่ยังไม่ทันจะสนทนาอะไรต่อ บริกรคนหนึ่งของภัตตาคารก็เดินเร็วๆ มาหามนัสนันท์

“เชฟครับ ลูกค้าโต๊ะโน่นเชิญครับ”

แม่ครัวใหญ่หันไปพยักหน้ากับลูกน้อง

“ขอตัวก่อนนะคะพี่หนุ่ม ไว้ว่างๆ ค่อยคุยกันค่ะ” หันมามองหน้าสาวสวย “ทานให้อร่อยนะคะ ต้องการอะไรเพิ่มก็สั่งได้นะคะ”

“ขอบคุณครับสาวน้อย” เจษฎาตอบกึ่งหยอกล้อ

“ขอบคุณค่ะน้องนันท์” ร่างบางพูดเบาๆ

มนัสนันท์เดินไปทักทายกับลูกค้าหลายโต๊ะตามที่ลูกน้องบอก เธอเป็นเชฟชื่อดังคนหนึ่งที่บรรดานักชิมชอบแวะมาลิ้มรสอาหาร มีคนติดต่อมาสัมภาษณ์เพื่อเขียนบทความตีพิมพ์ในหนังสือหลายเล่ม ยิ่งทำให้ร้านโด่งดังมากขึ้น จึงมีผู้มาใช้บริการแน่นขนัดเกือบตลอดทั้งวัน

“พี่หนุ่มรู้จักกับน้องนันท์ นานแล้วเหรอคะ?”

“ครับ รู้จักกันตั้งแต่เด็กๆ เลย”

หล่อนมองหน้าอีกฝ่าย ขมวดคิ้วเป็นเชิงขอคำอธิบาย

“เราเป็นลูกพี่ลูกน้องกันครับ นันท์เด็กกว่าพี่สามปี” เขาเฉลย

“เหรอคะ?” ร่างบางทำหน้าแปลกใจนิดหน่อย

“พี่กับนันท์เคยเล่นด้วยกันตอนเด็กๆ แต่พอขึ้นชั้นมัธยมฯ พี่ถูกส่งไปเรียนโรงเรียนประจำ ก็เลยไม่ค่อยเจอน้องเท่าไหร่ แต่ช่วงอยู่อเมริกาก็อีเมล์คุยกัน น้องมีเรื่องอะไรก็จะเขียนมาปรึกษาตลอด นันท์คงเห็นพี่เป็นศิราณีไปแล้ว” เขาพูดติดตลก

หล่อนรับฟังแต่ไม่ซักไซ้อะไรต่อ แค่รู้สึกว่า ‘โลกใบนี้ช่างแคบกว่าที่คิดไว้ เยอะมาก’

ทั้งสองรับประทานอาหารต่ออย่างเงียบๆ มีสนทนากันบ้างซึ่งเป็นเรื่องทั่วไป จนกระทั่งทานเสร็จเขาเรียกพนักงานมาชำระค่าอาหาร ซึ่งราคาไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับรสชาติ

หล่อนนิ่งฟังมากขึ้นผิดจากตอนแรกที่ยังคุยบ้าง เงียบผิดสังเกตจนเจษฎารู้สึกได้ แต่ชายหนุ่มไม่กล้าจะเอ่ยปากถาม ได้แต่ขับรถเงียบๆ การจราจรบนถนนสายหลักช่วงเกือบบ่ายโมงมีรถหนาแน่น ทำให้กว่าจะผ่านแต่ละไฟแดงใช้เวลาไม่น้อย เสียเวลามากกว่าตอนขามาเสียอีก

เขาโน้มตัวไปข้างหน้า เพื่อกดเปิดวิทยุลดความตึงเครียด ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นแผ่นซีดีเพลงสากลเก่าๆ ยุค ๖๐-๗๐

“วันที่ ๒๔ พี่หนุ่มว่างไหมคะ?” ชนากานต์เอ่ยถามขึ้น หลังไร้คำสนทนาในระหว่างที่นั่งรถหรูของชายหนุ่มมานานเกือบสิบนาที

เจษฎาละสายตาจากถนนตรงหน้าเหลือบมองหล่อน

“ช่วงไหนครับ?”

“เย็นๆ ค่ะ ที่ออฟฟิศมีเลี้ยงปีใหม่ กานต์อยากชวนพี่หนุ่มไปด้วย”

“ว่างครับ” เขาหันหน้าไปจ้องถนนตามเดิม

“ดีจังไว้กานต์จะส่งบัตรเชิญไปให้นะคะ สำหรับคุณน้าทั้งสองด้วย”

“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มเอียงหน้าไปยิ้มร่าให้หล่อน

ไม่กี่นาทีต่อมา เขาเลี้ยวรถไปจอดหน้าทางเข้าตึกเลิฟ ริเวอร์ไซด์ แต่ไม่ทันจะดับเครื่อง บริกรหนุ่มที่ให้บริการอยู่ด้านหน้าประตูก็เดินมาโค้ง พร้อมเปิดประตูรถให้หญิงสาว

“ขอบคุณนะคะ ไว้ค่อยเจอกัน”

“สวัสดีครับ”

หล่อนส่งยิ้มให้เขา แล้วก้าวลงจากรถด้วยท่าทางดุจนางพญาสาวเข้าไปยังด้านในอาคาร เพื่อสะสางงานของตนต่อ ส่วนรถคันนั้นก็เคลื่อนออกไป ท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของพนักงานหลายคน


หลังจากวันนั้น มนรดายังไม่กล้าเล่าให้หลานสาวฟังเรื่องอินทิพร รวมถึงเรื่องรสนิยมว่ายังไงแน่? แต่สิ่งหนึ่งที่เธอตั้งใจจะทำคือ ขัดขวางไม่ให้ลูกสาวของเพื่อนมาสนิทกับหลานสาวของตนจนเกินขอบเขต เพราะมั่นใจว่าสาวแว่นไม่ได้คิดเกินเลยแบบชู้สาวกับหญิงสาวร่างเล็ก

ประกอบกับไม่อยากมีปัญหากับเพื่อนสนิท ซึ่งเป็นแม่ของอินทิพร ไม่อยากเสียผู้ใหญ่ตอนแก่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ชวนลำบากใจไม่น้อย จะพูดเองก็กลัวหลานจะเคือง เดี๋ยวจะพาลเข้าหน้ากันไม่ติด

แม้โดยส่วนตัว เธอไม่ได้รังเกียจความรักแบบนี้ แต่จะให้บอกเต็มปากว่า ‘ยอมรับได้’ ก็ยังลำบากใจอยู่...แต่เธอยังหาทางออกที่ดีไม่ได้ ได้แต่นั่งกุมขมับเคร่งขรึมผิดวิสัย

'นึกไม่ถึงว่าหลานฉัน จะมีเสน่ห์กับผู้หญิง...เวรกรรมแท้ๆ'


วันรุ่งขึ้นมนรดาตัดสินใจใช้ ‘ตัวช่วย’ ที่คิดว่าน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ตอนสายเธอยกโทรศัพท์กดสายภายในไปหาใครคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ชั้นล่าง

“สวัสดีค่ะ กนกฉัตรพูด”

“ตอนนี้ว่างไหม? ขึ้นมาพบน้าที่ห้องหน่อยสิ มีเรื่องจะปรึกษา” น้าของนัทชาว่าเสียงเรียบ

วิศวกรสาวสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่เคร่งเครียดกว่าปกติ จึงตอบตกลงอย่างไม่ลังเล

“ได้ค่ะคุณน้า ไม่เกินห้านาที”

“ขอบคุณมาก”

หลังวางสายเธอเอนหลังพิงเก้าอี้ทำงานอย่างเพลียๆ เพราะกลัดกลุ้มจนนอนไม่หลับเรื่องนัทชา หนักใจยุ่งยากยิ่งกว่าโปรเจคงานร้อยล้านเสียอีก

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

เสียงเคาะประตูดังขึ้น

“เชิญค่ะ” เจ้าของห้องขาน ขยับตัวมานั่งหลังตรงรักษาภาพพจน์ผู้บริหารทุกกระเบียดนิ้ว

“คุณน้ามีอะไรเหรอคะ?” กนกฉัตรถามขึ้น แทบจะทันทีที่ทิ้งตัวนั่งเก้าอี้ว่างตรงโต๊ะทำงานของอีกฝ่าย

ความกล้าของมนรดาที่ปกติมีเต็มเปี่ยมจนแทบล้นทะลัก จู่ๆ บินหายไปเสียเฉยๆ ประสานสองมือที่วางบนโต๊ะ เม้มริมฝีปากบางอย่างลังเล ไม่กล้าจะพูดถึงเรื่องส่วนตัวของหลาน ทำท่าอึกอักลำบากใจมาก แต่เมื่อสบสายตากับอีกฝ่ายที่จับจ้องเหมือนคาดคั้นก็จนใจ ได้แต่พูดเสียงอ่อยๆ

“คือน้าอยากถามฉัตร เรื่องของนัท...”

คนฟังรอฟังอย่างตั้งใจ แต่อีกคนเงียบไม่พูดต่อเสียอย่างนั้น เธอจึงถอนหายใจยาวออกมา ก่อนส่ายหัวแล้วค่อนออกมาด้วยความคุ้นเคย

“ให้มาหาแล้วไม่พูด จะรู้เรื่องกันไหมเนี่ย?”

มนรดาค้อนลูกน้องตัวแสบ ที่ชอบกวนโมโหให้ของขึ้นได้เกือบทุกครั้งที่เจอ กลืนน้ำลายลงคออย่างลำบาก ก้มหน้าต่ำหลบสายตาอีกฝ่าย แล้วกลั้นใจปล่อยคำถามที่คาใจออกมา

“ตกลงนัทเป็น...เป็นเลสเบี้ยน ใช่หรือเปล่า?”

กนกฉัตรแอบสะดุ้งเฮือกในใจ กับคำถามที่ ‘โดน’ เสียเหลือเกิน นึกต่อว่าเพื่อนที่ไปทำพลาดอีท่าไหน ถึงทำให้มนรดาทราบเรื่องนี้ได้ แต่ทำใจดีสู้เสือถามคนตรงหน้ากลับ

“เอ่อ...ทำไมคุณน้าถึงถามแบบนี้คะ?”

คนถูกถามเม้มริมฝีปากแทบเป็นเส้นตรง เงยหน้ามองตาคนถามตรงๆ แล้วตอบคำถามที่แสนจะยากนั้น

“ก็...ก็น้าเห็นอินจูบกับนัทน่ะสิ เห็นเต็มสองตาเลยนะ” เล่าออกมาเสียงแผ่วแทบไม่ต่างจากกระซิบนัก

มนรดาไม่กล้าบอกใครให้อับอายขายขี้หน้า ว่าภาพจูบที่เห็นนั้นทำให้เธอเก็บเอาไปฝันเป็นตุเป็นตะ จนผวาตกใจตื่นกลางดึก กลัวว่าจะโดนใครแอบมาลักหลับแบบหลานสาว

“หา! เป็นไปไม่ได้ค่ะ ยายนั่นไม่มีทางชอบอินแน่ ไม่มีทางเด็ดขาดค่ะคุณน้า” สาวเปรี้ยวปฏิเสธเสียงดังพร้อมส่ายหน้า เชื่อพันเปอร์เซนต์ว่าต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดมากกว่า

มนรดาขมวดคิ้ว เริ่มสงสัยเพื่อนสนิทของหลานสาวว่ารู้อะไรบ้างที่เธอไม่รู้ จึงตั้งใจจะเค้นเอาความจริงออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

“แล้วฉัตรรู้ได้ยังไงว่า นัทจะไม่มีทางชอบอิน?”

“เพราะยายนั่นรักคนอื่นอยู่น่ะสิคะ” พลั้งปากคายความลับของสาวแว่นออกมา

“รักคนอื่น?” พึมพำทวนคำพูดของอีกคนด้วยสีหน้าสับสน ไม่เคยรู้ระแคะระคายเรื่องหัวใจนัทชาเลยว่า ไปแอบชอบหรือคบกับใครที่ไหน?

'ซวยแล้วงานนี้...ตายแน่กนกฉัตร'

สาวเปรี้ยวครางในใจ

รู้ตัวว่าพลาดท่าตกหลุมของเจ้านายเข้าอย่างจัง นึกอยากจะเอามือทุบหัวตัวเองสักหลายๆ ที แต่ก็ไม่ได้ทำเพราะกลัวเจ็บ ได้แต่เก๊กหน้าใจดีสู้เสือต่อไป

“ใคร?” มนรดาถามเสียงเข้ม จ้องหน้าวิศวกรสาวเขม็ง ถ้าสะกดจิตให้คายความจริงออกมาได้ เธอคงทำไปแล้ว

“ขอโทษค่ะ หนูบอกคุณน้าไม่ได้” กนกฉัตรรีบปฏิเสธ ไม่อยากหลุดเล่าความจริงออกมามากกว่านี้ นึกกังวลว่า ถ้านัทชารู้ว่าเรื่องนี้รั่วจากปากเธอ จะโดนหักคอจิ้มน้ำพริกหรือเปล่า?

“ใครคือคนที่นัทรัก?” ถามเสียงอ่อนลงกว่าเดิม หวังให้อีกคนยอมบอก เธออยากรู้เรื่องของหลานสาวมาก และรู้สึกกังวลใจอย่างบอกไม่ถูก

“ขอโทษค่ะ หนูไม่อยากผิดสัญญา” เธอยืนกราน ไม่อยากเสียสัตย์กับเพื่อนซี้

มนรดาถอนหายใจยาวเหยียด ก่อนเปลี่ยนคำถาม

“นานหรือยัง?”

“หลายปีแล้วค่ะ” สาวเปรี้ยวตอบหลังนิ่งคิดหลายวินาที แล้วรีบดักคออีกฝ่ายไว้ก่อน “สำหรับเรื่องนี้ หนูคงพูดได้เท่านี้”

แม้จะหงุดหงิดที่ไม่ได้คำตอบในสิ่งที่ต้องการ แต่เธอก็ถือคติ ‘ไม่บังคับฝืนใจใคร ถ้าไม่จำเป็น’ จึงได้แต่ฝืนพูดว่า

“น้าเข้าใจ”

วิศวกรสาวอยากจะเผ่นไปจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด รีบยกเรื่องงานมาเป็นข้ออ้าง

“ถ้าไม่มีอะไร หนูขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ”

“ขอบคุณนะฉัตร” มนรดาพูดแผ่วเบา จนปัญญาจะเหนี่ยวรั้งซักไซ้ต่อ จึงได้แต่ปล่อยตัวพยานปากเอกไปก่อน แล้วค่อยหาวิธีจัดการใหม่

อีกฝ่ายแค่ยิ้มเจื่อนๆ รีบเผ่นออกจากห้องนั้น หลังประตูปิดสนิทสาวเปรี้ยวไม่ได้ไปไหน แต่ยืนนิ่งหลังพิงผนังใกล้ๆ แถวนั้น นึกเสียใจที่ตัวเองพลาดท่าอยู่เป็นนาที ก่อนหายใจลึกๆ แล้วกลับไปทำงานที่ค้างต่อ

'โทษทีเพื่อน ฉันไม่ได้ตั้งใจ'

เมื่ออยู่ตามลำพัง เจ้าของห้องหลับตา เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างมึนงงหนักกว่าตอนแรกเสียอีก ไม่เข้าใจความหมายของข้อมูลที่เพิ่งรู้จากปากของกนกฉัตรนัก แต่ก็ทำให้เธอเดาไปว่า

'หรือว่านัทจะแอบรักเขาข้างเดียว?'


ก่อนเที่ยงอีกวัน นัทชาโทรนัดกับกนกฉัตรว่า จะชวนไปทานข้าวด้วยกันที่ร้านอร่อยเจ้าประจำ แต่พอเปิดประตูห้องทำงานของเพื่อนซี้ เธอก็ต้องประหลาดใจ เมื่อเห็นอินทิพรนั่งหัวเราะคิกคักอยู่กับสาวเปรี้ยวที่ยิ้มกว้างหน้าบานผิดปกติ รอยยิ้มแบบที่เพื่อนอย่างเธอก็ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยๆ

“พี่นัท” สาวร่างเล็กหันมาทักเสียงหวานร่าเริง พร้อมส่งยิ้มชวนมองแทบจะทันทีที่เห็นใบหน้าคนที่เธอเฝ้าคิดถึงเกือบจะทุกขณะจิต

“ฉัตร อิน” นัทชาเรียกชื่อคนทั้งสอง แล้วส่งสายตาเป็นคำถามกับสาวเปรี้ยว เพราะตอนที่คุยกันเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน ไม่เห็นอีกฝ่ายบอกสักคำว่าจะชวนอินทิพรไปด้วย

ช่วงหลายวันมานี้ นัทชาเริ่มรู้สึกว่ารุ่นน้องออกจะติดแจมาก จนบางครั้งก็ทำให้อึดอัด ไม่ได้ถึงกับรำคาญใจอะไรมากมาย แค่เธออยากอยู่เงียบๆ ตามลำพังมากกว่า

“ฉันชวนอินไปทานข้าวกับพวกเรา หลายคนน่าจะสนุกกว่า คงไม่มีปัญหาใช่ไหม?” กนกฉัตรว่าด้วยสีหน้าซื่อๆ ดูไม่มีอะไรลับลมคมใน

แม้สาวร่างโปร่งจะสงสัยคาใจ แต่ปากก็ขยับตอบไปว่า

“ไม่มีอยู่แล้ว”

“ไปกันหรือยังฉันหิวแล้ว รีบไปจะได้รีบกลับ เดี๋ยวมาประชุมตอนบ่ายสองไม่ทัน” สาวเปรี้ยวรีบชวน

“ไปสิ” นัทชาตอบรับ หมุนตัวเดินสาวเท้านำออกจากห้องนั้น โดยมีสองสาวตามหลัง

กนกฉัตรทำหน้าที่เป็นสารถี ขับรถเก๋งคู่ใจไปยังร้านอาหารที่เลือกไว้ ตลอดทางอินทิพรที่นั่งเบาะหลังจะเป็นคนคุยจ้อถามโน่นซักนี่ นัทชาที่นั่งคู่กับคนขับก็ตอบบ้างฟังบ้าง

ตลอดอาหารมื้อนั้น กนกฉัตรคอยจับตาสังเกตการแสดงออกของสาวร่างเล็กกับเพื่อนสนิท เพื่อพิสูจน์ให้แน่ใจว่า...ตกลงนี่เป็นรักแท้หรือรักคุด? มีโอกาสเจริญงอกงามแค่ไหน? เธอชำเลืองมองสาวร่างเล็ก ที่เอาอกเอาใจนัทชาเกือบตลอด บริการมากจนผิดสังเกต จนรู้สึกว่าตัวเองมานั่งเป็นหัวตอกลายเป็น ‘ส่วนเกิน’ ยังไงก็ไม่รู้ เพราะตั้งแต่มาถึงร้านอินทิพรแทบไม่สนใจจะไถ่ถามเธอสักเท่าไหร่เลย...สนใจแต่เพื่อนของเธอคนเดียว

'นี่ถ้าป้อนข้าวให้นัทได้...อินคงป้อนไปแล้ว'

คิดประชดติดตลกในใจ

แต่พอเหลือบมองเพื่อนที่ทำหน้าปั้นยากเหมือนลำบากใจ เธอก็ได้แต่นั่งปลง รู้สึกสมเพชปนสงสารเด็กรุ่นน้อง ที่ช่างไม่รู้เอาเสียเลยว่า หัวใจนัทชานั้นอบอุ่นเหลือเกิน...อบอุ่นไม่ต่างน้ำแข็งขั้วโลกสักเท่าไหร่

หลังทานอาหารเสร็จ แต่ยังไม่ทันชำระค่าอาหาร อินทิพรขอตัวไปห้องน้ำทิ้งให้สองสาวนั่งรอ สาวแว่นที่เก็บความคลางแคลงใจมานานเกือบชั่วโมง หรี่ตาจ้องเพื่อนสนิทที่ยิ้มเจ้าเล่ห์ชวนสงสัย

“ยิ้มเยอะแบบนี้มีอะไรดีๆ หรือเปล่า? เล่าให้ฟังบ้างสิ”

“หืม?” กนกฉัตรทำหน้าไม่เข้าใจคำถาม

สถาปนิกสาวหลุดฉีกยิ้มกว้างแล้วพูดขำๆ ออกมาพร้อมชี้หน้า

“นี่อย่าบอกนะว่าแกชอบอิน ใช่หรือเปล่า?”

กนกฉัตรที่กำลังดื่มน้ำเกือบสำลัก รีบวางแก้วแล้วตอบเสียงเขียว

“เฮ้ย! อย่าเดาส่งเดชสิ”

สาวแว่นทำหน้าไม่เชื่อ เพราะคิดว่าสมมติฐานของตนเองน่าจะถูก

“ก็ฉันเห็นแกชำเลืองมองแต่อินเกือบตลอดตอนทานข้าว แล้วแบบนี้จะให้คิดยังไงล่ะ?”

“บ้า! ” วิศวกรสาวส่งค้อนวงเบ้อเริ่มให้เพื่อนซี้ นั่งกอดอกพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางหงุดหงิดเสียเต็มประดา

“ไม่ใช่เหรอ?” เธอทำหน้าแปลกใจกับคำตอบที่ได้ยิน

“ก็ไม่ใช่น่ะสิ” ยืนยันหนักแน่น แม้บุคลิกจะเป็นคนเจ้าชู้คบมากหน้าหลายตา แต่เธอไม่เคยคิดอะไรกับอินทิพรเกินเลยสักนิด นอกจากเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเท่านั้น

“ไม่เชื่อ” นัทชาคิดว่าการที่เพื่อนสนิทแสดงท่าทางแปลกๆ น่าจะมีอะไรปิดบังอยู่ โดยเฉพาะการชวนสาวร่างเล็กมาทานข้าวด้วยวันนี้

“สรุปคืออยากรู้เหรอว่าฉันคิดอะไร?” พูดเดาใจอีกฝ่าย

นัทชาผงกหัว

“ใช่ ไปจ้องน้องเขาออกนอกหน้าขนาดนั้น...มันต้องมีอะไรสิ?”

'ตบตาคนอื่นยังพอได้ แต่ตบตายายนี่เนี่ย ยากชะมัด'

กนกฉัตรนึกเซ็งที่โดนจับไต๋ได้ เพราะการที่คบกันมานานจึงตบตาเพื่อนไม่ได้ แม้จะพยายามทำให้เนียนมากก็ตาม

“ฉันแค่สงสารอินก็เท่านั้น ไม่ได้พิศวาสอะไร”

เป็นคำตอบที่เหนือความหมายมาก ทำเอาสาวแว่นถึงกับหลุดยิ้มเผล่ออกมา

“แค่สงสาร จริงเหรอ?”

“เออสิ สงสารที่น้องดันไปหลงรักคนไม่มีหัวใจเข้า คงไม่แคล้วอกหักชัวร์” ตอบเสียงประชดปนกระแหนะกระแหน เพราะเชื่อว่าเพื่อนต้องคิดไปคนละทางแน่

สาวแว่นทำตาโต รู้สึกตื่นเต้นปนอยากรู้อยากเห็น

“ใคร? ฉันรู้จักหรือเปล่า?”

“บื้อมากไปไหม” กนกฉัตรทำหน้าเซ็งสุดขีด ไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะหัวช้าเรื่องแบบนี้ เพราะทีเรื่องอื่นละเก่งนักเก่งหนา

“เฮ้ย! อย่าบอกนะว่าฉัน” เอ่ยถามเสียงเย็น หลังเงียบคิดไปหลายวินาที อยากได้ยินคำยืนยันจากปากของอีกฝ่าย จึงจ้องหน้าเขม็งเหมือนคาดคั้น แต่เสียดายที่ไม้ตายนี้ใช้ไม่ได้ผลกับสาวเปรี้ยว

“ลองคิดง่ายๆ นะน้องเขาปรนนิบัติพัดวีใครมากเป็นพิเศษ...ก็คนนั้นแหละ” สาวเปรี้ยวยักไหล่ตอบกวนๆ หันไปกวักมือเรียกเด็กเสิร์ฟมาชำระค่าอาหาร ทุกอย่างเรียบร้อยก่อนที่อินทิพรเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ

นัทชานั่งนิ่งลอบมองรุ่นน้องด้วยสายตาที่ต่างไปจากเดิม สายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม

ซึ่งไม่พ้นสายตาคมกริบของกนกฉัตร ที่แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เธอขยับมองนาฬิกาข้อมือบอกเวลาอีกสิบนาทีบ่ายโมง
“กลับไปทำงานต่อกันดีกว่า”

แล้วทั้งสามออกจากร้านอาหารเพื่อกลับที่ทำงาน นัทชาแทบไม่พูดไม่จาเลยตลอดทาง แม้อินทิพรจะพยายามชวนคุยโน่นคุยนี่ สาวแว่นแค่อือออ พยักหน้าบ้างเป็นบางครั้ง บรรยากาศขากลับวังเวงเงียบเชียบต่างจากตอนอยู่ร้านอาหารลิบลับ

'โทษทีนะอิน'

สาวเปรี้ยวนึกขอโทษรุ่นน้องที่กำลังทำหน้าเง้าในใจ

ดูเหมือนว่า มิชชั่นวันนี้จะได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่คิดไว้ เธอคิดว่าการบอกให้นัทชารู้ตัว จะได้เว้นระยะห่างกับอินทิพรแล้วน่าจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น อย่างน้อยก็เป็นการตัดไฟแต่ต้นลม ไม่ทำให้สาวร่างเล็กมีความหวังลมๆ แล้งๆ หลอกตัวเองไปวันๆ

กนกฉัตรค่อนข้างเชื่อว่า นัทชายังไม่เลิกรักรุ่นพี่ชนากานต์คนนั้น แม้ผ่านมาหลายปี ความรักอาจจะลดน้อยถอยลง แต่ยังคงไม่เหือดหายไปทั้งหมด เรื่องบางอย่างต้องใช้เวลา...แต่เพื่อนคนนี้ใช้เวลาทำใจนานมาก นานเกินไปในความคิดของเธอ

สาวเปรี้ยวแอบหวั่นใจว่า การที่นัทชาต้องไปทำงานร่วมกับรุ่นพี่ผู้แสนทรงเสน่ห์หลายเดือน ‘ถ่านไฟเก่า’ จะจุดติดพึ่บพั่บอีกครั้งหรือเปล่า? แอบหวังว่าคงไม่เป็นแบบที่ห่วง เพราะขี้เกียจมานั่งปลอบใจเพื่อนอีกรอบ

“ไว้เจอกันวันเสาร์นะคะพี่นัท” อินทิพรย้ำนัดไปดูงานที่ตกลงกันไว้อีกรอบ

“อือ” สาวร่างโปร่งขานรับคำเบาๆ ในลำคอ

สาวร่างเล็กยิ้มออกที่ได้ยินเสียงตอบรับ หันไปขอบคุณรุ่นพี่อีกคน

“ขอบคุณสำหรับอาหารกลางวัน นะคะพี่ฉัตร”

“ยินดีค่ะ” สาวเปรี้ยวยิ้มหวาน

อินทิพรแยกไปห้องของตนที่อยู่อีกด้านของอาคาร ส่วนนัทชาเดินตามกนกฉัตรเข้าไปในห้องทำงานด้วยท่าทางครุ่นคิด

เจ้าของห้องชำเลืองตามองแขก หลังทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้พนักสูง

“มีอะไรหรือเปล่า? สีหน้าไม่ค่อยดีเลย”

“ไม่เป็นอะไร แค่คิดเรื่อยเปื่อย” สาวแว่นตอบเสียงแผ่ว ฟังแล้วไม่น่าเชื่อถือนัก นั่งกอดอกทำหน้าเครียดเหมือนมีเรื่องกังวลใจ

“งั้นเหรอ” กนกฉัตรพึมพำ ก้มหน้าอ่านแฟ้มที่ยังอ่านค้างอยู่ต่อ

พอเดาได้ว่าเรื่องที่นัทชาคิดหนักอยู่ในใจ คงไม่พ้นเรื่องของหญิงสาวร่างเล็กที่เพิ่งแยกกันเมื่อสักครู่ แต่ไม่อยากจะซักไซ้อะไรวันนี้ ปล่อยให้เพื่อนกลุ้มใจไปคนเดียวก่อน ไว้อีกฝ่ายตกตะกอนความคิด แล้วค่อยจับเข่าคุยกันก็ยังไม่สาย

'ความรักนี่ ไม่เข้าใครออกใครเลยจริงๆ ยุ่งชะมัด'

วิศวกรสาวนึกบ่นในใจ

เรื่องหัวใจ เป็นหนึ่งในเรื่องที่ชวนปวดเศียรเวียนเกล้ามากที่สุดในความคิดของกนกฉัตร เธอจึงเลือกที่จะไม่จริงจังอะไรกับใคร ที่ผ่านมาจึงคบเป็นแค่คู่ควงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น อาจเพราะลึกๆ หญิงสาวไม่เชื่อเรื่องรักแท้หรือพรหมลิขิตสักเท่าไหร่ มองเป็นเรื่องเพ้อฝันไร้สาระมากกว่า


วันศุกร์หล่อนรีบเคลียร์งานทั้งวันจนแน่ใจว่าครบหมดทุกอย่าง ก็บอกกับเลขาฯ ของตนไว้ว่า จะไปธุระไม่แวะเข้ามาออฟฟิศอีก มีอะไรด่วนให้โทรบอกด้วย พอทานมื้อกลางวันเสร็จ ชนากานต์ขับรถไปยัง Finest Corp. โดยมีขนมอร่อยติดมือไปสองสามอย่าง ตั้งใจจะเอาไปฝากมนรดา

สาวสวยเชื่อว่า ‘การเข้าตามตรอก ออกทางประตู’ น่าจะทำให้การคืนดีกับนัทชาง่ายขึ้น

ก๊อก! ก๊อก!

“เชิญค่ะ” เจ้าของห้องกล่าวเสียงหวาน เพราะทราบจากไปรยาแล้วว่า แขกที่จะเข้ามาคือใคร?

“สวัสดีค่ะคุณน้า” ชนากานต์พนมมือไหว้อย่างสุภาพนอบน้อม

“สวัสดีค่ะหนูกานต์” รีบรับไหว้อย่างนุ่มนวลไม่แพ้กัน ผายมือเชิญแขกไปยังโซฟาชุดใหญ่ที่อยู่กลางห้อง “นั่งก่อนค่ะ”

“ขนมค่ะ จากครัวเลิฟ ริเวอร์ไซด์” หญิงสาวบอกเสียงหวาน หลังทรุดตัวลงนั่งเรียบร้อยแล้ว

“ขอบคุณนะคะ” มนรดายื่นมือรับถุงสวยสามใบที่อีกคนส่งให้ แล้ววางไว้บนโต๊ะกระจกตรงหน้า “วันนี้แวะมาหาที่นี่ มีอะไรหรือเปล่าคะ?”

“แวะเอาขนมมาฝาก แล้วก็ตั้งใจจะมานัดน้องนัทเรื่องพรุ่งนี้ค่ะ”

“เรื่องจะไปชลบุรี?”

“ใช่ค่ะ น้องนัทยังไม่ได้นัดเวลากับสถานที่เลยค่ะ กานต์เลยว่าจะมาถาม”

“เด็กคนนี้นี่ไม่รอบคอบเลย” มนรดาบ่นหลานสาวออกมาเบาๆ “ทีหลังหนูกานต์โทรมาก็ได้ค่ะ จะได้ไม่เสียเวลาแวะมา”

“ไม่เป็นไรคะ ที่นี่ไม่ไกลจากออฟฟิศกานต์เท่าไหร่ แค่ไม่กี่นาทีเอง” หล่อนพูดด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม

“จริงด้วย น้าลืมไป”

หลังทักทายตามสมควร หล่อนขอตัวไปหานัทชาที่ห้องทำงาน ซึ่งไปรยาเป็นคนพาไป โดยทำการเคาะประตูให้ แล้วปล่อยให้สาวสวยเข้าไปพบเจ้าของห้องเพียงลำพัง

“เชิญค่ะ” เสียงสาวแว่นดังออกมานอกห้อง

คลิก!

บานประตูถูกเปิด และปิดสนิทอย่างแผ่วเบา

เจ้าของห้องไม่ได้เงยหน้าจากโต๊ะเขียนแบบที่ตั้งอยู่มุมด้านในสุดของห้อง เพียงแต่ทราบว่ามีคนเข้ามา จึงพูดเชิญขึ้นอย่างเป็นกันเอง

“นั่งก่อนนะ ‘อิน’ พี่ขอเขียนตรงนี้อีกแป๊บหนึ่ง เกือบเสร็จแล้ว”

ชนากานต์ขมวดคิ้วบางเรียวเล็กน้อยอย่างสงสัย ที่ได้ยินอีกคนทักผิดเพราะคิดว่าหล่อนเป็นคนอื่น จึงก้าวไปอยู่ด้านหลังของสาวร่างโปร่งที่นั่งเก้าอี้กลมสูงกำลังก้มหน้าเขียนแบบอย่างตั้งใจ

ร่างบางยืนนิ่งชื่นชมแผ่นหลังที่แสนจะคุ้นเคย ความคิดถึงมากล้นจนโหยหา และสุดจะหักห้ามใจได้ จึงยกมือเรียวบางขึ้นสวมกอดเอวอีกคนไว้อย่างหลวมๆ แล้วประทับจูบเบาๆ ที่ต้นคอเรียวตรงหน้าอย่างสนิทสนม

นัทชาชะงักกับสัมผัสที่ไม่คาดคิดว่าจะได้รับ ด้วยความตกใจเธอเกือบทำปากกาและอุปกรณ์หล่นจากมือ เอ่ยเรียกคนที่คิดว่าอยู่ข้างหลัง

“อิน!”

“พี่ไม่ได้ชื่ออิน” พึมพำตอบเสียงยั่วยวนข้างหูของคนในวงแขน

เสียงที่ได้ยินนั้นคุ้นเคย...จนไม่ต้องหันมองก็รู้ว่าเป็นใคร

“คะ คุณ!”

สาวร่างโปร่งตื่นตระหนกอย่างที่สุด เมื่อรู้ว่าใครกำลังกอดเธออยู่ สิ่งแรกที่คิดจะทำคือ ขยับตัวหนีจากอ้อมกอดนั้น...แต่ช้าเกินไป

หล่อนรัดวงแขนแน่นขึ้น และตัดสินใจจู่โจมต่อโดยเลื่อนริมฝีปากเล็มใบหูนั้นเบาๆ สัมผัสนั้นทำให้สาวแว่นมีเสียงครางหลุดรอดออกมาจากลำคออย่างไม่เต็มใจ อ่อนระทวยแทบหมดเรี่ยวแรง ไม่อาจดิ้นหลุดจากการกอดรัดนั้น

“ปะ ปล่อย...อ่า” เสียงครวญครางหลุดดังแผ่วออกมา สลับกับการร้องห้ามปราม

“นัทเป็นของพี่ และต้องเป็นของพี่เพียงคนเดียว” สาวสวยพึมพำออกมาขณะระดมจูบเปะปะไปทั่วใบหูเล็กบางของอีกฝ่าย

“ปล่อย...”

“ไม่มีทาง” เสียงหวานงึมงำตอบ โดยไม่ละริมฝีปากอุ่นจากลำคอเรียวของอีกคน

“ปะ ปล่อย...”

สาวร่างโปร่งยังคงพยายามดิ้นและส่งเสียงคัดค้าน ด้วยเรี่ยวแรงที่มีเหลืออยู่น้อยนิด

แต่ชนากานต์ไม่สนใจจะฟัง กระชับกอดแน่นจนลำตัวทั้งคู่แนบชิดสนิท และปฏิบัติการรุกคืบจูบไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ใบหู หลังคอไปจนถึงต้นคอ ทั้งขบทั้งเม้มหยอกเย้า

เธอนึกอะไรไม่ออก ได้แต่ส่งเสียงครวญคราง บิดตัวเร่า สัมผัสที่ได้รับกำลังมีอิทธิพลครอบงำความคิดไปจนเกือบหมดสิ้น รู้สึกวาบหวามเสียวซ่านไปทั่วร่าง สิ้นพลังควบคุมไปเหมือนร่างกายนี้ไม่ใช่ของตัวเองอีกต่อไป ความแข็งแรงของอดีตนักกีฬาหายวับไปหมด

สาวแว่นกำลังละลาย ไม่ต่างจากแท่งเทียนที่กำลังหลอมเหลวจากเปลวไฟ...ไฟสวาทกองใหญ่ที่รุ่นพี่กำลังจุด และเติมเชื้อไฟให้ปะทุ

ชนากานต์ซุกไซ้ริมฝีปากอุ่นไปตามลำคอระหง และทำคิสมาร์กไว้หลายแห่งอย่างตั้งใจ หงุดหงิดไม่น้อยที่ได้ยินสาวแว่นเรียกชื่อคนอื่นอย่างสนิทสนม จนเหมือนเป็น ‘คนพิเศษ’ ตำแหน่งที่ถึงตายหล่อนก็ไม่ยอมสละให้ใคร ความรู้สึกหึงหวงและความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเพิ่มขึ้นเต็มเปี่ยมจนทะลัก สาวสวยใช้ริมฝีปากและปลายจมูกซอกซอนดอมดมร่างของอีกฝ่ายมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ

ความคิดดิ้นรนต่อสู้ของสถาปนิกสาวลดน้อยถอยลง จนเกือบเป็นศูนย์ ต้องมนตร์สะกดของรุ่นพี่จนเคลิบเคลิ้มตัวอ่อนงอ ลืมตัวลืมตน ลืมหมดสิ้นทุกอย่างเมื่อโดนรุกเร้าหนักต่อเนื่อง เสียงครวญครางกับเสียงลมหายใจหอบดังราวกับเพิ่งไปวิ่งมาสักหลายกิโลฯ

“อา...”

เสียงของคนในวงแขนกำลังทำให้หล่อนลืมเลือนทุกอย่าง มือเรียวบางคลายอ้อมกอดออกอย่างช้าๆ เปลี่ยนจากเกาะกุมเป็นลูบไล้นวดเฟ้นหน้าท้องแบนราบ ที่กำลังกระเพื่อมขึ้นลงแรงตามการหายใจเข้าออก

“อา...อ่า...” เสียงครวญครางของนัทชาดังถี่กว่าเดิม อย่างไม่อาจควบคุมได้

เสียงครางแสนไพเราะนั้นกระตุ้นให้เจ้าของมือซุกซนได้ใจ และลืมตัว...คิดจะทำอะไรเลยเถิด

'ใช่เลย...เสียงแบบนี้แหละ'

OoXoO




 

Create Date : 12 พฤษภาคม 2558
0 comments
Last Update : 12 พฤษภาคม 2558 23:15:01 น.
Counter : 706 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

 

นิ้วนาง-เดียนา
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




งานเขียนทั้งหมดใน blog นี้ สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย พระราชบัญญัติ พ.ศ.2537 ห้ามนำไปพิมพ์ เผยแพร่ หรือลอกไปกระทำการใดๆ ก็ตาม หากผู้ใดกระทำการผิด เจ้าของ blog จะเอาผิดท่านตามกฏหมาย ได้ทุกกรณี


[Add นิ้วนาง-เดียนา's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com