Journey Journal with NineNoname

<<
กันยายน 2559
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
30 กันยายน 2559
 

Kansai … ไม่ไปไม่ได้แล้ว











     Kansai เป็นภูมิภาคหนึ่งของญี่ปุ่นที่ประกอบด้วย 6 จังหวัดด้วยกันคือ Kyoto, Osaka, Nara, Hyogo, Wakayama, Shiga และ Mie ซึ่งทริปนี้เป็นทริปแรกที่ไปครั้งเดียวแล้วไปครบ 4 จังหวัดเด่น ๆ คือ โอซากา นารา โกเบ และเกียวโต ทริปนี้เดินทางกัน 4 วันเต็ม ๆ เดินทางพร้อมกระเตงคุณลูกชายไปด้วย เรียกได้ว่ามือเท้าระบมกันเลยทีเดียว แต่ก็เป็นทริปที่สนุกและผมว่าได้เปิดโลก เปิดประสบการณ์ให้คุณลูกชายได้เยอะทีเดียว อาจมีหลายคนคิดว่าพาไปทำไม ยังเด็กอยู่ ไม่รู้เรื่อง จำอะไรก็ไม่ได้ แต่เท่าที่เคยพาเขาไปนี่ ผมว่าเขาจำได้และรับรู้ได้มากกว่าที่เราคิดครับ ...

 

เตรียมตัวลง 

     ออกเดินทางจากสุวรรณภูมิตอน 5 ทุ่มครึ่งด้วยการบินไทยเที่ยวบินที่ TG622 ไปถึงสนามบินคันไซ โอซากา ตอน 7 โมงเช้าพอดีแวะซื้อ Kansai Thru Pass ที่ Information ชั้นล่างอีกเช่นเคย อ่านการใช้ได้ ที่นี่ ครับ

 

ถึงแล้วครับสนามบินคันไซ

     แต่คราวนี้เราวางแผนจะพาคุณชายไปเที่ยว Osaka Aquarium Kaiyukan ด้วยเลยซื้อตั๋ว Osaka Kaiyu Ticket เพิ่มอีกใบ เดินทางเข้าเมืองด้วย Kansai Thru pass เพื่อเอาของไปเก็บที่โรงแรมซึ่งคราวนี้เราพักกันที่โรงแรม Imperial Hotel Osaka เป็นอีกหนึ่งโรงแรมที่ห้องกว้างขวาง สะดวกสบาย ตั้งอยู่แถวริมแม่น้ำ มีรถรับส่งจากสถานี Umeda ถึงโรงแรมทุก ๆ 15 นาที

ห้องนอนเราทริปนี้ครับ

     เราเข้ามาถึงกันแต่เช้าเลยยังไม่ได้ห้องพัก ฝากกระเป๋าแล้วนั่งรถกลับมาสถานี Umeda เพื่อนั่งรถไฟสาย Hankyu ไปลงที่สถานี Sannomiya ครับวันแรกนี้เราจะไปเที่ยวโกเบกัน

 

มีเด็กอ้อนแม่ครับ

     ใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึงสถานี Sannomiya ใกล้เที่ยงพอดี ไปหาอะไรทานกันดีกว่า มาถึงโกเบทั้งทีจะไม่ลองเนื้อโกเบเลยก็ดูจะใช่ที่ เรามาทานเนื้อโกเบกันดีกว่าครับ วันนี้เราเลือกร้าน Ishida ซึ่งเป็นร้านที่ได้อันดับ 2 จาก Tripadvisor สำหรับเมนูอาหารกลางวันของที่นี่มีให้เลือกหลายแบบ หลายราคา เราจัดไปที่ชุด 130 กรัมในชุดก็มี ออเดริฟ์ สลัด ข้าว เนื้อโกเบ ของหวานและกาแฟ สั่งเสร็จก็มีเชฟมาทำกันหน้าเก้าอี้ให้เราทานกันเลย กว่าจะหมดเซ็ทก็อิ่มยันเย็นเลยครับงานนี้ ใครอยากรู้ว่าทานเนื้อที่ละลายในปากได้แบบไม่ต้องเคี้ยวเป็นยังไงต้องมาลองทานดูครับ

 

     หลังทานเสร็จก็เดินไปย่าน Kitano ซึ่งเป็นย่านเก่าของชาวต่างชาติที่เดินทางมาค้าขาย ทำธุรกิจที่นี่ เลยมีบ้านสไตล์ยุโรปตั้งอยู่หลายหลังกระจัดกระจายอยู่บริเวณเนินเขาแห่งนี้ จากสถานีต้องเดินไปไกลพอสมควรแถมเป็นทางเดินขึ้นเขาอีกต่างหาก มีเมื่อยครับงานนี้ บ้านพักเหล่านี้บางหลังมีการเปิดให้เข้าชมโดยต้องเสียค่าเข้าชมด้วย

บ้านพักที่อยู่บริเวณลานกว้างด้านบน

     เดินชมกันเพลิน ๆ ก็ต้องกลับไปที่สถานีรถไฟแล้วต่อรถไฟไปลงที่สถานี Kobe เพื่อไปเที่ยวกันต่อที่ย่าน Harbourland ที่นี่มี landmark ของโกเบที่เรียกได้ว่าไม่มาถ่ายรูปถือว่ามาไม่ถึงโกเบนั่นคือ Kobe tower ที่ตั้งอยู่ริมท่าเรือแห่งนี้นั่นเอง

ชิงช้าสวรรค์บริเวณท่าเรือ 

    วันรุ่งขึ้นเราออกเดินทางกันแต่เช้า (รึเปล่า) เพื่อไปชมปราสาทโอซากา วันนี้เราไม่ใช้ KTP เพราะหลังจากนี้เราจะใช้เวลาทั้งวันที่ Universal Studio จากโรงแรมเราเดินมาขึ้น JR Loop Line ที่สถานี Sakuranomiya เพื่อไปลงสถานี Osakajokoen แล้วเดินต่อไปยังปราสาทโอซากา ระยะทางกว่าจะถึงตัวปราสาทค่อนข้างไกลต้องเดินผ่านสวนสาธารณะ ขึ้นสะพานข้ามคูเมืองและผ่านกำแพงชั้นในเข้าไป กว่าจะได้เจอท่านโชกุนเล่นเอาข้าศึกเหนื่อยกันเลย

  

มาถึงแล้วถ่ายภาพหมู่กันหน่อย

     ที่นี่เปิดตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น รอบ ๆ ปราสาทเป็นสวนร่มรื่นด้านนอกเป็นสวนสาธารณะที่มีคนญี่ปุ่นมาวิ่งออกกำลังกายกัน สวนชั้นในส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวที่เข้ามาชมปราสาทและนั่งพักทานอาหารตามร้านที่อยู่ด้านข้าง การเข้าชมภายในตัวปราสาทต้องเสียค่าเข้าชม 600 เยน ด้านในจะมีประวัติความเป็นมา วิธีการสร้างและด้านบนสุดเป็นจุดชมวิว

 

ทริปนี้ถ้าไม่ได้รถเข็นมีแย่ครับ    

     เราเดินกลับมายังสถานีรถไฟ JR Loop line อีกครั้งเพื่อนั่งไปลงสถานี Nishikujo แล้วต่อสาย Yumesaki ไปลงสถานี Universal City ใช่แล้วครับผมจะพาคุณชายไปเที่ยว Universal Studio นั่นเอง เนื่องจากเราคิดว่าคงจะมาเดินเล่นเก็บบรรยากาศเฉย ๆ ไม่ได้จะมาเก็บเครื่องเล่นให้ครบ เลยมาถึงที่นี่ช้าเพราะหลัก ๆ คงจะรอชมขบวนพาเหรดที่จะแสดงตอน 14:30 เลย ที่นี่แบ่งเป็นโซนต่าง ๆ ตามภาพยนตร์ดัง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Spiderman, Minions, Jurassic, Harry Potter, New York, Hollywood, San francisco, Amity village และ Wonderland 

   

มาแล้วไม่ถ่ายตรงนี้ไม่ได้

     เราเดินเล่นมาเรื่อย ๆ และมาทานข้าวเที่ยงกันที่โซน Jurassic อาหารรสชาติดีและออกแบบมาเข้ากับโซนมาก ๆ นั่งทานไปสักพักฝนเจ้ากรรมก็ตกลงมา ขบวนพาเหรดที่เรารอคอยเลยถูกยกเลิกลง พอฝนซาเราเลยไปโซน Harry Potter โดยคิดว่าจะเปลี่ยนที่นั่งเล่นซะหน่อย เคยอ่านไปว่าไม่ต้องไปรับบัตรคิวแล้วสำหรับโซนนี้ แต่ปรากฏว่าวันนี้ต้องรับบัตรคิว แถมรอบที่เราได้เป็นรอบค่ำอีกต่างหาก เซ็งรอบสองสิครับงานนี้  

    

พาสต้าบอกขาแร็บเตอร์กับไข่ทีเร็กซ์

     เราเลยต้องไปนั่งหลบฝนอยู่ในร้านอาหารที่ผู้คนเยอะมากโดยไม่ได้เล่นอะไร เพราะฝนยังตก ๆ หยุด ๆ อยู่กลัวคุณชายจะไม่สบายเอา นั่งพักรอในร้านหามุมให้คุณชายหลับดูจะปลอดภัยกว่า

 

ฝูงชนรอเข้าโซน Harry Potter    

     ปกติจะมีพาเหรดแสงสีตอนช่วงหัวค่ำแต่เพิ่งเปลี่ยนมาเป็น Halloween เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา พอตกค่ำก็จะมีคุณผีหลากหลายแบบทั้งที่เป็นพนักงานและคนเข้างาน แต่งตัวเป็นผีออกมาเดินปะปนกับฝูงคนบนถนน และชุมนุมกันอยู่ตามสี่แยกต่าง ๆ และคอยหลอกให้วัยรุ่นทั้งหลายที่ไม่ทันระวังตัวได้กรี๊ดกร๊าดกัน  งานนี้คุณชายผมก็เลยได้แต่หลบอยู่ตามร้านค้าต่าง ๆ เพื่อรอเวลาเข้าไปโซน Harry เพื่อดูหัวรถไฟไอน้ำที่เราไปโฆษณาไว้

 

 

เดินเจอแบบนี้กลางถนน ท่าจะแย่ครับ

     พอถึงเวลาฝนเจ้ากรรมก็ตกลงมาอีก แต่อุตสาห์รอกันมาก็เข้าไปชมกันหละกัน ภายในจำลองเป็นหมู่บ้านฮอกส์มี้ด ที่มีหิมะปกคลุมและมีปราสาทฮอกวอตส์อยู่ด้านหลัง เป็นวันที่พกดวงเปียกน้ำมาทั้งวันจริง ๆ เก็บภาพแบบเปียกปอนมาฝากกันครับ

Harry Potter แบบเปียก ๆ

     วันรุ่งขึ้นออกไป Osaka Aquarium Kaiyukan ซึ่งตั้งอยู่บริเวณ Santa Maria กันการเดินทางก็นั่งรถไฟใต้ดินสายสีแดงมาลงที่สถานี Hommachi แล้วต่อสายสีเขียวไปลงที่สถานี Osakako เดินไปอีกสัก 2-3 บล็อกก็ถึง

ด้านหน้าตึกที่ใครไปใครมาก็ต้องถ่าย

     ที่นี่ถือว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ทางทะเลที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง เพราะพระเอกของที่นี่คือฉลามวาฬแถมมีตั้ง 2 ตัวด้วยกัน มีปลาทะเลและสัตว์ทะเลหลากหลายสายพันธุ์ให้ชมกัน      ส่วนตัวแล้วผมชอบการออกแบบและจัดการทางเดินของที่นี่ ผมว่าเขาใช้พื้นที่อย่างเต็มประสิทธิภาพจริง ๆ เริ่มต้นด้วยการเดินผ่าน Aqua Gate อุโมงค์ปลาที่มีปลาขนาดย่อม ๆ หลากหลายสายพันธุ์ทั้งปลาฉลาม ปลากระเบน ฯลฯ

ตรงนี้นี่คุณชายขอถ่ายเองเลย

 ด่านแรกอุโมงค์ปลา

     ผ่านอุโมงค์ไปก็จะขึ้นบันไดเลื่อนไปยังดาดฟ้าชั้นบนสุดของตึกที่เป็นส่วนจัดแสดง Japan Forest โดยมีความซนและฉลาดของตัวนากเล็กเป็นตัวชูโรง 

 

 มาถึงตอนให้อาหารพอดี

เดินวนลงมาก็จะเห็นน้ำด้านล่าง

     หลังจากนั้นก็จะเป็นทางเดินวนลงมาชั้นล่างโดยตรงกลางจะเป็นตู้ปลาขนาดใหญ่ที่มีปลาหลายชนิดทั้งปลากระเบน ปลาฉลาม และฉลามวาฬขนาดใหญ่ 2 ตัว โดยด้านข้างก็จะตู้จัดแสดงสัตว์ต่าง ๆ ทั้งแมวน้ำ นกเพนกวิน ฯลฯ ไล่ตามระดับน้ำที่อาศัยอยู่มาเรื่อย ๆ โดยทางออกจะอยู่ด้านล่าง

     

ยืนมองอย่างเพลิดเพลิน

     เราสามารถเรียนรู้จากหนังสือได้ แต่การพาเขาออกมาเห็นของจริง เคลื่อนไหวได้จริง เห็นขนาดจริง ๆ ผมว่าเขาเรียนรู้อะไรได้มากขึ้นอีกเยอะครับ คุณชายชอบฉลามวาฬมาก ยืนดูอยู่นานแถมก่อนกลับยังแวะซื้อ ฉลามวาฬน้อยกลับมานอนกอดที่บ้านอีกต่างหาก     

พระเอกของที่นี่

     ดูจนเสร็จก็ออกเดินทางไปยังนารา เมืองแห่งกวางกันต่อ ต้นทางของรถไฟที่ไปนาราจะเริ่มจากสถานี Namba โดยขึ้นสาย Kintetsu Nara แต่เรามาอยู่ตรงนี้แล้วเราเลยหาทางนั่งรถไฟไปลงสถานีสามารถนั่งสาย Kintetsu Nara ได้เพื่อเป็นการประหยัดเวลา

      จากสถานี Namba จะใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที แล้วเดินต่อไปอีกประมาณ 20 นาทีเพื่อไปยังวัดโทไดจิ อาจจะเหมือนเดินไกลแต่ระหว่างทางจะผ่านสวนสาธารณะของเมืองที่มีกวางทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ออกมาเดินเล่นให้เราชมหรือให้อาหารกัน มีให้เห็นตลอดทางจนถึงหน้าวัดกันเลย สมเป็นเมืองของกวางจริง ๆ

เจอได้ตลอดทาง

ตั้งแต่สถานีรถไฟจนทางเข้าวัด

     วัดโทไดจิเป็นวัดที่มีอาคารไม้ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นที่ประดิษฐานองค์หลวงพ่อโตที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น นอกจากนั้นภายในวัดยังมีเสาไม้ขนาดใหญ่ที่เสาหนึ่งในนั้นมีรูด้านล่าง ที่เชื่อว่าใครสามารถรอดผ่านไปได้จะตรัสรู้ได้ในชาติหน้า นอกจากนี้ที่นี่ยังรูปแกะสลักพระอรหันต์ “Binzuru” ซึ่งเชื่อว่าถ้าลูบบริเวณที่เราเจ็บปวดที่องค์พระแล้วนำมาลูบที่ตัวเองจะหายเจ็บป่วยได้ ค่าเข้าชม 500 เยนส่วนเวลาเปิดปิดเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล

 

อาคารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

องค์หลวงพ่อโต

รูตรงเสาไม้ภายในอาคาร

พระอรหันต์ “Binzuru”

     วันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันสุดท้ายของทริปนี้เราจะไปเกียวโตกัน เช็คเอาท์ตั้งแต่เช้าฝากกระเป๋าแล้วออกเดินทางกัน เมืองนี้ไปมาหลายทีไม่เหมือนกันสักที คราวนี้ก็เช่นกันเราจะไปกันด้วย Shinkansen งานนี้คุณชายล้วน ๆ ครับ เพราะหนึ่งในสิ่งที่เขาชอบตอนนี้คือรถไฟ และในหนังสือก็บอกว่า Shinkansen เป็นรถไฟที่วิ่งได้เร็วที่สุดแบบหนึ่ง พอบอกว่าที่ญี่ปุ่นมีเขาก็เลยอยากเห็น อยากนั่งก็เลยจัดไปครับ ... ขึ้นที่สถานี Shin-Osaka นั่งสถานีเดียวก็ถึงเกียวโตหละ ใช้เวลาเดินทาง 15 นาทีเท่านั้น คุณชายมีแอบบ่นว่าถึงแล้วเหรอ ยังไม่ได้นอนเลย ... 555 ...

มาแล้วรถไฟของเรา

บรรยากาศในรถไฟระหว่างเดินทาง

     หลังจากนั้นก็ไปวัดทองและวัดน้ำใสตามธรรมเนียม ขากลับก็ขึ้นรถไฟจากสถานี            Kawaramachi แถวสะพานข้ามแม่น้ำตรง Gion มุ่งตรงสู่ Umeda เอากระเป๋าและเดินทางไปสนามบินเพื่อกลับเมืองไทย...การเดินทางหมื่นลี้เริ่มต้นด้วยก้าวแรกเสมอ ขอให้มีความสุขและสนุกกับการเดินทางครับ  

 

๒๑-๒๔ กันยายน ๕๙




Create Date : 30 กันยายน 2559
Last Update : 3 ตุลาคม 2559 15:55:05 น. 0 comments
Counter : 1559 Pageviews.  
 
Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

iamnoname
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]





[Add iamnoname's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com