ทริปนี้ถ้าไม่ได้รถเข็นมีแย่ครับ
เราเดินกลับมายังสถานีรถไฟ JR Loop line อีกครั้งเพื่อนั่งไปลงสถานี Nishikujo แล้วต่อสาย Yumesaki ไปลงสถานี Universal City ใช่แล้วครับผมจะพาคุณชายไปเที่ยว Universal Studio นั่นเอง เนื่องจากเราคิดว่าคงจะมาเดินเล่นเก็บบรรยากาศเฉย ๆ ไม่ได้จะมาเก็บเครื่องเล่นให้ครบ เลยมาถึงที่นี่ช้าเพราะหลัก ๆ คงจะรอชมขบวนพาเหรดที่จะแสดงตอน 14:30 เลย ที่นี่แบ่งเป็นโซนต่าง ๆ ตามภาพยนตร์ดัง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Spiderman, Minions, Jurassic, Harry Potter, New York, Hollywood, San francisco, Amity village และ Wonderland
มาแล้วไม่ถ่ายตรงนี้ไม่ได้
เราเดินเล่นมาเรื่อย ๆ และมาทานข้าวเที่ยงกันที่โซน Jurassic อาหารรสชาติดีและออกแบบมาเข้ากับโซนมาก ๆ นั่งทานไปสักพักฝนเจ้ากรรมก็ตกลงมา ขบวนพาเหรดที่เรารอคอยเลยถูกยกเลิกลง พอฝนซาเราเลยไปโซน Harry Potter โดยคิดว่าจะเปลี่ยนที่นั่งเล่นซะหน่อย เคยอ่านไปว่าไม่ต้องไปรับบัตรคิวแล้วสำหรับโซนนี้ แต่ปรากฏว่าวันนี้ต้องรับบัตรคิว แถมรอบที่เราได้เป็นรอบค่ำอีกต่างหาก เซ็งรอบสองสิครับงานนี้
พาสต้าบอกขาแร็บเตอร์กับไข่ทีเร็กซ์
เราเลยต้องไปนั่งหลบฝนอยู่ในร้านอาหารที่ผู้คนเยอะมากโดยไม่ได้เล่นอะไร เพราะฝนยังตก ๆ หยุด ๆ อยู่กลัวคุณชายจะไม่สบายเอา นั่งพักรอในร้านหามุมให้คุณชายหลับดูจะปลอดภัยกว่า
ฝูงชนรอเข้าโซน Harry Potter
ปกติจะมีพาเหรดแสงสีตอนช่วงหัวค่ำแต่เพิ่งเปลี่ยนมาเป็น Halloween เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา พอตกค่ำก็จะมีคุณผีหลากหลายแบบทั้งที่เป็นพนักงานและคนเข้างาน แต่งตัวเป็นผีออกมาเดินปะปนกับฝูงคนบนถนน และชุมนุมกันอยู่ตามสี่แยกต่าง ๆ และคอยหลอกให้วัยรุ่นทั้งหลายที่ไม่ทันระวังตัวได้กรี๊ดกร๊าดกัน งานนี้คุณชายผมก็เลยได้แต่หลบอยู่ตามร้านค้าต่าง ๆ เพื่อรอเวลาเข้าไปโซน Harry เพื่อดูหัวรถไฟไอน้ำที่เราไปโฆษณาไว้
เดินเจอแบบนี้กลางถนน ท่าจะแย่ครับ
พอถึงเวลาฝนเจ้ากรรมก็ตกลงมาอีก แต่อุตสาห์รอกันมาก็เข้าไปชมกันหละกัน ภายในจำลองเป็นหมู่บ้านฮอกส์มี้ด ที่มีหิมะปกคลุมและมีปราสาทฮอกวอตส์อยู่ด้านหลัง เป็นวันที่พกดวงเปียกน้ำมาทั้งวันจริง ๆ เก็บภาพแบบเปียกปอนมาฝากกันครับ
Harry Potter แบบเปียก ๆ
วันรุ่งขึ้นออกไป Osaka Aquarium Kaiyukan ซึ่งตั้งอยู่บริเวณ Santa Maria กันการเดินทางก็นั่งรถไฟใต้ดินสายสีแดงมาลงที่สถานี Hommachi แล้วต่อสายสีเขียวไปลงที่สถานี Osakako เดินไปอีกสัก 2-3 บล็อกก็ถึง
ด้านหน้าตึกที่ใครไปใครมาก็ต้องถ่าย
ที่นี่ถือว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ทางทะเลที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง เพราะพระเอกของที่นี่คือฉลามวาฬแถมมีตั้ง 2 ตัวด้วยกัน มีปลาทะเลและสัตว์ทะเลหลากหลายสายพันธุ์ให้ชมกัน ส่วนตัวแล้วผมชอบการออกแบบและจัดการทางเดินของที่นี่ ผมว่าเขาใช้พื้นที่อย่างเต็มประสิทธิภาพจริง ๆ เริ่มต้นด้วยการเดินผ่าน Aqua Gate อุโมงค์ปลาที่มีปลาขนาดย่อม ๆ หลากหลายสายพันธุ์ทั้งปลาฉลาม ปลากระเบน ฯลฯ
ตรงนี้นี่คุณชายขอถ่ายเองเลย
ด่านแรกอุโมงค์ปลา
ผ่านอุโมงค์ไปก็จะขึ้นบันไดเลื่อนไปยังดาดฟ้าชั้นบนสุดของตึกที่เป็นส่วนจัดแสดง Japan Forest โดยมีความซนและฉลาดของตัวนากเล็กเป็นตัวชูโรง
มาถึงตอนให้อาหารพอดี
เดินวนลงมาก็จะเห็นน้ำด้านล่าง
หลังจากนั้นก็จะเป็นทางเดินวนลงมาชั้นล่างโดยตรงกลางจะเป็นตู้ปลาขนาดใหญ่ที่มีปลาหลายชนิดทั้งปลากระเบน ปลาฉลาม และฉลามวาฬขนาดใหญ่ 2 ตัว โดยด้านข้างก็จะตู้จัดแสดงสัตว์ต่าง ๆ ทั้งแมวน้ำ นกเพนกวิน ฯลฯ ไล่ตามระดับน้ำที่อาศัยอยู่มาเรื่อย ๆ โดยทางออกจะอยู่ด้านล่าง
ยืนมองอย่างเพลิดเพลิน
เราสามารถเรียนรู้จากหนังสือได้ แต่การพาเขาออกมาเห็นของจริง เคลื่อนไหวได้จริง เห็นขนาดจริง ๆ ผมว่าเขาเรียนรู้อะไรได้มากขึ้นอีกเยอะครับ คุณชายชอบฉลามวาฬมาก ยืนดูอยู่นานแถมก่อนกลับยังแวะซื้อ ฉลามวาฬน้อยกลับมานอนกอดที่บ้านอีกต่างหาก
พระเอกของที่นี่
ดูจนเสร็จก็ออกเดินทางไปยังนารา เมืองแห่งกวางกันต่อ ต้นทางของรถไฟที่ไปนาราจะเริ่มจากสถานี Namba โดยขึ้นสาย Kintetsu Nara แต่เรามาอยู่ตรงนี้แล้วเราเลยหาทางนั่งรถไฟไปลงสถานีสามารถนั่งสาย Kintetsu Nara ได้เพื่อเป็นการประหยัดเวลา
จากสถานี Namba จะใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที แล้วเดินต่อไปอีกประมาณ 20 นาทีเพื่อไปยังวัดโทไดจิ อาจจะเหมือนเดินไกลแต่ระหว่างทางจะผ่านสวนสาธารณะของเมืองที่มีกวางทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ออกมาเดินเล่นให้เราชมหรือให้อาหารกัน มีให้เห็นตลอดทางจนถึงหน้าวัดกันเลย สมเป็นเมืองของกวางจริง ๆ
เจอได้ตลอดทาง
ตั้งแต่สถานีรถไฟจนทางเข้าวัด
วัดโทไดจิเป็นวัดที่มีอาคารไม้ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นที่ประดิษฐานองค์หลวงพ่อโตที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น นอกจากนั้นภายในวัดยังมีเสาไม้ขนาดใหญ่ที่เสาหนึ่งในนั้นมีรูด้านล่าง ที่เชื่อว่าใครสามารถรอดผ่านไปได้จะตรัสรู้ได้ในชาติหน้า นอกจากนี้ที่นี่ยังรูปแกะสลักพระอรหันต์ Binzuru ซึ่งเชื่อว่าถ้าลูบบริเวณที่เราเจ็บปวดที่องค์พระแล้วนำมาลูบที่ตัวเองจะหายเจ็บป่วยได้ ค่าเข้าชม 500 เยนส่วนเวลาเปิดปิดเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล
อาคารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
องค์หลวงพ่อโต
รูตรงเสาไม้ภายในอาคาร
พระอรหันต์ Binzuru
วันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันสุดท้ายของทริปนี้เราจะไปเกียวโตกัน เช็คเอาท์ตั้งแต่เช้าฝากกระเป๋าแล้วออกเดินทางกัน เมืองนี้ไปมาหลายทีไม่เหมือนกันสักที คราวนี้ก็เช่นกันเราจะไปกันด้วย Shinkansen งานนี้คุณชายล้วน ๆ ครับ เพราะหนึ่งในสิ่งที่เขาชอบตอนนี้คือรถไฟ และในหนังสือก็บอกว่า Shinkansen เป็นรถไฟที่วิ่งได้เร็วที่สุดแบบหนึ่ง พอบอกว่าที่ญี่ปุ่นมีเขาก็เลยอยากเห็น อยากนั่งก็เลยจัดไปครับ ... ขึ้นที่สถานี Shin-Osaka นั่งสถานีเดียวก็ถึงเกียวโตหละ ใช้เวลาเดินทาง 15 นาทีเท่านั้น คุณชายมีแอบบ่นว่าถึงแล้วเหรอ ยังไม่ได้นอนเลย ... 555 ...
มาแล้วรถไฟของเรา
บรรยากาศในรถไฟระหว่างเดินทาง
หลังจากนั้นก็ไปวัดทองและวัดน้ำใสตามธรรมเนียม ขากลับก็ขึ้นรถไฟจากสถานี Kawaramachi แถวสะพานข้ามแม่น้ำตรง Gion มุ่งตรงสู่ Umeda เอากระเป๋าและเดินทางไปสนามบินเพื่อกลับเมืองไทย...การเดินทางหมื่นลี้เริ่มต้นด้วยก้าวแรกเสมอ ขอให้มีความสุขและสนุกกับการเดินทางครับ
๒๑-๒๔ กันยายน ๕๙