Group Blog
 
 
ธันวาคม 2557
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
29 ธันวาคม 2557
 
All Blogs
 

My bad guy - หนียังไงก็ใช่เธอ! @ 48 @ ตัดสินใจ (ตัวอย่างเล่ม 3 ค่ะ)




สาวสวยในชุดราตรียาวสีม่วงเข้มเปลือยไหล่ข้างหนึ่งที่ยืนอยู่ในกลุ่มเดียวกับหม่อมปรียานุชดูเหมือนจะโดดเด่นเป็นที่สนอกสนใจของบรรดาแขกเหรื่อมากกว่าเจ้าของวันเกิดเสียอีก แขกคนล่าสุดของงานจึงมองหาเป้าหมายได้ไม่ยากเลย

พีรภัทร์ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ และตรงเข้าไปหาเจ้าของวันเกิดพร้อมกล่องของขวัญ รอยยิ้มมีเสน่ห์ปรากฏบนริมฝีปากได้รูปชวนมอง

“สวัสดีครับหม่อม วันนี้คุณแม่ไม่ค่อยสบาย ผมจึงนำของขวัญมามอบแทน ขอให้หม่อมมีความสุขมากๆ สุขภาพแข็งแรงตลอดไปนะครับ”

พิริมาเหลือบมองผู้มาใหม่ แล้วก็ชะงักชั่วอึดใจ นึกถึงคำว่า ‘ธุระด่วน’ ของผู้จัดการส่วนตัว พลันความเข้าใจทุกอย่างก็กระจ่างชัดในบัดดล คงเป็นคำสั่งของคุณหญิงพรรณรายอีกตามเคย

“ขอบใจมากนะจ๊ะ ว่าแต่คุณมณีไม่สบายเป็นอะไรมากรึเปล่า” เจ้าของวันเกิดทักทายชายหนุ่มรุ่นหลานด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส รับของขวัญจากอีกฝ่ายมาส่งให้เด็กนำไปเก็บ

“เวียนหัวนิดหน่อยครับ ช่วงนี้คุณแม่ต้องวุ่นวายกับอะไรหลายอย่างทำให้มีเวลาพักผ่อนน้อย นอนพักเยอะๆ ก็คงจะดีขึ้น” ปากตอบคำถามเจ้าของวันเกิด หากดวงตากลับจ้องคู่หมั้นสาวเสียมากกว่า

หม่อมปรียานุชอมยิ้ม เอ่ยราวกับเข้าไปนั่งอยู่ในใจคุณหญิงพรรณรายและคุณมณี “คุณหญิงกับคุณมณีนี่ตัวดีนักเชียว สงสัยจะนัดกันป่วยซะละมั้ง เชิญตามสบายนะจ๊ะ ฉันขอตัวไปรับแขกทางด้านโน้นก่อน”

เจ้าของวันเกิดทิ้งคู่รักคนดังไว้ตามลำพัง พีรภัทร์จึงหันมามองหญิงสาวอย่างเต็มตา ขณะที่พิริมาเมินหน้าหนีในเวลาไล่เลี่ยกัน

เขาลอบถอนใจ เอ่ยถามเสียงเรียบ “คุณจะกลับรึยัง?”

หญิงสาวหันกลับมาเผชิญหน้าคู่หมั้นด้วยแววตาเย็นชา “ค่ะ พรุ่งนี้ฉันมีงานแต่เช้า”

ว่าแล้วก็เดินผ่านหน้าเขาไปโดยไม่เหลียวหลัง

ชายหนุ่มกลอกตา เดินตามร่างเพรียวระหงออกไปหน้างานโดยไม่เร่งรีบนัก แต่พอเห็นพิริมาโบกมือเรียกแท็กซี่ก็ขมวดคิ้ว ก้าวเร็วแทบเป็นวิ่ง ในจังหวะที่หญิงสาวเปิดประตูรถและกำลังจะเป็นลูกค้าของแท็กซี่คันนั้นเขาก็ตามไปรั้งเรียวแขนกลมกลึงเอาไว้ได้ทัน

“คุณจะทำอะไร?” เขาเอ่ยถามเสียงเข้ม สีหน้าไม่พอใจชัดเจน

เธอสะบัดแขนพร้อมถอนใจยาว ย้อนถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดไม่ปิดบัง “ก็กลับบ้านไงคะ คุณมีธุระอะไรกับฉันอย่างนั้นเหรอ”

“คุณน่าจะรู้ดีว่าทำไมคืนนี้ทั้งคุณย่าของคุณและแม่ผมถึงได้เกิดจะไม่สบายขึ้นมาพร้อมกัน รู้แล้วยังจะทำแบบนี้อีกทำไม หรือคุณจะบอกว่าไม่รู้?”

พิริมากลอกตาเซ็ง “บอกตรงๆ นะคะ ตอนแรกฉันก็ไม่รู้ มารู้จริงๆ ก็ตอนที่เห็นคุณโผล่มานั่นแหละ แล้วยังไงคะ รู้หรือไม่รู้เหตุการณ์จะเปลี่ยนไปยังไง ในเมื่อเราต่างก็รู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร ฉันว่าคุณอย่าทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากดีกว่า ถอยไปเถอะ ฉันจะกลับแล้ว ถ้าคุณไม่อยากให้คนอื่นเมาท์กันสนุกปากก็ควรจะรีบกลับเหมือนกัน”

คราวนี้เขาไม่ถามอะไรอีก ควักตังค์ในกระเป๋าส่งให้คนขับแท็กซี่ชดเชยค่าเสียเวลา “ขอโทษที่ทำให้เสียเวลานะครับ”

แล้วเขาก็ปิดประตูรถก่อนจะรั้งหญิงสาวให้เดินตามด้วยแรงที่มากกว่า พิริมาดิ้นรนสักพักก็ยอมแพ้ ก้าวตามร่างสูงไปแม้ไม่เต็มใจ หากเธอจะทำอย่างไรได้ในเมื่ออีกฝ่ายไม่เคยคิดที่จะ ‘หยุด’ และ ‘ฟัง’ ความต้องการของเธอแม้แต่ครั้งเดียว

หญิงสาวพยายามนั่งนิ่งโดยไม่ปริปากในตำแหน่งตุ๊กตาหน้ารถที่เธอไม่เคยปรารถนา กระทั่งยานพาหนะที่โดยสารมาเลี้ยวเข้าไปในโรงแรมหรูใจกลางกรุง เธอก็ขมวดคิ้ว หันไปจ้องคนขับที่ยังปั้นหน้าเคร่งได้เสมอต้นเสมอปลาย

“คุณมาที่นี่ทำไม?”

เขายังคงนิ่ง กระทั่งพาเธอไปถึงชั้นที่ใช้เป็นลานจอดรถโดยเฉพาะ ดับเครื่องแล้วหันมาตอบคำถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย “คุณคิดว่าที่คุณย่าของคุณกับแม่ผมต้องการให้เราเจอกันคืนนี้เป็นเพราะอยากให้ผมขับรถไปส่งคุณที่บ้านแค่นั้นเหรอ?”

พิริมาเม้มปากแน่น ขณะที่อีกฝ่ายก้าวลงไปยืนข้างรถเรียบร้อยแล้ว เธอมองแผ่นหลังกว้างอย่างหนักใจ ลังเลว่าควรจะต่อต้านเขาต่อไปหรือทำทุกอย่างตามที่เขาต้องการ หรือหากจะพูดให้ถูกคือทำตามที่ผู้ใหญ่ต้องการ เพื่อให้ภารกิจในคืนนี้เสร็จสิ้นลงโดยเร็ว ยังไม่ทันได้คำตอบ เขาก็ช่วยตัดสินใจด้วยการเปิดประตูรถให้ สายตาเร่งเร้าแกมบังคับให้เธอลงไป หญิงสาวเหลือบมองคนตัวสูงนิด ก่อนลงจากรถอย่างไม่มีทางเลี่ยง

พีรภัทร์ปิดประตูรถแล้วกดล็อก ก่อนจะหันมาฉวยมือบางไปกุมไว้หน้าตาเฉย หญิงสาวตกใจ มองเขาตาโตและพยายามดึงมือกลับ แต่ชายหนุ่มไม่ยอมปล่อย

“คุณจะทำอะไรอีกเนี่ย?”

“ก็ดินเนอร์มื้อหรูกับคู่หมั้น มันแปลกตรงไหนครับ”

พิริมาฉุนกึก เกลียดคำว่า ‘ครับ’ ของผู้ชายคนนี้จับใจ “คุณต้องทำในสิ่งที่ผู้ใหญ่สั่งทุกอย่างเลยรึไง เฉยบ้างก็ได้นะคะ ไม่มีใครตามเรามาซักหน่อย แล้วฉันก็ไม่หิวด้วย อยากกลับบ้านมากกว่า”

เขาหยุดเดิน หันมาจ้องตาเธอ “คุณรู้ได้ยังไงว่าไม่มีใครตามเรามา?”

หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะหันซ้ายหันขวา มองหาผู้ติดตามที่เขาพูดถึง ยังไม่เห็นใครอยู่แถวนั้นสักคนก็ถูกอีกฝ่ายรวบเอวพาเข้าไปด้านในโดยไม่ทันตั้งตัว พอจะโวยวายพนักงานสาวของโรงแรมก็เดินสวนมาพอดีพร้อมก้มศีรษะส่งยิ้มมาทักทายทำให้เธอไม่มีโอกาสต่อว่าเขาอย่างใจนึก กระทั่งถูกพาตัวมาถึงโต๊ะอาหารที่จองไว้นั่นละ เธอถึงได้รู้ว่าเขาหมายถึงใคร

นีน่ายิ้มร่าเดินนำนักข่าวสาวรุ่นเก๋าที่เคยวาดลวดลายสร้างกระแสข่าวให้คนดังมานักต่อนักแล้ว มุ่งตรงเข้ามาขอถ่ายรูปคู่รักคนดังที่กำลังจะเข้าสู่ประตูวิวาห์ในเวลาไม่ถึงเดือน

“พี่แก้วอยากขอถ่ายรูปและสัมภาษณ์เล็กๆ น้อยๆ ไปทำสกู๊ปข่าวงานแต่งที่กำลังจะจัดขึ้นค่ะ พี่นีน่าก็บอกไปแล้วว่าช่วงนี้ทั้งสองคนงานชุกมาก แต่พอดีเห็นว่าวันนี้มีนัดออกมาดินเนอร์หวานๆ กัน พี่นีน่าเลยถือโอกาสเชิญพี่แก้วมาสัมภาษณ์แบบเป็นกันเองที่นี่ จะได้ไม่ต้องเสียเวลานัดทั้งคุณพีร์และน้องพรีมให้ยุ่งยากมากความนะคะ นานๆ จะมีเวลาหวานกันทีก็ให้พี่แก้วเก็บภาพแบบเป็นส่วนตัวไปด้วยเลย จะได้ช่วยยืนยันให้คนทั้งประเทศเข้าใจว่าคนดังมีเวลาน้อย แต่ก็ใช่ว่าจะขาดความหวานซะทีเดียวเนอะ”

นีน่าชี้แจงด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ถ้อยคำเป็นธรรมชาติราวกับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนี้คือเรื่องปกติของพีรภัทร์กับพิริมา ไม่ใช่การจัดฉากแต่อย่างใด

“ขอรบกวนเวลานิดนึงนะคะน้องพรีม ที่จริงพี่ก็อยากนัดสัมภาษณ์ให้เป็นเรื่องเป็นราว แต่ติดต่อน้องนีน่าไปทีไรก็บอกว่าน้องพรีมไม่มีคิวว่างตลอด คุณพีร์ยิ่งแล้วใหญ่ ตามตัวยากด้วยกันทั้งคู่ คราวนี้ถือว่าเป็นโอกาสดีจริงๆ ที่ได้มาเห็นกับตาว่าทั้งสองคนก็มีมุมหวานๆ กับเขาเหมือนกัน ยังไงพี่ขอรบกวนหน่อยนะคะ” นักข่าวสาวรุ่นดึกว่าพร้อมรอยยิ้มตื่นเต้น

เธอเป็นคนแรกที่มีโอกาสเก็บภาพบรรยากาศส่วนตัวระหว่างหนุ่มสาวคนดังคู่นี้ ภาพและข่าวจะช่วยยืนยันความสัมพันธ์ของทั้งสองคนได้เป็นอย่างดีว่างานแต่งคราวนี้เกิดขึ้นจากความรัก และหนังสือของเธอจะเป็นฉบับเดียวที่มีทั้งบทสัมภาษณ์และภาพข่าวแบบเป็นส่วนตัวไปวางขายบนแผงหนังสือ

พีรภัทร์ยิ้มรับด้วยสีหน้าเป็นปกติ ส่วนคู่หมั้นสาววางสีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่เข้าใจสถานการณ์ นีน่าจึงเดินมากระซิบให้ได้ยินกันเพียงสองคน

“จำได้มั้ยคะน้องพรีม เดอะโชว์มัสโกออนค่ะ”

แม้จะรู้สึกเจ็บใจที่ถูกผู้จัดการส่วนตัวทำเหมือนหักหลังเธออยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่หญิงสาวก็เข้าใจว่าควรวางตัวเช่นไร ริมฝีปากอิ่มจึงคลี่ยิ้มออกมาได้สำเร็จทั้งที่ในใจรู้สึกตรงกันข้าม

การเป็นคนของประชาชนทำให้รู้ว่าการสร้างภาพมีความจำเป็นต่ออาชีพของเธอมากแค่ไหน และมันก็แทรกซึมเป็นส่วนหนึ่งในการทำงานโดยไม่รู้ตัว แต่ถึงกระนั้นหญิงสาวก็ยังอดสะท้อนใจไม่ได้ แม้แต่เรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต เธอยังต้องรวมมันไว้กับคำว่า ‘งาน’ อย่างแยกกันไม่ออก!

หลังการเก็บภาพแบบเป็นส่วนตัวและตอบบทสัมภาษณ์ที่ไม่ยาวไปกว่าสิบคำถามจบลง นีน่าก็ยิ้มหวาน “คงไม่ดีถ้าพี่นีน่าจะรอน้องพรีม ถ้ายังไงขอฝากน้องพรีมไว้กับคุณพีร์เลยแล้วกันนะคะ ส่วนพี่นีน่าต้องขอตัวกลับพร้อมพี่แก้ว จะได้ไม่รบกวนเวลาหวานของทั้งสองคน”

พูดจบก็หันไปพยักพเยิดกับเกตแก้วให้ลุกขึ้น ตอนนี้ภารกิจเสร็จสิ้น!

“ไม่ต้องห่วงครับ ยังไงคืนนี้ผมก็ไปส่งพรีมถึงบ้านก่อนเที่ยงคืนแน่ๆ เดินทางดีๆ นะครับ” พีรภัทร์เอ่ยลาพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ อย่างน่ามอง

เกตแก้วยิ้มระรื่น แซวอย่างล้อเลียน “แหม...จะอยู่นานกว่าเที่ยงคืนก็คงไม่มีใครกล้าตำหนิคุณพีร์หรอกค่ะ ว่าที่เจ้าสาวสวยน่ารักออกขนาดนี้ เป็นใครก็ต้องอยากอยู่ด้วยนานๆ เชื่อว่าคุณหญิงพรรณรายต้องเข้าใจว่าที่หลานเขยคนโตแน่นอน จริงไหมคะน้องพรีม”

พิริมายิ้มเย็น “อันนี้พี่แก้วคงต้องถามคุณพีร์เองแล้วละค่ะ พรีมตอบแทนใครไม่ได้หรอก”

เกตแก้วชะงัก รู้สึกแปลกๆ กับน้ำเสียงเยือกเย็นของนางแบบสาว นีน่าจึงรีบกู้สถานการณ์โดยไว

“แต่อาจจะต้องยกเว้นไว้คนนึงนะคะน้องพรีมขา ยังไงซะตอนนี้ไม่ว่าน้องพรีมจะชี้อะไร คุณพีร์ก็ต้องเห็นเป็นสิ่งนั้นอยู่แล้ว จริงไหมคะคุณพีร์ขา”

ชายหนุ่มมองสบสายตาลุ้นๆ ของนีน่า ก่อนหันไปส่งยิ้มเก๋ให้เกตแก้ว ขณะที่มือใหญ่ก็เอื้อมไปกุมมือเล็กของคู่หมั้นสาวให้อีกสองคนเห็นด้วย แล้วตอบคำถามด้วยเสียงนุ่มทุ้มน่าฟัง “แน่นอนสิครับ ไม่ว่าพรีมจะว่าอะไร ผมก็ว่าตามนั้น ตอนนี้ชีวิตของผมอยู่ในกำมือของพรีมแล้ว จริงไหมครับ?”

ท้ายประโยคเขายังโน้มใบหน้าเข้าไปเกือบชิดพวงแก้มอิ่มของคู่หมั้นสาว ส่งผลให้แก้มนวลร้อนผ่าว แดงระเรื่อขึ้นมาทันตา เข้าใจว่าพีรภัทร์กำลังแสดงละคร แต่มันช่วยไม่ได้ที่คำพูดและการกระทำอันสนิทสนมนั้นจะทำให้เธอรู้สึกอะไรบางอย่าง อาจไม่ใช่ความรู้สึกเดียวกับผู้หญิงที่ถูกชายคนรักเกี้ยวพา หากก็ต้องยอมรับว่า ‘ความโกรธ’ ก็ทำให้คนเราหน้าแดงได้เหมือนกัน เธอชักมือกลับพร้อมขยับห่างจากร่างสูงด้วยความไม่พอใจ

นีน่ามองภาพนั้นแล้วยิ้มโล่ง ไม่ว่าแก้มของพิริมาจะแดงด้วยเหตุใด แต่ตอนนี้ขอเพียงเกตแก้วเข้าใจว่ามันคือความขัดเขินเป็นใช้ได้ หันไปทำเสียงล้อเลียนกับชายหนุ่มเพื่อต่อยอดความเข้าใจของเกตแก้วให้ชัดเจนขึ้น

“แหม...น้อยๆ หน่อยก็ได้ค่ะคุณพีร์ ดูสิ น้องพรีมเขินจนหน้าแดงใหญ่แล้ว งั้นเรารีบไปกันดีกว่านะคะพี่แก้ว ถือว่าเห็นใจคุณพีร์ค่ะ”

เกตแก้วอมยิ้มคล้อยตาม รีบกล่าวลาและจากไปพร้อมผู้จัดการสาวประเภทสองของพิริมา ไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์ในวันนี้แท้จริงเป็นเพียงการจัดฉากของคุณหญิงพรรณรายกับคุณมณีโดยมีนีน่าเป็นผู้ดำเนินการแทนเท่านั้น

“คงต้องรอซักพัก ไม่งั้นคนอื่นจะสงสัย คุณจะสั่งอะไรเพิ่มไหม”

ชายหนุ่มเอ่ยถามคนที่นั่งเชิดหน้าอยู่ข้างกัน ขณะที่ตาคมกวาดมองไปทั่วห้องอาหารระดับห้าดาวของโรงแรมหรู เพื่อตรวจตราดูว่ามีใครให้ความสนใจโต๊ะของเขามากเป็นพิเศษหรือไม่ หากมีจะได้ปั้นหน้าแสดงละครกันต่อไป แต่หากไม่จะได้กลับมาเป็นตัวของตัวเองเสียที

หญิงสาวลอบถอนใจด้วยความเบื่อหน่ายมากกว่าครั้งไหนๆ ก่อนหันไปพูดกับเขาดีๆ หวังว่าชายหนุ่มจะเข้าใจและเห็นใจเธอบ้าง “ฉันอยากกลับบ้านมากกว่า คุณไม่รู้สึกบ้างเหรอคะว่าเราไม่ควรโกหกต่อไป ฉันไม่อยากตกอยู่ในสภาพนี้จนตาย คุณเองก็ไม่มีความสุขเหมือนกัน ทำไมเราไม่ทำอะไรซักอย่างล่ะ อย่างน้อยตอนนี้เราก็ยังมีโอกาสนะคะ”

เขาเหลือบมองไปทั่วร้านอีกครั้ง ก่อนจะโบกมือให้บริกรมาเช็กบิลเพื่อจะได้ออกไปจากที่นี่เสียที ไปก่อนที่เขาจะโมโหจนขาดสติและทำอะไรลงไปโดยไม่ยั้งคิด

พิริมาเห็นดังนั้นก็ค่อยยิ้มออกบ้าง เข้าใจว่าชายหนุ่มเริ่มคล้อยตามเธอแล้ว บางทีเธออาจมีทางเลือกใหม่ แม้มันจะไม่ได้ดีไปกว่าทางเลือกเดิมมากมายนัก หากก็ยังดีกว่าแต่งงานใช้ชีวิตอยู่กับคนไร้หัวใจอย่างเขาไปจนตายไม่ใช่หรือ

เดิมทีเธอคิดว่าชื่อเสียงหน้าตาคือทั้งหมดของชีวิตจึงยอมถลำตัวมาไกลถึงขั้นนี้ แต่เมื่อยิ่งฝืนเดินไปข้างหน้ามากเท่าไร เธอก็ยิ่งพบแต่ความทุกข์ใจและเจ็บปวดมากเท่านั้น เธอไม่อยากใช้ชีวิตแบบนี้ไปจนตาย ไม่อยากอดทนกับความรู้สึกที่ว่าตัวเองไร้ค่าสิ้นดีในสายตาของผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้นและกำลังจะมาเป็นสามีของเธอ

เธอไม่อยากอยู่อย่างไร้ศักดิ์ศรีอีกต่อไปแล้ว เขาเองก็ไม่ควรต้องมาทนใช้ชีวิตกับผู้หญิงที่ไม่มีใจให้เช่นกัน การดันทุรังจะรักษาชื่อเสียงหน้าตา ซึ่งนำพาแต่ความทุกข์ทรมานใจมาให้ ไม่เป็นผลดีต่อใครเลย เธอควรจะหยุดมันเสียที

เมื่อออกมาจากร้านอาหารพีรภัทร์ก็ลากกึ่งจูงหญิงสาวไปที่รถโดยไม่พูดอะไรสักคำ พิริมาเริ่มใจคอไม่ดี สีหน้าท่าทางของเขาเย็นชาเกินกว่าที่เธอจะหลอกตัวเองต่อไปได้ว่าอีกฝ่ายมีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ท่าทางแบบนี้เหมือนคนกำลังโมโหและเก็บกลั้นความรู้สึกนั้นเอาไว้เพื่อรอการระบายออกอย่างรุนแรงมากกว่า

“คุณจะพาฉันไปไหน?” หญิงสาวเอ่ยถามเมื่อค่อนข้างแน่ใจในเซนส์ของตัวเอง

“ขึ้นรถ!” เขาไม่ตอบแต่สั่งเสียงเฉียบ

เพียงเขามองมาด้วยสายตาเย็นเยียบเท่านั้นหญิงสาวก็ปิดปากเงียบ ทำตามที่ชายหนุ่มต้องการโดยดี เธอเรียนรู้ด้วยตัวเองแล้วว่าเวลาพีรภัทร์โกรธ ไม่ควรยั่วโมโหเขาอีก

พิริมานั่งภาวนาตลอดทางว่าขอให้ไปถึงที่หมายโดยปลอดภัย เนื่องจากคนขับรถไม่พูดไม่จา หน้าตาเคร่งเครียด แถมยังเหยียบเอาๆ ไม่รู้ว่ามิดคันเร่งหรือเปล่า แต่เธอรู้สึกเหมือนกำลังนั่งรถไฟฟ้าสายเร็วที่สุดในญี่ปุ่นก็ไม่ปาน จนเมื่อยานพาหนะที่โดยสารมาจอดสนิทอยู่หน้าบ้านศุภกุลนั่นแหละ เธอจึงค่อยหายใจหายคอได้สะดวกหน่อย

“ผมขอเตือนคุณเป็นครั้งสุดท้ายนะพิริมา” พีรภัทร์เอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากเงียบชวนขวัญผวามานาน

สายตาของเขามองตรงไปข้างหน้าแต่พิริมากลับรู้สึกว่าเขามองเห็นทุกความเคลื่อนไหวของเธอ มองได้ลึกล้ำทะลุเข้าไปถึงความหวาดหวั่นในหัวใจของเธอเลยทีเดียว

“เรื่องของเรามันมาไกลเกินกว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้ว ตอนนี้คนทั้งประเทศรู้ว่าคุณคือคู่หมั้นของผม และเราก็กำลังจะแต่งงานกันในอีกไม่กี่วัน ผมจะไม่ยอมให้มีอะไรผิดพลาดเป็นอันขาด”

เขาเว้นระยะแล้วหันมาจ้องตาเธอ พิริมากะพริบตามองชายหนุ่มด้วยสีหน้าหวั่นๆ เผลอจิกเล็บลงกับเนื้อตัวเอง เจ็บจี๊ดจนสะดุ้งเลยทีเดียว

มือใหญ่แตะใบหน้างามไว้ บังคับให้เธออยู่นิ่งๆ ข่มขู่ทั้งด้วยสายตาเข้มขุ่นและน้ำเสียงเคร่งเครียด “ฉะนั้นคุณเลิกคิดต่อต้านได้แล้ว ยังไงเราสองคนก็ต้องแต่งงานกัน เข้าใจนะครับ”

ใบหน้าคมคายโน้มเข้าไปใกล้ใบหน้างามจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นซ่านและกลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวเธอ เขาไม่แน่ใจว่าเป็นกลิ่นน้ำหอมหรือผิวกายของพิริมากันแน่ จมูกโด่งอยู่ห่างจากแก้มนวลเพียงน้อยนิด เธอผงะถอยไปจนแผ่นหลังติดประตูแล้วหลับตาปี๋ ไม่รู้ว่ามีความรู้สึกอื่นใดแทรกปนด้วยหรือไม่ หากผิวแก้มนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อชวนมอง

นิ้วแข็งแรงไล้แก้มนวล แสดงความเป็นเจ้าของ กระซิบบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาทว่าจริงจัง ตอกย้ำความเข้าใจของเธอให้ชัดเจนที่สุด “อย่าให้ผมต้องทำอะไรข้ามขั้นตอน เพียงเพราะต้องการมั่นใจว่างานแต่งคราวนี้จะไม่มีอะไรผิดพลาด ผมไม่ได้ขู่ และนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ ที่ผมจะเตือนคุณด้วยคำพูด”

หญิงสาวลืมตาโพลง แม้จะตื่นตระหนกกับคำขู่ของเขาจนแทบลืมหายใจ แต่ความโมโหก็พุ่งปรี๊ดทะลุปรอทจนเธอรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงปรอทแตกโพละ

มันจะมากเกินไปหน่อยแล้ว เขามีสิทธิ์อะไรมารั้งเธอไว้ด้วยการแต่งงาน ในเมื่อตัวเขาเองก็ยังไม่พร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่กับใคร แล้วทำไมต้องมาทำร้ายเธอด้วย ผู้ชายร้ายกาจ คนเห็นแก่ตัว!

ดวงตาคู่สวยลุกวาวด้วยไฟโทสะ ผลักอกคนตัวโตออกห่าง หากไม่เป็นผลสักนิด ยิ่งเธอต่อต้านเขาก็ดื้อรั้นดึงดันจะเอาชนะ สองแขนรวบเอวบางเข้าไปชิดอกจนแทบขยับไม่ได้ ยิ่งดิ้นรนก็ยิ่งแนบชิดจนเธอต้องยอมแพ้ สะกดอารมณ์ที่เดือดพล่านเอาไว้และอยู่นิ่งๆ ได้ในที่สุด

เมื่อเธอหยุดดิ้น เขาก็อมยิ้ม พึงพอใจ กระซิบท้าทายด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้นอย่างไร้เหตุผล “ถ้าอยากจะลองพิสูจน์ดูก็ได้นะ ผมรับรองว่าคุณจะไม่ผิดหวังเลย”

ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่น ไม่มองหน้าเขา กัดฟันบอกเสียงแข็ง “ฉันเข้าใจแล้ว ปล่อย!”

“ขอให้จริงเถอะ ผมเตือนก่อนนะว่าไม่ได้ขู่ คุณรู้จักผมมากพอจะไม่ท้าทายใช่ไหม”

เขากระตุกยิ้มมุมปาก ปล่อยมือจากเอวบาง กลับมานั่งในท่าเดิม แล้วปลดล็อกให้หญิงสาวเปิดประตูได้

เธอคว้ากระเป๋าถือแล้วรีบลงจากรถ ก้าวฉับๆ ไปที่หน้าประตูรั้ว แต่ยังไม่ทันได้กดออดก็มีคนตัดหน้าเสียก่อน คู่หมั้นของเธอนั่นเอง เขาลงมายืนรอเป็นเพื่อนด้วยเจตนาใดก็ช่าง หากนั่นก็ไม่ได้ทำให้ผู้ชายคนนี้ดูดีขึ้นในสายตาของพิริมา ใบหน้างามเชิดน้อยๆ ยืนรออยู่ตรงนั้นโดยไม่หันไปมองหน้าเขาอีก

อย่าไปใส่ใจ เขากำลังจะกลายเป็นอดีต และเธอไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด เขาบังคับให้เธอทำแบบนี้เอง!

หญิงสาวบอกตัวเองอย่างเด็ดเดี่ยว ตั้งมั่นอยู่บนการตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยความเข้มแข็ง

พีรภัทร์รอกระทั่งมีคนมาเปิดประตูให้พิริมาจึงค่อยกลับขึ้นรถแล้วขับออกไปอย่างไร้จุดหมาย เขาเองก็ไม่แน่ใจว่ากำลังทำอะไรอยู่ รู้เพียงว่าสิ่งที่ทำลงไปคือการเหนี่ยวรั้งผู้หญิงคนหนึ่งเอาไว้ ผูกชีวิตของเขาและเธอไว้ด้วยการแต่งงาน

ในคราวแรกเขาเคยบอกตัวเองว่าจะเป็นใครก็ได้ นั่นเพราะไม่คิดว่าจะสามารถรักใครได้อีกแล้ว แต่หากคิดว่าเป็นใครก็ได้แล้วทำไมเขาต้องเหนี่ยวรั้งคนที่ไม่เต็มใจอย่างพิริมาเอาไว้ด้วย เหตุใดเขาถึงไม่ยอมเปิดใจ มองหาใครสักคนที่พร้อมสำหรับเขาจริงๆ

ตอนนี้เขาเองก็ชักจะไม่มั่นใจ เหตุผลที่รั้งพิริมาเอาไว้คืออะไรกันแน่?



อีกเพียงสองสัปดาห์ก็จะถึงวันแต่งงานของพิริมา แต่หญิงสาวยังรับงานเดินแบบและถ่ายแบบไปจนถึงสัปดาห์สุดท้ายก่อนสละโสด นีน่าต้องนำชุดฟินาเล่ซึ่งหญิงสาวเป็นคนสวมใส่ในงานเดินแบบที่เพิ่งจะเสร็จสิ้นในคืนนี้ไปคืนเจ้าของห้องเสื้อ หากดวงตาว่องไวไม่แพ้นักข่าวหัวเห็ดเหลือบเห็นใครบางคนที่ก้าวเร็วๆ ไปกดลิฟต์ด้วยท่าทีรีบร้อนจนน่าสงสัย หล่อนคงไม่ติดใจอะไรนักหากแม่สาวคนนั้นไม่ใช่พิริมา

สาวเทียมร่างใหญ่รีบกวักมือเรียกสาวน้อยนางหนึ่งซึ่งเป็นพนักงานของห้องเสื้อที่ว่าจ้างให้พิริมามาร่วมเดินแบบในคืนนี้ ฝากฝังให้นำชุดไปคืนผู้เป็นเจ้าของแล้วรีบตามนางแบบสาวไป แต่ประตูลิฟต์ที่หญิงสาวกดเรียกนั้นปิดลงก่อนที่หล่อนจะไปถึง นีน่าจ้องดูตัวเลขดิจิทัลสีแดงที่กะพริบอยู่เหนือประตูบานคู่ เมื่อตัวเลขหยุดกะพริบหล่อนก็ต้องทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

“บอกให้เราไปรอที่ร้านกาแฟ แล้วนั่นน้องพรีมไปทำอะไรที่ลานจอดรถนะ?”

หล่อนนึกสงสัยและกดเรียกลิฟต์อีกตัวทันที เมื่อประตูเปิดออกก็ก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็วและเลือกจุดหมายปลายทางที่เดียวกับนางแบบสาวโดยไม่ลังเล

พิริมาใกล้จะแต่งงานแล้ว ข่าวก็ประโคมกันเกรียวกราวทั้งเรื่องงานและความหวานของว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวตามใบสั่งของคุณหญิงและว่าที่แม่สามีของพิริมา หล่อนได้รับหน้าที่ให้ตามดูแลหญิงสาวแบบก้าวต่อก้าวจึงไม่อยากปล่อยให้อะไรก็ตามเล็ดลอดสายตาไปได้

เมื่อมาถึงชั้นจอดรถของโรงแรม สายตาก็สอดส่ายหาเป้าหมายขณะก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง พอได้ยินเสียงคนพูดคุยกันเบาๆ ก็เงี่ยหูฟังเต็มที่พร้อมกวาดสายตามองหาต้นเสียงจนพบ ตอนนั้นเองที่หล่อนต้องเบิกตากว้างแล้วรีบหาที่กำบังตามสัญชาตญาณ

คนที่หล่อนแอบตามมากำลังเจรจาอะไรบางอย่างอยู่กับรสิตา นางแบบสาวที่ไม่เคยมองว่าพิริมาคือเพื่อนร่วมอาชีพ ด้วยความสงสัยจนถึงที่สุดนีน่าจึงกระเถิบเข้าไปใกล้อีกหน่อยเพื่อจะได้ฟังถนัดว่าสองคนนั้นพูดคุยกันเรื่องใด นึกสงสัยว่าเรื่องแบบไหนกันที่พิริมาไม่ยอมบอกหล่อนแต่กลับนำไปพูดคุยกับคนที่ไม่กินเส้นกันได้

“เธอแน่ใจนะว่าจะทำแบบนี้” นั่นคือเสียงของรสิตาไม่ผิดแน่

“ถึงตอนนี้แล้วฉันไม่เปลี่ยนใจเด็ดขาด” แล้วอีกเสียงจะเป็นของใครไปไม่ได้ นอกจากพิริมา

“ก็ดี งั้นอีกอาทิตย์เศษๆ เตรียมตัวทันไหม”

“ไม่มีปัญหา แต่เธอต้องสัญญาว่าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ แค่เราสองคนนะ ห้ามบอกใครเด็ดขาด แม้แต่คนที่เธอไว้ใจที่สุดก็บอกไม่ได้ สัญญากับฉันได้ไหมโรส”

“ฉันไม่รู้นะว่าทำไมเธอต้องทำถึงขนาดนี้ แต่ในเมื่อเธอต้องการให้เป็นอย่างนั้น ฉันก็ตกลง”

“ขอบใจมากนะ ฉันต้องไปแล้ว เดี๋ยวพี่นีน่าจะสงสัย แล้วเจอกันที่สนามบิน”

ผู้จัดการสาวประเภทสองหูผึ่ง ขมวดคิ้วนิ่วหน้า ไม่เข้าใจนักว่าสองคนนั้นพูดคุยกันถึงเรื่องใด หากลางสังหรณ์บอกให้หล่อนรู้ว่าพิริมากำลังคิดจะทำอะไรบางอย่าง และเรื่องนั้นคงเป็นเรื่องคอขาดบาดตายกันเลยทีเดียว หาไม่แล้วจะหันมาญาติดีกับรสิตาเพื่ออะไร

เมื่อรถของรสิตาเคลื่อนออกไปพิริมาจึงหมุนตัวกลับ หวังจะรีบไปสมทบกับนีน่าที่ร้านกาแฟตามนัด หากคนที่ยืนกอดอก สีหน้าเคลือบแคลง และมองเธอด้วยสายตาจับผิด ทำให้หญิงสาวชะงัก ก้าวขาไม่ออก นิ่งงันไปหลายนาที

นีน่าเดินเข้าไปหาหญิงสาว ถามด้วยเสียงจริงจัง “น้องพรีมนัดกับยายโรสไปทำอะไรที่สนามบินเหรอคะ”

“เอ่อ...พี่นีน่ามาทำอะไรที่นี่คะ” พิริมาอึกอัก หลบตา ย้อนถามเพื่อถ่วงเวลาหาคำตอบ

“พี่นีน่าต่างหากที่ควรจะถามน้องพรีมว่าลงมาทำอะไรที่นี่กับยายโรส รู้ไม่ใช่เหรอคะว่ายายนั่นไม่ชอบหน้าเรา ตั้งตัวเป็นคู่แข่งมาแต่ไหนแต่ไร คอยหาเรื่องน้องพรีมตลอด แล้วน้องพรีมมีเรื่องอะไรสำคัญนักหนาถึงขนาดคุยกับยายโรสได้แต่พูดกับพี่นีน่าไม่ได้ เรื่องอะไรคะ”

ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าคาดคั้น บ่งบอกว่าคนถามข้องใจมากมายเหลือคณานับ

พิริมาถอนใจ ก่อนจะยอกย้อนด้วยเสียงเรียบเย็น “อย่างน้อยโรสก็ทำต่อหน้า ไม่เคยโกหก ปลิ้นปล้อน หรือหลอกลวงให้พรีมต้องเจ็บใจทีหลัง เหตุผลแค่นี้พอไหมคะที่พรีมจะพูดเรื่องสำคัญกับโรสโดยไม่บอกให้พี่นีน่ารู้”

“น้องพรีม...” อีกฝ่ายครางเสียงสั่น สีหน้าสำนึกผิด แก้ตัวเสียงอ่อย

“ก็มันจำเป็นนี่คะ พี่นีน่ามีครอบครัวต้องดูแล ถ้าไม่มีพี่นีน่าซักคน คนอื่นๆ ก็จะลำบากนะคะ พี่นีน่าไม่ได้อยากอยู่ข้างเดียวกับคุณหญิงย่าขาซะหน่อย แต่ความจำเป็นมันบีบบังคับ เห็นใจกันเถอะนะคะ พี่นีน่าไม่ได้อยากทำแบบนี้เลยจริงๆ นะ”

หญิงสาวกอดอก เมินหน้าหนี “ก็เพราะพรีมรู้ว่าพี่นีน่ามีความสำคัญต่อคนในครอบครัวมากไงคะ พรีมถึงไม่พูดเรื่องนี้กับพี่นีน่า ถ้าพี่นีน่าไม่รู้อาจจะดีกว่านะคะ จะได้ไม่ต้องมีปัญหากับใครทีหลัง”

นีน่ารีบขยับเข้าไปรวบมืออีกฝ่ายมากุมแน่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงห่วงใยจากใจจริง

“โธ่...น้องพรีมขา พูดแบบนี้หมายถึงเรื่องแต่งงานใช่มั้ยคะ น้องพรีมคิดจะทำอะไรกันแน่ บอกพี่นีน่ามาเถอะค่ะ ปรึกษากันก่อนนะ อย่าทำอะไรหุนหันพลันแล่น นี่มันเรื่องใหญ่ เรื่องคอขาดบาดตายเชียวนะคะน้องพรีม”

พิริมาดึงมือกลับ ท่าทีเย็นชา “พรีมคิดดีแล้วค่ะ ถ้าพี่นีน่ายังห่วงพรีมจากใจจริงก็ขอให้ทำเป็นไม่รู้ ไม่เห็น และไม่ได้ยินอะไรในวันนี้ นี่เป็นคำขอสุดท้ายจากพรีม ขอร้องนะคะ อย่าสืบหาความจริง ลืมมันไปซะ แล้วก็ใช้ชีวิตให้เป็นปกติ”

นีน่าเบิกตากว้าง สีหน้าตกตะลึงพรึงเพริดสุดๆ “น้องพรีมคิดจะหนีใช่มั้ยคะ?”

เธอไม่ตอบ “เรากลับกันเถอะค่ะ ลืมเรื่องที่ได้ยินซะ จะเป็นผลดีกับพี่นีน่ามากกว่า”

หญิงสาวเดินลิ่ว ไม่ใส่ใจว่าอีกฝ่ายจะตอบรับหรือไม่ เธอตั้งใจแล้ว ตอนนี้เดินเครื่องเต็มที่ ไม่มีทางถอยแน่!

นีน่ายืนหันรีหันขวาง ใจเต้นแรงด้วยความวิตกกังวล หล่อนไม่ควรรู้เห็นเรื่องนี้อย่างที่พิริมาว่า แต่จะให้ทำยังไงได้ ตอนนี้ดันรู้เข้าเสียแล้ว จะถอยก็ไม่ทันอีก ถ้าบอกคุณหญิง พิริมาคงแย่และหล่อนก็จะต้องรู้สึกผิดด้วย แต่ถ้าไม่บอก ถึงเวลาเกิดเรื่องหล่อนเองนั่นแหละจะเละ แล้วทีนี้จะทำยังไงดี

‘กะเทยมึนอีกแล้ว ตายๆๆ!’

ขากลับพิริมาเป็นคนขับรถเองเพราะผู้จัดการส่วนตัวมัวแต่นั่งว้าวุ่นใจไร้สมาธิ สีหน้าครุ่นคิด เคร่งเครียดอย่างหนักกระทั่งถึงบ้านศุภกุล พอหญิงสาวจะลงจากรถ นีน่าก็ตะครุบแขนอีกฝ่ายเอาไว้

“คิดดูใหม่ไม่ดีหรือคะน้องพรีม”

พิริมาสบตาผู้จัดการส่วนตัวอย่างเด็ดเดี่ยว “พรีมคิดดีแล้วค่ะ นี่เป็นการตัดสินใจครั้งสุดท้าย จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงทั้งนั้น”

“คุณพีร์ถึงจะนิสัยกวนๆ อยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ได้เลวร้ายซะทีเดียวนะคะ บางทีแต่งๆ กันไปขี้คร้านจะรักจะหลงน้องพรีมละไม่ว่า”

“เขากวนประสาท ร้ายกาจ และนิสัยแย่ที่สุดเท่าที่พรีมเคยรู้จักต่างหากล่ะคะ อย่าพยายามหว่านล้อมพรีมเลยค่ะ พรีมไม่ขออะไรมาก แค่อย่าขวาง พรีมขอเท่านั้น อย่าทำให้พรีมผิดหวังในตัวพี่นีน่าอีกนะคะ”

“โธ่...น้องพรีม” นีน่าครางอย่างอับจนหนทาง

“พรีมเข้าบ้านก่อนนะคะ” เธอปลดมือผู้จัดการส่วนตัวออก แต่ยังไม่ทันก้าวลงจากรถก็ได้ยินในสิ่งที่ไม่คาดฝัน

“ตกลงค่ะ เอาไงเอากัน พี่นีน่าจะไปกับน้องพรีมทุกที่ เราจะไม่ทิ้งกัน!”

พิริมาหยุดมือที่กำลังจะผลักประตูรถออกไป ค่อยๆ หันกลับมามองสีหน้ามุ่งมั่นของคนพูดด้วยความแปลกใจระคนสงสัย ไม่ค่อยแน่ใจกับสิ่งที่ได้ยินนัก

นีน่าสูดลมหายใจเข้าปอดลึก แววตาเด็ดเดี่ยวขณะรวบมือพิริมามากุมไว้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “พี่นีน่าจะไปกับน้องพรีมด้วยค่ะ ถ้ายังไม่ไว้ใจก็ยังไม่ต้องบอกก็ได้ว่าเราจะไปไหน พี่นีน่ายินดีจะรับรู้เพียงว่าเราสองคนกำลังจะเดินทางไกล ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนพี่นีน่าจะเตรียมตัวให้พร้อม เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ จะไปไหนมาไหนคนเดียวมันลำบาก เราจะไปด้วยกันนะคะ”

คำพูดจริงจังของนีน่าทำให้พิริมาถึงกับอึ้ง ก่อนที่น้ำตาจะรื้นขอบตาด้วยความตื้นตันใจ มองสบตาอีกฝ่ายด้วยคำขอบคุณนับไม่ถ้วน สองมือกระชับกันมั่นแทนสัญญาใจ

นีน่าคงไม่เข้าใจว่าเธอรู้สึกอุ่นใจมากเพียงใดที่รู้ว่าจะมีคนคอยเดินเคียงข้างกันไปในหนทางที่ยังไม่รู้ว่าจะเจอกับอะไรบ้าง

“พูดจริงเหรอคะ?”

อีกฝ่ายพยักหน้า ยิ้มทั้งที่น้ำตาคลอ “พี่นีน่าจะอยู่กับน้องพรีมนะคะ เราจะไม่ทิ้งกัน”

“แล้วคนที่บ้านพี่นีน่าล่ะคะ แผ่นดินไทยเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของเราจะอยู่ที่ไหนคงไม่ลำบาก แต่ถ้าพี่นีน่าไปกับพรีม อนาคตยังไม่แน่นอน พรีมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวันพรุ่งนี้จะเจออะไรบ้าง พรีมขอบคุณมากนะคะ แต่พรีมไม่อยากให้พี่นีน่าต้องมารับรู้และไปลำบากด้วย พี่นีน่ายังมีคนที่ต้องห่วง”

นีน่าส่ายหัว มั่นใจในตอนนี้เองว่าจุดหมายปลายทางคือต่างประเทศ หล่อนเองก็กลัว แต่คิดว่าคุณหญิงพรรณรายคงไม่ใจร้ายกับหล่อนนักที่ตัดสินใจหนีไปกับพิริมา ไม่ปล่อยให้หลานสาวของท่านไประหกระเหินอยู่ต่างถิ่นเพียงลำพัง

“จะเจอกับอะไรก็ช่างพี่นีน่าจะไปด้วย พี่นีน่าเชื่อนะคะว่าคุณหญิงย่าขาคงไม่ใจร้ายกับหลานสาวคนโปรดได้นานนักหรอก บางทีการเดินทางไกลคราวนี้อาจไม่นานอย่างที่เราคิดก็ได้ค่ะ”

พิริมามองสบสายตามุ่งมั่นของผู้จัดการส่วนตัวแล้วก็ระบายยิ้มออกมา “ขอบคุณมากนะคะพี่นีน่า”

“ไม่เป็นไรค่ะ กะเทยก็มีหัวใจเหมือนกันนี่คะ แต่ถ้าคุณพีร์ดั้นด้นไปตามหาน้องพรีมจนพบ พี่นีน่าอาจจะเปลี่ยนใจไปอยู่ข้างเขาก็ได้” กะเทยผู้มีหัวใจบอกยิ้มๆ ตั้งใจให้พิริมาเห็นเป็นเรื่องขบขัน

หญิงสาวขำไม่ออก เธอไม่แน่ใจว่าพีรภัทร์จะทำเช่นนั้น แต่ก็แน่ใจว่าเขาคงโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงทีเดียว

ช่างปะไร เขาไม่ใช่คนเดียวที่โกรธเป็นซะหน่อย!



+++++++++++++++++++++++++


ตอนที่เหลือติดตามได้ใน e-book นะคะ









 

Create Date : 29 ธันวาคม 2557
0 comments
Last Update : 29 ธันวาคม 2557 10:49:18 น.
Counter : 1280 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


nawapat
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




...เขียนเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก หนักก็หยุด สนองนี้ดมันไปตามอารมณ์ ^^"...
Friends' blogs
[Add nawapat's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.