Group Blog
 
 
ธันวาคม 2557
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
18 ธันวาคม 2557
 
All Blogs
 

My bad guy - หนียังไงก็ใช่เธอ! @ 3 @ เด็กเส้น




คุณมณีรีบแล่นออกมารับหน้าคุณหญิงพรรณรายกับหลานสาวเมื่อทั้งสองคนเดินทางถึงตึกอมรรักษ์ ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของ ‘อมรกรุ๊ป’ บริษัทออกแบบก่อสร้างที่สามีของเธอบุกเบิกไว้ให้ลูกชายรับช่วงต่อ

“สวัสดีค่ะคุณหญิง เชิญทางนี้เลยค่ะ ต๊าย...นี่เหรอคะหลานสาวคนเล็ก หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูจริง หนูแพงใช่มั้ยจ๊ะ”

คุณหญิงยิ้มรับพองาม ขณะที่หลานสาวยกมือไหว้ผู้สูงวัยอย่างนอบน้อม หลังทักทายกันพอหอมปากหอมคอแล้วเจ้าของสถานที่จึงเชื้อเชิญสองย่าหลานไปคุยกันที่ห้องทำงาน

คุณมณีเดินนำเข้าลิฟต์ มุ่งหน้าสู่ห้องทำงานของกรรมการผู้จัดการใหญ่ ห้องนั้นกว้างขวางและเป็นระเบียบ โต๊ะทำงานตัวใหญ่ตั้งอยู่ที่มุมห้อง ด้านหลังเป็นชั้นวางเอกสาร ด้านข้างโต๊ะทำงานเป็นกระจกใสมองออกไปเห็นตึกสูงระฟ้าหลากหลายสไตล์ อีกมุมหนึ่งของห้องมีโต๊ะทำงานชุดเล็กกว่า หากชั้นวางเอกสารที่อยู่ด้านหลังนั้นกลับใหญ่และยาวกว่าชุดแรกมาก ชุดรับแขกอยู่ตรงกลางห้อง เป็นโซฟาบุนวมหุ้มหนังสีดำรูปทรงเก๋ไก๋แต่ยังคงไว้ซึ่งความรู้สึกเป็นทางการ บอกได้ชัดถึงบุคลิกเจ้าของห้อง

“นั่งคุยกันก่อนนะคะ ตาวีร์ประชุมอยู่ เดี๋ยวคงเสร็จค่ะ” เจ้าของสถานที่ชี้แจงว่าเหตุใดวีรภัทร์จึงไม่รีบมาต้อนรับขับสู้คุณหญิงกับหลานสาว

“ทำไมมีโต๊ะทำงานสองตัวล่ะคะคุณป้า” คนขี้สงสัยไม่วายถาม เรียกขานอีกฝ่ายว่า ‘ป้า’ ตามที่ผู้เป็นย่าบอก คำถามนั้นคุณหญิงเองก็กำลังกังขาอยู่เช่นกัน

“อีกชุดเป็นของเลขาฯ พี่วีร์จ้ะหนูแพง ทำงานด้วยกันมานานเรียกว่ารู้ใจเจ้านายทุกอย่าง เป็นเหมือนมือข้างนึงก็ว่าได้”

คุณมณีตอบด้วยท่าทียิ้มแย้ม หากคุณหญิงกลับขมวดคิ้ว สงสัย

“เลขาฯ ทำงานในห้องเดียวกับเจ้านายรึ”

“ใช่ค่ะคุณหญิง แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ เลขาฯ ของตาวีร์เป็นผู้ชายค่ะ” คุณมณีรีบชี้แจงเพราะกลัวอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่

“อ้อ งั้นหรอกรึ” คุณหญิงพยักหน้าพึงพอใจ

ผู้บริหารระดับนี้มักจะมีห้องทำงานส่วนตัวที่มากด้วยประโยชน์ใช้สอย แต่สำหรับวีรภัทร์เห็นชัดว่าห้องทำงานมีไว้เพื่อทำงานเพียงอย่างเดียว ไม่เช่นนั้นคงไม่ให้เลขานุการส่วนตัวเข้ามาวุ่นวายด้วย ฉะนั้นจึงหมดปัญหาเรื่องจะมีสาวๆ เข้ามายุ่มย่ามในห้องนี้

ว่าที่หลานเขยคนโตของเธอนี่ช่างน่าประทับใจเสียจริง...

“หนูแพงเบื่อมั้ยจ๊ะ อยากเดินดูให้ทั่วไหม”

คุณมณีหันไปถามพิณณิศาที่นั่งเงียบอยู่ เพราะอยากจะหาโอกาสคุยกับคุณหญิงแบบเป็นส่วนตัว

“ได้เหรอคะ” คนที่ไม่รู้ตัวว่าถูกกำจัดอย่างแนบเนียนถามด้วยความตื่นเต้น

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะจ๊ะ เดี๋ยวป้าให้สุนิสาพาหนูไปเดินดูให้ทั่วดีไหม” ผู้สูงวัยตอบอย่างใจดี

สุนิสาเป็นเลขาฯ หน้าห้อง และมีหน้าที่รับผิดชอบไม่มากเท่านภดล

“ไม่เป็นไรค่ะ ตอนนี้เป็นเวลางาน แพงไม่อยากรบกวนใคร ขอเดินดูใกล้ๆ แถวนี้ก็พอ ได้มั้ยคะคุณย่า” ท้ายประโยคเธอหันไปประจบคุณหญิงอย่างมีความหวัง

“อย่าไปก่อเรื่องอะไรเข้าอีกล่ะแม่แพง แล้วอย่าไปไกลนักนะ เดี๋ยวพี่เขามาจะหากันไม่เจอ” คุณหญิงเตือนแต่ก็อนุญาตนั่นแหละ เธอเองก็มีเรื่องจะพูดคุยกับคุณมณีด้วยเช่นกัน

“ทราบแล้วค่ะ งั้นแพงขออนุญาตนะคะคุณป้า” พิณณิศายิ้มแป้นกับคุณมณีแล้วรีบออกไปจากห้องทำงานที่เรียบขรึมของวีรภัทร์โดยเร็ว

เมื่อคล้อยหลังสาวร่างเล็กไปแล้วคุณมณีก็ยิ้มหวาน เริ่มเปิดประเด็นเรื่องที่เธอปิ๊งไอเดียจากลูกชายคนรอง

“คุณหญิงจะว่ายังไงบ้างคะ ถ้าดิฉันอยากให้ลูกๆ ได้รู้จักกับหลานสาวคุณหญิงเอาไว้ ไม่ใช่แค่หนูพรีมกับตาวีร์นะคะ”

“ฉันจะไปว่าอะไรล่ะคุณมณี ดีเสียอีก จะได้คุ้นเคยกันเอาไว้”

คุณหญิงเปิดโอกาสอย่างโจ่งแจ้ง นั่นเพราะเคยได้ยินชื่อเสียงของวีรภัทร์มาบ้างและเธอก็รู้สึกชื่นชมเขาอยู่มาก เมื่อคุณมณีออกตัวก่อนเธอจึงตอบรับไมตรีไว้ หมายมั่นปั้นมือว่าจะให้ชายหนุ่มมาเป็นหลานเขยคนโต ส่วนลูกชายอีกสองคนของคุณมณีนั้นเธอยังไม่เคยรู้จักและยังไม่ปักใจอยากได้เป็นหลานเขย แต่ถ้าจะให้ทำความรู้จักกับหลานๆ ของเธอไว้ก็ไม่เสียหายอะไร เผื่อรักใคร่ชอบพอกันก็จะได้สนับสนุนตามที่เห็นสมควรต่อไป

“ขอบพระคุณค่ะคุณหญิง แต่ว่ายังไงซะหนูพรีมเนี่ยดิฉันขอจองให้ตาวีร์ก่อนเลยนะคะ อายุอานามก็สามสิบสามเข้าไปแล้ว แต่ยังไม่เห็นวี่แววว่าดิฉันจะได้อุ้มหลานเลย ตั้งแต่คุณวิรัชเสียไปตาวีร์ก็ทำงานแทนพ่อจนแทบไม่มีเวลากระดิกตัว วันๆ ดิฉันเห็นลูกทำแต่งานก็อดสงสารไม่ได้ ยิ่งต้องแบกรับทุกอย่างที่พ่อเขาสร้างไว้ตั้งแต่อายุยังน้อย จากที่เป็นคนเงียบขรึมอยู่แล้วยิ่งเงียบหนักกว่าเดิมอีกค่ะ ถ้ามีใครสักคนเข้ามาเติมเต็มชีวิตตาวีร์ต้องมีความสุขมากกว่านี้แน่ๆ”

คุณมณีเกริ่นยาวด้วยเกรงว่าคุณหญิงจะเข้าใจผิด เธออยากได้ลูกสะใภ้ดีๆ ก็จริง แต่ไม่เคยคิดจับหลานสาวคุณหญิงมาเป็นสะใภ้เพราะเห็นแก่ความร่ำรวย ทุกวันนี้เธอมีพอแล้วทุกอย่าง เว้นแต่ความสุขของลูกๆ ที่เธออยากเห็นก่อนตาย

ในบรรดาลูกชายทั้งสามคนเธอเป็นห่วงวีรภัทร์มากที่สุดเพราะเขาต้องทำงานทุกอย่างแทนบิดาที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเมื่อแปดปีก่อน ตอนนั้นชายหนุ่มอายุเพียงยี่สิบห้าปี บริษัทใหญ่โตกับประสบการณ์น้อยนิดของเขาเรียกว่าไม่สมดุลกันอย่างมาก กว่าทุกอย่างจะลงตัวเหมือนทุกวันนี้ชายหนุ่มต้องลองผิดลองถูกมาไม่รู้กี่ครั้ง แต่ไม่ว่าจะเหนื่อยหนักสักแค่ไหนเขาก็ยังคงพยายามทำหน้าที่ของตัวเองสุดความสามารถจนมีทุกวันนี้ได้

เธอรู้สึกติดค้างวีรภัทร์เพราะไปช่วงชิงวันเวลาที่เขาควรจะได้ใช้ชีวิตวัยหนุ่มให้เต็มที่เฉกเพื่อนฝูงวัยเดียวกันมาจนหมด ทุกวันนี้เขาเลยกลายเป็นชายหนุ่มผู้เคร่งขรึม และบ้างานจนไม่มีเวลาจีบสาว เธอจึงเห็นว่าสมควรแล้วที่ตนจะเป็นผู้ทำหน้าที่นี้แทนลูกชาย

“ฉันชอบพ่อวีร์ของคุณนะ ดูเป็นผู้ใหญ่ มีความรับผิดชอบ ถ้าแม่พรีมของฉันได้คนดีๆ แบบนี้มาดูแล ฉันก็คงจะนอนตายตาหลับ” คุณหญิงพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเมื่อนึกถึงหลานสาวคนโปรด

อีกฝ่ายยิ้มด้วยความโล่งใจที่คุณหญิงเห็นพ้องกับตน “ดิฉันก็มั่นใจว่าตาวีร์เป็นผู้ชายที่ดีพอสำหรับหนูพรีมค่ะ”

“งั้นเป็นอันตกลงว่าเรามีความเห็นตรงกันที่จะให้หลานสาวคนโตของฉันกับลูกชายคนโตของคุณได้ลงเอยกัน” คุณหญิงสบตาอีกฝ่ายอย่างจริงจัง

“แน่นอนที่สุดค่ะคุณหญิง เราจะทำทุกอย่างเพื่อสร้างโอกาสให้เด็กๆ รู้จักมักคุ้นกันเร็วขึ้น แต่ว่าเราจะทำยังไงให้มันไม่ดูจงใจจับคู่พวกแกมากเกินไปคะ ดิฉันกลัวหนูพรีมจะคิดว่าเราบังคับจิตใจแก แทนที่จะชอบพอกันอาจจะเกลียดขี้หน้ากันไปเลย เด็กสมัยนี้ฉลาดนะคะ ไม่ชอบให้ผู้ใหญ่เล่นเกมจับคู่หรอกค่ะ”

“จริงของคุณนะ แล้วเราจะเอายังไงดี”

ผู้ใหญ่ทั้งสองเริ่มปรึกษาหารืออย่างเคร่งเครียดเพื่อจะได้เกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกันในอนาคต



พิณณิศาเดินไปเมียงๆ มองๆ พนักงานที่ต่างก็กำลังทำหน้าที่ของตนเงียบๆ มีสายตาหลายคู่แอบมองเธอบ่อยครั้ง ด้วยความอึดอัดใจจึงเดินเลี่ยงไปพบกระจกใสที่เปิดมุมมองสู่โลกภายนอก ยืนอยู่ตรงนี้จะเห็นวิวในย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ เต็มตา รถราวิ่งกันอยู่ตลอดแม้จะไม่ใช่ชั่วโมงเร่งด่วน มีผู้คนประปรายเดินริมฟุตปาธเพราะถนนสายนี้เป็นเส้นธุรกิจของกรุงเทพฯ บริเวณโดยรอบส่วนใหญ่จึงเป็นตึกสูงเสียดฟ้ามากกว่าจะเป็นแหล่งชุมชนที่มีผู้คนพลุกพล่าน ใครก็ตามที่อาศัยอยู่ในย่านนี้ก็มั่นใจได้เลยว่าต้องเป็นเจ้าของธุรกิจ หรือมนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้ห้าหกหลักขึ้นไปแน่นอน

สาวน้อยถอนใจเสียงดังก่อนจะหันหลังกลับมาพบดวงตาคมดุคู่หนึ่งที่จ้องเขม็งตรงมาจึงสะดุ้งด้วยความตกใจ เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงสง่าน่าเกรงขาม ใบหน้าคมขรึมเหมือนหล่อขึ้นจากศิลาแกร่ง ให้ความรู้สึกทั้งเข้มแข็งทรงพลังและกระด้างดุดันอย่างบอกไม่ถูก

“เป็นพนักงานที่นี่รึเปล่า?”

นอกจากหน้าดุแล้ว เสียงถามของเขายังดุพอกัน พิณณิศาอึกๆ อักๆ ไม่รู้จะตอบอย่างไรก็พอดีมีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นเสียก่อน

“อ้าว หนูแพง มาอยู่นี่เองเหรอจ๊ะ ป้าตามหาตั้งนาน เอ๊ะ! ตาวีร์ประชุมเสร็จแล้วเหรอลูก”

หญิงสาวเดินไปหลบหลังคุณมณี ในขณะที่วีรภัทร์มองหน้ามารดาอย่างงงงัน

“รู้จักกันรึยังจ๊ะหนูแพง นี่ไงตาวีร์ลูกชายป้า หนูเรียกพี่วีร์ก็ได้ลูก ตาวีร์นี่หนูแพงที่แม่บอกว่าคุณหญิงจะฝากให้มาทำงานกับเราไง” เมื่อเจอกันแล้วคุณมณีก็รีบแนะนำ ก่อนจะไล่ต้อนทั้งสองคนกลับไปที่ห้องทำงานของลูกชาย

วีรภัทร์อึ้งไปราวสามวินาที นึกไม่ถึงว่ามารดาจะเอาเด็กขนาดนี้มาฝากให้ทำงาน เขาเริ่มมีอาการปวดจี๊ดๆ ที่ขมับทั้งสองข้าง เดิมทีคิดว่าหลานสาวคนเล็กของคุณหญิงพรรณรายคงจะโตแล้ว ถึงแม้จะใช้เส้นสายเข้าทำงานก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรถ้าจะให้ช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ ของสุนิสา แต่เมื่อพบตัวจริงของเธอแล้วก็ต้องเปลี่ยนความคิดทันที

เด็กขนาดนี้จะทำอะไรเป็น?

พิณณิศาก้มหน้า เดินตามคุณมณีต้อยๆ อะไรบางอย่างในดวงตาคมกริบคู่นั้นทำให้เธออยากถอยหลังกลับไปเป็นนางก้นครัวที่บ้านเหมือนเดิมมากกว่า เธอไม่เคยรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลเช่นนี้มาก่อน แต่เขาทำให้มันเกิดขึ้น!



กรรมการผู้จัดการใหญ่ของอมรกรุ๊ปมองเด็กสาวที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานของตนอย่างหนักใจ คุณหญิงพรรณรายและมารดาของเขากลับไปแล้วแต่ทิ้งปัญหาใหญ่ไว้ให้เขาจัดการ วีรภัทร์ไม่นึกว่านักศึกษาจบใหม่จะดูเด็กถึงเพียงนี้ เขาคิดผิดจริงๆ ที่รับปากผู้เป็นแม่

พิณณิศามองสบตาผู้ชายหน้าเคร่งที่นั่งหลังโต๊ะทำงานด้วยความรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ ความจริงวีรภัทร์จัดเป็นผู้ชายที่ดูดีมาก ใบหน้าคมขรึมทรงอำนาจ นัยน์ตาคมกริบนิ่งลึกราวกับจะสามารถมองทะลุทุกสิ่งได้โดยง่าย รูปร่างสูงใหญ่ภูมิฐานเหมาะกับตำแหน่งผู้บริหารอย่างที่ใครก็เถียงไม่ขึ้น ถ้าเขายิ้มสักหน่อยก็จะทำให้ดูดีกว่านี้มาก แต่ท่าทางเขาคงไม่ชอบยิ้มเอาจริงๆ เพราะเธอเห็นรอยยิ้มบางเบาที่มุมปากหยักเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น แม้ขณะอยู่ต่อหน้าคุณย่าของเธอ

‘น่ากลัวชะมัด’

หญิงสาวสรุปความเป็นวีรภัทร์แบบสั้นๆ

“จบบริหารใช่ไหมเราน่ะ” เสียงเรียบเอ่ยขึ้นหลังจากปล่อยให้ความเงียบงันเขย่าขวัญอีกฝ่ายอยู่เป็นนาน

พิณณิศาไม่ชอบสรรพนามที่เขาเรียกเธอเลย มันทำให้เธอรู้สึกเหมือนตนเป็นเพียงเด็กห้าขวบ แต่ด้วยความกริ่งเกรงคำตอบจึงออกมาแบบถนอมเสียง “ค่ะ”

“แล้วทำอะไรเป็นบ้าง?”

“แพงไม่เคยทำงานมาก่อน ให้ทำอะไรก็ทำทั้งนั้นแหละค่ะ” คนตอบอดไม่ได้ที่จะก้มหน้าหลบสายตาคม

“อยากทำอะไรเป็นพิเศษ จะได้ให้คนที่เขาทำหน้าที่นั้นอยู่แล้วช่วยสอน”

หญิงสาวนั่งนิ่ง ถึงคราวจนตรอก เธอเองก็ไม่รู้ว่าอยากทำงานตำแหน่งอะไร เพียงแค่อยากออกจากบ้านศุภกุลมาใช้ชีวิตเหมือนคนที่เรียนจบแล้วก็เท่านั้น เจอคำถามนี้เข้าไปเลยรู้สึกห่อเหี่ยวใจและคิดว่าตัวเองช่างไม่เอาไหนเสียเลย

“งั้นก็ไปช่วยงานสุนิสา ทำอะไรก็ได้ที่สุนิสาให้ทำ ตกลงมั้ย?”

เขาตัดสินใจแทนเมื่อเห็นสีหน้าจืดจ๋อยของคนตัวเล็ก เผลอระบายลมหายใจอย่างระอากับความคิดที่ว่าพิณณิศาเรียนจบแล้วแต่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยากทำอะไร

นี่มันลูกคุณหนูขนานแท้ ต่อไปจะทำอะไรกิน?

“ค่ะ” เธอตอบรับเสียงเบา รู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก สงสัยว่าการทำงานคงไม่สนุกอย่างที่คิดไว้ซะแล้ว

“ไปจัดการตามนี้นะนภ ให้ใครหาโต๊ะทำงานให้พิณณิศาด้วย เอาไว้...ใกล้ๆ กับโต๊ะของสุนิสานั่นแหละ ไปได้” เขาหันไปสั่งความกับนภดลซึ่งนั่งทำงานเงียบๆ อยู่ที่โต๊ะของตัวเอง

“ได้ครับ เชิญครับคุณพิณณิศา” นภดลรับคำสั่งเจ้านาย ก่อนลุกไปเปิดประตูห้องเชื้อเชิญหญิงสาวให้ตามเขาไปด้านนอก

วีรภัทร์ไม่เงยหน้าขึ้นจากเอกสารที่กำลังดูอยู่อีกเลย จนเมื่อทั้งสองคนออกไปแล้วเขาจึงค่อยถอนใจโดยไม่ต้องปิดบังความหนักใจ

แม่นะแม่ เอาเด็กแบบนี้มาฝากให้ทำงานแล้วจะไหวรึเปล่า หาเหามาใส่หัวเขาแท้ๆ!



โต๊ะทำงานของพิณณิศาอยู่หน้าห้องของวีรภัทร์ หน้าที่หลักคือช่วยงานสุนิสา วันนี้หญิงสาวยังไม่ต้องทำอะไรมาก เพียงแต่นั่งดูสาวรุ่นพี่ทำงานและช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ เท่าที่อีกฝ่ายจะต้องการ พอถึงมื้อเที่ยงเธอก็ติดสอยห้อยตามสุนิสาไปกินข้าวที่ศูนย์อาหาร จนถึงเวลาเลิกงานลุงกล้าก็ขับรถมารอรับที่หน้าตึก เป็นอันว่าจบวันแรกของการทำงานแบบแกนๆ และเธอก็ไม่ได้พบหน้ากรรมการผู้จัดการใหญ่ของอมรกรุ๊ปอีกเลยตลอดทั้งวัน

โชคดีจริงๆ!

“กลับมาแล้วรึแม่แพง ทำงานวันแรกเป็นยังไงบ้าง” คุณหญิงเอ่ยถามทันทีที่หลานสาวคนเล็กโผล่หน้าเข้ามาในห้องโถง

“ก็ดีค่ะ” เธอตัดสินใจมุสา แกล้งยิ้มสดใส ไม่อยากถูกใครเยาะเย้ยว่าไปทำงานวันแรกก็ทำท่าจะไม่รอดเสียแล้ว ขืนบ่นให้ได้ยินแม้แต่คำเดียวมีหวังผู้เป็นย่าต้องเอาไปเล่าต่อ พอรู้ถึงหูพิศิตาเข้า ทีนี้ละ การล้อเลียนแบบไม่มีวันจบสิ้นจะเกิดขึ้น

“ท่าทางเหนื่อยๆ ไปอาบน้ำซะก่อนไปจะได้ลงมาทานข้าวกัน”

คุณหญิงสำรวจหลานสาวด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ เห็นความอ่อนเพลียในสีหน้าก็พอจะเดาออกว่าการทำงานวันแรกคงทำให้พิณณิศาสูญเสียพลังงานไปเยอะ ‘ก้าวแรก’ มักจะยากเสมอ หากเมื่อผ่านมันไปได้แล้วทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น ใครๆ ก็มักจะต้องผ่านก้าวแรกด้วยกันทั้งนั้น

เมื่อพิณณิศาเดินหายขึ้นไปชั้นบนสักพักพิศิตาก็ตามเข้ามาเป็นคนที่สอง คุณหญิงรีบดักหน้าไว้ทันทีเพราะแม่คนนี้ต้องนัดล่วงหน้าไว้หลายๆ วัน เท่านั้นไม่พอ ต้องคอยย้ำทุกวันกันลืมอีกด้วย หากไม่ใช่เรื่องงานพิศิตาไม่ค่อยเก็บใส่สมองให้เปลืองพื้นที่

“วันนี้กลับเร็วนะแม่พลอย”

“ค่ะ คุณย่ามีอะไรกับพลอยรึเปล่าคะ” หญิงสาวเดินเข้าไปหาผู้เป็นย่าพร้อมงานหอบใหญ่ในมือ

“ย่ารึจะกล้ามีอะไรกับเรา แค่จะถามว่าวันศุกร์นี้มีธุระที่ไหนรึเปล่า ถ้าไม่มีอะไรก็อยากให้กลับบ้านเร็วหน่อย” เสียงคุณหญิงมักจะติดประชดเสมอเมื่อคุยกับหลานสาวคนนี้

“ยังไม่ทราบค่ะ แต่ถ้าไม่มีอะไรพลอยก็จะพยายามกลับมาให้ทันมื้อเย็น คุณย่ามีอะไรกับพลอยอีกมั้ยคะ” หลานสาวตอบเนือยๆ เนื่องจากเหนื่อยมาทั้งวัน

งานของเธอแทบจะไม่มีเวลาที่แน่นอนให้กะเกณฑ์ นอกจากใช้จินตนาการในการร่างแบบแล้วยังต้องออกไปดูสถานที่จริงบ้าง นัดคุยกับลูกค้าข้างนอกบ้าง ไม่ก็เดินดูของแต่งบ้านที่เข้ากับงานออกแบบ วันๆ ต้องเดินทางร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ

“ไม่มีแล้วย่ะ ขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าเสียแล้วลงมาทานข้าวเย็นกัน” แม้น้ำเสียงจะติดประชดประชันแต่ก็ยังคงแฝงไว้ด้วยความห่วงใยเสมอ

“งั้นพลอยขอตัวเลยนะคะ” หญิงสาวว่าพลางปิดปากหาว วันนี้รู้สึกเพลียจริงๆ แต่ถ้าได้อาบน้ำคงสดชื่นและตาสว่างขึ้นบ้าง

คุณหญิงได้แต่ส่ายหน้าอย่างขัดใจกับพฤติกรรมของพิศิตา หาความนุ่มนวลอ่อนหวานเหมือนกุลสตรีไม่ได้เลยจริงๆ

เมื่อลับร่างหลานสาวคนรองไปแล้วผู้สูงวัยก็หันมารอหลานสาวคนโตที่ยังไม่กลับ สำหรับพิริมาก็ต้องมีการนัดล่วงหน้าเช่นเดียวกัน เนื่องจากงานของหญิงสาวไม่มีเวลาที่แน่นอนยิ่งกว่าพิศิตาเสียอีก เธอต้องให้นีน่าจัดตารางนัดกินมื้อเย็นที่บ้านในวันศุกร์นี้ พิริมาจะได้ไม่มีข้ออ้างเบี้ยวนัดซึ่งเธอกับคุณมณีตกลงกันไว้เป็นมั่นเหมาะแล้ว



พิณณิศามาทำงานเป็นวันที่สามแล้วแต่หน้าที่ของเธอก็ยังเหมือนเดิมคือการทำงานเล็กๆ น้อยๆ ช่วยสุนิสา เป็นต้นว่านั่งดูอีกฝ่ายทำงาน หรือไม่ก็จัดเอกสารเข้าแฟ้ม เรียงเอกสารใหม่ๆ ที่เข้ามาซึ่งเป็นงานที่น่าเบื่อมากในความคิดของบัณฑิตจบใหม่ พอว่างเว้นจากการช่วยงาน เธอก็มักจะออกมายืนทอดถอนใจที่มุมโปรด นั่นคือจุดที่พบกับวีรภัทร์ครั้งแรก

เมื่อการทำงานนอกบ้านไม่สนุกอย่างที่คิดก็ทำให้สาวน้อยอดจะผิดหวังไม่ได้ จากที่เคยจินตนาการไว้ว่าต้องมีเพื่อนใหม่เยอะขึ้น มีอะไรให้ทำมากมายจนไม่มีเวลามานั่งเหงา แต่ทุกอย่างกลับตรงกันข้าม น่าเบื่อยิ่งกว่าช่วยนมอิ่มทำขนมอยู่บ้านเสียอีก

เธอออกจะไม่พอใจเพราะคิดว่าตนมีความสามารถมากกว่านี้ หากก็ทำอะไรไม่ได้เลย จะปรึกษาวีรภัทร์ก็ไม่กล้า ตั้งแต่มาทำงานเธอได้เจอเขาแค่ครั้งเดียวเท่านั้น คือวันแรกที่มาเหยียบอมรกรุ๊ปนั่นแหละ

ตอนนี้หญิงสาวอดคิดไม่ได้ว่าวีรภัทร์คงไม่ชอบหน้าเธอแน่ๆ ถึงได้คอยหลบหน้า ไม่ยอมเสวนาด้วย แถมยังให้ทำงานที่ไม่ต้องใช้สมองแบบนี้ เขาอาจจะแกล้งให้เธอทนไม่ได้แล้วลาออกไปเอง ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเขาก็เป็นคนที่แย่มาก!

“เอ๊ะ! แถวนี้ทำไมมีเด็กหลงทางนะ”

เสียงห้าวติดแววอารมณ์ดีที่ดังขึ้นเบื้องหลังทำให้พิณณิศาสะดุ้ง ตื่นจากภวังค์ รีบหันไปมองผู้มาใหม่อย่างแปลกใจ

“น้องแพงใช่มั้ยเอ่ย ทำไมมายืนหงอยอยู่คนเดียวล่ะ”

เจ้าของเสียงเป็นชายหนุ่มร่างสูง หน้าตาหล่อจัด ท่าทางเป็นมิตร คลับคล้ายคลับคลาว่าเหมือนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่นึกเท่าไรพิณณิศาก็นึกไม่ออก สุดท้ายก็เลิกคิดแล้วถามตรงๆ ไปเลย

“เราเคยพบกันมาก่อนเหรอคะ”

เขายิ้ม ท่าทางขบขัน “ไม่”

“งั้นคุณรู้จักแพงได้ยังไงคะ?”

“ใครบ้างทำงานที่นี่แล้วจะไม่รู้จักหลานสาวคนเล็กของคุณหญิงพรรณราย” อีกฝ่ายตอบยิ้มๆ กวนๆ

หลานสาวคนเล็กของคุณหญิงพรรณรายย่นจมูกอย่างขัดใจ ยังไม่ทันตอบโต้ว่าอย่างไร เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

“สวัสดีครับคุณธีร์ วันนี้เข้าบริษัทด้วยเหรอครับ”

ทั้งสองคนหันไปมองต้นเสียงพร้อมกันจึงได้รู้ว่าเป็นเสียงของนภดลนั่นเอง

“ไงนภ ทำไมปล่อยให้น้องแพงมายืนเหงาอยู่คนเดียวแบบนี้”

คนถูกถามมีสีหน้าตกใจเมื่อเห็นเธอยืนอยู่ตรงนั้นด้วย ท่าทางนอบน้อมที่นภดลแสดงต่อชายหนุ่มทำให้พิณณิศานึกสงสัยอยู่ครามครัน

“นายวีร์อยู่รึเปล่า” ชายหนุ่มแปลกหน้าถามหากรรมการผู้จัดการใหญ่ราวกับว่าคุ้นเคยกันนักหนา

“เพิ่งประชุมเสร็จครับ กำลังจะไปทานมื้อเที่ยง คุณธีร์จะไปด้วยกันรึเปล่าครับ”

“ไปสิ ดีเลย ไปตามนายวีร์ทีนะ ฝากบอกด้วยว่าน้องแพงจะไปกับเราด้วย”

“ครับ” นภดลรับคำแล้วรีบถอยออกไป

“คุณเป็นอะไรกับคุณวีรภัทร์เหรอคะ ท่าทางเหมือนสนิทกัน” คล้อยหลังนภดลไปแล้วคนขี้สงสัยก็ยั้งปากไว้ไม่ทัน

“น้องชายจ้ะ” เขาตอบพลางกลั้นยิ้ม

“น้องชาย?” เธอทวนด้วยความประหลาดใจ

มิน่าถึงรู้สึกว่าเหมือนเคยเจอเขาที่ไหน ดูๆ ไปแล้วก็คล้ายตาลุงหน้าเคร่งนั้นเหมือนกัน เพียงแต่ผู้ชายคนนี้ดูดีกว่าเยอะ

“เรียก ‘พี่ธีร์’ ก็ได้นะ” ธีรภัทร์บอกอย่างเป็นกันเอง พิณณิศายังดูเด็กมาก เทียบกับพิริมาแล้วหน้าตาออกจะหวานกว่า หากก็สวยเก๋ไม่เท่าพี่สาวคนโต

“ได้ค่ะพี่ธีร์” เธอรับไมตรีจากเพื่อนใหม่ด้วยความเต็มใจ แต่พอนึกได้เรื่องอาหารมื้อเที่ยงก็คัดค้านทันที

“แต่แพงไม่ได้บอกว่าจะไปทานข้าวด้วยนะคะ แพงไปกับพี่สาทุกวัน พี่ธีร์ไปกับคุณวีรภัทร์เถอะค่ะ”

เขาย่นคิ้ว ไม่ชอบใจ “ไปด้วยกันนี่แหละ แล้วเรียกซะห่างเหินเลย ทำไมไม่เรียกนายวีร์ว่าพี่ล่ะ ครอบครัวเราน่ะควรจะสนิทสนมกันไว้รู้รึเปล่า”

พิณณิศาทำหน้าเพลียๆ แล้วหลุดปากบ่นออกไป “อย่างกับเขาอยากให้แพงเรียกนักนี่คะ ทำหน้าดุขนาดนั้น กลัวพนักงานอึดอัดไม่พอรึไง เอ่อ...ขอโทษค่ะ คือว่า...”

ธีรภัทร์กุมท้องหัวเราะ อีกมือโบกไปมาอย่างไม่ถือสา ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ใครจะมองพี่ชายเขาแบบนั้น

“พี่ไม่ถือหรอก ช่างเถอะ นายวีร์ก็เป็นอย่างนี้แหละ เขาเป็นผู้บริหารก็ต้องวางท่าหน่อย ที่จริงเขาใจดีมากนะ น้องแพงอย่าคิดมากเลย”

“เป็นพี่น้องกันแต่ไม่เห็นเหมือนกันซักนิด” พิณณิศารำพึงเบาๆ เมื่อนึกเปรียบเทียบพี่น้องคู่นี้

“ไม่เหมือนยังไง ใครๆ ก็ว่าพี่กับนายวีร์หน้าคล้ายกันออก บางทียังแอบทักผิดเลย” คนหูดีรีบแย้งทันใด

“ไม่เหมือนค่ะ พี่ธีร์น่ารักกว่าตั้งเยอะ” เสียงใสยืนยันหนักแน่น

“แหม...อย่างนี้ค่อยน่าคบหน่อย เดี๋ยววันหลังพี่จะซื้อขนมมาฝากนะ” ว่าแล้วก็เอามือโยกศีรษะอีกฝ่ายอย่างนึกเอ็นดู

“พี่ธีร์ไม่ต้องทำแบบนั้นก็น่ารักกว่าอยู่แล้ว”

พิณณิศารู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกกับสายตาเอ็นดูและท่าทีเป็นกันเองจากคนของอมรกรุ๊ป เพราะตั้งแต่วันแรกที่มาทำงานเธอมีแค่สุนิสากับนภดลเท่านั้นที่พอจะพูดคุยด้วยได้ แต่ก็ยังเป็นเรื่องเกี่ยวกับงานและไม่รู้สึกสนิทใจมากเท่าน้องชายของวีรภัทร์คนนี้

“ปากหวานนะเรา เดี๋ยวเย็นนี้พี่ไปส่งบ้านเอามั้ย ว่าแต่...พี่สาวน้องแพงจะอยู่บ้านรึเปล่านะ”

เขานึกสนุกอยากไปเซอร์ไพรส์พิริมาถึงบ้าน ไหนๆ ก็เริ่มจีบเธอทางโทรศัพท์ได้หลายคืนแล้ว ถ้าเขาไปโผล่ไปที่นั่น เธอจะทำหน้ายังไงนะ?

“คนไหนคะ แพงมีพี่สาวตั้งสองคนแน่ะ”

“ก็คนสวยๆ ไง”

“ก็สวยทั้งสองคนนะ” คนตัวเล็กโอ้อวด

“จริงเหรอ งั้นพี่ขอสมัครเป็นพี่เขยซักคนได้มั้ย”

“แพงรับใบสมัครค่ะ แต่ต้องให้พี่สาวแพงพิจารณาเอง”

เขาทำตาโต อมยิ้มขัน ไม่นึกว่าน้องสาวของพิริมาจะช่างพูดและมีไหวพริบน่าเอ็นดูขนาดนี้

“ฉลาดจริงนะเรา งั้นขอแรงเชียร์แทนก็ได้ ตกลงมั้ย?”

“มันก็ขึ้นอยู่กับสินบนนะคะ” เธอยิ้มสดใส รู้สึกชอบพี่ชายคนนี้มากจริงๆ

แล้วเสียงกระแอมก็ดังขึ้นขัดจังหวะการสนทนาที่สนุกสนาน ทำให้คนทั้งสองต้องหันไปมองที่มาของเสียง

“จะไปรึยังนายธีร์”

วีรภัทร์เอ่ยเสียงเรียบพอๆ กับสีหน้า เหลือบมองพิณณิศาที่ยืนตาแป๋วอยู่แวบหนึ่งอย่างไม่พอใจ

เจ้าตัวหลบตาวูบ นึกสงสัยว่าเขาได้ยินบทสนทนาทั้งหมดหรือไม่ หากใช่ก็ซวยยกกำลังสอง จากที่ไม่ค่อยชอบเธออยู่แล้ว ต่อไปก็คงจะเกลียดขี้หน้ากันไปเลย

“มาแล้วเหรอวีร์ ไปสิ ไปจ้ะน้องแพง” ธีรภัทร์ผายมือให้พิณณิศาเดินนำ

“อย่าเลยค่ะ แพงจะไปกับพี่สา นัดกันไว้แล้ว” เธอพูดปดพลางหลบตาทั้งสองหนุ่ม คิดว่าควรจะรีบชิ่งให้เร็วที่สุด ขืนต้องกินข้าวเที่ยงกับวีรภัทร์ เธอต้องอึดอัดตายแน่ๆ

“ได้ไง วันนี้พี่เลี้ยงเอง สินบนก้อนแรก รับรองว่าต่อไปจัดหนักขึ้นเรื่อยๆ” ธีรภัทร์ยิ้มซุกซนเป็นที่รู้กันกับพิณณิศาว่ากำลังคุยเรื่องอะไร

คนตัวเล็กยิ้มแห้ง ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง เหลือบมองอีกคนก็เห็นนิ่งซะจนจะแช่งแข็งเธอได้อยู่แล้ว และเมื่อวีรภัทร์ไม่คัดค้านเสียทีเธอก็เลยต้องเดินตามแรงกระตุ้นของธีรภัทร์ด้วยความจำใจ

“เออ ได้ยินว่านายพีร์กลับบ้านแล้วเหรอวีร์” ธีรภัทร์ถามพี่ชายขณะยืนรอลิฟต์

เขาไม่ได้กลับบ้านหลายวันเพราะไปขลุกตัวอยู่ที่ไซต์งานแถบชานเมืองจนดึกดื่น และห้องชุดส่วนตัวก็อยู่ใกล้กว่าบ้านจึงพักที่นั่นเสียเลยเพื่อความสะดวก แต่ก็ได้ข่าวน้องชายจากมารดาที่คอยโทรศัพท์ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของเขาแบบวันเว้นวัน

“ใช่ เห็นว่าอาทิตย์หน้าจะเข้ามาช่วยงานที่บริษัท” อีกฝ่ายตอบเสียงขรึม ใบหน้าเรียบเคร่งเหมือนไร้ความเป็นมิตรต่อคนทั้งโลก

“อ้าว ไม่ถ่ายรูปแล้วเหรอ เห็นว่าไปได้สวยนี่”

“คงทำเป็นงานอดิเรกมั้ง นายก็กลับบ้านบ้างสิ เจอหน้าจะได้ถามเอง”

พี่ชายตอบห้วนๆ เหลือบตาไปยังพิณณิศาที่ยืนเงียบอยู่ ธีรภัทร์จึงมองตาม

“อ้อ แม่บอกว่าน้องแพงมาทำงานที่นี่ เราเลยแวะมาดูหน่อยว่าเป็นไงบ้าง นายนี่ยังไงปล่อยให้น้องแพงมายืนเหงาอยู่คนเดียว” ธีรภัทร์ตำหนิพี่ชายอยู่กลายๆ เพื่อเอาใจว่าที่น้องเมียในอนาคต

พิณณิศาสะดุ้งโหยง ทำตาโต จ้องแป๋งไปที่วีรภัทร์อย่างตกใจ

“ไม่ชอบงานที่ทำ หรือว่าใครทำอะไรไม่ถูกใจ” วีรภัทร์ถามพลางจ้องหน้าคนตัวเล็กนิ่ง

หญิงสาวลอบกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคออย่างยากลำบาก เพียงสายตานิ่งขรึมของเขาก็ทำให้เธอเข่าอ่อนจนแทบยืนไม่อยู่แล้ว

อย่ามองแบบนั้นได้ไหมเล่า ปกติหน้าก็ดุพอแล้ว ขมวดคิ้วนิ่วหน้าอีกยิ่งไปกันใหญ่เลย ฮือ...

“ไม่ตอบแปลว่าอะไร?”

เมื่อวีรภัทร์ส่งเสียงมาเขย่าประสาทอีกครั้ง พิณณิศาก็ก้มหน้าหลบ อ้อมแอ้มตอบเบาๆ “ไม่มีใครทำอะไรให้ไม่พอใจหรอกค่ะ แต่แพงแทบไม่ได้ทำอะไรเลยมากกว่า”

“สงสัยต้องตักเตือนสุนิสาหน่อยแล้วที่ทำให้หลานสาวคุณหญิงพรรณรายไม่พอใจ”

คำพูดนั้นเสียดแทงใจคนตัวเล็กเข้าอย่างจัง ที่สุดแล้วความกลัวก็แปรสภาพเป็นความโกรธ

“แพงไม่ได้พูดแบบนั้นซะหน่อย พี่สาไม่ได้ทำอะไรให้แพงไม่พอใจ แต่แพงบอกว่าแพงแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลยต่างหาก”

“แต่ฉันให้สุนิสาเป็นคนจัดการเรื่องงานของเธอ ถ้าเธอไม่พอใจแล้วมันควรเป็นความรับผิดชอบของใครล่ะ” เขาย้อนด้วยน้ำเสียงเรียบๆ คล้ายไม่มีความรู้สึกใดแทรกปนมาด้วย

แต่พิณณิศารู้ดีว่าเขาไม่ใช่ไม่คิดอะไร คำพูดง่ายๆ แต่จงใจเชือดเฉือนเธอโดยเฉพาะเชียวแหละ!

“แพงไม่ต้องการให้ใครมารับผิดชอบทั้งนั้น แพงมาทำงานนะคะ แต่วันๆ แทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย แบบนี้เป็นการไล่ทางอ้อมรึเปล่า ถ้าใช่ก็ไล่กันตรงๆ เลยสิ ทำแบบนี้แพงอึดอัด”

คนตัวเล็กพูดทุกอย่างตามที่คิดโดยไม่ได้ไตร่ตรอง ดวงตาใสแจ๋ววาววับด้วยโทสะ ใบหน้าแดงก่ำเพราะอารมณ์ของเธอพุ่งสูงทะลุจุดเดือดไปเรียบร้อยแล้ว เริ่มมั่นใจมากขึ้นว่าวีรภัทร์ไม่ชอบหน้าเธอจริงๆ

“เดี๋ยวก่อนทั้งสองคน ใจเย็นๆ กันหน่อย” ธีรภัทร์รีบยกมือห้ามทัพ มองหน้าคนโน้นทีคนนี้ทีด้วยความยุ่งยากใจ

“อะไรกันนายวีร์ พูดจาไม่เข้าท่า แพงเองก็เหมือนกัน ใจเย็นๆ ก่อนนะจ๊ะ นี่เรากำลังจะไปทานข้าวกันนะ เรื่องอื่นเอาไว้ก่อนเถอะ”

พิณณิศาได้แต่เม้มปากแน่น จ้องวีรภัทร์อย่างเอาเรื่อง อีกฝ่ายก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์ ปกติแล้วเขามักจะเก็บอารมณ์ได้ดี แต่ทำไมต้องมาหัวเสียกับเรื่องของเด็กคนนี้ด้วยก็ไม่รู้

“พวกนายไปเถอะ เรามีประชุมบ่าย” วีรภัทร์เอ่ยเท่านั้นแล้วเดินหันหลังกลับในตอนที่ประตูลิฟต์เปิดออกพอดี

ประชุมบ่ายอะไรของมันวะ?

ธีรภัทร์คิดอย่างหงุดหงิด ก่อนหันมาปลอบสาวน้อยที่ยืนหน้าหงิกอยู่ข้างๆ “อย่าไปสนใจนายวีร์เลยนะแพง ไม่มีอะไรหรอก สงสัยคงเครียดเรื่องงานน่ะ”

“พี่ธีร์คิดอย่างนั้นจริงๆ เหรอคะ” สาวน้อยย้อนถามด้วยเสียงสะบัด ใบหน้าแดงก่ำเพราะโทสะ

เครียดเรื่องงานเหรอ ชิ...ร้อยไม่เชื่อพันไม่เชื่อ!

ธีรภัทร์ต้องกุมขมับทันที

ดีนะที่เขาสนใจพี่สาวคนโต ถ้าต้องมาคอยรองรับอารมณ์ของน้องสาวคนเล็กคงปวดหัวน่าดู พิณณิศาเด็กเกินไปสำหรับเขาจริงๆ และเด็กแบบนี้ก็ไม่ใช่สเปกของนายธีรภัทร์เสียด้วย!








 

Create Date : 18 ธันวาคม 2557
0 comments
Last Update : 18 ธันวาคม 2557 10:36:39 น.
Counter : 607 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


nawapat
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




...เขียนเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก หนักก็หยุด สนองนี้ดมันไปตามอารมณ์ ^^"...
Friends' blogs
[Add nawapat's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.