พอดีผมมีโอกาสได้เข้าร่วมการพบปะสังสรรค์ของทางสมาคมไทยวีไอ ขอนำการจดบันทึกที่ผมบันทึกเองไว้มาเผยแพร่ เผื่อเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนทุกท่านที่เข้ามาอ่านนะครับ
.
Meeting Thai VI
.
กลุ่มการเงิน
.
เศรษฐกิจไทยที่ผ่านมาโตจากการก่อหนี้ของบุคคล เพราะรัฐบาลไม่ค่อยลงทุน ทำให้การเติบโตต้องมาจากการก่อหนี้ของคนในประเทศ
.
วิธีการดู ให้เริ่มดูจากการเปิดงบ โดยธรรมชาติของกลุ่มนี้ก็คือ งบการเงิน ที่จะบอกความเป็นจริงทุกอย่าง ถ้าผู้บริหารบอกว่าพอร์ตจะโต แต่งบการเงินไม่สะท้อนก็จะบ่งบอกความเป็นจริงได้
.
เขามีทุนเท่าไหร่ จะปล่อยสินเชื่อเท่าไหร่ เราสามารถดูตัวเลขในงบเราก็รู้ ทำให้ง่ายต่อการพิจารณา โดยเราไม่ต้องไปฟังผู้บริหาร
.
คำศัพท์ในกลุ่มนี้
.
สิ่งที่อาจทำให้คนที่ลงทุนในกลุ่มนี้ไม่เข้าใจก็คือ คำศัพท์ทางการเงิน เช่น หนี้สงสัยจะสูญ การตั้งสำรองหนี้ สำหรับนักลงทุนแนวนี้ หุ้นกลุ่มการเงินจะดูง่ายที่สุด
.
ให้เริ่มจากการทำความเข้าใจศัพท์เหล่านี้ และดูต่อยอดไปเรื่อย ๆ ถ้าดูหลาย ๆ ตัวจะเห็นสินเชื่อหลาย ๆ แบบ เห็นคนที่ปล่อยกู้แบบเร่งด่วน และแบบค่อยเป็นค่อยไป ปล่อยโดยไม่สนใจหนี้เสีย หรือปล่อยแบบมีการควบคุม เป็นต้น
.
จะเจอหุ้นที่เราสนใจได้อย่างไร
.
ต้องทำการบ้าน และต้องเลือกอาจารย์ที่ถูกคน เช่น อาจารย์นิเวศน์ พี่เวป พรชัย อาจารย์ต่างประเทศ เช่น วอเรนต์ บัฟเฟตต์ ปีเตอร์ลินซ์ อาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ก็คือ พระพุทธเจ้า
.
การหาเหตุไปถึงแก่นจะช่วยพัฒนาการลงทุนได้ เช่น แบตเตอรี่ก้อนหนึ่ง 100 เหรียญต่อปอนด์ แต่วัตถุดิบที่ใช้ทำแค่ยี่สิบเหรียญ ส่วนต่างก็คือ วิธีการผลิต วิธีการประกอบ
.
หาไอเดียจากพระพุทธเจ้า สาเหตุหนึ่งที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จ ต้องมองเห็นเรื่องราวในอนาคต การจะมองเห็นอนาคต ต้องหาส่วนประกอบแรกสุดที่จะนำไปสู่สิ่งนั้น เราต้องตัดอคติออก เวลามันพุ่งขึ้นไปมันจะไปชนอะไรมั้ย โดยเราต้องอาศัยการปฏิบัติธรรมมาช่วย
.
หลักที่แตกต่างที่ทำให้เราประสบความสำเร็จ
.
สิ่งที่เราต้องทำ คือ เราต้องรู้จักหุ้นให้เยอะที่สุด โดยอ่านแค่สิบถึงสิบห้าส่วนก็พอ เราต้องศึกษาหุ้นที่เราอยากซื้อจริง ๆ จะเหลือกี่ตัว และเราต้องประเมินมูลค่าทุกตัว
.
หลังจากเราผ่านจุดแรกไปแล้ว ก็ใช้ชีวิตในการเสพข้อมูลอย่างเป็นกลาง เริ่มต้นฟังข้อมูลเหล่านั้น และมาวิเคราะห์ว่ามันส่งผลต่อมูลค่าพื้นฐานอย่างไร
.
ทำงบการเงินแบบไปข้างหน้า คือ อะไรที่เป็นปัจจัยส่งผลต่อมูลค่ากิจการ และอะไรที่ส่งผลให้มูลค่ากิจการเปลี่ยนแปลง ต้องทำงานให้เร็ว และเข้าใจให้เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้เสียเวลาในการวิเคราะห์เยอะ
.
เสพข้อมูลใหม่ ดูเชิงเปรียบเทียบตลอดเวลา หากอะไรมันคุ้มค่า ก็ควรเปลี่ยนไปลงทุนในตัวที่น่าสนใจกว่า และต้องคอยเสพข้อมูลใหม่ตลอดเวลา เพื่อมองหาหุ้นที่น่าสนใจ
.
พฤติกรรมการลงทุนอะไรที่เราควรจะหลีกเลี่ยงสำหรับการลงทุน
.
สิ่งที่ทำให้ผลตอบแทนไม่ดีในอย่างที่อยากจะได้ ก็คือ การขายหุ้นเร็วจนเกินไป ด้วยการยึดติดกับมูลค่าหุ้นที่ประเมินได้มากเกินไป แต่เอาเข้าจริงราคาสามารถไปได้กว่าที่เราคิดเอาไว้เยอะ
.
แต่ข้อดีก็คือ การมองโลกที่ดีเกินไปของผู้คนทำให้เขาถูกลงโทษ แต่การขายหมูของเราไม่ถูกลงโทษ มองเป็นข้อดี โดยก่อนซื้อเราต้องเคี่ยวกับกิจการมาก หากเห็นอะไรที่ไม่ดีจะไม่รอให้ถึงไตรมาสหน้า
.
สิ่งที่เป็นปัญหาที่สุด คือ อคติในการลงทุน โดยเรื่องที่เป็นวิชาการเป็นสิ่งที่จับต้องได้ แต่เรื่องที่ยากก็คือ การจัดการกับความคิดตนเอง หรือ ตรรกะวิบัติ นั้นเป็นสิ่งที่ยาก
.
เราต้องดูการตัดสินใจของคนอื่นว่าเขาตัดสินใจผิดหรือไม่ จะได้ทำให้เราคิดว่าเราตัดสินใจผิดหรือเปล่า การตัดสินใจผิดเราต้องตัดให้เร็ว
.
สิ่งที่แก้ยากที่สุดก็คือ การมั่นใจตัวเองมากเกินไป เมื่อไหร่ที่เรามั่นใจมากเกินไป วิเคราะห์ข้อมูลน้อยลง เมื่อนั้นเรากำลังจะแย่ ถ้าเราไม่มีความรู้แต่เรามั่นใจว่าเราถูก นั่นคือเรื่องอันตราย
.
ความผิดพลาดมักมาจากความประมาท โดยความผิดพลาดที่เจอบ่อยก็คือ เรามั่นใจในบริษัทเร็วเกินไป โดยเชื่อว่าเรามั่นใจบริษัทนั้น ๆ ดีพอแล้ว
.
หุ้นที่เคยสร้างความสำเร็จ เช่น #BEAUTY #MALEE #JAS #TCAPปัจจุบันเรื่องราวของกิจการเปลี่ยนไปหมดแล้ว โดยบางครั้งเราเห็นงบแล้ว แต่ตลาดยังไม่รู้ ทำให้เราหนีทัน
.
บางครั้งการที่เรามองภาพยาวเกินไป ทำให้เราไม่สนใจภาพสั้น และเชื่อผู้บริหารมากเกินไป ทำให้เราไม่หลบไปก่อน และนั่นทำให้เราผิดพลาด
.
Solution ในการลงทุนของเราเป็น Case Study
.
กรณีศึกษา #BEAUTY เป็นข้อผิดพลาดที่เราไปเชื่อว่าเราสามารถมองอนาคตได้ โดยตอนที่เราซื้อบิวตี้ก็ซื้อ ๆ ขาย ๆ โดยซื้อไป 2 บาท โดยไอเดียที่ว่า เป็นหุ้นค้าปลีก เติบโตดี
.
ตอนเข้าไปซื้อช่วงที่สอง เห็นราคาถล่มลงมา เพราะเห็นเขาค้าส่งไปยังโมเดิร์นเทรดเยอะมาก โดยวิธีการขายส่งจะขายได้เยอะ รับรู้กำไรได้ทีละมาก ๆ เมื่อเขาเริ่มเข้าสู่การค้าส่งจะทำให้งบโตเร็วมาก ซึ่งก็โตเร็วจริง ๆ
.
ช่วงที่เริ่มแย่ คือ เริ่มเกิดสินค้าตัวชูโรง ทำให้รายได้ และกำไรเติบโตเร็ว ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิว แต่ความนิยมตัวสินค้าขายดีอยู่ไม่นาน ทำให้เริ่มแผ่ว และราคาหุ้นก็ตกต่ำมาเรื่อย ๆ
.
เคส #TKN ตอนแรกที่ลงทุน คิดง่าย ๆ ว่า เป็นธุรกิจระดับประเทศมีแบรนด์แข็งแกร่ง ซื้อไปคิดว่าเป็นราคาที่ยุติธรรม และคิดว่าจะโตปีละสิบถึงสิบห้าเปอร์เซ็นต์ โดยซื้อตั้งแต่เข้าไอพีโอ 5 บาท และถือมาเรื่อย ๆ
.
วันที่ตัดสินใจขาย คือตอนเกือบสูงสุด ถือว่าค่อนข้างฟลุ๊ก โดยคิดว่า สิ่งที่เป็นแบบนี้จะไปได้นานแค่ไหน เพราะคิดว่า มันมีจริงหรือที่จะมีบริษัทที่เติบโต 20% ได้ตลอดเวลา และได้เดินทางไปต่างประเทศดูสินค้าต่างประเทศตามร้านสะดวกซื้อ เห็นว่าสินค้าเถ้าแก่น้อย ถือว่าแพงกว่าราคาสินค้าทั่วไป ทำให้คิดได้ว่าสินค้าเหล่านี้จะขายได้ดีในช่วงแรก ๆ เท่านั้น
.
หากจะเพิ่มยอดขายต้องมีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เกิดขึ้น และน่าจะขายได้ยากขึ้น เลยตัดสินใจขายไปก่อน คิดว่าถ้าผิดก็ยังกลับมาซื้อได้ โดยการขายของในต่างประเทศก็ไม่ดีจริง ซึ่งกว่าจะเกิดขึ้นก็ดีเลย์มาปีกว่า ๆ
.
สิ่งที่เราไม่เคยเชื่อก็คือ อะไรที่ใหญ่ ๆ แค่ทีเดียว แล้วมันจะมีคุณค่าไปตลอด คน ๆ หนึ่งอาจทำสิ่งที่มีค่าได้มากแค่ไหนก็ได้ แต่สิ่งที่ดีกว่า ก็คือ การทำสิ่งดี ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ แต่สม่ำเสมอจะดีกว่า
.
โดยนำสิ่งนี้มาใช้กับพอร์ต คือ ไม่เคยซื้อหุ้นตัวเดียวเต็มพอร์ต ไม่เคยอัดมาร์จิ้น แต่อาศัยการเก็บเล็กผสมน้อยไปเรื่อย ๆ ทุกตัว แต่ใช้เวลายาวนานให้ประสบความสำเร็จ
.
วิธีการประสบความสำเร็จก็คือ พยายามอย่าผิดพลาด แต่ให้ถูกบ่อย ๆ และรักษาระยะให้สม่ำเสมอจะดีกว่า
.
การจัดพอร์ตโดยการตัดสินตามความสามารถของบริษัท ตัวไหนที่ดีก็อาจซื้อซักครึ่งพอร์ต โดยต้องชอบสุด ๆ ถึงจะซื้อครึ่งพอร์ต โดยไม่กำหนดว่าควรมีหุ้นกี่ตัว แต่จะคิดว่าตัวไหนดี
.
เคส #JMART ที่ซื้อไปตอนนั้นก่อนจะขึ้นไป ที่ซื้อเพราะความหวังจาก J FINTECH เพราะธุรกิจมือถือกำไรน้อย แต่ถ้าธุรกิจสินเชื่อจะกำไรเร็วมาก และดีมาก
.
แต่ปัญหาของ J FINTECH เขาเป็นบริษัทลูก ทำให้งบของเขาเราต้องไปแกะอีกที ดูว่ากำไรเท่าไหร่นั้นไม่ยาก แต่จะดูว่าพอร์ตสถานะเป็นอย่างไร ยาก และธุรกิจเป็นสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน เวลาตั้งต้องตั้งเต็มก้อน ไม่สามารถมีอะไรมาหักได้ หากเป็นหนี้เสีย ต้องตั้งเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ และต้องตัดหนี้เสียเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ หากค้างชำระเกินสามเดือน
.
เคส #SIRI เล่นเพราะหุ้นพีอีต่ำ และขายดี เจวีกับบีทีเอส ก็ทำได้ดี โลเกชั่นดี แต่พอเห็นงบแต่ละไตรมาส ทำให้รู้ว่าเราเข้าใจไม่มาก เพราะค่าใช้จ่ายที่บุ๊ก เป็นค่าใช้จ่ายจริง แต่รายได้ที่บุ๊กเป็นรายได้ที่เกิดขึ้นไปแล้ว ทำให้มันมิสแมทกัน ทำให้เราไม่สามารถทำนายต้นทุนเขาได้เลย ทำให้รู้สึกว่ากลุ่มอสังหาฯ เป็นกลุ่มที่ยากเกินไป
.
(จบ) บันทึกโดย #นายแว่นลงทุน