|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
มาตรฐานเรากับมาตรฐานเขา
ผมเคยพูดว่า "ในชีวิตจริง คนเราต้องมี 2 มาตรฐาน" ไม่เกี่ยวกับการเมืองนะครับ อย่าเอาไปรวมกัน ..... 2 มาตรฐานในชีวิตจริงคือ "มาตรฐานของเรา" และ "มาตรฐานของเขา" ซึ่งทั้ง 2 มาตรฐานนี้แหละที่เราจะมีการใช้มันในเรื่องที่ต่างกัน
เมื่อเราพูดถึงหรือทำอะไรที่เกี่ยวกับตัวเราเอง อย่างเรื่องของความชอบส่วนตัว การแต่งตัว การเลือกซื้อเลือกใช้ของ อาหารการกิน เป็นต้น...เรื่องเหล่านี้เราต้องใช้มาตรฐานของเราครับ.......แต่เมื่อเรากำลังพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับคนอื่นหรือส่วนรวม เช่น ความชอบส่วนตัวของคนอื่น การแต่งตัวของคนอื่น หรือการที่เราทำอะไรที่ต้องไปเกี่ยวกับส่วนรวม เรื่องพวกนี้เราต้องใช้มาตรฐานของคนอื่นครับ
ผมจะมาพูดถึงเรื่องพวกนี้ทำไม? ผมพูดถึงเรื่องนี้เพราะทุกวันนี้คนไทยมักจะทำผิดไป ซึ่งก็มีอยู่ 2 ประเภทครับ คือ.... 1. กลุ่มที่มีมาตรฐานเดียวโดยเอามาตรฐานของคนอื่นมาเป็นมาตรฐานของตัวเอง กลุ่มนี้ก็คือกลุ่มที่ทำตามคนอื่นไปเรื่อยๆ และคาดหวังให้คนอื่นทำเหมือนที่ตัวเองทำรวมถึงว่าหรือตำหนิคนที่ไม่ทำเหมือนตัวเอง
2. กลุ่มที่มี 2 มาตรฐานแต่ใช้ผิด คือเอามาตรฐานตัวเองไปใช้กับคนอื่นแล้วเอามาตรฐานของคนอื่นมาใช้กับตัวเอง กลุ่มนี้จะชอบทำตามคนอื่นในเรื่องของตัวเอง และอยากให้คนอื่นทำตามแบบนั้นด้วย คล้ายกับแบบแรกหรือจะเรียกว่าเหมือนกันก็ได้ แต่คนกลุ่มนี้มักจะพูดเหมือนกับว่าสนับสนุนการเป็นตัวของตัวเองไม่ตามใคร ถ้าเราทำตามแบบตัวเองจริงๆ เขาจะตำหนิเราที่ฉีกออกไป หรือพูดประมาณว่า "แบบนี้ไม่มีใครเขาทำกันหรอก" เนื่องจากใจจริงแล้วคนกลุ่มนี้จะต้องการให้เราทำตามคนอื่นหรือทำตามแบบที่เขาอยากให้ทำ ซึ่งก็คืออยากให้ทำตามคนส่วนใหญ่นั่นเอง
สรุปแล้วก็คือคนไทยยังส่วนใหญ่ยังใช้มาตรฐานแบบผิดๆ อยู่และผลที่ได้คือการทำตามคนอื่นไปเรื่อยๆ จนระดับความเข้าใจเกี่ยวกับการเป็นตัวของตัวเองเหลืออยู่น้อยมาก ถึงแม้ว่าจะมีการสนับสนุนให้คนเป็นตัวของตัวเองอยู่แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้ความเข้าใจในจุดนี้ของคนส่วนใหญ่ขึ้นมาอยู่ในระดับที่ควรเป็นได้ คนส่วนใหญ่ยังคงขาดความเข้าใจในเรื่องนี้อยู่ดี......สังเกตุดูสิครับ ทุกวันนี้คนไทยแห่ทำอะไรตามๆ กันไปหมด แต่งตัวตามกัน(ใส่ขาเดฟขาลีบกันทั่วประเทศ) ใช้ของตามกัน(เช่นรองเท้าที่พอยี่ห้อไหนนิยมทุกคนก็แห่ซื้อใช้ หรือโทรศํพท์ที่คนแห่ใช้กัน) เป็นต้น....ที่จริงมีอีกหลายอย่างครับ ลองไปสังเกตุกันดู
ทีนี้ที่มันควรเป็นคือ..... เราควรใช้มาตรฐานของเราเมื่อมันเป็นเรื่องส่วนตัวของเราเอง เช่นเราจะแต่งตัว ก็ควรแต่งแบบที่เราพอใจจะแต่งจริงๆ ไม่ใช่ว่าแต่งเพราะใครๆ ก็แต่ง ใครๆ ก็บอกว่าแบบนี้ดูดี.....ความชอบส่วนตัวเราก็ควรที่จะชอบเพราะเราชอบมัน ไม่ใช่เพราะใครๆ ก็กำลังนิยม.....การเลือกซื้อเลือกใช้ของก็ควรจะเลือกเพราะเราชอบมันจริงๆ หรือมันเหมาะกับความต้องการของเรา ไม่ใช่เพราะใครๆ ก็ใช้
ส่วนการใช้มาตรฐานของเขาคือ เราต้องทำความเข้าใจได้ว่านั่นคือสิ่งที่เจ้าตัวเขาชอบหรือพอใจแบบนั้น ซึ่งมันอาจไม่ตรงกับเราก็ได้ เราอาจไม่คิดว่าสิ่งนั้นดีแต่นั่นคือมาตรฐานของเขา เจ้าตัวเขามองว่าสิ่งนี้ดีแล้วและเราก็ต้องยอมรับในมาตรฐานของเขาด้วยแม้ว่าเราอาจมองว่านั่นมันไม่ดีในมาตรฐานของเรา เราอาจแนะนำอะไรเพิ่มเติมก็ได้ เช่นการแนะนำตัวเลือกที่ดีกว่าก็สามารถทำได้ครับ แต่ควรเป็นการเอาความจริงมาคุยกัน ต้องไม่ใช่ไปพูดแบบพยายามโน้มน้าวให้เขาเห็นด้วยกับเราโดยการโจมตีตัวเขาหรือสิ่งที่เขาชอบ อย่างการบอกว่า อันนั้นมันไม่ดี ไม่เห็นสวย เชย ไม่ทันสมัย หรืออย่างเช่นบ้าญี่ปุ่นล่ะสิถึงใช้แบรนด์ญี่ปุ่น เป็นต้น เมื่อบอกเขาแล้วก็ขึ้นอยู่กับเจ้าตัวแล้วว่าจะตัดสินใจยังไง
เมื่อเราเห็นคนอื่นแต่งตัวตามแบบของเขา ก็ต้องไม่ไปว่าเขาว่าแต่งตัวน่าเกลียดเชย ไม่ทันสมัย ดูไม่ดี เพราะเขาไม่ได้แต่งตัวตามสมัยนิยมหรือตามที่ใจเราคิดหรือคาดหวังหรือไม่ได้เหมือนกับมาตรฐานของเรา ต้องเข้าใจว่านั่นคือมาตรฐานของเขา.....เมื่อเห็นคนอื่นมีบ้านที่ไม่ตรงใจกับเรา ก็ต้องเข้าใจได้ว่านั่นมันเป็นบ้านของเขา เจ้าของบ้านมีสิทธิ์เต็มร้อยที่จะทำให้บ้านของตัวเองเป็นแบบที่เขาต้องการหรือชอบ ซึ่งถ้าบ้านนั้นจะไม่ตรงกับมาตรฐานในใจของเราเลยเราก็ต้องยอมรับมันไปทั้งอย่างนั้นไม่ใช่ไปพูดว่าทำไมไม่ทำอย่างนั้นหรืออย่างนี้ล่ะ อย่างนี้น่ะไม่ดีเลย อย่างของฉันนี่สิดีกว่า หรืออะไรแบบนี้ ซึ่งนั่นมันจะกลายเป็นการไปก้าวก่ายหรือเอามาตรฐานของเราไปใช้กับเขาหรือเรียกว่าเป็นการเอาโลกของเราไปให้คนอื่นทันทีครับ
ลองนึกดูว่าการถามว่า "ทำไมไม่เอาอย่างนั้นล่ะ?" กับ "ทำไมถึงเลือกแบบนี้เหรอ?" มันให้ความหมายที่ต่างกันอยู่นิดๆ นะครับ การถามแบบแรกมันเหมือนการตั้งเป้าไว้ในใจแล้วถึงได้มาถามว่าทำไมไม่เอาตามที่อยู่ในใจฉัน(ผู้ถาม) แต่แบบหลังเป็นการถามเพราะอยากรู้ว่าเพราะอะไรถึงได้เลือกทำแบบนี้ ซึ่งผมมองว่าแบบแรกมันแฝงการก้าวก่ายมาด้วย แต่แบบหลังเป็นการแบบสงสัยเฉยๆ ไม่มีการก้าวก่ายกัน.....เราต้องเข้าใจให้ได้ว่าสิ่งที่เราทำคนอื่นอาจทำไม่เหมือนกับเราก็ได้
ส่วนการวิจารณ์ ผมมองว่าเราสามารถพูดถึงสิ่งต่างๆ ได้เต็มที่แม้จะเป็นการพูดด้านลบเกี่ยวกับสิ่งที่อีกฝ่ายชอบก็ตาม แต่ก็ต้องเป็นการพูดในแบบที่อธิบายได้ไม่ใช่การด่าเอามันส์หรือสนุกปากเท่านั้นครับ และต้องเป็นการพูดถึงสิ่งนั้นๆ เท่านั้น ไม่ใช่การไปพูดถึงความชอบของอีกฝ่าย......เช่น หนังหรือละครเรื่องนี้เราคิดว่ามันถ่ายทำไม่ดีหรือพลาดหลายจุด (อะไรก็ว่าไป) หรืออาจแรงกว่านี้เพราะเวลาคุยจริงมันมักมีคำพูดที่แรงกว่านี้แน่นอนครับ แต่ต้องไม่ใช่ไปบอกว่าละครหรือหนังมันห่วย ห้ามดูเด็ดขาดเลยนะ หนังห่วยอย่างนี้ไม่ต้องไปดูมันหรือบางครั้งก็รวมไปถึงการไปว่าคนที่ชอบด้วย เช่น คนที่ชอบของอย่างนี้ได้ก็มีแต่พวกปัญญาอ่อนเท่านั้น อะไรแบบนี้ถือว่าไม่ถูกต้องครับ
ตัวอย่างหนึ่งที่ผมเพิ่งเห็นในเวบพันทิปมาก็คือ กระทู้ที่เกี่ยวกับ โมเดล เกมส์ การ์ตูน และอื่นๆ ที่เจ้าของกระทู้มักจะโดนใครว่ามาว่าโดแล้วทำไมยังชอบของพวกนี้อยู่อีกปัญญาอ่อน อะไรแบบนี้ ซึ่งตรงนี้มันคือ "มาตรฐานของเขา(เจ้าตัวคนที่ชอบ)" เลยครับ เราต้องยอมรับ จะเอาแต่ "มาตรฐานของเรา" ไปตัดสินไม่ได้ลองมองอีกมุมนึงดู ของที่เขาชอบเราไปว่าของเขาว่าปัญญาอ่อน ของที่เราชอบเขาก็อาจมองว่าไร้สาระเหมือนกันก็ได้
มาตรฐานของเขา ยังรวมไปถึงกรณีที่เราออกไปในที่สาธารณะด้วย ถ้าเราเคยอยู่ที่บ้านแล้วพูดคุยกันเสียงดังได้ เมื่อออกไปในที่สาธารณะซึ่งก็ถือเป็นที่ของส่วนรวมเราก็ต้องไม่ใช้มาตรฐานของเราแล้วครับ ต้องใช้มาตรฐานของเขาหรือมาตรฐานของคนอื่นนั่นเอง คือก็ไม่ควรจะไปพูดคุยกันเสียงดังในที่สาธารณะเพราะมันอาจรบกวนคนอื่นได้นั่นเอง
เรื่อง มาตรฐานของเรา กับ มาตรฐานของเขา นี่ใช้ได้กับทุกเรื่องนะครับ แบ่งให้ได้ว่าอะไรที่เป็นเรื่องส่วนตัวเรื่องของเราเองและอะไรที่เป็นเรื่องของคนอื่นหรือเรื่องที่มีผลถึงส่วนรวม......พิจารณาเรื่องนี้ดีๆ จะพบว่าที่จริงแล้วมันคือเรื่องของการรู้จักตัวเอง การยอมรับคนอื่น กาลเทศะ มารยาท และการคิดเพื่อส่วนรวมนั่นเองครับ
ถ้าเราสามารถเอามาตรฐานทั้ง 2 อันนี้มาใช้ได้ซึ่งมันจะทำให้เรากลายเป็นคนที่มีความเป็นตัวของตัวเอง มั่นใจแต่ไม่ก้าวก่ายความเป็นตัวของตัวเองของคนอื่นและรู้จักที่จะคิดเพื่อส่วนรวมมากขึ้น เราก็น่าจะขยับเข้าใกล้สังคมแบบที่คนเคารพสิทธิ์กันและถ้อยทีถ้อยอาศัยกันมากขึ้นครับ
นาย nyo
Create Date : 30 มิถุนายน 2558 |
|
1 comments |
Last Update : 30 มิถุนายน 2558 0:54:14 น. |
Counter : 1660 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 20 คน [?]
|
สงวนลิขสิทธิ์ ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ 2539 ห้ามผู้ใดทำการคัดลอก ส่วนใดส่วนหนึ่งของบล๊อกนี้ไปเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของบล็อค
ติดต่อผมได้ที่ naai.nyo@gmail.com
____________________
บล๊อกนี้ผมเขียนขึ้นมาจากสิ่งที่ผมไปรู้ไปเห็นมาก็เลยเอามาเล่าต่อเพื่อเป็นการแชร์ความรู้กัน หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นบ้างไม่มากก็น้อยครับ
กรูณาใช้ภาษาให้เหมาะสมในการแสดงความคิดเห็นด้วยนะครับ
|
|
|
|
|
|
|