ตัวของเรา สไตล์ของเรา ทำไมต้องเหมือนใคร
Group Blog
 
<<
มกราคม 2557
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
17 มกราคม 2557
 
All Blogs
 
เป็นตัวของตัวเอง...แตกต่าง...เส้นทางที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

สวัสดีปีใหม่ครับ
ต้องขออภัยที่หายหน้าไปนาน ผมไปทำงานไม้แบบ DIY อยู่ครับ

คือหลังจากที่ผมปรับปรุงบ้านเสร็จไปแล้ว เก็บของหนีน้ำท่วมไปแล้ว คราวนี้ก็ถึงเวลาที่เราจะจัดของเข้าที่กัน แต่ก็ยังไม่ได้จัดให้เรียบร้อยเลย เพราะอะไรหรือครับ ก็เพราะว่ามันยังไม่มีที่จะจัดเก็บของให้เข้าที่ได้ เนื่องจากขนาดบ้านไม่มาตรฐานและของที่ผมอยากได้มันไม่มีขายครับ สุดท้ายการทำเองจึงเป็นทางออกสำหรับผม....อันนี้ไว้วันหลังผมค่อยมาเล่าดีกว่า มาเข้าหัวข้อของวันนี้กันเลยครับ


จากที่ผมเคยเขียนเรื่องเกี่ยวกับการเป็นตัวของตัวเองในหัวข้อ "จำเป็นไหมที่เราต้องเหมือนคนอื่น" ใครที่ยังไม่เคยได้อ่านลองกลับไปเวอร์ชั่นเต็มดูได้ครับ แต่ถ้าขี้เกียจอ่านผมจะสรุปให้ง่ายๆ ตรงนี้ว่าผมเคยบอกว่า คนเราควรจะเป็นตัวของตัวเองและแตกต่างกันเพราะเพราะเราไม่ได้ถูกผลิตมาเป็นบล๊อคมาจากโรงงานไหน แล้วผมก็สนับสนุนให้คนเป็นตัวของตัวเองด้วย

ตัวผมเองก็ทำอะไรตามสไตล์ตัวเองไม่ตามใครและมักจะไม่ค่อยเหมือนใครด้วย แน่นอนว่ามันไม่ใช่ว่ามันจะไม่ซ้ำใครเลย มันก็อาจซ้ำแต่มันไม่ได้ซ้ำเพราะผมทำตามเขา มันซ้ำเพราะผมพอใจจะทำแบบนี้แล้วมันก็ไปเหมือนกับอีกคนเข้า มันต่างจากการซ้ำเพราะทำเนื่องจากเห็นคนอื่นๆ ทำกันเลยทำบ้างนะครับ

และเมื่อครั้งที่เกิดเรื่องที่ทำให้ผมหงุดหงิดขึ้นมา เนื่องจากมีการก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวของผม....ซึ่งเรื่องครั้งนั้นทำให้ผมนึกย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยก่อนตอนที่ผมเริ่มจะแสดงความเป็นตัวของตัวเองออกมา ซึ่งก็มีปัญหาไม่น้อย มันไม่ง่ายนักครับที่จะจัดการกับเรื่องแบบนั้นได้ ทุกวันนี้ปัญหาเหล่านั้นลดลงครับแต่ก็ยังไม่หมดไป มันยังมีเข้ามาเป็นพักๆ

และจากความเห็นของหลายคนในเรื่อง "จำเป็นไหมที่เราต้องเหมือนคนอื่น" ที่อยากจะออกมาเป็นตัวของตัวเองแต่ไม่กล้าหรือยังกล้าๆ กลัวๆ อยู่ ผมก็เลยอยากจะเล่าถึงประสบการณ์ตรงของผมในการที่จะออกมาเป็นตัวของตัวเองว่าเราจะต้องสู้กับปัญหาอะไรบ้าง เพื่อให้คนที่อยากจะออกมาแสดงความเป็นตัวของตัวเองแต่ยังกล้าๆ กลัวๆอยู่ให้ได้เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมแล้วก็ออกมาเป็นตัวของตัวเองกันครับ


การที่เราจะเป็นตัวของตัวเองนั้น มันก็มีอุปสรรคอยู่บ้างครับ ซึ่งถ้าเราผ่านอุปสรรคเหล่านี้ไปได้เราจะได้เห็นอะไรที่ต่างไปจากเดิม อุปสรรคที่ว่านี้คือปัญหาจากคนรอบข้างครับ บางอย่างก็เป็นแค่เรื่องกวนใจแต่ถ้าทนไม่ได้มันก็จะเป็นตัวบั่นทอนกำลังใจสำหรับคนที่กำลังเริ่มออกมาเป็นตัวของตัวเองได้ครับ ปัญหาเหล่านั้นคือ



- ความชอบความสนใจของคุณอาจถูกตำหนิหรือต่อว่า
การต่อว่าจากคนรอบข้างเมื่อเราชอบหรือสนใจอะไรไม่เหมือนกับกระแสส่วนใหญ่...คนรอบข้างจะว่าเราต่างๆ นานา อย่างเช่นผมที่ชอบญี่ปุ่น (ที่จริงมีเยอรมันด้วยแต่เป็นรองญี่ปุ่น) ไม่ได้ชอบฝรั่งหรือเกาหลีอย่างที่คนทั่วไปชอบกัน สิ่งที่ผมเจอคือคนมักจะว่าผมว่า "บ้าญี่ปุ่น" อะไรๆ ก็ญี่ปุ่น แต่จริงๆ แล้วผมไม่ได้บ้าญี่ปุ่นครับ ผมแค่ชอบเพราะมันมีอะไรหลายๆ อย่างที่ตรงกับความสนใจ ความต้องการ หรือสไตล์ของผม

ลองคิดตามดูครับว่ามันผิดตรงไหนที่ของญี่ปุ่นมันตอบโจทย์ของผมได้มากกว่าของที่อื่นในเมื่อมันตอบโจทย์ของเราได้มากกว่า เราก็มีสิทธิ์ที่จะชอบมัน ไม่ใช่ว่าเราจะต้องไปชอบอย่างอื่นที่ตอบโจทย์ได้น้อยกว่าแต่เพราะคนอื่นๆ นิยมกัน อย่างนั้นมันไม่ใช่การเป็นตัวของตัวเองแล้วครับ มันไม่ใช่ความผิดของผมเลยที่ของญี่ปุ่นมันจะตอบโจทย์ของผมได้มากกว่าของฝรั่ง...ทุกคนก็เหมือนกันครับ มันไม่ใช่ความผิดของคุณเลยที่คุณอาจจะชอบไม่เหมือนคนอื่นๆ



ความหลากหลายในการแต่งตัวของคนญี่ปุ่น ที่ต้องเรียกว่าทุกอย่างเป็นไปได้ไม่ต้องตามเทรนด์

ทั้งหมดที่เล่ามานี้ผมเจอมากับทุกเรื่องครับ ทั้งการเลือกใช้สินค้าต่างๆ เรื่องแนวคิดที่สนใจการแต่งตัว ไลฟ์สไตล์ มุมมอง สื่อบันเทิงทั้งหนัง ซีรี่ส์ เพลง เพียงเพราะแค่ของทางญี่ปุ่นมันตอบโจทย์ผมได้มากกว่าเท่านั้น แต่ว่าปัญหานี้จะไม่เกิดถ้าความเป็นตัวคุณเป็นคนที่ชอบอะไรที่อยู่ในกระแสตลอดกาลอย่างทางพวกฝรั่ง เช่น อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศษ อิตาลี ออสเตรเลีย เป็นต้นครับ สำหรับเกาหลีคุณอาจจะเจอบ้างซึ่งก็ไม่มากนักเพราะกำลังอยู่ในกระแสนิยม แต่ถ้าเป็นอะไรที่อยู่นอกกรอบของกระแสหลัก ให้เตรียมใจไว้ได้เลยครับ โดนแน่ๆ




- การแต่งตัวของคุณอาจถูกมองว่าเชยหรือดูไม่ดี
มาถึงการแต่งตัว เมื่อคุณเป็นตัวของตัวเองก็คงไม่แปลกที่คุณจะอยากใส่อะไรตามใจตัวเอง ใส่ตามที่ตัวเองชอบ ตามสไตล์ตัวเองใช่มั้ยครับ ถ้าคุณชอบสไตล์ฝรั่งอย่างอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศษ อิตาลี ออสเตรเลีย หรือสไตล์เกาหลีก็คงจะไม่เป็นปัญหาสักเท่าไหร่ แต่ถ้าคุณชอบอะไรที่ต่างออกไปละก็ปัญหามาถึงคุณแล้วล่ะครับ

เมื่อเรามีความชอบที่แตกต่างออกไปแล้วเราแต่งตัวตามแบบฉบับของตัวเอง ทีนี้ล่ะครับที่คนอื่นๆ จะวิจารณ์และพูดถึงการแต่งตัวของเราว่า "ดูไม่ดี" บ้าง "น่าเกลียด" บ้าง "เชย" บ้าง ด้วยเหตุผลว่ามันไม่ตรงกับเทรนด์ในขณะนั้น มันไม่ใช่อะไรที่คนนิยมใส่กันมันไม่ใช่อะไรที่คนใส่กันทั่วบ้านทั่วเมืองครับ แต่ถ้าเราไปใส่เหมือนกับคนอื่นๆ มันก็ไม่ใช่แบบที่เป็นตัวเราสิ จริงมั้ยครับ

อย่างเช่นผม ชอบใส่เสื้อผ้าแบบเรกูล่าร์ฟิต รีแลกซ์ฟิต และลูสฟิต ไม่ชอบพวกสลิมฟิต ไทท์ฟิต แต่เทรนด์ยุคนี้ต้องเป็นพวกสลิมฟิตกัน การใส่แบบลูสฟิตก็จะถูกมองว่าดูไม่ดีหรือน่าเกลียดได้ครับ ซึ่งผมไม่ได้ใส่ใจกับการที่คนบอกว่าน่าเกลียดสักเท่าไหร่ แต่ก็รำคาญบ้างเวลาคนชอบมาบอกว่าควรจะใส่อย่างนั้นอย่างนี้




- อาจถูกมองว่าไม่รู้จักโต
คนไม่น้อยที่ใช้ชีวิตเป็นสูตรสำเร็จมักจะมองว่าเมื่อโตขึ้นจะต้องทำตัวอย่างนั้นอย่างนี้ สนใจนั่นสนใจนี่ เมื่อเราสนใจสิ่งที่ต่างหรือทำตัวต่างออกไป คนกลุ่มนี้ก็จะรู้สึกว่าเราไม่ได้ทำตามสูตรสำเร็จตามที่อยู่ในใจของพวกเขา แล้วเราก็จะถูกมองว่าไม่รู้จักโตได้ครับ


ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบุคลิกท่าทาง เรื่องความสนใจ การแต่งตัว ทรงผม เรียกได้ว่าแทบจะทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวเรา ถ้ามันไม่เหมือนกับกระแสส่วนใหญ่แล้วล่ะก็มีปัญหาแน่ๆ ครับ แต่ถ้าควาเป็นตัวคุณมันสอดคล้องกับกระแสก็จะทำให้คุณเจอปัญหาน้อยกว่ามากๆ หรืออาจจะไม่เจอเลยก็ได้ เช่นถ้าสไตล์ของคุณคือสไตล์อังกฤษ ชอบแต่งตัวแบบอังกฤษ ชอบบุคลิกแบบชาวอังกฤษ มีแนวคิดแบบชาวอังกฤษ มันจะไม่เป็นปัญหาเลยครับเพราะเป็นสไตล์ในกระแสหลักและคนส่วนมากก็นิยมสไตล์นี้อยู่แล้ว แต่ถ้าคุณมีสไตล์ที่ต่างออกไปเรื่องนี้จะกลายเป็นปัญหาทันทีเลย


อย่างกรณีของผมซึ่งเชื่อว่าผู้อ่านคงจะรู้อยู่แล้วว่าสไตล์ของผมคือญี่ปุ่น ผมชอบญี่ปุ่นในหลายๆ ด้านเพราะความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น สื่อบันเทิงต่างๆ แนวคิดต่างๆ การแต่งตัว และบุคลิกที่มีความมั่นใจแต่ยังมีความสำรวมและดูไม่กร่าง ซึ่งเมื่อเอาสิ่งเหล่านี้มาใช้ประกอบกับผมไม่มีมาดไม่ได้วางมาดแบบอเมริกันผมก็ถูกคนมอง ว่าไม่รู้จักโตเพราะว่าผมไม่ได้ใช้แนวทางของฝรั่งซึ่งอยู่ในกระแสนั่นเองล่ะครับ เพราะงั้นถ้าความเป็นตัวคุณไม่ได้อยู่ในกระแสแล้วก็เผื่อใจสำหรับเจอปัญหานี้ไว้บ้างครับ




- อาจถูกคนอื่นมองว่าเก็บตัว
การที่เราเป็นตัวของตัวเอง เราก็อยากจะทำในสิ่งที่เราพอใจจะทำไม่ใช่การทำเพราะใครๆ ก็ทำ ถ้าเราไม่อยากทำเราก็ไม่ทำ ถูกมั้ยครับ การชวนไปที่ต่างๆ บางครั้งเราก็อยากนอนอยู่บ้านทำอะไรที่เราชอบ บางครั้งเราก็แค่อยากจะนอนอ่านหนังสือ ดูหนังหรือทำสิ่งที่สนใจหรืออยากทำที่บ้านมากกว่าที่จะออกไปข้างนอก ทำสิ่งที่คนอื่นๆ นิยมทำกัน

ปัญหานี้จะเกิดกับคนที่ไม่ได้ชอบอะไรตามที่สังคมส่วนใหญ่ ทำให้เราไม่ได้ต้องการทำในสิ่งที่คนนิยมทำ ไม่ได้ชอบหรืออยากไปในที่ๆ คนชอบไปกันซึ่งก็จะทำให้บางคนมองว่าเราเก็บตัวได้ครับ

อย่างที่ผมเคยเจอคือ เวลามีคนชวนไปดูหนังผมก็ไม่ค่อยไปเพราะไม่ค่อยมีหนังที่ผมสนใจ ชวนไปคาราโอเกะผมก็ไม่ไปเพราะผมไม่ชอบร้องคาราโอเกะ ชวนไปโบว์ลิ่งผมก็ไม่ได้ชอบเล่นโบว์ลิ่งเล่นไม่เป็นด้วยก็เลยไม่ไป ผับเทคผมก็ไม่ไปเพราะผมไม่ชอบเสียงดัง เหล้าเบียร์ก็ไม่กิน ไม่ได้กระแดะนะครับแค่เคยชิมแล้วรู้สึกว่ามันไม่อร่อยผมเลยไม่กิน ชวนไปทะเลผมก็ไม่ไปเพราะผมไม่ชอบการไปนั่งๆ นอนๆ กลางคืนก็เล่นไพ่อย่างที่คนชวนจะไปทำกัน ไม่ชอบลงเล่นน้ำทะเลด้วย แต่ถ้าเป็นการชวนไปเที่ยวแบบวันเดียวกลับหรือไปแบบมีเรื่องให้ทำไม่ใช่ไปนั่งๆ นอนๆ คือเช้าก็ออกไปทำกิจกรรมเช่นไปเที่ยวตามที่ต่างๆ บ่ายแก่ๆ ก็เข้าที่พักอะไรแบบนี้ผมก็ไปครับ แต่หลายครั้งที่ผมก็อยากอยู่บ้านทำสิ่งที่ตัวเองสนใจมากกว่าที่จะออกไปข้างนอกแล้วทำสิ่งที่คนอื่นอยากให้ทำในเวลาว่างของผมเอง สุดท้ายผมก็เลยโดนคนไม่น้อยมองว่าเก็บตัว ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็แค่ไม่มีอะไรที่ผมสนใจผมก็ไม่ไป อยากให้ผมไปก็ชวนไปในแบบที่ผมสนใจสิ ถ้าผมสนใจผมก็ไป ถ้าคุณเป็นแบบเดียวกับผมนี่ก็จะเป็นปัญหากวนใจอีกอย่างครับ




- อาจมีปัญหาในการพูดคุย
เมื่อมันเป็นสิ่งที่เราชอบมันก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะพูดถึงมันบ่อยกว่าอย่างอื่นเช่นเวลาที่พูดถึงอะไรที่ดีเราก็จะนึกถึงสิ่งที่เราชอบก่อน หรือบางครั้งเราก็อยากจะเล่าสิ่งที่เราสนใจให้คนอื่นที่ไม่รู้เรื่องนั้นๆ ฟังเพื่อให้เขาได้รู้บ้าง ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรถ้าเราไม่ได้ไปบังคับให้เขามาชอบเหมือนกับเรา แต่นี่ก็จะเป็นปัญหาได้อีกเหมือนกันครับ ถ้าเราไม่ได้ชอบอะไรที่อยู่ในกระแสหรือเป็นที่นิยมของคนอื่นๆ

ตัวอย่างสำหรับกรณีนี้ก็คือ ผมชอบญี่ปุ่นเพราะเขามีอะไรดีๆ อยู่เยอะ ชอบการ์ตูนญี่ปุ่นเพราะมีความหลากหลาย หลายครั้งผมดูเอาเนื้อหาเพราะมันมีอะไรน่าสนใจกว่าหนังคนแสดง ผมก็เคยคุยกับคนอื่นบ้างอย่างการยกตัวอย่างเรื่องดีๆ น่าสนใจผมก็ยกตัวอย่างจากญี่ปุ่น บางครั้งคุยกันเรื่องบันเทิงเรื่องหนังผมพูดถึงหนังญี่ปุ่นอยู่บ่อยๆ บางครั้งก็เอาเนื้อหาของการ์ตูนไปเล่าบ้างเพราะผมมองว่าเนื้อหาของเรื่องที่เล่าไปมันไม่ได้เป็นการ์ตูนเท่าไรหรอกครับ มันเอาไปสร้างหนังได้เลย ซึ่งบางครั้งผมก็โดนว่าอีกว่า "บ้าญี่ปุ่น" บ้าง "อะไรๆ ก็ญี่ปุ่น" บ้าง บางครั้งก็พูดเหมือนกับว่าคนอื่นเขาไม่ชอบก็ไม่ควรเอาไปพูดกับเขา แต่ผมก็มองว่าการที่ผมพูดไปอย่างนั้นมันเป็นการเล่าให้ฟัง หรือบอกให้ได้รู้เท่านั้นเองครับ ไม่ได้จะไปพยามพูดให้เขามาชอบเหมือนกับเรา อย่างเรื่องบันเทิงมันก็เหมือนกับว่าเราเจออะไรดีๆ มาก็เอามาบอกต่อถ้าคุณไม่สนใจผมก็ไม่ได้บังคับให้คุณต้องดูหรือต้องมาชอบเหมือนกับผมนี่หรือถ้าสนใจไม่สนใจชอบไม่ชอบอย่างไรคนอื่นก็สามารถพูดกับผมได้ตรงๆ ครับ ผมชอบมากกว่าการแกล้งทำเป็นชอบด้วยซ้ำ ส่วนกรณีการยกตัวอย่างผมยกตัวอย่างจากญี่ปุ่นเพราะหลายๆ ตัวอย่างมันหาไม่ได้จากที่อื่นนี่ครับ แล้วจะให้ผมเอาที่ไหนมาเป็นตัวอย่างได้ ถ้าลองคิดด้วยตรรกะเดียวกัน คนที่ชอบอเมริกาทำไมไม่ยกตัวอย่างด้วยสวีเดนบ้าง? ทำไมไม่ใช้เบลเยี่ยมเป็นตัวอย่างบ้าง? เพราะพวกเขาก็ไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับสวีเดนหรือเบลเยี่ยมหรือไม่ก็สิ่งนั้นอาจไม่มีที่อื่นนอกจากที่อเมริกาไงล่ะครับ


ผมมองว่าสิ่งที่เราไม่ชอบแล้วคนอื่นเล่าให้ฟังมาเราก็ฟังไว้เป็นข้อมูลให้ได้รู้ บางทีมันก็เป็นสิ่งที่เราไม่เคยรู้เหมือนกันครับ เพียงแต่เราอาจไม่ได้ไปชอบตามเขาก็เท่านั้นเอง ซึ่งคนที่ไม่ได้ชอบญี่ปุ่นเหมือนผมก็ด้วย...ผมมองว่าการที่ผมไปเล่าให้ฟังก็เพราะว่าคนอื่นๆ มักรู้เรื่องเกี่ยวกับญี่ปุ่นน้อยกว่าฝรั่งอย่างอเมริกา อังกฤษหรืออื่นๆ แน่ๆ เพราะงั้นผมก็เลยคิดว่าเล่าให้ฟังเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กันหรือเพิ่มทางเลือกให้ก็น่าจะดี ก็เพื่อให้ได้รู้เท่านั้นไม่ได้ต้องการให้มาชอบเหมือนกับผม ซึ่งถ้าผมพูดญี่ปุ่นไปแล้วเขาพูดอเมริกากลับมาผมก็ไม่ได้ว่าอะไรครับ แต่พอกลับกันคนอื่นกลับว่าผมแฮะ....คนที่ชอบอะไรที่ต่างออกไปก็มักจะโดนแบบนี้แหละครับ




การเป็นตัวของตัวเอง เมื่อเรามีความเป็นตัวของตัวเอง แตกต่าง แล้วก็จะต้องรู้จักยอมรับในความแตกต่างของคนอื่นด้วย สังเกตุได้ว่าปัญหาต่างๆ ที่ผมเล่ามาแล้วนั้นเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากการไม่ยอมรับในความแตกต่างของคนอื่นนั่นเองครับ คนที่แตกต่างก็เลยต้องรับเคราะห์ไป แต่เมื่อมีคนที่ยอมรับในความแตกต่างมากขึ้นปัญหาต่างๆ ที่ว่ามานี้ก็จะค่อยๆ ลดลงไปเองครับ


ทีนี้การจะคุยกับคนอื่นๆ จะทำยังไงดี....ผมว่าดีที่สุดก็คือการคุยในลักษณะแลกเปลี่ยนกัน แบบคุณชอบอะไรผมชอบอะไร ผมพูดเรื่องญี่ปุ่นไปคุณก็พูดเรื่องฝรั่งมา โดยที่เราไม่โจมตีอีกฝ่าย แต่ถ้าจะวิจารณ์อะไรก็เอาความจริงมาพูดครับ ให้เข้าใจไว้ว่าโดยทั่วไปแล้วคนเรามักเอาความชอบของตัวเองเป็นหลักทำให้พวกเขามักจะบอกว่าสิ่งที่ตัวเองชอบนั้นดีที่สุดและไม่มีที่ติไม่มีข้อเสีย และนั่นจึงทำให้คนส่วนมากไม่ค่อยยอมรับกับสิ่งที่เป็นความจริง ตรงนี้ผมอยากบอกว่าอะไรดีไม่ดีก็ยอมรับกันไป สำหรับกรณีที่ตัดสินได้ว่ามันดีหรือไม่นะครับ เพราะหลายกรณีก็ตัดสินไม่ได้ว่ามันดีหรือไม่ดี

จริงอยู่ที่การที่จะบอกว่าอะไรดีหรือไม่มีนั้นขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนซึ่งต่างกันสิ่งเดียวกันที่คนหนึ่งมองว่าดีอีกคนอาจมองว่าไม่ดีก็ได้ เช่นอร่อยหรือไม่ สวยหรือไม่ สนุกหรือไม่ เพลงเพราะหรือไม่ เป็นต้น แต่มันก็จะมีบางเรื่องที่มันมีมาตรฐานในการวัดว่าอะไรดีกว่ากันครับ เช่น นักแสดงคนนี้แสดงได้ดีหรือไม่คือแสดงได้ธรรมชาติแค่ไหน ก็ตีความหมายว่าธรรมชาติเป็นอย่างไร เป็นธรรมชาติก็คือเป็นไปตามปกติที่พบเห็นได้ในชีวิตจริงตามกริยาของคนจริงๆ มีการแต่งเติมน้อยที่สุด ซึ่งถ้ายิ่งธรรมชาติมาก ยิ่งแต่งเติมน้อยมาก มันก็ยิ่งจืดครับ เพราะงั้นนักแสดงที่แสดงได้โดยมีกริยาใกล้เคียงกับที่พบเห็นในชีวิตจริงมากและมีการแต่งเติมน้อยนั่นเองครับ

เมื่อยอมรับกับการบอกว่าอะไรดีกว่าอะไรได้แล้ว เรื่องชอบหรือไม่มันก็เป็นอีกเรื่อง คือมันอาจไม่ได้ดีที่สุดหรือสู้อีกอย่างไม่ได้แต่ถ้าเราชอบมันก็ไม่ผิดครับ เหมือนกันกับอีกด้านคือมันอาจจะดีกว่าอีกอันแต่เราไม่ชอบมันก็ไม่ผิดเลย

แล้วเมื่อเจออะไรที่รู้สึกว่ามันดีมากอยากจะแนะนำให้คนอื่น แม้ว่าเขาอาจไม่ได้ชอบตรงกับเรา แต่เราก็แนะนำคนอื่นได้ครับ ก็เหมือนกับว่าเมื่อเราเจออะไรดีๆ ก็เอามาบอกต่อมาแนะนำอย่างเป็นกลาง เช่นเจอหนังดีๆ ก็เอามาแนะนำได้ เจอรายการดีๆ ก็เอามาแนะนำได้ประมาณนี้ครับ อย่างผมชอบดูหนังญี่ปุ่นเวลาเจอหนังญี่ปุ่นดีๆ ผมก็เอาไปแนะนำคนอื่นต่อเหมือนกันแม้จะรู้ว่าเขามักจะดูหนังฝรั่งมากกว่า แต่ไม่ได้เอาไปบอกแต่หนังญี่ปุ่นนะครับ เวลาเจอหนังไทยน่าสนใจก็เอาไปแนะนำด้วยเหมือนกัน ทางฝ่ายนั้นก็แนะนำหนังฝรั่งให้ผมเหมือนกันซึ่งผมก็ดูหนังฝรั่งด้วยเหมือนกันถ้าเจอแบบที่ผมสนใจ ถ้าเราปรับรูปแบบการคุยกับคนอื่นให้เป็นรูปแบบการแลกเปลี่ยนกันได้อย่างที่ผมยกตัวอย่างมานี้ปัญหาจะลดลงไปมากครับ แต่ที่ปัญหายังเหลืออยู่บ้างก็เพราะบางคนก็ไม่ยอมที่จะมาคุยกันในแบบการแลกเปลี่ยนแต่ดูเหมือนเขาคาดหวังให้ผมไปชื่นชอบแบบเดียวกับเขา




เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม แล้วแสดงความเป็นตัวของคุณออกมาครับ ถ้าคุณหลุดออกมาเป็นตัวของตัวเองได้แล้วคุณจะเห็นโลกนี้ต่างไปจากเดิม...มันเหมือนกับออกจากกะลาเลยล่ะครับ



สุดท้ายนี้ผมขอมอบเพลงนี้ให้กับคนที่คิดจะแตกต่างและออกมาเป็นตัวของตัวเองครับ....เพลงมีชื่อว่า Ai Dee อ่านว่า ไอดี (คำแปลอยู่ข้างล่างครับ) มีเนื้อหาเกี่ยวกับคนที่เป็นตัวของตัวเองและแตกต่างจากคนรอบข้าง โดยที่เล่นกับคำว่า ID ที่หมายถึงการระบุตัวตนนั่นเองครับ ความรู้สึกในการเป็นตัวของตัวเองที่ทำให้เราแตกต่างมันก็เป็นเหมือน ID ของแต่ละคน จงอย่าลืมความรู้สึกนั้นครับ


อย่ากลัีวที่จะแตกต่าง เพราะความแตกต่างก็คือ ID ของคุณเองครับ


โดย นาย nyo

ภาพประกอบเนื้อหาจาก
google
fashion-j.com
mensfashion.jp
fashionsnap.com

_______________________________________________


คำแปลเพลง...เอาจากในคลิปยูทูบ (v=VRhDqyd8_kA) มาพิมพ์ให้ใหม่เพื่อให้อ่านง่ายขึ้น...ถึงดูจะแปลออกมาไม่ถูกทั้งหมดแต่ก็พอช่วยให้เข้าใจได้ครับ มีบางส่วนที่อ่านไม่ออกผมก็แปลให้ใหม่เองเลยรวมถึงบางส่วนผมก็ปรับให้ตรงมากขึ้นครับ แต่ถ้าใครขยันอ่านซับอังกฤษก็ไปอ่านเอาในคลิปที่ผมแปะให้เลย แต่ถ้าขี้เกียจก็ภาษาไทยตรงนี้เลยครับ


愛 Dee (Ai Dee)
เพลงโดย Mitchie M feat. Hatsune Miku

ความทรงจำที่หลับไหลอยู่ลึกลงไปในใจ
จะทำให้ความฝันที่อยู่แสนไกลเป็นจริงได้ แค่อย่าลืม ID

ใช่มันจะเป็นจริงแล้วนะ
L แล้วก็ U แล้วก็ K แล้วก็ A ทำให้พื้นลุกเป็นไฟคือสไตล์ของฉัน
สร้างจังหวะของตัวเอง รู้จักแล้วรักษามันไว้ your ID

Hey lonely boy ตัวตนที่แท้จริงของเธอไม่ได้จิ๊บจ๊อยหรอกนะ
Hey lonely girl รู้ไหมว่าความโดดเดี่ยวที่แท้จริงน่ะจะช่วยให้เธอเข้มแข็งขึ้น
เอาล่ะมาเต้นกันเลยดีกว่า All night long

Hey lonely boy ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถขวางทางที่เธอเลือกได้หรอก
Hey lonely girl ไม่มีใครรู้หรอกว่าชีวิตพรุ่งนี้จะเป็นสีอะไร เพราะงั้นไม่ต้องไปกลัวมันหรอก
ถ้าคิดว่าจะไม่หยุดแค่นี้ ก็เลิกสับสนได้แล้ว
ไม่ว่าเมื่อไหร่ โลกมันก็มีแต่ปัญหาอย่างนี้เสมอแหละ
ถ้าไม่ขยับตัวซะบ้าง สนิมจะเกาะกินไปถึงใจเลยนะ

ความทรงจำที่หลับไหลอยู่ลึกลงไปในใจ
จะทำให้ความฝันที่อยู่แสนไกลเป็นจริงได้ แค่อย่าลืม ID
เป่ากำแพงสีฟ้าที่ขวางกั้นทิ้งไปด้วยพลังแห่งเสียงนี้
เอาล่ะ ทีนี้ก็เอา ID ของเธอกลับคืนมากัน

L แล้วก็ U แล้วก็ K แล้วก็ A น่ารักมากๆ คือสไตล์ของมิคุ
....Backup Setup your ID

Hey lonely boy ถ้าตอบคำถามเล็กๆ นั่นได้แล้วก็ไปเปิดประตูสู่อิสรภาพกัน
Hey lonely girl เธอจะสูญเสียรอยยิ้มเพียงเพราะแค่ปัญหาเล็กๆ แค่นั้นไม่ได้นะ
นั่นเป็นหนึ่งในย่างก้าวไปสู่ความสุข
ฟังที่สื่อพูดไปก็มีแต่เรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจซะเปล่าๆ
ไม่ต้องร้อนรน แสดงท่วงทำนองที่เธอชอบให้ดูทีสิ

ความทรงจำที่หลับไหลอยู่ลึกลงไปในใจ
จะทำให้ความฝันที่อยู่แสนไกลเป็นจริงได้ แค่อย่าลืม ID
ที่ปลายสุดของบทเพลงในความทรงจำ จะรู้สึกถึงปีกแห่งเวทย์มนต์
ความรู้สึกนั้นแหละคือ ID ของเธอ

Luka!
เติมสีสันลงในทิวทัศน์อันกว้างใหญ่ ก่อนที่โลกจะกลายเป็นสีขาวกับดำ
อย่าปล่อยให้ความเหมือนกันกลายเป็นความซ้ำซาก
มาร้องเพลงด้วยกันจนเกิดเป็นท่วงทำนอง
โดดลงมาเต้นสิ แสดง ID ของเธอ
1 2 3 4 sing and think okay?

ความทรงจำที่หลับไหลอยู่ลึกลงไปในใจ
จะทำให้ความฝันที่อยู่แสนไกลเป็นจริงได้ แค่อย่าลืม ID
เป่ากำแพงสีฟ้าที่ขวางกั้นทิ้งไปด้วยพลังแห่งเสียงนี้
เอาล่ะ ทีนี้ก็เอา ID ของเธอกลับคืนมากัน

ความทรงจำที่หลับไหลอยู่ลึกลงไปในใจ จะทำให้ความฝันที่อยู่แสนไกล.....

ที่ปลายสุดของบทเพลงในความทรงจำ จะรู้สึกถึงปีกแห่งเวทย์มนต์
ความรู้สึกนั้นแหละคือ ID ของเธอ






Create Date : 17 มกราคม 2557
Last Update : 17 มกราคม 2557 15:32:20 น. 1 comments
Counter : 2298 Pageviews.

 
ขอบคุณที่เขียน Blog ดีๆ ให้อ่านค่ะ ^-^


โดย: pum IP: 171.96.181.103 วันที่: 17 ธันวาคม 2559 เวลา:15:16:36 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

nyo
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 20 คน [?]




สงวนลิขสิทธิ์ ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ 2539 ห้ามผู้ใดทำการคัดลอก ส่วนใดส่วนหนึ่งของบล๊อกนี้ไปเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของบล็อค


ติดต่อผมได้ที่
naai.nyo@gmail.com

____________________

บล๊อกนี้ผมเขียนขึ้นมาจากสิ่งที่ผมไปรู้ไปเห็นมาก็เลยเอามาเล่าต่อเพื่อเป็นการแชร์ความรู้กัน หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นบ้างไม่มากก็น้อยครับ


กรูณาใช้ภาษาให้เหมาะสมในการแสดงความคิดเห็นด้วยนะครับ
Friends' blogs
[Add nyo's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.