Mooton
 
มกราคม 2553
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
10 มกราคม 2553
 
 
Time to Fly.....ได้เวลาบิน!!!!!

ฉันเตรียมจัดของลงกระเป๋า ไม่ลืมที่จะ list รายการตามที่หนังสือคู่ยากบอกไว้ทุกประการ ตั้งกะผ้าอนามัย เครื่องเขียน ตะเกียบ และอะไรไร้สาระอีกมากมาย จนพบว่าที่อินเดียมันถูกกว่าและดีกว่าตั้งเยอะ laptop ที่เพิ่งซื้อ ipod คู่ใจ กล้องดิจิตอล มือถือ ภาพถ่ายพ่อกับแม่ ของที่ระลึกจากพี่ๆ เพื่อนๆ และน้องๆ ฯลฯ

ฉันตื่นตั้งกะตี 3 ครึ่ง ให้ทันเช็คอินก่อน ตี 5 ก่อนออกจากบ้านฉันถ่ายรูปไอ้โบ้ สโนไวท์และลูกๆ มันอีก 2 ตัว ฉันหันหลังไปมองบ้านอย่างใจหาย อีกตั้ง 2 ปีกว่าจะได้กลับมา ไม่เคยรู้สึกรักบ้านขนาดนี้มาก่อนเลย แม่กับน้องขับรถไปส่งฉันที่สุวรรณภูมิ ถึงสนามบินเกือบตี 5 เครื่องฉันออก 7 โมงเช้า ระหว่างเช็คอินก้อพบกับแม่ลูกอินเดียคู่หนึ่ง ทั้งคู่แต่งกายดี เพชรทองเต็มตัว เห็นว่าลูกชายได้งานทำที่ปตท. เงินเดือน 2 หมื่นกว่าๆ ฝ่ายแม่มาขอยืมมือถือแม่ฉันใช้ ทั้งคู่จะไปอินเดียเหมือนกับฉัน ไฟลท์เดียวกันเสียด้วย แม่เลยฝากฝังฉันไว้กะพวกเขาเสียเลย แต่ฉันไม่ค่อยชอบฝั่งแม่สักเท่าไหร่นัก อินเีดียอยู่ที่ไหนก้อเป็นอินเดีย เรื่องที่ไม่ต้องเสียตังเองล่ะถนัดนัก คนในสนามบินตั้งเนอะ ดั๊นมารู้จักคนแรกก้อเป็นอินเดียเสียนี่ ดวงจะไปนี่มันแรงจริงๆ

ระหว่างรอขึ้นเครื่อง เพื่อนๆ พี่ๆ ก้อโทรมาอวยพรทำให้ฉันหายเหงาไปตั้งเยอะ ฉันรออยุ่หน้าเกตจนวินาทีสุดท้าย มัวแต่นั่งชื่นชมสุวรรณภูมิและนึกว่าทางเดินคงไม่ไกล คิดว่าเหมือนดอนเมือง แต่ขอโทษค่ะ ทางเดินไกลสุดนี่ไปอินเดียเลย กระเป๋าแม่งก้อหนัก หิ้วแล้ววางไม่รู้กี่รอบ เดินแล้วเดินอีกก้อยังไม่ถึง ทำไมไม่มีหนังสือเล่มไหนบอกกรูเลยว่ามันไกลอย่างนี้ duty free ไม่ต้องดูมันละ กว่าจะไปถึงตัวเครื่องฉันงี้เหงื่อท่วมตัว แอร์ต้อนรับมองหน้าฉันแล้วก้อมองรองเท้าที่ฉันสวม และก้อหันไปบอกกับแอร์ที่ยืนอยู่ข้างกันชี้ให้ดูที่ฉันแล้วก้อยิ้ม หลังจากนั้นไม่กี่นาที แอร์ทั้งลำก้อมามองเท้าฉันเป็นตาเดียว ไม่เคยเห็นแตะ 2 สีหรือไงเนี่ย

วันนั้นฉันพาร่างด้วยความสูง 150 กว่าๆ น้ำหนักไม่ถึง 40 กิโล ใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์สามส่วนและสวมรองเท้าแตะคนละสี เหลืองข้างดำข้างที่ฮิตอินเทรด์ตอนนั้น ขึ้นเครื่องบินไปอินเดีย ใน concept สบายๆ ไว้ก่อนเพราะฉันต้องเดินทางจากเช้าจนมืดค่ำ ดังนั้นรองเท้าแตะจึงดีที่สุด

หลังจากได้ที่นั่ง ระหว่างรอเครืื่่่องออก จู่ๆ ฉันก้อนึกไม่อยากไปซะงั้น มันคิดถึงไปหมด คิดถึงเพื่อน พ่อแม่ หมาที่บ้าน แม้กระทั่งคนที่ฉันเกลียดก้อยังอยากเจอหน้ามากกว่าไปอินเดียเลย คิดดู...ฉันถามตัวเองตั้งหลายรอบว่าตัดสินใจถูกแล้วหรือที่ไปเรียนที่นั่น คิดดีแล้วใช่ไหม แน่ใจแล้วหรอ เปลี่ยนใจเรียนที่ไทยดีกว่าไม๊ ไม่ต้องลำบากกับประเทศที่เราไม่ชอบด้วย สารพัดสารพันที่มันพุ่งขึ้นมาในใจฉัน มั่งแต่คิดๆๆๆๆๆๆๆ จนรู้ตัวอีกทีเครื่องก้อบินแล้ว ทำไงดี ไม่เอา ไม่ไปแล้ว ฉันจะลง!!!!!!!!!

พอหายฟุ้งซ่าน แอร์สาว (แต่หน้าแก่) ในชุดส่าหรีเปิดพุงที่ไม่สวยอย่างแรงก้อเสิร์ฟกาแฟมาให้ฉัน ต่อด้วยอาหาร main course รสชาติอินเดียแท้ แกงไก่กับข้าว ผลไม้ พายลูกเกด ถือเป็นสนามประลองว่าฉันจะทานอาหารแขกได้ไหม คำแรกที่เข้าปากฉันงี้อึ้ง.......หืม..อร่อย...อร่อยมากกกกกกกกก!!!!!!! อร่ิอยจนไม่น่าเชื่อ ขนมก้อหอมนุ่ม อร่อยอีกแล้ว น่าเสียดายที่ฉันกินได้นิดเดียว ด้วยความที่ต้องตื่นเช้ามืดทำให้ฉันไม่รู้สึกอยากกิน และฉันเกลียดการขึ้นเครื่องบินเพราะทำให้ท้องไส้ฉันปั่นป่วนและอยากจะอาเจียนตลอดเวลา ฉันไม่เคยรู้สึกดีสักครั้งเวลาที่อยู่บนเครื่องเหล็กนี่ อยากจะห่อเก็บไว้กินก้อจะดูน่าเกลียดไปนิด จำต้องทิ้งไว้ด้วยความอาลัย ได้แต่อิจฉาหนุ่มสาวเกาหลีแถวหลังที่กินกันอย่างเอร็ดอร่อย.....แกงไก่ของช๊านนนนนนน

ฉันถึงสนามบินเชนไน 9 โมงครึ่ง ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเป็นด่านแรก ทักทายกันหอมปากหอมคอ เจ้าหน้าที่ค่อนข้างใจดีกับฉันเมื่อรู้ว่าฉันมาจากเมืองไทย ฉันบอกไปว่ามาเรียน MBA แกก้อตาโตและบอกว่าเก่งๆ ดีๆ (ตรงไหน) และฉันก้อผ่านอย่างไม่มีปัญหา

ฉันเจอสองแม่ลูกอินเดียอีกครั้งตอนลงจากเครื่อง ลูกชายแนะให้ฉันแลกเงินรูปีแค่เล้กน้อยที่สนามบินก้อพอ ที่เหลือค่อยไปแลกในเมืองจะได้เรทดีกว่า เออ..ขอบใจ ฉันแลกไป 100 ดอลล์ละ ไมไม่บอกตอนชาติหน้าเลยล่ะ มีน้ำใจอยู่หรอกนะแต่ช้าซ้าเหลือเกิน นิสัยอินเดียเป๊ะ

สนามบินเชนไนค่ะ





เชนไนเป็น 1 ใน 5 เมืองใหญ่ของอินเดียที่มี facility ค่อนข้างดี สนามบินก้อเป็นหนึ่งในนั้น แต่เมื่อฉันเห็นสนามบินเชนไนเต็มตา ฉันงี้คิดถึงดอนเมืองขึ้นมาเลย เนี่ยนะ ที่อีหนังสือมันบอกฉันว่าสนามบินกว้างใหญ่ ตรงไหนนี่ แถมมีไฟดับอีกต่างหาก เดินไปไม่ถึง 10 นาทีก้อทั่วสนามบินละ บางส่วนก้อกำลังซ่อมแซมหรือต่อเติมฉันก้อไม่แน่ใจ รู้อย่างเดียว พอฉันออกจากสนามบินเพื่อหาที่รับฝากกระเป๋าและนั่งรอขึ้นเครื่องตอน 6.30 ฉันแทบอยากจะเข็นรถเข็นกลับเข้าสนามบินใหม่เพราะบรรดาคนขับออโต้และแท๊กซี่มะรุมมะตุ้มฉัน หวังจะให้ฉันใช้บริการ บางรายหวังดีมาก เข้ามาช่วยเข็นรถฉันไปเลย ตามลากกลับมาแทบไม่ทัน ฉันได้แต่เซย์โนอย่างเดียว ก้มหน้าก้มตาลากรถไปที่รับฝากสัมภาระท่ามกลางแดดเปรี้ยงๆ ร้อนก้อร้อน นี่ถ้าไม่ถามพวกออโต้ก้อคงจะลากไปมาอยู่อย่างนั้นจนเย็น ก้อพี่แกเล่นอยู่ฝั่งตรงข้ามสนามบินเป็นห้องเล็กๆ ดูแทบไม่ออก ฉันหาแทบตาย ป้ายบอกทางก้อปักไว้ยังกะปักบนหลุมศพ เออดี...ตรูคงหาเจอ ค่าฝากก้อ 40 รูปี จ่ายหลังจากมารับกระเป๋าคืน ฟังดูโอเคนะ ไว้เนื้อเชื่อใจลูกค้าดี แต่ฉันนั่งไม่สุขตลอดเวลาที่อยู่ในสนามบิน กลัวของที่ฝากไว้มันจะหาย ก้ออินเดียอ่ะนะ ไว้ใจยาก

เหลือเวลาอีกหลายชม.กว่าจะ transit เครื่อง ฉันเลยโทรหาที่บ้านซะหน่อย กลัวเค้าจะเป็นห่วง ระหว่างรอคิวอยู่ แขกผู้หญิงข้างหน้าฉันเอาของมาวางตรงหน้าและใช้ฉันเฝ้าของให้หล่อนซะเลย โดยไม่ถามฉันสักคำว่าเต็มใจไหม ไม่รอคำตอบด้วย โมเมเอาซะงั้น กลายเ็ป็นว่าฉันต้องยืนอยู่ตรงนั้น เปลี่ยนแถวไม่ได้เพราะต้องดูแลของให้หล่อน ฉันได้แต่ยืนตาปริบๆ มีงี้ด้วยเหรอวะเนี่ย แต่เจ๊แกก้อดีอยู่ พอออกมาก้อแนะนำฉันว่าควรโทรออกต่างประเทศยังไง ก้อถือว่าช่วยเหลือกันไป

การรอเป็นเวลานานๆ ในสนามบินไม่ใช่เรื่องสนุกหรือน่ารื่นรมย์แต่อย่างใด น่าเบื่อและทรมานมากกว่า ถ้าเป็นสนามบินประเทศอื่นก้อคงโอเค อย่างที่บอก มันไม่มีอะไร duty free ยังไม่มีเลยค่ะคุณขา ห้องน้ำนี่ก้อเป็นสิ่งหนึ่งที่ฉันรับไม่ได้ ทั้งสนามบินมีห้องน้ำแค่ 3 ห้องแถมเป็นคอห่านอีก ไม่มีที่กด ต้องรองน้ำราดเอา สกปรกได้ใจ กรรมของกรูเจงๆ รอนานมากๆ ฉันเลยเกิดไอเดียอยากออกไปนั่งรถทัวร์รอบเชนไนแล้วค่อยกลับมา ยังไม่ทันออกปากเรียก เจ้าหน้าที่ตรงประตูทางเข้าออกก้อเรียกฉันและถามที่ๆ ฉันจะไป พอรู้เรื่องพี่แกก้อสวมวิญญาณพี่เลี้ยงฉันทันที ไม่อนุญาตให้ฉันนั่งรถไปไหนทั้งนั้น นี่ฉันมีผู้ปกครองเป็นอินเดียตั้งกะเมื่อไหร่เนี่ย!!!!! ฉันเลยต้องนั่งหง่าวในสนามบินอย่างเซ็งๆ

และแล้วเวลาก้อมาถึง ฉันไปเอากระเป๋าคืนจากที่รับฝาก เจ้าหน้าที่ก้อกวนตีน มันเอากระเป๋าฉันลงจากรถเข็น จนฉันต้องไปเอารถเข็นในสนามบินมา กระเป๋าก้อโคตรหนัก 29 โลอ่ะ ฉันก้อโง่ แทนที่จะหิ้วจากด้านข้าง ดันยกจากด้านบน หูหิ้วมันเลยหลุด โอ้ว....ม่ายยยยยยย ยังดีที่ฝรั่งสวิสคู่เกย์มาเห็นฉันเลยอาสาเข้ามาช่วยฉันยก ฉันงี้อ๊ายอาย จิงๆ ก้อเห็นตั้งกะแรกแล้วล่ะ แต่แบบว่าหยิ่งไง ตรูทำได้ เลยเป็นเงี้ย พอรู้ว่าฉันจะไปเรียนที่บังกาลอร์ก้อชื่นชมซะยกใหญ่ เค้าทึ่งที่ฉันกล้ามาคนเดียว และกระเป๋าก้อใหญ่กว่าตัวฉันซะอีก (อันนี้ไม่รู้ด่าหรือชม)

ยังไงก้อเหอะ ใกล้ 6.30 pm ละ ได้เวลาขึ้นเครื่องไป bangalore หลังจากนั่งรอมา 9 ชม. เต็ม!!!!!!


















Create Date : 10 มกราคม 2553
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2553 23:37:00 น. 5 comments
Counter : 585 Pageviews.

 
ขอให้เดินทางโดยปลอดภัยค่ะ


โดย: เดินทางรอบโลก วันที่: 10 มกราคม 2553 เวลา:15:52:39 น.  

 
ขอบคุณมากค่ะ แต่บังเอิญไปมาเกือบ 3 ปีแล้ว แต่ทุกวันนี้ความทรงจำที่ขึ้นเครื่องไปเมืองนอกครั้งแรกก้อยังติดอยู่ในใจค่ะ


โดย: saranan วันที่: 10 มกราคม 2553 เวลา:16:15:36 น.  

 
Have a safe trip na kha.


โดย: SePhMaI วันที่: 10 มกราคม 2553 เวลา:21:44:21 น.  

 
Time to fly เราอีก 9 วัน


โดย: เกรซายน์ วันที่: 14 มกราคม 2553 เวลา:16:26:11 น.  

 
โอ้ ..ยินดีด้วยค่ะ ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพนะคะ

แล้วไปกับใครคะนี่ เรียนอะไรหรอคะ



โดย: saranan วันที่: 14 มกราคม 2553 เวลา:16:49:44 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 

saranan
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




ดูดวงเป็นอาชีพหลัก งานประจำเป็นงานอดิเรก

ID Line : mooton.banana

[Add saranan's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com pantip.com pantipmarket.com pantown.com