มิถุนายน 2551

1
2
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
21
22
24
26
27
28
29
30
 
 
All Blog
เอาบันทึกเดินทาง ไป Scotland รอบแรก 2003 มาลงใน Blog ของตัวเองซะหน่อย(4 )
Pick your own strawberry

ตื่นมาเช้าวันนี้ ไม่ได้รีบร้อนไปไหนเช่นเคย เพราะ เกิด accident Anne ต้องไปเป็น baby sitter ให้กับ Melody อีกแล้ว เธอออกจากบ้านแต่เช้าเพื่อไปรับ Melody มาเลี้ยงที่บ้าน

เราออกจากบ้านหลังจากแอนน์มาถึงไม่นาน วันนี้ มาร์ติน จะพาไป เก็บ strawberry ที่ Charlton Farm , Hillside ,Montrose ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก แต่ก็หลายสิบกิโลเหมือนกันนา ถนนที่ไปจะเป็นถนนแคบ ๆ ด้านข้างเป็นไร่บาร์เลย์ มันฝรั่ง สลับกันไป มาร์ตินขับรถไม่เร็วมาก เพื่อให้เราได้ดูวิวข้างทางไปด้วย บางช่วงเราจะมองเห็นทะเลอยู่ลิบ ๆ เห็นโบสถ์เก่าแก่ เล็ก ๆ ตั้งอยู่ริมหน้าผา ชายทะเล มาร์ตินบอกชื่อ แต่เราจำไม่ได้แล้วล่ะ และบอกว่าตอนนี้จะมีพระคอยดูแลที่นี่ 1 คน ถึงแม้ว่าจะทรุดโทรมจนใช้ประโยชน์ไม่ได้แล้ว แต่เค้าไม่อยากทำลายหลักฐานทางประวัติศาสตร์ทิ้งไปเปล่า ๆ เก็บไว้ เป็นที่ระลึก ให้ลูก ๆ หลาน ๆ ดูดีกว่า

เรานั่งรถมาจนถึงสะพานหินเล็ก ๆ เก่าแก่ แห่งหนึ่ง ที่เค้าไม่ยอมทุบทิ้งเพื่อขยายความกว้างเช่นกัน มีรถคันนึงสวนมาอีกด้านนึงของสะพาน ที่น่าประทับใจคือทั้ง มาร์ติน และเจ้าของรถอีกคันพร้อมใจกันหยุด แอบข้างทางก่อนถึงสะพาน เพื่อให้อีกฝ่ายข้ามสะพานมาก่อน ในที่สุดรถอีกคันก็ตัดสินใจข้ามสะพานมา พอผ่านรถพวกเรา เจ้าของเปิดหน้าต่าง ( เป็นครอบครัว มีลูกประมาณ 4 – 5 ขวบ นั่งอยู่บริเวณที่นั่งตอนหลัง )
เจ้าของรถตะโกน

“ Thank you, Sir “

มาร์ตินตะโกนตอบ

“ You’re wellcome ,Sir “

ดูแล้วถ้อยทีถ้อยอาศัยกันดี ไม่เหมือนบ้านเรา ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น รับรองว่ารถจะขึ้นไปคาอยู่บนสะพานทั้งสองคัน
“ แกถอยไปก่อนซิวะ !!”
“ แกนั่นแหละถอยไปก่อน!!! ”
ไม่มีทางยอมกันร้อก!!!!

ขับรถต่อไปอีกซักพักก็ถึงป้ายบอกทาง เข้า Charlton Farm เราเลี้ยวเข้าไป ด้านขวามือ ถัดจากไร่ strawberry จะเป็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่มาก คล้ายโรงงานขนาดใหญ่ ถามมาร์ติน ก็ไม่ทราบเหมือนกัน

เมื่อถึงฟาร์มเค้าจะมีที่จอดรถบริการ ใกล้สนามเด็กเล่น ก่อนจะเข้าไปเก็บ strawberry ได้ เราต้องเข้าไปที่ส่วน ที่เป็นร้านค้าของฟาร์มก่อน เพื่อแจ้งความประสงค์ว่าจะเก็บอะไร จะมีผลไม้หลายอย่างให้เลือก เช่น strawberry ,blackberry ,blackcurrant เป็นต้น แต่เราเลือกเก็บ strawberry เพราะยังติดใจรสชาติ

นอกจากนี้เค้าจะถามว่าเรา จะรับเป็นตะกร้าที่ทำด้วยกระดาษแข็งมีหูหิ้ว ราคา 45 pence หรือจะรับเป็น กล่องพลาสติกใส ไม่คิดเงิน เราเลือกเป็นตะกร้า เค้าบอกว่า จะคิดเงินรวมเมื่อเราเอา ผลไม้มาชั่งน้ำหนัก

พอได้ตะกร้าเราก็ยกพวก ( 3 คน ) เดินไปที่ส่วนที่เป็นฟาร์ม จะมีหนุ่มสาววัยรุ่นคู่หนึ่งคอยถามว่า เราจะเลือกเก็บอะไร พวกเราบอกว่า strawberry เค้าจะเดินนำหน้าไปยังแปลง strawberry ที่ปลูกเป็นแนว สุดลูกหูลูกตา เค้าจะเลือกแถวที่ strawberry กำลังได้ที่ เหมาะกับการเก็บไปกิน จากนั้นก็ทิ้งให้เราเก็บตามใจชอบ เราเห็นมีนักท่องเที่ยว 2 –3 กลุ่มกำลังเก็บอยู่แถวใกล้ๆเราแต่ค่อนไปทางด้านหลัง เราเลือกเก็บ strawberry ลูกโต ๆ ตอนแรกเก็บให้ติดใบเลี้ยงด้วยจะได้ดูสวย ๆน่ากิน เวลาอยู่ในตะกร้า แต่มาร์ตินบอกว่าควรจะเด็ดใบทิ้ง เพราะเค้าคิดราคาตามน้ำหนัก เก็บไปชิมไป ( เช็ดเอากับเสื้อน่ะแหละ ไม่ต้องล้งต้องล้างมันหรอก ) อมเปรี้ยว อมหวาน กรอบ สด อร่อย อย่าบอกใคร ตอนเราขะมักเขม้นเก็บอย่างไม่ลืมหูลืมตา มาร์ตินก็คอยถ่ายรูปให้

ในที่สุดมาร์ตินก็ต้องส่งระฆังเตือน หมดเวลา เราได้ strawberry ลูกโต ๆ มาครึ่งตะกร้า แล้วล่ะตอนนั้นน่ะ เราหิ้วตะกร้าไปจ่ายเงินที่ shop ราคาไม่แพงอย่างที่เราคาด ทั้งหมดรวมทั้งค่าตะกร้า ด้วย ก็แค่ 4 pounds กว่า ๆ




หลังจากจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยแล้ว ที่ farm นี้ยังมี coffee shop กลางแจ้ง แต่ละโต๊ะจะมีร่มกางไว้ให้น่ารักมาก มีกุหลาบดอกโตขนาดปากชามก๋วยเตี๋ยวเรือได้มั้ง ปลูกให้เลื้อยขึ้นตามไม้ระแนง แทรกอยู่ริมด้านนึง แต่ละโต๊ะจะมีกระถางปลูกดอกไม้สดออกดอกสะพรั่ง โต๊ะเรามี 2 กระถาง สีเหลือง 1 กระถาง สีแดง 1 กระถาง ตอนแรกเรานึกว่าของปลอม ลองจับดู เฮ้ย!! ของจริงว่ะ
เราบอกสองคนว่า วันนี้เราจะเลี้ยงเอง ตาเอียนกับมาร์ตินสั่งกาแฟคนละแก้ว ส่วนเราตาเอียนแนะนำให้ลอง Chocolate ร้อน ใส่ marshmallow ปรากฏว่าไม่ใช่ taste ที่เราชอบเลยล่ะ chocolate ข้นมากหวานนนนน มากกก แถม marshmallow ยังหวานอีก จิบไป 2-3 ครั้งก็บอกลาค่ะ

งานนี้ไม่แพงอีกแล้ว กาแฟแค่แก้วละ 1.25 pounds ส่วน hot chocolate ของเรา ก็ 1.35 pounds รวม ๆ ก็จ่ายไปแค่ 3.85 pounds ตาเอียนกับมาร์ตินนั่งละเลียดกาแฟ ส่วนตัวเราหลังจากบอกลากับคุณ chocolate ว้านหวาน ก็วานให้มาร์ตินช่วยถ่ายรูป ใกล้กุหลาบดอกยักษ์ให้หน่อย ลมค่อนข้างแรงแต่อากาศกำลังดี เลยนั่งกินลมชมวิวกันอีกพักใหญ่ แล้วก็ถึงเวลาบอกลา Charlton’s farm เอา strawberry ไปฝากแอนน์ที่บ้าน


กลับไปถึงหาอะไรกินเป็นอาหารเที่ยง ประมาณ บ่ายสองกว่า ๆ แอนนน์เข็นรถ melody ไปเดินรอบ ๆ หมู่บ้านอีก เธอบอกว่าวันนี้จะพาไปเดินรอบนอก เลยเปลี่ยนมาใช้รองเท้าผ้าใบ เธอชวนเราไปด้วย ไปซิคะ!!!! ขี้เกียจนั่งจับเจ่าอยู่ในบ้าน อาจจะได้ช่วยแอนเข็นรถ melody ด้วย

ออกจากบ้านเดินไปทางโรงงานเก่า อีกด้านนึงของถนนเป็นทุ่งหญ้ากว้างไปสุดริมแม่น้ำ south esk river ในทุ่งมีม้าตัวโต 2 -3 ตัว กำลังเล็มหญ้ากันอยู่ เลยโรงงานไปเล็กน้อยจะเป็นทุ่งดอกลูปิน ( Lupin ) ซึ่งเป็น ดอกไม้ป่า ดอกเป็นชั้น ๆ คล้ายดอกเทียนบ้าน ที่เอาฝักแก่จัดของมันมาบีบแล้วแตกดังเป๊าะ นั่นแหละ ดอกเป็นสีม่วงอมขาว ( สีโปรดของเราเลย ) พร้อมใจกันออกดอก เติมสีม่วงให้กับทุ่งหญ้าแห่งนี้ ถนนทางด้านนี้ไม่ได้ลาดยาง เป็น

ถนนโรยกรวดก้อนค่อนข้างใหญ่ เวลาเข็นรถเข็นเด็ก จะต้องออกแรงมาก เพราะเราเห็นเหงื่อเริ่มผุดบนหน้าแอนแล้วล่ะ เลยเสนอหน้าขอเปลี่ยนมือ แต่แอนบอกว่ารอให้พ้นถนนขรุขระก่อน แล้วจะให้ช่วย (ไม่รู้ว่ากลัวเราเข็นไม่ไหว หรือกลัวจะไปทำหลานของเธอคอหักกันแน่)

ถนนด้านนี้ค่อนข้างยาว บางช่วงจะเลียบเข้า <ไปใกล้ South Esk river เลย เราก็เดินชมนกชมไม้ไปเรื่อย ๆ ผ่านทุ่งมันฝรั่งที่เริ่มออดดอกเป็นสีม่วงประปราย /font>

จนกระทั่งมาถึง บ้านเล็ก ๆ หลังนึง สวยมาก เหมือนบ้านในฝันเลย เป็นบ้านสีเอิร์ธโทน ตั้งอยู่บนสนามหญ้า หน้าบ้านตกแต่งเป็นสวนหย่อมเล็ก ๆ มีสระน้ำ และสะพานด้วย ซุ้มประตูทางเข้าบ้าน จะทำเป็นระแนงปลูกกุหลาบเลื้อย กำลังออกดอกประชันกันอย่างสวยงาม หน้าต่างมีกระถางดอกไม้ประดับทุกช่อง ขอบอกว่าตรงใจที่สุด เลยปล่อยให้แอนเข็นรถนำหน้าไปก่อน ส่วนเราขอเวลาแอบชื่นชมอีกสักหน่อย ก่อนจะควบตามไปทีหลัง

บริเวณถนนด้านนี้ นอกจากจะมีบ้านสวย ๆ ดอกไม้ป่า แล้วยังมี
ผลไม้ป่าด้วย เช่น raspberry , blackberry แอนบอกว่าสมัยเด็ก ๆ ชอบมาเก็บผลไม้ป่าพวกนี้ไปทำแยม เราลองเด็ด raspberry มาชิมลูกนึง อี๋ย!!! เปรี้ยวจี๊ดเลยค่ะ

เดินมานานเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ตอนนี้ถนนเริ่มกลับสู่ความราบเรียบอีกครั้ง แอนเลยปล่อยให้เราเข็น คราวนี้เป็นถนนเลียบถนนสายหลักที่มีรถแล่นผ่านไปมา เราก็ตั้งหน้าตั้งตาเข็น

ซ้าย ขวา ซ้าย
เหลือบไปดูแม่หนู เห็นหลับตาพริ้มพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ สงสัยกำลังฝันว่านั่งชิงช้า โยกไปมา
เดิน!
เดิน!
เดิน!



จนกระทั่งเงยหน้าอีกทีก็เป็นสี่แยกใกล้ๆ โรงเรียนที่เคยเดินมากับตาเอียนแล้ว มองไปทางซ้ายเห็นหมู่บ้าน Craigo อยู่ไม่ไกล ตอนนี้เรานะหอบจนลิ้นห้อยแล้ว แต่ไม่กล้าเรียกแอนกลับมาเข็นต่อ ( ก็เสนอหน้าขอช่วยเองนี่หว่า ) เลยตั้งหน้าตั้งตา
เดิน!
เดิน!
เดิน!

ทิวทัศน์ข้างทางก็หมดอารมณ์ชื่นชมแล้วค่ะ ตอนนี้ที่ต้องการคือ
น้ำเย็น ๆ สักแก้ว พร้อมนั่งยกเท้าพาดโต๊ะ คลายความเมื่อยที่จับเป็นก้อนแข็ง ที่น่องทั้งสองข้างซะหน่อย

ในที่สุดเหมือนสวรรค์มาโปรด เมื่อ แอนเปิดประตูบ้านแล้วหันกลับมารับ melody เข้าประตูไป เราเดินลากเท้าตามหลัง ทรุดฮวบบนโซฟา ( หนูน้อยยังคงหลับอยู่ในรถเข็น )

แอนดินไปนั่งเก้าอี้โยกประจำตำแหน่ง แล้วพูด
Suteera walks very slow .
เรายิ้มแหย ๆ แล้วนึกในใจ
“ ก็ชั้นไม่คิดว่ามันจะไกลขนาดนี้นี่เจ๊ ”

เข็ดไปอีกนาน งานนี้ คราวหน้าต้องสอบถามให้แน่ใจก่อน รอบ
ใน หรือ รอบนอกจ๊ะ

ประมาณ สี่โมงกว่า ๆ แอนพา Melody ไปคืน คราวนี้แห่กันไป
ทุกคน เพราะ ตาเอียน กับมาร์ติน มีนัด drink กับ Michael และ Phillip ไปถึงแอนหย่อนพวกเราลง แล้วควบรถ ไปรับ Michael ที่ Flat หลังจากนั้น ก็กลับมารับอีก 3 ชาย ไปส่งที่ผับแห่งหนึ่ง ส่วนเราอยู่บ้านคุยกับ Kirsty ช่วยดู Melody ด้วย

บ้านของ Philiip กับ Kirsty จะเป็นบ้านคล้าย ๆ ทาวเฮาส์ มีรั้วด้านหน้าและสนามโรยกรวด ส่วนด้านหลังเป็นสนามหญ้า ขนาดไม่ใหญ่มากสำหรับตากผ้าและปลูกดอกไม้ ชั้นล่างเป็นห้องนั่งเล่นกับห้องครัว ที่ชอบอย่างนึงคือผนังระหว่างห้องนั่งเล่นกับห้องครัว เจาะเป็นช่องโค้งคล้าย ๆ หน้าต่าง ไว้เพื่อความสะดวกในการเสิร์ฟอาหาร เมื่อต้องการรับประทานอาหารหรือรับแขกในห้องนั่งเล่น

ทั้งบ้านเน้นสีฟ้าเข้มเป็นหลัก ส่วนด้านบนจะเป็นห้องน้ำ 1 ห้อง ห้องนอน 2 ห้อง ( ห้องรับรองแขก 1 ห้อง เจ้าบ้าน 1 ห้อง )

คุยกับ Kirsty สนุกมาก เธอบอกว่าเธอชอบอาหารรสจัด ท่าจะจริงเพราะในครัวเห็นมีพริกป่น เครื่องปรุงแบบของเราอยู่เต็มไปหมด เธอบอกว่า Phillip ก็ชอบเหมือนกัน แล้วยังบอกว่า มีร้านอาหารเอเชียอยู่ร้านนึง ในเมือง Montrose เธอกับสามีเคยแวะไปกิน 2-3 ครั้ง รสชาติใช้ได้เลยทีเดียว

แอนน์กลับมาจากส่ง 3 ชายแล้ว เธอบอกว่าจะไปทำผมซักพัก เราสมัครใจขอนั่งคุยกับ Kirsty ต่อดีฝ่า!!

เธอบอกว่า เมื่อไหร่ Melody โต เธอคงจะยกครอบครัวมาเที่ยวเมืองไทย อย่างแน่นอน

คุยกันหลายเรื่อง ทั้งเรื่องเสื้อผ้า ครอบครัว การทำงาน เลยได้รู้ว่า น้องชายของเธอก็ทำงานอยู่บริษัท Halliburton ในเมือง Montrose เช่นเดียวกับน้องชายสุดหล่อของเรา ทำกับ Halliburton ที่สงขลา แต่ไม่ยักกะส่งมา train ที่นี่บ้าง เห็น ส่งไปก็ แถบเอเชีย กับ อเมริกา นะ

คุยกันไป โม้กันมา เวลาก็ผ่านไปเกือบ 2 ชั่วโมงแล้วนะ Anne กลับมาจากทำผมแล้ว ส่วน Kirsty เตรียมตัวอาบน้ำให้ Melody ในกะละมังอาบน้ำเด็ก Anne รีบบอกเลยนั่นนะ กะละมังตั้งแต่เธอใช้อาบน้ำให้ Phillip กับ Michael g]pot
โอ้โห!!!!!! ช่างเก็บจริง ๆแม่คุณ เกือบ 30 ปี นะนี่

ประมาณ 2 ทุ่ม แอนน์ไปรับหนุ่มๆ กลับจาก ผับ ดูๆ แล้วท่าทางแต่ละคน พรุ่งนี้ต้องมี hare of dog อีกแน่ๆ ไม่รู้เคยกล่าวถึงริเปล่า ไอ้ hare of dog ที่ว่าคือ การไป Drink อีกครั้งคนละแก้วตอนเช้า เพื่อถอนอาการ hang over นั่นแหละ

จากนั้นก็ไปส่ง Michael ที่ Flat กลับบ้าน ทานอาหาร คุยกันเล็กน้อย พรุ่งนี้ต้องไปรับ Phillip แต่เช้า เพื่อจะไป ดันดี ( Dundee ) กัน Phillip ต้องการซื้อที่นอนเด็ก ( คอก ) ให้กับ Melody Martin เลยชวนไปดันดี เพราะไม่ไกลมาก และได้ถือโอกาสพาเราไปเที่ยวด้วย Martin เตือนให้เอาหนังสือ Harry potter ที่เราซื้อมาซ้ำตอนไปกลาสโกว์ พร้อม Receipt ไปด้วย

วันนี้ยังเหนื่อยไม่หาย ยังกะเดินทางไกลสมัยเป็นเนตรนารี แน่ะ
ขอตัวไปนอนก่อนนะ แล้วเจอกันที่ดันดีจ้า



Create Date : 25 มิถุนายน 2551
Last Update : 8 กรกฎาคม 2551 16:04:55 น.
Counter : 1207 Pageviews.

1 comments
  
บ้านน่ารักจังคะ
โดย: marzo วันที่: 25 มิถุนายน 2551 เวลา:12:24:45 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

mearnss
Location :
ชุมพร  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



เป็นเภสัชกร ที่อยากทำงานบริษัทท่องเที่ยว เค้าจะรับมั้ยนี่ ท่องเที่ยวกับอ่านหนังสือเป็นสิ่งที่โปรดที่สุดของข้าพเจ้า

MY VIP Friend