กรกฏาคม 2557

 
 
1
2
3
4
5
8
9
10
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
28
29
30
31
 
 
11 กรกฏาคม 2557
เนรมิตอักษรา 10

บทที่ 10

ท่องโลกนิยาย


“วรา...เธอต้องไม่เป็นไรนะ”

น้ำเสียงสั่นร่ำไห้อยู่ข้างหญิงสาวที่นอนแน่นิ่งไม่ทุกข์ร้อนต่อสิ่งใดนิสาจับมือนุ่มนวล สัมผัสถึงความอุ่นร้อนตามร่างกาย บ่งบอกว่ายังมีชีวิต ตรงหน้าอกใต้ผ้าห่มผืนบางกระเพื่อมขึ้นลงช้าๆคล้ายคนกำลังนอนหลับพักผ่อน


“ฟื้นซะทีสิวราทุกคนรอคอยเธออยู่นะ” หญิงสาวผู้เคยมีแต่ความเชื่อมั่น เวลานี้หลงเหลือเพียงแววหม่นหมองในดวงตาแดงก่ำมือยกปาดน้ำตาที่ไหลรินรดแก้มนวล จ้องมองเพื่อนสนิท

นิสาแอบต่อว่ากัมพลในใจ เหตุใดบิดาของเพื่อนจึงไม่ส่งข่าวให้รับรู้ถึงอุบัติเหตุเมื่อหลายวันก่อนเธอจะได้รีบเดินทางกลับจากต่างประเทศเพื่อมาดูใจเพื่อนสนิทให้เร็วกว่านี้โดยนิสาไม่ทันคิดให้รอบคอบ ด้วยฐานะของกัมพลคงไม่มีปัญญาหาโทรศัพท์ติดต่อเธอดีเท่าไรแล้วที่ศาสวัตรนึกถึง ส่งข้อความทางแชทไลน์บอกกล่าวให้รับรู้ว่าวราลีนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลทว่าศาสวัตรไม่ได้บอกถึงสาเหตุหรืออาการของวราลี นิสาจึงนิ่งนอนใจคิดว่าเพื่อนอาจป่วยไข้เล็กน้อยเท่านั้นเมื่อเดินทางกลับถึงบ้านจึงติดต่อหาศาสวัตรอีกครั้งถึงทราบเรื่องราวทั้งหมด


“กันดิศ!” วราลีอุทานเสียงดังจนเจ้าของชื่อสาวเท้ารวดเร็วมายืนข้างเธอ“นายได้ยินเสียงนิสาบ่นพ่อฉันหรือเปล่า” วราลีเขย่าแขนของพระเอกหนุ่ม ถามไถ่ในสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่นี้ใช่...เธอได้ยินความคิดของเพื่อนที่ต่อว่าบุพการีของเธอ แม้การต่อว่านั้นจะแสดงถึงความห่วงใยก็ตามแต่เธอยืนยันว่าได้ยินเช่นนั้นจริงๆ


“แปลกตรงไหน ก็แค่คิดในใจ”กันดิศยกมือกอดอก ชำเลืองมองนักเขียนสาว อยากอธิบายให้เธอรับรู้ถึงอีกมิติที่แตกต่างจากโลกมนุษย์คล้ายการสื่อสารทางจิตหรืออ่านความคิดโดยไม่ต้องปริปากพูดจา ทว่าเขาไม่สามารถบอกเธอได้อย่างโจ่งแจ้งเนื่องจากผิดกฎในโลกของเขา และวราลีไม่ใช่วิญญาณเร่ร่อนหรือหมดอายุขัยจากโลกมนุษย์ยังไม่ถึงเวลาที่เธอต้องรับรู้เรื่องราวเหล่านี้


“นายหมายความว่าไง” นักเขียนสาวขมวดคิ้วถามไถ่


“เดี๋ยวสักวันเธอคงได้รู้ หรือถ้าอยากรู้จริงๆลองมาเป็นตัวละครแบบฉันไหม จะได้รู้ว่าเพราะอะไร”กันดิศชายตามองหญิงสาวที่เบะปากและทำหน้ามุ่ยใส่ เขาหลุดขำและมองตามหลังเธอที่เดินไปยืนข้างนิสาพร้อมกระซิบข้างหู


“ฉันอยู่นี่ ฉันไม่เป็นอะไรหรอกนิสาแต่ไม่รู้ต้องทำอะไรต่อไปเท่านั้น” วราลีทำท่าจะจับมือเพื่อน แต่ต้องหยุดการกระทำไว้โดยกำมือแน่นก่อนดึงกลับมาในเวลานี้เธอคงสัมผัสร่างกายของนิสาไม่ได้ เหมือนที่ไม่อาจสัมผัสศาสวัตรได้เช่นกันนักเขียนสาวลอบถอนใจ มองเพื่อนสนิทชั่วครู่ก่อนหันหาพ่อของเธอ


กัมพลยกมือลูบศีรษะของลูกสาวที่นอนแน่นิ่งในใจของเขาได้แต่ภาวนาขอให้เธอฟื้นโดยเร็ว กัมพลบนบานศาลกล่าวต่อสิ่งศักดิ์อยากให้ลูกสาวฟื้นจากหลับไหลโดยแลกกับการไม่ดื่มสุราตลอดชีวิต คำวิงวอนของพ่อทำให้วราลีน้ำตาซึมอยากเดินเข้าไปกอดเขา แต่ต้องยืนสงบนิ่ง เมื่อทุกสิ่งไม่เป็นอย่างที่คิดหากเธอยังเป็นวิญญาณอย่างนี้


วราลีถอนใจหนักหน่วงก่อนตัดสินใจเดินขึ้นเตียงผู้ป่วยและนอนทับไปบนร่างไร้วิญญาณของเธอทว่าดวงจิตที่กำลังทับซ้อนอยู่บนกายหยาบกลับถูกพลังงานบางอย่างผลักให้กระเด็นตกจากเตียงผู้ป่วยอย่างกะทันหัน


กันดิศโผเข้าไปรับร่างบอบบางได้ทันท่วงทีก่อนวราลีจะกระแทกพื้น“เธอจะบ้าหรือไง! ทำอะไรไม่คิดปรึกษากันก่อน” พระเอกหนุ่มต่อว่าระหว่างดันให้นักเขียนสาวลุกออกจากบนร่างของเขา


“ทำไมฉันถึงกลับเข้าร่างตัวเองไม่ได้”วราลีโพล่งถามขณะพยายามลุกขึ้นนั่ง


“เธอดูหนังจีนมากไปหรือไงถึงคิดว่าการไปนอนทับร่างตัวเองอย่างนั้นจะกลับไปมีชีวิตตามเดิม” กันดิศเหลือบมองคู่สนทนาพร้อมขยับนั่งขัดสมาธิและปัดเศษฝุ่นตามร่างกายก่อนดึงวราลีให้ลุกขึ้นยืนข้างกัน


“แล้วฉันต้องทำไง?” วราลีมองกันดิศอย่างคาดคั้น ในเมื่อพระเอกหนุ่มพูดจาคล้ายรู้เรื่องดีทุกอย่างเพราะฉะนั้นเขาคงรู้ถึงวิธีการทำให้เธอฟื้นคืนชีพ


“เธอต้องอยู่ให้ห่างจากร่างกายของเธอแล้วรอวันพระจันทร์เต็มดวง ถึงจะฟื้นคืนชีพได้อีกครั้ง” วราลีนิ่งไปชั่วขณะก่อนจะคำนวณเวลาอย่างรวดเร็วหากให้รอคอยจนถึงวันเพ็ญเดือนสิบสอง คงอีกหลายเดือน เธอไม่อยากรอคอยนานขนาดนั้น


“นายพูดจริงเหรอกันดิศ?”


“ฉันโกหก” พระเอกหนุ่มพูดหน้าตายไม่ใส่ใจสายตาเขียวปั้ดที่มองหน้าเขาราวกับอยากกินเลือดกินเนื้อเสียเดี๋ยวนั้น“ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดอะไรเลย กลับไปตั้งหลักที่บ้านเธอก่อนดีกว่า”กันดิศยกมือจับศีรษะของวราลีโยกไปมาเบาๆก่อนจะคว้าข้อมือเล็กให้เดินตามออกจากห้องพักผู้ป่วย ปล่อยให้กัมพลกับนิสาได้ถ่ายเทความเสียใจรอคอยโอกาสให้ร่างไร้วิญญาณนั้นได้ฟื้นกลับมาอีกครั้ง



==== 



“คัท! วันนี้พอเท่านี้ก่อน ทุกคนทำได้เยี่ยมจริงๆ ขอบคุณมากๆ”ผู้กำกับส่งเสียงสั่งเลิกกอง หลังจากเหน็ดเหนื่อยกับถ่ายละครมาตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงเวลาย่ำค่ำ


ศาสวัตรส่งยิ้มให้ผู้กำกับที่เดินมาตบไหล่เป็นกำลังใจระหว่างเขาถอดชุดสูทสีขาวออกจากร่างกายหลังถ่ายทำละครในฉากที่ได้รับบทเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว ยืนอยู่ท่ามกลางงานเลี้ยงสังสรรค์ภายในโรงแรมหรูหราระดับห้าดาว


“เป็นไง เหนื่อยหรือเปล่าจะกลับโรงพยาบาลเลยไหม” หญิงสาวรูปร่างอวบอิ่มวัยกลางคนเดินมาหาศาสวัตรที่พยักหน้าตอบรับและส่งเสื้อสูทให้เธอถือไว้ก่อนจะหยิบสัมภาระใส่กระเป๋าเป้ส่วนตัว


“รบกวนพี่ขับรถไปส่งผมที่โรงพยาบาลได้หรือเปล่าวันนี้รู้สึกเหนื่อยชะมัด” ศาสวัตรกล่าวด้วยสีหน้าเนือยๆ


“ได้สิงั้นพรุ่งนี้พี่ไปรับศาสตอนตอนเช้า ตกลงไหม” ชายหนุ่มพยักหน้าและชำเลืองมองผู้จัดการส่วนตัวระหว่างเก็บของจนเรียบร้อยศาสวัตรหยิบกระเป๋าเป้สะพายที่ไหล่ก่อนร่ำลาเพื่อนร่วมงานคนอื่นและเดินนำผู้จัดการของเขาออกไปยังรถยนต์คันหรู


“พี่จะขับให้นิ่มสุดฝีมือเลยศาสนั่งให้สบายใจเถอะ” ผู้จัดการส่วนตัวตบบ่าพร้อมหยิบกุญแจรถจากมือชายหนุ่มที่ยื่นส่งให้


เมื่อเปิดประตูขึ้นนั่งในรถสิ่งแรกที่ศาสวัตรมองหาคือเอกสารปึกหนึ่งหน้ารถเขาหันหาผู้จัดการส่วนตัวขณะที่เธอก้าวขึ้นนั่งประจำตำแหน่งคนขับ


“เห็นต้นฉบับที่ผมวางไว้ตรงนี้หรือเปล่า”ชายหนุ่มชี้ไปยังคอนโซลหน้ารถ ต้นฉบับนิยายกว่าสองร้อยแผ่นซึ่งเปรอะเปื้อนคราบเลือดเกรอะกรังที่เคยวางไว้ตรงนั้นหายไปและบุคคลที่ขึ้นรถคันนี้มีเพียงเขากับผู้จัดการส่วนตัวเท่านั้น


“พี่วางไว้ตรงเบาะหลังรถ” สิ้นเสียงหญิงสาวศาสวัตรก็เอื้อมหยิบเอกสารดังกล่าวจากเบาะด้านหลังมาวางไว้บนตักพร้อมวาดยิ้มบนใบหน้าคมคาย“พี่เห็นมันเกะกะหน้ารถ เลยวางไว้ตรงนั้น ว่าแต่งานเขียนของใครเหรอ นามปากกาสวยเชียวณ สิตางศุ์”


“งานเขียนของแฟนผมเป็นผลงานชิ้นแรกแต่ยังไม่ผ่านการพิจารณาจากสำนักพิมพ์ ผมเห็นมันตกอยู่ในที่เกิดเหตุวันที่เธอถูกรถชน” รอยยิ้มน้อยๆ ที่ปรากฏเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นหม่นเศร้า ศาสวัตรทบทวนเหตุการณ์


ค่ำคืนนั้นหากการถ่ายละครไม่ล่าช้ากว่ากำหนดเขาคงไปหาวราลีที่ร้านกาแฟตามเวลานัดหมาย คงไม่เกิดอุบัติกับเธอจนนอนหลับไหลเป็นร่างไร้วิญญาณอย่างนั้นศาสวัตรได้แต่โทษตัวเองที่ไปพบเธอช้าเกินไป มีพยานที่เห็นเหตุเหตุการณ์เล่าว่า วราลีถูกรถเก๋งสีขาวพุ่งชนขณะเดินอยู่บนริมฟุตปาธคนขับรถยนต์คันดังกล่าวเมาสุราจนแทบไม่มีสติสัมปชัญญะ


ก่อนเกิดเหตุศาสวัตรโทรติดต่อกับวราลีขณะเธอเดินอยู่ริมถนนใกล้ถึงปากทางเข้าบ้าน และสัญญาณโทรศัพท์ก็ตัดไป เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุเขาพบเธอนอนเลือดท่วมตัว หมดสติแน่นิ่งไปแล้ว ข้าวของเครื่องใช้กระจัดกระจายทั้งเครื่องมือสื่อสารที่ตกอยู่บริเวณใกล้เคียงในสภาพพังยับเยินชนิดที่เรียกว่าซื้อเครื่องใหม่ยังคุ้มกว่านำไปซ่อมให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิมรวมถึงต้นฉบับนิยายปึกนี้


ศาสวัตรปัดความคิดหดหู่ทิ้งและพลิกหน้ากระดาษไปยังแผ่นที่มีรอยพับซึ่งอ่านค้างไว้เขาอ่านไปยิ้มไประหว่างนั่งอยู่บนรถ ขณะเดินทางไปโรงพยาบาลที่แฟนสาวนอนพักรักษาตัว


“เป็นอย่างไรบ้างนิยายเรื่องนี้พอจะทำเป็นบทละครไหวไหม” คำถามของผู้จัดการทำให้ชายหนุ่มหลุดยิ้ม


ศาสวัตรพูดคุยถึงเนื้อหาของงานเขียนเขาเล่าเกี่ยวกับผลงานของวราลีอย่างมีความสุข โดยอธิบายถึงภาพรวมว่าตัวอักษรทำให้สัมผัสได้ถึงตัวตนของผู้เขียนงานนั้นๆคล้ายมีบางอย่างสื่อออกจากสำนวนการเขียน ไม่ว่าจะด้วยความอ่อนไหวหรือนุ่มนวลอารมณ์ขบขัน สุข เศร้า เหงา ซึม หรือแม้แต่ความน่ากลัวในส่วนลึกของจิตใจคล้ายได้รู้จักอีกมุมหนึ่งของผู้สร้างสรรงานนั้นๆ


สำหรับวราลีเองคงต้องพัฒนาฝีมืออีกมากเพื่อให้บรรลุเป้าหมายแห่งเส้นทางนักเขียนศาสวัตรเชื่ออย่างนั้น



=====                



‘อาจารย์คะ ศีตลาเป็นลม ตอนนี้อยู่ในสถานพยาบาลค่ะ’ หญิงสาวในชุดนักศึกษาวิ่งหน้าตื่นมายืนอยู่หน้าคลาสเรียนหล่อนตะโกนบอกอาจารย์หนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตและกางเกงยีนส์สีดำด้วยท่าทางเหนื่อยหอบ


อาจารย์หนุ่มคนนั้นปรายสายตามองนักศึกษาสาวพร้อมเสยผมเส้นเล็กที่ปกคลุมใบหน้าเผยดวงตาทรงเสน่ห์ ทว่าหน้าตาของอาจารย์คนนั้นกลับคล้ายเขาราวกับเป็นคนเดียวกัน

ศาสวัตรยืนมองนักศึกษาสาวกับอาจารย์หนุ่มพูดคุยอยู่หน้าคลาสเรียนคล้ายกำลังดูละครที่ทั้งสองแสดงบทบาทซึ่งฉากนี้คือบทหนึ่งในต้นฉบับที่เขาเพิ่งอ่านผ่านได้เพียงไม่นาน


“ศาส...ถึงโรงพยาบาลแล้ว”ผู้จัดการส่วนตัวสะกิดแขนของคนเผลอหลับให้รู้สึกตัว


ศาสวัตรสะดุ้งเล็กน้อยก่อนปรือตาเปิดเขาหันมองนอกกระจกรถและเสยผมเส้นเล็กลวกๆ ไม่ให้ปอยผมปกคลุมใบหน้าหล่อเหลา ศาสวัตรชำเลืองมองคนด้านข้างและพยักหน้ารับรู้ก่อนหยิบสัมภาระ


“พรุ่งนี้เจอกันนะพี่” ชายหนุ่มกล่าวลาก่อนกระชับกระเป๋าเป้ตรงไหล่และเปิดประตูก้าวลงจากรถ


ร่างสูงยืนมองรถยนต์ของตนเคลื่อนที่จากไปก่อนจะก้มมองต้นฉบับนิยายในมือเขาครุ่นคิดถึงตัวละครในความฝัน ช่างมีหน้าตาละม้ายคล้ายเขาอย่างกับส่องกระจกเงามองตัวเองหรือจะเข้าถึงตัวอักษรมากเกินไปจึงเก็บมาฝันเป็นตุเป็นตะอย่างนี้


ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจก่อนหมุนตัวเดินเข้าโรงพยาบาลเพื่อขึ้นไปยังห้องพักผู้ป่วยพิเศษประตูลิฟต์เปิดพร้อมศาสวัตรเดินเข้าด้านใน เขายังคิดถึงพระเอกหนุ่ม ‘กันดิศ’ อย่างต่อเนื่อง เท่าที่อ่านและทบทวนอย่างถี่ถ้วนในหลายตัวละครควรมีการปรับเปลี่ยนบุคลิกและการแต่งกายเสียใหม่


เขาหยิบปากกาจากกระเป๋าเป้และเขียนจุดที่ควรแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงไว้ในต้นฉบับป้องกันความคิดสูญหายหรือลืมเลือน


“พี่ศาสถ่ายละครเสร็จแล้วหรือคะ”นิสาทักทายเมื่อเห็นแฟนของเพื่อนเปิดประตูและย่างกรายเข้ามาในห้อง


ศาสวัตรพยักหน้าเป็นคำตอบและยกมือไหว้กัมพลอย่างนอบน้อม “คุณหมอเข้ามาตรวจหรือยังครับพ่อ”


“เข้ามาเมื่อเย็นเห็นว่าอาการทรงตัว ไม่ดีขึ้นจากที่ตรวจเมื่อเช้า” กัมพลตอบ“ไม่กลับห้องไปพักผ่อนรึ คืนนี้พ่อเฝ้ากุ้งแห้งให้เอง”


“พ่อกับนิสากลับไปพักเถอะครับผมดูวราได้” ศาสวัตรกล่าว


“พี่ศาสนั่นละไปพักไม่เหนื่อยหรือคะเพิ่งกลับจากทำงานก็ต้องมาเฝ้าคนป่วยอีก” นิสาเสริมขึ้นบ้าง


“ไม่เป็นไร พี่เฝ้าได้ เรากับพ่อกลับไปพักเถอะ”ชายหนุ่มระบายยิ้มให้นิสาที่พยักหน้าและหันมองกัมพล ส่งสัญญาณให้เขาเก็บของเตรียมเดินทางออกจากโรงพยาบาล


“ฝากกุ้งแห้งด้วย เดี๋ยวพรุ่งนี้พ่อจะมาเฝ้าแต่เช้า”


“ครับพ่อ”


กัมพลและนิสาหยิบสัมภาระและเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยโดยศาสวัตรเดินไปส่งยังหน้าประตู


ร่างสูงเดินกลับมานั่งตรงเก้าอี้ข้างเตียงผู้ป่วยและจับมือบอบบางกุมไว้“วันนี้เป็นไงบ้าง คงไม่เหงานะ มีทั้งพ่อทั้งนิสามาอยู่เป็นเพื่อน”ศาสวัตรระบายยิ้มพร้อมยกมือลูบศีรษะและเกลี่ยไรผมของวราลีเบาๆ“พี่อ่านงานเขียนของเราได้สี่บทแล้วนะ คงต้องแก้ไขอีกเยอะ ทั้งคำผิด ทั้งสำนวนแปลกๆแต่ขอชมเชยว่าเราเก่งมากที่เขียนนิยายได้อย่างนี้ รู้ไหมมันไม่ง่ายเลยที่ใครๆ จะทำได้พี่ภูมิใจนะ และสัญญาจะช่วยให้งานเขียนชิ้นนี้เป็นรูปเล่มให้ได้”


เขาพูดคุยกับแฟนสาวอีกพักใหญ่ จึงขอตัวไปอาบน้ำทำภารกิจส่วนตัวและเริ่มอ่านต้นฉบับของวราลีต่อจนเผลอหลับในที่สุด



===== 



กลางดึกเงียบสงัดหันมองไปทางไหนก็เป็นแต่ความมืดมิด ทว่าแหงนหน้ามองขึ้นบนท้องฟ้าจะเห็นรัศมีของดวงจันทร์เปล่งประกายความสว่างไสวแม้ค่ำคืนนี้แสงสีนวลนั้นจะหม่นเศร้าคล้ายจิตใจของคนมองก็ตาม วราลีเหม่อมองพระจันทร์พลางคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องประหลาดขึ้นกับเธอหรือเพราะอานุภาพของลูกแก้วนคราที่ชายชรามอบให้ส่งผลให้เธอยังอยู่ตรงนี้พร้อมกับพระเอกในนิยายและตัวละครอื่นๆที่ผ่านให้มาพบเจอเป็นพักๆ


หรือแม้แต่ความมหัศจรรย์ที่ทำให้เธอได้พบเจอบิดาในความฝันก่อนจะได้รับรู้เรื่องราวทุกอย่างว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองและความผูกพันทำให้เธอได้พบเจอกับบุคคลอันเป็นที่รัก ความทรงจำเก่าๆ ค่อยๆคืบคลานเข้ามา วราลีหลับตานึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น วันที่ได้พบเจอชายชราและได้ช่วยเหลือให้เขาข้ามถนนโดยชายหนุ่มด้านข้างหันมองเธอด้วยแววตาห่วงใย บางขณะฉายแวววูบไหวในดวงตาทรงเสน่ห์คู่นั้นปล่อยให้เธอระลึกความหลังเพื่อรื้อฟื้นในสิ่งที่ลืมเลือนไปชั่วคราว


วราลีพอคลับคล้ายคลับคลา หลังจากก้าวลงจากรถยนต์ของเพื่อนได้ยืนส่งจนรถคันสีแดงสดพ้นสายตาจึงย่างก้าวเดินเลาะริมถนนไปอย่างละเลียดเธอจำได้ว่าระหว่างรับโทรศัพท์ของศาสวัตรและเขากำลังเดินทางใกล้จะถึงเธอเสียงลากเบรกเอี๊ยดดังยาวก่อนหันไปมองและความเจ็บปวดกระทบร่างกายวูบเดียวอย่างรวดเร็วและรุนแรงและทุกอย่างก็มืดมิดในที่สุด


ภาพคุณตาก็ลอยผ่านเข้ามาในความคิดเธอเจอเขาแวะมาทักทาย โดยบรรยากาศรอบกายผิดปกติไปตั้งแต่นั้นมา ทว่าไม่ทันสังเกตเสียงความวุ่นวายบนท้องถนนที่เคยเซ็งแซ่ก็เงียบหาย ไม่มีรถราวิ่งผ่านให้เห็นมีเพียงความเงียบวังเวงจนเดินกลับเข้าบ้าน แต่แล้วเกิดแปลกใจเหตุใดจึงพบเจอกัมพลอยู่ภายในบ้านของเธอ


“เพราะจิตเธอนึกถึงแต่พ่อนะสิความคิดจึงสร้างภาพของเขาขึ้นมาให้เธอได้พบเจอในมิตินี้” กันดิศพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบและแผ่วเบาทำให้หญิงสาวด้านข้างลืมตาและหันมองเขา เพียงคิดในใจ เขาก็รับรู้ความคิดของเธอคล้ายกับที่เธอได้ยินเสียงความคิดของนิสา


“แล้วพวกนายละเกิดจากภาพมายาที่ฉันคิดขึ้นมาด้วยหรือเปล่า” วราลีถาม


“บอกแล้วไงพวกฉันเป็นจิตใต้สำนึกของเธอ ความคิดที่เธอวนเวียนเกี่ยวกับนิยายก็เหมือนผลพลอยได้ที่ทำให้เธอเรียนรู้และต้องจดจำ”


“แล้วถ้าฉันฟื้นพวกนายจะหายไปหรือเปล่า” วราลีจ้องมองนัยน์ตาสีถ่าน เขาไม่ตอบสิ่งใดเพียงระบายยิ้มเล็กน้อยก่อนพูด


“อีกไม่นานฉันก็จะไร้ตัวตนสำหรับเธอ”คนรับฟังถึงกับใจกระตุกวูบเมื่อเห็นแววตาหม่นเศร้าและได้ยินเสียงแหบห้าวอ่อนลงจนใจหาย“เธอจะกลับไปอยู่ในโลกของเธอ โดยมีผู้ชายคนนั้นข้างกาย” กันดิศเลื่อนสายตามองตรงไปข้างหน้าเป็นจุดสนใจให้วราลีมองตามและเบิกตากว้างพร้อมหลุดเสียงแผ่วเบา


“พี่ศาส...”


ศาสวัตรเดินเข้าหาชายหญิงที่กำลังมองทางเขาเป็นตาเดียวกันดิศมองด้วยแววตานิ่งเฉยแต่บางจังหวะกลับเห็นความเศร้าและไม่ชอบใจปะปนส่วนวราลีจ้องมองด้วยอาการตกตะลึง เมื่อตั้งสติได้เธอจึงลุกจากเก้าอี้หน้าบ้านและก้าวเดินหาคนรักด้วยสองขาสั่นเทาโดยคิดไปต่างๆ นานา หรือศาสวัตรจะเป็นภาพมายาที่ความคิดและจิตใต้สำนึกสร้างขึ้นมาหลอกหลอนตัวเองอีกแล้ว


“ตัวเล็ก”ร่างสูงโผเข้ากอดร่างบอบบางไว้แน่นราวกับได้พบเจอคนที่หายสาบสูญเป็นสิบปีโดยวราลีต้องยกมือขึ้นกอดเอวเขาตอบเช่นกัน “พี่คิดถึงเรา ทำไมต้องเกิดเรื่องอย่างนี้ด้วยกลับไปอยู่ด้วยกันได้หรือเปล่า อย่าจากพี่ไปแบบนี้” ตั้งแต่คบหากันมาหลายปี ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่ศาสวัตรแสดงความอ่อนแอและท้อแท้ให้ได้ยินจากน้ำเสียงละมุนสั่นเครือ


วงแขนแข็งแรงกระชับอ้อมกอดแน่นจนวราลีรู้สึกเจ็บทว่ากลับอบอุ่นอย่างไม่เคยได้สัมผัสความรู้สึกนี้มาก่อน เธอจึงออกแรงกอดเขาแรงขึ้นเช่นกันเธอระบายยิ้มด้วยสารพัดความรู้สึก ทั้งดีใจระคนแปลกใจ และคิดในใจว่า ‘คิดถึง’ เขาไม่ต่างกันทว่าความแปลกใจมีมากกว่าจึงถามไถ่


“ทำไมพี่ศาสถึงมาหาวราได้อย่างนี้”ใบหน้านวลผละห่างจากแผงอกกว้างและเงยมองหน้าคนตัวสูง


“พี่ไม่รู้แต่เราต้องกลับไปพร้อมพี่เดี๋ยวนี้พี่จะไม่ปล่อยเราไปไหนอีกแล้ว” ศาสวัตรพูดจาหนักแน่นพร้อมคลายอ้อมกอดและกุมมือคนรักไว้แน่นไม่ยอมปล่อยเธอตามที่บอกไว้จริงๆทว่าความเคลื่อนไหวของใครบางคนก็ทำให้ศาสวัตรหันเหความสนใจมองไปทางนั้น


ชายหนุ่มซึ่งเป็นตัวเอกในนิยายที่เขาจำได้ติดตาเดินเข้ามายืนใกล้ๆและมองอย่างไม่เป็นมิตรเสียเลย เขาหยุดยืนข้างๆ วราลีและดึงมือเธอไว้คล้ายเหนี่ยวรั้ง


                “เธอคนนี้ยังไปกับนายไม่ได้”กันดิศกล่าวและมองศาสวัตรอย่างสู้สายตา ทำให้หญิงสาวที่ถูกจับมือไว้ทั้งสองข้างหันซ้ายทีหันขวาทีมองชายหนุ่มทั้งสองอย่างสับสนและไม่เข้าใจต่อเหตุการณ์ที่กำลังเผชิญ


To be continued 




Create Date : 11 กรกฎาคม 2557
Last Update : 11 กรกฎาคม 2557 5:21:48 น.
Counter : 549 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มาโซคิส
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]



เ ร า ต่ า ง กั น แ ส น ไ ก ล

Blood A_Blood Type Series
เรียบง่าย อยู่บนเหตุและผล สันติ ยุติธรรม

ถ้าในฝันนั้น.. ฉันได้มีเธอ.. ขอนอนหลับไม่ตื่นได้ไหม..
เ ว ล า คิ ด ถึ ง ใ ค ร บ า ง ค น ม า ก ๆ อ ย า ก ดึ ง เ ค้ า อ อ ก ม า จ า ก โ ล ก แ ห่ ง ค ว า ม ฝั น แ ล้ ว ก อ ด ซ ะ !! ใ ห้ ห า ย คิ ด ถึ ง





หากวันใด อ่อนแอ ท้อแท้ ผิดหวัง ให้ลองย้อนนึกถึงวันที่เคยตะเกียกตะกาย . .



ถ้าคนๆ หนึ่ง มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้เรายิ้มออกมาได้โดยไม่ตั้งใจ.. มานก็ไม่แปลกเลยที่เขาสามารถทำให้เราน้ำตาไหลได้โดยไม่รู้ตัว..

Online Now




New Comments