มิถุนายน 2557

2
3
5
6
7
9
10
12
13
14
16
17
18
20
21
23
24
25
26
27
28
29
 
 
11 มิถุนายน 2557
เนรมิตอักษรา 3


บทที่ 3

ทฤษฎีของโลกนิยาย





       หญิงสาวร่างผอมบางยืนนิ่งเฉยอย่างนั้น ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไร รู้เพียงแค่ความเคลื่อนไหวรอบกายหยุดชะงักกับที่ เสียงเซ็งแซ่ที่เคยได้ยินสงบนิ่งราวกับลอยเคว้งอยู่นอกจักรวาล แม้แต่เสียงแหบห้าวตะโกนเรียกชื่อยังไม่สะเทือนถึงโสตประสาท



       กันดิศเดินมาหยุดยืนใกล้ๆ และดึงลำแขนเล็กให้รู้สึกตัว



       วราลีเลื่อนสายตามองสูงจนใบหน้าคมคายของพระเอกหนุ่มดึงให้เธอหลุดจากภวังค์ความอื้ออึง



       “เป็นอะไรของเธอ ปล่อยให้ฉันเรียกอยู่ได้ตั้งนาน” กันดิศเน้นเสียงหนักแต่ยังคงวางสีหน้านิ่งเฉย เขาไม่ทราบระหว่างเธอกับศีตลาพูดคุยอะไรกันอยู่นานสองนาน เห็นแต่นางเอกสาวเดินคอตก หน้าละห้อย แววตาอ่อนหวานกลับกลายเป็นเศร้าสลด มองทางเขาก่อนจะหลบขึ้นคณะเรียน ส่วนวราลีได้แต่ยืนนิ่งเฉยราวกับถูกคำสาปไม่ให้ขยับเท้าไปไหน



        เปลือกตากะพริบถี่ ไล่ความมึนเบลอออกจากความรู้สึก ปรับอารมณ์สับสนให้กลับมาเป็นปกติ จำเป็นหรือไม่ที่ต้องอธิบาย ‘ความลับ’ ของเธอกับศีตลาให้เขารับฟัง 



        วราลีหมุนตัวกลับพร้อมก้าวเดินออกจากมหาวิทยาลัยและถามไถ่ “นายไปพูดอะไรกับศีตลา เธอถึงวีนใส่ฉันอย่างกับโกรธแค้นกันมาเป็นสิบชาติ” สิ่งซึ่งทำให้งุนงงพอกับเรื่องที่นางเอกสาวเก็บกดเกี่ยวกับทรวงทรงอกเอว ทำให้คิดได้ว่า ‘พลาด’ แล้วจริงๆ ที่ไม่ศึกษาสัดส่วนของหญิงสาวรูปร่างดีให้ละเอียดเสียก่อนจะนำมาบรรยายในงานเขียนของเธอ



        “ก็แค่ขอเลิก...เพราะฉันอยากอยู่กับเธอ” กันดิศกล่าวยังไม่ทันสิ้นเสียง วราลีก็หันขวับกลับมามองเขา เธอขึงตาโตใส่ด้วยความตกตะลึง เป็นเพราะเธออย่างนั้นหรือจึงทำให้พระนางในนิยายแตกหักกันเอง ทั้งที่เนื้อเรื่องควรดำเนินไปตามทางอย่างสร้างสัน แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น



        “เหตุผลฟังไม่ขึ้นเลยนะ นายกับศีตลาเป็นคนรักกัน และทุกอย่างต้องเป็นไปตามที่ฉันเขียน ไม่ใช่หรือไง”



“ฟังนะ นิยายก็ส่วนนิยาย จิตใจฉันก็ส่วนหนึ่ง อย่าเอามารวมกัน ใช่...บทบาทที่เธอบรรยายไว้ ฉันเป็นอาจารย์ที่รักกับลูกศิษย์ของตัวเอง แต่เธอผิดพลาดอย่างแรง” กันดิศยกมือกอดอกพยายามบอกเหตุผลในสิ่งซึ่งควรแก้ไขเกี่ยวกับงานของเธอ



        “มันผิดพลาดยังไง ในเมื่อฉันแค่จินตนาการให้เป็นแบบนั้น” วราลีโต้แย้ง



        “ใช่...เธอไม่ผิดที่จินตนาการ แต่ต้องมองหลักความเป็นจริงบ้าง กฎระเบียบของมหาวิทยาลัยเธอก็รู้ดี ห้ามอาจารย์กับศิษย์คบหากันในเชิงชู้สาว แต่เธอดันเลือกให้ฉันผิดกฎนั้นซะเอง”



         วราลียืนอึกอัก เถียงไม่ออกสักคำ กันดิศจึงเริ่มสาธยายเหตุผลต่อ 



        “ฉันรู้ว่าเธออยากได้พระเอกมาดเท่ เก่งไปซะทุกอย่าง เพอร์เฟคในสายตาของนางเอกแสนสวย โปรไฟล์เลิศเลอกว่าตัวประกอบฝ่ายชายที่ต้องแก่งแย่งผู้หญิงกัน แต่ให้ฉันมีแค่อาชีพเดียวก็พอ เธอลองคิดดูนะ เสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์ทรงเดฟ เครื่องประดับเงินเต็มตัว และผมยาวระต้นคออย่างนี้ สมควรเป็นอาจารย์หรือเปล่า”



         กันดิศหันซ้ายแลขวาจนเจอชายสูงวัยซึ่งแต่งตัวภูมิฐานด้วยเชิ้ตขาว กางเกงดำทรงสแลค รองเท้าหนังมันเงา เรียบร้อยตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ไม่เว้นแม้แต่ผมที่ปัดเป๋ไปด้านข้าง เรียบแป้ไม่มีแตกแถวแม้แต่เส้นเดียว



         ร่างสูงก้าวไปยืนขนาบข้างหญิงสาวพร้อมจับไหล่กลมกลึงให้หันมองตามการชี้ชวนเพื่อดูตัวอย่าง “โน้น อาจารย์ต้องแต่งตัวแบบนั้น” เขาปล่อยให้วราลีมองอยู่ครู่หนึ่งจึงจับให้เธอหมุนกลับมาเผชิญหน้าระหว่างกันและชี้ที่ตัวเอง “แล้วดูฉันแต่งตัวสิ สมกับบทบาทหรือเปล่า” พระเอกหนุ่มเลิกคิ้วสูงตั้งคำถาม


         วราลีไล่สายตาตั้งแต่ใบหน้า ทรงผม เครื่องแต่งกาย เชิ้ตปล่อยชายหลุดลุ่ยสีเดียวกับกางเกงยีนส์ดำสนิท จนหยุดที่รองเท้าผ้าใบสีแดง และไล่สายตากลับมาที่ใบหน้าคมคายอีกครั้ง เธอพยักหน้าหงึกๆ และหันมองทางชายสูงวัยที่ถือแฟ้มเดินขึ้นอาคารเรียน จริงอย่างกันดิศว่าไว้ เขาไม่สมควรเป็นอาจารย์ผู้สอน แต่เหมาะกับนักดนตรีมากกว่า ยังไม่ทันได้ทวนความคิดไปถึงบทบรรยายในต้นฉบับ ข้อแขนก็ถูกคว้าหมับให้เดินตาม



         “ฉันจะเริ่มต้นสอนหลักการเขียนนิยายให้เธอ” กันดิศกล่าวอย่างมุ่งมั่น



         “นี่นายจะพาฉันไปไหน!” วราลีโวยวายระหว่างสาวเท้ายาวๆ เมื่อถูกลากให้เดินตามคนตัวสูงให้ทัน



         “เซ็ตติ้ง (Setting)”   



         “เซ็ตติ้งอะไรของนาย” หญิงสาวโพล่งถามเมื่อคำตอบไม่ได้ช่วยให้ความกระจ่างสักนิด



         “ฉาก เวลา สถานที่ หรือแบล็คกราวน์ของเรื่องไงล่ะ” กันดิศขยายความ “ในนิยายของเธอเป็นสิ่งที่เธอสมมติขึ้นเองทั้งหมด หากผู้อ่านคนไหนเคยไปสถานที่จริงคงเถียงคอเป็นเอ็นว่าเธอมั่วนิ่ม” พระเอกหนุ่มออกแรงดึงให้นักเขียนสาวก้าวเดินเร็วขึ้นอีกเท่าตัวเมื่อทั้งสองเดินผ่านพ้นประตูมหาวิทยาลัย



         “แล้วอีกอย่าง ฉันจะไม่ยอมขึ้นรถเมล์เป็นอันขาด แม้จะรู้สึกดีตอนได้เบียดเสียดกับเธอ แต่ฉันไม่ชอบสายตาของผู้ชายคนอื่นที่มองเธอ”



         ความอื้ออึงวิ่งผ่านความรู้สึก กระตุกหัวใจให้เต้นถี่กะทันหัน แรงขืนที่พยายามยื้อยุดเมื่อครู่หยุดลงโดยฉับพลัน และยอมให้กันดิศกำกุมข้อมือไว้อย่างนั้นจนเขายกมือโบกรถแท็กซี่เพื่อใช้บริการ สำหรับเดินทางไปยังจุดหมายที่ต้องการ



         ภายในรถเงียบสงบเมื่อกันดิศบอกสถานที่แก่โชเฟอร์เป็นที่เรียบร้อย โดยเขากับวราลีนั่งเบาะหลังด้วยกันทั้งคู่ ชายหนุ่มชำเลืองมองคนด้านข้างที่นั่งเงียบมาตลอดทาง เธอหยุดการสนทนาตั้งแต่ก่อนขึ้นรถอย่างไม่ทราบสาเหตุ ส่วนหนึ่งอาจกำลังโกรธหรือไม่พอใจที่เขาบังคับฝืนใจก็เป็นได้



         “โกรธฉันเหรอ” น้ำเสียงแผ่วฉุดให้วราลีสะดุ้งเล็กน้อยก่อนพูดอึกอัก



         “ปละ เปล่านี่ มีเรื่องอะไรที่ฉันต้องโกรธนาย” ภายในอกยังคงเต้นตึกตักจนรู้สึกประหม่า สองมือจับบีบเพื่อคลายความตื่นเต้น “ว่าแต่นายจะไปทำอะไรที่ดรีมเวิลด์”



         “ก็ในนิยายของเธอมีฉากที่กล่าวถึงสวนสนุกใช่หรือเปล่า ฉันจะพาไปสถานที่จริงเพื่อให้เธอเห็นภาพว่าบรรยากาศของที่นั่นเป็นไง จะได้จำไปแก้ไขในต้นฉบับ และคนอ่านก็จะเถียงไม่ได้ เพราะเธอไปเห็นทุกซอกมุมของที่นั่นมาแล้วจริงๆ”



         “การเขียนงานต้องลงทุนลงแรงขนาดนี้เลยเหรอ ฉันเข้าใจว่าแค่สร้างจินตนาการก็พอ” วราลีชำเลืองมองชายหนุ่มเล็กน้อยก่อนจะหันกลับพร้อมก้มหน้ามองมือของตนที่ยังจับบีบกันอยู่เพื่อควบคุมจิตใจให้สงบลง เพียงเสี้ยวนาทีที่มองสบกับสายตาหลอมละลายคู่นั้นทำให้หัวใจหวั่นไหวจนต้องนึกถึงศาสวัตรให้มากที่สุด ไม่อยากไขว้เขวและถูกตราหน้าว่าหลงรูปของชายหนุ่มผู้หล่อเหลาคนนี้



         “แค่จินตนาการอย่างเดียวไม่พอ เธอต้องทำให้คนอ่านเชื่อและอินไปกับบทบรรยาย ไม่ใช่กำลังหลงเคลิ้มแล้วต้องสะดุดกับความไม่สมจริง” กันดิศอธิบายถึงสวนสนุกในงานเขียนของวราลี ซึ่งเกี่ยวกับเครื่องเล่นและสถานที่เดินหย่อนใจ จริงๆ แล้วในแต่ละส่วนแยกพื้นที่เป็นสัดส่วน อย่างเครื่องเล่นก็อยู่ในโซนเดียวกัน สวนอาหารร้านค้าก็แบ่งส่วนไว้เพื่อความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการ แม้แต่มุมหย่อนใจก็ตกแต่งความสวยงามเพื่อทำไว้เป็นจุดเก็บภาพประทับใจ สิ่งสำคัญที่กันดิศอยากเดินทางไปสวนสนุก เหตุเพราะเขาไม่เคยได้เห็นหรือสัมผัสของจริงสักครั้ง



          “นิยายของเธอถ้าจะให้แบ่งเป็นประเภทก็คงเป็นนวนิยายรัก (Romance fiction) เป็นเรื่องราวความรักความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร โดยเน้นอารมณ์ความรู้สึก ฉันเข้าใจถูกใช่ไหม”



          “อืม ก็คงเป็นแนวตลาดทั่วไปตามที่ บก. บอกนั่นล่ะ แต่พอดีฝีมือยังไม่ถึงขั้น” วราลีเหยียดยิ้มให้กับความผิดหวังในผลงานที่ต้องปรับปรุงรายละเอียดเพื่อส่งสำนักพิมพ์พิจารณา ซึ่งอาจเป็นความหวังเดียวที่มีอยู่ เมื่อคิดสร้างฝันให้เป็นความจริง



          “เรื่องนั้นอย่าเพิ่งสนใจเลยน่า รอให้เข้าใจถึงองค์ประกอบต่างๆ แล้วทยอยแก้ไขต้นฉบับก็ไม่สายไปหรอก วันนี้เธอก็ได้ข้อคิดไปหลายอย่างแล้วไม่ใช่เหรอ ทั้งพล็อตเรื่อง (Plot) ตัวละคร (Character) รวมถึงสถานที่ซึ่งฉันกำลังจะพาไป”



=====


          รถแท็กซี่วิ่งไปตามเส้นทางรังสิตนครนายกจนถึงคลองสี่ จึงกลับรถเลี้ยวขึ้นสะพานปูนสีชมพูหวานแหวว ขับไปอีกระยะก็ถึงประตูทางเข้า ป้ายชื่อสีหวานบนเนินหญ้า ‘Dream World’ สวนดอกไม้ละลานตา แท็กซี่จอดสนิทพร้อมให้ผู้โดยสารลงจากรถ กันดิศล้วงหยิบกระเป๋าสตางค์ควักแบงค์พันออกมายื่นส่งให้โชเฟอร์



          “โอย...ผมไม่มีตังทอนหรอกครับ เพิ่งขับมาส่งพวกคุณเที่ยวแรก” กันดิศหน้าเจื่อนลง มองแบงค์ในมือพลางคิดหาทางแก้ไข ในเมื่อทั้งเนื้อทั้งตัว เขามีแค่เงินหนึ่งพันบาทกับบัตรเครดิตอีกสามใบ



          “ฉันมีค่ะ” วราลีกระตือรือร้นล้วงแบงค์ร้อยสามใบส่งให้โชเฟอร์และรับเงินทอนก่อนก้าวลงจากรถ โดยกันดิศก้าวตามลงมายืนข้างๆ



          “งั้นเธอเก็บเงินนี้ไว้” กันดิศยื่นแบงค์พันในมือให้เธอที่อมยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าขาดความมั่นใจของเขา



          “ฉันไม่เอาเงินของนายหรอก เกิดแม่ค้าตรวจดูแล้วเป็นแบงค์ปลอม ทำไง” วราลีหลุดขำระหว่างเดินนำไปยังทางเข้าเพื่อซื้อบัตรผ่านประตูสวนสนุก



           กันดิศมองเงินในมือแล้วระบายลมหายใจ เขาสาวเท้ารวดเร็วเพื่อตามให้ทันวราลี อยากพิสูจน์ว่าเงินของเขาสามารถใช้จ่ายได้จริงตามที่เข้าใจ



           พระเอกหนุ่มคว้าแขนของหญิงสาวและดึงให้เธอไปยืนด้านหลังระหว่างก้มซื้อบัตรผ่านประตู เมื่อสำเร็จตามที่หวัง เขาก็ยิ้มออกมาอย่างภูมิใจพร้อมยักคิ้วลิ่วตาให้วราลีจนเธอนึกเสียดายที่ไม่คว้าแบงค์พันนั้นไว้ตอนมีโอกาส



           “รู้ว่าใช้ได้จริงแบบนี้ ฉันเก็บไว้ตั้งแต่แรกก็ดี” วราลียู่หน้าและหยิบบัตรผ่านที่กันดิศส่งให้เพื่อพาพระเอกหนุ่มเดินเข้าด้านใน



           ก่อนถึงประตูทางเข้าทั้งสองยืนมองความแปลกตา สวนสนุกจัดแต่งต้นไม้เป็นรูปเค้กหลายชั้นสูงกว่าตัวคน ถัดไปเป็นซุ้มประตูตกแต่งคล้ายประสาทหลากสีสัน ระหว่างทางเดินเข้าด้านในมีรูปปั้นมากมายตั้งเรียงราย เรียกความสนใจให้หลายคนถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก วราลีเองก็นึกอยากเก็บภาพของกันดิศไว้บ้างจึงนำมือล้วงกระเป๋ากางเกงยีนส์



           “เฮ้!” หญิงสาวร้องเสียงหลงเกิดอาการตกใจจนกันดิศที่เดินขนาบข้างหยุดฝีเท้าและมองเธอด้วยคำถามจากสายตา ‘เป็นอะไร’ เธอพยายามค้นตามกระเป๋ากางเกงและเสื้อ ทว่าไม่เจอเครื่องมือสื่อสาร “มือถือฉันหาย!” ใจหายวูบเมื่อคิดได้ดังนั้น หรือเธอสะเพร่าทำตกไว้บนรถแท็กซี่ วราลีย้อนทวนความคิด



           “เธอไม่ได้หยิบโทรศัพท์ออกมาจากบ้าน เผลอๆ ในห้องเธอก็ไม่มีมือถือด้วยซ้ำ เท่าที่ฉันสำรวจนะ ไม่เห็นโทรศัพท์สักเครื่อง” กันดิศยักไหล่ระหว่างเสมองทางอื่น คำพูดของเขาทำให้วราลีหยุดค้นหาตามร่างกายและจ้องมองพระเอกหนุ่มอย่างนึกคาดโทษ



           “นี่นายสำรวจห้องฉันทำไม แล้วอีกอย่างฉันไม่ได้ความจำเสื่อม ฉันมีโทรศัพท์จริงๆ แค่ตอนนี้มันหายไปเท่านั้น”



           “เธอจะเอามันมาทำอะไร” กันดิศถามพร้อมเลิกคิ้วสูง



           “ฉันก็แค่อยากถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก ว่าครั้งหนึ่งพระเอกในนิยายหลุดออกมาให้พบเจอ ตัวเป็นๆ” วราลีเน้นคำพูดพร้อมวาดยิ้มอย่างไม่รู้ตัวว่ายิ้มของเธอทำให้ชายหนุ่มเบื้องหน้าสะดุดใจอย่างจังจนต้องเก็บอาการหวั่นไหว



           “งั้นเอาของฉันไป แล้วค่อยส่งรูปเข้าเครื่องของเธออีกที” 



           กันดิศล้วงกระเป๋าและหยิบโทรศัพท์มือถือส่งให้นักเขียนสาวถือไว้



           “แล้วถ่ายรูปฉันให้หล่อเหมือนตัวจริงด้วยล่ะ” 



           วราลีแลบลิ้นปลิ้นตาแล้วรับโทรศัพท์มือถือไว้ เธอหันหลังให้กันดิศและโพสท่าชูสองนิ้ว โดยโฟกัสที่เธอและเขาให้อยู่ในเฟรมหน้าจอพร้อมกดถ่าย



           ได้สมใจในสิ่งที่ต้องการ...เธอมีรูปพระเอกนิยายอยู่ในมือ



           ทั้งสองเดินเคียงคู่ไปตามทางเพื่อเข้าสู่สวนสนุก โลกแห่งฝัน เขาและเธอพูดคุยหยอกล้อ สร้างสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กันดิศพูดคุยและอธิบายถึงบรรยากาศแห่งความสนุกสนาน ให้เธอจดจำเสียงและภาพเพื่อนำไปแก้ไขต้นฉบับให้สมจริงราวกับคนอ่านเดินทางมาเอง



           วราลีพากันดิศขึ้นเครื่องเล่นเกือบทุกชนิด แรกๆ เขายังปฏิเสธที่จะเสี่ยงกับความหวาดเสียวน่ากลัวอย่างสกายโคสเตอร์ ลักษณะคล้ายรถไฟเหาะตีลังกา เฮอริเคนหมุนค้างอยู่กลางอากาศ ไวกิ้งส์เรือโจรสลัด และเริ่มสนุกเมื่อได้เล่นแกรนด์แคนยอน ผจญภัยไปกับกระแสน้ำ เมืองหิมะ และอื่นๆ ตามลำดับ หนำซ้ำกันดิศยังขอเล่นบางอย่างเป็นรอบที่สองด้วย โดยวราลีเก็บภาพถ่ายไว้จนแบตเตอรี่โทรศัพท์อ่อนแรงเต็มที



           ระหว่างเดินไปเรื่อยๆ เพื่อหาเครื่องเล่นถัดไป “กันดิศ! ฉันอยากได้เจ้าตัวนี้” วราลีวิ่งถลาเข้าหาตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ในซุ้มเกมปาลูกโป่ง เธอมองหารายละเอียดกติกาพร้อมชี้ชวนให้ชายหนุ่มด้านข้างปฏิบัติตามขั้นตอนนั้น สายตาเชื่อมหวานทำละห้อยส่งมองอ้อนวอนเขาให้ใจอ่อน



           “นี่มันบทบาทของศีตลาไม่ใช่หรือไง ทำไมเธอมาแสดงเป็นนางเอกซะเอง” กันดิศยกมือกอดอกพร้อมเหล่มองและระบายยิ้ม ยกมือยีผมของเธออย่างเอ็นดูในท่าทางออดอ้อนนั้น



           พระเอกหนุ่มชูนิ้วชี้ส่งสัญญาณให้พนักงานในซุ้มจัดเตรียมอุปกรณ์การเล่นเกมหนึ่งชุด เพื่อรางวัลหมีตัวใหญ่ที่วราลีอยากครอบครองนักหนา เขาถูมือและถลกแขนเสื้อเล็กน้อยเตรียมความพร้อม หยิบลูกดอกขึ้นตั้งท่า โดยวราลียืนลุ้นระทึกอยู่ด้านข้างด้วยใจจดจ่อ ยกมือพนม ภาวนาให้เขาทำสำเร็จ



           “เฮ้!!” ดังระหว่างลูกโป่งแตกทีละลูก จนครบทั้งหกลูก พอดีกับลูกดอกที่กันดิศปาไป เขายิ้มระรื่นดีใจ ไม่ต่างกับหญิงสาวที่โผเข้ากอดเอวเขาไว้อย่างลืมตัว 



           กันดิศถอยเท้าเพื่อทรงตัวเมื่อถูกโหมกอดอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาผงะไปเล็กน้อยแต่ก็อดยิ้มไม่ได้



           “โน้น ไปรับรางวัลได้แล้ว เห็นฝีมือฉันหรือยัง” พระเอกหนุ่มตบไหล่เตือนให้หญิงสาวที่กระโดดโลดเต้นไปรับตุ๊กตาหมีตัวใหญ่จากพนักงานร้าน



           วราลีกอดตุ๊กตาตัวนั้นเต็มวงแขนพร้อมนำใบหน้านวลซุกเข้ากับหมีตัวใหญ่ ทั้งตื่นเต้นและดีใจในคราวเดียวกัน



           “เกิดมาไม่เคยได้ตุ๊กตาตัวใหญ่แบบนี้เลย ขนาดพี่ศาสเคยปาให้ ยังได้ตัวเล็กกว่านี้ตั้งครึ่งหนึ่ง”



           “ตัวที่อยู่ในห้องเธอเหรอ?” กันดิศถามพร้อมปรับสีหน้าเป็นนิ่งเรียบเมื่อได้ยินชื่อศาสวัตร แม้เขาจะมีลักษณะคล้ายผู้ชายคนนั้นตามที่วราลีจินตนาการ ทว่าในใจกลับวูบไหวแปลกๆ เมื่อได้ยินเธอชื่นชมชายอื่นต่อหน้าต่อหน้าเช่นนี้



           “ใช่ ตัวนั้นพี่ศาสเล่นได้” วราลีพากันดิศออกจากซุ้มเกม และเดินไปตรงเก้าอี้นั่งพัก หย่อนกายพักเหนื่อย และมองตุ๊กตาหมีตัวใหญ่อย่างชื่นชม กันดิศชำเลืองมองเธอชั่วครู่ก่อนจะหย่อนกายนั่งด้านข้าง



           “ได้ตัวใหม่แล้ว ก็เอาไปวางแทนที่ตัวนั้นซะ ฉันว่าของฉันสวยกว่าตั้งเยอะ” พระเอกหนุ่มพูดพลางเหยียดแขนขาไล่ความเมื่อยล้า กว่าครึ่งวันที่ตระเวนหาเครื่องเล่นจนลืมหิวโหย “หิวหรือยัง เธอกินขนมปังกับนมไปอย่างเดียวเองนะ ไปหาข้าวกินกันเถอะ ฉันเลี้ยงเอง”



           “นายหิวแล้วสิ” วราลียกข้อมือดูเวลาบนหน้าปัดนาฬิกา เกือบจะห้าโมงเย็น “เล่นเพลินจนลืมเวลากันเลยทีเดียว ไปหาอะไรกินก่อนกลับบ้านแล้วกัน”



           “เดี๋ยว...” กันดิศคว้ามือของวราลีเอาไว้ ไม่ยอมให้เธอลุกเดินไปไหน ทำให้เธอหันมองทางเขา เบิกตากว้างคล้ายถามไถ่ว่าห้ามลุกด้วยเรื่องใด “วันนี้มาหาเซ็ตติ้ง ได้อะไรกลับไปบ้าง”



           “โหย...ฉันก็นึกว่าเรื่องคอขาดบาดตาย ห้ามไว้ซะตกอกตกใจหมด เถอะน่าฉันมาเที่ยวกับนายที่นี่ รับรองว่าได้อะไรกลับไปเยอะเลย เราเดินไปคุยไปดีกว่า เดี๋ยวจะดึก” วราลีดึงแขนกลับจนพ้นพันธนาการ เธอลุกยืนและมองซ้ายมองขวาเพื่อหาทางไปศูนย์อาหาร



           กันดิศมองร่างผอมบางเดินอย่างกระฉับกระเฉงและเผลอยิ้มออกมา เขาลุกยืนเต็มความสูงและสาวเท้าตามหญิงสาวไปจนเดินเคียงข้างกับเธอ




           ระหว่างนั่งรับประทานอาหาร ทั้งสองพูดคุยถึงเรื่องราวในต้นฉบับ วิธีการแก้ไข ปรับเปลี่ยนให้งานของเธอดูดีขึ้นกว่าเดิม กันดิศอธิบายถึงมุมมองการเล่าเรื่อง (Point of View) ในหลากหลายเรื่องอาจอยู่ในรูปบุคคลที่หนึ่ง โดยใช้ ‘ฉัน’ ในเรื่องเป็นผู้เล่าเรื่องของตัวละครโดยตรง แต่สำหรับงานเขียนของวราลี เป็นการเล่าเรื่องโดยผ่านบุคคลที่สาม ต้องมองภาพในทุกมุม การบรรยายจึงต้องได้รายละเอียดครบถ้วนทุกการดำเนินเรื่อง รวมถึงบทบาทของตัวละครด้วย



           วราลีรับฟังกันดิศเสนอความคิดเห็นในการปรับเปลี่ยนมุมมองเพื่อเสริมให้งานเขียนมีมิติมากขึ้น บางจังหวะเผลอมองใบหน้าคมคายอย่างลืมตัว คิ้วดกหนา ดวงตาคมเข้ม ริมฝีปากยักได้รูป ดึงดูดให้หลงใหลในความหล่อเหลา แต่เมื่อความคล้ายคลึงของศาสวัตรสะกิดใจจนรู้สึกตัว เธอจะเสมองทางอื่น เพื่อไม่ให้พระเอกหนุ่มระแคระคายว่าถูกลอบมองเป็นระยะ



           “ทุกอย่างก็มีแค่นี้ล่ะ หลังจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับเธอว่าจะสร้างนิยายให้ออกมาสมจริงแค่ไหน”



           “นายเป็นพระเอกในนิยาย ทำไมถึงรู้เรื่องพวกนี้” วราลีถามไถ่เมื่อเก็บงำความสงสัยไว้ตั้งแต่กันดิศเริ่มต้นสาธยาย แต่ต้องหยุดคำถามเมื่อคิดได้ว่าอาจเสียมารยาท หากขัดจังหวะการพูดจาของเขา



           “เพราะฉันอยู่ในโลกของนิยายไง” กันดิศระบายยิ้มทั้งที่ในใจปวดหนึบแปลกๆ เมื่อคิดว่าเธอกับเขาแตกต่างกันราวกับอยู่คนละโลก หากเมื่อใดที่เรื่องราวเหล่านี้จบลง คงไม่ได้เห็นดวงหน้าหวานและรอยยิ้มสดใสของเธออีก



           พระเอกหนุ่มจึงได้แต่บอกตัวเอง ‘จะรักษาเวลาที่ได้อยู่ข้างเธอคนนี้ไว้ ให้นานที่สุด’ 



           ทั้งสองนั่งอยู่ท่ามกลางความเงียบระหว่างรับประทานอาหารต่อ วราลีรวบช้อนส้อมบนจานเรียบร้อยก่อนยกน้ำดื่ม “นายนี่กินเร็วเป็นบ้า กินหมดก่อนฉันอีก”



           “เธอต่างหากที่กินช้า ตกลงอิ่มแล้วใช่ไหม เอาอะไรเพิ่มอีกหรือเปล่า” วราลีส่ายหน้าปฏิเสธ พลางหยิบตุ๊กตามาโอบกอดและลุกยืน “ฉันอยากไปสนามแข่งรถตรงคลองห้า ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไร เธอต้องไปกับฉัน” กันดิศพูดด้วยท่าทางจริงจัง



           วราลีหยุดฝีเท้าและหันมองชายหนุ่มด้วยสายตาประหลาดใจ ‘สนามแข่งรถ’ หมายความอย่างไร แล้วเหตุใดเธอต้องเข้าไปอยู่ในสถานที่เสี่ยงอย่างนั้น แววตาลังเลปรากฏ กันดิศอธิบายต่อคล้ายกับอ่านความคิดเธอออก



           “ฉันจะพาเธอไปหาตัวประกอบ”



           “ตัวประกอบ?” พระเอกในนิยายพยักหน้าและลุกจากเก้าอี้ เดินนำหญิงสาวที่ยืนอ้ำอึ้งออกจากศูนย์อาหาร เพื่อไปพบเจอใครบางคน




To be contunued...






Create Date : 11 มิถุนายน 2557
Last Update : 11 มิถุนายน 2557 13:13:22 น.
Counter : 790 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มาโซคิส
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]



เ ร า ต่ า ง กั น แ ส น ไ ก ล

Blood A_Blood Type Series
เรียบง่าย อยู่บนเหตุและผล สันติ ยุติธรรม

ถ้าในฝันนั้น.. ฉันได้มีเธอ.. ขอนอนหลับไม่ตื่นได้ไหม..
เ ว ล า คิ ด ถึ ง ใ ค ร บ า ง ค น ม า ก ๆ อ ย า ก ดึ ง เ ค้ า อ อ ก ม า จ า ก โ ล ก แ ห่ ง ค ว า ม ฝั น แ ล้ ว ก อ ด ซ ะ !! ใ ห้ ห า ย คิ ด ถึ ง





หากวันใด อ่อนแอ ท้อแท้ ผิดหวัง ให้ลองย้อนนึกถึงวันที่เคยตะเกียกตะกาย . .



ถ้าคนๆ หนึ่ง มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้เรายิ้มออกมาได้โดยไม่ตั้งใจ.. มานก็ไม่แปลกเลยที่เขาสามารถทำให้เราน้ำตาไหลได้โดยไม่รู้ตัว..

Online Now




New Comments