สิงหาคม 2557

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
23
24
25
27
30
 
 
31 สิงหาคม 2557
เนรมิตอักษรา 18

บทที่ 18

คืนสู่ความจริง


ตั้งแต่แพทย์เจ้าของไข้อนุญาตให้วราลีกลับไปพักฟื้นได้ตามต้องการศาสวัตกับกัมพลก็เตรียมสัมภาระ จัดแจงเคลื่อนย้ายผู้ป่วยกลับบ้าน เธอด้านข้างคนขับยกลูกแก้วสีดำแวววาวมองเป็นระยะขณะรถยนต์วิ่งไปตามเส้นทางด้วยความเร็วระดับหนึ่งคิดถึงลูกแก้วสีม่วงเปล่งประกายลักษณะคล้ายกันนี้ในความฝัน จนนึกบางอย่างขึ้นได้


“พ่อเห็นต้นฉบับนิยายของหนูหรือเปล่า”


วราลีเอี้ยวกายมองกัมพลซึ่งทำหน้าเหรอหราใส่คล้ายไม่รับรู้ต่อเรื่องที่เธอถามศาสวัตจึงตอบคำถามนั้นแทน


“พี่เก็บไว้ให้ มีอะไรหรือเปล่า”


“พอดีนึกขึ้นได้ คิดว่าหายไปตั้งแต่ตอนเกิดอุบัติเหตุซะอีก”


วราลีกล่าวยิ้มๆ พลางกำลูกแก้วไว้เธอจำได้ว่าวันนั้นเพิ่งกลับจากสำนักพิมพ์ นัดเจอญาดาและศาสวัตที่ร้านกาแฟประจำทว่าศาสวัตติดงานถ่ายละครจึงเลื่อนเวลานัดหมาย เมื่อกลับบ้านก็พบชายชราซึ่งมอบแก้วนคราสีอ่อนให้เก็บรักษาไว้ทว่าทุกเรื่องราวกลับเป็นเพียงฝันหลังประสบเหตุรถชนเท่านั้นและโชคดีที่ไม่เป็นอะไรมากไปกว่าศีรษะแตกกับหมดสติยาวนาน


วราลีไตร่ตรองถึงความคุ้นเคยระหว่างชายชราคนนั้นคล้ายเคยเห็นที่ไหนมาก่อน...


“ฟื้นมาก็จะเขียนนิยายเลยรึพักให้หายก่อนดีกว่าน่า” กัมพลแย้ง เสียงพูดจาทำลายความคิดจนบุตรสาวหันมาสบตากับเขา


“พักไม่ได้หรอกจ้ะต้นฉบับมีอะไรให้แก้ไขเยอะแยะ”


ความคิดรางๆทำให้นึกถึงวิวทิวทัศน์ของสถานที่คุ้นตา แว่วเสียงคุ้นหู และบรรยากาศคุ้นเคยคันไม้คันมืออยากแก้ไขผลงานเต็มที วราลีวางแผนในการเริ่มต้นปรับปรุงนิยายของตัวเอง


“จะไหวเหรอถ้าต้องรื้อเรื่องราวใหม่ทั้งหมด”


ศาสวัตแกล้งแหย่เมื่อจริงๆ แล้วเขาช่วยแก้ไขและปิดช่องโหว่ของความไม่สมเหตุสมผลในต้นฉบับนิยายนั้นจนเกือบสมบูรณ์หากเรียบร้อยแล้วคงส่งให้สำนักพิมพ์พิจารณาอีกครั้ง โดยไม่คิดบอกเธอล่วงหน้าแม้ผลงานของวราลีจะมีส่วนต้องแก้ไขอยู่มากทว่าเขาไม่ได้ดัดแปลงหรือเปลี่ยนส่วนใดในต้นฉบับทั้งสิ้น เพียงแก้สำนวนภาษาให้กระชับและสละสลวยเรียงประโยคตามหลักภาษาไทย ประธาน กริยา กรรม (Active Voice) ไม่ใช่เปะปะสลับที่ทาง ซึ่งงานเขียนของวราลีเป็นอย่างนั้นตามลักษณะ (passivevoice) ทำให้อ่านแล้วสะดุดไปบ้าง


“แก้ไขไม่ยากหรอกเชื่อฝีมือวราสิ”


คนพูดยิ้มกว้าง เชื่อมั่นว่าตนทำสำเร็จเมื่อความกระตือรือร้นเริ่มเข้มข้นสิ่งแวดล้อมในฝัน ฉายชัดเต็มความคิดจนเห็นภาพเหตุการณ์ต่างๆ วนเวียนซ้ำๆราวกับเกิดขึ้นจริง


ภายในห้องผู้โดยสารรถยนต์มีเสียงพูดคุยตลอดทางถามไถ่ถึงอาการของคนป่วย โดยวราลีไม่ลืมมองหาเพื่อนสนิทซึ่งขับรถตามหลังมาติดๆคงได้เจอกันอีกครั้งยังที่พักอาศัย เมื่อถึงบริเวณปากซอยบ้าน ร้านสะดวกซื้อ 7-11ฉุดสายตากลมโตให้หันมอง


“พี่ศาสจอดรถตรงนี้แป๊บหนึ่งค่ะ”


ความเร็วรถชะลอลงพร้อมศาสวัตตบไฟเลี้ยวส่งสัญญาณให้ญาดาขับตามมาจอดตรงไหล่ทาง วราลีมองสถานที่ทำงานก่อนเปิดประตูรถ


“จะไปไหนเขาใคร่รู้ต่อความต้องการของเธอ “ให้พี่ลงไปเป็นเพื่อนหรือเปล่า”


“วราอยากแวะส่งข่าวพี่ศาสไปเป็นเพื่อนก็ดีค่ะ” เธอหันหากัมพล “รอหนูกับพี่ศาสแป๊บนะพ่อ เดี๋ยวกลับมา”


ชายกลางคนพยักหน้าตอบรับ


สายคาดเข็มขัดนิรภัยถูกปลดจากตัวล็อกประตูรถด้านหน้าเปิดออกในเวลาไล่เลี่ยกัน กัมพลมองบุตรสาวกับแฟนหนุ่มก้าวลงจากรถจนหายเข้าในร้านสะดวกซื้อ


สัญญาณเตือนขณะประตูกระจกเคลื่อนที่พร้อมพนักงานหน้าเคาน์เตอร์กล่าวต้อนรับฉะฉานวราลีมองหญิงสาวซึ่งยิ้มแป้นยินดี เมื่อเห็นคนป่วยเพิ่งออกจากโรงพยาบาล


“เป็นไงบ้างวราหายดีแล้วหรือยัง หน้ายังเซียวๆ อยู่เลยนะ”


“วราลี! ออกจากโรงพยาบาลเมื่อไร”


หญิงสาวอีกคนวิ่งรี่จากชั้นวางสินค้าอย่างตื่นเต้นทิ้งการตรวจสอบไว้ชั่วคราวเมื่อเห็นคนหายหน้าไปหลายวัน เธอเป็นผู้จัดการร้าน บุคคลที่วราลีอยากเจออยู่พอดี


“พี่หวานหนูสบายดีเพิ่งออกจากโรงพยาบาลเมื่อบ่าย กำลังจะเข้าบ้านพอดีผ่านร้านเลยแวะมาหา”


คนพูดชำเลืองมองแฟนหนุ่มและอมยิ้มเมื่อสายตากรุ้มกริ่มของเพื่อนร่วมงานมองเขาแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กันทุกคน


หลายครั้งหลายคราที่เพื่อนร่วมงานขอร้องให้เธอนำลายเซ็นของศาสวัตมาให้เพื่ออวดคนอื่นๆ ว่าพวกหล่อนทั้งหลายมีเพื่อนเป็นแฟนกับดาราดีกรีพระรองระดับความดังไม่น้อยหน้าพระเอกยิ่งได้มาเห็นตัวจริงกลับดูดีกว่าในจอโทรทัศน์หลายเท่านัยน์ตาคมเข้มของเขาบาดใจจนเขินม้วน ไม่กล้ามองดาราดังตรงๆ ต้องลอบมองเป็นระยะ


วราลีหันหาเพื่อนร่วมงานหน้าเคาน์เตอร์ฉุกคิดถึงความฝันซึ่งผุดขึ้นจากรอยจำ


“ปลา...ขอจับมือหน่อยสิ”


นักเขียนสาวอยากมั่นใจว่าจะไม่เกิดประวัติซ้ำรอยเพื่อนร่วมงานยื่นมือให้เธอจับอย่างงุนงง เป็นดังคาด เธอสัมผัสมือของเพื่อนได้ตามปกติไม่เหมือนในฝันซึ่งไม่อาจแตะต้องได้อย่างนี้


ศาสวัตมองสาวๆ และนิ่งคิดแปลกใจต่อการกระทำของวราลี แต่คงเงียบไว้เพื่อสังเกตพฤติกรรมต่อไป


“ทำเหมือนกับไม่เคยจับมือปลาอย่างนั้นละ”


คนพูดขบขันทำวราลียิ้มกว้างและหันมองผู้จัดการร้าน


“พี่หวานอย่าเพิ่งไล่หนูออกนะขอพักฟื้นซักสองสามวันแล้วจะกลับมาทำงานอย่างเต็มที่เลย”


หญิงสาวใบหน้าหวานสมชื่อ พยักพะเยิดให้มองชายหนุ่ม


“โน่นถามคนนั้นดีกว่าว่าอนุญาตให้เรามาทำงานหรือเปล่า”


ศาสวัตระบายยิ้มพร้อมยกมือโยกศีรษะวราลี


ขณะเธอนอนอยู่ในโรงพยาบาลเขาจัดแจงส่งข่าวให้เพื่อนร่วมงานของวราลีทราบถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นและเกริ่นทิ้งท้าย หากวราลีฟื้นและอาการดีขึ้นอาจให้เธอเปลี่ยนงานใหม่ซึ่งผู้จัดการร้านไม่ขัดข้องแต่อย่างใดและเห็นด้วยหากงานใหม่ที่ว่าจะได้ค่าตอบแทนเยอะกว่าค่าจ้างรายวันเช่นนี้


“ทำไมเหรอ


วราลีข้องใจหันมองศาสวัตในทันที


“กลับไปตกลงกันที่บ้านดีกว่าเรื่องนี้พี่ให้เราตัดสินใจ” ศาสวัตกล่าว


เพื่อนร่วมงานตรงนั้นอมยิ้มขบขันมองวราลีด้วยสายตาแพรวพราวมีเลศนัยทำคนถูกมองยืนงงจนกระทั่งร่ำลาและเดินออกจากร้านทั้งคู่ตรงไปขึ้นรถซึ่งเปิดไฟขอทางทิ้งไว้ ถึงบ้านเมื่อไรคงได้ขจัดความข้องใจให้กระจ่าง



สาวร่างเล็กในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ทะมัดทะแมงผมยาวปะบ่าดัดปลายเล็กน้อยชวนมองใบหน้าสดใสตกแต่งด้วยเครื่องสำอางโทนอ่อนเฉดสีเชอร์เบท นั่งอ่านหนังสือนิยายแนวรักหวานแหววไปพลางระหว่างรอนัดพบกับชายหนุ่มภายในร้านกาแฟใกล้ห้างสรรพสินค้าชื่อดัง


เนื่องจากศาสวัตข้องใจเกี่ยวกับแก้วนคราซึ่งเอกราชแนะพันธิตราให้นำลูกแก้วนั้นวางบนมือของวราลีและเธอก็ฟื้นจากหลับใหลจริงตามความเชื่อของชายผู้นั้นศาสวัตอยากทราบรายละเอียดของความพิสดารที่เกิดขึ้นจึงวานน้องสาวให้สอบถาม โดยย้ำหนักว่าการนัดหมายครั้งนี้ต้องไม่ใช่สถานที่ลับหูลับตาเป็นอันขาด


“สวัสดีครับตา”


เอกราชส่งยิ้มพร้อมยื่นแก้วกาแฟร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมฉุยให้พันธิตรารับไว้ขณะเดินเข้าภายในร้านเขาเห็นเธอกำลังเพลิดเพลินกับการอ่านหนังสือและยังไม่ได้สั่งเครื่องดื่มตามที่สอบถามกับพนักงานในร้านเอกราชจึงจัดการให้เสร็จสรรพ


หญิงสาวผงกศีรษะแก้เก้อใบหน้าแดงระเรื่อลืมเสียสนิทว่ายังไม่ได้สั่งเครื่องดื่มไว้รอคู่นัดหมายตั้งแต่มานั่งอยู่ในร้านร่วมยี่สิบนาทีแล้วรู้สึกขายหน้าเป็นอย่างมากเมื่อเธอเป็นคนนัดเขาแท้ๆ


“รอนานไหมครับผมมาก่อนเวลาสิบนาที ยังมาไม่ทันคุณเลย”


ชายหนุ่มพูดแกมยิ้มเขาวางแก้วกาแฟของตัวเองลงบนโต๊ะและหย่อนกายนั่งเก้าอี้ในฝั่งตรงข้ามกับพันธิตรา


“กลัวรถติดค่ะเลยรีบออกจากโรงแรม” เธอกล่าวและยิ้มฝืด


“ตาจะกลับอเมริกาวันไหนครับผมอยากไปเยี่ยมอร เผื่อเดินทางไปพร้อมคุณทีเดียว”


พันธิตรานิ่งไปครู่หนึ่งชำเลืองมองชายหนุ่มตรงหน้าซึ่งมองเธออยู่ก่อนแล้ว หญิงสาวจึงหลบสายตา ความอุ่นร้อนวิ่งปราดบนใบหน้าหัวใจเต้นตึกตักชอบกล


“คงเดือนหน้าค่ะตาขออนุญาตคุณแม่มาเยี่ยมวรา แล้วอยากพักสมองหลังเรียนจบไปในตัวรอเที่ยวให้สมใจก่อนค่อยกลับ”


“มีใครพาเที่ยวหรือยังครับ”


แววตาของเอกราชประกายความตื่นเต้นในทีภาวนาขอให้เธอตอบว่า ‘ยังไม่มี’เพื่อเขาจะได้เสนอตัว


“รอพี่ศาสว่างค่ะแต่ดูท่าจะยาก รายนั้นงานรัดตัว แถมวราเพิ่งออกจากโรงพยาบาลด้วย”


หญิงสาวพูดพลางหลบตาคล้ายเอียงอายเมื่อแววตาของเอกราชส่อแววยินดีและแสดงออกชัดเจนว่าสนใจเธอแม้พันธิตราพยายามสงวนท่าทีไม่ให้ถูกตราหน้าว่าทอดสะพาน ทว่าความถูกใจสื่อถึงกันดั่งคำเปรย ‘ดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ’ ต่อให้ไม่พูดอะไรก็เข้าใจความหมายนั้นดี


ทว่าเวลานี้เรื่องส่วนตัวคงต้องเก็บไว้ทีหลังเมื่อเรื่องสำคัญกว่าค้ำคอเธอจึงสานต่อเรื่องราวของพี่ชายก่อนความหวิวไหวจะทำลายสมาธิไปมากกว่าเดิม


พันธิตราถามถึงที่มาของวิธีการดึงดวงจิตกลับเข้าร่างอยากทราบว่าเอกราชล่วงรู้สิ่งเหล่านั้นได้อย่างไรหรือมีพรายกระซิบบอกให้เขาชุบชีวิตวราลี และคำตอบของเอกราชทำให้พันธิตรานั่งนิ่งเย็นสันหลังวาบจนขนลุกไปทั้งร่างกาย


“ผมไปหาพระอาจารย์ตามที่ตาแนะนำแต่ที่นั้นรกร้าง ไม่มีทั้งสถานปฏิบัติธรรมและพระสักองค์”


“จริงหรือคะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อตากับพี่ศาสยังได้คุยกับท่าน และมีลูกแก้วนั้นจริงๆ นะคะ”


“ผมเชื่อตาครับเลยลองนั่งทางในไปพบท่านยังที่รกร้างแห่งนั้น”


เอกราชเปลี่ยนสีหน้าเป็นตึงเครียดคล้ายแหย่คู่สนทนาเมื่อเห็นกระแสความหวาดระแวง


“เป็นไงบ้างคะ?”


พันธิตรารู้สึกถึงความวังเวงรอบด้านอาจเพราะกลัวผีขึ้นสมองจึงเริ่มอุปทานต่อสิ่งที่น่ากลัว


“ขนมเค้กค่ะ”


“ว๊าย!”


พันธิตรากระโดดลุกจากเก้าอี้ด้วยความตกใจสุดขีดจนจานขนมเค้กที่กำลังเสิร์ฟพลิกชนเสื้อเชิ้ตของพนักงานร้านกาแฟอย่างช่วยไม่ได้คนตกใจหน้าซีดเหลือสองนิ้ว พยายามช่วยเช็ดคราบขนมเปรอะเปื้อน


เอกราชหลุดขำต่อท่าทางเก้กังของพันธิตราแม้สีหน้ารู้สึกผิดของเธอจะพาขบขัน แต่อดสงสารไม่ได้ในคราวเดียวกัน เป็นเพราะเขาสร้างบรรยากาศให้เธอกลัวจนขวัญผวาเช่นนี้


“ขอโทษแทนที่รักผมด้วยนะครับ”


คำพูดของชายหนุ่มทำให้พนักงานร้านกาแฟยิ้มแห้งผงกศีรษะหลายครั้งและกล่าวไม่เป็นไรซ้ำๆ อย่างเกรงอกเกรงใจและเพราะความตื่นเต้นทำให้พันธิตราไม่ทันได้ยินประโยคนั้นชัดเจน


“ผมจ่ายค่าซักรีดให้แทนการขอโทษแล้วกันนะครับ”


“ไม่เป็นไรค่ะแค่ดิฉันล้างออกก็เรียบร้อยแล้วค่ะ รบกวนลูกค้านั่งรอสักครู่นะคะจะนำเค้กชิ้นใหม่มาให้”


พันธิตรามองตามพนักงานคนนั้นด้วยสายตาละห้อยยังรู้สึกผิดไม่หาย ทว่าเสียงหัวเราะเบาๆ ของเอกราชฉุดให้เธอหันกลับไปมองพร้อมคิดทวนประโยคก่อนหน้านี้


“เมื่อกี้คุณเอกบอกเธอคนนั้นว่าตาเป็นอะไรกับคุณนะคะ”


“ที่รักครับผมอยากเรียกคุณแบบนี้ และที่สำคัญเธอจะได้เกรงใจผม ไม่กล้าต่อว่าคนรักของผมว่าซุ่มซ่าม”


“นี่คุณว่าตาซุ่มซ่ามหรือคะ”พันธิตรากล่าวเสียงขุ่น


“เปล่าครับผมไม่อยากให้ใครว่าตาเท่านั้นเอง”


เอกราชยิ้มระรื่นเมื่อเห็นท่าทางแง่งอนอยากไถ่โทษที่ก่อเรื่องทำให้เธอขวัญหนีดีฝ่อ ทว่าอาการของเธอทำให้รับรู้ว่าการกระทำและคำพูดของเขามีผลต่อเธอไม่น้อย


“ใช่สิตาซุ่มซ่ามจนเกิดเรื่อง” หญิงสาวนั่งลงอย่างขุ่นเคืองในที


“เวลาตางอน...น่ารักดีนะครับ”


คำพูดของเขาทำให้สีหน้าสลดเมื่อครู่เปล่งปลั่งจนพ่วงแก้มแดงระเรื่อและหลบการสบตา


“คุณเอกอย่ามัวล้อเล่นอยู่เลยค่ะเล่าเรื่องพระอาจารย์ต่อเถอะนะคะ”


พันธิตราพยายามปรับจิตใจสั่นไหวให้กลับมาเป็นปกติแอบมองค้อนเอกราชซึ่งยิ้มกริ่มก่อนเล่าเรื่องติดค้างไว้


ขณะนั่งทางใน เอกราชติดต่อกับพระอาจารย์ท่านนั้นทว่าไม่สำเร็จ ได้ยินแค่แว่วเสียงจากที่ไกลๆ บอกเพียงให้ลูกแก้วสองดวงเจอกัน ทุกสิ่งจะย้อนกลับมาเป็นประโยคเดียวกับที่ท่านบอกศาสวัต และภาพเหตุการณ์บางอย่างก็ปรากฏในนิมิตของเขา


เอกราชมองเห็นชายชราเดินนำวราลีซึ่งถือลูกแก้วสีม่วงอ่อนเปล่งแสงระยิบในความมืดจู่ๆ เกิดมีลูกแก้วอีกดวงลอยเข้าฝ่ามือของเธอเช่นกันพลันเกิดแสงเจิดจ้ากลายเป็นเช้าวันใหม่ ภาพนิมิตต่อจากนั้นคือวราลีฟื้นจากหลับใหลยาวนานเขาจึงเชื่อมั่นว่าแก้วนาคราช่วยดึงดวงจิตของวราลีกลับมาตามที่แนะนำพันธิตราไป


“น่าทึ่งนะคะไม่อยากเชื่อเลยว่าโลกนี้จะมีความพิศวงแบบนี้”


“ไว้โอกาสหน้าหากตายินดีให้ผมพาเที่ยวเมื่อไร รับรองว่ามีเรื่องเหลือเชื่อกว่านี้แน่นอน”


เอกราชกล่าวยิ้มๆแววตาคมเข้มมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลงใหลอยากรู้จักและพัฒนาความสัมพันธ์ให้มากกว่าคนรู้จัก ซึ่งพันธิตราก็คิดไม่ต่างกัน



ดวงตะวันลับขอบฟ้าไปนานแล้วบรรยากาศภายนอกบ้านชั้นเดียวเงียบสงบราวกับดึกสงัด ทั้งที่เป็นเวลาทุ่มเศษเท่านั้นตั้งแต่ญาดากลับไป ศาสวัตกับกัมพลก็นั่งคุยและดูแลคนป่วยที่กลับมาพักฟื้น ป้อนข้าวป้อนยา จนหลับไปได้พักใหญ่


“นอนค้างที่นี่ก็ได้อยู่เป็นเพื่อนกุ้งแห้ง ข้าคงดูแลได้ไม่ดีเท่าเอ็งหรอก”


“ครับพ่อ”


เขาตอบสั้นๆ ใจจริงศาสวัตยินดีอยู่ดูแลคนรักทั้งคืนแม้กัมพลจะไม่เปิดทางให้อย่างนี้ก็ตามด้วยเป็นห่วงและเกรงว่าเธอจะละเมอลุกขึ้นมาทำอะไรแผลงๆ อีก


หลังอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยศาสวัตเดินเข้าห้องของวราลีพร้อมที่นอนปิกนิกและผ้าห่มผืนบางซึ่งกัมพลจัดเตรียมให้เขาไว้ใจศาสวัตว่าคงไม่ล่วงเกินหรือทำมิดีมิร้ายต่อบุตรสาวซึ่งคบหามานานจนรู้นิสัยเป็นอย่างดี


ศาสวัตปิดประตูเบาๆจัดแจงปูที่นอนบนพื้นข้างเตียงสามฟุตครึ่งเมื่อเรียบร้อยเขาก็นั่งขัดสมาธิและมองวราลีพร้อมเอื้อมมือลูบผมของเธอเบาๆทว่าคนนอนหลับกลับรู้สึกตัว


“พี่กวนเราตื่นหรือเปล่า”


วราลีส่ายศีรษะก่อนขยับขึ้นในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหัวเตียง


“พ่อใช้ให้พี่ศาสเฝ้าวราสินะ”


“เขาห่วงเราต่างหากกลัวดูแลไม่ทั่วถึง” ศาสวัตยิ้มละมุนพร้อมดึงมือบอบบางมากุมไว้“ไม่ไปทำงานที่ร้านได้หรือเปล่า” เขาถามความสมัครใจอีกครั้งเมื่อคุยเรื่องนี้ค้างไว้ในช่วงเย็น แววตาเว้าวอนจนหญิงสาวเลิกคิ้วสูง


“แล้วจะให้วราทำอะไรงานสมัยนี้หายากจะตายไป”


“เป็นผู้จัดการส่วนตัวให้พี่พอดีคนเก่าอยากลาออกไปทำธุรกิจส่วนตัว พี่จะได้ไม่ต้องหาใครใหม่”


“จะดีเหรอวราไม่เคยทำงานในกองถ่ายเลยนะ กลัวทำให้พี่ศาสเสียหน้านะสิ”วราลีกล่าวกลั้วหัวเราะ


“แค่รับปากก็พอเรื่องอื่นค่อยฝึกไป ตกลงไหม”


ศาสวัตจ้องมองอย่างอ่อนโยนและส่งยิ้มละมุนให้เขาอยากให้เธออยู่ใกล้ ไม่ต้องการให้ห่างสายตาจนเกิดเรื่องขึ้นอีกเป็นครั้งที่สองเพราะความโชคดีคงไม่มีบ่อย


วราลีดึงมือออกจากการจับกุมเปลี่ยนเป็นจับใบหน้าคมคายแทนสีหน้าซูบผอม ขอบตาคล้ำคล้ายอดนอน เขาคงดูแลเธอจนไม่มีเวลาพักผ่อนเต็มที่ ไหนต้องทำงานไหนจะเฝ้าไข้คนป่วย รู้สึกเห็นใจเป็นอย่างมาก นักเขียนสาวอมยิ้มและพยักหน้าตกลงถือเป็นการตอบแทนกับสิ่งดีๆ ที่เขาทำให้เธอ


ศาสวัตขยับเปลี่ยนท่านั่งเป็นคุกเข่าและโน้มกายเข้าหาวราลีสองมือจับข้างแก้มอย่างทะนุถนอม เขานำริมฝีปากแตะเบาๆ ตรงหน้าผากมนอย่างนุ่มนวล ไล่ลงตรงปลายจมูกเนิบช้าและหยุดตรงกลีบปากอิ่มอ่อนโยนลมหายใจรดรินใกล้กันจนใจสั่นไหว แม้จุมพิตนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกของการคบหา แต่กลับหวิวไหวได้ทุกครั้งไม่เปลี่ยนแปลงและความวาบหวามนี้เองทำให้นึกถึงรอยจูบในฝันแห่งคืนฝนพรำความอ่อนหวานดื่มด่ำไม่ต่างจากฝันนั้นสักนิด


ศาสวัตถอนจูบและผละห่างช้าๆ หากเนิ่นนานกว่านี้เกรงความเผลอไผลจะทำพลาดพลั้งในสิ่งมิสมควรนิ้วหัวแม่มือของเขาปาดเช็ดตรงริมฝีปากบางแผ่วเบา ก่อนจับศีรษะเธอโยกไปมาอย่างเอ็นดูเขาสงบใจพร้อมขยับนั่งบนที่นอนปิกนิกตามเดิม


“นอนซะพรุ่งนี้เจอกัน”


วราลีขยับร่างกายลงนอนแต่โดยดีดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างกายจนปิดครึ่งหน้า แอบอมยิ้ม มองศาสวัตลุกปิดไฟ ทั้งห้องมืดสนิทก่อนเดินกลับมานอนในที่ของเขาความเงียบควบคุมพื้นที่ ทว่าจิตใจของแต่ละฝ่ายยังดังตึกตัก ต่างได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นแรง


“ซื้อบ้านซักหลังดีไหมอยากอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว”


เสียงทุ้มละมุนทำลายความเงียบ


“แล้วบ้านหลังนี้ละวราไม่อยากขาย ไม่อยากย้ายออก”


“งั้นปลูกใหม่ให้ใหญ่กว่าเดิมแล้วพี่ขออยู่ด้วย ดีหรือเปล่า”


วราลีหัวเราะเบาๆ ถึงศาสวัตจะขอเป็นผู้อาศัยทว่าเขาต่างหากเป็นผู้ออกเงินปลูกสร้าง และเธอกับพ่อต้องกลายเป็นผู้อาศัยแทน


“งั้นวราผ่อนคืนเดือนละสองร้อยนะ”


ทั้งคู่หัวเราะขำขันด้วยกันความอบอุ่นวิ่งวนในอก แม้จะผ่านเรื่องราวเลวร้ายจนเกือบคร่าชีวิต ทว่ากำลังใจและความซื่อสัตย์เป็นสิ่งสำคัญซึ่งจะทำให้ความรักคงเดิมตลอดไป ศาสวัตฉุกคิดถึงชายคนนั้นที่วราลีพูดถึงในความฝันหากเป็นไปได้ อยากเจอเพื่อถามไถ่ให้รู้แล้วรู้รอด ถ้าเขามีตัวตนอยู่ในโลกใดสักแห่งคงรู้เหตุผลว่าเขาต้องการสิ่งใดจากวราลี


มีต่อด้านล่าง





Create Date : 31 สิงหาคม 2557
Last Update : 31 สิงหาคม 2557 20:37:28 น.
Counter : 642 Pageviews.

1 comments
  
ในอีกมิติตรงมุมใดมุมหนึ่งแห่งห้วงฝัน ชายผู้ซึมเศร้ากำลังสงบจิตใจอ่อนล้าให้เข้มแข็งดังเดิม กันดิศพยายามลบเลือนความทรงจำระหว่างวราลีหมดสิ้น ทว่ายิ่งลืมกลับยิ่งจำ แม้จะย้ำกับตัวเองว่าเคยอยู่มาได้โดยไม่มีเธอ และคิดเสมอว่าโลกของเขากับเธอแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่อาจเคียงคู่ได้ตามหวังหรือตั้งใจ



“ไอ้กัน” มาวินเรียกให้เพื่อนสนใจถึงการมาเยือนก่อนจะนั่งลงด้านข้างและกอดคอกันดิศไว้ “ทำไมมานั่งอมทุกข์อยู่ตรงนี้คนเดียววะ”



กันดิศก้มหน้านิ่งอยู่บนขอบปูนใกล้อาคารสูง



“ข้าคงต้องยอมแพ้”



เขาพยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติแม้จะสั่นอยู่บ้างก็ตาม



“ยอมแพ้อะไรของเอ็ง”



“ผู้ชายคนนั้น”



กันดิศกล่าว คำพูดของเขาสร้างความงุนงงแก่เพื่อนอย่างมาก



“คนไหนวะ?”



“ศาสวัต”



และชื่อนั้นเองทำมาวินนิ่งอึ้ง มองกันดิศพร้อมคิดถึงสาเหตุที่ทำให้เขาหายไปเมื่อคืนนี้ เป็นเพราะศาสวัตอยากเจอพระเอกในนิยายที่คิดทำร้ายวราลีจึงส่งคำขอผ่านห้วงความคิด และทั้งคู่ได้พบกันอีกครั้งในความฝัน โลกคู่ขนานระหว่างมิติ



“เอ็งยอมแพ้อะไร”



มาวินถามต่อเมื่อความใคร่รู้ทำงานและต้องการคำตอบ



“ผู้ชายคนนั้นบอกให้ข้าเอาชีวิตเขาแทน อย่าคิดทำร้ายวราลีอีก เขายอมตายเพื่อให้ข้าสิงร่างหรือทำอะไรก็ได้ แต่วราลีต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปในโลกของเธอ ไม่อยากให้เธอเจ็บปวดอีกแล้ว”



น้ำเสียงสั่นเครือพอกับมือไม้สั่นเทา กันดิศรู้ดีว่าเขาไม่กล้าหาญพอปล่อยวราลีหรือยอมเสียเธอไปอย่างศาสวัต เพียงให้เธอมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีความสุข แต่ความสุขนั้นอาจไม่ใช่ของเขาก็ตาม



พระเอกหนุ่มรู้สึกพ่ายแพ้ต่อความรักแท้และเสียสละที่ศาสวัตพร้อมมอบให้แก่เธอ... หลังจากนี้คงต้องยอมปล่อยมือและไม่คิดอยากครอบครองวราลีอีก



กันดิศลุกยืนเต็มความสูงพร้อมระบายลมหายใจ ทอดสายตามองท้องฟ้ากว้าง หวังว่าสักวันคงพบเจอกับรักแท้ที่พร้อมยอมเสียสละ ไม่เห็นแก่ตัวอย่างที่ผ่านมา ร่างสูงหมุนตัวกลับพร้อมนำมือล้วงกระเป๋ากางเกงยีนส์สีซีด หยิบโทรศัพท์มือถือส่งให้มาวิน



“ลบภาพเธอให้ที”



เขาเดินจากไป ปล่อยมาวินไว้ท่ามกลางความสับสน และเมื่อเดินห่างจากเพื่อนได้สักระยะ เขาก็สวนทางกับนางเอกสาว



“มาวินอยู่ไหนคะพี่กัน”



คนถูกถามแย้มยิ้มพร้อมชี้ชวนให้มองไปด้านหลัง



“ผมรอเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวอยู่นะ หวังว่าคุณกับไอ้ปลาทูจะได้ครองคู่เร็วๆ นี้” กันดิศทำท่าผละจาก “ผมอยากอุ้มหลานไวๆ”



ศีตลาถลึงตาโตมองกันดิศจากไป ตกตะลึง ไม่คิดว่าเขาจะล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างมาวิน หล่อนรีบสาวเท้ารวดเร็วไปหาตัวประกอบหนุ่มในทันที ต้องต่อว่าให้เข็ดหลาบ โทษฐานปากโป้งเรื่องคบหา ซึ่งหล่อนตกลงปลงใจรับรักเขาเมื่อคืนนี้



“มาวิน! ไปบอกอะไรพี่กันห๊า!”



เสียงใสโวยวายโดยไม่คิดว่าการกระทำของหล่อนเองต่างหากที่ทำให้กันดิศจับพิรุธได้ เพราะเธอถามหามาวินแทนที่จะสนใจเขาอย่างเคย และมาวินคงกลายเป็นแพะรับบาปไปโดยปริยาย




To be continued...
โดย: มาโซคิส วันที่: 31 สิงหาคม 2557 เวลา:20:37:50 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มาโซคิส
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]



เ ร า ต่ า ง กั น แ ส น ไ ก ล

Blood A_Blood Type Series
เรียบง่าย อยู่บนเหตุและผล สันติ ยุติธรรม

ถ้าในฝันนั้น.. ฉันได้มีเธอ.. ขอนอนหลับไม่ตื่นได้ไหม..
เ ว ล า คิ ด ถึ ง ใ ค ร บ า ง ค น ม า ก ๆ อ ย า ก ดึ ง เ ค้ า อ อ ก ม า จ า ก โ ล ก แ ห่ ง ค ว า ม ฝั น แ ล้ ว ก อ ด ซ ะ !! ใ ห้ ห า ย คิ ด ถึ ง





หากวันใด อ่อนแอ ท้อแท้ ผิดหวัง ให้ลองย้อนนึกถึงวันที่เคยตะเกียกตะกาย . .



ถ้าคนๆ หนึ่ง มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้เรายิ้มออกมาได้โดยไม่ตั้งใจ.. มานก็ไม่แปลกเลยที่เขาสามารถทำให้เราน้ำตาไหลได้โดยไม่รู้ตัว..

Online Now




New Comments