กันยายน 2557

 
1
2
3
4
5
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
เนรมิตอักษรา 20

บทที่ 20

คนคู่ควร


“ทำไมพี่ศาสไม่บอกวราเรื่องสำนักพิมพ์กับสัญญาทั้งหมดพี่ศาสเป็นคนจัดการทุกอย่างใช่ไหมคะ”


คนพูดหรี่ตามองชายหนุ่มขณะเดินออกจากอาคารพาณิยช์สถานที่ตั้งของสำนักพิมพ์ที่ได้ร่วมงานกันหมาดๆ ซองกระดาษสีน้ำตาลถูกกอดแนบอกราวกับมันจะหายไปอย่างนั้นนักเขียนสาวนึกเอะใจต่อบทพระเอกจนต้องนึกย้อนถึงวันที่ศาสวัตบอกกล่าวเรื่องน่ายินดี


“ที่พี่ศาสบอกได้รับเล่นเป็นพระเอกเรื่องอะไรคะ อย่าบอกนะว่า...”


วราลีหยุดมองแฟนหนุ่มอย่างคาดคั้นหากละครที่เขารับเล่นคือนิยายของเธอคงเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งอาจเรียกว่าโชคดีซ้ำซ้อน เธอลุ้นระทึกด้วยใจเต้นโครมคราม


“พี่เลือกเป็นพระเอกให้กับนักเขียนนามปากกาณ สิตางศุ์” เขาระบายยิ้ม “ดีใจหรือเปล่าที่ฝันเป็นจริง”


วราลีปล่อยมือจากซองเอกสารข้างหนึ่งเพื่อโอบกอดแขนของศาสวัตเธอยิ้มกว้างและพยักหน้าให้เขา ปลาบปลื้มต่อทุกสิ่งที่สมหวัง คิดแล้วก็เหมือนทุกขลาภหลังเจ็บปางตายก็ได้รับโอกาสดี มีโชคหลายต่อ ยิ่งกว่าถูกรางวัลล็อตเตอรี่เสียอีก


“ดีใจมากเลยล่ะ ขอบคุณนะคะเจ้านาย”


คนพูดยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนเขย่งปลายเท้าขึ้นหอมแก้มแฟนหนุ่มตอบแทนในสิ่งที่เขาทำเพื่อเธอ แม้ศาสวัตจะย้ำเตือนอยู่เสมอว่างานเขียนคือการสานฝันและก่อร่างให้ฝันนั้นเป็นจริงขึ้นมาผลตอบแทนของความมุมานะคือความสำเร็จ แต่เธอเชื่อว่างานเขียนคือการเลือกทำในสิ่งที่รักผลตอบแทนที่ได้ ไม่ว่าจะการตีพิมพ์เป็นหนังสือ หรือนิยายกลายเป็นละคร นั่นคือรางวัลชีวิตมากกว่า


“ไม่อายใครแล้วหรือไง”


ศาสวัตกระเซ้าแหย่ เมื่อวราลีจะวางตัวนิ่งเฉยไม่ยอมแสดงออกกลางสาธารณชนแบบนี้ จะอ้างแทบทุกครั้งว่าไม่เหมาะสมบ้างล่ะ อายคนอื่นบ้างล่ะทว่าคราวนี้คงดีใจจนเก็บไว้ไม่อยู่


“ทำไมต้องอาย...อยากทำแบบนี้ตั้งนานแล้ว”


ใบหน้านวลออกแดงระเรื่อวราลีแก้เขินโดยการหันซ้ายหันขวา แอบคิดในใจ ‘โชคดีแค่ไหนที่ไม่มีใครเดินผ่านมาแถวนี้’ ศาสวัตโยกศีรษะเธออย่างเอ็นดูก่อนจะคว้าข้อมือเล็กไปจูง สองคนรักเดินกระหนุงกระหนิงเคียงข้างกันเพื่อขึ้นรถยนต์คันหรูที่จอดอยู่ไม่ไกล


ภาพบาดตากระทบจิตใจของคนแอบมองอย่างรู้ตัว...


กันดิศได้แต่ตะโกนปลอบตนเองในใจ ‘วราลีเป็นของศาสวัต’ ไม่ใช่ผู้หญิงของเขาและเธอเองก็ไม่มีเขาหลงเหลืออยู่ในความทรงจำอีกแล้ว สิ่งเดียวที่ต้องทำให้ได้ ‘ควรลืมเสียที’



วันเวลาผันเปลี่ยนไปตามเข็มนาฬิกาหมุนวนรอบแล้วรอบเล่าจากนาทีเป็นชั่วโมง จนล่วงเลยเป็นวันและเดือนตามลำดับการดำเนินชีวิตยังคงราบรื่นด้วยดี เกือบสามเดือนแล้วหลังจากผลงานของวราลีผ่านการพิจารณาและถูกตีพิมพ์เป็นนวนิยายวางขายตามแผงหนังสือ


ตั้งแต่ได้รับผลงานของตนเองในแบบรูปเล่มมาครอบครองเธอยังไม่ได้เปิดนิยายอ่านอย่างตั้งใจสักครั้ง ด้วยหน้าที่การงานรัดตัวทำให้เวลาว่างเหลือน้อยเต็มทีจะดีหน่อยก็อย่างวันนี้ ได้หยุดพักผ่อนหนึ่งวันเต็ม จึงมีโอกาสหยิบจับงานขึ้นมาอ่าน


นักเขียนสาวเปิดหนังสือทีละหน้าอย่างประณีตราวกับมันคือสิ่งบอบบางนึกชื่นชมต่อความสำเร็จซึ่งถูกผลักดันจนเอกสารปึกหนึ่งกลายมาเป็นหนังสือสมบูรณ์แบบอย่างนี้ตัวอักษรที่เรียบเรียงสะสวยถูกไล่อ่านตั้งแต่หน้าแรก ขึ้นต้นคำนำของสำนักพิมพ์และนักเขียนจนเข้าสู่เรื่องราวของนิยาย


แม้ตัวอักษรเหล่านั้นจะเคยผ่านตามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนขณะทบทวนและแก้ไขแต่เมื่อนิยายออกมาเป็นรูปเล่มหนังสือ กลับน่าอ่านและชวนติดตามยิ่งขึ้นเพลิดเพลินจนไม่อยากวาง ตัวละครใหม่ที่ถูกเพิ่มเติมลงไปในงานเขียนนั้นคงช่วยให้เรื่องราวมีสีสันมากขึ้น


และเหตุผลของการเพิ่มเติมตัวละครนี้เองเกิดจากความรู้สึกหดหู่เมื่อจำได้ว่าตัวประกอบมาวินเป็นชายหนุ่มผู้อาภัพรักและโชคร้ายถูกนักเขียนอย่างเธอยัดเยียดบทเสียชีวิตให้ วราลีจึงแก้ไขบทบาทให้มาวินเสียใหม่โดยเปลี่ยนจากบทตายเป็นมีความรักกับหญิงสาวอีกคน ซึ่งเป็นเพื่อนของนางเอกศีตลา


ระหว่างอ่านนิยายไปหลายบทจู่ๆ เกิดสะดุดกับลักษณะของตัวละครฝ่ายหญิงที่เพิ่มเติมเข้าไปจำได้ว่าตอนแก้ไขต้นฉบับไม่ได้บรรยายลักษณะของตัวละครให้มีความคล้ายคลึงกับตัวเองสักนิด


“มาได้ไงเนี่ย”


เธอพึมพำอย่างงุนงงนึกถึงขั้นตอนพิสูจน์อักษรและแก้ไขผลงาน หลังถูกบรรณาธิการของสำนักพิมพ์ติติงมาจำได้ว่าไม่มีการแก้ไขตรงจุดนี้เสียหน่อย เหตุใดผลงานของเธอจึงมีการเปลี่ยนแปลงวราลีนึกเอะใจ อยากสอบถามกับสำนักพิมพ์


“กุ้งแห้ง ดามาหา”


เสียงของกัมพลจากดังขัดจังหวะจากนอกห้องนอนขณะวราลีกำลังหยิบโทรศัพท์เพื่อกดเบอร์หากองบรรณาธิการ อยากสอบถามให้หายข้องใจเท่านั้นเธอละความสนใจจากเครื่องมือสื่อสาร วางมันบนเตียงนอนก่อนลุกไปเปิดประตู


“นักเขียนคนดัง หายหน้าหายตา ไม่ติดต่อเพื่อนเลยนะ”ญาดาแขวะใส่อย่างล้อเลียน เธอก้าวเข้ามาในห้องและมองไปรอบๆ“นี่เธอนอนห้องเดียวกับพี่ศาสหรือเปล่า” ภาพโปสเตอร์ขนาดใหญ่ของดาราชื่อดังบ่งบอกให้คิดเช่นนั้นและห้องนี้คงเป็นห้องนอนของศาสวัตอย่างแน่นอน


วราลีชะงักไปเล็กน้อยขณะดึงประตูปิดเธอชำเลืองมองกัมพลที่เดินกลับไปนั่งตรงโซฟากลางห้อง เกรงว่าเขาจะได้ยินคำถามของเพื่อนสนิท


“จะบ้าเหรอฉันกับพี่ศาสยังไม่ได้แต่งงานกันซะหน่อย”


คนท้วงส่ายศีรษะและนึกขำในความคิดของเพื่อนคงไม่แปลกหากญาดาจะคิดเช่นนั้นในเมื่อคอนโดหรูหราแห่งนี้มีห้องนอนกว้างขวางเพียงห้องเดียว!


เนื่องจากเธอกับกัมพลย้ายมาอยู่ที่นี่ชั่วคราวขณะปลูกสร้างบ้านใหม่ศาสวัตจำเป็นต้องยกห้องนอนของเขาให้เธอ และชายหนุ่มผู้เสียสละจึงต้องระเห็จไปนอนอยู่นอกห้องกับกัมพลแต่โดยส่วนใหญ่ศาสวัตไม่ค่อยได้กลับมาที่คอนโดสักเท่าไร เมื่อกองถ่ายละครเร่งทำงานกันอย่างเต็มที่ตั้งแต่เช้าจรดเย็นและล่วงเลยจนค่อนคืนแทบทุกวัน เขาจึงหาโรงแรมใกล้สถานที่ถ่ายทำไว้พักผ่อนเพื่อความสะดวกรวดเร็ว


“แหม๋ ก็แค่แซวเล่น ทำร้อนตัวไปได้สมัยนี้ไม่จำเป็นต้องแต่งงานก็นอนด้วยกันได้นะจ๊ะ”


ญาดาสวนกลับทันใจแววตาล้อเลียนทำให้วราลีพูดไม่ออกสักคำ เธอเข้าใจดีว่าความเป็นอยู่ในฐานะคู่รักสมัยเทคโนโลยีก้าวไกลเป็นเรื่องไม่แปลกเลยหากใช้ชีวิตที่เรียกว่า‘ชิงสุกก่อนห่าม’ แต่ศาสวัตก็รับปากกัมพลไว้มั่นเหมาะว่าจะไม่ล่วงเกินเธอจนกว่าจะแต่งงานเป็นเรื่องเป็นราว


“ดารู้ได้ไงว่าฉันหยุด”


วราลีเปลี่ยนเรื่องในทันที รู้สึกคล้ายตนเองกำลังจนมุมและไม่อยากต่อล้อต่อเถียงให้เพื่อนสนิทกล่าวหาว่าความรักของเธอเข้าทำนองหัวโบราณล้าสมัย


“เพราะติดต่อเธอไม่ได้ฉันเลยโทรถามพี่ศาส เขาบอกเธอหยุด เลยแวะมานี่แหละ” ญาดาหย่อนกายนั่งบนเตียงนุ่มกว้างขนาดหกฟุตหันมองเพื่อนสนิทแล้วถาม “ทำอะไรอยู่ล่ะ”


วราลีพยักพเยิดให้คนถามมองไปยังหนังสือนิยายที่วางอยู่ตรงนั้นทนโท้


“เออ...เห็นหนังสือแล้วนึกได้”ญาดาหยิบนิยายขึ้นมาพร้อมเปิดหน้ากระดาษไปเกือบครึ่งเรื่อง “ตัวละครที่ชื่อปลายฝันเธอจงใจใส่คาแร็กเตอร์ตัวเองลงไปหรือเปล่า”


ความใคร่รู้ของญาดาคือสิ่งที่นักเขียนสาวสงสัยและกำลังจะหาคำตอบนั้นเช่นกัน


“ดาคิดว่ามันแปลกหรือเปล่าฉันไม่ได้บรรยายลักษณะแบบนั้นตั้งแต่แรก ไม่รู้บก.เพิ่มเติมตอนไหน” วราลีพยายามหาเหตุผลประกอบ


“ถ้าให้เดาต้องเป็นพี่ศาสแน่ๆตอนเธอนอนเป็นเจ้าหญิงนิทราฉันเห็นเขาอ่านงานของเธอแล้วแก้สำนวนให้ด้วยนี่ ฉันว่าเขาต้องเอาคาแร็กเตอร์ของเธอใส่ลงไปก่อนบก.จะตีพิมพ์แน่ๆเพราะโดยส่วนใหญ่สำนักพิมพ์จะไม่ปรับเปลี่ยนอะไรหากเจ้าของผลงานไม่รับรู้ไม่ใช่เหรอ”


“คงงั้นมั้ง” วราลีคิดตาม


“แล้วอีกอย่างตอนเธอไปเซ็นสัญญาก็เห็นพี่ศาสเป็นเพื่อนกับบก.ด้วยใช่หรือเปล่าไหนจะเรื่องละครที่เขาแอบเซอร์ไพรส์อีกล่ะ”


เหตุผลของญาดาฟังขึ้นจนวราลีไม่มีอะไรท้วงติงเธอพยักหน้าพร้อมไตร่ตรอง พบเจอศาสวัตเมื่อไรคงได้ถามไถ่ให้หายข้องใจกับปัญหาเหล่านี้



เกลียวคลื่นม้วนตัวเข้าหาฝั่งสาดซัดน้ำทะเลแทรกผ่านผืนทรายก่อนถูกดึงกลับสู่ท้องทะเลซ้ำๆสายลมแผ่วพลิ้วยามพระอาทิตย์คล้อยต่ำจนเกือบถึงเส้นขอบฟ้า แสงสีนวลตาสร้างบรรยากาศชวนฝันไปกับคู่พระนางที่กำลังเปิดเผยความในใจระหว่างกันตามบทบาทของละคร


“เดี๋ยวฉากนี้กันดิศต้องจูบกับศีตลานะทำให้คนดูฟินทะลุจอไปเลย แล้วพอผ่านไปสักระยะสมภพก็วิ่งเข้ามาในฉาก กระชากกันดิศออกจากนางเอกแล้วดึงคอเสื้อทำท่าจะต่อยสีหน้าต้องขึงขังมากๆ เข้าใจหรือเปล่า” น้ำเสียงแหบห้าวดังกังวานอยู่ริมชายหาด“หลังจากนั้นมาวินก็รีบเข้ามาห้ามเลยนะ เอาเป็นว่าเริ่มเลยดีกว่าเตรียมเข้าฉากกันได้แล้ว”


ผู้กำกับปรบมือสร้างความพร้อมเพรียงขณะสั่งการกับเหล่านักแสดงและทีมงานเพื่อจัดเตรียมการถ่ายละครตามฉากหนึ่งของนิยายฉากที่ว่านั้นเป็นบทของตัวละครคู่พระนางเดินเล่นกินลมเรื่อยเปื่อยตรงชายหาดและบรรยากาศนำพาให้พระเอกสารภาพความในใจแต่แล้วก็ถูกตัวประกอบขัดขวางจนเกิดเรื่องวิวาท


วราลีนั่งมองดาราชื่อดังทั้งชายหญิงซึ่งรับบทเป็นตัวละครในนิยายของเธอนึกชื่นชมทีมงานเมื่อสามารถเลือกสรรดาราที่มีลักษณะตรงกับคำบรรยายของเธอ


ลักษณะของนางเอกสาว‘ศีตลา’ ตามบทบาทในนิยายหล่อนเป็นหญิงสาวผู้มาดมั่นเฉลียวฉลาดและบางมุมยังมีความอ่อนหวานสดใสอีกด้วย ร่างระหงสูงเพรียว ผิวขาวนวลผมยาวสีเข้มประกายแดงดัดเป็นลอน มองเห็นถึงความสง่างาม


ตัวประกอบหนุ่ม‘มาวิน’ ชายมาดเท่หุ่นดีไปด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัด ผมหยิกรวบขึ้นด้านบนด้วยผ้าคาดหน้าผากเก๋ไก๋แววตากับรอยยิ้มออกทะเล้นอยู่ในท่าที นิสัยสนุกสนานตามแบบฉบับของตัวละครนี้


นักเลงบ้านนอก‘สมภพ’ชายหนุ่มผู้มียิ้มจริงใจ แต่สายตาเจ้าเล่ห์ในบางจังหวะพาวราลีหลุดยิ้มเมื่อนึกถึงช่วงแรกในการเริ่มเขียนนิยายเรื่องนี้เธอให้เขาแต่งตัวด้วยเสื้อลายดอกเฉิ่มเชย จนรู้สึกคล้ายเป็นการทำร้ายตัวละครมากกว่าจึงแก้การบรรยายเรื่องเสื้อผ้าเสียใหม่ ให้เขาแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีพื้นสว่างแทน


และเมื่อหันไปสำรวจพระเอก‘กันดิศ’ ทำให้วราลีนึกได้ศาสวัตคล้ายกับพระเอกในนิยายของเธออย่างสมบูรณ์แบบ ทว่าความรู้สึกแปลกๆ แวะเวียนเธอมองแฟนหนุ่มและนึกตงิดใจเป็นอย่างมาก เมื่ออีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจะต้องเห็นศาสวัตจูบกับผู้หญิงอื่นต่อหน้าต่อตาแม้จะเป็นเพียงการแสดงก็ตาม เกิดไม่ชอบใจโดยไม่ทราบสาเหตุ


นักเขียนสาวเดินห่างจากบริเวณถ่ายทำละครตรงไปยังกำแพงปูนสูงระดับเอว กั้นเขตระหว่างหาดทรายกับพื้นดินไว้ แนวกั้นยาวสุดตาร่างบอบบางกระโดดขึ้นนั่งบนกำแพงนั้น รู้สึกจิตใจว้าวุ่นไม่เป็นสุขเสียเลยเมื่อนึกถึงบทหวานซึ้งของตัวละครที่กำลังจะดำเนินหลังจากนี้ เธอได้แต่บอกตัวเองซ้ำๆ‘เดี๋ยวก็จบ เดี๋ยวก็ผ่านไป’


“ทำไมทำหน้ายุ่งแบบนั้น”


เสียงทุ้มละมุนดึงสายตาของหญิงสาวที่ผินหน้าทางอื่นให้หันกลับมามองยังคนคุ้นเคย


“หน้ายุ่งอะไร เปล่าซะหน่อยว่าแต่ทำไมมาอยู่ตรงนี้ ไม่ถ่ายละครหรือไง”


วราลีพยายามทำเสียงให้เป็นปกติทั้งที่มันขุ่นเหลือเกินสีหน้าบึ้งตึงเมื่อนึกถึงบทเลิฟซีนที่คู่รักแห่งละครต้องถ่ายทำในอีกไม่กี่นาทีแม้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อเป็นฉากในนิยายที่เธอสร้างขึ้นเองแต่ก็ไม่อยากเห็นคนรักจูบกับใครอย่างนั้น


“ยังไม่ได้กำลังใจเลยจะถ่ายทำได้ไง”


ศาสวัตกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน คำพูดและท่าทางของเขานิ่งเรียบแต่ทำคนฟังจ้องมองอย่างประหลาดใจ


“กำลังใจอะไรคะ?” เธอถาม


ศาสวัตเท้ามือวางบนสะพานปูนขนาบข้างร่างบอบบางเอาไว้ กักกั้นไม่ให้เธอขยับหนีไปไหนได้ ใบหน้าคมคายโน้มหาความใกล้ชิดนำริมฝีปากแดงจัดแตะนาบไปกับกลีบปากอิ่มอย่างนุ่มนวล มอบรอยจุมพิตอ่อนหวาน ทำวราลีผงะไปเล็กน้อยก่อนเขาถอนจูบนั้น


“เลิกทำหน้าบูดได้แล้ว จูบแบบนี้พี่ยกให้เราคนเดียวส่วนจูบกับนางเอกในเรื่อง ใช้แค่มุมกล้องต่างหาก อย่าคิดมากน่า”


วราลีไม่พูดจาได้แต่หลบตามองทางอื่นความอบอุ่นกระจายอยู่เต็มหัวใจจนเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว ไม่คิดว่าเขาจะล่วงรู้ความรู้สึกของเธอราวกับเข้ามานั่งตรงกลางใจเพราะคิดมากจริงๆ นั่นแหละทำให้แอบหลบผู้คนออกมาปลีกวิเวกอยู่ตรงนี้คนเดียว


“อารมณ์ดีขึ้นหรือยังถ้ายังจะป้อนยาอีก จะได้หายหน้าบึ้งซะที”


ศาสวัตกลั่นแกล้งทำท่าโน้มเข้าหาวราลีอีกครั้งทว่าเธอเอี้ยวกายหลบและหัวเราะขบขัน


“อายคนอื่นเขาบ้างเดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”


“อายทำไม...อยากทำแบบนี้ตั้งนานแล้ว”


ศาสวัตยิ้มล้อเลียนอย่างที่เธอเคยกล่าวไว้ครั้งก่อนวราลีไม่พูดอะไรได้แต่ฉีกยิ้มกว้างและมองแฟนหนุ่มที่ยกมือยีผมสลวยเบาๆ


“ไปทำงานได้แล้วเดี๋ยวผู้กำกับดุเอานะ”


คนพูดเขย่าแขนของศาสวัตให้ทำตามที่ร้องขอเกรงจะกลายเป็นเสียงานเพราะเธอเป็นต้นเหตุ และสุดท้ายดาราหนุ่มก็ยินยอมกลับไปทำงานแต่โดยดี


ภาพของคู่รักร่ำลากันด้วยความเอ็นดูทำให้กันดิศยิ้มเศร้าเขาพยายามหลายครั้งหลายคราวกับการ ‘มองไม่เห็น’ แต่อดไม่ได้ที่จะมองหาเธอ ยิ่งอยู่ใกล้กันอย่างนี้ยิ่งทำใจได้ยากเย็น


“พี่กันคะ ศีพาเพื่อนมาแนะนำให้รู้จัก”


กันดิศหันเหความสนใจไปยังนางเอกสาวหล่อนเดินมาพร้อมกับหญิงสาวคนหนึ่ง และเธอคนนี้ทำให้กันดิศชะงักนิ่งไปหลายอึดใจมองเธอด้วยความตกตะลึงและอุทานเบาๆ


“วราลี”


“สวัสดีค่ะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”


เขาเดินปรี่เข้าไปหาหญิงสาวคนนั้นในทันทีและท่าถอยร่นของเธอทำให้กันดิศคิดได้เขาชะงักฝีเท้ากับที่และควบคุมจิตใจให้สงบเมื่อมันสั่นไหวจนเกินต้านทาน


หญิงสาวร่างบอบบางปากนิดจมูกหน่อย ดวงตาคมหวานโดดเด่นเพราะขนตาหนาเป็นแพรล้อมกรอบ คิ้วดกดำรับกับใบหน้ารูปไข่เธอยิ้มแห้งและมองกันดิศอย่างกล้าๆ กลัวๆ


เมื่อตั้งสติได้พระเอกหนุ่มกะพริบตาถี่ๆหันกลับไปมองวราลีซึ่งนั่งอยู่ลำพังอีกครั้ง เหตุใดจึงมีหญิงสาวที่ละม้ายคล้ายกันอย่างนี้ถึงสองคนและเขาไม่ได้ตาฝาดไป เมื่อครู่เกือบอดใจไม่ไหวโผเข้ากอดเธอเสียแล้ว


“ไอ้กันถึงกับตะลึงเลยหรือวะเธอชื่อปลายฝันนะเว้ย ไม่ใช่วราลี ไม่ต้องจ้องขนาดนั้น”


มาวินหยอกล้อในที ตัวประกอบหนุ่มหันมองศีตลาและลอบยิ้มด้วยกันทั้งคู่


กระแสความประหลาดใจสื่อออกจากนัยน์ตาสีถ่านจนใครสักคนควรอธิบายเพื่อความกระจ่างก่อนถึงเวลาเข้าสวมบทบาทแห่งจิตวิญญาณของตัวละครเสียที


“อะไรคะพี่กันเดี๋ยวนี้ไม่สนใจโลกจนตกข่าวหรือไง”


กันดิศหันมองนางเอกสาวและเลิกคิ้วสูงปล่อยให้ปลายฝัน หญิงสาวซึ่งมีความละม้ายคล้ายกับวราลีอย่างกับแกะยืนขำขัน เพราะกันดิศมัวแต่เศร้าสร้อยเกี่ยวกับเรื่องของนักเขียนจากไปจนไม่รู้ข่าวคราวของการเพิ่มเติมตัวละครขึ้นมาอีกคน


“นั่นสิ เอ็งนี่แปลกคน บทจะเศร้าก็หงอยเป็นหมาป่วยบทจะตื่นตัวก็ยืนช็อกเป็นไก่ตาแตกเลยนะ”


มาวินอธิบายถึงการปรากฏตัวของปลายฝันเมื่อนิยายของวราลีถูกสร้างตัวละครขึ้นใหม่เพื่อตัวประกอบอย่างเขาโดยเฉพาะแต่หารู้ไม่ว่าการที่ศาสวัตใส่ลักษณะของแฟนสาวลงไปในต้นฉบับ เท่ากับได้สร้างหญิงสาวในดวงใจของกันดิศขึ้นมาในโลกแห่งจินตนาการ


มาวินหันมองศีตลาที่กำลังหัวเราะชอบใจและนึกอยากแหย่หล่อนขึ้นมาบ้าง


“อีกอย่างวราลีสร้างปลายฝันมาเพื่อข้าเอ็งต้องคู่กับศีตลาไปจนกว่าละครเรื่องนี้จะจบแล้วล่ะ ข้าจะควงปลายฝันแสนสวยให้เอง”


มาวินกล่าวทั้งยิ้มร้ายและหรี่ตามองนางเอกสาวเพียงเท่านั้น รอยยิ้มสดใสที่เคยมีก็เปลี่ยนเป็นหุบลงกะทันหัน ศีตลาเหวี่ยงสายตาเขียวปั้ดมองมาวินในทันทีราวกับอยากกินเลือดกินเนื้อของเขาเดี๋ยวนั้น


“กล้ามากนะที่พูดจาแบบนี้ถ้าฉันไม่สนใจนายขึ้นมาจริงๆ อย่ามาร้องไห้เป็นเผาเต่าแล้วกัน”


นางเอกสาวสะบัดหน้าหนีก่อนปั้นปึ่งเดินไปทางอื่นทำมาวินหัวเราะร่วนและวิ่งตามหล่อนไปติดๆปล่อยให้ชายหญิงอีกคู่ยืนนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ กันดิศลอบมองใบหน้าสวยซึ่งมีรอยยิ้มสดใสประดับอยู่บนนั้นด้วยหัวใจกระตุกผิดจังหวะคราวนี้หากให้เริ่มต้นรักใครใหม่ เขาควรรอบคอบและเลือกที่จะเสียสละมากกว่าครั้งที่ผ่านมา


“เดินเข้ากองถ่ายกันดีกว่า”


กันดิศกล่าวด้วยสีหน้านิ่งเฉยทว่าภายในใจเต้นตึกตัก เขาอยากคิดว่าเธอคนนี้เป็นตัวแทนของวราลีซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อกันและกันและเธออาจคู่ควรกับเขา หากเริ่มสานสัมพันธ์ต่อไปหลังจากนี้...


To be continued...




Create Date : 07 กันยายน 2557
Last Update : 7 กันยายน 2557 22:44:28 น.
Counter : 390 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มาโซคิส
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]



เ ร า ต่ า ง กั น แ ส น ไ ก ล

Blood A_Blood Type Series
เรียบง่าย อยู่บนเหตุและผล สันติ ยุติธรรม

ถ้าในฝันนั้น.. ฉันได้มีเธอ.. ขอนอนหลับไม่ตื่นได้ไหม..
เ ว ล า คิ ด ถึ ง ใ ค ร บ า ง ค น ม า ก ๆ อ ย า ก ดึ ง เ ค้ า อ อ ก ม า จ า ก โ ล ก แ ห่ ง ค ว า ม ฝั น แ ล้ ว ก อ ด ซ ะ !! ใ ห้ ห า ย คิ ด ถึ ง





หากวันใด อ่อนแอ ท้อแท้ ผิดหวัง ให้ลองย้อนนึกถึงวันที่เคยตะเกียกตะกาย . .



ถ้าคนๆ หนึ่ง มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้เรายิ้มออกมาได้โดยไม่ตั้งใจ.. มานก็ไม่แปลกเลยที่เขาสามารถทำให้เราน้ำตาไหลได้โดยไม่รู้ตัว..

Online Now




New Comments