สิงหาคม 2557

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
23
24
25
27
30
 
 
7 สิงหาคม 2557
เนรมิตอักษรา 13



บทที่ 13

จิตสัมผัสแห่งวิญญาณ


โต๊ะเขียนหนังสือภายในห้องส่วนตัวถูกหญิงสาวหมอบนอนครอบครองพื้นที่ร่างบอบบางทาบทับต้นฉบับนิยาย อยากแก้ไข แต่ไม่มีแก่ใจจะหยิบปากกาขึ้นมาร่ายตัวอักษรเสียอย่างนั้นจึงนอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนเผลอหลับไป


เสี้ยวหน้านวลหม่นหมองแพขนตางอนทิ้งร่องรอยของประกายน้ำตาเปียกชื้น เมื่อความเจ็บจุกเอ่อล้นจนเก็บไม่ไหวถูกความคิดในแง่ร้ายเล่นงาน รอยจำจากคำพูดของคนรัก วนเวียนในความคิดซ้ำๆ ภาพเขากำลังมีความสุขกับหญิงอื่นล่องลอยหลอกหลอนทำร้ายหัวใจดวงน้อยให้ปวดปร่า ร้าวระบม


เผลอคิดว่า...หากสิ้นลมหายใจตอนนี้คงดีไม่อยากฟื้นกลับไปรับรู้หากเขาคิดนอกใจ


เก้าอี้อีกตัวถูกยกมาวางด้านข้างคนเผลอหลับอย่างเงียบเชียบไม่อยากส่งเสียงปลุกให้เธอรู้สึกตัวตื่นกลางคัน ร่างสูงโปร่งทิ้งกายนั่ง และมองใบหน้าอมโศกอย่างนั้นไม่ละสายตา


กันดิศยื่นหลังนิ้วชี้ปาดเช็ดคราบน้ำตาให้เหือดหายอย่างเบามือแม้พยายามข่มใจตน ไม่อยากมองเห็นเธอคนนี้ในสายตา เกรงความรวดร้าวจะทำลายความรู้สึกจนยับเยินแต่ไม่อาจสั่งห้ามหัวใจได้สักครั้ง เมื่อมันดึงดัน ไม่ว่าเธอคนนี้จะอยู่ที่ใด สายตาไม่รักดีกลับมองหาทุกเวลาแม้บางครั้งจะไม่เปิดเผยให้อีกฝ่ายเห็นก็ตาม


ทั้งที่รู้ความต้องการของเธอเพียงอยากเจอเขาเพื่อถามไถ่เรื่องราวของคนรัก และการใช้ชีวิตอยู่ในห้วงแห่งความฝันหากเขาทำไม่แยแสใส่ใจ คงไม่มีใครต่อต้านหรือคัดค้าน


แต่กลับฝืนใจไม่ลง...


และครั้งนี้ก็เช่นกัน ดวงจิตของวราลีกลับมาอยู่ภายในบ้านเมื่อศาสวัตจากไป เธอเรียกหาพระเอกในนิยายอยู่นาน อยากถามไถ่ถึงวิธีสูญสลาย ไม่ต้องการกลับไปมีชีวิตอยู่ในโลกแห่งความจริงหรือล่องลอยอยู่ในห้วงมิตินี้อีกแล้ว


แม้กันดิศอยากเหนี่ยวรั้งให้เธออยู่ด้วยกันในโลกจินตนาการแต่กลับลังเล...เขากับเธอไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ ความจริงจึงตอกย้ำให้เขาเป็นได้แค่เงาสำหรับเธอ


พระเอกหนุ่มขยับเข้าใกล้ยกมือเกลี่ยไรผมนุ่มที่บดบังเสี้ยวหน้าหวานอย่างทะนุถนอม ราวกับสัมผัสแก้วบอบบางซึ่งอาจแตกสลายได้ทุกเวลาคิดถึงช่วงเวลาที่ได้เห็นเธอคนนี้ ตั้งแต่เขาถูกสร้างให้มีตัวตนในจินตนาการของเธอ


ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาเขาเห็นรอยยิ้มสดใสของเธอ เวลาบรรยายมุขตลกขบขันลงในต้นฉบับนิยายได้ยินเสียงหัวเราะเมื่อทวนอ่านตัวอักษรซึ่งยังไม่เข้าร่องเข้ารอย นึกเอ็นดูขณะมีน้ำตาซึมเมื่อเธอยัดเยียดให้ตัวละครจบชีวิตลงอย่างง่ายดาย


และหัวใจพองโต...เมื่อสัมผัสได้ว่าเธอหลงรักเขาแม้เป็นเพียงตัวแทนของศาสวัตก็ตาม


สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความผูกพันระหว่างผู้เขียนกับตัวละครคงไม่มีใครเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง


กันดิศโน้มกายเข้าหาร่างบอบบางช้าๆความรู้สึก ‘รัก’ ดึงดูดหัวใจให้เข้าใกล้อยากสัมผัสกลิ่นอายความหอมของแก้มนวลใส ซึ่งเขาคิดมาตลอดว่าเธอคือ ‘ผู้หญิงของเขา’ และจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป


ทว่าอีกใจกลับดึงรั้งให้หยุดการกระทำเผลอไผลเมื่อความจริงตอกย้ำ...เขาไม่ใช่คนรักสำหรับเธอ


พระเอกหนุ่มระบายลมหายใจตัดความหลงใหลออกจากความรู้สึกขยับกายถอยห่าง โน้มร่างหมอบลงกับโต๊ะเขียนหนังสือ สายตาทอดมองเสี้ยวหน้าของวราลีอยู่อย่างนั้น...เนิ่นนานรอเวลาสะสางเรื่องของหัวใจระหว่างเขากับเธอให้กระจ่างเสียที



โรงแรมหรูหราระดับสามดาวใจกลางเมืองหลวงสถานที่ปลายทาง ศาสวัตหักพวงมาลัยรถเลี้ยววนขึ้นตามอาคารเพื่อเข้ายังลานจอดบริเวณชั้นหกตามที่นัดหมายไว้ เครื่องยนต์ดับสนิทก่อนประตูฝั่งคนขับเปิดออก ทว่าอีกสองชีวิตยังสงบนิ่งยังเบาะด้านหลัง


หญิงสาวหลับสนิทไม่รู้สึกตัวราวกับถูกวางยาอย่างนั้นส่วนชายหนุ่มนั่งมองเจ้าของรถก้าวลงจากยวดยาน ยืนเต็มความสูงด้านนอกรถยนต์เป็นที่เรียบร้อย


มาวินชำเลืองมองศีตลาด้วยรอยยิ้มละมุนหากเขาไม่ต้องการรู้คำตอบว่าศาสวัตมาเจอใครที่นี่ เฉกเช่นหญิงสาวคนนี้ เขาคงปล่อยเวลาเดินไปช้าๆยอมให้หล่อนซบไหล่หลับใหลอย่างอิ่มเอมหัวใจพองโต น้อยครั้งจะมีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกันโดยไม่มีตัวละครอื่นมายุ่งเกี่ยวเช่นนี้


แต่ความคิดอีกส่วนกลับกลัวเสียแผน...จึงจำใจสะกิดนางเอกสาวให้รู้สึกตัว


ศีตลาขมวดคิ้วก่อนขยับกายเคลื่อนไหวหล่อนค่อยๆ ยกศีรษะขึ้นจากไหล่กว้าง กะพริบตาถี่ๆ ขณะปรับความชัดเจนก่อนหันซ้ายแลขวารอบด้านและเมื่อสายตางัวเงียเห็นด้านหลังของศาสวัตจึงนึกได้ทันทีว่ามานั่งอยู่ตรงนี้เพื่อสิ่งใด


“ตื่นได้แล้วเหรอ?”


นางเอกสาวหันมองชายหนุ่มด้านข้างอย่างงุนงง


“ลดความอ้วนบ้างก็ดีนะ เธอนอนทับไหล่ฉันจนชาไปหมดแล้วไม่รู้จะพิการครึ่งซีกหรือเปล่า” มาวินแกล้งหยอกขณะออกจากรถไปยืนอยู่ด้านนอก ปล่อยให้ศีตลานั่งมึนอยู่กับคำพูดของเขาก่อนนึกได้ว่าถูกตำหนิ


หล่อนลุกบ้าง เดินหามาวินที่กำลังติดตามศาสวัตห่างๆ


“นายพูดเล่นใช่ไหม ตอนนี้ฉันหนักแค่48 กิโลเองนะ” ศีตลาพูดพลางก้มมองตนเอง


แม้ร่างกายของหล่อนจะถูกแก้ไขให้มีน้ำมีนวลหน้าอกหน้าใจใหญ่ขึ้นกว่าเดิม คงไม่หนักมากมายจนมาวินกลายเป็นอัมพาตครึ่งซีกอย่างที่เขาว่า


มาวินหลุดขำและปั้นหน้าตึงก่อนหันหาศีตลา


“ลองไปชั่งใหม่ได้แล้วมั้งฉันว่าน้ำหนักเธอคงเยอะขึ้นแล้วล่ะ” เขาหยุดคำพูดไว้เท่านั้น ไม่อยากกลายเป็นจิตวิตถารหากบอกหล่อนว่า เนื้อนมไข่ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้น้ำหนักตัวมากตาม


ศีตลายืนเลิ่กลั่กกังวลใจอย่างมาก หากคำกล่าวของมาวินเป็นความจริง เรื่องอื่นยังพอรับไหว แต่เรื่องน้ำหนักตัวกับความอ้วนหญิงสาวห่วงสวยอย่างหล่อนคงปล่อยผ่านไม่ได้เป็นอันขาด


นางเอกสาวอ้ำอึ้งอยู่นานจนเห็นว่าสองหนุ่มเดินห่างไปไกลแล้วหล่อนจึงปัดความหนักใจทิ้ง และสาวเท้ายาวๆ ตามให้ทันรอจบเรื่องนี้เมื่อไรคงได้ควบคุมอาหารและออกกำลังกายเพื่อให้รูปร่างกลับมาเพรียวบางดังใจ


ศาสวัตเคาะประตูห้องส่งสัญญาณให้บุคคลด้านในรับรู้ถึงการมาเยือนตามที่นัดหมายกันไว้ โดยตัวละครยืนมองอยู่ห่างๆอย่างจดจ่อ อยากเห็นว่าศาสวัตมาพบปะกับหญิงสาวจริงตามที่คาดการหรือไม่


และการรอคอยก็สิ้นสุดเมื่อประตูบานหนาถูกเปิด พร้อมหญิงสาวคนหนึ่งแย้มยิ้มสดใสต้อนรับ


“ขับเต่ามาหรือไงคะ ถึงช้าขนาดนี้ปล่อยให้ตาคอยตั้งนาน” พันธิตราคว้าแขนของบุรุษตรงหน้าไปโอบกอดและดึงให้เขาเข้าห้องในทันที


ศาสวัตไม่ตอบคำถามเมื่อตระหนักดีว่าขับรถช้าเกินเหตุอย่างถูกตั้งข้อพิพากษ์ไว้มัวแต่ใจลอยถึงเรื่องราวเก่าๆ ระหว่างหญิงสาวที่เขาปล่อยให้เธออยู่กับกัมพลตามลำพังในคืนนี้


ทุกรายละเอียดอยู่ในสายตาของมาวินและศีตลาซึ่งมองหน้ากันอย่างรู้หน้าที่ก่อนประตูจะปิด ทั้งสองรีบแทรกกายเข้าไปอยู่ภายในห้องนั้น ไม่ปล่อยให้ศาสวัตคลาดสายตา


“มีอะไรถึงให้แวะมาพี่คงอยู่กับเราได้แค่คืนนี้คืนเดียว” ศาสวัตกล่าวเสียงเรียบไม่ต่างกับใบหน้านิ่งเฉย


“ตาขอโทษนะคะที่เป็นตัวการทำให้พี่ศาสไม่ได้อยู่เฝ้าวรา แต่น้าอรอยากให้พี่ศาสเจอเพื่อนของเธอค่ะ”


ชื่อคุ้นๆทำให้ศาสวัตนึกถึงหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งมีอายุห่างจากเขาประมาณหกปี เธอเป็นเพื่อนรักกับแม่เลี้ยงของพันธิตราเคยเจอกันหลายครั้ง ตอนเขาเดินทางไปหาพันธิตราที่อเมริกาเมื่อหลายปีก่อน ‘น้าอร’ คนนี้ชอบเรียนด้านดาราศาสตร์ สนใจคำทำนายดวงชะตากับตัวเลขเป็นชีวิตจิตใจ


ครั้งหนึ่งก่อนที่บุพการีของเขาจะเสียชีวิตน้าอรคนนี้เคยทักท้วงเกี่ยวกับทะเบียนรถ ตกเลขรางไม่ดี อาจประสบอุบัติร้ายแรงทว่าพันธิตราไม่เชื่อเรื่องคำทำนาย จึงไม่ใส่ใจหรือเตือนให้ใครรับทราบจนเกิดโศกนาฏกรรม แม้ศาสวัตจะรับรู้เรื่องนี้ภายหลัง เขายังไม่ปักใจเชื่อเสียทีเดียวคิดว่าอุบัติที่เกิดขึ้นเป็นความบังเอิญตรงกับคำทำนายนั้นมากกว่า


“เพื่อนน้าอรมาทำอะไรที่กรุงเทพฯ”


“ไม่ได้มาทำอะไรค่ะ จริงๆ เขาอยู่ที่ไทยพี่ศาสคิดว่าเพื่อนน้าอรอยู่อเมริกาหรือคะ” ชายหนุ่มพยักหน้า “น้าอรวานให้เพื่อนเธอมาหาพี่ศาสค่ะ”เจ้าตัวนิ่งไปอึดใจ มองหญิงสาวยิ้มหวาน คล้ายถามเป็นนัย


‘มาหาเขาด้วยเรื่องใด’


“วันก่อนตาโทรหาน้าอรเล่าเรื่องที่พี่ได้แก้วนคราจากพระอาจารย์ให้เธอฟัง น้าอรเลยถามวันเดือนปีเกิดของพี่เห็นว่าช่วงนี้ดวงไม่ค่อยดี เลยอยากให้พี่เจอกับเพื่อนของเธอน่ะค่ะ”


“แล้วเพื่อนน้าอรอยู่ไหน?” ศาสวัตกวาดตามองรอบๆ ขณะถูกดึงให้เดินตามไปยังระเบียงนอกห้องพัก


“ทางนี้ค่ะ พอดีคุณเอกราชไม่ชอบอยู่ในห้องแอร์เห็นว่าอึดอัด เลยมารอพี่ศาสตรงนี้”


ผ้าม่านผืนหนาถูกรวบขึ้นก่อนเปิดกระจกบานเลื่อนสายลมโชยปะทะผิวกาย สัมผัสถึงความเย็นเยียบกว่าอากาศภายในห้องเป็นเท่าตัวเสียงรถราด้านล่างทำลายความเงียบสงบ เมื่อประตูกระจกเปิดค้างไว้


ชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับศาสวัตอาจมีอายุมากกว่าสองถึงสามปี ยืนสูบบุหรี่พ่นควันขาวลอยฟุ้งตามอากาศ หันมองชายหญิงที่รอคอยอยู่


“คุณเอกราชคะ นี่พี่ศาสค่ะ”ชายเจ้าของชื่อเอกราชผงกศีรษะรับรู้ก่อนดึงก้านบุหรี่ออกจากปาก จี้ไปในไปถ้วยแก้วทรงสี่เหลี่ยมที่เขี่ยบุหรี่ซึ่งพันธิตราหามาให้ก่อนหน้านี้


“พี่ศาสนี่คุณเอกราช เพื่อนน้าอรค่ะ”


“เรียกสั้นๆ ว่าเอกก็ได้ครับ”ชายหนุ่มแนะนำตัว


“สวัสดีครับ” ศาสวัตกล่าวทักทายตามมารยาททางสังคมแม้ไม่ชอบใจมากนักที่พันธิตราปล่อยให้ผู้ชายซึ่งไม่รู้จักมักคุ้นเข้ามาอยู่ในห้องสองต่อสองก่อนเขามาถึงอย่างนี้ต่อให้เป็นเพื่อนของญาติสนิทก็ไม่เหมาะสมอยู่ดี คนเราสมัยนี้หน้าเนื้อใจเสือมีถมไป ไว้รออยู่ตามลำพังเมื่อไร คงได้ว่ากล่าวตักเตือน


เอกราชมองศาสวัตตั้งแต่ถูกแนะนำให้รู้จักไม่วางตาคล้ายมีบางอย่างอยากบอกกล่าวกับเขา และไม่ปล่อยให้สิ่งนั้นคาใจ“ตอนนี้คุณถูกดวงจิตติดตามอยู่”


ศาสวัตเลิกคิ้วสูงหันมองพันธิตราที่ยืนตกตะลึงและกลอกสายตาไปรอบๆ อย่างหวาดกลัว


แม้อยากท้วงว่าเอกราช ‘ไร้สาระ’ ทว่าความฝันเมื่อคืนนี้กลับมายืนในความคิด‘ดวงจิต’ ที่ว่าทำให้ศาสวัตนึกถึงแฟนสาวในทันที ไม่ต่างจากพันธิตราซึ่งคิดเช่นเดียวกันเธอขยับใกล้และเบียดชิดศาสวัตอยู่อย่างนั้น เพื่อความอุ่นใจ


“หมายความไงครับ?” ศาสวัตข้องใจ อยากรู้ในรายละเอียด


ส่วนหนึ่งคิดจับผิด หากเขาคนนี้เป็นหมอดูที่คู่กับหมอเดาทักอะไรส่งเดช เขาอาจเป็นแก๊งค์ต้มตุ๋นพวกหลงงมงายเชื่อในไสยศาสตร์


อีกส่วนอยากรู้เกี่ยวกับดวงจิตนั้น...หากความฝันเป็นลางบอกเหตุอะไรสักอย่าง


พันธิตราหันกระซิบ บอกศาสวัตให้รับรู้เกี่ยวกับความสามารถพิเศษของเอกราชชายผู้นี้มีจิตสัมผัส รับรู้ถึงความลี้ลับซ้อนเร้นในอีกมิติที่แตกต่างศาสวัตได้ฟังดังนั้นจึงชำเลืองมองเอกราชอีกครั้ง หมายฟังคำตอบเมื่อครู่นี้


“จะเริ่มอย่างไรดี คุณจึงจะเข้าใจในสิ่งที่ผมจะบอกต่อไปนี้”จากการมองผ่านๆ เอกราชเชื่อมั่นว่าศาสวัตเป็นชายหนุ่มสมัยใหม่ คงไม่เชื่อเรื่องงมงายอย่างผีสาง หรือดวงวิญญาณจากภพภูมิอื่น


ศาสวัตยักไหล่คล้ายบอกเป็นนัยให้เขาลองเอ่ยออกมาก่อน หากเหตุผลฟังขึ้น เขายินดีรับรู้อย่างเต็มใจ


“คุณกำลังถูกบางอย่างซึ่งไม่ใช่ผีติดตามอยู่สิ่งนั้นอาจเรียกว่าจิตแห่งวิญญาณ แต่สำหรับผมคงเป็นได้แค่ผีวารสาร” เอกราชกล่าวกลั้วหัวเราะไม่อยากให้วงสนทนาตึงเครียดจนเกินไป


มาวินขบขันเมื่อศีตลาเต้นแร้งเต้นกาอยู่ด้านข้างหล่อนไม่ชอบใจกับคำพูดของเอกราช เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงมิติแห่งโลกนิยาย


“ยังจะหัวเราะอยู่ได้! เจ้าบ้านั่นมันว่าเราสองคนเป็นผีวารสารนะ ดูถูกกันชัดๆ ฉันเป็นนางเอกนิยายย่ะไม่ใช่ผีสางตามหน้ากระดาษ!” ศีตลาโวยวายพร้อมส่งค้อนวงใหญ่ให้เอกราชกอดอกแง่งอน ยิ่งทำให้มาวินนึกเอ็นดูจนไม่อยากใส่ใจยังวงสนทนาของคนทั้งสาม


ศาสวัตมองชายอีกคนอย่างควบคุมความหงุดหงิดไว้ภายในไม่ตลกไปกับคำพูดประโยคนั้น หากเขาเข้าใจถูกว่าดวงจิตเป็นของวราลีจริงเอกราชก็ไม่สมควรกล่าวหาว่าแฟนสาวของเขาเป็นผีสาง เนื่องจากเธอยังมีลมหายใจอยู่


“แต่อย่ากังวลไปเลยคุณมีของดีติดตัวนะ แค่ไม่รู้วิธีใช้สิ่งนั้นและผมเชื่อว่าดวงจิตที่ล่องลอยไม่สามารถเข้าใกล้คุณได้เพราะของที่อยู่กับคุณตอนนี้”


ศาสวัตทวนคำพูดของเอกราช นึกถึงแก้วนคราขึ้นได้เมื่อช่วงค่ำขณะเลิกกองถ่ายละคร เขานำเสื้อผ้าออกจากกระเป๋าเพื่อไหว้วานให้ผู้จัดการส่วนตัวส่งซักรีดบังเอิญเจอถุงผ้าที่ใส่แก้วนคราไว้ จึงนำสิ่งนั้นติดตัวก่อนออกเดินทาง


“คุณเอกราชคะดวงจิตที่ติดตามพี่ศาสใช่ผู้หญิงหรือเปล่าคะ” พันธิตราถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ คาดเดาว่าดวงจิตนั้นอาจเป็นวราลี


“ใช่ ผู้หญิงหนึ่งและชายอีกหนึ่ง” เอกราชเน้นคำ ทำศาสวัตนิ่งไปอึดใจ นึกถึงภาพฝันเมื่อคืนนี้ ที่เข้าใจว่าอ่านนิยายมากเกินไปจนเก็บไปเพ้อฝันแท้จริงแล้วเป็นดวงจิตของวราลีอย่างนั้นหรือ แล้วชายหนุ่มอีกคนจะใช่พระเอกในนิยายหรือไม่...เขาชั่งใจคิด


แม้อยากปักใจเชื่ออย่างนั้นแต่ทุกอย่างอาจเป็นความบังเอิญ ในโลกนี้ไม่มีผีสาง ศาสวัตยืนกรานว่าคำบอกกล่าวของเอกราชเป็นเพียงเรื่องไร้สาระเท่านั้น


“คุณกลับไปได้แล้วขอบคุณที่แวะมาเตือน” กล่าวจบ ร่างสูงหมุนตัวกลับและเดินเข้าด้านในห้องพักทันทีปล่อยให้พันธิตรามองตามอย่างเหรอหรา หันหาเอกราชซึ่งยิ้มเก้อ ทว่าเข้าใจดีทุกอย่าง


เรื่องราวลี้ลับที่ไม่อาจพิสูจน์ได้ต่อสิ่งซึ่งมองไม่เห็นคงไม่มีใครอยากเชื่อ แม้แต่เขาเองยังหาสาเหตุไม่ได้ว่าดวงจิตนั้นติดตามศาสวัตด้วยเรื่องใดทั้งที่ไม่มีกระแสคิดร้ายหรือหวังดี เพียงเฝ้าติดตามอยู่ห่างๆ เท่านั้น



“ฉันไม่ชอบใจยายคนนี้เลย รู้สึกจะกลัวผีเกินเหตุ”ศีตลาบ่นอุบ ขณะมองพันธิตราส่งเอกราชยังหน้าประตูห้องพักและท่าทางของเธอที่ประกบชิดศาสวัตแทบจะตลอดเวลาเพิ่มความหงุดหงิดอีกเท่าตัว


ตั้งแต่ศาสวัตออกปากไล่ชายหนุ่มผู้มีสัมผัสพิเศษบรรยากาศภายในห้องนั้นแปรเปลี่ยนเป็นอึมครึมทันตา


มาวินหันมองยังจุดสนใจของนางเอกสาวเห็นพันธิตราเดินมายืนหน้าศาสวัตตรงเก้าอี้รับแขก ใบหน้าคมคายนั้นเฉยเมย ทว่าภายในอกระอุร้อนไม่พอใจ


“ทำไมพี่ศาสไล่คุณเอกไปอย่างนั้นละคะไม่เกรงใจตาก็เกรงใจน้าอรบ้าง ยังไงเขาก็เพื่อนเธอนะคะ”


“พี่ไม่จัดการเราต่อหน้าเขาก็ดีเท่าไรแล้วไม่นึกเลยนะว่าตาจะกล้าให้ผู้ชายที่ไม่สนิทสนมเข้ามาในห้องอย่างนี้ หัดกลัวซะบ้างอย่ามองโลกสวยเกินไป ไม่คิดบ้างเหรอ ถ้าเขาหน้ามืดตามัวจับปล้ำขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ หรือต้องให้เกิดเรื่องซะก่อนถึงคิดได้”


“พี่ศาสมองโลกในแง่ร้ายเกินไปหรือเปล่าคะคุณเอกเป็นเพื่อนน้าอร ไม่มีทางทำร้ายตาหรอกค่ะ”


ศีตลาหันหามาวิน พยักพเยิดให้เขาดูสถานการณ์ของทั้งสองซึ่งมีอารมณ์คล้ายหึงหวงหรือห่วงใยหล่อนเริ่มไม่แน่ใจในความสัมพันธ์เสียแล้ว คิดว่าการติดตามมาที่นี้ คงเจอศาสวัตกกกอดกับพันธิตราบนเตียงนอน


ทว่าผิดคาดคำพูดที่ควรหวานหู กลายเป็นต่อล้อต่อเถียงกันไม่เลิก


“ในเมื่อพี่เตือนแล้วไม่ฟังต่อไปนี้พี่จะไม่พูดอะไรอีก” ศาสวัตกล่าวเสียงขุ่น ขยับลุกยืนเต็มความสูงและเบือนหน้าหนีแต่ถูกหญิงสาวตรงหน้าคว้าข้อมือไว้


“พี่ศาสจะไปไหนคะ”


“กลับคอนโด”


“อยู่เป็นเพื่อนตาสักคืนไม่ได้หรือคะแค่ที่คุณเอกบอก ตาก็ไม่กล้าอยู่คนเดียวแล้วค่ะ ถึงพี่ศาสจะไม่เชื่อเรื่องผีสางแต่ตาเชื่อ และตาก็กลัวมากด้วย”


พันธิตรายืนยันเสียงแข็งถึงอย่างไรเธอก็เชื่อคำบอกเล่าของเอกราช ผู้มีจิตสัมผัสกับสิ่งเร้นลับและบางครั้งสามารถสื่อสารกับวิญญาณได้ ตามที่น้าอรบอกเล่าให้ฟัง


ศาสวัตถอนใจหนัก ทิ้งกายบนเก้าอี้รับแขกอีกครั้งภายในใจไม่เป็นสุขเสียเลย เรื่องของดวงจิตรบกวนหัวใจพานคิดถึงวราลี...


“เธอจะเฝ้าสองคนนี้ทั้งคืนหรือไง”มาวินสงสัย ส่งเสียงขัดจังหวะ รู้สึกไม่ชอบใจ เมื่อศีตลาจับจดอยู่บนใบหน้าคมคายของชายหนุ่มอีกคนไม่วางตานึกหมั่นไส้ความหล่อเหลาของเขา แม้ศาสวัตจะหน้าตาละม้ายคล้ายกันดิศ ทว่าเขาก็ไม่ใช่เพื่อนในนิยายอยู่ดี


“เดี๋ยวสิ! อยู่ต่ออีกนิดอาจเห็นอะไรดีๆ ก็ได้ ส่วนใหญ่คู่รักที่ชอบทะเลาะกันอย่างนี้อีกไม่กี่นาทีก็สปาร์ค ฉันคอนเฟิร์ม” นางเอกสาวกล่าวโดยไม่ละสายตาจากศาสวัตแต่อย่างใด


“อะไรสปาร์ค?” มาวินคว้าแขนของศีตลาด้วยความหงุดหงิด เมื่อเธอไม่คิดจะสนใจเขาบ้าง


แม้มาวินควรชินเสียทีกับการเป็นคนนอกสายตาแต่ยังชอบหาเรื่องใส่ตัว อยากให้หล่อนคนนี้โวยวาย เขาจึงพอใจ


“นายนี่วุ่นวายจัง! จะอะไรซะอีกล่ะ ถ้าไม่ใช่เรื่องบนเตียง” ศีตลาสะบัดแขนจนหลุดพ้นการจับกุมหล่อนกระแทกเท้าเดินหนีอย่างขัดใจ ไม่รอดูความคืบหน้า เพราะหล่อนเชื่ออย่างเต็มใจว่าทั้งสองต้องมีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวอย่างแน่นอนได้เห็นเพียงเท่านี้ คงมีเรื่องเยาะเย้ยวราลีจนน้ำตาเช็คหัวเข่า


มาวินรู้สึกโล่งอกเมื่อเห็นศีตลาเดินลิ่วออกจากห้องด้วยความรำคาญไม่ต้องบังคับขู่เข็ญให้เหนื่อยใจ ด้วยรู้นิสัยดื้อรั้น เขาจึงก่อกวนอารมณ์ให้หล่อนหงุดหงิดเช่นนี้



ม่านหมอกหนาทึบล่องลอยตามอากาศ พาบรรยากาศรอบด้านวังเวงหันไปทางใดก็มืดมัว เพราะนอกจากหมอกหนาสีหม่นแล้ว ไม่มีสิ่งใดนอกจากความมืดมิด ไร้ร่องรอยของความสว่างไสว


ศาสวัตค่อยๆ ย่างก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่รู้ทิศทางเดินไปตามความรู้สึก ณ ขณะนี้ ภาพของหญิงสาวคนหนึ่งฉายชัดในความคิด รอยยิ้มสดใสและดวงตากลมโตคู่นั้นดึงดูดให้เขาตามหา


‘ตัวเล็ก’ เสียงทุ้มละมุน กังวานสะท้อนกับบรรยากาศชวนอึดอัดเขาเพ่งสายตาฝ่าความมืดเพื่อหาเจ้าของชื่อตัวเล็กนั้นตลอดระยะที่เดินผ่าน


“นายไม่ควรมาวุ่นวายที่นี่” น้ำเสียงห้วนดังขึ้นก่อนปรากฏชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตขาว กางเกงยีนส์สีเข้มทรงกระบอก สีหน้าและสุ้มเสียงไม่มีท่าทีเป็นมิตรเท่าที่ควร


กันดิศยืนขวางทางเบื้องหน้าไม่ยอมให้ศาสวัตเดินต่อ


ความคุ้นตาทำให้ศาสวัตจำได้ในทันทีว่าชายผู้นี้คือพระเอกในนิยาย


“หลีกไป” เขาไม่ทราบว่าเหตุใดจึงไม่ชอบหน้ากันดิศอยากเดินหนีให้พ้นจากตรงนั้น สิ่งเดียวที่พยายามตามหา คือหญิงสาวในห้วงคำนึง


“นายคิดว่าจะหาเธอเจองั้นเหรอ”น้ำเสียงห้าวเข้มงวด ทำให้ศาสวัตนิ่งไปอึดใจ เมื่อกันดิศล่วงรู้ความคิดของเขาว่ากำลังตามหาใครบางคน ต่อให้พลิกแผ่นดินตามหา เขาก็จะทำ


“เรื่องนี้คงไม่เกี่ยวกับคุณ”ศาสวัตตัดบท เบี่ยงกายเดินหลบให้พ้นคนขวางทาง ทว่ากันดิศยังขยับและดักทางไว้


“ฉันคงอยู่เฉยไม่ได้เมื่อนายสร้างความเจ็บปวดให้เธอ และเพราะนายทำให้เธอต้องร้องไห้ ถ้าเรื่องแค่นี้นายยังไม่รับรู้ก็อย่าหวังว่าจะปกป้องผู้หญิงคนนั้น”


ศาสวัตไม่เข้าใจต่อคำพูดของกันดิศทว่าแววตาแข็งกร้าวคู่นั้นกลับซุกซ่อนความเจ็บปวดไว้ภายใน ทำให้เขารับรู้ว่า ‘ผู้หญิงคนนั้น’ กำลังเป็นทุกข์และเพราะรับรู้ได้ด้วยหัวใจสั่นไหวศาสวัตจึงมายืนอยู่ตรงนี้ ‘ความคิดถึง’ คือสัมผัสพิเศษซึ่งคนรักย่อมสื่อถึงกัน


“ผมรู้ดีว่าเธอคนนั้นหัวเราะแบบไหนร้องไห้ยังไง ตอนนี้เธอคงอ้างว้างและเดียวดายอยู่ตรงไหนสักแห่งซึ่งผมยังหาไม่เจอ”ศาสวัตข่มใจไม่ยอมพ่ายแพ้ต่อโชคชะตาที่กำลังกลั่นแกล้งหรือเล่นตลกให้เขากับวราลีต้องแยกจากกันเช่นนี้ความคิดของเขายังมีต่อจากนั้นทว่ายอมเก็บงำไว้ดีกว่าเอ่ยออกมาให้ผู้ชายตรงหน้าล่วงรู้


ไม่เพียงรู้ว่าวราลีหัวเราะหรือร้องไห้อย่างไรแม้แต่เธอชอบทานข้าวแกงริมทาง เขายังรู้ดีกว่าใคร จึงยกให้เป็นร้านโปรดระหว่างกันน้ำเก๊กฮวยที่ชอบดื่มแก้กระหาย เธอว่าชื่นใจที่หนึ่ง กาแฟดำน้ำตาลช้อนครึ่งไม่ใส่ครีมเทียมยามคล้อยบ่ายเป็นเพราะเธอชอบชงให้ทาน เขาจึงติดกาแฟจนทุกวันนี้


หากเธองอนต้องรีบง้อ ไม่อย่างนั้นจะงอแงไม่เลิกราหรือถ้าโกรธอย่างจริงจัง ง้อแทบตายก็ตั้งป้อมไม่ยอมคืนดีต้องปล่อยให้เธออารมณ์ดีจะหายเอง


ทุกสิ่งทุกอย่างแม้จะเป็นจุดเล็กน้อยศาสวัตยังจดจำทุกรายละเอียดเหล่านั้นขึ้นใจ


“ผมไม่รู้หรอกนะว่าที่คุณพูดหมายถึงอะไรหรือผมทำไม่ดีตรงไหน แต่ขอยืนยันว่าจะตามเธอจนเจอ และเมื่อถึงตอนนั้นคุณก็ไม่มีสิทธิ์ห้ามหรือคิดจะรั้งเธอไว้”


กันดิศจ้องมองศาสวัตนิ่งๆแม้แววตาของเขาจะหม่นเศร้าทว่ากลับมีประกายความมุ่งมั่นฉายชัดในดวงตาคมเข้มคู่นั้น ทำให้กันดิศนึกกลัว เกิดอาการชากระจายทั่วความรู้สึกจนเริ่มปวดหนึบตรงหัวใจ แม้อยากโต้เถียงกลับ ว่าเขาก็รักวราลีไม่แพ้กัน แต่ต้องทนข่มใจปล่อยให้เรื่องราวเป็นไปตามวิถีทางของมัน



“พี่ศาสคะ” เสียงหวาน ปลุกคนเผลอหลับให้สะดุ้งตื่นศาสวัตดึงตัวเองลุกขึ้นจากโซฟารับแขก ต้นฉบับนิยายถูกคว้าไว้อย่างอัตโนมัติก่อนจะร่วงหล่นจากร่างกายของเขา ชายหนุ่มยกมือเสยผมลวกๆชำเลืองมองหญิงสาวที่ดึงเขาออกจากห้วงความฝัน

เริ่มถี่ขึ้นเรื่อยๆกับความแปลกประหลาด เมื่อเขาอ่านผลงานของวราลีจนเผลอหลับไป มักเจอภาพฝันเสมือนจริงทุกครั้งที่จมดิ่งสู่ห้วงนิทรา จะได้พบเจอกับตัวละครในนิยายที่อ่านทุกครั้งโดยมีวราลีอยู่ในห้วงฝันนั้นเช่นกัน จะมีก็แต่ครั้งนี้ซึ่งแตกต่างเนื่องจากหญิงสาวอันเป็นที่รัก ไม่ยอมปรากฏตัว


“ยังไม่นอนอีกเหรอ”ศาสวัตลอบถอนใจ และขยับลุกขึ้นนั่ง จงใจถามไถ่เพื่อตัดความสับสนทิ้งไว้ก่อน


“ตานอนไม่ค่อยหลับค่ะกะลุกมาดูพี่ศาส เห็นว่าหลับแล้ว เลยจะปลุกให้ไปนอนที่เตียง ตรงนั้นคงนอนสบายกว่า”


ศาสวัตไม่ทันได้ฟังคำพูดของหญิงสาวเขาครุ่นคิดแต่ภาพฝันเมื่อครู่นี้ทุกอย่างเสมือนจริงจนเชื่อว่าได้พูดคุยกับตัวละครในนิยาย พลันฉุกคิดถึงคนรักหากเวลานี้เธอหลงฝัน อาจกำลังเคว้งคว้างและว้าเว่อยู่ก็ได้


ร่างสูงกระชับปึกต้นฉบับและลุกยืนเต็มตัว


“พี่ศาสจะไปนอนหรือคะ”ศาสวัตชำเลืองมองนาฬิกาตรงกำแพงห้อง อีกสองชั่วโมงก็จะเช้าแล้วพันธิตราคงไม่น่ามีปัญหาใด หากปล่อยให้เธออยู่คนเดียวหลังจากนี้


“พี่จะไปหาวรา”




To be continued...




Create Date : 07 สิงหาคม 2557
Last Update : 7 สิงหาคม 2557 16:38:26 น.
Counter : 653 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มาโซคิส
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]



เ ร า ต่ า ง กั น แ ส น ไ ก ล

Blood A_Blood Type Series
เรียบง่าย อยู่บนเหตุและผล สันติ ยุติธรรม

ถ้าในฝันนั้น.. ฉันได้มีเธอ.. ขอนอนหลับไม่ตื่นได้ไหม..
เ ว ล า คิ ด ถึ ง ใ ค ร บ า ง ค น ม า ก ๆ อ ย า ก ดึ ง เ ค้ า อ อ ก ม า จ า ก โ ล ก แ ห่ ง ค ว า ม ฝั น แ ล้ ว ก อ ด ซ ะ !! ใ ห้ ห า ย คิ ด ถึ ง





หากวันใด อ่อนแอ ท้อแท้ ผิดหวัง ให้ลองย้อนนึกถึงวันที่เคยตะเกียกตะกาย . .



ถ้าคนๆ หนึ่ง มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้เรายิ้มออกมาได้โดยไม่ตั้งใจ.. มานก็ไม่แปลกเลยที่เขาสามารถทำให้เราน้ำตาไหลได้โดยไม่รู้ตัว..

Online Now




New Comments