ในช่วงเช้าจึงออกมาเดินดูรอบ ๆ เมืองกัน วันนี้วันเดิียวจากการเดิน การขับรถ ขึ้นแท็กซี่และขึ้นรถราง ทำให้เก็บวัดได้เกือบทั้งเมืองเลยทีเดียว
วัดดัง ๆ หลาย ๆ วัดอยู่ติดกันเป็นกระจุก สามารถเดินได้สบาย
ใกล้ที่สุดจากที่พักและเป็นวัดที่ดังสุดคือวัดภูมินทร์ ที่มีภาพเขียนชื่อดังปู่ม่านย่าม่าน หรือภาพกระซิบรักบันลือโลก ที่กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดน่าน
วัดภูมินทร์ เดิมชื่อวัดพรหมมินทร์ เพราะเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์เป็นผู้สร้างตั้งแต่เมื่อ 400 กว่าปีก่อน วัดนี้เป็นวัดหลวง และมีการบูรณะครั้งใหญ่เมื่อสมัยรัชกาลที่ 4
พระประธานองค์ใหญ่สวย มีถึง 4 องค์หันหน้าไป 4 ด้าน เค้าบอกว่าให้สังเกตหน้าพระ จะมี 1 องค์ที่ยิ้มมากกว่า 3 ทิศที่เหลือ ให้กราบขอพรทางทิศนั้นแล้วจะสมหวัง อิฉันเดินดูก็ว่าหน้าพระก็ยิ้มเท่า ๆ กันนี่หว่า ก็เลยเดินไหว้ทั้ง 4 ทิศเลย
แต่เรื่องขอพรนี่ เป็นสิ่งอิฉันมักจะมีปัญหา เวลาที่ไปไหว้พระหรือไปไหนที่ชาวบ้านเค้าขอพรกัน นึกไม่ออกว่าต้องขออะไร ไม่ใช่ว่ามีหมดแล้วนะคะ แต่คิดว่าสุดท้ายแล้วตรูก็ต้องทำเองนี่หว่า สมัยนี้หลาย ๆ วัดมีการสร้างหลวงพ่อทันใจขึ้นมา คงประมาณเป็น Fast track ที่ร้องขอได้รวดเร็วกว่าหลวงพ่อรุ่นก่อน ๆ บางครั้งอิฉันไหว้พระ ที่มีบทสวดแปะอยู่ด้านหน้าพอสวดเสร็จก็บอกให้ขอพร อิฉันก็นึกอยู่พักนึงว่าจะขอไรดีวะเลยบอกหลวงพ่อไปว่า ไม่เป็นไร เดี๋ยวลูกทำเอง
วัดนี้จะมีภาพจิตรกรรมทั้ง 4 ด้าน โดยมีภาพปู่ม่านย่าม่านเป็นไฮไลต์ ภาพวาดโดยหนานบัวผันศิลปินชาวไทลื้อ
นั่นเลยค่ะ เห็นละ ข้าง ๆ ประตูแดง ๆ ปู่คือผู้ชายที่พ้นวัยเด็กเค้าจะเรียกว่าปู่ ย่าก็เรียกผู้หญิงที่พ้นวัยเด็ก (จริง ๆ ออกเสียง "ง่า') ม่านคือพม่า และผู้ชายผู้หญิงสมัยนั้นถ้าจับเนื้อต้องตัวกันได้นี่ต้องเป็นสามีภรรยากันแล้ว ดังนั้น จริงๆ แล้วมันคือภาพผัวเมียชาวพม่ากระซิบกันเรื่องอะไรก็ไม่รู้ทำหน้าตามีเลศนัยซะด้วย
ภาพอื่น ๆ ก็สวยดี
นี่เลย โคลสอัพ ดูชัด ๆ มีเลศนัยจริง ๆ
ตอนที่เดินในวัดจะมีไกด์อาสาสมัครเป็นสาว ๆ ตัวน้อย มาอธิบายให้ฟังเป็นภาษาเหนือฟังดูเพราะและหวานเจื้อยมาก ฟังแล้วเคลิ้มเลยทีเดียวฮ่ะ
ทางด้านล่างมีร้านขายของฝาก มีปู่ม่านย่าม่านหลายเวอร์ชั่นมาก
และในอาคารเดียวกันนั้น มีตู้โชว์ของโบราณน่าสนใจอยู่หลายตู้ มีพระด้วย
เดินวนอ้อมมาหน่อยจะเจอสถูปเจดีย์ ข้างในมีนรกให้ดู
ข้างหลังวัดมีศิลปินวาดรูปขายด้วย
วัดแถวนี้ีมีป้ายที่มี QR code บอกข้อมูลกันทั้งนั้น ดี๊ดี
ลานกว้างหน้าวัดภูมินทร์ ที่ตอนมีตลาดนัดกลางคืน เค้าจะมาปูเสื่อวางขันโตกกันตรงนี้แหละ
มีรถสามล้อวิ่งรอบเมืองด้วย แต่ไม่ได้ใช้บริการ
ในตัวเมืองช่วงที่อิฉันไปอากาศร้อน ต่างจากบนเขาที่เพิ่งลงมาเลย เมื่อเจอลุงขายไอติมจึงพุ่งไปอย่างรวดเร็ว
แต่ร้านนี้เกร๋ ตรงขายไอติมคู่กะพระเครื่องนี่แหละ สมกับเป็นน่านจริง ๆ
นั่งพักกินติมและแกะห่อของฝากจากวัดภูมินทร์มานั่งเชยชม ยาดมของน่านฮ่ะ มีแบบยาดมเสียบจมูกแบบหลอด ๆ และแบบโอ่งที่มีเม็ดสมุนไพรโน่นนี่นั่นให้ดมแบบชื่นใจ
อิฉันเหมามาอย่างละ 10 อาเฮียตกใจมากนึกว่าจะเอามาดมเอง แหม่ ก็ซื้อฝากเค้ามั่งสิเฟร้ยย
แค่เดินข้ามถนนไปก็จะเป็นพิพิธภัณฑ์น่าน ที่นี่มีจุดเช็คอินที่ใคร ๆ ก็มา ดังยิ่งกว่าตัวพิพิธภัณฑ์เองซะอีก ตรงนี้..
ซุ้มลีลาวดี
เดินข้ามสนามไปทางตัวพิพิธภัณฑ์ จะเจอวัดน้อย
มีเรื่องเล่าว่าเจ้าเมืองน่านบอกจำนวนวัดแก่รัชกาลที่ 5 เกินไปวัดนึง จึงสร้างวัดน้อยนี้ขึ้นมาเพื่อให้จำนวนวัดเท่ากับที่แจ้งไป แต่เมื่อขุดหาส่วนประกอบอื่น ๆ ของวัด เช่น วิหาร กำแพงแก้ว ก็ไม่เจอ จึงคิดว่าไม่น่าจะใช่วัดแต่เป็นหอเสื้อเมืองมากกว่า
เล็กจิ๋วเดียว
รูปปั้นเจ้าเมืองน่าน
เดินไปอีกหน่อยเจอวัดหัวข่วง
ต่อมาวัดพระธาตุช้างค้ำ วัดนี้สวยงาม ใหญ่โต และมีดนตรีพื้นบ้านเล่นให้ฟังด้วย
หลังจากนั้น เราเอารถไปคืนที่สนามบิน และ Thairentacar ใจดี ขับรถกลับมาส่งเราที่ตัวเมืองฟรีๆ เรากลับมาที่บริเวณ Tourist Information กันก่อนเที่ยง เพราะจะนั่งรถรางกัน จึงให้อาเฮียไปฝึกภาษาไทยไปซื้อตั๋วมา แค่ซื้อตั๋วไม่น่ายาก เฮียแกโม้มาตลอดทางว่าคนน่านพูดช้าและชัดดี เลยส่งเฮียไปทำหน้าที่ซิ
ส่วนอิฉันแวะซื้อชาเมลอนที่ร้านใกล้ๆ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ชาเมลอนที่นี่แก้วละ 25 บาทมั้ง หอมอร่อย กินแล้วสดชื่นสุด ๆ พวกเรากลับมาซื้อกันอีกหลายรอบเลย
เฮียกลับมาพร้อมตั๋ว บอกสบายมาก ขึ้นรถรางกันรอบ 13.30 น. ดังนั้น เรามีเวลากันชั่วโมงหน่อย ๆ จึงไปเดินหาอะไรกินกัน
มาน่านก็ต้องข้าวซอยใช่ไหม เราเดินมาทาง 7-11 มีข้าวซอยต้นน้ำ ร้านนี้คนแนะนำกันเยอะ
ข้าวซอยน่องไก่ อร่อยค่ะ
เฮียกินข้าวซอยไม่เป็น สั่งบะหมี่หมูแดง แต่หมูแดงหมด เลยบอกใส่ไรมาก็ได้ ก็ได้มาหน้าตาอย่างนี้
ร้านร้อนม่วกกกก เดินกลับไปหาที่ตากแอร์ใกล้ๆ ที่ขึ้นรถรางดีฝ่า
เดินผ่านข่วงเมืองน่านหน้าวัดภูมินทร์
ไปหาแหล่งที่มีแอร์ เจอร้าน Amazon
เล่นมุ้งมิ้งตะมุตะมิฆ่าเวลารอขึ้นรถราง
13.20 น. เรามารอขึ้นรถแว้ววว
รออยู่น๊านนานไม่มีใครขึ้นรถซักที อิฉันเดินไปถามที่ขายตั๋วว่า เอ..อิฉันขึ้นคันผิดรึเปล่าน้อ ไม่มีใครมาขึ้นเลย
ปรากฎทำให้ทราบว่าอาเฮียมันได้ตั๋วรอบ 15.30 น. มา ไหนเฮียบอกว่าพูดรู้เรื่องไงฟระ
ฮ่วยย...
เลยต้องหาที่ฆ่าเวลาอีก 2 ชั่วโมง
เดินไปถามศูนย์บริการนักท่องเที่ยวว่าทำอะไรดี เจ้าหน้าที่แนะนำให้เช่ารถแท็กซี่ออกนอกเมืองไป 2 วัด เวลาจะพอดีๆ คือวัดพระธาตุเขาน้อย และวัดพระธาตุแช่แห้ง
ทั้งสองวัดนี้จริงๆ ไปกันคนละทางเลย คือตัวเมืองอยู่ตรงกลางระหว่างสองวัดนี้ แต่สองวัดนี้สามารถทำเวลาใน 2 ชั่วโมงได้
รอ Taxi อยู่นานพอควรเลย Taxi ที่นี่ใช้วิธีโทรเรียกเอา ไม่มีวิ่งรอบ ๆ เหมือนกรุงเทพนะฮับ ที่ช้า เพราะเค้าบอกรถมีน้อยต้องรอคิว และคิดเป็นราคาเหมาชั่วโมงละ 200 บาท
ที่แรกที่มาคือพระธาตุเขาน้อย ที่นี่นักท่องเที่ยวนิยมมาดูพระอาทิตย์ตกกัน
ขับรถขึ้นเขามาชันพอควรเลย ถ้าใครคิดจะปั่นจักรยานขึ้นมาคงได้กำลังขามิใช่น้อย
มุมยอดนิยม พระหันหลัง รูปนี้ได้มาสอง
หรือใครคิดจะเดินขึ้นเขาก็สามารถเดินได้เช่นกัน
มาดูด้านหน้ากันบ้าง
ต่อมา วัดพระธาตุแช่แห้ง เป็นวัดประจำปีเกิดคนเกิดปีกระต่าย จึงมีกระต่ายว้อบแว้บเกาะโน่นนี่อยู่หลายที่
อะไรเอ่ย..ไม่เข้าพวก..
สวยยย..
ในอาคารนี้จะมีพระนอน สวยเช่นกันค่ะ
เดินมาเจอน้องอุ่นใจถือป้ายพระธาตุแช่แห้ง อาเฮียผู้รักการถ่ายภาพกับป้ายเป็นชีวิตจิตใจก็พุ่งเข้าไปถ่ายโดยที่ไม่สนใจสภาพของเก้าอี้เลย
ค่ะ.. ถ่ายจบปุ๊บ หลุดเป็นชิ้น ๆ ค่ะ จริง ๆ มันหลุดอยู่แล้วล่ะนะ แต่คงมีใครประกอบโกยมันขึ้นมาให้เป็นรูปร่างหลอกให้ฝาหรั่งไม่ดูตาม้าตาเรือพุ่งเข้าไปถ่ายรูป เก้าอี้ก็หลุดน้องอุ่นใจก็กลิ้งไปไกล อิฉันก็ได้แต่คิดว่าจะช่วยอาเฮียโกยเก้าอี้ขึ้นมาหรือจะเผ่นดี นางฟ้าในตัวชนะไป เลยช่วยกันกอบโกยอุ้มอีอุ่นใจขึ้นมานั่งให้เรียบร้อยหลอกนักท่องเที่ยวรายถัดไป
ดูสภาพหัวกบาลน้องอุ่นใจ คงหน้าทิ่มกลิ้งวันละหลายรอบอยู่
และแล้วเราก็กลับมาขึ้นรถรางกัน คราวนี้ไม่ผิดเวลาละ
รถราง ค่าขึ้นถู๊กถูก คนละ 30 บาทเท่านั้น เค้าจะหยุดแวะให้ทั้งสิ้น 3 วัด ที่ละ 10 นาที โดยมีไกด์สาวสวยคอยอธิบายให้ด้วย และมีให้เลือกด้วยว่าจะเอาแบบอธิบายภาษาเหนือหรือภาษากลาง
จุดแรกที่หยุด คือวัดศรีพันต้น วัดนี้สวยมากกกกกเป็นสีทองอร่ามและอยู่ใกล้ร้านของหวานป้านิ่มที่เป็นจุดหมายที่นักท่องเที่ยวต้องมาสักการะบัวลอยป้านิ่มกันทุกคน ที่วัดนี้จะมีเรือแข่งที่ยาวที่สุดอยู่ด้วย
ถัดมาเป็นวัดสวนตาล อยู่ค่อนข้างไกลออกมานอกกำแพงเมืองน่านเลย วัดนี้เก่าแก่อยู่คู่เมืองน่านมา 600 ปี
มีผ่านร้านไผ่ยักษ์ด้วย ถ้าเอามาทำข้าวหลามคงจะกินกันอิ่มเชียว
จบทัวร์รถรางกันอย่างเปรมปรีย์ ขอบอกว่าต้องจองล่วงหน้านะคะ ถ้าไม่จองและคิดว่าจะเดินมาขึ้นเลยนี่ิฉันเห็นผิดหวังกันไปหลายคนเลย ที่นั่งเต็มตลอดเลยฮ่ะ
เมื่อลงจากรถราง เราก็เดินตามรอยรถรางเพื่อไปหาของหวานป้านิ่มกันทันที หลังจากที่อิฉันกลับมาก็ได้ข่าวว่าป้านิ่มแกย้ายร้านไปที่อื่นนะ
ทางเดินกลับผ่านวัดมิ่งเมืองและเสาหลักเมืองน่าน ดูขาว ๆ เหมือนวัด อ.เฉลิมชัยที่เชียงรายเชียว
ระหว่างทางเจอคุณยายขายข้าวหลาม น่ารักน่าเอ็นดู และ packaging ปราณีตมาก มีการห่อกระดาษแสตมป์ตราโลโก้อย่างเรียบร้อย อิฉันประทับใจการจัดการการท่องเที่ยวและการจัดการชุมชนของน่านมาก ไม่ไก่กาอาราเล่เหมือนหลาย ๆ ที่ ที่นี่ดูให้ความสำคัญกับการคงอยู่ของชุมชนและวัฒนธรรมในระยะยาว บนรถรางคุณไกด์อธิบายว่าพ่อเมืองของน่านในทุกยุคสมัยให้ความสำคัญของผังเมืองและการจัดการสิ่งก่อสร้างมาก ในน่านจะไม่มีสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่หรือสูงเกินไป เพราะต้องการจะคงไว้ถึงบ้านเรือนแบบอนุรักษ์ ดีงามมากค่ะ อยากให้เมืองไทยเป็นอย่างนี้ทุก ๆ เมืองเลย
ถึงละร้านป้านิ่มที่โด่งดัง ป้าดูหน้าบูดเล็กน้อย อากาศคงร้อน
อิฉันไปแต่ไก่โห่ บัวลอยจึงยังไม่มา เค้าบอกว่าบัวลอยจะมาหลังหกโมงเย็น
เสียจุยยย
กินอย่างอื่นก็ได้
ข้าวเหนียวถั่วดำไอติมไข่แข็งกับมะม่วง
วันนี้ร้อนมากกกกก กลับที่พักมาอาบน้ำนอนตากแอร์ คิดว่าตอนเย็น ๆ จะออกไปเดินช็อปปิ้งที่ถนนคนเดิน ปรากฎว่าฝนตกหนัก แม่ค้าเก็บของกลับกันหมด
เหลือแค่ซุ้มขายอาหารบางร้าน เลยซื้อกลับมากินที่โรงแรม ได้แกงฮังเลมากินกับข้าวเหนียว ไส้อั่วเสียบไม้ (หมดไปก่อนถ่ายรูป แห่ะ แห่ะ) และดักแด้ทอด
ของหวานเป็นบัวลอยไข่หวาน ของตลาดก็อร่อยไม่แพ้ป้านิ่มนะฮับ
ผมเลยคิดว่า คนไทยมีสำนึกบ้างไหมขยะทำให้เมืองเราไม่น่าอยู่เลย....
สำหรับเรื่องขอพรพระ...ผมไม่ค่อยจะถนัดเช่นกันครับ แต่ก็ชอบขอ หรือตั้งผังให้ชีวิต เพราะคนพุทธเราจะเชื่อเรื่องตายแล้วต้องมาเกิดอีก
เลยอยากตั้งผังให้ตัวเอง ในชีวิตภายหน้ามากกว่าครับ...ปัจจุบันนี้เรารู้แล้วว่าเราคือใคร ชาติต่อไปขอให้เราดีกว่าปัจจุบัน สาธุๆๆๆๆครับ