Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2562
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
18 สิงหาคม 2562
 
All Blogs
 

2018 India trip : Albert Hall Museum และรีวิวไฟลท์ Smile Plus ทั้งขาไปขากลับ

บล็อกก่อนหน้า >>  วัน Shopping และเปิดถุงช็อปจากชัยปุระ

วันสุดท้ายที่ชัยปุระแล้ว เรามีเวลาอีกเต็มๆ วันที่นี่
เพราะไฟลท์กลับของเราปาเข้าไปตอนตีสองสิบห้า ทำให้อาเฮียตัดสินใจจองห้องพักต่ออีกคืน เพื่อไว้นอนกลิ้งแล้วค่อยเช็คเอ้าท์ตอนดึก ๆ 

วันที่เหลือเราจึงวางแผนว่าจะทำไรชิลล์ ๆ ไม่รีบร้อน ไม่เหนื่อยมาก อะไรจะดีไปกว่าการเดินพิพิธภัณฑ์  เราจึงตกลงไปกันที่ Albert Hall Museum

 

Albert Hall Museum ที่คุณราชบอกมันไม่มีอะไร ที่นี่เอาไว้ดูนกพิราบตอนกลางวัน​ และดูไฟสวยๆ​ตอนกลางคืนจากภายนอกก็พอ   แกบอกว่าสมบัติดี ๆ เค้าเอาไปเก็บที่ City Palace หมดแล้ว  


มาดูกันว่าจริงรึเปล่า  117

ตื่นแบบโคตรจะสายโด่ง ลงมากินข้าวซะ 10 โมงเช้า





นั่งตุ๊ก ๆ มา Albert Hall Museum  มีคิวเล็กน้อย ซื้อตั๋วเข้าราคาไม่แพง แค่ 300 รูปี คนขายตั๋วดูดุดันหน้าเหี้ยมเหมือนทหาร  แต่พอคุยแล้วพี่ก็ชวนคุยไม่หยุดว่ามาจากไหน ไปเที่ยวไหนมามั่ง อยู่มากี่วันแล้ว จะกลับวันไหน แบบไม่สนใจคนที่ต่อแถวข้างหลังเลย 120
 



ร่างทรงอั้มก็ทำงานอีก  สาว ๆ ชาวอินเดียมาขอถ่ายรูป  117
คนอินเดียน่ารักดีเนอะ ชอบถ่ายรูปกับนักท่องเที่ยว ไม่รู้ป่านนี้จะเริ่มเบื่อคนหน้าแปลกบ้างหรือยัง เพราะคนไทยไปเที่ยวกันเยอะแยะไปหมด






Albert Hall Museum 








ด้านนอก พิราบเยอะจริง ๆ 




นักท่องเที่ยวชอบไปเล่นวิ่ง ๆ ใส่ให้มันวงแตกบินกระเจิง




อย่างงี้



อิฉันก็ลองวิ่งมั่งนะคะ  แต่โดนนกเดินเนิบๆ หนีไป รู้สึกเหมือนโดนนกเหยียดหยามพอควร  143











ทางเข้าจะมีคนคุมประตูดูโหดๆ 





 

ที่นี่ยามเยอะ​ ไม่แน่ใจว่ายามหรือทหารนะคะ​ เพราะใส่ชุดสีเขียวสะพายปืนย๊าวยาว​ ทำหน้าถมึงทึงดุดัน​ แต่พออิฉันไปขอถ่ายรูปคู่​ ก็ยิ้มหวานเจี๊ยบบ​ มาถ่ายรูปคู่แบบไม่อิดออด​

อย่างนึงที่ยังสงกะสัยอยู่ว่าทำไมเมืองไทยถึงได้รับสมญานามว่าสยามเมืองยิ้มอยู่ที่เดียวหว่า​ เพราะที่อินเดียนี่อิฉันว่าสบตาใครก็ยิ้มหวานเจี๊ยบกลับมา​ ไม่ใช่แค่พวกพ่อค้าแม่ค้านะเออ​ พวกแขกอินเดียเค้าอัธยาศัยดีกันจริงๆ 






เข้ามาข้างใน จะมีรูปภาพ ชุดกษัตริย์ในสมัยก่อน 
สมัยนู้นใส่กระโปรงกันทุกคนเลย  เกร๋ดีจริงๆ 118







ตรงทางเข้าก็มีป้ายประวัติ ว่า Albert Hall Museum สร้างสมัยที่ Prince of Wales จะมาเยือนเมื่อปี 1876  แล้วก็เอาโน่นเอานี่มาใส่ไปเรื่อย ๆ 











มีพรมขนาดมหึมา แบบโคตรใหญ่ เป็นพรมผืนเบ้งสำหรับห้องโถงเก็บไว้ในตู้โชว์อย่างดี
  เมื่อนึกถึงขั้นตอนที่เค้าทำพรมทอมือกัน กว่าจะวางเส้นไหมไปทีละเส้นแล้วค่อย ๆ ตอกโป้ง ๆๆๆๆ  เพื่อให้มันแน่น พรมผืนนี้จะใช้เวลาทำกี่สิบปีน้อ











มีรูปวาดสมัยโบราณให้ศึกษาถึงวิถีชีวิตสมัยก่อน






มาสะดุดเอาที่รูปนี้ ดูน่าหวาดเสียวดีแท้ 







 

ด้านในมีสมบัติเยอะ​ ทั้งเสื้อผ้าเก่า​ ภาพเขียน​ เครื่องใช้​ ของแต่งตัว​ อาวุธต่างๆ​ โล่​ ของมหาราชา​ ซึ่งจะแบ่งเป็นห้องๆ​ ให้เดินยาว​ อิฉันชอบห้องอาวุธและโล่มาก​ เพราะมีหลากหลายไม่รู้ว่าจินตนาการสร้างสรรค์กันได้ขนาดนั้นได้ไง​ โล่วงกลมใหญ่เท่าตัวคนเป็นเครื่องเงิน​ และแกะสลักได้วิจิตรอลังการมาก

 






รูปปั้น










ชอบห้องนี้  เป็นพวกชุดเกราะ อาวุธต่าง ๆ โล่








อาวุธสมัยนู้นนหลากหลายช่างจินตนาการในการผลิตมาก















พวกลูกตุ้ม  เจอเหวี่ยงใส่นี่คงหัวระเบิด   123






ปืนก็มี




โล่ห์อันเท่าบ้าน  จะแบกกันยังไงหว่า











อาเฮียคิดถึงควีนสินะ





















ชุดแบบมีลายปักสวยมากกกกกก




ปักมือละเอียดดีแท้













โซนผ้าโพกหัว














เดินชิลล์ ฆ่าเวลาได้อย่างเต็มอิ่ม 2 ชั่วโมง

ออกมาเจอฝูงนก ออกแนวหลอนเลยทีเดียว















วันนี้ร้อนนนนน เดินเข้าเมืองไปแถวตลาด หาไอติมกิน








แล้วเดินเล่นต่อแถว ๆ ตึกตรงข้ามพระราชวังสายลม จะมีตรอกซอกซอยเล็ก ๆ ให้เดินเข้าไป จะเจอแต่ชาวบ้าน ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเดินเข้าไปซักเท่าไหร่ แต่น่าสนใจมาก 







อาคารโบราณเก่าแก่ไม่ค่อยได้บำรุงรักษา แต่มีภาพเขียนสีเฟรสโก้อยู่มากมาย


















เดินกันจนหมดแรง ก็นั่งตุ๊ก ๆ ไปกินมื้อเย็น พวกเรามาแวะที่ร้าน Peacock Rooftop ที่นี่อยู่บนดาดฟ้าของโรงแรม Pearl  ร้านนี้เป็นอะไรที่ห้ามพลาดนะคะ
อาหารดี ราคาไม่แพง เป็นร้านฮ็อตฮิตของนักท่องเที่ยวต่างชาติมาก

ตอนเรียกตุ๊กๆ ให้มาที่นี่ ถามว่ารู้จักมั้ย บังบอกรู้จัก อาหารดี๊ แต่ช่วงนี้เค้าปิดนาจานายจ๋า เค้าจะเปิดอีกทีดึก ๆ  แต่ถ้าหิวบังจะพาไปร้านอาหารที่ดีกว่า Peacock ดีไหม

หึหึ บังคิดว่าจะหลอกใครวะ  144  ตรูมาจากกรุงเทพนะเฟร้ย  มุกนี้แถววัดพระแก้วก็ใช้กัน

เลยบอกไม่เป็นไร จะไปโรงแรมเพิร์ลน่ะ ร้านอาหารเดี๋ยวค่อยออกมาหาก็ได้ ถ้าบังอยากรอรออยู่หน้าโรงแรมก็ได้ 117  ก็ไม่เห็นรอนี่นะ

เมนูอาหารมาเป็นหนังสือพิมพ์เลย








ร้านอาหารนี้ดีงามมมมดาวล้านดวง​
มื้อนี้กินกันสองคนสั่งม็อกเทล Spiced mango และ​ banana​ smoothi

อาหารเป็น​แกงกะหรี่ Kadai chicken​ กินกับแป้ง​ Nan และมีข้าวผัดไก่เสฉวน​ ข้าวผัดสุดอร่อยมาในไซส์สำหรับกิน​ 4​ คน

ของหวานเป็น​ Coconut​ roll กินกับไอติม​ อีโรลมะพร้าวนี่เหมือนเอามะพร้าวขูดมาปั้นเป็นก้อนเอาไปทอด​ แล้วราดด้วยน้ำผึ้งคาราเมลโรยงา​ หอมอร่อยสุดๆ​ อีกที่เป็นไอติม​ Kulfi เป็นไอติมสไตล์อินเดีย​ อร่อยล้ำเข้มข้นมาก​ 118

ทั้งหมดนี้กินไปในราคา​ 600​ กว่าบาท​  118

เครื่องดิ่มดันใส่เครื่องเทศด้วย 146












ของหวานพลาดไม่ได้ ไอติมแบบแขก ๆ Kulfi




อันนี้มันทอด กินกับไอติม เด็ดทีสุด 118























ปิดทริปนี้ด้วยอาหารดี๊ดี อิ่มหนำและปลาบปลื้มที่สุด 118

เรากลับโรงแรมไปแพ็คเป๋า อาบน้ำและนอนเลื้อยจนดึก คุณราชเสนอตัวมารับเราไปส่งที่สนามบิน และปฎิเสธไม่รับเงิน ซึ่งเราก็ยัดเยียดจับเงินยัดใส่กระเป๋าไปนั่นแหละ 

ซึ่งจริง ๆ แล้ว คุณราชนี่แกจะไม่นับเงิน ทุกวันเมื่อเราส่งแบงค์ค่าจ้างไกด์ให้ แกจะจับยัดใส่กระเป๋าเสื้อแล้วถามว่าต้องทอนเท่าไหร่  ถ้าบอกไม่ต้องทอน แกก็ไม่เคยหยิบเงินออกมาดู อาเฮียถามแกวันนึงว่าทำไมไม่นับ แกบอกแกเชื่อใจ คนไทยไม่เคยโกงแก  149  (อาเฮียเป็นอังกฤษนาจา 121)  และคุณราชยังบอกอีกว่าเวลาที่ใครนัดแกนำเที่ยว แกก็ไม่เคยให้วางมัดจำนะ เพราะใช้ระบบเชื่อใจ  122

จบทริปอินเดียครั้งแรกแบบอิ่มเอมและหลงรัก  ใครซักคนเคยบอกว่าจะไม่มีใครที่รู้สึกเฉย ๆ กับอินเดีย  ไม่รักไปเลยก็เกลียดไปเลย 

 

Fact ที่เจอกับ​ทริปอินเดีย​ ชัยปุระ​ only
#อินเดียของใครก็ไม่เหมือนกัน

1.​ คนขับรถบีบแตรกันสนั่นทุก​ 3​ วินาที​ ไกด์ว่าขับรถที่นี่ต้องการแค่​ 3​ อย่าง​ แตร​ เบรค​ และโชค​ 😥😥😥

2.​ ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถใช้ถนนร่วมกันได้​ รถ​ มอไซค์​ ซาเล้ง​ ​เกวียน​ วัว​ อูฐ​ แพะ​ ม้า​ หมา​ คนเดินถนนซึ่งอยู่ๆ​ อยากจะเดินบนถนนก็ลงไปเดิน​ และปัญหาทุกอย่างสามารถแก้ได้ด้วยแตร

3.​เลนถนนไม่จำเป็น​ เพราะรถจะวิ่งแบบไม่สนใจเลน​ มีรูตรงไหนจะแทรกไป

4.​ รถชนกันไม่ใช่เรื่องใหญ่​ รถที่อิฉันนั่งไปโดนชนตูดปุ๊งนึง​ เค้าลงไปยิ้มๆหัวเราะๆกันแล้วแยกย้าย

5.​ ค่าตุ๊กๆ​ วิ่งใน​ Jaipur​ ไม่เกิน​ 100-150​ รูปี​ ถึงจะวิ่งแม่ม​ 5​ กม.​ วิ่งไปครึ่งชั่วโมงก็แค่นั้นแหละ​ 45​ -​70​บาท

6.​ อินเดียอากาศเย็นสบายมาก​ 20​ องศาตอนกลางวัน​ 8​ องศาตอนกลางคืน​ ต้องเปิดฮีทเตอร์เลย

7. คนอินเดียจุดไฟผิงกันข้างถนนเป็นเรื่องปกติ

8. คนอินเดียน่ารัก​ เป็นมิตรมากๆๆๆๆๆๆๆๆ​ พูดจาอ่อนหวานดูผู้ดีสุดๆ

9.​ ไม่สกปรกเท่าที่คิด​ ขยะอ่ะมี​ ขอทานก็มี​ ขี้วัว​ ขี้อูฐก็มี​ แต่ไม่ได้เปะปะซกมกมากมายอย่างที่คิดไว้ก่อนมา

10.​ ร้านกาแฟน่ารักๆ​ ยังมีน้อยอยู่​ แต่ที่มีก็สวยงามน่ารักสุดๆ

11.​ ถึงจะขาดแคลนน้ำ​ แต่น้ำขวดที่นี่ราคาถูก​ เพราะรัฐบาลกำหนดราคาให้ขายตามขวด​ ตามร้านอาหารบวกเพิ่มนิดหน่อย​ แต่ตกขวดละ​ 10​ กว่าบาท

12.​ สัตว์เยอะจริงเยอะจัง​ วัว​ ม้า​ อูฐ​ นกยูง​ และเห็นเค้าว่าเสือดาวก็เยอะ

13.​ อินเดียในอดีตยิ่งใหญ่จริงๆ​ วัฒนธรรมอลังการ​ ศิลปะสวยงามมมมม

14.​ อินเดียถ่ายรูปสวยมาก​ กดคลิกไปตรงไหนก็ได้รูปสวยๆมาละ​ ทั้งสี​ ทั้งเรื่องราว

15.คนอินเดียชอบถ่ายรูปมาก​ เดินมาขอถ่ายเซลฟี่กับอิฉันจนรู้สึกตัวเองเป็นซุปเปอร์สตาร์ไปละ ว่าจะตั้งโต๊ะขายบัตรจับมืออยู่
 

อินเดียมาครั้งเดียวไม่พอจริงๆ​

อิฉันไปมาหลายประเทศ​ ทุกประเทศสวยงามน่าประทับใจ​ มี​ Wow moment​ เกือบทุกที่​ แต่ที่นี่เป็นที่แรกที่อิฉันสามารถเรียกได้เต็มปากว่า​ Incredible India​

ปลายปี 19 อิฉันและอาเฮียจึงตัดสินใจจะกลับมาอีก  118


*********************************************************


Session สุดท้าย รีวิว Flight Thai Smile นะคระ

เราบิน  Smile Plus กัน จำราคาไม่ได้แล้ว แต่น่าจะประมาณสองหมื่นต้น ๆ ซึ่งราคาก็ช่างแปลกประหลาด เพราะอิฉันมาจองสำหรับทริปปลายปี 19 ที่จะถึงนี่ ราคาตั๋ว Smile Plus โดดขึ้นไปเป็น 5 หมื่นกว่าบาท  125   ก็ว่ามันคงมีอะไรผิดไปแน่ ๆ เมื่อติดต่อไปทางออฟฟิศ เจ้าหน้าที่กลับมองว่ามันไม่ได้มีอะไรผิดปกตินี่นะ 141

สำหรับ ธค ปี 19 อิฉันเลยไปจอง Air Asia แทน 126  จริงๆ เหมือนมันมี Business Class ของแอร์อินเดียด้วย ในราคาสามหมื่นหน่อย ๆ ดูแล้วน่าสนใจมากแต่ต้องวิ่งกันขาขวิดตอนต่อเครื่องแค่ 1.25 ชม. และบินในประเทศก็กลายเป็น Eco.  ดังนั้นบินแอร์เอเชียน่าจะดีสุดแล้ว (ละมัง)

กลับมาดูรีวิว Smile Plus กันดีฝ่า อันนี้จากที่รีวิวค้างไว้ตอนบล็อกแรก 

V
V
V


จริง ๆ เค้าไม่เรียก Business class นี่เนอะ เค้าเรียก Smile Plus ราคาบวกขึ้นมาหน่อยนุง และที่นั่งเค้าว่านั่งสบายขึ้นนิดนุง (?) 
 
ซึ่งอิฉันก็ 50-50 นะว่ามันคุ้มกะราคาที่เพิ่มขึ้นมาจริง ๆ รึเปล่าฟระ  เพราะที่นั่งมันก็เท่ากะที่นั่ง Economy พนักเอนก็ไม่ได้เยอะ ไม่ได้มีอะไรพิเศษซักเท่าไหร่ แต่เนื่องจากมันเป็นแบบ 3 ที่ติดกัน เค้าก็บล็อกอีตัวกลางไม่ให้ใครนั่ง ทำให้เราสามารถนั่งอ้ายืดแขนขาได้สบายขึ้นมาหน่อย แต่มันจะคุ้มสุด  ๆ ถ้าที่นั่งโซน Smile Plus มันว่างแล้วคนนึงสามารถครองที่ว่างได้ 3 ตัว เพราะจะทำให้สามารถนอนยาวได้
 
และข้อดีอีกอันก็คือ สามารถใช้เล้าจน์ของการบินไทยได้ด้วย
 
นอกนั้นไม่มีอะไรพิเศษ เค้าบอกว่าตอนเช็คอินจะมีแถวพิเศษให้แต่ก็ไม่มี ตั๋วผ่าน ตม.แบบช่องพิเศษก็ไม่มี  Priority luggage ก็ไม่มี ดังนั้นอย่าไปคาดหวังว่ามันเป็นระดับ Business class   Smiley


อันนี้เป็นเล้าจน์ป้าม่วง






























ไปเครื่องนี้




ที่นั่งธรรมดาสามัญ เป็นที่นั่งเดียวกับ Eco แต่ legroom ดูยาวกว่าหน่อย และที่นั่งตรงกลางโดยบล็อกไว้ให้เป็นที่วางแขน



มีเวลคัมดริ๊งค์ด้วย






มันก้ำกึ่งระหว่าง  Business กับ Eco ยังไงชอบกล อาหารเสริฟมาแบบ Eco





ช่วงปีใหม่ละมั้ง เลยมีถุงผ้าให้ด้วย




ถ้าโชคดีไม่มีคนนั่ง เราจะนอนยาวได้เลย






จบทริปอินเดียละ อิฉันยังมีทริปดองอยู่บานตะเกียง ทั้งฮอกไกโด และบาหลี คราวหน้าเจอกันบล็อกฮอกไกโดละกันค่ะ

 




 

Create Date : 18 สิงหาคม 2562
0 comments
Last Update : 1 กันยายน 2562 18:47:15 น.
Counter : 1707 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


คนดีผีคุ้ม
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]




อิฉันทำรีวิวเพื่อที่จะเก็บบันทึกการเดินทางไว้เหมือนไดอารี่ เอาไว้มาดูอัลบั้มการท่องเที่ยวของตัวเองที่ผ่านมา ดังนั้น จึงมีรูปตัวเองและอาเฮียเยอะแยะ ไม่ได้เป็นรีวิวเพื่อแนะนำการท่องเที่ยวซักเท่าไหร่ แต่ถ้าใครผ่านไปผ่านมาและอาจได้ประโยชน์จากบล็อกบ้าง ก็นับเป็นโชคดีของอิฉันที่ยังอุตส่าห์มีอะไรมาแบ่งปันนะคะ
Friends' blogs
[Add คนดีผีคุ้ม's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.