5 ปีเพื่อ 1 วันนี้ ...คือความภาคภูมิ คือรอยยิ้มของคนที่รัก
ผ่านมาราวสองอาทิตย์ เพิ่งจะมีเวลาว่างมาอัพบล็อกอ่ะค่ะ ตั้งใจอยู่ว่าจะอัพเรื่องรับปริญญา วันสำคัญอีกวันของตัวเอง อย่าหาว่าเจ้าของบล็อกขี้โม้หรืออะไรเลยนะคะ ถือเสียว่าดีใจเลยเก็บเอาความดีใจมาแชร์เพื่อนๆ ดีกว่าค่ะ ^ ^
จากที่ได้พากเพียร ได้พยายามจนกระทั่งถึงวันแห่งความสำเร็จวันหนึ่ง อาจพูดไม่ได้เต็มปากว่ามันคือวันแห่งความสำเร็จของชีวิต หากแต่มันก็คือวันที่ใครต่อใครรอบข้าง รวมทั้งตัวเอง ปราบปลื้มยินดีมากๆ วันหนึ่ง วันนั้นก็คือ วันพระราชทานปริญญาบัตรของข้าพเจ้านั่นเอง
5 ปีที่ศึกษาเล่าเรียนในรั้วสถาบันแห่งนี้ มีทั้งสุขทุกข์ ทั้งเรื่องราวหลากหลายให้ต้องเผชิญ การเรียนที่แสนหนักหน่วงของคณะเภสัชศาสตร์ ซึ่งเป็นสาขาวิชาทางวิทยาศาสตร์สุขภาพสาขาหนึ่งที่ถ้าใครพอได้เข้ามาสัมผัสก็คงจะรู้ซึ้งกับความเหนื่อยเหน็ดกับคณะนี้ดี วิชาที่เรียนเยอะตัว ทั้งทฤษฏี ทั้งปฏิบัติ จำนวนปีที่เรียนก็เยอะกว่าหลายๆ คณะ ก็คิดดูสิว่า เพื่อนๆ สมัยมัธยมที่รู้จัก เรียนจบจนกระทั่งทำงานไปแล้วเป็นปี เราเพิ่งจะได้รับปริญญา แต่ท้ายที่สุด นั่นคือความสำเร็จที่เราได้รับจากความพยายามของตนเอง ไม่ใช่จากคนอื่นใดเลย
ต่อจากนี้ถึงเราจะไม่ใช่นักศึกษาในรั้วสถาบันแห่งนี้แล้ว หากแต่ความทรงจำดีๆ วันดีๆ ก็ยังคงถูกจดจำ จารึกอยู่ในสมองน้อยๆ พื้นที่ดีๆ แห่งนี้ก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่ให้ได้ถ่ายทอดความทรงจำดีๆ อันหนึ่งเช่นกัน
(โอ้พระเจ้าจอร์จ มันซึ้งมาก อิอิ)
...........
ก่อนหน้าวันนี้จริงๆ มีการซ้อมย่อยมาแล้วสองวัน วันแรกซ้อมที่คณะค่ะ เป็นการซ้อมเล็กๆ แต่ก็กินเวลานานเป็นวันเหมือนกัน วันนั้นไม่ได้เก็บภาพมาฝากกันนะคะ เนื่องจากว่าไม่ได้เตรียมกล้องถ่ายรูปไป ก็เอาเป็นว่าเอาเหตุการณ์มาเล่าสู่กันฟังนิดหน่อยล่ะกันค่ะ
วันที่ 25 ซึ่งเป็นวันแรก เจอกันแต่เพื่อนในคณะ พวกเราก็เลยเฮฮาปาร์ตี้ เม้าท์กันกระจายนิดหน่อย(แต่ก็เล่นเอาพวกอาจารย์ปราม) ก็แหม ไม่ได้เจอกันตั้งหลายเดือน เราก็ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันนานนิ๊ดนิค่ะ
ซ้อมเสร็จก็กลับบ้านค่ะ ด้วยว่าไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยเท่าไหร่ แต่ก็เล่นเอากลับไปเหนื่อยเป็นตาย สลบเหมือบแถมยังเจ็บเท้าระบม เป็นประสบการณ์ให้วันรุ่งขึ้นเตรียมรองเท้าแตะไปเปลี่ยนค่ะ (ใครที่เคยรับปริญญาแล้วย่อมรู้ดี รองเท้าคัตชูมันกัดซะระบมเลยเนอะ)
พอวันที่ 26 เป็นซ้อมย่อยอีกวัน วันนี้เราซ้อมโดยใส่ชุดครุยแล้ว และก็ไปซ้อมที่สถานที่จริงเพราะโชคดีที่ว่าคณะตัวเองเรียนที่วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ สถานที่รับก็คือศูนย์ศิลปวัฒนธรรมข้างวิทยาเขตเรานั่นเอง ซึ่งจะผิดจากพวกที่อยู่วิทยาเขตวังท่าพระที่กรุงเทพฯ เขายังซ้อมกันที่วิทยาเขตเขาอยู่ อ้อ.. ด้วยว่าอาจารย์สอนใส่ครุยเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อวาน มาวันนี้พวกเราจึงใส่ครุยมากันเรียบร้อยเสร็จสรรพก่อนเดินเท้าจากคณะไปซ้อมที่ศูนย์ศิลป์ฯ
วันนี้ก็ไม่มีรูปตามเคย เพราะไม่มีช่างกล้องส่วนตัวไปด้วย(น้องชายค่ะ ไม่ใช่ใครเลย อย่าคิดมาก) จะหารูปของตัวเองวันนี้คงต้องไปหาที่เพื่อนๆ แหละค่ะ แต่จนวันนี้ยังไม่ได้ไปขอจากเพื่อนเลยเศร้าจัง เฮ้อ..
เอาล่ะๆ เข้าเรื่องวันซ้อมใหญ่กันดีกว่า..
วันนี้เป็นวันซ้อมเสมือนจริง (อาจารย์เขาบอกว่ายังงี้อะ) พวกเราทุกคนทุกคณะที่รับจะต้องมาซ้อมกันที่ศูนย์ศิลป์ฯ ทั้งหมด ไม่เว้นกระทั่งพวกที่เรียนที่วังท่าพระและที่เพชรบุรี (อ้อ..ลืมบอกไปนิดว่า ตอนนี้ม.ศิลปากรมีทั้งหมดสามวิทยาเขต วันซ้อมย่อยที่ 26 วิทยาเขตเพชรบุรีก็มาซ้อมกับเราที่ศูนย์ศิลป์นะ)
มีการลงชื่อเข้าแถวเตรียมตัวอะไรเหมือนกันเปี๊ยบ ผิดก็แต่ว่ายังไม่ได้สติ๊กเท่าวันจริงนัก (เพราะพระเทพฯ ยังไม่เสด็จฯนิ)
แล้ววันนี้ก็เริ่มมีรูปมาฝากแล้วครับ แบบว่าพกพ่อแม่มาด้วย เพื่อมาให้ช่วยดูแลของให้โดยเฉพาะ (เป็นลูกที่ประเสริฐจริงๆ เลยเรา เหอๆ)
วันซ้อมใหญ่ แบ่งซ้อมเป็นสองช่วง คือรอบเช้ากับรอบบ่าย ก่อนเข้าหอประชุมตอนเก้าโมงเช้า มีเวลาถ่ายภาพกันนิดหน่อย ซึ่งมันค่อนข้างน้อย ระหว่างเข้าแถวเดินไปหอประชุม เราก็พยายามเก็บเกี่ยวช่วงเวลาอันน้อยนิดนี่แหละ ถ่ายกัน เข้าหอประชุมก็ยังพกกันเข้าไปได้ ตามทางเดินก็เลยพอให้ถ่ายเก็บกลับมาบ้าง
พักตอนกลางวัน 1 ชั่วโมง แทบจะไม่มีเวลาซื้ออะไรกิน เพราะคนเยอะ อาศัยอาหารจานด่วน มาม่าคัพมารองท้อง ก่อนจะเข้าหอประชุมอีกครั้งในตอนบ่าย ซ้อมอีกประมาณสองรอบก็เลิก ราวๆ 5 โมงเย็น ตอนนี้ทั้งหิวทั้งเหนื่อย แต่ยังไม่เลิกเก็บรูปจากเพื่อนๆ ที่เจอระหว่างทาง แล้วค่อยเดินไปถ่ายรูปกันต่ออีกเล็กน้อยกับครอบครัวในสนามจันทร์ ไปหาอะไรกินกันเล็กน้อยแล้วก็กลับบ้าน
เหนื่อยอีกวัน แต่ก็ยังยิ้มได้ อิอิ
พอวันจริงคราวนี้ เพื่อนๆ ญาติพี่น้องก็มากันเยอะ แต่เพราะมากันคนละที รอกันนาน เก็บตกรูปถ่ายได้บ้าง แต่ดันลืมไปถ่ายที่คณะ กลับไปตอนเย็นหลังเลิก ได้รูปไม่สวยซะแล้ว เศร้าเลย
วันรับพระราชทานปริญญาบัตร ปีนี้ของมหาวิทยาลัย ถือว่าเป็นปีแรกก็ว่าได้ที่มีพิธีค่อนข้างยิ่งใหญ่ เพราะมีเชื่อพระวงศ์จบการศึกษารุ่นเดียวกัน รับปริญญาพร้อมกัน นั่นก็คือ พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ พระธิดาของเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ฯ จึงทำให้มีเชื้อพระวงศ์เสด็จกันมากกว่าทุกปีก็คือ นอกจากพระเทพฯ ที่เป็นผู้พระราชทานปริญญาให้พวกเราแล้ว ฟ้าหญิงองค์เล็กก็เสด็จด้วยเช่นกัน แถมยังมีการประทานปริญญาดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักดิ์แก่ทั้งสองพระองค์ (หากใช้คำราชาศัพท์อะไรผิด จขบ. ก็กราบขออภัยเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่เข้ามาอ่านด้วยนะคะ แบบไม่ค่อยสันทัดเรื่องนี้นัก แค่อยากจะถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตให้ฟังเฉยๆ ค่ะ)
ก่อนเข้าหอประชุมก็ถ่ายรูปกันช่วงเช้าค่ะ วันนี้ถ่ายได้นานหน่อยเพราะเข้าหอประชุมตอน 11 โมง ทั้งเพื่อนๆ น้องรหัส รวมทั้งญาติพี่น้อง พยายามเก็บตกให้หมดเพราะบางคนต้องรีบกลับ จะไม่เจอกันอีกในตอนเย็น แต่อย่างที่บอก ดันลืมกลับไปถ่ายในคณะตัวเอง พอกลับไปอีกทีตอนเลิก ฟ้ามืดซะแล้ว ไม่มีแสง รูปถ่ายที่ได้มาก็แสนจะไม่สวย ไหนจะเพราะทั้งเหนื่อยทั้งล้า แต่ก็เอาน่า ได้มานิดหน่อยก็ยังดีกว่าไม่ได้นิเนอะ ถือว่าเก็บทุกอย่างไว้ในความทรงจำไปแล้ว
คราวนี้ก็ไปดูรูปกันดีกว่าค่ะ ^ ^
27/07/49 - วันซ้อมใหญ่
รูปนี้ถ่ายกับพ่อแม่ตอนเช้าวันซ้อมค่ะ รีบไปหน่อย รู้สึกว่าครุยที่ใส่มันดูลวกๆ ไปนิดยังไงไม่รู้แฮะ
อันนี้กับเพื่อนๆ ที่คณะค่ะ
ขอเดี่ยวสักหน่อย ก่อนเข้าหอประชุมอะ
ขออีกสักรูปล่ะกัน ^ ^
กับน้องชายสุดเลิฟ ผู้มาเป็นช่างกล้องให้
ซ้อมเสร็จตอนเย็น ทั้งเหนื่อยทั้งหิว ขอพักกินข้าวเอาแรง ก่อนไปถ่ายรูปกันในสนามจันทร์กันต่อ
เรือนอะไรสักอย่าง ไม่แน่ใจ แต่คิดว่าเป็นเรือนทับขวัญค่ะ อยู่ในพท.ของพระราชวังสนามจันทร์
ถ่ายกับอนุสาวรีย์ย่าเหลค่ะ กำลังจะถ่ายมีคนโทรมาหา (จำไม่ได้แล้วว่าใคร) เลยได้รูปแบบนี้มาแทน
กับครอบครัว คนที่มากันในวันซ้อมค่ะ
ปิดท้ายที่พระพิฆเณศร์ ใกล้ค่ำแล้ว แสงเริ่มหมด ก็เลยตัดสินใจว่าจะเลิกการถ่ายรูปของวันนี้แล้วล่ะ (แม้ว่าจะมีเก็บตกอีกสักนิดหน่อยก็ตาม)
29/07/49 - วันจริง
กับครอบครัวค่ะ พ่อแม่ น้องชาย น้องสาว ครบคนซะที ถ่ายที่ป้ายหน้ามหาวิทยาลัยเลย
น้องรหัสเกือบทุกชั้นปี เสียดายว่าขาดน้องปีสามไป
ขอเดี่ยววันจริงซะหน่อย
อีกสักรูปแล้วกันเนอะ
น้องชายและน้องสาวค่ะ
กับเพื่อนชาวถนนฯ รู้กันไหมเอ่ยว่าใครบ้าง
เพื่อนสมัยมัธยม
รูปนี้ไว้เผา เพื่อนสาวเรา ทำไรอยู่เอ่ย
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เผาคู่ดีกว่า
ส่งท้ายก่อนเข้าหอประชุมค่ะ
แล้วก็เพื่อสิ่งนี้ (ขออนุญาตปิดบังชื่อเสียงเรียงนามนะคะ ไม่ใช่ว่าไม่เพราะ(อ่ะนะ) แต่มันคงไม่ดีที่จะเปิดเผยอะเนอะ กลัวเจ้าหนี้ เหอๆ)
สุดท้ายก็คงต้องทิ้งท้ายไว้อีกนิดว่า ถึงแม้ว่าจะสำเร็จการศึกษาแต่ก็หาใช่ว่าตัวเองจะประสบความสำเร็จในชีวิต ยังไงซะชีวิตมันก็ยังต้องก้าว ก็ยังต้องดิ้นรนกันต่อ จุดนี้มันก็แค่การเริ่มต้นล่ะเนอะ ตอนนี้ยังถือว่าเราเป็นแค่เด็กทารกเพิ่งจะหัดเดินในการย่างก้าวสู่ชีวิตการทำงานเลย
สู้ๆ นะตัวเรา สู้ๆ นะเพื่อนๆ ทุกๆ คนด้วยค่า
Create Date : 13 สิงหาคม 2549 |
|
20 comments |
Last Update : 14 สิงหาคม 2549 2:21:59 น. |
Counter : 4325 Pageviews. |
|
|
|