กันยายน 2553

 
 
 
1
2
3
4
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
 
 
All Blog
นักเรียนตีกัน ลดอายุ ส่งพิจารณาคดีศาลผู้ใหญ่

"เด็กกระทำผิดอายุน้อยลง ใช้ความรุนแรงมากขึ้น เห็นควรแก้กฎหมายลดอายุให้ไปขึ้นศาลผู้ใหญ่ สถานการศึกษาถ้าแก้ไม่ได้ก็สั่งปิด!!!” เสียงให้สัมภาษณ์ของผู้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้อง

แสดงให้เห็นว่าปัจจุบันโดยเฉพาะคนที่มีอำนาจหน้าที่ ไม่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องจิตวิทยาพัฒนาการเด็ก เพราะเด็กและเยาวชนเมื่อ ๑๐๐ ปีที่แล้ว ในปัจจุบัน และอีก ๑๐๐ ปีข้างหน้า เด็กและเยาวชนไม่เคยเปลี่ยน แต่บริบทรอบๆตัวเด็กและเยาวชนเปลี่ยนแบบ ๓๖๐ องศา โดยเฉพาะตัวแบบที่เป็นเครื่องมือควบคุ้มสังคมที่อ่อนตัวจนสามารถสัมผัสได้ด้วยความรู้สึก เช่น สถาบันการศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี และสถานบันครอบครัวที่ก่อรูปแปลงร่างจากครอบครัวขยายเป็นครอบครัวเดี่ยว รวมไปถึงความหลั่งไหลทะลักของเทคโนโลยีและการสื่อสาร สิ่งมอบเมา

เด็กและเยาวชน ซึ่งเปรียบเสมือนฟองน้ำก้อนโตที่ไม่มีอะไรมาซึมซับไว้ก่อน เขาจึงแยกไม่ได้ว่าอะไรคือน้ำคลอง น้ำคลำ น้ำเด็ม หรือน้ำบริสุทธิ์ เขาจึงรับเต็ม ๆ

เมื่อผู้ใหญ่ใจร้ายไม่เข้าใจปฐมเหตุเสียแล้ว กระบวนการแก้ไขในท่ามกลาง และบั้นปลายจึงไม่มีทางถูกต้อง ทุกคนก็จะมุ่งมาที่ตัวเด็ก ด้วยการลดอายุการรับผิดทางกฏหมายบ้าง ปิดสถานการศึกษาบ้าง...แต่ไม่เคยกลับหันมาดูกระบวนการดูแลและพัฒนาเด็กและเยาวชนอย่างเป็นระบบอย่างจริงจัง

ในนานาอารยะประเทศ เช่น เกาหลี เขามีเข็มมุ่งในการพัฒนาเด็กของเขา ๕ ด้าน คือ รักชาติ ลูกกตัญญู ซื่อสัตย์ รักสิ่งแวดล้อม และยืนบนลำแข้งตนเอง ในขณะที่เยอรมันเข็มมุ่งในการสร้างเด็กของเขา คือ ระเบียบวินัย ตรงต่อเวลา ซื่อสัตย์ และประหยัด เป็นต้น ไม่ว่าจะเปลี่ยนกี่รัฐบาลเขาก็ไม่เปลี่ยน “เข็มมุ่ง” รัฐบาลทุก ๆ รัฐบาลมีหน้าที่ “กำกับทิศ” บ้านเรามีแต่ “คำขวัญวันเด็ก”

แล้วอย่างนี้ประเทศไทยจะก้าวไปทางไหน ? เพราะผู้มีหน้าที่หลงทาง




Create Date : 05 กันยายน 2553
Last Update : 5 กันยายน 2553 17:48:00 น.
Counter : 872 Pageviews.

11 comments
  
อยากจะให้เด็ดขาดไปเลยจริงๆ ไม่อยากให้เอาอายุมาอ้างอีกต่อไป เพราะถ้าเขายังเด็กกันจริงๆ เขาไม่กระทำการอุกอาจขนาดนี้หรอกค่ะ เด็กต้องไม่มีอาวุธไม่ใช่เหรอคะ พวกเขาก็โตๆกันแล้ว ไม่ใช่เด็กห้าขวบ ต้องรู้ว่าอะไรควรไม่ควร
หน้าที่เขาคือไปเรียน ไม่ใช่ไปฆ่าคน ไปประกาศศักดาว่าใหญ่ใครโต แต่นี่ตามล้างตามฆ่าอ้างว่าเป็นธรรมเนียมประเพณี(รวมถึงการรับน้องใหม่แบบรุนแรงเกินควรด้วย)แล้วสุดท้ายคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วยต้องตายทุกที เด็กเก้าขวบคนนั้นไม่ใช่เหยื่อบริสุทธิ์รายแรกนะคะที่ต้องมาตายเพราะนักเรียนนักเลงพวกนี้ มันมีทั้งน้องโจ๊ก(เด็กมธ.เมื่อหลายปีก่อนที่โดนลูกหลงตายไปแล้วเหมือนกัน)และอีกไม่รู้กี่ราย
อยากให้หยุดจบสิ้นกันสักที ให้ปิดสถาบันไปเลยค่ะ ในเมื่อให้โอกาสกันมาแล้วหลายหน ก็ยังไม่ดีขึ้น ก็ต้องลงโทษกันจริงๆแล้ว ถ้ายังจะอ้างว่ายังมีเด็กดีๆของสถาบันนั้นอยู่อีกเยอะ ก็ให้เขาโอนหน่วยกิตไปเรียนอย่างอื่นเหอะ เพราะไม่งั้นก็ต้องมาโดนหางเลขไปด้วยอีกอยู่ดี

หรือเป็นไปได้มั้ยคะ ให้พวกเขาเรียนกันโดยไม่ต้องใส่เครื่องแบบสถาบัน ถ้ามีแล้วมันทำให้เป็นศัตรูกัน ฆ่ากัน ก็ไม่ต้องรู้หรอกว่าใครเป็นใครเรียนที่ไหน ให้ทำเหมือนนักศึกษาที่ต่างประเทศน่ะค่ะ น่าจะแก้ปัญหาได้บ้างสักนิดก็ยังดี
โดย: Tukta21 วันที่: 5 กันยายน 2553 เวลา:21:21:59 น.
  
นี่ก็คือปัญหาของรัฐบาลที่จะต้องจัดการแต่ก็ดูเหมือนว่ารัฐบาลแต่ละยุคแต่ละสมัยมัวไปพัฒนากับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องค่ะและไม่มีกฏระเบียบ ถึงแม้จะมีกฏหมายใช้บังคับแต่ก็ยังคงมีคนส่วนหนึ่งที่เหนือกฏหมาย

น่าเศร้าค่ะที่สังคมของไทยได้เริ่มตามวิวัฒนาการของเทคโนโลยี่ของโลกได้ทันอย่างรวดเร็วแต่ความคิดและปัญญายังตามประเทศผู้ผลิตเทคโนโลยี่ยังไม่ทันค่ะ ส่วนหนึ่งที่สำคัญที่สุดก็คือครอบครัวซึ่งจะต้องมีส่วนช่วยด้วย เคยได้ยินคำตอบประเภทที่ว่าไม่มีเวลาซึ่งคำว่าเวลานี่รู้สึกจะขาดแคลนกับคนแทบจะทุกคนในโลกนี้ แต่เวลาที่ตั้งหน้าตั้งตาทำลูกกันทุกคนมีให้ค่ะ

น่าจะมีการทำสารคดีที่ติดตามเด็กกลุ่มนี้ไปจนถึงอีก 10 ปีข้างหน้าจนเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่และมีความคิดที่ดีขึ้นและให้โอกาสพวกเขาได้ไปบรรยายให้กับเด็กรุ่นน้องในสถาบันเดียวกันให้รู้ถึงความรับผิดชอบในสังคมเพราะผู้ใหญ่ที่เคยมีสภาพเช่นนี้มาก่อนจะต้องเข้าใจถึงความคิดและความรู้สึกของเด็กรุ่นนี้ได้ดีเช่นกันเพราะตัวเองเคยผ่านมาก่อน
โดย: Mellitus วันที่: 5 กันยายน 2553 เวลา:22:01:21 น.
  
เราว่าเรื่องนี้แก้ยาก เพราะฝังลึกเข้าในสังคมซะแล้ว
สมัยเราเรียนมัธยมปลายเพื่อนผู้ชายเราก็มีเรื่องแบบนี้ ตีกับโรงเรียนอื่น แต่ไม่รุนแรงขนาดนี้ ลดอายุก็เป็นเรื่องการลงโทษ แต่คิดว่าไม่สามารถแก้ปัญหาได้หรอก
น้องชายเคยเรียนที่ปทุมวัน สมัยนั้นก็มีเรื่องอุเทนถวาย
แต่น้องชายเราไม่เกเร แต่ก็กลัวเหมือนกัน เค้าเล่าว่าจะมีรุ่นพี่ที่คอยยุและให้รักสถาบัน เรายังคิดเลยว่าถ้าน้องเราต้องเป็นอะไรไปในเรื่องนี้ เราคงไม่ยอม แต่โชคดี ผ่านมาได้ มันต้องเป็นเรื่องที่เอาจริงจังแล้ว ไม่งั้นเมืองไทยจะแย่กว่านี้เพราะอนาคตของชาติเป็นอย่างนี้
น่าเศร้าจริง ๆ
โดย: magic-women วันที่: 5 กันยายน 2553 เวลา:22:51:04 น.
  
สังคม และสิ่งแวดล้อมคงปรับเปลี่ยน และพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เห็นด้วยครับว่าพัฒนาการของเด็กและเยาวชนยังเป็นไปตามขั้นตอนของเขา การเกิดขึ้น คงอยู่ของครอบครัวก็ยังมีรูปแบบเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง เพียงปัจจัยแวดล้อมภายนอกที่มีอิทธิพลค่อนข้างมากและแรงเข้ามากระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางความคิด ความเชื่อ ค่านิยม และทำให้กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่แตกต่างไปจากเดิม สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือความรัก ความผูกพันที่พ่อแม่ และผู้ปกครองมีต่อลูก ที่พยายามทำดีที่สุดทุกอย่างเพื่อให้ลูกหลานได้มีโอกาส มีพื้นที่ และมีตัวตนในสังคม ผมว่าเราควรหันกลับมามองความสัมพันธ์ภายในครอบครัว ต้องเสริมให้เข้มแข็ง ต้องให้เครื่องไม้เครื่องมือพ่อแม่ ผู้ปกครองในการเลี้ยงดูลูก ในยุคโลกภิวัฒน์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
โดย: James IP: 210.246.159.242 วันที่: 6 กันยายน 2553 เวลา:9:14:04 น.
  
สงสัยครับว่าทำไมเราไม่เอาเด็กเหล่านั้นไปทำงานบริการสังคม
เด็กที่มีปัญหาน่าจะได้เห็นสภาพเด็กกำพร้า เด็กที่ถูกทอดทิ้ง โดยเฉพาะเด็กพิการแล้วยังถูกทอดทิ้งเช่นที่บ้านเฟื้องฟ้า ให้พวกเขาช่วยดูแล สิ่งที่ได้พบได้เจอได้เห็นและได้สัมผัส
น่าจะช่วยกล่อมเกลาจิตใจพวกเขาให้ดีขึ้น
โดย: สิงห์นอกระบบ IP: 124.122.255.27 วันที่: 6 กันยายน 2553 เวลา:13:47:04 น.
  
ที่ประเทศเกาหลีใต้ เขามีวิธีในการดูแลเด็กตั้งแต่วัยประถมศึกษา ถ้ามีเด็กทะเลาะกันเขาจะจับเด็กเหล่านั้นมาทำแบบวัดพฤติกรรม ถ้าเด็กที่ผ่านแบบวัดแล้วจะทราบผลทันทีโปรกแรมนี้ถูกพัฒนาโดยบริษัท Samsung หากพบว่าเด็กมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนไปในทางที่ชอบพฤติกรรมรุนแรง Conductdisoder เขาจะมีคำสั่งให้ผู้ปกครองพาเด็กเข้ารับการบำบัดในคลินิกดนตรีบำบัดมีระยะเวลาตั้งแต่ 6 เดือนถึง 2 ปี โดยใช้เวลาครั้งละ 30 นาทีสัปหาห์ละ 1 ครั้ง หรือจนกว่าเด็กจะผ่านแบบวัดว่าปกติ ซึ้งจะมีหนังสือรับรองจากคลินิกดนตรีบำบัด และการบำบัดแบบนี้ใช้วิธีดนตรีบำบัดของ Nordoff-Robins Music Therapy การเผ้าระวังแบบนี้เขาให้ความสำคัญตั้งแต่เด็กยังไม่โต เมื่อเด็กผ่านวัยที่แย่ๆ ผ่านไปได้เขาก็จะผ่านพ้นวัยอันตรายไปได้ หลังจากนั้นเขาก็สามารถพัฒนาต่อไปได้ครับ
โดย: chanya nakorn IP: 118.173.45.82 วันที่: 6 กันยายน 2553 เวลา:19:01:22 น.
  
ทำไมไม่ให้การเรียนที่ยากขึ้นล่ะ ชินวรณ์ มันบ้า
โดย: นพพล IP: 125.25.70.254 วันที่: 12 กันยายน 2553 เวลา:0:51:28 น.
  
สำหรับโทษหนัก ส่งไปชายแดนใต้เลยค่ะ
โดย: Momy-Peachy วันที่: 15 กันยายน 2553 เวลา:15:46:00 น.
  
แวะมาเยี่ยมชม ขอบคุณค่ะ.X41 Turtle Beach
โดย: kingkong0749 วันที่: 18 ตุลาคม 2554 เวลา:15:49:26 น.
  
จากใจแม่เด็กช่าง ฉันเป็นคนหนึ่งอยากให้ลูกเป็นคนดี มีความหวังว่าอนาคตจะมีลูกไว้คอยเลี้ยงดูยามแก่เฒ่า ฉันเข้าใจว่าสังคมไทยในปัจจุบันนี้เห็นคุณค่าของเด็กช่างน้อยลงทุกที เนื่องจากพวกเขาทำตัวไม่ดีเอง จะ 3 ปีแล้วที่ฉันให้ลูกเรียนช่างยนต์ ทุกวันแค่กลับถึงบ้านแล้วเห็นรองเท้าลูกวางอยู่หน้าบ้านก็ดีใจว่าลูกถึงบ้านแล้ว วันไหนที่มีโทรศัพท์ดังขึ้นตอนเช้าเมื่อไหร่ แค่ยังไม่รู้ว่าใครโทรมาก็ใจไม่ดีแล้ว เหตุผลที่ฉันให้ลูกเรียนช่าง เนื่องจากลูกอยากเรียน ลูกบอกว่าเขาเรียนสายสามัญไม่ไว้ ฉันอยู่กับลูกตลอดข้อนี้ฉันยอมรับว่าเป็นความจริง ที่ไม่มีข้อโต้แย้ง ข้อที่ 2 ฉันเคยให้สัญญากับลูกว่าไม่ว่าอยากเรียนอะไรก็จะให้เรียน ขอแค่ให้เรียนก็พอ เพราะฉันบอกลูกว่าสังคมสมัยนี้ไม่สนใจหรอกว่าเขาสนใจแค่กระดาษใบเดียว ตราบใดที่เราไม่มีเงินสร้างธุรกิจเองเราจึงใช้ประสบการณ์ทำงานไม่ได้ ฉันยอมรับว่าฉันมีทุนชีวิตให้ลูกต่ำ แต่ฉันมีความรักให้ลูกสูง ผิดหรือเปล่าที่มีลูกเป็นเด็กช่าง
โดย: นางมาร IP: 124.120.22.123 วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:8:56:34 น.
  
จากใจแม่เด็กช่าง ฉันเคยถามตัวเองว่าคิดถูกไหมที่ให้ลูกเป็นเด็กช่าง ฉันอายุจะ 40 ปีแล้วยังตอบตัวเองไม่ได้เลย แล้วจะเอาอะไรกับวัยรุ่นที่ทุกคนถามว่าตีกันทำไม ฉันเคยถามลูกว่าตีกันทำไม ลูกบอกว่าไม่ได้อยากตีกันเพราะพวกเขาก็กลัวตายเหมือนกัน ก็เพราะว่ากลัวตายเลยต้องไปเรียนกันเป็นกลุ่ม แต่ลุกชายก็บอกว่าแต่จะอยู่เฉยๆ รอให้เขาวิ่งมาทำร้ายมันก็ไม่ได้ จะเรียกว่าศักดิ์ศรีก็คงไม่ใช่ทั้งหมด อาจเป็นเพราะรักเพื่อน รักพี่ รักน้องกันมากกว่า ลุกชายฉันบอกว่าถ้ามีเรื่องสิ่งที่พวกเขาทำสิ่งแรกคือ การวิ่งลงจากรถโดยสาร เพราะว่ากลัวคนบนรถที่ไม่รู้เรื่องจะเจ็บไปด้วย ฉันรู้ว่าสังคมมองคุณค่าของเด็กช่างต่ำ แต่ทุกคนก็ยอมรับไม่ใช่หรือว่าสังคมยังต้องการแรงงานจากเด็กช่างสูง ทำไมไม่พยามยามเห็นคุณค่าเขาให้มาก ตอนนี้เหมือนสังคมยิ่งต่อต้านก็เหมือนยิ่งยุให้พวกเขาตีกันมากขึ้น พวกคุณไม่เคยเป็นวัยรุ่นหรือ ในช่วงอายุของคนเราแบ่งออกเป็นตามช่วงอายุ คือ ทารก เด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ แก่ ทำไมเขาต้องแบ่งก็เพราะว่าแต่ละช่วงอายุจะมีวุฒิภาวะ หรืออารมณ์ การตัดสินใจ แนวความคิดแตกต่างกัน ฉันไม่เถียงว่าวัยรุ่นบางคนยังทำดีได้เลย แต่คุณเถียงหรือเปล่าว่าผู้ใหญ่บางคนยังทำเลวได้เลย การศึกษาสูงก็ทำเลวได้ การศึกษาต่ำก็ทำดีได้ ฉันแค่ขอให้ทุกหน่วยงานช่วยกันแก่ปัญหาที่ตนเหตุ ฉันเป็นคนหนึ่งที่จะไม่ทิ้งลูก เพราะลูกเป็นเด็กช่าง และฉันคิดว่าพ่อแม่ของเด็กช่างทุกคนก็คิดแบบนี้ พร้อมที่จะรับผลของการกระทำของลูก
โดย: นางมาร IP: 124.120.22.123 วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:9:19:08 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คนทำงานด้านเด็ก
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]



รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เกิด 17 ก.พ.2502 จังหวัดชัยนาท เป็นบุตร นายสุเทพ-นางชิ้น ไทยเขียว
จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 โรเรียนวัดโพธิ์ทอง ต.บางขุด อ.สรรคบุรี แล้วมาเรียนมัธยมที่โรงเรียนคุรุประชาสรรค์ อ.สรรคบุรี จนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
"ตอนเรียนมัธยม เป็นช่วงปี 2515-2517 ผมต้องขี่จักรยานไปกลับวันละ 18 ก.ม. ลำบากมากโดยเฉพาะในหน้าฝน ผมเป็นคนที่ไม่ตั้งใจเรียน แต่ไม่เกเร พอผมเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 อยากทำนาเหมือนคุณพ่อคุณแม่ แต่ธรรมชาติช่วย จังหวะที่ผมเรียนจบ เกิดน้ำท่วมใหญ่ รวมถึงที่นา ผมต้องลงไปช่วยคุณพ่อ คุณแม่ยกฟ้อนข้าวขึ้นที่สูง เหนื่อยมาก รู้สึกลำบาก ไม่อยากทำนาอีกแล้ว เริ่มอยากเรียนหนังสือต่อ"
ผมจึงตัดสินใจเดินทางเข้ากรุงเทพฯ พักอยู่กับญาติที่กองรักษาการณ์ทำเนียบรัฐบาล ตัวเลือดตามล่องกระดานกัดติดหลังเป็นแถวเลยอยู่ไม่ได้ น้าชายไปฝากอยู่กับแฟนของเพื่อนตำรวจเป็นหมอนวดแถวถนนเพชรบุรีอยู่อีก 1 สัปดาห์ ต่อมาจึงได้หาที่พักถาวรได้ที่วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ขณะนั้นมีน้าชายชื่อ นายวิชิต เรียนทัพ อดีตนายก อบต.บางขุด พักอาศัยอยู่ก่อน
"ผมสอบเข้าศึกษาต่ออะไรก็ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นจ่าอากาศ ช่างฝีมือทหาร เตรียมทหาร หรือแม้แต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคค่ำ ซึ่งเป็นผลมาจากการไม่ตั้งใจเรียน มาเรียนต่อได้เพราะวิทยาลัยครูเพชรบุรีวิทยาลงกรณ์ กิ่งเพชร ราชเทวี เปิดรับนักศึกษาภาคค่ำ ในขณะที่สถาบันการศึกษาอื่นๆ ได้เปิดเรียนไปแล้วเกือบหนึ่งเทอมแล้ว จึงมีที่เรียน"
"ช่วงที่อยู่วัดเห็นพระเณรนั่งดูหนังสือ ไม่นอน ผมจึงไม่นอน ผลการเรียนจึงเริ่มดีขึ้น โดยกลางวันทำงาน กลางคืนเรียน ไม่อยากใช้เงินคุณพ่อคุณแม่ เพราะรู้ว่าท่านลำบาก กระทั่งเรียนจบอนุปริญญา หรือปกศ.สูง เอกสังคมศึกษา ในระดับปริญญาไม่มีที่เรียนกลางคืน ต้องเรียนกลางวัน จึงไม่ได้ทำงานจนจบการศึกษาบัณฑิตหรือ กศ.บ. เอกสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตพลศึกษา"
"ช่วงนั้น ผมขอหลวงพ่อคุมศาลาเผาศพ และรับอาราธนาศีล บริการน้ำ-อาหาร รับจ้างจุดธูปเพื่อหาเงินเรียนจนจบปริญญาตรี สอบเข้าศึกษาต่อปริญญาโทได้ขณะที่เรียนเทอมสุดท้ายของปริญญาตรี จบปริญญาโท สังคมศาสตรมหาบัณฑิต (สค.ม.) อาชญาวิทยาและกระบวนการยุติธรรม มหาวิทยาลัยมหิดล รุ่นที่ 4 ทำงานภาคเอกชนอยู่ 4 ปี จึงเข้ารับราชการเมื่อวันที่ 1 ก.ค.2529 โดยเป็นพนักงานคุมประพฤติ 3 จังหวัดชลบุรี"
ต.ค. 2541 เติบโตมาเป็นเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป 7 จ่าศาลจังหวัดปากพนัง รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานโครงการพัฒนาระบบงานศาล, 16 ก.พ. 2542 เป็นจ่าศาลจังหวัดอำนาจเจริญ, 18 มี.ค. 2542 ผู้อำนวยการกองนโยบายและแผน กระทรวงยุติธรรม คณะกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการพิจารณาจัดระเบียบกระทรวงยุติธรรม, 4 มิย. 2544 ได้รับเลือกตั้งเป็น อกพ. สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม, 8 มิย.2544 รักษาราชการแทน ผู้อำนวยการศูนย์บริการข้อมูลตุลาการ สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม, 15 ต.ค. 2544 ช่วยทำงานในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงาน โครงการส่งเสริมประสิทธิภาพสถานพินิจ สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม, 7 พ.ย. 2544 คณะกรรมการบริหารแผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 9 พ.ศ.2545-2549, 12 มีค.2545 กรรมการและเลขานุการการเตรียมความพร้อมในการจัดทำโครงสร้างกระทรวงยุติธรรมตามมติคณะรัฐมนตรี, 3 ต.ค.2545 รักษาราชการแทนรองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
ขึ้นเป็นผู้บริหารระดับ 9 ในตำแหน่ง รองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เมื่อ 25 เมย.2546
ย้ายไปเป็นรองอธิบดีกรมคุมประพฤติ 1 ปี 8 เดือน ก่อนจะได้รับคำสั่งให้กลับมาทำงานในตำแหน่งรองอธิบดีพินิจและคุ้ม ครองเด็กและเยาวชนอีกครั้งและได้ขึ้นเป็นอธิบดีในที่สุด
ผลงานดีเด่นที่เป็นที่ยอมรับ คือ จัดทำมาตรฐานกลางการปฏิบัติงานธุรการศาล และนำวิธีการบริหารงานคุณภาพทั่วทั้งองค์กร (Total Quality Management/ TQM) จนศาลจังหวัดนครราชสีมาได้รับ การประกาศรับรองด้านบริการ ISO 9000
การปฏิรูปกระทรวงยุติธรรม ในฐานะเป็นคณะกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการพิจารณาจัดระเบียบกระทรวงยุติธรรม ตามมติคณะรัฐมนตรี จนสามารถรวบรวมหน่วยงานต่างๆ ในกระบวนการยุติธรรมเข้ามาอยู่ร่วมกันในปัจจุบัน
ได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณด้านการบำบัด ฟื้นฟู และพัฒนาผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2550 และได้รับเลือกเป็นข้าราชการพลเรือนดีเด่น พ.ศ.2544 เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของสภาลูกเสือแห่งชาติ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 9 สค.2550
"ทุกอย่างที่ทําให้เรามาถึงวันนี้ ได้กรรมเป็นตัวกํากับทั้งหมด และอะไรที่เราเคยเสีย ใจแบบสุดๆ หรือว่าเศร้าใจอย่างสุดๆ ความรู้สึกนั้นมันไม่เคยเสถียรเลย มันลดลงมาหมด
วันนี้ดีใจที่ได้เป็นอธิบดี อาจจะดีใจจน ตัวลอย แต่ว่าไม่เท่าไหร่ก็ลดลง เพราะฉะนั้นถ้าเราเข้าใจเท่าทันโลก เข้าใจเรื่องกฎของไตรลักษณ์ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป มียศเสื่อมยศ มีลาภเสื่อมลาภ เพราะฉะนั้นอย่าไปยึดติด ที่สําคัญที่สุด คือเรามีหน้าที่ หน้าที่นั้นต้องทําให้ดีที่สุดในการที่จะมองไปที่ประชาชนและเด็กๆ
ผมเชื่อว่าผมอาจจะมีกรรมดีที่ได้มีหน้าที่การงานที่ดี แต่ส่วนหนึ่งผมว่า ผมก็อาจจะเคยทํากรรมอะไรไว้บางอย่างกับเด็กๆ ผมถึงต้องชดใช้อะไรมากมายถึงขนาดนี้ รู้สึกว่าต้องเป็นทุกข์เป็นร้อน เห็นอะไรไม่สบายใจต้องเข้าไปจัดการ ฉะนั้นเมื่อเป็นอย่างนี้ เราก็อยากเห็นสังคมมีคุณธรรม มีจริยธรรม เพราะทุกวันนี้เรื่องเหล่านี้มันตกต่ำไปมาก"
สมรสกับเบญจพร ไทยเขียว ซึ่งรับราชการครู มีบุตรชาย 2 คน นายชัชชล ไทยเขียว อายุ 25 ปี จบศึกษาด้านภาษาและวัฒนธรรม และศึกษาดนตรีและทำเครื่องดนิตรีกู่ฉินไปด้วยที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ประกอบอาชีพส่วนตัวสอนคนตรีกู่ฉิน และจำหน่ายเครื่องคนตรีจีนคุณภาพจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน อาจารย์พิเศษ
และนายยิ่งคุณ ไทยเขียว อายุ 23 ปี จบศึกษาคณะวิศวศาสตร์คอมพิวเตอร์ สถาบันเทคโนโลยีไทยญี่ปุ่น ปัจจุบันกำลังศึกษา MBA มหาวิทยาลัยหอการค้า