Group Blog
 
<<
เมษายน 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
11 เมษายน 2550
 
All Blogs
 
ธรรมบรรยาย "ชีวิตติดเบรก" โดย พระไพศาล วิสาโล

ชีวิตติดเบรก
พระไพศาล วิสาโล
บรรยายวันที่ 15 สิงหาคม 2547

เราสวดมนต์ทุกเช้าก็เพื่อให้ระลึกไว้เสมอว่า เราทุกคนเป็นผู้ที่ถูกความทุกข์หยั่งเอาไว้แล้ว เป็นผู้ที่มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้า แล้วทันทีที่เราเกิดมาทุกข์ก็ปรากฏและรอคอยเราตลอดเวลา แต่ว่าเราไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะเป็นทุกข์อย่างเดียว เรายังสามารถที่จะพ้นทุกข์ได้ด้วย พระพุทธองค์ได้ทรงชี้เส้นทางดับทุกข์แก่เรา วิถีพุทธคือวิถีแห่งการดับทุกข์ ไม่ใช่เรื่องของประเพณี ไม่ใช่เรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ แต่ว่าคือการดับทุกข์ ทางสายนี้เรียกว่าทางดับทุกข์

แต่ว่าทางดับทุกข์เส้นนี้แปลก เพราะเส้นทางส่วนใหญ่หรือว่าทั้งหมดนั้น มีไว้สำหรับเดินสำหรับวิ่ง ถ้าเดินช้าก็ขับรถไป แต่ว่าทางดับทุกข์เส้นนี้ไม่ได้มีไว้ให้วิ่งแต่มีไว้ให้หยุด ไม่เหมือนกับเส้นทางทั่วไป เพราะมีไว้ให้หยุดถ้าหยุดเป็น ถ้ารู้จักหยุดก็ดับทุกข์ได้ เมื่อพระพุทธองค์เสด็จไปโปรดองคุลิมาล เราคงรู้จักองคุลิมาลนะ องคุลิมาลเป็นคนที่ตามล่าฆ่าคนและเก็บสะสมนิ้วของคนที่ตัวเองฆ่าเอาไว้ เขาฆ่าคนแล้วคนเล่าเพราะเชื่ออาจารย์ที่หลอกเขาว่า ถ้าสะสมนิ้วมนุษย์ได้ 1,000 นิ้ว จะสอนวิชาสำคัญให้ องคุลิมาลสะสมได้ 999 นิ้ว ขาดอีก 1 นิ้ว ซึ่งก็พอดีกับที่แม่ขององคุลิมาลออกตามหาเขา ตอนนั้นองคุลิมาลคุ้มคลั่งไม่รู้ใครเป็นใครแล้ว พระพุทธเจ้าทรงเกรงว่าองคุลิมาลจะฆ่าแม่ของตน ซึ่งจะเป็นอนันตริยกรรมหรือกรรมหนัก พระองค์จึงเสด็จไปโปรดองคุลิมาล องคุลิมาลเมื่อเห็นพระองค์ก็วิ่งไล่ตามพระองค์พร้อมกับตะโกนว่า “หยุด” พระองค์ก็เสด็จขึ้นหน้าไปเรื่อย เดินช้าๆแต่ว่าองคุลิมาลตามไม่ทัน องคุลิมาลก็บอกว่า “สมณะหยุดๆ” แต่พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า “เราหยุดแล้ว แต่ท่านซิยังไม่หยุด” พระพุทธองค์หยุดแล้ว แต่ท่านสิยังไม่หยุด ท่านนี่ใคร ไม่ใช่แต่องคุลิมาลคนเดียวนะ ท่านนี่หมายถึงคนทั้งหลายในโลกนี้ด้วยที่ยังไม่หยุด วิ่งในสังสารวัฏ วิ่งไม่หยุดวนไปเวียนมาในสังสารวัฏนี่แหละ



เราแต่ละคนที่จริงก็ไม่ต่างจากองคุลิมาลนะ องคุลิมาลเขาสะสมนิ้ว คนส่วนใหญ่ในโลกก็สะสมเหมือนกัน แต่ว่าไม่ใช่นิ้ว อาจจะสะสมเงินทอง ไล่ล่าหาสมบัติ มีรถคันเดียวไม่พอ สองคันก็ไม่พอ สามคันก็ไม่พอ บางคนมีรถหลายสิบคันราคาคันละหลายล้าน ที่ไม่มีปัญญาสะสมรถก็สะสมอย่างอื่นแทน อย่างน้อยๆก็สะสมเงินสะสมทอง บางทีก็สะสมชื่อเสียง แต่ไม่พอสักที เช่น เศรษฐีร่ำรวยมีเงินสิบล้าน แต่สิบล้านไม่พอขอสะสมอีก จนกระทั่งได้มาเป็นหมื่นล้านก็ยังรู้สึกว่าไม่พอไม่มีความหมาย มีบางคนรู้สึกทนไม่ได้กับความคิดที่ว่าตนเองเป็นแค่เศรษฐีหมื่นล้านธรรมดาคนหนึ่ง ก็เลยอยากได้อีก แต่คราวนี้ไม่อยากได้เงินแล้ว อยากได้ชื่อเสียงเกียรติยศ อยากเป็นรัฐมนตรี อยากได้อำนาจ อยากมีคนมาห้อมล้อมสรรเสริญ แห่แหน นี่ก็สะสมเหมือนกัน สะสมกันไม่มีที่สิ้นสุด

เมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า “เราหยุดแล้ว แต่ท่านสิยังไม่หยุด” อันนี้ก็ขอให้เราได้ระลึกว่า พระองค์ไม่ได้ตรัสกับองคุลิมาลคนเดียวเท่านั้น แต่ตรัสกับผู้คนทั้งหลาย การหยุดนั้น ถ้าหยุดให้เป็นหยุดให้ถูกก็จะช่วยให้เราพ้นทุกข์หายเร่าร้อนได้ ไม่มีวิธีอื่น คนส่วนใหญ่ในโลกนี้เหมือนกับคนที่อยากจะวิ่งหนีเงาในตอนสายๆ มีคนหนึ่งรู้สึกรำคาญเงาของตัวเองอยากจะวิ่งหนีเงา อยู่ในที่โล่งแดดร้อนเปรี้ยง เขาวิ่งหนีเงา วิ่งแล้ววิ่งเล่าเงาก็ไม่หาย วิ่งตั้งแต่เช้าสายจนถึงบ่ายเงายังตามตัวอยู่เรื่อยๆ วิ่งเร็วเท่าไรเงาก็ตามเร็วเท่านั้น วิ่งช้าเงาก็ตามช้า วิ่งเร็วเงาก็ตามเร็ว เขาวิ่งจนเหนื่อย แต่ยังคงวิ่งต่อไป วิ่งๆจนหมดแรงโดยไม่ได้เฉลียวใจเลยว่า ถ้าหากจะหนีเงานี้มันง่ายนิดเดียว ก็คือมานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ หยุดวิ่งแล้วมานั่งสงบอยู่ใต้ต้นไม้ แค่นั้นเงาก็หาย ไม่ได้ยากลำบากอะไรเลย



เราเองก็กำลังวิ่งเหมือนกัน วิ่งหนีความทุกข์ แล้วคิดว่าต้องไปข้างหน้าๆจึงจะหนีเงาได้ ข้างหน้าคืออะไร ข้างหน้าคือความก้าวหน้า คือต้องมีเงินให้มากๆ ต้องเลื่อนตำแหน่ง ต้องมีบ้านหลังใหญ่ขึ้น ต้องมีเพชรนิลจินดามากขึ้น นี่เรียกว่าความก้าวหน้าของโลกสมัยนี้ ถ้าเช่นนั้นต้องวิ่งเดี๋ยวนี้ ส่งเสริมให้มีการกู้ยืมกัน รัฐบาลบอกว่าประชาชนต้องเป็นหนี้ เพราะถ้าเป็นหนี้แล้วจะทำให้ขยัน ถ้าไม่เป็นหนี้ก็ไม่ขยัน ทำไมเป็นหนี้จึงจะขยัน ก็เพราะถ้าไม่ขยันหาเงินเดี๋ยวหนี้มันจะบาน นี่คือความคิดของผู้มีอำนาจในปัจจุบัน ซึ่งไม่ได้คิดใหม่อะไรหรอก ไปเอามาจากฝรั่ง ฝรั่งบอกว่าคนเราต้องเป็นหนี้ เพราะเป็นหนี้แล้วตื่นเช้าขึ้นมาจะอยู่เฉยไม่ได้ ต้องคิดว่าจะหาเงินจากที่ไหนมาจ่ายหนี้ ก็ต้องมีการลงทุน มีการคิดหาเงิน จะมานั่งดูดาวจิบน้ำชานอนเล่นอย่างชาวบ้าน อันนั้นเขาเรียกว่าไม่เจริญ คนที่มานอนเล่นอยู่ใต้ถุนบ้านพวกนี้ไม่เป็นหนี้ก็เลยอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร เพราะฉะนั้นรัฐบาลจึงบอกว่าประชาชนต้องเป็นหนี้ถึงจะรวย ต้องเป็นหนี้ประเทศชาติจึงจะเจริญ เขามีวิธีกระตุ้นให้คนเราวิ่งๆๆ เหมือนกับหนูถีบจักร เขาคิดว่าถ้ายิ่งวิ่งเร็วเท่าไหร่ ทุกข์มันจะหายไป แต่วิ่งเร็วเท่าไรเงาก็ตามไปด้วย มีหมื่นล้านก็ทุกข์แบบคนหมื่นล้าน มีแสนล้านก็ทุกข์แบบคนแสนล้าน ทางเดียวเท่านั้นก็คือว่าหยุดเสีย หยุดวิ่ง หยุดตะเกียกตะกาย หยุดดิ้นรน รู้จักพอใจในสิ่งที่เรามี

พุทธศาสนาหรือธรรมะก็เหมือนกับต้นไม้ใหญ่ ที่มีไว้เพื่อให้เราได้มาหลบอยู่ใต้ร่มเงา ให้เราได้รู้จักหยุดเสียที แล้วก็มาหลบอยู่ใต้ต้นไม้จะได้ไม่มีเงาให้รำคาญใจอีกต่อไป ทีแรกก็หยุดดิ้นรน หยุดแสวงหา แต่จะหยุดได้นั้นต้องหยุดที่ข้างใน ถ้าข้างในยังไม่หยุด ข้างนอกก็หยุดได้แต่เพียงมือไม้หรือแขนขา แต่ว่าข้างในยังเป็นทุกข์อยู่ นอกจากจะหยุดดิ้นรนวิ่งวนอยู่ภายนอกแล้ว ข้างในก็ต้องหยุดด้วย เราต้องรู้จักหยุดความคิดให้เป็น หยุดความอยากให้ได้ ตรงนี้เป็นเรื่องหยุดยาก ร่างกายยังรู้จักหยุดเพราะว่าถึงเวลาเหนื่อยก็รู้จักหยุดได้เอง ถึงเวลากินก็หยุด ถึงเวลานอนก็หยุด แต่ใจนี่สิไม่ค่อยหยุดง่ายๆ กินก็ยังคิด เข้าห้องน้ำถ่ายหนักถ่ายเบาก็ยังคิด นอนก็ยังคิดอีก แต่คิดไปแล้วใช่ว่าจะมีความสุข ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์แต่มันหยุดไม่ได้เพราะว่าคิดเก่ง คิดจนเป็นนิสัย หยุดไม่ได้



เราถูกฝึกมาให้คิด คิดๆ คิดแล้วก็ปรุงแต่ง เป็นโลภะ โทสะ โมหะ ความคิดที่แล่นออกไปข้างนอก ไม่ได้แล่นไปเปล่าๆ กลับมาก็เอาไฟโทสะ เอาไฟโลภะมาเผาลนจิตใจ หาเรื่องใส่ตัว เหมือนกับเด็กเกเรที่ออกจากบ้านทีไรต้องเอาเรื่องเดือดร้อนกลับมาให้พ่อแม่ทุกที และที่เกเรนี้ก็เพราะพ่อแม่ไปตามใจ อยากได้อะไรก็ให้ๆตั้งแต่เล็ก ลูกอยากได้ขนมก็ให้ ลูกไม่อยากถูฟันก็ไม่ว่าอะไร ลูกไม่อยากทำการบ้านพ่อแม่ก็ไม่ว่า ลูกอยากได้มือถือพ่อแม่ก็ให้ ลูกอยากได้รถพ่อก็ยอมตามใจจนกระทั่งเสียคน จิตที่ถูกตามใจมากก็เหมือนกับเด็กหรือวัยรุ่นแบบนี้แหละ ใจมันอยากคิดอะไรเราก็ปล่อยให้มันคิด อยากโกรธก็หาเรื่องให้มันโกรธไปเรื่อยๆ คอยตามใจความคิดจนกระทั่งกลายเป็นหอกข้างแคร่ไปแล้ว

จิตของเราถูกปล่อยให้คิดถูกปล่อยให้ปรุง ถูกตามใจปีแล้วปีเล่าๆจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ถูกตามใจจนกระทั่งเสียผู้เสียคนไปแล้ว เราต้องหาทางให้จิตของเราหยุดคิดเสียบ้าง เก่งแต่คิดนี้ยังไม่เก่งจริง ต้องเก่งในทางหยุดคิดด้วยเหมือนกัน เรียนผูกต้องเรียนแก้ด้วย ผูกปมเก่งแต่แก้ปมไม่เป็นอันนี้ถือว่ายังไม่แน่ เก่งแค่ครึ่งเดียว เดี๋ยวนี้เราถูกฝึกให้คิดเก่ง คิดเก่งคิดได้นาน ชาวบ้านสู้คนกรุงไม่ได้ สู้คนที่เรียนหนังสือเยอะๆไม่ได้ เพราะว่าพวกนี้คิดได้เป็นวันไม่เหนื่อย ชาวบ้านคิดแค่ 2 – 3 ชั่วโมงก็เหนื่อยแล้ว อ่านหนังสือแค่ชั่วโมงเดียวก็เหนื่อยแล้ว แต่คนเมืองอ่านเป็นวันเป็นคืนก็ยังอ่านได้เพราะถูกฝึกมาให้คิดเก่ง แต่พอจะหยุดคิดกลับทำไม่ได้ ความคิดมันแล่นพาเราไปเรื่อย จะหยุดหยุดไม่ได้ ต้องไปซื้อยานอนหลับมากินหรือไม่ก็ต้องเปิดโทรทัศน์ตลอดคืน นั่งอยู่หน้าโทรทัศน์ ดูจนหลับไม่รู้ว่าใครดูใคร เราดูโทรทัศน์หรือว่าโทรทัศน์ดูเรา เวลาโกรธก็โกรธเป็นวันเป็นคืน ทั้งๆที่รู้ว่าเวลาโกรธนี่เป็นทุกข์ แต่ก็ยังคิด คิดแล้วก็โกรธ โกรธก็ยังคิดอีก ใครมาชวนไปไหนก็ไม่ไป ฉันจะคิด เพราะว่าความโกรธมันมีรสชาติ ความเศร้ามันก็มีรสชาติ นี่เราก็ต้องรู้จักหยุดคิดบ้าง



อะไรล่ะที่ช่วยให้หยุดคิดได้ก็คือสตินั่นเอง สติเป็นทั้งคันเร่งและเบรกในตัว ถ้ารถมีแต่คันเร่งไม่มีเบรก ถึงแม้จะวิ่งเร็วแค่ไหน แพงแค่ไหน ก็ไม่มีใครอยากขับอยากซื้อ คันเร่งไม่ใช่ว่ามีแล้วจะดีอย่างเดียว จำเป็นต้องมีอย่างอื่นมาประกอบก็คือเบรก ถ้าไม่มีเบรกนี่น่ากลัว คนเราก็มีเบรกกันทั้งนั้นแหละ แต่ว่าไม่ค่อยได้ใช้ หรือว่าไม่รู้วิธีใช้

เคยรู้จักรถเวสป้ามั้ย รถเวสป้าเป็นมอเตอร์ไซค์ที่ไม่เหมือนกับรถที่นิยมในปัจจุบัน มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับรถเวสป้า ฟังแล้วก็ทำให้ได้แง่คิดเหมือนกัน เรื่องมีว่า คนขับรถบรรทุกสิบล้อกำลังขับอยู่นอกเมือง อยู่ดีๆก็มีหนุ่มคนหนึ่งขี่เวสป้าขึ้นมาตีคู่ แล้วตะโกนถามว่า “รู้จักเวสป้ามั้ยเพ่” คนขับสิบล้อได้ฟังก็หมั่นไส้ หนูมันจะมาเทียบกับราชสีห์หรือนี่ ริอ่านมาแข่งกับฉัน ราชสีห์อย่างฉันไม่อยากสนใจ ก็เลยเร่งเครื่องแซงเวสป้าไป แซงไปได้ซักพักเวสป้าก็เร่งเครื่องขึ้นมาตีคู่ใหม่ แล้วก็ถามว่า “รู้จักเวสป้ามั้ยเพ่” คราวนี้คนขับสิบล้อก็รำคาญเลยตะโกนบอก “จะไปไหนก็ไปซะอย่ามายุ่งกับฉัน” ก็เลยชะลอปล่อยให้เวสป้าแซงไป สักพักก็ไปเห็นเวสป้าตะแคงแอ้งแม้งอยู่ริมทาง ส่วนคนขับกระเด็นนอนบิดเบี้ยวอยู่ไม่ไกล คนขับสิบล้อเห็นแล้วก็สะใจคนขับเวสป้าที่ไม่รู้จักเจียมบอดี้ หนอยเป็นรถเครื่องจะมาแข่งกับสิบล้อ แต่เขาตัดสินใจจอดรถข้างทางทำตัวเป็นพลเมืองดีเสียหน่อย ลงไปช่วยคนขับเวสป้า พอดีคนขับเวสป้าเห็นก็พูดเสียงอ่อยๆว่า “ผมจะถามว่าเพ่รู้จักเวสป้ารึเปล่า เบรกมันอยู่ไหนก็ไม่รู้”

เขาขับเวสป้าแต่ไม่รู้ว่าเบรกอยู่ตรงไหน จึงเร่งเครื่องไปถามคนขับสิบล้อว่าเบรกเวสป้าอยู่ตรงไหน สิบล้อไม่เข้าใจ เข้าใจผิด นี่ขี่เวสป้าแต่ไม่รู้ว่าเบรกอยู่ตรงไหนก็มีสิทธิตายได้ รถทุกคันมีเบรก แต่ถ้าไม่รู้จักใช้ก็อันตราย

เราก็เหมือนกันนะ เรามีเบรกกันทุกคนคือมีสติ สตินี้เหมือนกับเป็นห้ามล้อ แต่เราไม่รู้จักใช้ บางทีไม่รู้ว่ามีด้วยซ้ำ ถามว่าสติคืออะไร นึกไม่ออกไม่รู้ว่าสติคืออะไร ทั้งๆที่มีอยู่กับใจ จึงต้องรู้จักใช้ให้เป็น ถ้าใช้เบรกหรือห้ามล้อบ่อยๆก็จะชำนาญ สติก็เหมือนกัน ต้องใช้บ่อยๆ ใช้จนชำนาญ เผลอคิดปุ๊บก็รู้ทันแล้วก็วางความคิดลงได้ ฉุนปุ๊บไม่ทันจะปรุงแต่งเป็นความโกรธ เพียงแค่รู้สึกหงุดหงิดไม่พอใจ รู้ทันแล้วก็วางได้ จะปรุงไปได้อย่างไร แต่ก่อนนี้เราปล่อยใจให้คิดเรื่อยเปื่อย ถูบ้านก็คิด ล้างจานก็คิด ปล่อยความคิดให้ฟุ้งไปเรื่อย เวลาเหงาก็เหมือนกันปรุงความเหงาไปเรื่อยๆ แต่ตอนนี้เราต้องรู้จักหยุดแล้วละ ให้สติมันทำงานบ้าง



สติจะช่วยให้เราหยุดหรือปล่อยวางความคิดได้เร็วขึ้น แต่ก่อนคิดไปเป็นคุ้งเป็นแควกว่าจะหยุดได้ก็นาน ไม่ใช่ว่าสติทำไม่ได้ ทำได้แต่ว่ายังไม่เข้มแข็งฉับไว เราต้องฝึกให้สติของเราเข้มแข็ง จนกระทั่งหยุดได้วางได้ จำเอาไว้ หยุดให้เป็นก็เย็นได้ ที่ร้อนอยู่นี้เพราะหยุดไม่เป็น หยุดไม่ได้หมายความว่าไม่ขยันขันแข็งนะ ขยันขันแข็งยังจำเป็นอยู่ แต่ขยันให้ถูก แล้วก็รู้จักพอด้วย ความเพียรกับสันโดษต้องไปด้วยกัน สันโดษคือความรู้จักพอ รู้จักพอก็เรียกว่าหยุดได้ แต่ว่ามันต้องขยัน ขยันทำหรือขยันทำมาหากิน แต่ก็รู้จักพอด้วย อย่างคนที่ขยันรู้จักทำมาหากินแต่พอถึงวันพระ เอ้า หยุด หยุดมาจำศีล อันนี้ถือว่าถูกต้อง บางทีทำงานเหนื่อย เอ้าหยุดบ้าง อย่าทำมาหาเงินตลอดเวลา เวลาคิดเรื่องหนี้สินก็รู้จักหยุดบ้าง เช่นนี้เป็นต้น หยุดให้เป็นก็เย็นได้

แล้วก็อย่าลืม ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม ถึงที่สุดธรรมชาติก็ต้องให้เราหยุดเหมือนกัน คนเราในที่สุดก็เหมือนกับนาฬิกาที่ไขลาน ไม่ว่าจะไขนานแค่ไหน ในที่สุดลานก็ต้องคลายออกจนนาฬิกาหยุดเดิน รถเมื่อหมดน้ำมันก็ต้องหยุด เครื่องบินเมื่อไม่มีน้ำมันก็ต้องตก เราทุกคนไม่ว่าจะชอบหรือไม่ในที่สุดก็ต้องหยุด ชีวิตมันหยุดตามธรรมชาติคือตาย ธรรมชาติทำหน้าที่หยุดให้เราอยู่แล้ว พอถึงเวลานั้นเราก็ต้องรู้จักหยุดให้เป็นเหมือนกันนะ หยุดให้เป็นก็รวมถึงการตายให้เป็นด้วย เดี๋ยวนี้ตายกันไม่เป็น ไม่รู้จะหยุดอย่างไร ป่วยพะงาบๆก็ยังไม่ยอมปล่อยวาง อยากให้ลูกหลาน ญาติมิตร หมอ ทำทุกอย่างเพื่อให้อยู่ต่อไปเพราะเขายังไม่อยากจะหยุด บางทีคนป่วยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะหยุดดีหรือเปล่า อยากจะมีลมหายใจต่อไปก็ปล่อยให้เขาปั๊มไปเรื่อย

เราต้องรู้จักหยุด ต้องรู้ว่าแค่ไหนจึงจะพอ คนแต่ก่อนพอรู้ว่าไม่ไหวแล้วงดกินยา บางทีงดกินอาหาร งดกินน้ำด้วยซ้ำ บอกฉันพอละ คนเฒ่าคนแก่เรียกลูกมาบอก ฉันไม่กินยาละ ฉันไม่กินอาหารละ จะกินแต่น้ำ ไม่ต้องพาไปโรงพยาบาล ฉันพอแล้ว ฉันตายตรงนี้แหละ นี่เขารู้จักหยุด หยุดเป็น คือพอรู้ว่าไม่ไหวแล้ว ก็ไม่อยากจะทรมานสังขาร ถ่อสังขาร แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้ ต้องเอากันให้ถึงที่สุด ทั้งๆที่ต้องตายแน่ๆแล้ว ยืดเวลาไป 3 วันมันก็ไม่มีความหมายหรอก แต่นี่ไม่อยากตาย ทั้งๆที่สังขารไม่ไหวแล้ว



เราต้องพร้อมต้องรู้วิธีที่จะหยุด รู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะหยุด ไม่ใช่ปล่อยไปให้เขาลากพาไปจนกว่าจะหยุดของมันเอง อันนี้เป็นอย่างหนึ่งละที่ต้องรู้จักหยุดให้ได้ หรือรู้จักหยุดให้เป็น รู้ตัวว่าเมื่อไหร่สมควรไปเสียที ไม่ใช่จะให้ใครต่อใครทำอะไรกับเราก็ได้ คนที่ฉลาดจะเตรียมตัวว่าให้รักษาแค่ไหนจึงจะพอ สมัยก่อนไม่ต้องคิดมากเพราะว่าไม่มีเทคโนโลยีอะไร มีแค่ยาไม่กี่อย่าง ถ้าอาการหนัก ยารักษาไม่ได้ก็งดกินยางดกินอาหาร ทำสมาธิแล้วก็ตายไป ไม่ใช่พระเท่านั้นที่ทำอย่างนี้ ญาติโยมก็ทำอย่างนี้กัน คนเฒ่าคนแก่ทำกันอย่างนี้เยอะ เพราะคนแต่ก่อนรู้ว่าเมื่อไรควรหยุด

แต่แค่นี้ก็ยังไม่พอนะ ต้องเตรียมตัวเตรียมใจด้วย ไม่ใช่เพียงเตรียมแค่เรื่องการรักษาพยาบาลอย่างเดียว ต้องรู้จักเตรียมตัวเตรียมใจว่าจะตายอย่างไร เพราะว่าความตายนี้ ถ้ามันมาโดยที่เราไม่ได้เตรียมตัวก็เอาไม่อยู่ บางทีมันเหมือนกับพายุสลาตัน ลมพายุมานี่ถ้าเราไม่รู้จักเตรียมรับมือกับมันบ้าง ก็เหมือนกับเรือเจอพายุพัดซัดคว่ำ ความตายนั้นบางทีดูเหมือนกับว่ามันมาแบบเงียบๆ คนภายนอกอาจเห็นว่ามันมาเงียบๆ แต่คนที่เจอเข้ากับตัวเองจะรู้สึกว่ามันเหมือนกับพายุสารพัดพายุมีหลายรูปแบบ ถ้าเตรียมตัวเตรียมใจไว้บ้างก็จะดี และถ้าเตรียมสถานที่ไว้ด้วยก็จะยิ่งดีเข้าไปใหญ่ แม้ว่าเราเลือกไม่ได้ว่าจะตายที่ไหนก็ตาม แต่อย่างน้อยก็เตรียมเอาไว้บ้าง

หยุดให้เป็นก็คือตายให้เป็นด้วย ลองฝึกดูว่าเราจะตายให้เป็นได้อย่างไร มีการพิจารณาความตายอยู่เสมอคือฝึกมรณสติ เตรียมแม้กระทั่งว่าถ้าเกิดอุบัติเหตุกะทันหัน เราจะวางจิตวางใจอย่างไร จะเอาจิตไประลึกที่ไหน จะหยุดแบบนาฬิกาหมดลานค่อยๆหยุด หรือจะหยุดแบบรถยนต์ที่วิ่งแล้วก็ชนเสาไฟฟ้า หรือจะหยุดแบบเครื่องบินที่ตกลงมาแล้วก็พังยับเยิน การหยุดมีหลายแบบ ซึ่งเราเลือกไม่ได้เหมือนกันว่าจะหยุดแบบไหน แต่ถ้าเราเตรียมใจเอาไว้ดีแล้ว หากเป็นเครื่องบินก็ค่อยๆแล่นลง ไม่ใช่หยุดกลางอากาศแล้วตกลงมาเลย คนจำนวนมากมักเป็นแบบนั้นแหละ คือหยุดกลางอากาศแล้วตกลงมาเลยจึงทุกข์ทรมานมาก แต่ถ้าเรารู้ล่วงหน้าเราก็ค่อยๆเตรียมตัวร่อนลงมา มันไม่ยับเยินเท่าไร ขอให้คิดเรื่องการหยุดแบบนี้ด้วย

พระพุทธเจ้าตรัสว่าให้เราทำกับความตายเหมือนกับคนที่ทำงาน ขณะที่ยังไม่หยุดงานก็ทำงานไปเรื่อยๆ แต่ก็รู้ว่าเวลาเลิกงานจะต้องมาถึงในที่สุด และเมื่อได้เวลาเลิกงานก็วางการงานทุกอย่าง ไม่มีการอาลัย วางเครื่องมือเครื่องไม้เสร็จก็เดินกลับบ้าน ตัวเบาปลิว ไม่มีห่วงกังวลอะไรทั้งสิ้น ถามว่าตอนนี้เรามีห่วงมีอาลัยหรือเปล่า เราพร้อมจะไปหรือยังถ้าเวลามาถึง ส่วนใหญ่ไม่พร้อมหรอก เพราะไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน อย่างนี้เรียกว่ายังหยุดไม่ได้ไม่พร้อมจะหยุด แต่ธรรมชาติเขาไม่รอนะ เราไม่พร้อมแต่ธรรมชาติบอกว่าถึงเวลาแล้วเราก็ต้องไปเหมือนกัน เพราะฉะนั้นก็ต้องเตรียมตัวไว้จะได้หยุดเป็นเมื่อถึงเวลา ถึงตอนนั้นจะเย็นได้ ถ้าตายให้เป็นก็เย็นได้เหมือนกัน ไม่ได้เย็นแบบซาบซ่าน แต่เย็นอย่างผู้ที่หมดภาระแล้ว สบายใจ เลิกงานกลับบ้าน ไม่มีอะไรต้องห่วง


Create Date : 11 เมษายน 2550
Last Update : 11 เมษายน 2550 12:20:19 น. 7 comments
Counter : 690 Pageviews.

 
ชีวิตติดเบรก
หยุดคิดสักนิด..ก่อนจะทำอะไร
แต่เบรกธรรมดาเนาะ
อย่าเป็นดิสเบรก..กระทันหันไปจะล้มแบบรถไหมเนี้ย



โดย: gripenator วันที่: 11 เมษายน 2550 เวลา:14:00:56 น.  

 
ชีวิตคือการเตรียมตัวเพื่อตายอย่างมีศิลปะ(สติ)จริงๆค่ะ

อนุโมทนากับการเผยแพร่ธรรมะดีๆ


โดย: หน้าม้าแถวบ้าน วันที่: 11 เมษายน 2550 เวลา:15:50:31 น.  

 
ขอบคุณมากนะค่ะ จะก๊อปเก็บไว้อ่านค่ะ (ถ่ายที่ไหนเอ่ยดอยสุเทพหรือป่าว)


โดย: เหมืยว IP: 220.23.192.7 วันที่: 30 เมษายน 2550 เวลา:8:44:59 น.  

 
ใช่แล้วครับ ภาพตรงกล่องคอมเม้นท์นี้ ถ่ายที่วัดพระธาตุดอยสุเทพครับผม


โดย: sak (psak28 ) วันที่: 1 พฤษภาคม 2550 เวลา:11:15:56 น.  

 
สวัสดีค่ะ
~ถึงจะแวะเข้ามาโดยไม่ได้ตั้งใจนัก
แต่ก็ได้พบเจออะไรดีๆ
ขอบคุณมากนะคะ
โดยส่วนตัวชอบพระอาจารย์อยู่แล้ว
อ่านทีไรได้ข้อคิดดีๆ ทุกทีเลย~


โดย: Thiratida IP: 118.174.119.152 วันที่: 8 มีนาคม 2551 เวลา:23:32:47 น.  

 
เข้ามาโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ได้อ่านบทความดี
ที่มีคติเตือนใจ และอยากเก็บข้อความดี ๆ ไว้ (แต่คุณป้องกันไม่ให้บันทึก ) จริง ๆ แล้ว ถ้าอยากจะหาบทความดีแบบนี้ ก็มีพื้นที่ให้มากมายอยู่แล้ว แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องหวงด้วยล่ะ เพราะการให้ธรรมดี ๆ คุณก็ได้บุญอยู่แล้วนะ


โดย: นาฎนภา IP: 222.123.87.24 วันที่: 21 มกราคม 2552 เวลา:10:16:04 น.  

 
อ่านจบแล้ว ดีครับ น่าสนใจดี แต่เห็นบอกว่าไม่ให้บันทึก ผมเองก็งงงงอยู่นะ เพราะคนธรรมะ เขาจะแบ่งปันกัน แต่ไม่เป็นไรหรอก เพราะผมเองไม่บันทึกอยู่แล้ว ผมเองก็อ่านหนังสือธรรมะ มาก คืออ่านทุกวัน ได้แต่บอกการทำความดีและแบ่งปันเพื่อนมนุษย์ มันเป็นกุศลนะครับ แต่อย่างไรก็ขอบคุณมาก ที่ได้อ่านนะ ขอบคุณครับ


โดย: สมชาย IP: 125.24.128.100 วันที่: 12 มีนาคม 2552 เวลา:11:28:20 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

psak28
Location :
ภูเก็ต Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]





คนเราเกิดมาจากเหตุปัจจัยจากกรรมที่เราสร้างขึ้น และด้วยอนุสัยที่สั่งสมมาตั้งแต่อดีตกาล ย่อมมีความสุข และความทุกข์เป็นธรรมดา เราก็แค่เป็นเพียงผู้ดูสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น เปรียบเสมือนการดูละคร ดูแล้วก็ผ่านไป ไม่ต้องไปยึดติดกับมัน เคยสงสัยเหมือนกันว่าคนเราเกิดมาทำไมกัน แล้วทำไมคนเราจึงไม่เหมือนกันเลย ทั้งรูปร่าง หน้าตา กิริยา และการดำเนินชีวิต ที่กล่าวมาล้วนมีกรรมสรรสร้างให้เป็นอย่างนั้น หน้าที่ของเราก็คือ ละเว้นความชั่ว ทำความดีให้ถึงพร้อม และทำจิตใจให้ขาวรอบ


อันนี้ลองดูนะครับ หากใครสนใจหวยหุ้น หวยรัฐบาล นี่ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งครับ ได้มากกว่า ^_^



อันนี้น่าสนใจดีครับ จุ๊บลมยางที่สามารถบอกเราได้ว่าลมยางตอนนี้เป็นเท่าไหร่ และเตือนเราในกรณีลมยางอ่อนได้ ลองดูกันนะครับ




: Users Online

Friends' blogs
[Add psak28's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.