เล่าละไม..

<<
มิถุนายน 2552
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
16 มิถุนายน 2552
 

นิทานก่อนนอน..ซะที่ไหนล่ะ

ปิ๋มคิดว่าปิ๋มกำลังติดลมกับการเล่านิทาน..
..เหอะ .. เรื่องที่ชอบ และจำ ได้ มันเป็นเรื่องที่ได้เจอะ ฟังผ่านหู อ่านผ่านตาตั้งแต่เด็ก ดังนั้น.. ในรายละเอียดเลยออกจะกระท่อนกระแท่น จำได้แต่ใจความ.. แล้วมาเพ้อเจ้อ ต่อยอดเอาเอง โดยคงใจความเดิมที่เคยรับรู้ รับฟัง..


วันนี้มีนิทานอีกเรื่องมานำเสนอ..
จำที่มาได้เลาๆ ว่าเป็นเรื่องสั้นในการ์ตูนขำขันของไทย เล่มละสิบบาท(กว่า) เมื่อนาน น้าน นานมาแล้ว สมัยนู่นเลย.. อธิษฐานเลยสิจ๊ะ..(ไม่รู้ใครเกิดทันมั่ง ไอ้เรื่องที่ว่า ปิ๋มไม่เคยอ่านหรอก ปิ๋มอ่านเรื่องอื่น)

เรื่องมันมีอยู่ว่า..
..กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว (ธีมเป็นหนังจักรๆวงศ์ๆ ไปละกันนะ) มีเมืองเมืองนึง ที่มีพระราชาปกครอง..
เมืองนี้เป็นเมืองใหญ่ มั่งคั่ง หากแต่พระราชามีเพียงพระธิดา(เรียกว่าเจ้าหญิงแล้วกันนะ) ที่แสนจะบอบบาง น่าทะนุถนอมและงดงามที่สุดเพียงพระองค์เดียว.. ซึ่ง พระราชาคิดไม่ตก ว่าจะให้เจ้าหญิงปกครองบ้านเมืองได้ยังไง เพราะเธอเล่นคงคอนเส็ปต์เจ้าหญิงในนิทานซะขนาดนั้น..
บังเอิญว่า ที่เมืองแห่งนี้ มีดาบโบราณคู่เมืองที่ปักฝังแน่นอยู่บนยอดภูเขาท้ายเมือง พระราชาเลยได้ความคิดที่จะหาคนที่มีบุญญาธิการ ฟ้าส่งมาปกป้องบ้านเมืองและเจ้าหญิงน้อย(ที่เริ่มสาว) จึงประกาศไปยังเมืองต่างๆที่มีเจ้าชายโสดๆ มาทดลองดึงดาบ..
เรียกว่าใครดึงออก ..เอาไปเลยทั้งเมืองทั้งเจ้าหญิง..

บรรดาเจ้าชาย พอได้ข่าว ก็พากันเดินทางมาขอทดลองดึงดาบ.. วันแล้ววันเล่า.. จนเจ้าชายโสดๆหมดโลก(ในนิทาน) ก็ยังไม่มีใครดึงสำเร็จ..
..พระราชาคิดหนัก ส่วนเจ้าหญิงน้อย เอียงคอตาใสรออย่างเชื่อฟัง
พระราชาคิดไปว่า.. บางที .ผู้มีบุญญาธิการ .. ที่ฟ้าส่งมา อาจไม่ได้ดำรงฐานันดรศักดิ์เป็นเจ้าชาย... งั้นไม่เป็นไร.. ประกาศใหม่
...พระราชาประกาศให้ลูกหลานเหล่าเสนาอำมาตย์หนุ่มๆ รวมไปถึงคหบดีที่หนุ่มโสดๆทั้งหลายมาทดลองดึงดาบ..
เวลาผ่านไป.. ผู้ชายโสดๆหมดไปอีกครึ่งโลก(ในนิทาน) ก็ยังไม่มีใครดึงดาบได้สำเร็จ.. ไม่มีแม้แต่จะขยับ..
..พระราชาคิดหนักอีกรอบ ส่วนเจ้าหญิงน้อย เอียงคอตาใสรออย่างเชื่อฟังเช่นเดิม

ท้ายที่สุดพระราชาตัดสินใจ.. ขอแค่เป็นชายหนุ่ม จะอาชีพใดก็ขอให้มาลงดึงดาบดู.. แต่ก็ยังไม่มีใครดึงสำเร็จ.. ตอนนี้ผู้ชายในนิทาน หมดไปค่อนโลก
..เจ้าหญิงน้อย ที่ตอนนี้ เติบโตเป็นสาวเต็มตัว ยังคงแย้มยิ้ม เอียงคอตาใสรอเช่นเดิม

ท้ายที่สุดกว่า ..มีคำสั่งออกมาว่า ขอแค่เป็นชายโสด ก็ให้มาลองดึงดาบดู..
กรุณาจินตนาการเอา.. ว่าผู้ชายสารพัดวัย สารพัดอาชีพที่หวังเป็นพระราชาแบบฟลุ๊คๆ.จะกระหายมาทดลองแค่ไหน
เจ้าหญิงที่เคยแย้มยิ้มตาใส ยังแอบกลืนน้ำลายแบบหวั่นชะตากรรม..
เวลาผ่านไป..นับเดือน..นับปี..
บรรดาชายทั้งหนุ่มและไม่หนุ่ม สารพัดหน้าตา สารพัดระดับ ทดลองมาขอดึงดาบเริ่มบางตาลง จนสุดท้ายก็ไม่เหลือใครที่จะอาสาแล้ว..(ผู้ชายในนิทานคงหมดโลกแล้ว)

พระราชาถอดใจว่าบรรลังค์คงล่ม .. ส่วนเจ้าหญิง ก็กลับเข้าไปรอคอยคู่ที่ฟ้าส่งมาให้อย่างสงบ

เกือบสองปี ที่ไม่มีใครมาอาสา.. อยู่ๆ ก็มีชายรูปร่างอัปลักษณ์ หลังค่อม(คือ..อนิยามมากๆ) เดินเข้ามาหาพระราชากลางท้องพระโรง ขอทดลองดึงดาบดูบ้าง
พระราชาที่แทบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว อยากจะหัวเราะเยาะ แต่..กษัตริย์ ตรัสว่าดึงได้ทุกคน ก็ต้องตามนั้น
...พระราชาอนุญาติแบบแกนๆ เพราะเกือบทั้งโลก ไม่เห็นมีใครดึงได้... ชายเตี้ยหลังค่อมอัปลักษณ์รายนี้ ก็คงไม่พ้นหวังฟลุ๊ค
หากแต่ไม่พ้นวัน.. ชายหลังค่อมอัปลักษณ์กลับมาพร้องกับดาบคู่เมืองในมือ(และพระราชาไปพิสูจน์ที่ภูเขาแล้วว่าจริง)

พระราชาอดไม่ได้ที่จะถาม..
“ท่านทำได้อย่างไร หลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าผู้ที่แข็งแรง แข็งแกร่งเพียงใด หรือมีบุญญาธิการแค่ไหน ก็ไม่มีใครดึงดาบนี้สำเร็จ”
ชายเตี้ยหลังค่อมอัปลักษณ์ยิ้มเพียงเล็กน้อย ก่อนตอบ
“เพราะข้าไม่มีกำลัง ไม่มีบุญญาธิการ..ข้าเลยไม่เคยหวังพึ่ง ..สิ่งที่ข้ามีเท่าเทียมผู้อื่นคือสมอง เมื่อเหล่าเจ้าชายหรือชายหนุ่มที่ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงเหล่านั้นดึงดาบไม่ออก ข้าก็สงสัยเช่นเดียวกับท่าน ว่าเหตุใดพวกเขาเหล่านั้นดึงไม่ออก”
“แต่ข้ารู้จักใช้สมอง ข้าค้นคว้าที่หอสมุดประจำเมืองจนทราบว่า เมืองแห่งนี้มีชั้นหินอยู่มากมาย เป็นไปได้ว่า ที่ที่ดาบปักไว้คือส่วนที่เป็นเห็น หลังจากที่คนเริ่มน้อยลงข้าเลยไปพิสูจน์แล้วพบว่าเป็นดังนั้นจริง”
“หลังจากนั้น ข้าก็รอให้คนอาสาดึงดาบหมดไปก่อน เพื่อที่ข้าจะได้มีโอกาสมาค่อยๆขุดอุโมงค์เพื่อสกัดหินที่อยู่ใต้ล่างนั้นออก เมื่อสกัดออกจนข้าขยับดาบได้ ข้าจึงเดินมาขอทดลองดึง ..ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมข้าถึงมาช้าไปหลายปี”

พระราชาอึ้ง.. ไม่คิดไม่ฝันว่าจะเจออะไรอยู่บนโลกแห่งความจริงขนาดนี้(บรรทัดนี้ปิ๋มว่าปิ๋มเติมเองแหงเลย)

แต่สัญญาคือสัญญา.. พระราชาจำต้องยกเจ้าหญิงให้.. แต่เมืองนี่คงต้องรอฝึกงาน เอ๊ย.. รอเวลาที่พระราชาสละบรรลังค์หรือมีอันเป็นไปซะก่อน ซึ่งชายหลังค่อมก็เข้าใจ และแล้วชายหลังค่อมก็รั้งตำแหน่งราชบุตรเขย พร้อมกับเป็นว่าที่พระราชา ไปพร้อมกัน ..

เจ้าหญิงที่ตอนนี้เป็นสาว(ใหญ่) ..รับการอภิเษก และรับกับสภาพ เอ๊ย.. รูปลักษณ์ของสวามีอย่างสงบ.. สงบ จนพระราชางง.. แต่ท่าทางที่ยิ้มแย้มแจ่มใสแบบไม่ฝืนของเจ้าหญิงทำให้พระราชาสบายใจ ว่าเจ้าหญิงที่แสนจะงดงาม คงมีความสุข

คู่ข้าวใหม่ปลามันหายเข้าไปในตำหนักที่เป็นเรือนหออย่างเงียบเชียบ.. มากกกกก
พระราชาไม่สบายใจ.. แต่เรื่องของครอบครัว.. ไม่กล้ายุ่งอะไรมาก
จนกระทั่งครบอาทิตย์.. ตำหนักที่เงียบยังกะป่าช้า มีเสียงร้องไห้กระซิกๆแว่วมา .. พระราชาจำได้ว่าเป็นเสียงเจ้าหญิง..
จึงตัดสินใจไม่แค่มารยาท บุกเข้าไปในตำหนักเพราะความห่วง..

...ภายในตำหนัก เปรอะไปด้วยเลือด..กลิ่นคาวคละคลุ้ง.. ที่แท่นบรรทม(คิดว่าใช่นะ) มีร่างสองร่างนองเลือดอยู่ แม้จะตกใจ แต่พระราชาก็รีบเข้าไปดูใกล้ๆด้วยความห่วงใยเจ้าหญิง
ภาพที่เห็น ทำให้พระราชาเลือกไม่ถูก ว่าจะผงะ หรือเข่าอ่อนดี..
ภาพเจ้าหญิงนั่งน้ำตาเปรอะหน้า ดวงตาไร้แวว คุกเข่าตรงหน้าอะไรที่..สภาพพอเดาได้ว่าเคยเป็นชายหลังค่อมมาก่อนท่ามกลางกองเลือด
ใกล้ๆกันนั้นมีกริชวางอยู่..
พระราชาเอ่อยปากถามสั่นๆ
“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้”
เจ้าหญิงกลับมามีสติด้วยเสียงเรียกของพระราชา เริ่มร่ำไห้ สะอึกสะอื้นอธิบาย
“ลูกเชื่อมาตลอด ว่าผู้มีบุญญาธิการ ที่คู่ควรจะเป็นสวามีลูกมีอยู่จริง แล้วลูกก็รอมาตลอด เมื่อนานไป ยังไม่มีใครพิชิตดาบสำเร็จ ลูกก็ยังเชื่อว่าคนคนนั้นของลูกจะต้องมาซักวัน..”
“วันที่ลูกอภิเษก ลูกเชื่อว่าชายผู้นี้ไม่ใช่ที่เห็นเพียงรูปร่างเค้าคงจะเป็นเจ้าชายของลูก แล้ววันนึงเค้าจะต้องถอดรูปให้ลูกประหลาดใจ ลูกจึงไม่เคยนึกรังเกียจแม้แต่น้อย แล้วลูกก็รอ รอแล้วรอเล่า เจ้าชายของลูกก็ไม่ยอมออกมา”
“..แล้วลูกก้รอไม่ไหวแล้วเพคะ ลูกเลยจะหาเจ้าชายเอง”
.....................................

หักมุมได้สยองขวัญมาก แต่เรื่องนี้ มีวิจารณ์ท้ายเรื่อง
พระราชา.. โดนซะยับ เป็นตั้งพระราชา คิดได้ไง จะยกทั้งเมืองทั้งลูกสาวให้ไอ้หน้าไหนไม่รู้ ที่มีปัญญาแค่ดึงดาบออกจะที่ที่มันปักอยู่ได้ เกิดเป็นโจรโรคจิตล่ะ จะทำไง คิดมั่งไหม.. แล้วพอหาไม่ได้ ก็จนปัญญาจะปล่อยให้เมืองล่ม ลูกสาวอยู่ทั้งคนก็ไม่รู้จักเอามาสอน เอามาฝึกงาน ปัญญาอ่อนไม่พอ นี่ออกแนวพ่อแม่รังแกฉันไปด้วย.. สรุป พระราชาแย่ที่สุด

บรรดาเจ้าชาย แม่มก็โง่.. มีที่ไหน อาศัยว่าได้เกิดเป็นเจ้าชาย กรูบุญหนาแน่ๆ ..(สงสัยจบที่เดียวกะพระราชา) เดินผึ่งๆมามีแต่ความมั่นใจแบบไร้สติ แล้วก็หน้าแตกกลับไป.. ไอ้คนที่หน้าแตกก่อนหน้าไม่ได้ทำให้สะกิดใจได้ซักนิด คิดแต่ กรูแมนกว่า มีบุญกว่า (หมั่นไส้ว่ะ)

เจ้าหญิง.. โง่..แต่เป็นความโง่แบบที่น่าสงสาร เพราะเธอโดนครอบหัวด้วยเทพนิยาย ถูกเลี้ยงแบบไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย.. อันที่จริง จินตนาการบรรเจิดขนาดเลาะหนังสามีจะหาเจ้าชายตัวจริงได้ น่าจะมีหัวคิดดีๆเยอะถ้าผ่านการขัดเกลาดีๆ สอนอะไรที่มันโลกๆบ้าง ..แต่ก็อย่างว่า ..เพราะการเลี้ยงดูแท้ๆ

ชายค่อมอัปลักษณ์.. พระเอกสุดรันทด.. มีสมอง รู้จักคิด ใจเย็น มีความพยายาม ใช้ได้ที่สุดในโลก(ของนิทานเรื่องนี้) แต่ดันเกิดมาแบบนี้.. ถือว่าซวยบรม..
แถมดันมาเจอเจ้าหญิงปัญญาอ่อน เสวยสุขได้อาทิตย์เดียวโดนจับลอกหนังซะงั้น

สงสารว่ะ..


















ถึงคุณเจ้าของเรื่อง หากคุณยังจำได้แล้วผ่านมาอ่าน..

ปิ๋มชอบเรื่องนี้..ขออนุญาติเล่าต่อนะคะ ขอบคุณค่ะ(มัดมือชก)




 

Create Date : 16 มิถุนายน 2552
0 comments
Last Update : 16 มิถุนายน 2552 19:02:09 น.
Counter : 642 Pageviews.

 
Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

monsil
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




.. คนละคนกับที่เป็นนักเขียนนะคะ ..
[Add monsil's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com