|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
2 มีนาคม 2549
|
|
|
|
มองอย่างเป็นกลาง... ย้อนภาพการเมือง... มองตัวเองวันนี้...
หลายวันนี้ผมยุ่งมากๆ ทั้งเรื่องการรับปริญญา ทั้งเรื่องงานศพที่มาเสียเอาวันก่อนหน้ารับปริญญาไม่กี่วัน... ทำให้ผมต้องวิ่งลอกหลายที่ในวันเดียว... อีกทั้งพ่อผมยังอยู่โรงพยาบาลอีก...(พ่อผมอยู่มาเกือบจะห้าเดือนแล้ว) ทำให้ต้องแบ่งร่างจัดเวลาไปให้ครบตามกำหนด...
แต่ถึงแม้ผมจะยุ่งแค่ไหนก็ไม่ลืมที่จะดูข่าวที่จะต้องดูทุกวันไม่เคยพลาด...
เรื่องที่กำลังร้อนที่สุดในตอนนี้ก็เห็นจะไม่พ้นเรื่องการเมือง... ซึ่งถ้าจะให้เล่าล่ะก็ต้องขอบอกว่า.. ผมสามารถลำดับเรื่องได้เป็นฉากๆ...
ดังนั้นวันนี้ผมขอพูดเรื่องที่ดูจะน่าเบื่อแต่ร้อนแรงนี้ละกัน... ให้กับคนที่ไม่ค่อยได้ติดตามได้อ่านกัน....
เรื่องนี้คงต้องบอกว่าเริ่มมาตั้งแต่ในช่วงปลายรัฐบาลทักษิณ1 ที่เป็นการรวมกันของพรรคการเมืองหลายพรรคในการจัดตั้งรัฐบาล...
ซึ่งหลังจากนั้นที่จะต้องเลือกตั้งใหม่ ทางพรรคไทยรักไทยนำโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้มีการขอคะแนนเสียงจากประชาชนทั้วประเทศให้เป็นรัฐบาลพรรคเดียว ที่จะมีคะแนนเสียงถึง 400 เสียง ซึ่งเรียกได้ว่าทำให้หลุดพ้นการตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญ...
แต่พอเสร็จสิ้นการเลือกตั้งแล้วก็ได้มาถึง 370 กว่าเสียงทีเดียว ซึ่งนั้นก็เรียกได้ว่าเพียงพอต่อการไม่ถูกอภิปราย.... ถ้าใครจำได้ในช่วงนั้นหลังจากการเลือกตั้งได้ไม่นานก็มีประเด็นเรื่องการทุจริตในโครงการสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ...
โดยได้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีสุริยะ รมว. คมนาคมในตอนนั้นของทางพรรคฝ่ายค้าน.. ที่ถึงแม้จะรวมเสียงกันยังไงก็ไม่สามารถเอาผิดรัฐบาลที่เรียกได้ว่าอยู่ในรูปแบบเผด็จการในระบอบประชาธิปไตยได้...
ซึ่งถ้าใครมีเวลาพอได้ดูการอภิปรายในตอนนั้นคงจะรู้ว่าคำถามหลายๆ คำถามของฝ่ายค่านนั้น... นายสุริยะสอบได้ไม่ชัดเจน แต่ก็ลอดพ้นวิกฤตนี้ไปได้เพราะมติพรรคไทยรักไทยที่ออกมาก่อนหน้านั้นไม่นานที่บอกว่าจะยกมือช่วย...
โดยจะเห็นว่าอำนาจการตรวจสอบนั้นแทบจะเอาผิดอะไรกับทางรัฐบาสลไม่ได้เลย... ซึ่งช่วงนี้ทางพรรคไทยรักไทยเองก็มีปัญหาภายในนั่นคือ นายเสนาะ เทียนทอง ในช่วงนี้เรียกได้ว่าหัวหน้าพรรคใช้กลยุทธ์ สงบสยบความเคลื่อนไหว... ไม่ไปข้องแวะทั้งที่อีกฝ่ายต้องการให้ไล่ออกจะได้ย้ายพรรคได้... เพราะติดล็อกต้องสักกัดพรรค 90 วัน...
เรื่องต่อมาก็คงหนีไม่พ้นการเลือกกรรมการสรรหาของปปช.ที่ถูกปลดระวาง... และมีการเสนอจากฝ่ายรัฐบาลที่เรียกได้ว่าแตกต่างไปจากเดิมมากกับการเมือง... ผมขอยกประเด็นเรื่อง.. การแก้ไขตัวแทนกรรมการสรรหาที่ให้มีคนของทางฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาลอย่างละคน.. ซึ่งลองคิดดูแบบง่ายๆ แล้ว.. ปปช.ต้องเป้นกลางไม่ใช่รึ? แล้วทำไมยังทำให้มีความเกี่ยวข้องกับฝ่ายที่จะถูกตรวจสอบด้วย
ต่อมาเรียกได้ว่าเป็นรื่องนอกสภาที่ร้อนสุดๆ นั่นคือ เมืองไทยรายสัปดาห์ ที่นำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล เรื่องนี้ยืดเยื้อยาวนาน ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใคร จนร้อนถึงในหลวงที่ทรงดำรัสห้าม... ทำให้ปัญหาที่ร้อนคลี่คลายลงได้บ้าง...
ในช่วงระหว่างที่นายสนธิ จัดรายการนอกสถานที่ ก็มีการประท้วงกันอยู่เนืองๆ แต่ที่น่าสนใจนั่นก็คือกลุ่มครูที่ออกมาเรียกร้อง...
เพราะถ้าดูกันให้ดีแล้วตอนที่เลือกตั้งกันพวกครูที่ออกมาเป็นตัวตั้งตัวตีให้เรลือกไทยรักไทย...ก็พวกเดียวกับที่ชุมนุมนี่แหละจะเห็นได้ว่ามีการเผาบัตรพรรคไทยรักไทยโชว์กันให้ว่อนตอนที่ชุมนุมประท้วงด้วย....
ตอนนี้เรียกได้ว่ามีความขัดแย้งมากมายทั้งปัญหาภายในพรรคไทยรักไทยของนายเสนาะ และกลุ่มวังน้ำเย็น...
แต่นั่นก็ยังพอที่จะทำให้สถานการณ์สงบได้อยู่ไม่บานปลาย... จนมาเมื่อมีประเด็นการขายหุ้นให้กับต่างชาติ
เรื่องนี้ต้องบอกว่าคงต้องให้รายละเอียดกันยาวทีเดียว... เริ่มจากการที่นายกสนับสนุนให้มีการแก้กฏหมายให้มีการปรับบระดับการถือครองหุ้นของต่างชาติจาก 25% ไปเป็น 49% ซึ่งเป้นเพดานการลงทุนสูงสุดเลยทีเดียว...
ซึ่งเรื่องนี้ถ้ามองในแง่เศรษฐกิจแล้วก็เป็นการเปิดช่องให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน... แต่ที่ทำให้ต้องมองเรื่องนี้จริงๆนั้นอยู่ต่อจากนี้...
นั่นคือการขายหุ้นของกลุ่มชินให้กับเทมาเส็กของสิงคโปร... ซึ่งการขายหุ้นครั้งนี้ทำหลังจากการประกาศอย่างเป็นทางการได้เพียง2 วัน... ทำให้มีประเด็นการเอื้อประโยชน์...
แล้วถ้ามารวมกับปัญหาต่างๆ ที่สะสมมาแล้ว... ในช่วงเวลาต่อมาก็มีการประท้วงนอกสภาต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะความเคลือบแคลงสงสัย... จากหลายกลุ่ม ทั้งอาจารย์.. นักศึกษา.. นักวิชาการ... แต่ก็มีกลุ่มที่สนับสนุนเช่นกัน...
ซึ่งสิ่งสำคัญที่เป็นประเด็นหลักๆ นั่นคือการตรวจสอบการทำงาน... และการให้นายกลาออก
โดยถ้ามองการตรวจสอบในทางสภาแล้วอำนาจตรวจสอบก็มีน้อยเกินไป เพราะเสียงจากพรรคร่วมฝ่ายค้านนั้นรวมกันก็ไม่เพียงพอที่จะอภิปรายนายกรัฐมนตรี...
มาที่อีกช่องทางหนึ่งนั่นก็คือ ปปช.(สำนังานป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ) ซึ่งก็ยังไม่มี เพราะถูกถอดถอนออกไปก่อนหน้า....
ต่อมาที่ศาลรัฐธรรมนูญ... อันนี้ต้องบอกว่าเป็นช่องทางสุดท้ายของทางออกแล้ว... แต่ทางศาลเอกก็ไม่ยอมรับการตรวจสอบที่มีการเข้าชื่อของ27 สว.
ทำให้ไม่มีทางออกของปัญหาทางการเมือง... แต่ตอนนั้นนายกก็ได้มีการกล่าวถึงการเปิดอภิปรายร่วมสองสภานั่นคือ สส. และสว. ซึ่งถือเป็นช่องทางใหม่... ที่จะได้ให้ประชาชนรับรู้ถึง.. ข้อเท็จจริงในประเด็นต่างๆ ที่รัฐบาลถูกกล่าวหา...
แต่แล้วช่องทางนี้ก็ถูกปิดลง... ด้วยการตีกรอบการประชุมร่วมซึ่งเรียกได้ว่า ไม่มีเรื่องของการกล่าวหาใดๆ เกี่ยวข้องเลย... ทำให้ปัญหาต่างวๆ ยิ่งตึงเครียดมากขึ้น... ทั้งแรงกดดันจากนอกสภาที่รวมตัวกัน... เป็นกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย...
นายกได้รับแรงกดดันมากในช่วงนั้น แต่ก็ยังคงบอกว่าจะไม่ลาออก ทั้งยังมีการเอยถึงการแก้ไขนัฐธรรมนูญด้วย...
แต่ในเวลาไม่นานนัก นายกก็ได้มีการประกาศยุบสภา... ซึ่งก็มีข่าวลือออกมาก่อนหน้านั้นว่า ได้มีการร่างกระราชกฤษฎีกาการยุบสภาไว้แล้ว...
ซึ่งนายกได้ให้คำแถลงการณ์ในเรื่องนี้ว่า เป็นการคืนอำนาจให้ประชาชน... แต่ก็กำหนดวันเลือกตั้งไว้วันที่ 2 เมษา.. ซึ่งถ้านับกันจริงๆ ก็ 30 กว่าวัน... ซึ่งก็เร็วกว่าปกติมาก...
ซึ่งถ้าลองมองการกระทำของรัฐบาลในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาแล้ว... เกือบเรียกได้ว่า เป็นเผด็จการที่เดียว... โดยเห็นจากหลายๆ เรื่อง ทั้งการไม่ฟังคำค้านใดๆ ที่เป็นผลเสียเลย... อีกทั้งยังการกระทำที่ส่งผลกระทบกับประเทศในแง่ต่างๆ..
และสิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญจริงๆ นั้นคือการตรวจสอบที่ทำไม่ได้เลย..
ปัญาหาจริงๆที่ผมอยากจะบอกในตอนนี้คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ...
ซึ่งถ้าลองมองย้อนไปแล้วนายกมีความคิดที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้อยู่แล้ว...
โดยผมเองมองว่ามันเป้นเรื่องที่ถูกต้อง... และควรเห็นเป็นเรื่องแรกจริงๆ เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ต้องบอกว่าให้อำนาจแก่ฝ่ายที่เป็นรัฐบาล เพราะในช่วงทีมีการาร่างรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่ใช้กันอยู่นี้เป็นช่วงที่ รัฐบาลขาดอำนาจและเสถรียรภาพ ทำให้รัฐธรรมนูฐฉบับนี้ให้อำนาจรัฐบาลมากว่าที่เป็นอยู่... ซึ่งถ้าเป็นเมื่อสมัยรัฐบาลทักษิน1 ก็จะมีอำนาจไม่มากเกินไป.. เพราะเป็นรัฐบาลพรรคร่วม... เพราะจะมีความหลายและเป้นกลางในการตัดสินใจตั้งแต่ต้น...
แต่ในสมัยที่สองนั้น... กลับเป็นรัฐบาลพรรคเดียว ซึ่งก่อให้เกิดปัญหามาก เพราะฝ่ายค้านไม่อาจทำหน้าที่ตรวจสอบได้เต็มที่อีกทั้งยังมีปัญหาเรื่องปปช.เข้ามาอีก... ดังนั้นรัฐธรรมนูญฉบับนี้จึงเรียกได้ว่าให้สิทธิขาดกับรัฐบาลพรรคเดียวมากตามที่นายกเคยขอไว้ตอนเลือกตั้ง... ทำให้เกิดปัญหา "เผด็จการในระบอบประชาธิปไตย"อย่างแท้จริง...
ดังนั้นพอมาลองดูปัญหากันจริงๆ แล้ว.. ปัญหาที่นายกควรแก้ไขจริงๆ ตั้งแต่ก่อนจะตัดสินใจยุบสภานั้นก็คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูฐ ซึ่งเป็นการทำเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง... และหลังจากนั้นจะยุบสภาก็คงไม่มีเสียงคัดค้าน...
แต่นายกกลับเลือกที่ใช้รัฐธรรมนูญฉบับเดิมที่มีปัญหา... ในการเลือกตั้งครั้งต่อไปที่จะเกิดขึ้น... ทำให้เกิดการต่อต้านจากฝ่ายต่างๆ ... ซึ่งผมมองว่านี่เป็นการเล่นการเมืองของทางพรรคไทยรักไทย แล้วก็อ้างว่าทำเพื่อประชาชน...
โดยการยุบสภาครั้งนี้เรียกได้ว่ามีผลได้หลายทาง... นั่นคือ.. หลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากการทำงานทั้งหมด... ทั้งเรื่องการเอื้อประโยชน์... และเมื่อการเลือกตั้งครั้งต่อไปมาถึงเรื่องที่ผ่านไปก็จะไม่ถูกยกมาพูดอีก..
แต่ก็เกิดสิ่งที่เรียกได้ว่าไม่เคยมีมาก่อนในการเมืองไทย นั่นคือ การบอยคอตการเลือกตั้ง... ซึ่งตรงนี้ผมมองว่าเป็นกรเล่นเกมการเมืองด้วยของทางฝ่ายค้าน...
แต่สิ่งที่ฝ่ายค้านนั้นเสนอก็น่าสนใจคือการ ลงสัตยาบรรณ... ให้แก้รัฐธรรมนูญ แต่ต่อมาก็มีปัญหาอีก.. นั่นคือ... การลงสัตยบรรณกับทางพรรคฝ่ายค้านที่มี4พรรคที่ได้พื้นที่ในสภา และกับทางพรรครัฐบาลที่รวมเอาพรรคการเมืองนอกสภาอีก 16 พรรค ซึ่งไม่รวมกับฝ่ายค้าน...
ในมุมมองของผมมองว่าตอนนี้ต่างฝ่ายต่างก็เล่นการเมืองใส่กัน... ไม่มีฝ่ายไหนทำเพื่อประชาชนจริงๆ... โดยผมเองก็คิดว่าการลาออกของนายกนั้นผมเฉยๆ..ออกก็ได้ ไม่ออกก็ได้.. ซึ่งก็มีคำถามว่าถ้านายกลาออกแล้วใครจะเป็นต่อได้...
ถ้าพูดถึงความสามารถแล้วคงไม่มีใครเทียบได้ตามที่เรามองเห็น... แต่เราลืมไปว่าเมืองไทยไม่ได้มีแค่เรา... และคนที่ออกสื่อ... ยังมีคนที่มีความสารถแต่ไม่แสดงออกอีกเยอะ... เพียงแต่นายกทักษิณ.. นั้นช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจจากย่ำแย่มาได้เรียกได้ว่าเก่งมาก... ทำให้เรายึดติดกับบุคคลมาเกินไปว่าต้องคนนี้นะ... ต้องคนโน้นนะ...
ซึ่งผมมองว่ารัฐบาลสมัยหน้าจะเป็นนายกทักษิณก็ได้เช่นกัน.. แต่รัฐธรรมนูญก็ต้องมีอำนาจในการตรวจสอบที่ทั่วถึงมากกว่าที่ผ่านมา... ทั้งฝ่ายค้าน และองค์กรณ์อิสระต่างๆ ก็ต้องมีมากขึ้น...
ปล.ผมรู้สึกว่านี่เป็นการเขียนที่เยอะที่สุดตั้งแต่เขียนมาเลย... คนที่ไม่รู้เรื่องการเมืองก็ตามข่าวกันดีๆ นะครับ.. ส่วนคนที่เชียร์ฝั่งไหนก็ตามทั้งนายก และฝ่ายค้านผมคิดว่าลองมองลายละเอียดที่เขาบอกออกมาบ้าง เพราะมันจะทำให้คุณเป็นกลาง...
ปล.2 อย่าเชื่อในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมากเกินไปนะครับ.. เพราะไม่ว่าใครต่างก็มีผลประโยชน์ด้วยกันทั้งนั้น... ผมอยากให้ทุกคนฟังทุกฝ่าย และคิดอย่างรอบคอบก่อนที่จะเชื่อนะครับ.... (แม้แต่ผมก็ตาม.. ไม่มีข้อยกเว้นครับ)
Create Date : 02 มีนาคม 2549 |
|
9 comments |
Last Update : 2 มีนาคม 2549 2:05:00 น. |
Counter : 356 Pageviews. |
|
|
|
| |
โดย: Pathorn 2 มีนาคม 2549 2:01:24 น. |
|
|
|
| |
โดย: prncess 2 มีนาคม 2549 8:09:55 น. |
|
|
|
| |
โดย: ภูติ 2 มีนาคม 2549 10:52:27 น. |
|
|
|
| |
โดย: pinturicchio boy IP: 203.113.34.13 3 มีนาคม 2549 1:03:56 น. |
|
|
|
| |
โดย: surely 3 มีนาคม 2549 19:28:35 น. |
|
|
|
| |
|
|
Pathorn |
|
|
|
|