--but life goes on, and this old world will keep on turning--
ใต้ซุ้มไม้หอม



ฉันจอดรถลงหน้าบ้านพักสองชั้นหลังกะทัดรัด แวดล้อมด้วยสนามหญ้ากว้างสีเขียวสด มีไม้ดอกหลายชนิดแข่งกันชู่ช่ออยู่ในสวนหย่อมเล็กๆ กลางสนาม


ในเวลาเย็นจนเกือบเข้าโพล้เพล้ สภาพรอบตัวดูไม่ต่างจากที่ฉันได้เห็นครั้งสุดท้ายเมื่อเกือบสิบปีที่ผ่านมา นอกจากตัวบ้านที่เก่าโทรมลงเล็กน้อย และซุ้มต้นเล็บมือนางที่ต่อขึ้นจากไม้ระแนงอย่างง่ายๆ จะโย้เย้ไปทางหนึ่งเพราะน้ำหนักของเถาไม้หอมที่พาดพันอยู่อย่างหนาแน่น ออกดอกพรู เป็นสีขาว เหลือง ชมพู แดง ไล่สีไปอย่างแปลกตา

ป้ายชื่อหน้าบ้านเปลี่ยนจากชื่อของพ่อฉัน อย่างที่ฉันเห็นมันมาจนคุ้นชินตั้งแต่เด็ก มาเป็นชื่อของใครอีกคนหนึ่งที่คุ้นตาไม่ต่างกัน เพียงแต่คำบอกยศหน้าชื่อของเขาเปลี่ยนไป ตามวันเวลาที่ล่วงผ่านมานานเหลือเกิน


พันโท กริช ฤทธิเวธิน


ในโรงรถมีรถจี๊ปซูซูกิสีเขียวเข้มรุ่นดึกดำบรรพ์ แบบที่ทหารมักเรียกกันว่า รถกระป๋อง จอดอยู่เพียงคันเดียว คงเป็นรถประจำตำแหน่งของเขา เพราะด้านข้างมีตัวอักษรเล็กๆ พ่นสีขาว บอกสังกัดกองพันที่เขาคงจะทำงานอยู่

ตัวบ้านปิดเงียบ จนฉันชักสงสัยว่า ถึงเขาจะยังไม่กลับ แล้วครอบครัวของเขา ที่ควรจะอยู่บ้านในเย็นวันเสาร์อย่างนี้ หายไปไหนกันหมดนะ

ครอบครัว.. จริงสิ ฉันยังไม่เคยได้ยินเลยนี่นาว่าเขามีครอบครัวแล้ว แต่คิดอีกทีก็ไม่แปลกอะไร ในเมื่อฉันเองก็ไม่ได้อยู่เมืองไทยมากนัก จนเกือบจะลืมเลือนเขาไปแล้วในที่สุด แม้ว่าในอดีต เขาจะเคยเป็นคนที่ฉันหายใจเข้าออกก็นึกถึง เป็นฮีโร่สำหรับฉันเสมอไม่ว่าในเรื่องใดๆ


หากครั้งนี้จะไม่มีความบังเอิญ บังเอิญว่าฉันกลับมาเยี่ยมบ้านในช่วงออกจากงานที่บริษัทในต่างประเทศ บังเอิญว่าไม่มีใครอยู่บ้านเลยในวันที่เขาโทรมา และบังเอิญเหลือเกินที่เขาจำเสียงฉันได้แทบจะในทันที เมื่อฉันแจ้งว่าพ่อและแม่ไปร่วมงานสโมสรนายทหารอยู่ และคงยังไม่กลับจนดึก

"น้องปิ่นใช่ไหมครับ" เสียงห้าวๆ ของฝ่ายนั้นตื่นเต้น

"ค่ะ" ฉันมีแต่ความงุนงง "ขอโทษนะคะ นั่นใครพูดคะ"

"พี่..กริชครับ น้องปิ่นจำไม่ได้เหรอ"

"พี่กริช !" คราวนี้เสียงฉันลิงโลด พร้อมกับคำถามอีกนับสิบที่รัวจนแทบจะลืมหายใจ

พี่กริชได้แต่หัวเราะ เมื่อตอบคำถามฉันไปเรื่อยๆ จนได้ความว่า เขายังอยู่ที่เดิม ในค่ายทหารของจังหวัดเล็กๆ ที่พ่อฉันเคยสังกัดอยู่ ก่อนจะย้ายมากินตำแหน่งในกรุงเทพอย่างตอนนี้

"ตอนนี้พี่เป็นผู้พันแล้วนะ เพิ่งรับตำแหน่งไปเมื่อเดือนตุลานี่เอง"

"โอ๊ยตายแล้ว" ฉันกรี๊ดกร๊าด "อาไร้ ปิ่นยังเรียกพี่หมวดๆ อยู่ไม่กี่วัน กลายเป็นผู้พันไปแล้วหรือคะ"

เขาหัวเราะ เพราะนั่นคือคำเรียกล้อๆ ที่ฉันเคยใช้ล้อเลียนเขาจริงๆ ก่อนที่จะบอกธุระที่ทำให้เขาต้องโทร.มา ธุระที่ทำให้ฉันใช้เป็นข้ออ้างในการขับรถข้ามจังหวัดมาหาเขาในวันนี้จนได้

"ท่านรองฯ อยากได้กิ่งมะม่วงหนองแซงต้นหลังบ้านพักน่ะครับ ท่านบอกกินที่ไหนก็ไม่อร่อยเท่า" พี่กริชเรียกพ่อฉันอย่างนั้น ฟังดูแปลกหู

"โอ้โห คุณพ่อเอาอีกแล้ว พี่กริชลำบากแย่" ฉันถอนใจเฮือก พ่อฉันน่ะถนัดนักละไอ้เรื่องทำความเดือดร้อนให้ผู้ใต้บังคับบัญชา หรือแม้แต่อดีตผู้ใต้บังคับบัญชาก็เถอะ ส่วนใหญ่ในเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องได้เสียด้วย

"ไม่ลำบากหรอกครับ ตอนนี้พี่อยู่บ้านพักหลังเดิมของท่าน" ซึ่งก็คือบ้านที่ฉันเคยอยู่มาตั้งแต่ประถมจนจบม.ปลายนั่นแหละ พี่กริชหัวเราะอีก จนฉันนึกค่อนในใจว่าหัวเราะเก่งเสียจริง "พี่แค่ให้ทหารตอนไว้ให้ นี่ดูน่าจะใช้ได้แล้ว เลยว่าจะเอาไปให้ท่านที่กรุงเทพ"

"พี่กริชไม่ต้องเข้ามาหรอกค่ะ" ฉันตัดสินใจในทันที ก็ฉันมานั่งๆ นอนๆ อยู่อย่างนี้จนเบื่อเต็มทีแล้วนี่นะ "ปิ่นว่าง เดี๋ยวปิ่นไปเอาเอง มีแผนจะแวะไปหาเพื่อนเก่าๆ ที่นั่นพอดีด้วย"

ประโยคท้ายฉันเพิ่งคิดได้สดๆ ร้อนๆ แต่ก็ต้องรีบเติม ก่อนที่เขาจะออกปากห้าม

"ไม่ดีหรอกครับ เดี๋ยวท่านจะว่าพี่อีก เหมือนที่เคยพาน้องปิ่นไปซนตอนเด็กๆ.." เสียงค้านของเขาอ่อนอ่อย แต่ฉันก็รู้ว่าฉันเอาชนะได้เสมอ

"พรุ่งนี้เย็นพบกันนะคะ" ฉันบอกแค่นั้นก่อนจะวางหู ไม่รอให้เขาได้ต่อรองอีก


แล้วฉันก็ได้มายืนอยู่หน้าบ้านหลังเก่า ที่ดูเล็กลงมากในความรู้สึกของฉัน คงเพราะฉันได้ออกไปเห็นโลกกว้างมานานปี โลกใบเล็กๆ ในค่ายทหาร ที่เคยมีเพียงบ้านหลังนี้ สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้บ้านที่มีไว้ออกกำลังกาย กับจักรยานคันเก่าที่ฉันเคยปั่นตามหลังพี่กริชไปเที่ยวเล่นอย่างไม่ลดละในทุกวันหยุด จึงดูแคบลงอย่างไม่น่าเชื่อ

พี่กริชย้ายมาประจำที่นี่ขณะที่มียศร้อยโท สังกัดกองพันที่พ่อฉันเป็นผู้บังคับกองพันอยู่ และจะด้วยความถูกชะตาหรืออะไรก็ไม่แน่ พ่อจึงชอบเรียกใช้และดูจะเอ็นดูพี่กริชเป็นพิเศษอยู่เสมอ แม้ว่าจะมีเขม่นแกมหมั่นไส้อยู่บ้างเวลาฉันเห่อพี่กริชจนออกนอกหน้า จนเป็นที่รู้กันว่าไม่ว่าเรื่องอะไรที่ฉันดื้อนัก ลองให้พี่กริชมานั่งกล่อม เพียงไม่นานฉันก็ยอมตามเขา


ตอนที่ได้เจอพี่กริชครั้งแรก ฉันเพิ่งจะอายุสิบสามเท่านั้นเอง เพิ่งจะขึ้นชั้นมัธยมได้ไม่ถึงปี และยังไม่รู้จักความหลงใหลใดๆ ในเพศตรงข้าม ความเห่อของฉันจึงเป็นเพียงความรู้สึกของน้องสาวเล็กต่อพี่ชายใหญ่ ที่แสนจะใจดี แถมยังตามใจ ทำอะไรก็น่าสนุกไปเสียหมด ไม่น่าเบื่อเหมือนพ่อกับแม่ที่เอาแต่บ่นว่า ไม่เข้าใจเด็กวัยรุ่นที่กำลังอยากรู้อยากเห็นอย่างฉันเอาเสียเลย พี่ชายสองคนที่เคยเป็นเพื่อนเล่นกันก็แยกย้ายกันไปเรียนมหาวิทยาลัยกันหมดแล้ว ทิ้งให้ฉันกับน้องสาวเล็กๆ ที่วัยห่างกันจนเกินกว่าจะเล่นกันได้ อยู่กับพ่อแม่ที่แสนจะน่าเบื่อต่อไป

พี่กริชนี่แหละที่พาฉันไปปีนภูเขาลูกเตี้ยๆ ที่ใช้เป็นสนามฝึกทหารในค่าย บุกป่าฝ่าดงเข้าไปขุดหน่อไม้ไผ่รวก เอามาต้มน้ำใบย่านาง ซึ่งก็เก็บเอาแถวนั้นอีกแหละ เพื่อเอามาทำซุปหน่อไม้แซบๆ กินกันที่บ้าน ทำแร้วดักไก่ป่า แล้วยังไปห้อยโหนเก็บมะขามป้อม ที่ฉันก็เพิ่งเคยเห็นกับตาว่ามันไม่เหมือนมะขามสักนิด และรสชาติก็เฝื่อนจนอยากถ่มทิ้ง หากว่าพี่กริชจะไม่ยื่นกระติกน้ำให้กิน เพื่อให้รู้ว่ารสหวานชุ่มคอของมะขามป้อมนั้นเป็นอย่างไร


นอกจากเป็นเพื่อนเล่น พี่กริชยังเป็นครูกวดวิชาให้ฉันได้ในแทบทุกกลุ่มวิชา คงจะยกเว้นวิชางานฝีมือเท่านั้นแหละที่ฉันไม่เคยให้เขาช่วย เพราะแม้แต่วิชาภาษาไทย ฉันยังเคยไปบังคับให้พี่กริชแต่งโคลงสี่สุภาพให้มาแล้ว และเขาก็ทำได้ดี จนฉันได้คำชมจากครูเสียอีก

"โรงเรียนนายร้อยนี่ เค้าสอนครอบจักรวาลดีเนอะ เท่เป็นบ้า" ฉันเคยรำพันเมื่อนั่งเท้าคางดูพี่กริชเขียนสมการเคมีให้

"ก็ไม่เชิงหรอก นี่พี่ต้องไปค้นตำราเก่าๆ มานั่งอ่านยังกับตอนกวดวิชาสอบเข้าแน่ะ" คนถูกชมว่าเท่กลับขมวดคิ้ว "ถ้าขืนพี่ตอบอะไรน้องปิ่นไม่ได้ ก็โดนโวยลั่นบ้านน่ะสิ"

ก็จริงของเขา.. ฉันนึกอย่างขันๆ ถึงทุกวันนี้ ฉันยังนึกไม่ออกเลยว่า เคยมีคำถามใดที่พี่กริชตอบฉันไม่ได้บ้าง เพราะไม่ว่าเรื่องอะไร เขาก็เพียรพยายามไปค้นหาคำตอบมาให้ฉันได้ไปเสียทุกเรื่อง


จนเมื่อฉันเริ่มโต เริ่มมีเรื่องกุ๊กๆ กิ๊กๆ ตามประสาหนุ่มสาวเข้ามาให้สนใจ มีหนุ่มหลายคนที่ฉันแอบไปปลื้ม และมีอีกหลายหนุ่มที่เข้ามาป้วนเปี้ยนรอบตัวฉัน ถึงตอนนี้ ฉันก็มีเรื่องให้คิดเยอะแยะไปหมด จนไม่มีเวลาไปเที่ยวเล่นซนแบบเด็กๆ อีกแล้ว ฉันจึงห่างพี่กริชออกมาโดยปริยาย

เขาเองก็คงตั้งใจตีตัวออกห่างฉันไปด้วยเหมือนกัน เมื่อเริ่มมีข่าวลือในทางไม่ค่อยดีนักว่า พี่กริชมาจีบลูกสาวนาย ซึ่งแม้ครอบครัวฉันจะตัวเขาเองจะรู้ว่าไม่จริง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นความไม่เหมาะสม และอาจเป็นผลร้ายกับหน้าที่การงานของเขาอย่างยิ่ง ฉันกับพี่กริชจึงกลายเป็นคนรู้จักที่ห่างเหินกันตั้งแต่บัดนั้น

เมื่อฉันจบมัธยมปลายและตัดสินใจไปเรียนต่อต่างประเทศ ก็พอดีกับที่พ่อฉันย้ายเข้ากรุงเทพ ฉันจึงขาดการติดต่อจากพี่กริชไปตั้งแต่นั้น แม้ว่าจะนึกถึงเขาบ้างนานๆ ครั้ง ยามที่กลับไปเยี่ยมเพื่อนเก่าในตัวจังหวัด แต่ก็ไม่เคยคิดจะไปตามหาเขาอย่างจริงๆ จังๆ เสียที


จนวันนี้ อาจจะเป็นเพราะเสียงห้าวๆ แกมหัวเราะของเขาที่ฉันได้ยินจากสายโทรศัพท์กระมัง ที่ทำให้จู่ๆ ฉันก็อยากเจอเขาขึ้นมาอย่างรุนแรง

ฉันนั่งลงที่ม้าหินเก่าๆ ใต้ซุ้มเล็บมือนาง ที่เริ่มมีกลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมากับสายลมยามเย็น ม้าหินตัวนี้แหละที่ฉันเคยบังคับให้พี่กริชนั่งลงช่วยทำการบ้าน ตอนนั้นพี่กริชเพิ่งได้เลื่อนยศเป็นร้อยเอกใหม่หมาด และฉันก็ล้อเขาไม่รู้จักจบสิ้น

"พี่ผู้กอง พี่ผู้กอง พี่ผู้กอง" ฉันรัวเสียงถี่ยิบเมื่อกระโดดลงจากรถคันใหม่เอี่ยม ที่หนึ่งในหนุ่มๆ ของฉันตอนนั้นอาสาขับมาส่ง ถลาเข้าไปหาร่างสูงที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ใต้ซุ้มไม้ "ทำไมวันนี้ไม่แต่งเครื่องแบบมา ปิ่นอยากเห็นดาวสามดวงวับๆ บนบ่า"

"เรียกพี่หมวดเหมือนเดิมเหอะ" พี่กริชเงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิมพ์ หัวคิ้วขมวดมุ่น เสียงดุ มองดูรถที่เพิ่งวิ่งออกไปด้วยสายตาไม่เป็นมิตรนัก "พี่เปลี่ยนชุดวอร์มไปวิ่งมาน่ะซี น้องปิ่นกลับบ้านช้าเหลือเกินนี่วันนี้"

"ปิ่นไปกินไอติมกับพี่เว้มา" ฉันบอกเสียงใส ไม่ใส่ใจกับเสียงดุๆ แหละหน้าหงิกเป็นม้าหมากรุกของอีกฝ่าย บางทีพี่กริชก็เป็นอย่างนี้ ชอบทำตัวเป็นพ่อยิ่งกว่าพ่อจริงๆ ของฉันเสียอีก ยิ่งระยะหลังนี่ชักหนักขึ้นเรื่อยๆ

"พี่เว้อะไรนี่ใครอีกล่ะ" เขาถามเอื่อยๆ กลับไปกวาดสายตาอ่านหนังสือพิมพ์ต่ออย่างไม่สนใจ

"อย่าให้บอกนามสกุลเล้ย พี่หมวดจะหนาว" ฉันกลับไปเรียกเขาล้อๆ ตามเดิม ทำเสียงโอ่นิดๆ "ลูกสจ.คนดังเชียวนะ"

"ยังเรียนอยู่มีรถขับได้ยังไง" พี่กริชถามเปรยๆ ขึ้นมาอีก "มีใบขับขี่หรือเปล่า"

"ฮื้อ พี่หมวดนี่" ฉันชักอารมณ์เสีย "ถามอะไรยังกับพ่อ ไม่คุยด้วยแล้ว"

เมื่อฉันทำท่าจะสะบัดหน้าเดินเข้าไปในตัวบ้าน พี่กริชก็เสียงอ่อนลง

"ถามไปงั้นแหละน่า ไหนการบ้านวันนี้ ไม่มีอะไรให้ช่วยเหรอ"

แค่นั้น ฉันก็นั่งลง หยิบการบ้านสารพัดวิชาออกมาให้พี่กริชช่วยทำเหมือนเคย และเมื่อไม่มีเรื่องหนุ่มๆ ของฉันเข้ามาเกี่ยวข้องในบทสนทนาอีก พี่กริชก็กลับมาเป็นพี่กริชคนเดิมที่ตามใจและเอาอกเอาใจฉันไปทุกเรื่อง


ฉันนึกเสียใจขึ้นมานิดหน่อยที่ทำเหมือนลืมเขาไปสนิทในช่วงหลายปีมานี้ แม้ว่าช่วงแรกๆ ฉันจะกลับมาเยี่ยมบ้านทุกปี แต่ก็ไม่มีโอกาสได้กลับมาที่จังหวัดนี้บ่อยนัก ยิ่งปีหลังๆ หลังจากเรียนจบและทำงานแล้ว ฉันก็แทบไม่ได้กลับเมืองไทยครั้งละนานๆ อีกเลย จนกระทั่งลาออกจากงานและตั้งใจจะพักผ่อนสักระยะอย่างตอนนี้นั่นแหละ

กลิ่นหอมของดอกเล็บมือนางแรงขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับแสงสว่างรอบตัวที่น้อยลงทุกที ฉันยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้ นึกแปลกในที่พี่กริช-คนที่ไม่เคยมาสายเมื่อมีนัดกับฉัน จะมาสายเอามากๆ ในวันที่ไม่ควรจะสาย-อย่างวันที่ฉันกับเขาจะได้เจอกันครั้งแรกในรอบแปดปีอย่างนี้


หกโมงครึ่ง ช้าไปกว่าเวลาที่พี่กริชควรจะมาถึงหนึ่งชั่วโมงเต็ม ฉันเดินไปเปิดสวิตช์ไฟที่โรงรถ แปลกใจตัวเองที่ยังจำตำแหน่งของมันได้แม่นยำราวกับเป็นบ้านตัวเอง แต่คิดอีกที มันก็เคยเป็นบ้านของฉันจริงๆ นี่นะ..

แสงนวลๆ ของหลอดสีส้มสามสิบแรงเทียนหน้าบ้านสว่างขึ้น พร้อมกับรถคันเล็กคันหนึ่งเลี้ยวเข้ามาจอดต่อจากรถฉัน


ร่างที่ก้าวลงมาทำให้ฉันลืมทุกอย่าง เมื่อก้าวจนแทบเป็นวิ่ง ตรงเข้าไปหาร่างนั้นอย่างดีใจ อย่างที่ฉันเองก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองดีใจถึงเพียงนี้

"พี่กริชมาช้า" ฉันต่อว่าทันที เกือบจะปราดเข้าไปดึงแขนเขาอย่างที่เคยทำด้วยซ้ำ แต่หยุดเสียก่อนเพราะนึกได้ถึงการควรไม่ควร

ในแสงสลัว ฉันเห็นดวงหน้าคุ้นตานั้นเปิดยิ้มกว้าง เขาดูไม่เปลี่ยนไปนัก แม้จะอยู่ในวัยใกล้สี่สิบเต็มที รูปร่างยังคงสูงโปร่ง แม้จะเจ้าเนื้อขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นอ้วนลงพุง และดวงหน้าคมคายนั้นก็ยังมีรอยละมุน ใจดีอยู่เหมือนเดิม มีเพียงผิวที่ขาวขึ้นบ้าง คงเป็นเพราะห่างหายจากการคุมกำลังออกฝึกในภาคสนาม มาทำงานนั่งโต๊ะอย่างนายทหารอาวุโสส่วนมาก

"พี่ขอโทษ นึกว่าจะไม่ได้เจอกันซะแล้ว" ประโยคแรกของเขากลับเป็นอย่างนั้น "น้องปิ่นเปลี่ยนไปเยอะ พี่เจอที่อื่นคงจำไม่ได้"

น่าแปลกที่สายตายิ้มๆ ของเขากลับทำให้ฉันนึกกระดากขึ้นมาเป็นครั้งแรก

"สวยขึ้นหรือสวยลงล่ะคะ ที่ว่าจำไม่ได้" ฉันทำหน้าทะเล้น ทั้งที่หัวใจเต้นผิดจังหวะขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้

พี่กริชหัวเราะ เมื่อพาฉันไปดูกิ่งตอนของมะม่วงที่อยู่ในถุงดำ วางพิงผนังโรงรถเอาไว้เรียบร้อย ก่อนจะเดินนำฉันไปนั่งลงที่ม้าหินตัวเก่าใต้ซุ้มไม้หอม

"สวยขึ้นสิ" เขาทำเสียงเรื่อยๆ พอกับสายตายิ้มๆ อีก

"เมื่อก่อนก็สวยอยู่แล้ว ไม่งั้นหนุ่มๆ จะเยอะจนหัวกระไดไม่แห้งเหรอ.." เขาลากเสียง "เสียแต่ขี้วีนไปหน่อย"

"โอ๊ย" ฉันร้อง "ขี้วีนนี่ไม่เคยมี แต่เรื่องสวยนี่คงสวยแน่ๆ ล่ะค่ะ ก็พี่กริชเล่นมาทุกวัน หัวกระไดไม่แห้งเหมือนกัน"

หลุดปากออกไปแล้วก็ตกใจ เพราะเมื่อได้ยินประโยคนั้นของตัวเอง ฉันก็ชะงักไปเหมือนกัน

แต่ดูอีกฝ่ายจะไม่ได้ใส่ใจกับท่าทีของฉัน เขาเพียงถามยิ้มๆ ต่อไปตามเดิม

"น้องปิ่นขับรถมาเอง แล้วคืนนี้จะพักที่ไหน"

"ยังไม่รู้เลยค่ะ" ฉันยักไหล่ หัวเราะกับความชุ่ยของตัวเอง "ก็คงบ้านเพื่อนซักคนนึงในเมือง โทรไปชวนกินข้าวไว้หลายคนแล้วล่ะค่ะ คงมีใครใจดีให้นอนซักบ้าน ถ้าไม่มีก็กลับกรุงเทพ แค่นี้เอง ขับไม่ถึงสามชม."

"นอนที่นี่ก็ได้" พี่กริชบอกอย่างปกติที่สุด "คืนนี้พี่จะออกไป..ที่อื่น..พอดี"

ฉันกะพริบตา แต่ก็พยายามยิ้มให้เหมือนเดิม

"ได้ไงเล่า น่าเกลียดตาย แฟนพี่กริชจะว่ายังไง"

"พี่ล้อเล่นน่ะ" เขากลับบอกยิ้มๆ แววตาไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย "แต่พี่ไม่อยากให้น้องปิ่นขับรถกลับคนเดียว ถนนกำลังซ่อม อันตราย"

"แหม อย่าเฉไฉ ตอบคำถามให้ครบก่อนสิคะ" ฉันไม่ยอมให้เขาเปลี่ยนเรื่อง "แฟน ไม่สิ ภรรยาพี่กริชล่ะ"

เนิ่นนาน กว่าเขาจะเปิดรอยยิ้มบางๆ ตอบด้วยคำตอบที่ฉันนึกไม่ถึง

"พี่ยังไม่ได้แต่งงาน" เสียงเขาไม่เปลี่ยนไปแม้แต่นิดเดียว

"ฮ้า ไม่เชื่อหรอก" ฉันเบิกตากว้าง ทำเสียงรู้ทัน "งั้นก็คง มีกิ๊กทั่วไปหมดแต่ไม่ยอมแต่งซะที ใช่มั้ยล่ะ"

พี่กริชกลับไม่หัวเราะอย่างที่ฉันคิด หากมองหน้าฉันอยู่อึดใจใหญ่ กว่าจะเบนสายตาออกไป ระบายลมหายใจแผ่วเบา


"ก็..ไม่มีหรอกกิ๊ก แต่..พี่คงไม่แต่งงาน"


เงียบ ไม่มีคำอธิบายใดๆ จากเขาอีก ฉันมองตามสายตาเขาไปในความมืดของสนามหญ้า โน่นจำปีใหญ่ต้นเก่าที่มุมรั้ว ยังคงออกดอกขาว กระจายกลีบพร่างพรูอยู่ใต้ต้น ส่งกลิ่นหอมเย็นๆ โชยมาตามลม โน่นกุหลาบมอญสีชมพู ถูกตัดแต่งเป็นพุ่มใหญ่สวยงามอยู่กลางสวนหย่อม ออกดอกระดะ โน่นเข็มแสด ปลูกเป็นแนวยาวตลอดรั้วข้างบ้าน ให้ดอกสีสดหนาแน่นจนแทบไม่เห็นใบ เป็นระเบียบเท่ากันตลอดแนว แสดงถึงความเอาใจใส่อย่างดีของเจ้าของบ้าน

ทุกอย่างรอบตัวเหมือนเดิม เหมือนจนเกินไป.. เหมือนจนราวกับเวลาได้หยุดนิ่ง หยุดอยู่ที่วันวานที่ฉันเคยอยู่ที่นี่ วันที่ฉันยังเป็นเด็กมัธยมผูกคอซอง และพี่กริชก็ยังเป็น "พี่หมวด" ของฉัน ความเข้าใจบางประการรัวรางขึ้นมาเฉยๆ..


"ทำไมบ้านนี้ถึงเหมือนเดิมขนาดนี้ล่ะ พี่กริช" ฉันถามเสียงเบา ทั้งที่บอกไม่ถูกเหมือนกันว่า ฉันอยากได้ยินคำตอบนั้นจริงๆ หรือไม่ แต่ก็รู้ดีนั่นแหละว่า ยังไงเขาก็ต้องตอบฉันอยู่ดี..

เขาไม่ได้หันกลับมามองฉันด้วยซ้ำ เมื่อตอบเสียงเรื่อยๆ เหมือนเดิม

"พี่ชอบบ้านนี้ อยากให้มันเหมือนเดิม เหมือน..ตอนที่น้องปิ่นอยู่ที่นี่"

"นั่นแหละ ทำไม" เสียงฉันเหมือนเด็กหญิงคนเก่า ยามที่ร่ำร้องจะเอาอะไรให้ได้

ไม่มีคำตอบจากเขา นอกจากเสียงทอดถอน

"พี่กริช.." ฉันลากเสียงหนักๆ อย่างคาดคั้น

"เพราะพี่อยากให้.." ในที่สุดเขาก็ตอบเสียงเบา "ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่น้องปิ่นกลับมา มันก็ยังเป็นบ้านของน้องปิ่นอยู่เหมือนเดิมน่ะสิ"

"พี่กริช !"

เสียงอุทานของฉันรวมเอาหลากหลายความรู้สึกไว้ด้วยกัน ทั้งแปลกใจ คาดไม่ถึง ตื่นเต้น และสุดท้าย คือความซาบซึ้งใจ

เขาหันกลับมาสบตาฉันจนได้ แววตาเขาไม่ได้บอกอะไรสักนิด นอกจากความเอ็นดูและห่วงใยที่ฉายชัดเช่นเดิม

"แต่พี่เคยคิดว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว คิดว่าน้องปิ่นคงไม่กลับมาอยู่เมืองไทย"

"พี่กริช.." เสียงฉันแหบแห้ง "พี่กริชคิดว่าปิ่นจะไม่กลับมา แต่ก็เก็บบ้านนี้ไว้เหมือนเดิม เพื่ออะไรกันคะ"

เป็นครั้งแรกที่ดวงตาเขาฉายแววลึกซึ้งที่ฉันไม่เคยเห็น แต่ก็เพียงแวบเดียว ก่อนจะกลับไปเป็นพี่กริชคนเดิม

"ความสุขของคนเราไม่เหมือนกัน ในเมื่อความสุขของพี่คือการเก็บมันเอาไว้อย่างนี้ แล้วน้องปิ่นคิดว่าพี่ควรจะทำลายความสุขของตัวเองลง เพียงเพราะรู้ว่าน้องปิ่นจะไม่กลับมาน่ะหรือ.."

"ทำไมพี่กริชไม่เคยบอกปิ่น" เสียงฉันกล่าวหา ทั้งที่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะกล่าวหาเขาไปทำไม ก็ฉันเองมิใช่หรือ ที่ไม่คิดจะมาพบปะเขาจริงๆ จังๆ เสียที ทั้งที่ก็ผ่านมาแถวนี้หลายครั้ง


นาน กว่าฝ่ายนั้นจะยอมเปิดปาก ดูเขาไม่อยากพูดนักหรอก แต่คงกลัวฉันจะลงไปดิ้นเร่าๆ จะเอาให้ได้ตามเคย

"บอกแล้วได้อะไร" เขาทำหน้ายิ้มๆ เหมือนเคย "ไม่ว่าจะบอกหรือไม่บอก ผลลัพธ์มันก็เหมือนเดิม แต่การไม่บอกน่าจะเป็นการรักษาความทรงจำที่ดีระหว่างเราเอาไว้ได้มากกว่า จริงไหม"

"พี่กริชคิดไปเอง คิดไปเองทั้งนั้น" ฉันไม่รู้ว่าทำไมถึงโมโหได้มากมายขนาดนี้ แต่ถึงอย่างนั้น คำพูดที่พรั่งพรูเป็นน้ำไหลไฟดับนั้นก็ยังไม่ทันกับกระแสความคิดที่ไหลบ่ารุนแรงอยู่ดี ฉันต้องห้ามตัวเองเต็มที่ไม่ให้ปราดเข้าไปทุบเขาหนักๆ อย่างที่เคยชอบทำยามไม่ได้ดั่งใจ

"พี่กริชเคยพยายามหรือยัง เคยพยายามจะบอกให้ปิ่นเข้าใจบ้างหรือยังคะ ปิ่นไม่เคยรู้อะไรเลย ไม่เคยเลย.."

"น้องปิ่นรู้ แต่พยายามไม่รับรู้ต่างหาก" น่าแปลกที่สีหน้ายิ้มๆ ของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย "น้องปิ่นไม่ใช่คนโง่ ทำไมจะดูพี่ไม่ออก แต่น้องปิ่นไม่สนใจ ไม่รับรู้เองต่างหาก.."

"ไม่จริง.." ฉันยังพยายามเถียง

"โอเค พี่ยอมแพ้" สุดท้ายเขาก็ยังยอมตามใจฉันเหมือนเคย เมื่อทำเสียงปลอบประโลม "ช่างเถอะ มันผ่านไปแล้ว ตอนนี้เราก็ได้เจอกันแล้วไงล่ะ"


ฉันถอนใจยาว ในที่สุดโทสะรุนแรงของฉันก็สงบลงด้วยเสียงอ่อนๆ แววตายิ้มๆ ของเขาอีกครั้ง

"เล่าให้พี่ฟังดีกว่าว่าน้องปิ่นไปทำอะไรมาบ้าง"

"เรื่องเมื่อกี๊ยังไม่เคลียร์เลย" ฉันทำเสียงสะบัด

"ยังไม่เคลียร์ได้ไง ก็เราก็รู้สิ่งที่พี่อยากบอกแล้วไม่ใช่หรือ" เขากลับถามเสียอย่างนั้น

"พี่กริชไม่อยากรู้คำตอบรึไงเล่า" ฉันค้อนเขาเข้าให้

"พี่แค่อยากให้น้องปิ่นรู้ แต่ไม่ได้ต้องการคำตอบ" พี่กริชหัวเราะเมื่อฉันค้อนอีกครั้ง

"เอาน่า เวลามีน้อย นี่ก็มืดแล้ว" เขายังใจเย็นได้อย่างไม่น่าเชื่อ ก้มลงดูนาฬิกา แต่ก็ไม่ได้บอกฉันว่าจะรีบไปไหน

"ไหนเล่าสิว่าทำไมไม่ผ่านมาแถวนี้เลย"

"ปิ่นไปเรียนที่เมกานะคะ ไม่ใช่ยโสธร จะได้ต้องผ่านเมืองนี้บ่อยๆ" ฉันกลับไปเป็นฉันคนเดิมที่พูดจายียวนเขาอยู่ทุกประโยค และเขาก็หัวเราะขันในแบบเดิม

"กลับมาเยี่ยมบ้านบ้างหรือเปล่า"

"กลับสิคะ บางทีก็มาแถวนี้ด้วย แต่ไม่ได้มาในค่ายซะที" ฉันรีบออกตัวก่อนจะถูกเขากล่าวโทษ "ปิ่นนึกว่าพี่กริชย้ายไปแล้วด้วยซ้ำ พ่อไม่เคยพูดถึงเลย"

"ท่านไม่พูดหรอก" สีหน้าพี่กริชยังคงยิ้มละไม ทั้งที่ประโยคต่อไปทำให้ฉันสะดุ้งวาบ "เพราะท่านรู้น่ะสิว่าพี่คิดยังไงกับน้องปิ่น อย่างที่น้องปิ่นบอกว่าไม่เคยรู้นั่นแหละ"

"ปิ่นไม่รู้จริงๆ" เสียงฉันชักไม่มั่นคงนัก เอาเข้าจริงฉันก็เริ่มไม่แน่ใจเสียแล้วว่าฉันเคยรับรู้ความรู้สึกเหล่านี้บ้างหรือไม่

จะพูดว่าเข้าใจทั้งหมด ก็คงพูดได้ไม่เต็มปาก แต่จะพูดว่าไม่รู้อะไรเลย ก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ เพราะฉันก็เคยสังเกตเห็นความไม่สบอารมณ์ของเขา ยามที่ฉันคุยอวดเรื่องบรรดาหนุ่มๆ ของฉัน

คงเป็นฉันเองที่ไม่อยากยอมรับ และผลักไสไล่ส่งความรู้สึกนั้นออกไป ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่เมื่อถึงวันนี้ เมื่อนั่งอยู่ตรงหน้าเขา ฉันก็ปฏิเสธไม่ได้เสียแล้วว่า ความรู้สึกนั้นเคยมีอยู่จริง และฉันก็เคยรับรู้มันได้จริง แม้จะเพียงเลือนราง


"น้องปิ่นจะกลับมาอยู่เมืองไทยแล้วหรือ" เขาถามไปอีกเรื่อง คลับคล้ายไม่ติดใจในเรื่องพี่พูดกันอยู่อีก

"ยังไม่รู้เลยค่ะ" ฉันยกมือขึ้นลูบหน้าอย่างเผลอๆ รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาอย่างกะทันหัน "ปิ่นเพิ่งออกจากงาน กำลังเซ็งหลายๆ อย่างด้วย เลยกะว่าจะกลับมาพักผ่อนซักระยะ แล้วค่อยคิดว่าจะเอาไงต่อไป" ฉันเบ้หน้าก่อนจะบ่นต่อ

"แต่พ่อก็จะให้กลับมาทำงานในไทยท่าเดียว จนปิ่นขี้เกียจจะเถียงด้วยแล้ว"

"พี่ชายน้องปิ่นก็ไปอยู่เมืองนอกกันหมด ท่านรองคงเหงา อยากให้น้องปิ่นกลับมาอยู่บ้านซักคน" พี่กริชทำเสียงอ่อนๆ เหมือนที่เคยเปิดอบรมฉันในยามเป็นเด็ก

"แหม ก็ยังมียายปุ่นอีกคน" ฉันหมายถึงน้องสาวคนสุดท้อง ที่ยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย "ทำไมจะต้องมาเจาะจงเอาปิ่นด้วยก็ไม่รู้"

เขาเพียงแต่หัวเราะเบาๆ โดยไม่ตอบ และฉันก็บอกตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าเหตุใดจึงหลุดปากถาม ในสิ่งที่ไม่ควรถาม

"พี่กริชล่ะ ไม่อยากให้ปิ่นกลับมาอยู่เมืองไทยบ้างเหรอ.."

สายตาลึกซึ้งของเขาที่มองตรงมา ทำให้ฉันหยุดปากได้ในทันที

"ถ้าน้องปิ่นอยากกลับมา พี่ก็อยากให้กลับมา"

"พูดอะไรฟังไม่รู้เรื่อง" ฉันบ่นโดยไม่กล้าสบตาเขาอีกต่อไป "เมื่อก่อนพี่กริชไม่เห็นเคยพูดอะไรที่ต้องแปลไทยเป็นไทยอย่างนี้เลย"

"ก็แปลว่า พี่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของน้องปิ่นทุกอย่าง เหมือนเมื่อก่อนไงล่ะ"


ง่ายๆ สั้นๆ แค่นี้แหละ แต่พี่กริชก็พูดได้อ่อนโยนจนฉันตอบไม่ถูก ในท่ามกลางลมเย็นๆ ของยามค่ำที่โชยชาย กับกลิ่นหอมอ่อนบางของดอกเล็บมือนางบนซุ้มไม้เหนือม้าหินที่เรานั่งกันอยู่ ความรู้สึกอบอุ่นบางประการก่อตัวขึ้นช้าๆ ลึกซึ้งและอ่อนโยน จนน่าประหลาดใจว่าฉันลืมมันไปได้อย่างไรหนอ ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาของชีวิต..

กระแสลมใดกัน ที่พัดเอาฉันกลับมาที่นี่อีก ทั้งที่มันไม่เคยอยู่ในความคิดคำนึงของฉันมานานนัก เกือบจะตั้งแต่วันที่ฉันโบยบินจากประเทศนี้ไป รวมทั้งคนตรงหน้า ที่ไม่ได้เข้ามาแผ้วพานชีวิตสดใส เต็มไปด้วยกิจกรรมและชายหนุ่มมากหน้าหลายตาที่รุมล้อมเข้ามาให้เลือก ไม่เคยเลยแม้แต่ครั้งเดียวที่ฉันจะคิดถึงเขาในเชิงชู้สาว นอกจากรำลึกถึงบ้างในฐานะฮีโร่ในวัยเด็ก ที่ฉันเคยผูกพันด้วยก็เท่านั้น

ผูกพัน..คำนี้เพราะดี..และฉันก็ไม่ได้ยินมันมานานเหลือเกิน คงเพราะชีวิตโดดเดี่ยวในอีกซีกโลก ที่ทำให้ฉันไม่ค่อยผูกพันกับใครนัก และวันเวลาอันยาวนานก็ทำให้แม้แต่ความผูกพันกับบ้านเกิด ครอบครัวและผู้มีพระคุณ ล้วนจางลงไปจนฉันเกือบสัมผัสมันไม่ได้

เขาเป็นคนแรก..ที่ทำให้ฉันนึกถึงคำนี้ หลังจากที่ลืมเลือนมันไปเสียหลายปี..


ความคิดคำนึงของฉันสะดุดลง เมื่อจู่ๆ ฝ่ายนั้นก็ผุดลุกขึ้น มองนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะบอกเรียบๆ

"พี่ต้องไปแล้ว ถ้าน้องปิ่นคิดถึงบ้านนี้ ก็กลับมาบ่อยๆ นะ"

"แล้วพี่กริชไม่คิดจะไปหาปิ่นมั่งเหรอ" ฉันทำเสียงตัดพ้อ ไม่ได้แกล้ง แต่น้อยใจขึ้นมาจริงๆ เมื่อเขาทำเหมือนอยากจะรีบไปให้พ้นๆ หน้าฉัน ทั้งที่เพิ่งบอกฉันอย่างอ่อนโยน ในความรู้สึกที่ฉันไม่เคยรู้แท้ๆ


เขายิ้มละไมเหมือนเคย

"พี่ยังไม่รู้ว่าจะไปได้ไหม แต่ถ้าไปได้ พี่จะไปหาน้องปิ่นทุกที่"

"พูดอะไรไม่รู้เรื่องอีกแล้ว" ฉันบ่นอย่างไม่จริงจังนัก ก่อนจะนึกได้ "พี่กริชรอก่อน ปิ่นมีของฝาก เดี๋ยวเปิดรถเอาให้นะคะ"

ฉันวิ่งแกมกระโดดกลับไปเปิดประตูรถด้านข้างคนขับ หยิบเอากล่องไม้ที่วางอยู่บนนั้นออกมา หากก็ต้องสะดุ้ง เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์เคลื่อนที่ของตัวเองดังระรัวขึ้น เสียงนั้นสะท้อนก้องในความเงียบ จนภายในใจฉันวาบลึกอย่างประหลาด

ฉันหยิบโทรศัพท์มาดู แล้วก็ตกใจที่พบว่ามีมิสคอลถึงกว่าสิบครั้ง จากเบอร์ของพี่กริชที่ฉันเพิ่งบันทึกไว้เมื่อวานสดๆ ร้อนๆ กับเบอร์ที่ฉันไม่รู้จักอีกเบอร์

เบอร์ที่โทรเข้าขณะนั้นเป็นเบอร์ของพี่กริช ฉันกดรับแล้วหันกลับมาเพื่อจะ "วีน" คนเล่นอะไรพิเรนทร์ๆ ให้ฉันตกใจ ก็อยู่กันแค่นี้แท้ๆ จะโทรมาให้ตกอกตกใจทำไมกันเล่า


แล้วก็คล้ายกับใครเอาน้ำเย็นๆ มาราดตั้งแต่ศีรษะฉันตลอดจนถึงปลายเท้า เมื่อบริเวณอันควรมีรถคันเล็กของพี่กริชจอดอยู่ และควรมีตัวเขาเองยืนอยู่นั้นว่างเปล่า มีเพียงความมืดและสายลมแผ่วๆ ที่พัดเอากลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกเล็บมือนางให้ฟุ้งตลบอยู่เช่นเดิม

"พี่กริช.." ฉันกรอกเสียงลงไป เบาจนเกือบเป็นกระซิบ ไม่แน่ใจว่านี่เป็นรายการเล่นตลกอะไรกัน หรือจะเป็นวิธีแกล้งใหม่ๆ ของเขา

"เล่นอะไรคะเนี่ย ปิ่นตกใจนะ ออกมาเดี๋ยวนี้เลย.."

เสียงฉิวๆ ของฉันถูกขัดด้วยเสียงผู้หญิง อ่อนเบา ฟังดูไม่คุ้นหูแม้แต่น้อย

"คุณปิ่นใช่ไหมคะ"

"ใช่ค่ะ อ้าว แล้วคุณเป็นใครคะ พี่กริชไปไหน" ฉันรัวเสียง ชักเริ่มโมโหที่พี่กริชมาเล่นอะไรบ้าๆ ในยามนี้

"คุณกริชโทร.หาคุณเป็นคนสุดท้าย ทางเราก็เลยต้องติดต่อคุณ.."

"ทางเรา? ใครคะ?" เสียงฉันหายไปในลำคอ ด้วยลางสังหรณ์ที่วาบขึ้นมารุนแรง


"คุณกริชประสบอุบัติเหตุ.."


ฉันไม่ได้ยินประโยคต่อมาจากทางปลายสายหรอก เหมือนจู่ๆ หูก็อื้อไปเฉยๆ ได้ยินเพียงเสียงลมแผ่วๆ รอบตัว และเสียงใบไม้ที่เสียดสีกันดังซู่ซ่าอยู่ในความมืด


"..ค่ะ ค่ะ" ฉันตอบอะไรออกไปก็ไม่รู้ ก่อนจะโยนโทรศัพท์ลงกับเบาะรถโดยไม่ได้ใส่ใจอีก หากออกวิ่ง วิ่งสะเปะสะปะไปทั่วบริเวณบ้าน ตะโกนเรียกชื่อเขาอย่างบ้าคลั่ง ไม่ว่าจะในสนามกว้าง ใต้ต้นจำปีริมรั้ว สวนหย่อมกลางสนาม โรงรถ และสุดท้าย ที่ใต้ซุ้มไม้หอม ที่ฉันกับเขา..ใช่..เขานั่นแหละ ไม่มีใครอื่น เพิ่งนั่งลงคุยกันอยู่เมื่อไม่กี่นาทีมานี้เอง..


"พี่กริช.. ตอบปิ่นสิ.."


ไม่มีคำตอบ.. หาก..อุปาทานหรือเปล่าหนอ ที่ทำให้ฉันได้ยินเสียงทอดถอน เศร้าสร้อย คล้ายเสียงของใครบางคนที่ฉันไม่อาจมองเห็นได้อีกต่อไป แต่ก็ยังรู้สึกได้ว่าเขายังอยู่ตรงนี้ ไม่ไกลจากฉันเลยแม้แต่นิดเดียว

ฉันนั่งลงบนม้าหินตัวเดิม ซุ้มเล็บมือนางเบื้องบนไหวซู่ตามแรงลม หอบเอากลิ่นหอมอ่อนสะอาดให้อวลไปทั่วบริเวณ กลิ่นแห่งความทรงจำที่ฉันลืมไปแล้ว


ทำไมหนอ.. เมื่อเขาเป็นคนทำให้ฉันกลับจำมันได้อีกครั้ง ทำไมเขาจึงไม่อยู่เพื่อรอฟังคำตอบ คำตอบที่ฉันก็เพิ่งนึกมันออกเมื่อได้เห็นหน้าเขานี่เอง แต่เขาก็ไม่เหลือโอกาสไว้ให้ฉันได้ตอบอีกแล้ว..

"พี่กริช ปิ่นจะกลับมาอยู่บ้านนี้ ปิ่นรักบ้านนี้ เหมือนที่พี่กริชรัก.." ฉันปล่อยให้เสียงกระซิบของตัวเองล่องลอยไปกับกระแสลมอ่อน "แต่บ้านนี้มันไม่มีทางเหมือนเดิม ถ้าไม่มีพี่กริช ปิ่นจะอยู่ได้ยังไง ในเมื่อมันไม่เหมือนเดิม.."


น้ำตาหยดแรกหยดลงกระทบหลังมือฉัน ก่อนที่หยดต่อๆ ไปจะไหลรินตามกันลงมา

"พี่กริช ตอบปิ่นก่อนสิ ไม่เคยมีคำถามไหนที่พี่กริชไม่เคยตอบปิ่นนะ.."


ไม่มีคำตอบ มีเพียงเสียงลมแผ่วๆ พัดผ่านกิ่งไม้เบื้องบน ที่บอกให้ฉันรู้ว่า เขา..คนที่เคยตอบต่อทุกคำถามของฉัน จะไม่มีวันมานั่งอยู่ตรงนี้ ใต้ซุ้มไม้หอมที่เคยเป็นของเราสองคน และจะไม่มีคำตอบต่อทุกคำถามใดๆ ของฉันอีกแล้ว


ตลอดไป..












.................................................................................................


เรื่องนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเขียนเรื่องสั้นหักมุมก็ว่าได้ค่ะ
หลังจากนั้นก็เกิดอาการอยากจะหักๆๆๆๆๆๆ มันทุกเรื่องไป
จนบัดนี้ก็ยังกลับไปเขียนเรื่องหวานๆ เศร้าๆ (ส่วนใหญ่จะเส้า กร๊ากก)
เหมือนเมื่อก่อนไม่ได้จนแล้วจนรอดค่ะ ฮือๆๆ

เด๋วซักพักจะเอาเรื่องสั้นแนวใหม่(?)ที่ช่วงนี้กำลังเขียนอย่างเมามันอยู่มาลง
บล็อกนะคะ ถ้าใครอยากอ่านเชิญติดตามได้ที่ถนนนักเขียนค่ะ มีหลายเรื่อง
แต่อย่าหวังว่ามันจะเหมือนเรื่องสั้นยุคเก่าของเรานะคะ

คนเขียนเปี๊ยนไป๋ แล้วล่ะค่ะ

555555555555






Create Date : 11 สิงหาคม 2551
Last Update : 11 สิงหาคม 2551 22:33:51 น. 4 comments
Counter : 1013 Pageviews.

 
อ่านแล้วๆๆๆ จากคลังกระทู้ ชอบๆเรื่องนี้


โดย: teansri วันที่: 12 สิงหาคม 2551 เวลา:0:46:40 น.  

 
เศร้าจังงงง


โดย: Life's for Rent วันที่: 12 สิงหาคม 2551 เวลา:20:20:25 น.  

 
เอางี้เลยเหรอ


แต่ก็น่าคิดนะ คามผูกพัน....กับความรัก


โดย: กช IP: 58.136.98.82 วันที่: 16 สิงหาคม 2551 เวลา:2:23:06 น.  

 
เศร้านะคะ

รู้เมื่อสาย ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ววววT_T



โดย: mikijung IP: 124.120.105.206 วันที่: 17 สิงหาคม 2551 เวลา:0:56:35 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

โยษิตา
Location :
Kobe Japan

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เป็นคนไทย แต่ระหกระเหินมาใช้ชีวิตตัวคนเดียวที่ประเทศหมู่เกาะประเทศหนึ่ง กินเวลาสิบกว่าปีแล้ว ยังไม่รู้จะได้กลับเมื่อไหร่ (โถ่)

เป็นคนจับจดมาก อยากทำไปทุกอย่าง แต่ทำไม่ได้ดีซักอย่าง รู้น้อยกว่าเป็ด ควรจะเรียกว่ารู้อย่างลูกเป็ด หรือไข่เป็ด

ที่แน่ๆ ชอบอ่านกระทู้พันทิป มากถึงมากที่สุด



Longer - Dan Fogelberg
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2551
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
11 สิงหาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add โยษิตา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.