--but life goes on, and this old world will keep on turning--
ไม่มีดอกไม้..มาให้เธอ

ลมหนาวกลางเดือนกุมภาพันธ์ของเมืองเล็กๆ ชายฝั่งทะเลญี่ปุ่นพัดวู่หวิว หอบเอาใบไม้แห้งที่ร่วงหล่นอยู่บนพื้นให้ปลิวกระจาย ลอยคว้างอยู่ในแสงสลัวของหลอดไฟริมทางเดิน เป็นภาพที่ให้ความรู้สึกเหงาจับใจ..จนเกือบจะทำให้ฉันร้องไห้ออกมาอย่างไม่มีสาเหตุ

ฉันมองมันผ่านหน้าต่างกระจกบานใหญ่ เนิ่นนาน ก่อนจะถอนใจยาว วางโทรศัพท์ลงกับแป้นอย่างเหงาๆ เมื่อได้ยินเสียงปลายสายบอกเป็นครั้งที่สิบว่า ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก

ห้าทุ่มแล้ว.. ฉันมองนาฬิกา ทำไมเขายังไม่เปิดเครื่องอีกนะ แม้ว่าปกติในเวลาทำงาน เขามักจะปิดสัญญาณโทรศัพท์ ตามแบบฉบับของพนักงานที่ดี และด้วยนิสัยตามลักษณะเชื้อชาติญี่ปุ่นของเขา.. ที่ยินดีจะปฏิบัติตามกฏระเบียบอย่างว่าง่ายกว่าคนไทย ฉันเองเคยทำงานในบริษัทเดียวกับเขา ก่อนจะย้ายมาทำที่บริษัทปัจจุบัน จึงมองเห็นความมีระเบียบในตัวเองของเขาได้ดี

หากเมื่อเลิกงาน เขาไม่เคยปิดเครื่องนานขนาดนี้นี่นา..

หรือว่าเขาจะยังไม่เลิกงาน.. แต่ฉันก็ไม่เคยเห็นเขาทำงานอยู่จนดึกขนาดนี้เสียที อย่างมากก็ไม่เกินสามทุ่มเท่านั้นเอง..

หรือว่าเขาไปกับคนอื่น.. ฉันคิดอย่างวุ่นวายใจ ก่อนจะปัดความคิดนั้นทิ้งไปโดยเร็ว ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดฟุ้งซ่านให้ตัวเองทุกข์ไปกว่านี้

แต่ความคิดของฉันก็ยังวนเวียนอยู่ที่เขา.. เขาต้องลืมไปแล้วแน่ๆ ว่าวันนี้เป็นวันอะไร.. และเขาบอกกับฉันไว้ว่าอย่างไร..

ไม่ใช่เขาหรอกหรือ ที่เซ้าซี้ฉันอยู่เมื่อไม่กี่วันมานี้..

"เย็นวันวาเลนไทน์ ไปกินข้าวที่พอร์ตกันนะ มีร้านเปิดใหม่ เพื่อนผมแนะนำมา บอกว่าบรรยากาศดีมากเลย" เขาพยายามชวนครั้งแล้วครั้งเล่า หมายถึงศูนย์การค้าริมทะเลที่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน ตกแต่งด้วยบรรยากาศหวานๆ ตามสไตล์เดทพอยนท์ของชาวญี่ปุ่น ในเมืองริมทะเลที่ขึ้นชื่อเรื่องความโรแมนติกเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

"ไม่เอา กินที่บ้านดีกว่า" ฉันย่นจมูก ปฏิเสธทันทีอย่างไม่เห็นด้วย เพราะเบื่อที่จะไปเบียดเสียดกับผู้คนที่เชื่อได้แน่ว่าจะต้องพลุกพล่าน ในค่ำคืนของวันแห่งความรักที่กำลังจะมาถึง

"ไม่เอา กินที่บ้านเบื่อแล้ว เปลี่ยนบรรยากาศกันมั่งซิ" เขายืนกราน ก่อนจะทำเสียงประนีประนอม ต่อรองว่า

"เย็นวันที่ 13 กินที่บ้านก็ได้ แล้ววันที่ 14 ไปกินที่ร้านกัน โอเคไหม"

เขายิ้มพราวทั้งปากและตา เมื่อหว่านล้อมจนฉันยอมตกลงสำเร็จ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด โทร.ไปจองร้านอย่างคล่องแคล่ว ราวกับทำมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

ก็แน่ละซิ.. ผู้ชายเจ้าชู้อย่างนี้ คงจะเคยทำมานับครั้งไม่ถ้วนจริงๆ นั่นแหละ เพราะทุกครั้ง.. ก็เป็นเขาแทบทั้งนั้นที่จะยิ้มระรื่นมาบอกฉันว่า ร้านนั้นดี ร้านนี้อร่อย โดยไม่ปริปากว่าเคยไปกับใครมา ในเมื่อแต่ละร้าน.. ล้วนไม่ใช่ร้านที่จะไปกินกับเจ้านายหรือเพื่อนร่วมงาน แต่เป็นร้านบรรยากาศกระจุ๋มกระจิ๋มน่ารัก อย่างที่มีไว้ให้หนุ่มสาวไปเดทกันทั้งสิ้น

ถ้าฉันถาม เขาก็บอกยิ้มๆ ว่า มีเพื่อนแนะนำมา หรือไม่ก็ไปผ่านไปแถวนั้น เห็นร้านสวยดีก็เลยลองแวะดู

มันก็คงจะน่าเชื่อ.. ถ้าที่ทำงานของเขาจะไม่ได้อยู่ห่างจากร้านที่ว่าไปคนละทิศ และหากว่าพนักงานของแต่ละร้านจะไม่ทักทายเขาอย่างคุ้นเคยราวกับเจอกันอยู่ทุกวี่วัน

แต่ก็นั่นแหละ.. ผู้ชายเจ้าชู้.. ฉันก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นอย่างนี้ ในเมื่อรู้ดีว่าเขาเป็นคนอย่างไร ตั้งแต่ก่อนจะตัดสินใจคบกัน.. เมื่อใครต่อใครก็พากันทำนายล่วงหน้าเอาไว้ว่าอีกไม่นาน.. ฉันจะต้องน้ำตาเช็ดหัวเข่า.. เพราะกิตติศัพท์ความเจ้าชู้ของเขานั้นเลื่องลืออยู่ในหมู่เพื่อนร่วมงานมานาน จนเรียกได้ว่าเป็นเสือผู้หญิงเต็มตัว แม้ว่าในระยะหลัง.. พฤติกรรมในด้านนี้ของเขาดูจะลดน้อยลงไปจนแทบไม่เหลือ เนื่องจากเจ้าตัวกำลังพยายามปรับปรุงตัวเองอยู่อย่างจริงจัง แต่ฉันก็ยังไม่วายระแวง ในเมื่อขึ้นชื่อว่าเสือ ต่อให้ถอดเขี้ยวเล็บหมดแล้ว ก็ย่อมยังมีลายเสือ..

แล้วก็คงจะจริง.. ในเมื่อวันนี้.. ทั้งที่นัดกันไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะกลับมากินข้าวด้วยกัน ฉันเลิกงานตั้งแต่บ่าย และไปซื้อของสดมาทำอาหารเตรียมไว้จนเสร็จเรียบร้อย จึงมีโทรศัพท์จากเขา บอกว่าต้องทำงานล่วงเวลาที่บริษัท ให้ฉันกินข้าวได้เลย ไม่ต้องรอ ก่อนจะที่จะวางสายไปอย่างเร่งรีบ

..แค่นั้นเองสำหรับวันที่ฉันเฝ้ารอ เขาคงจะลืมไปแล้วกระมังว่าวันนี้เป็นวันครบรอบสองปีของเราสองคน เป็นวันที่ฉันรอด้วยใจจดใจจ่อยิ่งกว่าวันวาเลนไทน์เสียอีก

เขาคงจำได้แต่วันแห่งความรัก.. อย่างที่คนเจ้าชู้อย่างเขาน่าจะต้องจำแม่นที่สุด.. เพื่อที่จะสับรางได้อย่างไม่วุ่นวาย

ฉันชงกาแฟ เพื่อที่จะมานั่งมองมันอยู่อย่างนั้น.. ตามองเข็มนาฬิกาที่เดินไป นาทีแล้วนาทีเล่า ความรู้สึกภายในต่อสู้กันอย่างรุนแรง ฉันควรจะโกรธ ควรจะต่อว่าเขาไหม ในเมื่อเขาบอกว่าเป็นเรื่องงาน แต่ฉันก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยู่ดี เพราะยามที่เสียงปลายสายบอกฉันเหนื่อยๆ ว่างานยังไม่เสร็จ..เมื่อเวลาราวสองทุ่มนั้น ฉันได้ยินเสียงใสๆ หัวเราะเริงรื่น แว่วเข้ามาอย่างชัดเจน หากยังไม่ทันได้เอ่ยปากถาม เขาก็ชิงวางสายไปเสียก่อน

เขาอยู่กับใคร.. ในวันที่น่าจะอยู่กับฉันที่สุดอย่างวันนี้..

ฉันอยากจะเข้าใจเขา แต่ก็ทำได้ยากเหลือเกิน ในเมื่อเราสองคนแตกต่างกันมากมาย ทั้งเชื้อชาติและอายุ เขาเป็นผู้ชายญี่ปุ่น ที่ก่อนจะรู้จักฉัน เขาไม่เคยรู้มาก่อนด้วยซ้ำว่าประเทศเล็กๆ ที่ชื่อประเทศไทยนั้นอยู่ส่วนไหนของโลก และฉันเองเป็นผู้หญิงไทยที่เพิ่งมาทำงานที่นี่ได้เพียงไม่ถึงสามปี ยังไม่เข้าใจนิสัยและความรู้สึกนึกคิดของคนชาตินี้ได้เท่าที่ควรจะเข้าใจ ไหนจะวัยที่เขาแก่กว่าฉันเกือบสิบปีนั้นอีกเล่า.. ทำให้ฉันเป็นกลายเด็กเล็กๆ ในสายตาเขาอยู่เสมอ


เขาโทร.กลับมาในที่สุด.. เมื่อเวลาเกือบเที่ยงคืน
"ขอโทษที งานเพิ่งเสร็จ คุณนอนหรือยัง"

"นอนแล้ว" ฉันตอบเรียบๆ พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะไม่ให้เขาจับความหงุดหงิดในน้ำเสียงได้

"อ้าว ขอโทษอีกที" เสียงอุทานมีแววเกรงใจ ก่อนที่เขาจะบอกค่อยๆ "งั้นไปนอนต่อเถอะ เจอกันพรุ่งนี้เย็น ตามแผนเดิมนะ"

"แน่ใจนะว่าจะมาได้" ฉันอดไม่ได้ที่จะประชด แต่ก็เป็นเพียงการถามเล่นๆ อย่างไม่จริงจังนัก พยายามสะกดกลั้นความน้อยใจที่แล่นขึ้นมาอย่างเต็มที่

"ไปได้ซิ.. นี่โกรธหรือ ไม่เอาน่า" เสียงฝ่ายนั้นงอนง้อ ก่อนจะถามอย่างเอาใจ

"พรุ่งนี้อยากได้อะไร กุหลาบขาวใช่ไหม รับรองว่าปีนี้ไม่ลืม" เขาย้ำล้อๆ เพราะปีที่แล้วฉันต่อว่าเขาเสียมากมาย เมื่อเขาบอกหน้าตาเฉยว่า ลืมดอกไม้ไว้บนรถแท็กซี่ ทั้งที่ฉันออกจะแน่ใจ ว่าเขาไม่ได้ใส่ใจจะซื้อดอกไม้ให้ฉันด้วยซ้ำ

ก็ไม่ใช่เขาหรอกหรือ.. ที่พูดเป็นประจำว่าเขาชอบให้ของขวัญที่ตัวเขาเองพอใจจะให้ โดยไม่สนใจว่าคนรับจะอยากได้หรือไม่

ของขวัญวาเลนไทน์จากเขาที่ฉันได้รับ จึงกลายเป็นหนังสือบทกวีเล่มเล็กๆ ที่ฉันไม่ชอบอ่าน แต่คนให้ชื่นชอบเสียเหลือเกิน แถมยังย้ำแล้วย้ำอีกให้ฉันอ่าน เพื่อที่จะได้คุยกับเขาเรื่องกวีได้

ส่วนของขวัญจากฉัน ช็อกโกแล็ตวาเลนไทน์ ที่หญิงสาวที่นี่มีธรรมเนียมให้ชายหนุ่มเป็นของขวัญในวันวาเลนไทน์นั้น เขากลับบอกฉันดื้อๆ อย่างไม่ใส่ใจว่า ไม่ต้องให้เขาหรอก เขาไม่ชอบกิน เพราะกลัวอ้วน

บางทีฉันก็แปลกใจ.. ว่าเป็นไปได้อย่างไรที่เขาคนนั้น..คนที่เคยตามจีบ พร่ำบอกคำหวานกับฉันเมื่อสองปีที่แล้ว จะกลายมาเป็นเขาคนนี้.. คนที่พูดจาไม่ใคร่เข้าหูคน ไม่มีคำหวานๆ ให้ฉันเหมือนวันก่อน ทั้งที่ฉันแน่ใจว่าเขายังมีคำเหล่านี้ให้คนอื่น..แต่ไม่มีให้ฉัน

"แน่ใจนะว่าจะไม่ลืมอีก" ฉันต้องใช้ประโยคนี้อีกแล้ว ทั้งที่ไม่อยากใช้เลย

"ไม่ลืมครับผม" เขาทำเสียงขึงขัง ก่อนจะถามเย้าๆ

"แล้วเตรียมอะไรไว้ให้ผม"

"เดี๋ยวก็รู้" ฉันตอบเบาๆ แต่น้ำเสียงนั้นห้วนจนตัวฉันเองก็รู้สึก

"อ้าว นี่โกรธหรือ ไม่เอาน่า อย่าทำตัวเป็นเด็กๆ" เสียงเขาดุอย่างไม่จริงจังนัก ก่อนจะออกคำสั่งกลายๆ

"ไปนอนเถอะ ผมเหนื่อยจัง พรุ่งนี้เจอกันหกโมงเย็นนะ" ก่อนจะวางหูไปโดยไม่รอให้ฉันได้เถียง

ฉันซุกตัวลงกับผ้าห่มผืนหนา อยากจะร้องไห้ แต่ก็ร้องไม่ออก น้ำตาไม่รู้ว่าหายไปไหนหมด หรือมันจะไหลออกมามากพอแล้ว ตลอดสองปีที่คบกับเขา จนถึงวันนี้.. ฉันจึงไม่เหลือน้ำตาจะร้องไห้ให้เขาอีกต่อไป..

เขาคงมีคนใหม่อีกแล้ว.. อย่างที่มีมาไม่รู้ว่ากี่ครั้ง หากเมื่อฉันจับได้ ทุกครั้งเขาก็จะยักไหล่ บอกอย่างไม่ใส่ใจว่า ก็แค่เล่นๆ เท่านั้นเอง เขาไม่จริงจังกับใครเท่าฉันหรอก.. และแม้ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ทำอะไรทำนองนั้นอีกแล้วในระยะหลังนี้ โดยย้ำกับฉันอย่างชัดเจนว่า ฉันเป็น "ตัวจริง" ของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น

ฉันเชื่อเขามาตลอด เชื่อมั่นว่าฉันได้เป็น "ตัวจริง" เพียงคนเดียวของเขา ภูมิใจนิดๆ ที่สามารถ "จับเสือไว้ในมือ" ได้สำเร็จอย่างที่ใครๆ ว่ากัน หากวันนี้ฉันชักรู้สึกว่า การเป็น "ของเล่น" ยังอาจจะดีเสียกว่า ในเมื่อไม่ต้องคอยปักใจกับคำว่า "ผมจริงจังกับคุณ" ของเขา ไม่ต้องเฝ้ารอเขาอย่างมีความหวังในวันที่เป็นโอกาสพิเศษ และไม่ต้องเสียใจเมื่อเขาทำลายความหวังนั้นลงอย่างไม่ไยดี

เอาไว้พรุ่งนี้เถอะนะ.. ฉันย้ำกับตัวเองอย่างมั่นคง ถ้าหากว่าเขายังทำลายความหวัง ทำลายความรู้สึกดีๆ ของฉันลงอีก ฉันก็คงไม่มีเหตุผลที่จะต้องอยู่เพื่อเป็น "ตัวจริง" ของเขาอีกต่อไป..

ในเมื่อฉันค้นพบเสียแล้วว่า เขาเอาใจและตามใจ "ของเล่น" ทุกชิ้นของเขา แต่ไม่เคยเอาใจและตามใจ "ตัวจริง" อย่างฉันเลย แม้แต่ของขวัญที่เขาเองก็รู้ดีว่าฉันอยากได้.. อย่างดอกไม้เพียงช่อเดียว.. เขาก็ไม่เคยมีให้ฉัน ไม่เคยแม้แต่จะพยายามหามันมาให้.. อย่างที่เขาหาให้ใครต่อใคร

และมันทำให้ฉันไม่แน่ใจอีกต่อไปว่า ฉันยังคงเป็น "ตัวจริง" ของเขาอยู่อย่างเดิม หรือว่ากลายเป็น "ของเล่น" ชิ้นหนึ่งของเขาไปเสียแล้ว..

เพราะถึงแม้จะคบกันมาสองปี หากฉันก็ยังไม่เคยได้ยินคำขอแต่งงาน หรือแม้แต่คำพูดทำนองว่าเขาอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับฉัน..แม้แต่ครั้งเดียว..


++++++++++++++++++++++++++++++++


หกโมงเย็นกับอีกยี่สิบนาที เมื่อเขาก้าวเข้ามาในร้านพร้อมกับรอยยิ้มแพรวพราวเหมือนเคย หากในมือมีเพียงกระเป๋าเอกสาร ไม่มีของขวัญหรือช่อดอกไม้อย่างที่ควรจะมี

"ขอโทษที รถติดจังเลย วันนี้ผมเอารถมา ไม่ได้มารถไฟ" เขาแก้ตัวด้วยคำแก้ตัวที่ติดปากเขา เมื่อทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามฉัน

"หาร้านเจอได้ไง ผมไม่เคยมา เกือบหลงแน่ะ แล้วสั่งอาหารหรือยัง" คนพูดถามเรื่อยๆ หยิบเมนูมาพลิกๆ ดูอย่างไม่ใส่ใจนัก

"ยัง" ฉันตอบห้วนๆ โดยไม่มองหน้า ก้มลงดูเมนูอย่างไม่อยากจะให้เขาเห็นความผิดหวังในแววตา เพราะเขาก็คงบ่นเอาอีกว่า ฉันทำตัวเป็นเด็กๆ..

"งั้นเดี๋ยวผมสั่งให้เอง เอาสลัดก่อนแล้วกัน แล้วเอาเนื้ออบดีไหม ที่นี่เขาทำซอสอร่อย" เขากวักมือเรียกบริกร ก่อนจะสั่งอาหารเป็นชุดอย่างคล่องแคล่ว จนฉันอดคิดไม่ได้ว่า เขาคงจะเคยพาใครมาที่นี่แล้วเป็นแน่ ถึงได้รู้จักอาหารแต่ละชนิดดีขนาดนั้น

"แต่ต้องรอนานหน่อยนะ บางทีรอเกือบชั่วโมงด้วยซ้ำ" เขาบอกเรื่อยๆ เช่นเดิม พลางใช้ผ้าเย็นเช็ดมือตามสบาย

ฉันถอนใจยาวอย่างเบื่อหน่าย ไม่อยากจะจับผิดเขา.. ว่าไหนเขาเคยว่าเขาไม่เคยมาร้านนี้อย่างไรเล่า.. ทำไมจึงรู้ดีทั้งเมนูอาหาร และเวลาที่ต้องรอนาน..

นั่นแหละ..เขาจึงรู้สึกถึงความผิดปกติของฉัน

"เป็นอะไร โกรธหรือที่ผมมาช้า" เขาเอื้อมมือมากุมมือฉันไว้ แต่ฉันสะบัดออก ด้วยความรู้สึกที่ว่าเหลือจะทนทานอีกต่อไป ดูราวกับเขาจะลืมไปแล้วจริงๆ ว่า ของขวัญที่เขาบอกจะให้ฉันในวันนี้คืออะไร..

"ช้าแค่ยี่สิบนาที ถือว่าเร็วนะ" ฉันประชดเสียงเย็น โดยไม่พยายามเก็บอารมณ์อีกต่อไปแล้ว

เขายักไหล่ มองฉันนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงงอนง้ออย่างชัดเจน

"งั้นโกรธเรื่องอะไร"

ฉันเม้มปากนิ่ง ไม่ตอบ เพราะกลัวว่าถ้าเปิดปากพูดความในใจใดๆ ออกไป หยดน้ำอุ่นๆ ที่มารีรออยู่ที่ปลายตา คงจะกลั่นตัวลงมาเป็นหยดน้ำตาต่อหน้าเขาจนได้

"ถามไม่ตอบอีกแล้ว" เขาบ่นอย่างไม่จริงจังนัก ก่อนจะละมือจากฉัน เปิดกระเป๋าเอกสารที่ถือมา หยิบสิ่งหนึ่งออกมาส่งให้ บอกยิ้มๆ โดยที่ดวงตาคมคู่นั้นยังคงมองฉันนิ่ง ด้วยแววตาลึกล้ำอย่างยากจะอ่านความรู้สึก

"ของขวัญวาเลนไทน์"

ฉันก้มลงดูกล่องยาวๆ แบนๆ ในมือเขา พลางถอนใจยาว มันก็เหมือนเคย.. ที่เขาจะพยายามยัดเยียดสิ่งที่เขาอยากให้..ให้กับฉัน โดยไม่ใส่ใจว่าสิ่งที่ฉันต้องการจริงๆ นั้นคืออะไร

"ให้ในสิ่งที่คนให้อยากจะให้ใช่ไหม ไม่ใช่ในสิ่งที่คนรับอยากได้" ฉันทวนประโยคนั้นอย่างประชดประชัน ประโยคที่เขาเคยบอกฉันเสมอ.. ในทุกครั้งที่เขาให้ของขวัญ แล้วฉันต้องผิดหวัง ในเมื่อแม้ว่าฉันจะย้ำแล้วย้ำอีกว่าฉันอยากได้อะไร แต่เขาก็ยังชอบที่จะให้สิ่งอื่น..สิ่งที่เขาก็รู้ดีว่าฉันไม่อยากได้สักนิด.. อย่างน่าโมโห

เขายักไหล่อีกครั้ง
"ไม่รู้เหมือนกันว่าอยากได้หรือเปล่า แต่คนให้น่ะอยากให้แน่ๆ ละ ลองแกะดูซิ"

ไม่มีอะไรดีไปกว่าทำตามที่เขาบอก ไม่มีประโยชน์ที่ฉันจะโวยวายเอาตรงนี้ว่าสิ่งที่ฉันอยากได้คือดอกไม้สักช่อ หรือการ์ดสักใบก็พอ ไม่ใช่อะไรก็ไม่รู้ที่เขานึกอยากจะให้ก็ให้ โดยไม่เคยใส่ใจความรู้สึกกันเลย..อย่างนี้

"ปากกาหรือ" ฉันอุทานอย่างแปลกใจแกมผิดหวัง เมื่อเห็นของที่อยู่ในกล่องยาวๆ แบนๆ นั้นถนัด

มันเป็นปากกาด้ามเรียว สีดำเรียบ หน้าตาไม่ได้บอกว่ามีราคาค่างวดอะไรเป็นพิเศษ หรือสวยงามน่ารักเป็นพิเศษจนเขาต้องเอามาให้ฉันในวันพิเศษอย่างนี้..

"ใช่ ชอบไหม" เขาถามยิ้มๆ

ฉันพยายามอย่างยิ่งที่จะยิ้มตอบเขา แต่ก็ทำได้เพียงขยับมุมปากขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะยักไหล่ ตอบด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ เลียนแบบเขาบ้าง

"ก็..เฉยๆ"

เขายังคงมองฉันนิ่ง ก่อนจะเอ่ยช้าๆ ด้วยสีหน้าราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้

"ส่วนดอกไม้..ลืมสนิทเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้จะซื้อให้นะ"

เท่านั้นเองน้ำตาที่ฉันกลั้นเอาไว้นานก็รินหยดลง ฉันรู้ว่าเขาจะต้องดุฉัน ว่าทำอะไรเป็นเด็กๆ แค่ไม่ได้ของที่อยากได้ ก็ต้องร้องห่มร้องไห้ แล้วก็คงจะอบรมฉันต่อไปว่า ของขวัญที่คนให้เลือกมาให้นั้น แสดงถึงน้ำใจและความเอาใจใส่ของผู้ให้อย่างที่สุดแล้ว ถ้าคนรับไม่พอใจหรือไม่อยากรับไว้ ก็ย่อมทำให้คนให้เสียใจและผิดหวังมากพอๆ กัน..

เอาเถิด..เขาจะว่าอะไรฉันก็ให้ว่าไปเถิด ฉันทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว..

"ผมขอโทษจริงๆ เรื่องดอกไม้ แต่.. คุณไม่ชอบปากกาหรือ" เขาย้ำอย่างเสียใจอีกครั้ง หากก็ยังถามต่อด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ ราวกับจะจงใจกวนโมโห ท่าทางไม่ได้ใส่ใจด้วยซ้ำว่าฉันกำลังร้องไห้

ฉันไม่ได้ตอบ หากหยิบกระเป๋าขึ้นมาถือไว้ ปล่อยกล่องของขวัญที่เขาให้ไว้อย่างนั้นโดยไม่เหลือบมองด้วยซ้ำ น้ำตากลบตา เมื่อผุดลุกขึ้นด้วยความรู้สึกที่ว่า..ไม่ปรารถนาจะอยู่ตรงนั้นต่อไปอีกแม้แต่นาทีเดียว

ดูท่าทางเขาตกใจขึ้นมาบ้างเมื่อเห็นน้ำตาฉันชัดๆ ดวงหน้าสดใสที่ระบายด้วยรอยยิ้มอยู่เป็นนิจนั้นเผือดสีลง คงเป็นเพราะเริ่มประจักษ์ว่าวันนี้ฉันแปลกไป เมื่อไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาต่อว่าต่อขานเขาอย่างที่เคย

"เดี๋ยวซิ ยังไม่ได้ให้ของขวัญอีกชิ้นเลย" เขาห้ามด้วยเสียงอ่อนลง ลุกยืนขึ้นบ้าง ก่อนจะกดบ่าฉันให้นั่งลงตามเดิม

ฉันสะบัดตัวออกจากสัมผัสนั้น มองเขาอย่างเจ็บช้ำ เขาจะทรมานฉันไปถึงไหนกันนะ..

"อะไรอีก ฉันไม่อยากได้" ฉันเค้นเสียงจากลำคอ พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่หลุดเสียงสะอื้นออกมาให้เขาได้ยิน เพราะรู้ว่าเดี๋ยวเขาก็จะขมวดคิ้ว ก่อนจะต่อว่าฉันว่าทำตัวเป็นเด็กๆ อยากได้เหลือเกินกับแค่ดอกไม้ช่อเดียว ทั้งที่ของที่เขาให้ฉันดีกว่านั้นมากมาย

หากครั้งนี้.. เขาไม่ได้ทำอย่างที่เคย

"ดูก่อนดีไหมว่าอยากได้หรือเปล่า" เขาบอกอย่างอ่อนโยน กุมมือข้างหนึ่งของฉันเอาไว้ พลางกดบ่าอีกข้างให้ฉันนั่งลง โดยไม่ยอมให้สะบัดออกอีก

"ฉันอยากได้กุหลาบขาว ไม่ใช่อย่างอื่น ฉันบอกแล้วไม่ใช่หรือ แต่คุณก็ลืม" ฉันย้ำเสียงเครือ ความจริงฉันไม่อยากพูดอย่างนี้เลย มันดูเอาแต่ใจตัวเองเหมือนเด็กไม่ยอมโตอย่างที่เขาเคยว่าเอาจริงๆ แต่ก็ช่วยไม่ได้ ในเมื่อความอดทนของฉันมันถึงขีดสุดแล้ว..

"ผมขอโทษเรื่องกุหลาบ ลืมจริงๆ คุณก็รู้ว่าผมไม่ชอบ ไม่สนใจดอกไม้" เขาบอกเสียงอ่อนลงอีก เมื่อกดให้ฉันนั่งลงสำเร็จ โดยยังไม่ยอมปล่อยมือของฉันจากการเกาะกุม

"แต่ฉันชอบ และฉันอยากได้" เป็นเสียงเจ็บช้ำราวกับไม่ใช่เสียงฉันเอง ก่อนที่ประโยคต่อมาจะพรั่งพรู..รวดเร็วจนเกินกว่าที่ฉันจะห้ามตัวเองได้ทัน

"คุณไม่เคยสนใจ ว่าฉันอยากได้อะไร คุณเพียงแต่ให้ในสิ่งที่คุณอยากให้ โดยไม่เคยใส่ใจความรู้สึกของฉัน ทั้งที่คุณไปเอาใจใครต่อใคร ซื้อของให้ผู้หญิงอีกกี่คน.. ที่คุณบอกว่าเป็น "ของเล่น" แต่สำหรับฉัน..คนที่เป็น "ตัวจริง" อย่างที่คุณเรียก คุณไม่เคยสนใจเลย ฉันอยากได้แค่ดอกไม้สักช่อ.. แต่คุณก็ไม่เคยมีให้ฉัน ไม่เคยมี.. ไม่เคยใส่ใจว่าฉันจะรู้สึกอย่างไร ที่ต้องรอคุณครั้งแล้วครั้งเล่า คุณลืมไปด้วยซ้ำว่าเมื่อวานเป็นวันอะไร..เพราะคุณไปกับผู้หญิงคนอื่น.. จริงไหม" ฉันจบประโยคสุดท้ายด้วยหยดน้ำตาที่หลั่งรินลงมาอีก

เขาชะงักไป ราวกับคำพูดนั้นกระทบใจอย่างแรง มือใหญ่ของเขาปล่อยมือจากฉันช้าๆ คล้ายกับเจ้าตัวหมดสิ้นเรี่ยวแรง ก่อนที่เขาจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างอ่อนล้า ยกมือขึ้นลูบหน้าด้วยท่าทีราวกับเพิ่งตื่นจากความฝัน

นาน..ช้า.. กว่าเขาจะเปิดปาก เป็นเสียงอ่อน เบา ราวกับไม่ใช่เขาคนเดิม

"ผมขอโทษ.. ผมไม่ได้ลืม.. แต่ผมติดงานจริงๆ"

"ใช่ ติดงาน" ฉันย้อนเสียงกร้าว "แต่ฉันได้ยินเสียงผู้หญิงหัวเราะอยู่ข้างๆ คุณ ชัดเจนทีเดียวเลยละ หรือคุณจะบอกว่าคุณไปนั่งทำงานอยู่ในผับ"

"มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด" เขาปฏิเสธอย่างอ่อนใจ

"แล้วเป็นยังไง" ฉันถามเยาะๆ "หรือจะบอกว่าไม่ได้ไปทำงานในผับอย่างที่ฉันคิด แต่ไปทำอย่างอื่น"

เขาถอนใจยาว นิ่งไปอึดใจก่อนจะบอกด้วยเสียงเรียบเฉย
"ลูกสาวเจ้านายผมกลับมาจากเมืองนอก นายให้ผมพาเขาไปแนะนำที่เที่ยว ก็เท่านั้นเอง" เสียงเขายังคงเบา หากกังวานในน้ำเสียงนั้นหนักแน่น ผิดไปจากเคย

"แล้วทำไมไม่บอกฉันตรงๆ ทำไมต้องบอกว่าทำงานอยู่ที่บริษัท" ฉันถามเสียงตวัด ไม่อาจทำใจให้เชื่อเขาได้แม้แต่น้อย

"ถ้าผมบอก คุณจะยอมเข้าใจผมหรือ" เขาถามเรียบๆ มองลึกลงไปในตาฉันราวกับจะค้นหา

"ฉันไม่รู้" ฉันกระแทกเสียง "แต่มันก็ดีกว่าที่คุณจะโกหกฉัน"

เขาถอนใจหนักๆ อีกครั้ง มองฉันนิ่งอยู่อย่างนั้นชั่วอึดใจ ก่อนจะพูดยืดยาว ราวกับเขาเองก็อัดอั้นตันใจอยู่เหมือนกัน
"ถ้าผมบอก คุณก็ต้องงอน ไม่ยอมเข้าใจ ว่าทำไมผมถึงเห็นผู้หญิงคนอื่นสำคัญกว่าวันของเราสองคน แต่ผมก็ปฏิเสธเจ้านายไม่ได้ ผมต้องบอกคุณอย่างนั้น เพราะไม่อยากให้คุณกระวนกระวายกับผม ไม่อยากให้คุณมาน้อยอกน้อยใจว่าผมไปกับคนอื่น.. ในวันที่ควรจะอยู่กับคุณ"

"แต่ที่คุณไม่บอก ไม่ได้แปลว่าฉันจะเดาไม่ได้ ฉันรู้ว่าคุณเป็นคนยังไง หรือว่าคุณจะปฏิเสธ" ฉันสบตาเขาอย่างท้าทาย บังคับตัวเองอย่างเต็มความสามารถ ไม่ให้ไปหลงเชื่อคารมและแววตาพราวระยับของผู้ชายคนนี้อีก

"ผมยอมรับ ว่าผมทำอะไรไม่ดีมามากเหลือเกิน ผมยอมรับผิดทุกอย่าง แต่ผมกำลังจะเลิก.. เพราะว่า.. เอาเถอะ.." เขาทำท่าจะพูดอะไรต่อ แต่ก็หยุดลงดื้อๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นย้ำอีกครั้ง

"ตอนนี้เอาเป็นว่าคุณเชื่อผมแค่นี้..ได้ไหม" เขาเอื้อมมือมากุมมือฉันเอาไว้อีก โดยไม่ยอมให้ฉันสะบัดออกได้ ถามช้าๆ พลางจ้องตาฉันเนิ่นนาน คล้ายกับจะขอร้องให้ฉันเชื่อในสิ่งที่เขาพูด..

"ได้ไหม..เชื่อแค่ว่าเมื่อวานผมไม่ได้โกหกคุณ"

ฉันมองหน้าเขาอย่างจะค้นหาความจริง ได้พบเพียงแววตาสงบ..ลึกซึ้ง..ที่มองตรงมาอย่างแน่วแน่ ฉันอยากจะคิดว่าเขาโกหก แต่อะไรบางอย่างในดวงตาคู่นั้นกลับบอกฉันว่าเขาพูดจริง.. ทั้งที่ฉันเองก็ไม่อยากเชื่อ คนอย่างเขา..จะพูด จะสัญญาอย่างไรก็ได้ ในเมื่อเขาถือว่าฉันคือ "ตัวจริง" หรือจะเรียกให้ถูกคือ "ของตาย" สำหรับเขาอยู่เสมอ

แต่ทั้งที่รู้..ก็น่าเจ็บใจนัก..ที่ฉันก็ยังพร้อมจะหลับหูหลับตาเชื่อเขาอยู่ทุกที.. ฉันนึกอย่างโมโหตัวเอง ก่อนจะสะบัดมือออกจนได้ หากก็ได้แต่เม้มปากนิ่งอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้หยดน้ำอุ่นๆ นั้นไหลรินลงมาอีก

"ผมขอโทษ" เขาย้ำอย่างเสียใจ พลางเอื้อมมือมาแตะมือฉันเอาไว้อีกอย่างไม่ยอมแพ้ ฉันเงยหน้าขึ้นมองเขา เกือบจะแน่ใจว่าได้เห็นรอยชื้นๆ ในดวงตาคู่นั้นด้วยซ้ำ หากก็ได้แต่บอกตัวเองว่าคงอุปทานไปเอง.. เมื่อในที่สุด..เขาก็ยิ้มให้ฉันด้วยรอยยิ้มเดิม

"ผมพูดจริงๆ ไม่ได้โกหก ผมอาจจะโกหกคุณมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ยืนยันได้ว่าเมื่อวาน..ผมพูดจริง" เขายังย้ำด้วยเสียงหนักๆ อีกครั้ง

"ฉันไม่เชื่อ" ฉันย้อนทันควันอย่างไม่ไยดี หากเขากลับทำหูทวนลมเสียเฉยๆ เมื่อพูดต่อไป คราวนี้น้ำเสียงนั้นติดจะอ้อนวอนเสียด้วยซ้ำ

"และวันนี้ ผมตั้งใจหาของขวัญมาให้คุณ คุณจะไม่ดูหน่อยหรือว่ามันคืออะไร"

"ฉันไม่อยากได้หนังสือบทกวี ซีดีเพลงร็อค หรืออะไรที่คุณอยากจะให้ แต่ฉันไม่เคยอยากได้" ฉันกระแทกเสียง จนเกือบเป็นตวาด

"คุณอาจจะชอบมันก็ได้.. ถึงผมจะไม่แน่ใจเท่าไหร่ก็เถอะ.." เขาย้ำอีกครั้ง หากประโยคสุดท้ายอ่อนเบาราวกับคนพูดก็ไม่แน่ใจเช่นกัน..

"ฉันแน่ใจ" ฉันบอกเสียงแข็ง

เขาปล่อยมือจากฉันอย่างยอมแพ้ หยิบกระเป๋าเอกสารใบเดิมขึ้นมาอีก ก่อนจะเปิดมันออก หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งที่พับไว้เรียบร้อย ออกมาวางตรงหน้าฉันโดยไม่พูดอะไร

"อะไร" ฉันถามอย่างเย็นชา พยายามห้ามตัวเองไม่ให้แสดงท่าทางกระบึงกระบอนใส่เขามากไปกว่านี้ ในเมื่อแขกโต๊ะอื่นๆ ในร้านกำลังมองมาที่เราเป็นตาเดียวกันอย่างสนอกสนใจ ว่าคนคู่นี้มาทะเลาะอะไรกันในร้านที่บรรยากาศแสนโรแมนติก ในยามเย็นของวันแห่งความรักเช่นนี้

"เปิดดูก่อนได้ไหม" เขาถาม ด้วยน้ำเสียงและแววตาคล้ายจะอ้อนวอน "แล้วถ้าคุณไม่ชอบมัน คุณจะกลับก็ได้ ผมจะไม่รั้งคุณไว้ และต่อไป..คุณจะไม่มาเจอผมอีกเลยก็ได้ จะเลิกคบกับผมก็ยังได้..เพียงแต่เปิดมันออกดูสักนิด..ได้ไหม.. ผมขอร้อง"

ฉันหยิบมันขึ้นมาเปิดดูอย่างกระแทกกระทั้น บอกตัวเองว่าเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่ฉันจะเชื่อเขา.. ยอมทำตามความต้องการของเขา..

หากเมื่อตัวอักษรที่ปรากฏในกระดาษแผ่นนั้นผ่านสายตา ฉันก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างตกใจ..



เมื่อพบว่าสิ่งที่อยู่ในมือฉันคือ ใบทะเบียนสมรส..

ใบทะเบียนสมรสที่มีชื่อเขา และมีตราประทับชื่อเขาประทับเอาไว้อย่างเรียบร้อย ตรงตามระเบียบของทางราชการทุกประการ ขาดแต่เพียงช่องของชื่อคู่สมรส ที่ยังว่างเปล่า และในตอนนี้ แววตาลึกซึ้งที่มองตรงมานั้นก็บอกฉันว่า เขาต้องการคำตอบจากฉันเพียงใด..

เพราะเพียงแค่ฉันจะเขียนชื่อ ประทับตราชื่อของตัวเองลงไป และนำกระดาษแผ่นนี้ไปส่งที่สำนักงานเขต ฉันกับเขาก็จะเป็นสามีภรรยากันโดยสมบูรณ์.. ตามกฎหมายประเทศญี่ปุ่น

เขาดึงกระดาษแผ่นนั้นไปจากมือฉัน กวาดตาดูราวกับจะตรวจความเรียบร้อยอีกครั้ง ก่อนจะส่งคืนให้ฉัน ถามด้วยเสียงเบา ดูประหม่าและไม่มั่นใจราวกับไม่ใช่เขาคนเดิม

"คุณจะช่วยเขียนชื่อคุณ..ให้ผมหน่อยได้ไหม"

ฉันรับมันมาถือไว้ จ้องมองแผ่นกระดาษตรงหน้าอยู่อย่างนั้น..เนิ่นนานอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ว่า..เขา..คนที่เป็นเสือผู้หญิง.. เป็นหนุ่มโสดเนื้อหอมที่หวงแหนความเป็นโสดยิ่งเสียกว่าอะไรทั้งหมด..คนนี้น่ะหรือ จะขอฉัน.. ผู้หญิงเรียบๆ ธรรมดาๆ คนที่เขามองว่าเป็นเด็กอยู่เสมอ..และเป็น "ของตาย" ของเขา.. แต่งงาน มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน..

"หมายความว่ายังไงคะ" ฉันถามออกไป ทั้งที่รู้ดีว่ามันเป็นคำถามที่โง่เต็มที

"ผมแก่แล้ว จะทำอะไรโรแมนติกๆ อย่างหนุ่มๆ ก็อายตัวเอง ก็เลยต้องทำอย่างนี้แหละ" เขาหัวเราะฝืนๆ

"..เพื่อที่จะถามคุณว่า จะแต่งงานกับผมได้ไหม"

ทุกถ้อยคำของเขาช้า ชัด ราวกับเขาเองก็ต้องใช้ความพยายามไม่น้อยในการพูดมันออกมา

ฉันเงยหน้าขึ้นมองคนที่บอกว่าตัวเอง "แก่" ..อายุ 34.. สำหรับฉัน..เขาไม่แก่เลย ยังหนุ่ม.. หนุ่มเสียจนฉันกลัวว่าตัวเองจะดูแก่ทันเขาในไม่ช้านี้ ทั้งที่ฉันเพิ่งอายุครบ 25 ได้ไม่นาน

เรื่องนั้นไม่สำคัญเท่ากับว่า ถ้าฉันตอบตกลง ฉันจะต้องแต่งงานกับผู้ชายที่เจ้าชู้จนขึ้นชื่อ ให้ฉันต้องผจญกับ "ของเล่น" ของเขาอีกไม่รู้ว่ากี่ชิ้น และเหนืออื่นใด.. ฉันจะทนได้ไหม กับการ "ลืม" หรือแกล้งไม่ใส่ใจในสิ่งที่ฉันพูด อย่างเช่นเรื่องช่อดอกไม้และของขวัญ..ที่ทำให้เราทะเลาะกันเรื่อยมา

ราวกับเขาจะตามความคิดของฉันทัน เมื่อวางมือของเขาลงบนมือฉัน เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย หากมั่นคง.. ราวกับมันเป็นถ้อยคำที่ฝังลึกอยู่ในใจเขามาช้านาน..

"ผมรู้ตัวว่าผมมีอะไรเลวๆ หลายอย่าง สูบบุหรี่จัด กินเหล้าก็มาก เจ้าชู้ ชอบทำอะไรตามใจตัวเอง และบางทีก็..ไม่ค่อยสนใจความรู้สึกคุณเท่าไหร่.." ประโยคนั้นสะดุด สีหน้าคนพูดบอกชัดว่าเขาพูดมันด้วยความยากเย็นเพียงใด..

"ผมไม่อาจจะบอกคุณได้เหมือนที่ผู้ชายคนอื่นๆ บอกคนรักของเขาเมื่อขอแต่งงาน ว่าผมจะทำให้คุณมีความสุข ให้คุณมีชีวิตที่ดีไปตลอดทั้งชีวิต เพราะผมก็ไม่รู้ และไม่มั่นใจเลยว่าจะผมทำให้เป็นอย่างนั้นได้จริงๆ.."

"เพราะคุณก็คงรู้จักผมดี.. ผม..คนที่ไม่มีแม้แต่ดอกไม้สักช่อมาให้คุณ..แม้ในวันที่คุณบอกผมว่าคุณอยากได้มันเหลือเกิน.. ผม..คนที่ไม่รู้แม้แต่วิธีที่จะทำให้คุณไม่ร้องไห้เพราะผมอย่างที่ผ่านๆ มา.."

"แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจ.. ว่าผมมีให้คุณแน่ๆ ..คือ..ความรัก.. ที่คุณอาจจะบอกว่าคุณไม่อยากได้มัน ในเมื่อก็มีใครต่อใครให้คุณได้มากมายนอก..จากผม..แต่ผมก็รักคุณ.." อีกครั้งที่น้ำเสียงนั้นสะดุด หากเขาก็ยังพูดต่อ ราวกับคำพูดนั้นเป็นสายน้ำ เมื่อมีทางเล็กๆ ให้ไหลริน มันก็พรั่งพรูอย่างห้ามไม่ได้อีกต่อไป

"ผมทำให้คุณเสียเวลากับผมมานานเหลือเกิน.. เมื่อวานนี้เองที่ผมถามตัวเอง.. เมื่อได้ยินเสียงเหงาๆ ของคุณตอบเข้ามาในโทรศัพท์.. ว่าผมจะทรมานคุณไปทำไมกัน ผมจะให้คุณเสียเวลารอผม.. เพราะผมไปตะลอนๆ อยู่กับผู้หญิงคนอื่นอีกกี่ครั้งกัน.. คุณรู้ไหมว่าผมไม่มีความสุขเลย.. ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน กับใคร ตั้งแต่ผมมีคุณ.."

เขาหยุดพูด.. มองลึกลงไปในดวงตาฉันอย่างขอลุแก่โทษ เนิ่นนาน.. กว่าเขาจะเอ่ยต่อไปช้าๆ

"ผมไม่เคยคิดว่าผมดีพอสำหรับคุณ คุณเองก็คิดอย่างนั้นใช่ไหม.." เขาถามขรึมๆ หากเมื่อไม่มีคำตอบจากฉัน เขาก็พูดต่อไปโดยไม่เซ้าซี้ "หลายครั้งที่ผมอยากจะขอเป็นฝ่ายจากไปเสียเอง เพราะไม่อยากให้คุณต้องมาเจ็บปวดอยู่กับผู้ชายอย่างผม.. แต่ก็ทำไม่ได้เสียที.. เพราะผมรักคุณเกินกว่าจะจากไปไหนได้.. แต่ผมก็พยายามแล้ว.. แม้ว่ามันจะไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ในสายตาของคุณ.."

"ถึงวันนี้..วันที่ผมขอคุณแต่งงาน ผมก็ยังไม่คิดว่าผมดีพอสำหรับคุณ หากถ้าคุณจะให้โอกาสผม ผมก็ยินดีจะปรับปรุงตัวเอง..ให้มากกว่านี้.. ไม่ใช่แค่อย่างที่ผมพอใจจะทำอย่างที่ผ่านๆ มา เพราะผมรู้เสียแล้วว่า.. ผมรักคุณเกินกว่าที่จะปล่อยให้คุณจากไป.. ด้วยเหตุผลเพียงว่า..ผมไม่ดีพอสำหรับคุณ.." เขาสูดลมหายใจยาว ก่อนจะเอ่ยประโยคสุดท้าย

"ฉะนั้นต่อไปนี้.. ผมจะทำตัวเองให้ดีพอสำหรับคุณให้ได้.. เท่าที่คุณต้องการ"

ฉันกะพริบตาถี่ๆ ไล่ละอองชื้นๆ ในดวงตาให้หายไป ตลอดเวลาฉันพูดอะไรไม่ออก ได้แต่นิ่งฟังเขา.. เพราะฉันเองก็เพิ่งค้นพบว่า.. ฉันไม่มีคำตอบจะให้เขา ไม่ว่าจะในคำถามที่เขาถามฉัน..ว่าเขาดีพอสำหรับฉันหรือไม่.. หรือในคำถามที่ฉันถามตัวเอง..ว่าฉันจะยอมให้เขาจากไปหรือไม่..

วินาทีนี้ฉันรู้เพียงอย่างเดียวว่า ฉันรักเขา อาจจะมากกว่าที่เขารักฉันเสียอีก.. รักผู้ชายเจ้าชู้ เอาแต่ใจตัวเอง และไม่เคยใส่ใจความรู้สึกของฉันคนนี้ รัก..จนเหตุผลหรือความเหมาะสมใดๆ ก็ไม่สำคัญสำหรับฉันอีกต่อไป..

นาน..ช้า.. ที่มีแต่ความเงียบระหว่างกัน ก่อนที่เขาจะถามย้ำอีกครั้ง

"คุณจะเซ็นชื่อให้ผมได้ไหม" ประโยคนั้นอ่อนโยน มีแววเว้าวอนชัด

ฉันเพิ่งหาปากตัวเองพบ หลังจากตะลึงมองเขาอยู่อย่างนั้นมาเนิ่นนาน

"ฉันไม่มีปากกา.." ฉันพูดได้ยาวที่สุดเท่านั้นเอง..

คราวนี้เขายิ้มออกมาได้ เสียงถอนใจยาวอย่างปลอดโปร่งนั้นบอกชัดว่าเขาโล่งใจเพียงใด.. กับคำตอบที่ฉันให้เขา เขาหลิ่วตาให้ฉันอย่างล้อๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แสดงชัดว่าเขาผ่อนคลายและเป็นสุขนักหนา..

"ผมเตรียมปากกามาให้แล้วไง เพราะผมรู้ว่าคุณไม่ชอบพกปากกา" คนพูดหยิบกล่องแบนๆ ที่ฉันวางทิ้งไว้บนโต๊ะมาเปิดออกอย่างถือวิสาสะ ก่อนจะส่งปากกาด้ามนั้นให้ฉัน

"ผมขอโทษ ที่ไม่มีดอกไม้มาให้คุณ.. อย่างที่คุณอยากได้.." เขาบอกเสียงเบา หากน้ำเสียงบอกชัดว่าเขาเสียใจเอาจริงๆ "ผมลืมจริงๆ เพราะมัวแต่เตรียมหาปากกาดีๆ ให้คุณ.. ผมอยากให้คุณเขียนชื่อให้สวยที่สุด.. ในกระดาษแผ่นนี้.. แล้วอย่างอื่นอีก.." ประโยคท้ายหยุดไปเฉยๆ เมื่อเขาก้มลงเปิดกระเป๋าเอกสาร หยิบสรรพสิ่งสารพันในนั้นออกมากองลงบนโต๊ะ ก่อนจะสาธยาย

"นี่น้ำยาลบคำผิด ผมกลัวคุณจะเขียนชื่อผิด เลยเตรียมมาด้วย.. นี่ดินสอ เผื่อคุณจะใช้ร่างก่อนเขียนชื่อด้วยปากกา.. นี่ยางลบ เผื่อจะใช้ลบเวลาร่างด้วยดินสอ.. นี่ไส้ดินสอ.. และนี่ปากกาสำรองอีกด้าม.."

" ..นี่ไม้บรรทัด ถ้าคุณกลัวจะเขียนตัวอักษรไม่เท่ากัน เพราะมันไม่ใช่ภาษาของคุณ และนี่ตัวอักษรสำเร็จรูป..ถ้าหากว่าคุณจะไม่อยากเขียน แต่ใช้ฝนเอาจากแบบพิมพ์นี้.."

"แล้วนั่นกล่องอะไรคะ" ฉันยิ้มกับสิ่งละอันพันละน้อยของเขา ก่อนจะถามเมื่อเห็นเขาเก็บสิ่งหนึ่งลง..ก่อนที่ฉันจะได้เห็นมัน

เขาชะงัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้น ยิ้มใสใส่ตาฉัน.. เป็นรอยยิ้มแพรวพราวของผู้ชายเจ้าชู้คนนั้น..หากมีแววลึกซึ้งบางอย่างที่ฉันไม่เคยเห็น.. ตลอดเวลาสองปีที่คบกันมา..

ก่อนที่เขาจะแบมือให้ฉันเห็นสิ่งที่อยู่ในมือเขาชัดๆ

กล่องใบเล็กทำด้วยกำมะหยี่สีเข้ม เป็นทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส วางอย่างสงบนิ่งอยู่บนฝ่ามือเขา เขาเปิดมันออกช้าๆ และเมื่อฉันก้มลงมอง ประกายแวววับของอะไรบางอย่างในนั้นก็กระทบสายตา..

"และนี่.. หากว่าคุณจะยอมให้โอกาสผม"

ฉันเงยหน้าขึ้น ยิ้มให้เขาทั้งน้ำตา..ที่เอ่อท้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เมื่อเขาดึงมือข้างที่ไม่ได้ถือปากกาของฉันไปกุมไว้ ก่อนจะบรรจงสวมสิ่งนั้นให้ฉันที่นิ้วนางด้วยกิริยาอ่อนโยน..

ฉันยังเห็นมันไม่ชัดนัก เพราะม่านน้ำตาที่พร่างพราว.. แต่ฉันก็รู้ว่า "สิ่งนั้น" เป็นเพชรเม็ดเล็ก ขาวพร่าง ส่องประกายระยับไม่ต่างจากดวงตาของเขาในยามนี้..

ปลายนิ้วอุ่นๆ เอื้อมมาแตะซับน้ำตาให้ฉันอย่างอ่อนโยน ก่อนที่เขาจะเอ่ยล้อๆ

"ผมถือว่าน้ำตาหยดนี้เป็นคำตอบนะ ว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายที่คุณจะร้องไห้เพราะผม"

ฉันนิ่งไปนาน ก่อนจะถามเบาๆ
"ถอดแหวนออกก่อนได้ไหมคะ.."

รอยยิ้มกระจ่างบนใบหน้าเขามลายไปในทันที ดวงตาระยับคู่นั้นหมองลง มีแววเสียใจและตัดพ้อวาบขึ้นมาชัดเจน..

แต่ก่อนที่เขาจะได้อ้าปากถาม.. ฉันก็พูดต่อโดยไม่มองหน้า

"ฉันใส่แหวนเซ็นชื่อไม่ถนัดค่ะ.."

เขาไม่ได้ตอบ หากยิ้มกว้างให้ฉันด้วยปากและตาอย่างเคย ก่อนที่จะทำตามที่ฉันบอกอย่างว่าง่าย..

เพียงแต่ว่า.. เมื่อแหวนวงนั้นพ้นนิ้วฉัน เขาก็ถือวิสาสะยกมือข้างนั้นของฉันขึ้นแตะริมฝีปากเขาอย่างแผ่วเบา ฉาบฉวย ก่อนจะปล่อยให้มันเป็นอิสระ โดยไม่สนใจกับรอยสีชมพูที่ซ่านขึ้นบนใบหน้าฉัน..

แต่ฉันเองก็ไม่ได้สนใจมัน.. เมื่อจรดปากกาลงเซ็นชื่ออย่างมั่นคง เสร็จเรียบร้อยโดยไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์สารพันที่เขาเตรียมมาให้แม้แต่อย่างเดียว..

ก่อนจะเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขา.. ด้วยรอยยิ้มที่มาจากความรู้สึกทั้งหมดของหัวใจ..


แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ชายคนเดิม.. คนที่ไม่เคยมีดอกไม้มาให้ฉันแม้แต่ช่อเดียว..


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


โดยแรงบันดาลใจจากเพลงนี้..

ไม่มีดอกไม้..ไม่มีนำมาให้เธอ
เพราะไม่มีดอกใดที่สวยพอ
ไม่มีคำหวาน..ที่มันมีความหมายพอ
ฉันมีเพียงแต่คำที่จริงใจ..

คำว่ารักเธอ.. คือที่ฉันมี
แปลว่าฉันจะอยู่ตรงนี้ใกล้ๆ เธอ
มีคนคนนี้.. รอเธอตรงนี้
ทุกนาทีที่เธอต้องการ..

ทุกนาทีฉันมีให้เธอ..




**เพลง ทุกนาที..ให้เธอ ของ ยูเอชที**



Create Date : 27 มิถุนายน 2551
Last Update : 27 มิถุนายน 2551 0:40:06 น. 1 comments
Counter : 463 Pageviews.

 
เพิ่งมาอ่านค่ะ ^^
ชอบตอนเอาอุปกรณ์การเซ็นต์มาให้อ่ะค่ะ น่ารักดี ^^


โดย: Life's for Rent IP: 125.24.135.156 วันที่: 3 สิงหาคม 2551 เวลา:23:55:37 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

โยษิตา
Location :
Kobe Japan

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เป็นคนไทย แต่ระหกระเหินมาใช้ชีวิตตัวคนเดียวที่ประเทศหมู่เกาะประเทศหนึ่ง กินเวลาสิบกว่าปีแล้ว ยังไม่รู้จะได้กลับเมื่อไหร่ (โถ่)

เป็นคนจับจดมาก อยากทำไปทุกอย่าง แต่ทำไม่ได้ดีซักอย่าง รู้น้อยกว่าเป็ด ควรจะเรียกว่ารู้อย่างลูกเป็ด หรือไข่เป็ด

ที่แน่ๆ ชอบอ่านกระทู้พันทิป มากถึงมากที่สุด



Longer - Dan Fogelberg
Group Blog
 
 
มิถุนายน 2551
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
27 มิถุนายน 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add โยษิตา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.