--but life goes on, and this old world will keep on turning--
แหวนดอกหญ้า



รถสปอร์ตสีดำคันเล็กจอดลงใต้จามจุรีใหญ่สองต้น ที่ขึ้นอยู่ชิดกันจนน่าประหลาดใจ ริมถนนลาดยางที่ทอดยาว หากเมื่อเป็นยามบ่ายจัด ถนนเส้นนั้นจึงแทบไม่มีผู้คนสัญจรไปมา นานๆ จึงจะมีรถโดยสารประจำทางสีส้มวิ่งเอื่อยๆ ผ่านมาสักคันหนึ่ง


หญิงสาวผู้เป็นคนขับยังคงนั่งอยู่หลังพวงมาลัย เนิ่นนานกระทั่งรู้สึกถึงความร้อนที่ทวีขึ้นเพราะเครื่องปรับอากาศหยุดทำงานนั่นแหละ เจ้าตัวจึงถอนใจยาว ก่อนจะเปิดประตูรถ ก้าวลงมาอย่างเหม่อลอย

ทุ่งหญ้ารกเรื้อ เป็นสีเขียวแกมน้ำตาลเย็นตา กว้างสุดลูกหูลูกตาเบื้องหน้า กับสายลมร้อนๆ ยามบ่ายที่โชยแผ่ว ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นมากนัก แพรวเดินอ้อมไปอีกฝั่งของต้นไม้ใหญ่ เข้าสู่เงาร่มครึ้มที่พ้นจากละไอแดดภายนอก นึกเหนื่อยเกินกว่าจะกลับไปขึ้นไปนั่งหลังพวงมาลัย เพื่อขับรถไปตามถนนสายยาวไกลที่เหมือนจะไม่มีจุดสิ้นสุดเช่นนี้

มันคืองาน..เธอต้องกลับไปทำงานพรุ่งนี้.. หลังจากที่ลามาแล้วถึงหนึ่งสัปดาห์..แพรวหมุนกุญแจรถในมือเล่นอย่างใจลอย เธอเองก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่า เมื่อเหตุใดเมื่อมีวันว่าง ไม่ว่าจะเป็นช่วงลาหยุดหรืออะไรก็ตาม เธอจึงจะต้องขับรถเป็นระยะทางร่วมสามร้อยกิโลเมตรจากกรุงเทพ เพื่อกลับมาอำเภอเล็กๆ ที่มีแต่ทุ่งหญ้าและทิวเขาแห่งนี้อยู่ร่ำไป

ทั้งที่.. เขาคนนั้นก็ได้จากไปแล้ว.. จากไปยังที่ที่เธอไม่อาจติดตามไปด้วยได้อย่างเคย..

แพรวรู้และยอมรับมันได้ดี หากก็นั่นแหละ..ถึงแม้ว่ามันจะผ่านมานานนัก แต่ถึงอย่างไรท้องทุ่งและสายลมของที่นี่ ก็ยังคงให้ความรู้สึกอบอุ่นและชิดเชื้อ ไม่ต่างจากอ้อมกอดของเขาเสมอมา..


เธอนั่งลงบนพื้นดินที่ปูด้วยใบและกิ่งจามจุรีแห้งๆ มีเกสรสีชมพูอ่อนละเอียดกระจายเกลื่อน มองดูสายลมอุ่นๆ พัดเอาทุ่งหญ้าพลิ้วเป็นระลอกคลื่น เริงร่าและงดงามจนแพรวเผลอมองเพลินอย่างดื่มด่ำอยู่อย่างนั้น กระทั่งไม่ได้ยินเสียงกรอบแกรบของกิ่งไม้แห้งข้างตัว

"รถพี่เหรอครับ" เสียงเบาแกมขลาดเสียงหนึ่งดังขึ้นใกล้ๆ

แพรวหันขวับไปมองอย่างตกใจ ก่อนที่จะถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อพบว่าร่างที่ยืนห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าวเป็นเด็กชายวัยไม่เกินสิบสามปี ตัวผอมสูง แขนขายาวเก้งก้าง ยืนจูงจักรยานคันเล็ก รอยยิ้มซื่อๆ แกมประจบนั้นทำให้แพรวอดไม่ได้ที่จะยิ้มตอบ

"ใช่จ้ะ"

"สวยจังครับ" เจ้าตัวยังหันกลับไปมองอีกครั้งอย่างติดใจ "ผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลย พี่ไม่ใช่คนแถวนี้ใช่มั้ย"

"จ้ะ พี่มาเที่ยวน่ะ" แพรวยิ้มให้อย่างเอ็นดู "น้องอยู่แถวนี้เหรอ"

"ครับ บ้านอยู่ตรงริมคลองโน้นแน่ะ" เด็กชายชี้นิ้วไปในทางตรงข้ามกับท้องทุ่ง วางจักรยานตะแคงลงกับพื้น ก่อนจะก้าวเข้ามานั่งลงใกล้ๆ เธอ ท่าทางคงเป็นเด็กกล้าและช่างพูดอยู่ไม่น้อย "ผมเพิ่งย้ายมา แถวนี้ไม่มีเพื่อนเล่นเลยครับ เหงาน่าดู"

น้ำเสียงและสีหน้าสีตาคนพูด ฟ้องว่าเจ้าตัวรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ จนแพรวนึกสงสาร

"แล้ววันนี้ไม่ไปโรงเรียนเหรอ" เธอถามเพราะเห็นอีกฝ่ายอยู่ในเครื่องแบบนักเรียน แถมขณะนั้นยังเป็นเวลาบ่ายสามโมงของวันจันทร์

คนถูกถามหน้าเจื่อนไปนิดหนึ่ง ก่อนจะมองซ้ายมองขวา ทำเสียงกระซิบกระซาบอย่างเห็นเป็นเรื่องสลักสำคัญ

"พี่อย่าไปบอกใครนะ ผมโดดแค่วิชาเดียวเอง ก็มันน่าเบื่อนี่ ผมไม่ได้ขี้เกียจนะ.."

"จ้ะ รับรองไม่บอก" แพรวกลั้นยิ้ม "โดดวิชาอะไรล่ะ"

"เลขครับ" เจ้าตัวย่นจมูก เบ้ปากอย่างคงจะเบื่อหน่ายเอาจริงๆ "ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องมานั่งเรียนอะไรยากๆ แบบนี้ด้วย เวลาไปซื้อข้าวกิน ไม่เห็นจะต้องใช้ตรีโกณมิติซะหน่อย"

แพรวหัวเราะเบาๆ นึกถึงตัวเองในวัยเยาว์อย่างบอกไม่ถูก ถ้อยคำเหล่านี้ ก็คือคำพูดที่เด็กทุกยุคทุกสมัยเคยบ่นแก่กันมาแล้ว ยามที่ต้องทนเรียนอะไรที่ตัวเองไม่ชอบนั่นแหละ..

"ตอนเด็กๆ พี่ก็ชอบโดดเหมือนกัน เลขเนี่ยประจำเลย" เธอบอกยิ้มๆ "ว่าแต่โดดมาทำอะไรที่นี่"

"วาดรูปครับ" คนข้างตัวเธอควักเอาสมุดวาดเขียนเล่มเล็กๆ สีฟ้าขึ้นมาจากเป้ใบโตที่สะพายไหล่เอาไว้ "ผมชอบวาดรูปทุ่งหญ้า เวลาโดนลมพัด มันเป็นคลื่นสวยดี เหมือนมีชีวิตเลย"

"ขอพี่ดูบ้างสิ" แพรวนึกถึงตัวเองเมื่อครู่นี้อย่างขันๆ..นี่เราก็โดดงานมานั่งมองท้องทุ่งเหมือนเด็กคนนี้เลยสินะ..

"ผมยังวาดไม่ค่อยเก่ง พี่อย่าหัวเราะนะ" คนพูดยื่นสมุดเล่มบางมาให้อย่างอายๆ แต่รอยยิ้มพรายในดวงตานั้นบอกชัดว่าเจ้าตัวก็มั่นใจในฝีมือตัวเองไม่น้อยเหมือนกัน

"สวยดีออก" แพรวอุทานเมื่อเห็นรูปสเก็ตช์หยาบๆ ด้วยดินสอดำบ้าง ปากกาบ้าง หากส่วนใหญ่เป็นภาพสีน้ำที่จัดว่าฝีมือเข้าขั้นหลายต่อหลายรูป ล้วนเป็นรูปเงาของทุ่งหญ้ากว้างยามต้องลม ที่แม้จะต่างวาระเวลา หากก็พลิ้วไหวเริงร่าราวกับมีชีวิต อย่างที่คนวาดอธิบายจริงๆ เสียด้วย

รูปแล้วรูปเล่า แพรวพลิกดูจนหมดเล่ม จึงส่งคืนให้เจ้าของที่นั่งมองตาไม่กะพริบอย่างคาดหวัง

"สวยจัง วาดเก่งกว่าพี่เยอะเลย" แพรวชมอย่างจริงใจ "ไปเรียนมาจากไหนจ๊ะ"

"ไม่เคยเรียนเลยครับ" เจ้าตัวตอบเขินๆ ทั้งที่ยิ้มหน้าบาน "แต่ที่บ้านมีรูปสีน้ำแบบนี้เต็มไปหมด ผมเลยอยากลองวาดบ้าง"

แพรวประหลาดใจขึ้นมานิดหนึ่ง ภาพสีน้ำเต็มไปหมด..ในบ้านชนบทที่ห่างไกลอย่างนี้ละหรือ..?

"คนที่พี่เคย..เอ้อ..รู้จัก.. ก็ชอบวาดรูปสีน้ำ" คราวนี้เสียงเธอสะดุด แพรวเพ่งมองเด็กชายที่หันไปก้มหน้าก้มตาค้นอะไรในเป้ง่วนอยู่อย่างใส่ใจขึ้นเล็กน้อย

ดวงหน้าใส เป็นสีน้ำตาลอ่อนอย่างเด็กชายที่ชอบใช้ชีวิตกลางแจ้งนั้นคุ้นตาเธออย่างประหลาด โดยเฉพาะสันจมูกโด่งคม กับคิ้วเข้มได้รูปสวย เหนือดวงตาสีเหล็กในหน่วยตากว้าง ล้อมรอบด้วยขนตายาวราวกับผู้หญิงนั้น ทำให้หัวใจเธอวาบลึกอย่างอธิบายไม่ถูก

"น้องชื่ออะไรจ๊ะ" แพรวถามเสียงเบา จนเกือบจะแน่ใจว่าฝ่ายนั้นจะไม่ได้ยินเสียด้วยซ้ำ

คนถูกถามเงยหน้าขึ้นจากเป้ในมือ มีดินสอถ่านที่ใช้ร่างภาพติดมือขึ้นมาด้วย สีหน้าแสดงว่าได้ยินคำถามชัดเจนดี

"ตรองครับ" เสียงใสตอบ

นาทีนั้น แพรวรู้สึกว่าใจเต้นแรงขึ้นอย่างควบคุมไม่อยู่ ใช่..เธอควบคุมตัวเองไม่อยู่จริงๆ เมื่อหลุดปากถาม

"แล้วรู้จักคนชื่อ..ตฤณ..มั้ย"

"ชื่ออะไรนะครับ แปลกๆ" ดวงหน้าใสมีรอยงุนงง "สะกดยังไงครับ"

แพรวใช้มือข้างหนึ่งกดตรงตำแหน่งหัวใจเอาไว้ เพื่อไม่ให้มันเต้นแรงจนโลดออกมาข้างนอกเสียก่อน ก่อนจะรับสมุดและดินสอที่ฝ่ายนั้นส่งให้ เพื่อเขียนชื่อหนึ่ง..ชื่อเดียวที่อยู่ในความทรงจำของเธอมาแสนนาน..ลงไปด้วยมือที่ไม่มั่นคงนัก

เด็กชายมองตัวอักษรที่ปรากฏบนแผ่นกระดาษ ดวงตาคู่สวยไม่แสดงอาการรู้จักหรืออื่นใด นอกจากความงงงวย

"ไม่เคยได้ยินเลยครับ แต่เพราะดีนะ"

"พ่อ..เอ้อ..คุณพ่อตรองชื่อนี้หรือเปล่า.." อีกครั้งที่แพรวต้องใช้ความพยายามที่จะถาม ทั้งที่เป็นเพียงประโยคง่ายๆ

"ไม่ทราบครับ" ดวงหน้าใสสลดลง "ผมอยู่กับแม่ เกิดมาก็ไม่เจอพ่อแล้ว แม่ไม่ให้ถามถึงพ่อครับ"

"แล้ว..คุณแม่ตรอง..เอ้อ.. ชื่ออะไรจ๊ะ" แพรวถามอย่างเลื่อนลอย และเด็กชายก็ทำท่าสงสัยขึ้นมาบ้าง

"ชื่อกิ่งครับ พี่รู้จักแม่ผมเหรอ"

"เปล่าๆ" แพรวลูบหน้าอย่างอ่อนล้า นี่เธอจะมานั่งซักไซ้ไล่เลียงเด็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วยทำไมกันนะ เธอยังหวังอะไรอยู่อีก ยังหวังว่าเขา..คนที่เธอเป็นคนลอยเถ้ากระดูกส่วนหนึ่งลงในแม่น้ำสายเล็กๆ ในตัวอำเภอแห่งนี้เมื่อสามปีมาแล้ว..จะยังคงมีส่วนหนึ่งอยู่ในตัวเด็กชายคนนี้น่ะหรือ..

ไม่มีทาง..เขาไม่มีทางเป็นอย่างนั้น ไม่มีทางทำอย่างนั้น..

เด็กชายตรงหน้าโตเกินกว่าจะเป็นบุตรชายของเขาได้ ใช่..เธอต้องเชื่อเช่นนั้น เพราะมิฉะนั้น..ความจริงจะกลายเป็นว่า เขาให้กำเนิดเลือดเนื้อเชื้อไขคนนี้ ก่อนที่จะเขาจะได้พบเธอ. และน่าจะก่อนที่เขาจะเข้าเรียนระดับอุดมศึกษาเสียอีก !

"ตรองอายุเท่าไหร่แล้วจ๊ะ" คราวนี้แพรวควบคุมเสียงตัวเองให้เป็นปกติจนได้ บอกตัวเองให้เลิกคิดฟุ้งซ่านในสิ่งไร้สาระเสียที

"สิบสองครับ" เจ้าตัวทำท่าสงสัยมากขึ้นอีก "พี่เป็นอะไรรึเปล่าครับ หน้าซีดๆ"

"เอ้อ..เปล่าจ้ะ ไม่เป็นไร" แพรวฝืนยิ้มให้อีกฝ่าย "ขอโทษที่ถามอะไรแปลกๆ อย่าถือพี่เลยนะ"

เด็กชายยังคงมองมาอย่างไม่เชื่อถือ แพรวจึงต้องพยายามยิ้มให้ดูแจ่มใสขึ้น ปรับน้ำเสียงและสีหน้าให้รื่นเริงดังเดิม

"ตรองวาดรูปสิ พี่ไม่กวนแล้วละ" เธอขยับจะลุก

"พี่จะกลับแล้วเหรอ" เสียงอีกฝ่ายมีรอยผิดหวังอย่างไม่ปิดบัง "นึกว่าจะนั่งดูลมพัดยอดหญ้าด้วยกันก่อน"

"เดี๋ยวตรองไม่มีสมาธิ" เธอบอกยิ้มๆ "พี่นั่งชวนคุยอยู่อย่างนี้ เดี๋ยววาดไม่สวย"

"โธ่พี่ เรื่องเล็ก" ฝ่ายนั้นกลับยักคิ้วแผล็บ "มีคนอยู่ด้วยสิ วาดสวยกว่า ไม่เหงาดี"

"เอ้า ก็ได้" แพรวใจอ่อน "งั้นพี่จะพยายามนั่งเงียบๆ ละกัน เอาแบบไม่เหงาแต่ไม่หนวกหูด้วย ดีมั้ย"

เด็กชายยิ้มจนตาหยี ท่าทางผ่อนคลายเป็นกันเองยิ่งกว่าทีแรก

"งั้นเดี๋ยวผมวาดรูปให้พี่รูปนึงดีมั้ย"

"ให้จริงอ่ะ"

"จริงสิครับ อ้าว.." คำท้ายเป็นเสียงอุทาน และเมื่อเธอเลิกคิ้วยิ้มๆ ฝ่ายนั้นก็บอกอ่อยๆ

"กระดาษเหลืออยู่แผ่นเดียวเองครับ ที่ผมให้พี่เขียนชื่อให้ดูเมื่อกี๊น่ะ ผมลบได้ป่าว" เสียงถามมีแววเกรงใจ

"ได้สิ" แพรวยิ้มอย่างเอ็นดู แม้ว่าในใจจะวอบวาบ

"เอางี้" ท่าทางเจ้าตัวจะเป็นห่วงเป็นใยความรู้สึกเธออยู่ไม่น้อย แม้ว่าจะลงมือลบจนกระดาษแผ่นนั้นกลับไปขาวสะอาดดังเดิมแล้ว "พี่เขียนไว้ที่ปกสมุดนี่อีกทีนะ แล้วผมจะเอาไปถามแม่ให้ เผื่อแม่รู้จัก"

"อย่า.." แพรวหลุดปาก แล้วก็ชะงัก "เอ้อ..หมายถึง ไม่เป็นไรจ้ะ มันไม่ได้สำคัญอะไร"

ไม่ว่าเด็กชายตรงหน้า..จะมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับตฤนหรือไม่..แต่ในเมื่อตฤนไม่เคยบอก เธอก็ไม่ควรจะเข้าไปก้าวก่ายในเรื่องของเขามิใช่หรือ..

"จริงอ่ะ" ฝ่ายนั้นเลียนแบบวิธีถามของเธอบ้าง และเมื่อเห็นเธอไม่ตอบ เด็กชายก็ถอนใจยืดยาวราวกับผู้ใหญ่

"ผมไม่ถามก็ได้ครับ" คนพูดยิ้มใสอย่างประจบ "แต่ชอบชื่อเมื่อกี๊จังเลย พี่เขียนให้อีกทีนะครับ ผมเขียนไม่ถูก"

แพรวเกือบปฏิเสธ หากว่าจะไม่แลสบดวงตาสีเหล็ก ภายใต้กรอบขนตายาวนั้นเสียก่อน

แววตาคู่สวยที่เจือทั้งรอยยิ้มหัว ผสมปนเปอยู่กับถ้อยคำอ้อนวอนและประจบประแจง กระแสสายตานั้นคมกล้าและรุนแรงจนแพรวแทบจะมือไม้อ่อน.. มันช่างเหมือนกับใครคนนั้นเหลือเกิน.. เหมือนจนไม่น่าเชื่อ..

แพรวจึงไม่แปลกใจตัวเองแม้แต่น้อยที่ในที่สุด เธอก็รับเอาสมุดเล่มนั้นมา ยอมเขียนชื่อ "ตฤณ" ลงไปบนหน้าปกสีฟ้าอ่อนนั้นแต่โดยดี..

เมื่อได้ดังใจ เด็กชายก็หันไปง่วนอยู่กับการร่างภาพและลงสี ท่าทีคล่องแคล่วทะมัดทะแมงและอุปกรณ์การวาดสีน้ำครบชุดที่เจ้าตัวเตรียมมาทำให้แพรวนึกทึ่ง ท่าทางเด็กคนนี้จะไม่ธรรมดาเอาจริงๆ


สายลมอ่อนๆ ยังคงทำหน้าที่ของมันต่อไปอย่างไม่อนาทรต่อเข็มนาฬิกาที่เดินไป ทุ่งหญ้าเบื้องหน้าจึงยังคงปรากฏริ้วคลื่นที่พลิ้วไล่ต่อกันไปเป็นระลอก ราวกับเป็นท้องทะเลกว้างสีเขียวแกมทอง ทอประกายสดชื่นอยู่ในแสงอ่อนของดวงตะวันยามบ่าย

แพรวนั่งเงียบๆ ปล่อยใจตัวเองให้ล่องลอยกลับไปสู่วันเวลาเก่าๆ วันที่ได้เจอเขาที่นี่.. อำเภอเล็กๆ ที่มีเพียงขุนเขาและทุ่งหญ้า ตฤณชอบพาเธอขับรถกินลมชมวิวไปตามถนนสายนี้ มองดูท้องทุ่งหลากสีสันภายใต้แผ่นฟ้าสีครามจัดเบื้องบน

หลายครั้งที่เขาทำอย่างนี้แหละ.. จอดรถลงตรงที่ที่เขาถูกใจ เพื่อจะนั่งลงระบายสีภาพสวยๆ เหงาๆ เหมือนที่ตัวเขาเป็น.. เช่นเดียวกับเด็กชายตัวน้อยคนนี้..

แพรวเคยปล่อยให้ตฤนวาดภาพของเขาเงียบๆ อย่างไร เธอก็อยากจะปล่อยให้เด็กชายข้างตัวเธอทำงานของเขาเงียบๆ อย่างนั้นเช่นกัน..

เพราะเธออยากให้อีกฝ่ายทำงานของเขาให้ออกมาดีที่สุดน่ะ.. แพรวบอกตัวเองอย่างเผลอๆ..

ไม่ใช่เพราะเขาทำให้เธอรู้สึกว่า ได้กลับมานั่งอยู่ข้างตฤนอีกครั้งหรอกนะ..


"ตฤน แปลว่าอะไรครับ" จู่ๆ เสียงใสของคนข้างตัวก็เอ่ยถาม โดยที่เจ้าตัวไม่ได้เงยหน้ามองเธอด้วยซ้ำ

แพรวเกือบสะดุ้ง หากก็เพียงกะพริบตา เมื่อตอบเบาๆ

"แปลว่าต้นหญ้าจ้ะ" เธอพูดได้แค่นั้น เพราะความรู้สึกบางอย่างที่เต็มตื้นขึ้นมาจนเกินระงับ

"พี่ชอบต้นหญ้าเหรอครับ" เสียงใสยังถามเอื่อยๆ

"จ้ะ" แพรวกลืนก้อนอะไรแข็งๆ ในลำคอลงไปจนสำเร็จ "ชอบที่ต้นหญ้ามีวิญญาณแห่งความเสรี เมื่อใดที่ลมพัดมา ก็เริงระบำตามสายลมได้โดยไม่ต้องขัดขืนให้เหนื่อยอย่างไม้ใหญ่"

"แต่ต้นหญ้าไม่มีค่า ไม่มีราคานะครับ" สายตาคนพูดยังจับจ้องอยู่ที่ภาพวาด

"ค่ากับราคาไม่เหมือนกัน" แพรวตอบเสียงเบา แล้วก็ยิ้มกับตัวเอง นี่เธอจะมานั่งพร่ำเพ้อให้เด็กตัวเล็กๆ ฟังกันทำไมนะ "สิ่งที่ไม่มีราคา ก็อาจจะมีค่ายิ่งใหญ่สำหรับบางคน"

"ผมก็ชอบต้นหญ้า" คราวนี้เด็กชายหันมาทางเธอ ดวงตาคมหวานของเขายังมีรอยยิ้มใสเหมือนเดิม เพียงแต่มันลึกซึ้งจนเกินเด็กอย่างน่าพิศวง "ชอบที่มันเกิดง่าย โตง่าย อยู่ที่ไหนก็ได้ และไม่เรียกร้องอะไร.."

"ผมอยากเป็นอย่างต้นหญ้า โตได้โดยไม่ต้องการน้ำ ปุ๋ย หรือการดูแลอะไรมากนัก" น้ำเสียงคนพูดหม่นลงนิดหนึ่ง พร้อมกับดวงตาคู่สวยที่มีรอยเหงาลึกเข้ามาแทน

"ทำไมตรองจะเป็นไม่ได้ล่ะ" แพรวยิ้มใส่ดวงตาคู่นั้นอย่างให้กำลังใจ "ที่โดดเรียนมานี่ก็ได้หนีปุ๋ยมาแล้วไง พี่ว่าบางที การโตด้วยตัวเองบ้างก็ดีเหมือนกันนะ"

อีกฝ่ายหัวเราะเสียงใส ละสายตาจากเธอ ทอดมองออกไปในสีเขียวแกมทองของท้องทุ่ง

"พี่ว่าผมจะเฉาตายเพราะขาดปุ๋ยมั้ย"

"ไม่ร้อก" แพรวหัวเราะบ้าง "ต้นหญ้าที่ไหนตายง่ายๆ มั่งล่ะ ขนาดเจอยาฆ่าหญ้ายังไม่ค่อยจะตายเลย.."

"เพียงแต่อาจจะอ่อนไหวและเปราะบางไปบ้าง.." แพรวลดเสียงลงในประโยคสุดท้าย เมื่อรู้สึกถึงความร้อนที่ขอบตา เธอเสเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เริ่มเป็นสีเทาขมุกขมัวด้วยเมฆฝนราวกับเป็นกังวล หากแท้จริงคือเพื่อปิดบังรอยชื้นๆ ที่เริ่มก่อตัวในดวงตาต่างหาก..

"ท่าทางฝนจะตกมั้ง กลับกันเหอะ" แพรวเตือน เมื่อเห็นฝ่ายนั้นทำท่าจะเพลิดเพลินกับงานในมือโดยไม่ใส่ใจกับสิ่งแวดล้อมรอบตัว

เด็กชายถอนใจยาวโดยมิได้ตอบ คิ้วเข้มขมวดนิดๆ อย่างไม่ตั้งใจ หากก็ทำให้ดวงหน้านั้นคมจับตา แพรวอยากจะคิดว่ามันเหมือนตฤนในวัยหนุ่มน้อย ยามที่เธอได้พบเขาครั้งแรกเสียด้วยซ้ำ..

ในที่สุดเจ้าตัวก็วางพู่กันลง ยื่นรูปที่วาดเสร็จในมือออกห่างตัว พร้อมกับเอียงคอดูอย่างพอใจ น่าแปลก..ที่ท่าทีนั้นก็แสนคุ้นตา ราวกับถอดมาจากตฤนทุกกระเบียดนิ้ว จนหัวใจแพรวสั่นไหวไปอีกครั้ง..

ก็แค่เด็กคนนึงเท่านั้นเอง.. แพรวหัวเราะขื่นๆ กับตัวเองในใจ

"ผมยังไม่รู้ชื่อพี่เลย"

"หือ" แพรวดึงสติให้กลับมาอยู่กับตัว มองดูดวงหน้าใส กับดวงตาสีเหล็กที่พราวระยับคู่นั้นเนิ่นนาน ก่อนจะบอกเบาๆ

"แพรวจ้ะ"

อีกฝ่ายใช้ปลายพู่กันตวัดลงเหนือภาพที่เพิ่งเขียนสดๆ ร้อนๆ เป็นตัวอักษรตวัดหางสวย ด้วยคำว่า "แด่ พี่แพรว"

และก่อนที่เธอจะได้ออกปากว่าอะไร ฝ่ายนั้นก็ลงชื่อตัวเองที่มุมภาพเป็นคำว่า "ตฤน"

"อ้าว ทำไมไม่ลงชื่อตัวเอง" แพรวแย้งขันๆ

"ชื่อนี้เท่กว่า" เด็กชายยักคิ้ว ยิ้มกว้างทั้งริมฝีปากและดวงตา เมื่อยื่นภาพในมือให้เธอ "พี่แพรวเก็บไว้นะครับ พี่เป็นคนแรกที่ผมวาดรูปให้เลยนะ"

"โอ้โห ขอบใจจ้ะ" แพรวรับภาพนั้นมาพร้อมรอยยิ้ม ที่บอกไม่ถูกว่าทำไมจึงดีใจได้มากมายถึงเพียงนั้น "งั้นพี่ต้องหาอะไรเป็นที่ระลึกให้ตรองบ้างแล้ว"

"อะไรครับ" ฝ่ายนั้นเอียงคอมอง ยิ้มทะเล้น "เอารถพี่ก็ได้นะ สอนผมขับด้วย"

แพรวหัวเราะเสียงดัง ลุกขึ้นจากท่านั่งพิงโคนต้นไม้ใหญ่ โดยมีอีกฝ่ายลุกตามอย่างทันทีทันควัน ราวกับกลัวว่าเพื่อนเล่นคนใหม่จะหนีหายไปต่อหน้า

"เอานี่ละกัน" แพรวดึงต้นหญ้าเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นมา ริดใบออกจนเหลือแต่ดอกเล็กๆ สีขาว กับลำต้นยาวๆ ที่ดูเหมือนจะบอบบาง หากก็เหนียวจนต้องออกแรงดึง กว่าจะขาดจากกันได้

"ทำอะไรอ่ะพี่แพรว" วิธีเรียกของเด็กชายราวคนคุ้นเคย

"เดี๋ยวก็รู้" แพรวทำงานในมือโดยพยายามไม่วอกแวกกับสายตาอีกฝ่าย จนมันสำเร็จลงนั่นแหละ เธอจึงถอนใจยาว

"เอ้า พี่ให้"

ดวงตาคู่สวยฉายแววยินดีอย่างชัดแจ้ง เมื่อเจ้าตัวรับเอาแหวนที่ถักขึ้นจากต้นหญ้าในมือเธอไป

"พอดีเลย ขอบคุณครับ" เจ้าตัวทำเสียงลิงโลด ยื่นมือที่มีแหวนสวมนิ้วนางอยู่อย่างพอดิบพอดีมาตรงหน้าเธอคล้ายจะเป็นการอวด

น่าแปลก.. แหวนดอกหญ้าที่เธอใช้นิ้วก้อยของตัวเองเป็นแบบในการถัก กลับเข้ากันได้พอดีกับนิ้วนางเล็กๆ ของฝ่ายนั้น เหมาะเจาะราวกับจับวาง

"งั้นเก็บไว้นะ" เธอยิ้มให้ฝ่ายนั้นทั้งปากและตาเช่นกัน


แสงสว่างที่วาบเป็นแนวยาว ณ ริมฟ้า พร้อมกับละอองไอเย็นชื้นที่ถูกสายลมแรงหอบเอามาปะทะใบหน้า ทำให้แพรวรู้สึกตัว ท้องฟ้าสีครามสดใสของยามบ่ายบัดนี้เปลี่ยนปีสีเทาเข้ม มองดูทึบทะมึน เมื่อบวกกับความหนาวเย็นและลมที่เริ่มพัดแรงขึ้นทุกขณะ ทำให้เธอต้องรีบบอกอีกฝ่ายโดยเร็ว

"ตรองไปเก็บของเถอะ ฝนจะลงแล้ว สงสัยพายุจะมา"

เด็กชายทำตามอย่างว่าง่าย หากแม้จะใช้เวลาเพียงไม่ถึงห้านาทีในการเก็บอุปกรณ์ทั้งหมด ก็ดูราวกับจะช้าเกินไป เมื่อสายลมรอบตัวทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าพิศวง สายฟ้าสว่างวาบเป็นทางอย่างน่ากลัว ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องครืนจนพื้นดินสั่นสะเทือน ฝุ่นละอองและเศษใบไม้กิ่งไม้แห้ง ถูกลมพัดวนจนฟุ้งกระจาย บรรยากาศรอบตัวคล้ายมีพายุพัดผ่านอย่างไม่ทันตั้งตัว

"ให้พี่ไปส่งที่บ้านมั้ย" แพรวตะโกนแข่งกับเสียงลมฝน เมื่อเข้าไปช่วยอีกฝ่ายจับจักรยานขึ้นตั้งอย่างทุลักทุเล

"ไม่เป็นไรครับ พี่แพรวรีบไปเถอะ ถ้าฝนลงจะขับรถลำบาก" ฝ่ายนั้นเงยหน้าขึ้นบอก แววตาหม่นๆ นั้นมองเห็นได้ชัดแม้อยู่ในท่ามกลางความขมุกขมัวของพายุ

"โอเค กลับบ้านดีๆ ล่ะ" แพรวพยายามยิ้ม ทั้งที่บอกไม่ถูกว่าเหตุใดภายในใจจึงวูบวับ เศร้าสร้อย ราวกับได้เห็นสิ่งอันเป็นที่รักถูกพรากไปต่อหน้า..

"พี่แพรวก็เหมือนกัน" เด็กชายยิ้มตอบเธอ ดวงตาสีเหล็กที่สวยเหมือนนัยน์ตาผู้หญิงมองตรงมาแน่วนิ่ง มีแววลึกซึ้งอย่างที่เธอแปลความหมายไม่ออก..

"เราจะได้เจอกันอีกมั้ยครับ.."

แพรวไม่ได้ตอบ เพราะกระแสลมที่ทวีความแรงขึ้นทุกที เธอทำได้เพียงโบกมือให้ มองตามร่างเล็กๆ นั้นไป กระทั่งฝ่ายนั้นหันหลังกลับ และเริ่มขี่จักรยานออกไปนั่นแหละ เธอจึงกะพริบตา ไล่เอาละอองไอชื้นๆ ในดวงตาให้ไหลกลับคืนสู่หัวใจตัวเอง..

"บางทีนะ.." แพรวกระซิบ หวังว่าสายลมคงจะพามันไปถึงเด็กชายตัวน้อยของเธอ..

และบางที.. มันอาจจะไปถึงตฤน..

รอจนร่างนั้นหายไปในแสงสลัวของยามเย็นและเมฆฝน แพรวจึงเดินลากขากลับมาที่รถอย่างเหน็ดเหนื่อย เพื่อจะเริ่มต้นขับมันออกไป.. ในอีกทิศทางหนึ่ง ตรงข้ามกับที่อีกฝ่ายมุ่งหน้าไป


ทันทีที่สตาร์ทรถ ฝนเม็ดโตๆ ก็เทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา แพรวต้องค่อยๆ ประคองพวงมาลัยมิให้รถตกไหล่ทาง เพราะนอกจากฝนที่ตกราวกับฟ้ารั่ว ถนนลาดยางลื่นๆ บวกกับสายลมกรรโชกแรง ล้วนยิ่งทำให้การบังคับรถยากขึ้นไปอีก ที่ปัดน้ำฝนทั้งหน้าและหลังรถทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่ แต่ก็คล้ายกับจะไม่ช่วยอะไรเลย สองข้างทางมืดมัวด้วยม่านน้ำฝนสีเทาสลัว หนา หนัก ที่ราวกับจะขวางกั้นเธอไว้จากโลกภายนอก..

โดยไม่คาดคิด จู่ๆ ก็เสียงดังกึกก้องกัมปนาทจนแผ่นดินสั่น แสงฟ้าแลบวาบ สว่างจ้าในระยะใกล้ แพรวหลับตาลง เท้าเหยียบเบรกพรืดโดยสัญชาตญาณ สะกดตัวเองเต็มที่มิให้ร้องกรี๊ดออกมา เมื่อรู้สึกว่ารถกำลังหมุนควงอย่างควบคุมไม่อยู่

ในเวลาเพียงเสี้ยววินาที ที่ดูราวกับจะยาวนานเป็นนิรันดร์ในความรู้สึกของเธอ ในท่ามกลางกระแสลมหมุนวนและพายุที่โหมกระหน่ำอยู่ภายนอกรถ น่าแปลก..ที่เมื่อลืมตาขึ้น แพรวกลับมองเห็นอะไรบางอย่างได้อย่างชัดเจน.. อะไรบางอย่างที่เป็นสีน้ำตาลซีดๆ และคงเบาหวิวจนปลิวจากคอนโซลหน้ารถมาตกลงบนตักเธอเพราะแรงเหวี่ยง..

อะไรบางอย่างที่ราวกับเพิ่งผ่านตาไป.. เพียงเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาเท่านั้นเอง..

แพรวรอจนรถหยุดสนิท โชคดีเหลือเกินที่สองข้างทางเป็นเพียงท้องทุ่งที่มีดินแข็ง และเกือบอยู่ในระดับเดียวกับถนน ไม่ใช่โคลนเลนหรือแม้แต่คลองที่ต่างระดับลงไปมาก อันจะทำให้รถพลิกคว่ำได้ง่ายเมื่อเบรกกะทันหันเช่นนี้


จนวินาทีถัดมานั่นแหละ แพรวจึงตระหนักว่าสิ่งที่เธอหยิบขึ้นมาจากบนตักนั้น คือแหวนวงเล็กๆ วงหนึ่ง..

แหวนที่ถักจากต้นหญ้า แบบเดียวกับที่เธอเพิ่งให้หนุ่มน้อยของเธอไปเมื่อครู่นี้.. เธอจำมันได้ดี ไม่ว่าจะเห็นมันที่ไหน เมื่อไหร่ และไม่ว่าสภาพมันจะเปลี่ยนไปเช่นไร แพรวก็ยังจำมันได้ดี เพราะมันเป็นแหวนที่เธอทำขึ้นด้วยมือเธอเอง เพื่อใครคนหนึ่ง..คนเดียวเท่านั้น..

และแน่นอน.. แพรวแทบไม่ต้องคิดเมื่อสวมมันลงกับนิ้วก้อยของตัวเอง หลวมไปนิด..

ไม่แปลกอะไร ในเมื่อต้นหญ้าที่ใช้ถักได้แห้งเหี่ยวไปแล้วตามกาลเวลา..

กาลเวลา..


แพรวเลี้ยวรถกลับ ไม่มีความลังเลอีกแล้วเมื่อเหยียบคันเร่งจนเกือบสุด มุ่งหน้าไปตามทางเดิมที่เธอขับมาเมื่อครู่นี้ น่าแปลกที่สายฝนซึ่งกระหน่ำหนักราวกับฟ้าจะถล่มทลายเมื่อครู่ ยามนี้กลับหยุดลงเฉยๆ อย่างน่าพิศวง แม้ว่าพื้นดินสองข้างทางจะยังชุ่มน้ำ หากท้องฟ้าเบื้องบนกลับเป็นสีครามกระจ่าง จนราวกับเมฆฝนดำทะมึนและลมพายุที่โหมกระหน่ำอยู่เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา เป็นเพียงภาพมายา หรืออาจจะเป็นเพียงความฝันของเธอเองคนเดียว..

ภายในเวลาไม่กี่นาที แพรวกลับรู้สึกว่าภาพต่างๆ ในอดีตกลับวิ่งผ่านเข้ามาในสมองเธอได้รวดเร็วจนน่าอัศจรรย์ ภาพสมุดวาดเขียนสีฟ้าเก่าๆ ของตฤน ที่มีลายมืออันคุ้นตาเขียนชื่อ "ตฤน" ตัวโตๆ เอาไว้ เป็นลายมือที่แพรวไม่เคยนึกออกเสียทีว่ามันเหมือนลายมือใคร.. ภาพแหวนดอกหญ้าในมือเธอ ภาพวาดสีน้ำที่ลงชื่อตฤน..

แพรวปล่อยให้หยดน้ำอุ่นๆ หลั่งรินจากขอบตาโดยไม่อาจกลั้นมันเอาไว้ได้อีก เมื่อรถคันเล็กของเธอจอดลงที่ใต้ต้นจามจุรีใหญ่ ที่เมื่อครู่นี้..ใช่..เมื่อครู่นี้เอง..มันยังยืนต้นตระหง่านคู่กันอยู่สองต้น

หากขณะนี้.. เมื่อแพรววิ่งจนแทบไม่คิดชีวิต ย่ำลงไปบนพื้นดินชื้นๆ รอบโคนต้น กลับพบว่ามันมีอยู่เพียงต้นเดียว ต้นจามจุรีใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมทั่วบริเวณจนร่มครึ้ม ลานดินใต้ต้นเตียนโล่ง มีเพียงเศษใบไม้และกิ่งไม้แห้งๆ ทับถมกันอยู่ ไม่มีวี่แววว่ามันจะเคยมีคู่แฝด หรือไม้ยืนต้นอื่นใดในบริเวณนี้อีกเลย..

แพรวทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรงที่โคนไม้ใหญ่ ที่เดียวกับที่เธอและ "ใครอีกคน" เพิ่งลุกจากไปนั่นเอง มือลูบคลำแหวนที่สวมนิ้วก้อยอยู่อย่างใจลอย แหวนที่เธอวางทิ้งไว้บนคอนโซลรถ นานจนลืม..

แหวนดอกหญ้าแห้งๆ ดูไร้ราคาค่างวดที่ตฤนเคยมอบให้เธอ ก่อนที่เขาจะจากไปเพียงไม่นาน กับเรื่องราว "แปลกๆ" จากปากเขา ที่ตอนนั้นเธอได้แต่หัวเราะ

"ตอนเด็กๆ เราเคยเจอผู้หญิงคนนึง น่ารักมาก ขับรถเปรี้ยวอย่างที่เราไม่เคยเห็นเลยละ.." ตฤนเริ่มเรื่อง และเธอก็ขัดคอทันที

"ขนาดตอนเด็กยังจำได้อีกนะว่าเค้าน่ารัก"

"จำได้สิ" ดวงตาสีเหล็ก ที่สวยราวกับนัยน์ตาผู้หญิงของเขามองตรงมา มีรอยลึกซึ้งบางอย่างที่ทำให้เธอต้องหลบตาลง "ไม่รู้ว่าอุปาทานรึเปล่านะ แต่ได้คุยกันอยู่ตั้งนาน เราว่าเค้าเหมือนแพรวเอามากๆ เพียงแต่.."

"เพียงแต่อะไร" แพรวซักทั้งๆ ที่บอกตัวเองว่า คงเป็นเรื่องเพ้อฝันตามประสาศิลปินของตฤนอีกตามเคย

"เพียงแต่เค้าดูเหงาๆ แล้วตาก็เศร้ามากทีเดียว เศร้าจนเราอยากจะถามว่าเค้าเป็นอะไร แต่ก็ไม่กล้า.."

"ถ้าไม่กล้าแล้วคุยอะไรกันตั้งนาน" แพรวถามล้อๆ

"เรื่องต้นหญ้า" รอยยิ้มของตฤนสวยเสมอ "เราเอาชื่อตฤนมาจากเค้านี่แหละ เค้าเป็นคนแรกที่บอกเราว่า การเลือกเป็นต้นหญ้าก็โอเคเหมือนกัน"

"อ้าว เมื่อก่อนตฤนไม่ได้ชื่อตฤนเหรอ" แพรวทำตาโต "แล้วชื่ออะไรน่ะ"

"ไม่บอก มันเชย" ตฤนส่ายหน้ายิ้มๆ หยิบสิ่งที่อยู่ในมือขึ้นมา ก่อนจะสวมมันลงกับนิ้วก้อยของเธออย่างง่ายๆ

"แหวนดอกหญ้า" ตฤนไม่รอให้เธอต้องถาม "เค้าทำให้เราวันนั้น แต่เรานึกอยู่แล้วละว่ามันต้องพอดีกับนิ้วแพรวแน่ๆ.."

"ทำไมล่ะ" แพรวยังคงงงงวยกับเรื่องราวแปลกประหลาดเหนือความเข้าใจของอีกฝ่าย "เอามาให้แพรวทำไม"

หากตฤนก็เพียงแต่ยิ้ม ดวงตาคู่สวยทอดมองออกไป ณ ที่แสนไกล ที่ที่เธอไม่อาจตามไปถึง..

"รูปใบแรกที่เราวาดให้เค้า ป่านนี้เค้าจะยังเก็บไว้รึเปล่านะ.." เสียงตฤนคล้ายรำพึง

"รูปอะไร" แพรวหันไปสนใจกับสิ่งอื่นรอบตัวเสียแล้ว จึงได้แต่ถามเรื่อยๆ ไปตามแกน

"ช่างเถอะ.." คราวนี้รอยยิ้มแจ่มใสของตฤนส่งมาให้แพรวโดยตรง แพรวจึงไม่ลังเลที่จะยิ้มรับความหวานในดวงตาของอีกฝ่ายอย่างกว้างขวางเช่นกัน..

"เอาเถอะ..สักวัน..แพรวคงได้เห็น.."

เสียงของตฤนอ่อนเบา ราวกับลอยมาจากดินแดนอันไกลโพ้น ทั้งที่แพรวก็รู้ดี ว่ามันยังอยู่ตรงนี้..ในความทรงจำรำลึกของเธอเอง..



แพรวหลับตาลง ปล่อยหัวใจให้ดื่มด่ำกับความอบอุ่นสุดท้ายที่ตฤนทิ้งไว้ให้ ในแหวนดอกหญ้า..ที่ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นของตฤน หากในวันนี้..มันเป็นของเธอ.. และในภาพวาดสีน้ำ อันมีลายมือตัวเล็กๆ ตวัดหางสวย ทั้งชื่อผู้วาดและผู้เป็นเจ้าของ บรรจงเขียนไว้อย่างงดงาม

ในบางกระแสแห่งความทรงจำ แพรวคลับคล้ายเห็นรอยยิ้มพรายในดวงตาสีเหล็กของตฤน ซ้อนทับกับรอยลึกซึ้งของดวงตาสีเดียวกัน ในหน่วยตากว้าง สวยราวกับผู้หญิงของเด็กชายอีกคน..

ไม่ต้องมีใครบอกเธอ แต่แพรวก็แน่ใจ.. ว่ามันเป็นรอยยิ้มจากคนเพียงคนเดียว ที่มีให้คนอีกเพียงหนึ่งคนเช่นเดียวกัน..

บางที..บางทีนะตฤน..


บางทีเราอาจจะได้พบกันอีก..






Create Date : 07 กรกฎาคม 2551
Last Update : 7 กรกฎาคม 2551 19:16:36 น. 3 comments
Counter : 622 Pageviews.

 
เป็นคนนึงที่ชอบเขียนเหมือนกัน

แต่ไม่เคยเอามาลงเลยสักครั้ง

ชอบผลงานของคุณมาก


เขียนไปเรื่อยๆนะ


จะเป็นกำลังใจให้


โดย: กช IP: 58.8.128.56 วันที่: 8 กรกฎาคม 2551 เวลา:10:36:14 น.  

 
อื้ม..ม..เพิ่งเคยอ่านเรื่องสั้นบล็อกนี้
ชอบมากเลยค่ะ...ว้าว..เหมือนจะเศร้าแต่อบอุ่นจัง
หวังว่าซักวัน..คนทั้งสอง..คงได้มีโอกาสโคจรมาเจอกันนะคะ


โดย: nikanda วันที่: 10 กรกฎาคม 2551 เวลา:3:30:08 น.  

 
คุณกช ขอบคุณมากค่า ไม่ลองเอางานเขียนมาลงมั่งอะคะ ในถนนนักเขียนมีเพื่อนๆ นักอ่านที่ใจดี คอยให้คำแนะนำเยอะเลยค่ะ ลองดูนะคะๆ มาเป็นนัก(อยาก)เขียนด้วยกันๆ

คุณ nikanda ถ้าสองคนได้เจอกันอีก จะเป็นยังไงเนาะคะ คนที่เศร้าคงเป็นแพรวหรือเปล่าน้าาา (คนเขียนเริ่มฟุ้งซ่าน แหะๆ)
ขอบคุณที่มาอ่านน้าค้า


โดย: โยษิตา วันที่: 13 กรกฎาคม 2551 เวลา:22:51:10 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

โยษิตา
Location :
Kobe Japan

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เป็นคนไทย แต่ระหกระเหินมาใช้ชีวิตตัวคนเดียวที่ประเทศหมู่เกาะประเทศหนึ่ง กินเวลาสิบกว่าปีแล้ว ยังไม่รู้จะได้กลับเมื่อไหร่ (โถ่)

เป็นคนจับจดมาก อยากทำไปทุกอย่าง แต่ทำไม่ได้ดีซักอย่าง รู้น้อยกว่าเป็ด ควรจะเรียกว่ารู้อย่างลูกเป็ด หรือไข่เป็ด

ที่แน่ๆ ชอบอ่านกระทู้พันทิป มากถึงมากที่สุด



Longer - Dan Fogelberg
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
7 กรกฏาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add โยษิตา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.