--but life goes on, and this old world will keep on turning--
มีรักแท้อยู่..ดูแลไม่ได้

"แค่นี้นะ จะอ่านหนังสือสอบ"


ผมกระแทกเสียงใส่กระบอกโทรศัพท์ ก่อนจะวางมันลงอย่างรำคาญใจ ออกจะหงุดหงิดอยู่ไม่น้อยที่รู้สึกราวกับถูกโทร. "จิก" อยู่หลายต่อหลายครั้งในช่วงนี้ ทั้งที่ผมก็บอกกับเธอแล้วว่าผมไม่ว่างคุยโทรศัพท์กับใครนานๆ แต่ดูเหมือนเธอจะไม่สนใจฟัง ยังคงโทร.มาหาผมอย่างเสมอต้นเสมอปลายอยู่เช่นเคย

ผมก็ไม่รู้ว่าทำไม "เธอ" ..ที่ในวันวานเคยเป็นผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุด และรักผมมากที่สุดเช่นกัน จึงกลายเป็นคนที่ผมรำคาญที่สุดไปได้..ในวันนี้

ผมเบื่อ กับการที่จะต้องมานั่งตอบคำถามเดิมๆ ที่ซ้ำซากของเธอ อย่างคำถามที่ว่า สบายดีไหม กินข้าวหรือยัง อาบน้ำหรือยัง พรุ่งนี้จะไปไหน กลับดึกหรือเปล่า ฯลฯ ซึ่งเธอถามอยู่ได้ทุกวัน ซ้ำๆ กันโดยที่ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงไม่รู้จักเบื่อมันเสียบ้าง ทั้งที่คนถูกถามอย่างผมนั้นเบื่อเสียจนไม่รู้จะพูดยังไง

อย่างวันนี้ เธอเฝ้าโทร.เข้าโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผมนับสิบครั้ง ตั้งแต่เวลาค่ำจนถึงเวลาเกือบตีหนึ่งอย่างตอนนี้ โดยให้เหตุผลว่าเป็นห่วง กลัวว่าผมจะไม่สบายไป เพราะเห็นผมไม่ยอมรับโทรศัพท์เสียที ทั้งที่ผมบอกไปแล้วว่าผมกำลังอ่านหนังสือสอบ และกำลังต้องการสมาธิอย่างมาก

ในที่สุดเธอก็โทร.เข้าเบอร์หอพัก จนผมต้องรับ เพราะไม่อาจทนให้เสียงโทรศัพท์ดังระรัวอยู่อย่างนั้นได้ แต่ก็เพียงเพื่อที่จะตอบคำถามเดิมๆ ที่เธอถามอยู่ทุกวัน และลงท้ายด้วยการกำชับให้ผมไปหาเธอบ้าง ถ้าหากว่าสอบเสร็จแล้ว

ผมรับคำไปตามเรื่อง เพื่อที่จะตัดบทและจบบทสนทนาลงโดยเร็วที่สุด ก่อนที่ผมจะหงุดหงิดและพูดจารุนแรงใส่เธอมากไปกว่านี้

แต่จะให้บอกได้อย่างไรว่าผมไม่คิดจะกลับไปหาเธอ และไม่ได้กำลังอ่านหนังสือสอบอย่างที่บอกไป เพราะบัดนี้ข้างกายผมมีผู้หญิงอีกคนหนึ่ง..คนที่กำลังนอนหลับตาพริ้ม ระบายลมหายใจแผ่วๆ จนทรวงอกภายใต้เสื้อนอนบางเบาสะท้อนขึ้นลงเป็นจังหวะ
ผมมองเธออย่างรักใคร่.. ผู้หญิงคนนี้แหละ ที่ผมจะอยู่ด้วยไปตลอดชีวิต ไม่ว่าอะไรก็ไม่อาจมาพรากเราจากกันได้

แม้แต่เธอ.. คนที่ผม "เคยคิด" ว่ารักมากที่สุด

แต่วันนี้.. ผมคงโตขึ้นกว่าเด็กชายคนเดิมในวันเก่าก่อนเสียแล้ว ความรักและความผูกพันที่มีให้เธอมันจึงจืดจางไปตามกาลเวลา ทั้งที่ใครๆ ต่างก็บอกว่ามันคือรักแท้ หากวันนี้..วันเวลาและระยะทางที่ห่างไกลก็บอกกับผมแล้วว่า.. มันไม่ใช่เลย

ผมคิดว่าผมโตขึ้นมาก และรู้จักตัวเองมากขึ้นด้วยเช่นกัน ในเวลาไม่ถึงปีที่ผมย้ายจากจังหวัดเล็กๆ ทางภาคเหนือที่เป็นบ้านเกิด เข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ สังคมและโลกทัศน์ของผมกว้างขึ้น สิ่งแวดล้อมในเมืองกรุงบอกให้ผมรู้ว่า ชีวิต..ยังมีอะไรอีกมากมายนอกจากห้องเรียนและตำหรับตำรา ทำให้ผมรู้ว่า "ความบันเทิง" ที่ผมปฏิเสธมาตลอดในฐานะ "เด็กเรียน" นั้นหอมหวานแค่ไหน..

แม้จะต้องแลกกับผลการเรียน ที่ผมเคยกวาด 4.00 มาตลอดสมัยเรียนชั้นมัธยมที่โรงเรียนประจำอำเภอ แต่บัดนี้กลายมาเป็นเกรดลุ่มๆ ดอนๆ และถึงกับปล่อยตกในหลายกลุ่มวิชา

ผมถอนหายใจหนักๆ พลางลุกขึ้นจากท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง จนคนข้างๆ ผมพลิกตัว ลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย ก่อนจะถามเสียงไม่พอใจนัก

"ใครโทร.มา ดึกป่านนี้แล้ว"

ผมถอนใจอีกครั้ง จะว่าไปความจริงมันก็ไม่ได้ "ดึก" เท่าไหร่เลยในความรู้สึกผม เพราะปกติแล้วถ้าเป็นทุกวัน ผมและเธอคนนี้ก็คงยังดิ้นอยู่ตามเธคที่ไหนสักแห่ง หรือนั่งเฮฮาอยู่ตามบ้านเพื่อนคนไหนสักคน..ที่เปิดบ้านจัด "ปาร์ตี้ลับเฉพาะ" ด้วยกันในหมู่เพื่อนฝูง ปาร์ตี้ที่แน่ใจได้ว่าจะต้องมีครบทุกอบายมุข ทั้งสุรา นารี กีฬาบัตร และที่ขาดไม่ได้คือ "ยา" ชนิดต่างๆ ที่กำลังระบาดในหมู่วัยรุ่น ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ผมขาดไม่ได้เลยหลังจากมีเธอเข้ามาในชีวิต เพราะถ้าผมไม่ไปทำกิจกรรมเหล่านี้เสียบ้าง เธอก็จะค่อนผมอย่างดูหมิ่นว่า เป็น "เด็กเรียนที่น่าเบื่อที่สุด" ทุกครั้งไป

"ช่างเถอะ กิ๊กนอนต่อเถอะ ผมจะไปอ่านหนังสือสอบ" ผมบอกแค่นั้น เพราะถ้าบอกว่าใครเป็นคนโทร.มา ก็คงไม่แคล้วต้องเป็นเรื่องให้เธอกระทบกระเทียบเปรียบเปรยเอาอีก

"เบื่อจริงๆ เลย จะขยันไปถึงไหน" เธอย่นจมูก ทำเสียงบางอย่างในลำคออย่างจะให้รู้ว่าไม่สบอารมณ์นัก ก่อนจะลุกขึ้น ยกท่อนแขนกลมกลึงขึ้นโอบรอบตัวผมเอาไว้ กระซิบเบาๆ ที่ริมหู

"เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยอ่านไม่ได้เหรอ คืนนี้ทำอย่างอื่นก่อนดีกว่านะ.." น้ำเสียงนั้นเชิญชวน และกลิ่นหอมที่กรุ่นอยู่รอบตัวเธอก็ทำให้ผมคลายความเคร่งเครียดลงอย่างไม่รู้ตัว

"อีกแล้ว พูดอย่างนี้ทุกวันเลย เมื่อวานก็พูดอย่างนี้ แล้ววันนี้ผมก็ไม่ได้อ่านอยู่ดี" ผมต่อว่าเธออย่างไม่จริงจังนัก ใช้นิ้วคีบจมูกรั้นๆ นั้นไว้อย่างหมั่นเขี้ยว

เธอไม่ตอบ หากประทับริมฝีปากร้อนระอุของเธอลงบนริมฝีปากผม หยุดทุกคำพูดที่มีต่อกันอย่างไม่สนใจอะไรอีก..

และก็เป็นอีกคืนหนึ่งที่ผมไม่ได้อ่านหนังสือ..

ทั้งที่จะนับกันจริงๆ ก็เหลืออีกไม่ถึงสองอาทิตย์ การสอบปลายภาคเรียนของภาคเรียนที่สองของปีนี้ก็จะมาถึง และผมก็ยังไม่ได้เริ่มเตรียมตัวอะไรแม้แต่นิดเดียว ทั้งที่ในใบแจ้งผลการเรียน จะบอกชัดว่าผลการเรียนในภาคเรียนแรกของผมไม่ถึง 2.00 ซึ่งหมายความว่า ถ้าครั้งนี้ผมยังทำเกรดได้ไม่ดีขึ้น คำว่า รีไทร์ ก็จะประทับลงในกระดาษใบนั้นทันที..

แต่ผมก็ไม่สนใจ.. ในเมื่อผมมี "เธอ" คนที่ผมรักที่สุดในเวลานี้อยู่ข้างๆ พร้อมจะก้าวเดินไปด้วยกัน ชีวิตนี้ผมจะต้องการอะไรอีกเล่า..


++++++++++++++++++++++++++++


"กินแล้ว"

"ไม่ไป"

"ยังไม่รู้ ถ้ารู้แล้วจะบอก"

"เสียงวิทยุห้องข้างๆ"

"ก็บอกว่าไม่ว่าง อ่านหนังสือสอบอยู่ จะโทร.มาทำไมทุกวัน"

"บอกว่าไม่เป็นไร ห้ามโทร.มาอีกก่อนผมสอบเสร็จนะ"

ผมกระแทกโทรศัพท์เคลื่อนที่ลงอย่างหงุดหงิด โดยที่ก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่าโมโหอะไรนัก เหตุใดทุกประโยคที่โต้ตอบกับ "เธอ" จึงฟังดูก้าวร้าวราวกับไม่ใช่ผมคนเดิม ผมอยากจะโทษแอลกอฮอล์ในเลือดที่คงจะสูงพอควร เพราะผมดื่มมาตั้งแต่หัวค่ำ กับคงเป็นเพราะฤทธิ์ของ "ยา" เม็ดเล็ก ที่เพื่อนผู้เป็นเจ้าของงานปาร์ตี้ในวันนี้แอบเอามาซุกให้ผมเมื่อครู่นี้อย่างรู้ใจกันดี

หากก็ยังอดโทษอีกฝ่ายอย่างหงุดหงิดไม่ได้ว่า เธอจะโทร.มาทำไมกันนะ โทร.มาเพื่อนถามคำถามเดิมๆ ว่าผมกินข้าวหรือยัง คืนนี้จะออกไปไหนหรือเปล่า สอบเสร็จแล้วจะกลับบ้านไหม และเสียงดนตรีอึกทึกโครมครามที่ดังลอดเข้าไปในโทรศัพท์คืออะไร

ผมไม่อยากตอบแม้แต่คำถามเดียว จะให้บอกได้อย่างไรว่าผมยังไม่ได้กินข้าว เพราะตั้งแต่เย็น มีแต่เหล้าเท่านั้นที่ตกถึงท้อง ถ้าไม่นับ "ยา" เม็ดนั้น คืนนี้ผมก็คงไม่ออกไปไหน เพราะคงเมาหลับอยู่ที่บ้านเพื่อนนี่เอง และจะบอกได้อย่างไรว่าผมอยู่ในงานปาร์ตี้ที่คลุ้งไปด้วยควันบุหรี่ กลิ่นสุรา และผู้หญิง ไม่ใช่กำลังอ่านหนังสือสอบอยู่ในหอพักอย่างที่เธอเข้าใจ..

ผมกรอกเหล้าเข้าปากอีก ก่อนจะจุดบุหรี่มวนที่สิบของชั่วโมงนี้ อยากจะทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองหายหงุดหงิดเสียที ทั้งที่ยังตอบตัวเองไม่ได้แน่ชัดนักว่าหงุดหงิดเพราะอะไรกันแน่ อะไรบางอย่างที่เป็นเงาหนักๆ ในใจผมมาหลายวัน..

หรือจะเป็นเพราะกิ๊กไม่ยอมรับโทรศัพท์ผมมาหลายวันแล้ว นับจากวันที่เธอหิ้วกระเป๋าออกจากห้องไป ห้อง..ที่ผมและเธอใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเพียงระยะเวลาสั้นๆ ไม่ถึงสองเดือน หากเธอก็จากไปราวกับไม่แยแสกับความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของเราสองคนแม้แต่น้อย..

ด้วยเหตุผลเพียงว่า ผมเอาแต่เรียนจนเธอทนไม่ได้..

ผมน่ะหรือเอาแต่เรียนเรียน.. ผมอยากจะตะโกนถามคนทั้งงานปาร์ตี้ ว่าไอ้การที่ผมไม่ได้ไปสอบวิชาอะไรเลย..จนกระทั่งการสอบจะสิ้นสุดลงในอีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้านี่แล้ว เพียงเพราะต้องคอยพากิ๊กไปช้อปปิ้งที่โน่นที่นี่ จนเงินที่ทางบ้านส่งมาให้เดือนละเกือบครึ่งแสนนั้นหมดลง ต้องวิ่งยืมเงินเพื่อนฝูงเพื่อให้เธอเอาไปซื้อของแบรนด์เนมแพงๆ ด้วยเหตุผลที่ว่า "ถ้ากิ๊กไม่มีใช้ ก็อายเพื่อนๆ แย่" นี่มันเป็นการ "เอาแต่เรียน" ตรงไหน..

ผมมีปากเสียงกับเธอ เพียงเพราะออกปากเตือนให้เธอระมัดระวังการใช้จ่ายบ้าง เพราะเงินเดือนที่ผมได้รับจากทางบ้านก็กำลังจะหมดลงแล้ว โดยที่ผมก็ไม่อาจบากหน้าไปกู้ยืมใครได้อีก เพราะเพื่อนๆ ต่างก็ระอาผมกันถ้วนหน้า

เท่านั้นเองกิ๊กก็ระเบิดอารมณ์ใส่ผม ว่าผมไม่ยอมเข้าใจเธอ และไม่รักเธอจริง เรื่องแค่นี้ก็ให้เธอไม่ได้ ทั้งที่การที่เธอมาคบกับผม ทำให้เธอต้องอดทนกับเสียงหัวเราะรอบข้าง ว่ามีแฟนเป็น "เด็กเรียน" ที่แสนจะน่าเบื่อและเชย แต่เธอก็ยังทนได้เพราะเธอรักผม แต่ผมกลับไม่ยอมเข้าใจเธอเลย..

แล้วเธอก็จากไป.. หิ้วกระเป๋าเดินทางใบเล็กที่ใส่ข้าวของที่ผมซื้อให้จนเต็มแน่น จากไปโดยไม่สนใจกับอาการเจียนคลั่งของผม

"เฮ้ย เป็นไรวะ ทำหน้าเหมือนหมาถูกทิ้ง" เสียงใครคนหนึ่งทักทาย ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างผมโดยแรง

"เออ ใช่ ข้ามันหมา ถูกทิ้งด้วย แฟนทิ้งไงล่ะ" ผมตอบประชดๆ พลางรินเหล้าให้ตัวเองอีก อัดบุหรี่วาบอย่างเซ็งเต็มที่

"ยายกิ๊กน่ะเหรอ" ฝ่ายนั้นทำเสียงดูหมิ่น "ลืมๆ อีซะเถอะ แรดออกอย่างนั้น วันก่อนข้าเห็นควงกับไอ้ป๊อปอยู่แถวข้าวสารแน่ะ ท่าทางระริกระรี้.."

ประโยคนั้นถูกขัดกลางคันด้วยมือผมที่เอื้อมไปกระชากคอเสื้อคนพูดโดยแรง ก่อนจะถามลอดไรฟัน

"เอ็งเห็นจริงๆ หรือ แล้วอย่าบอกนะว่าไอ้ป๊อปที่ว่า.. คือไอ้ป๊อปแฟนเก่ากิ๊ก"

"เอ็งไม่ให้บอกข้าก็ไม่บอก" เพื่อนผมตอบลอดไรฟันเช่นกัน ก่อนจะปัดมือผมออกอย่างโมโหๆ "แต่ข้ารู้มาว่า สองคนนี้ยังคบกันเหมือนเดิม ตลอดเวลาที่คบกับเอ็งนั่นแหละ แฟนข้าอยู่หอเดียวกับยายนี่ เห็นไอ้ป๊อปอะไรนี่มาค้างออกจะบ่อย.. ก็คงเวลาที่เขาบอกเอ็งว่ากลับไปค้างบ้านต่างจังหวัดละมั้ง" คนเล่าถอนใจ ก่อนจะมองผมอย่างกึ่งสงสารกึ่งสมเพช

"ข้าว่าจะไม่บอกแล้วเชียว แต่ไม่อยากให้เอ็งเป็นบ้ามากไปกว่านี้ ดูสารรูปซิ อย่างกับหมาจริงๆ แล้วนี่เอ็งไม่ได้ไปสอบเลยใช่ไหม.."

ผมไม่ได้รอฟังประโยคสุดท้าย เพราะลุกพรวดจากที่นั่นมาเสียก่อนด้วยความเร็วที่ตัวผมเองก็เพิ่งประจักษ์ว่า..คนที่เลือดเข้าตานั้นทำได้ทุกอย่างจริงๆ

ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองมาถึงหอพักของกิ๊กได้อย่างไร หอพักที่กิ๊กเคยบอกว่า เธอไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ไม่ต้องมาหาอีก ผมเคยเชื่อทุกอย่างที่เธอพูด เพราะคิดว่าความรักของเราสองคนยิ่งใหญ่ ผมรักเธอ และเธอก็รักผมมากที่สุด อย่างที่เธอเคยย้ำกับผมอยู่ทุกเวลา แต่วันนี้ผมไม่เชื่อเธออีกแล้ว.. เมื่อสอบถามกับผู้ดูแลหอพักแล้วว่า เธอยังอยู่ที่นี่ หลังจากออกไปอยู่ที่อื่น..ซึ่งก็คือหอพักผม..มาสองเดือน

หน้าห้องยังมีรองเท้าแตะสีสวยของกิ๊กวางอยู่เหมือนเคย พร้อมกับรองเท้าผ้าใบของผู้ชายอีกคู่ ซึ่งทำให้อารมณ์ผมวูบขึ้นอย่างระงับไม่อยู่ ผมเคาะประตูห้องแรงๆ ติดๆ กันโดยไม่ใส่ใจว่าจะเป็นการรบกวนใครหรือไม่ นาทีนั้นผมอยากเพียงมองหน้าผู้หญิง..คนที่หลอกผมมาตลอด..คนนั้น..

ประตูเปิดออกพร้อมกับชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดกางเกงขาสั้นตัวเดียว ยืนจังก้าอย่างเอาเรื่องอยู่ตรงหน้าผม เป็นชายหนุ่มที่ผมคุ้นหน้า เพราะเคยเห็นรูปถ่ายในโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกิ๊ก แต่เธอบอกว่าเลิกกับมันไปนานแล้ว แล้วเหตุใด..มันจึงมาอยู่ในห้องของเธอในยามวิกาลอย่างนี้กันเล่า..

"กิ๊กอยู่ไหม" ผมถามเสียงต่ำๆ เพิ่งรู้สึกมึนจนเกือบจะทรงตัวไม่อยู่ คงเพราะทั้งเหล้าและยาเริ่มออกฤทธิ์เต็มที่

"อยู่ มีธุระอะไร ดึกดื่นป่านนี้" ฝ่ายนั้นตะคอกอย่างไม่เกรงใจ ก่อนจะหันไปเรียกคนในห้อง

"กิ๊ก มีไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้ เมามาถามหาเธอน่ะ"

หญิงสาวในชุดนอนเบาบาง.. ชุดนอนยี่ห้อแพงระยับที่ผมเป็นคนซื้อให้เธอเองเมื่อไม่นานมานี้.. เยี่ยมหน้าออกมาอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะย่นจมูกอย่างรังเกียจเมื่อเห็นสภาพของผม

"มาทำไมอีก บอกว่าเลิกกันแล้วไงล่ะ" เธอถามเสียงห้วน

"มาดูหน้าคนหลอกลวงน่ะซิ หลอกผมทุกอย่าง ให้ผมซื้อของดีๆ ให้ ปอกลอกผมจนหมดตัวแล้วก็ทิ้ง มันจะไม่เลวไปหน่อยหรือ"

"ใครหลอกใครไม่ทราบ พูดดีๆ นะ ฉันไปหลอกแกตั้งแต่เมื่อไหร่กัน มีแต่แกนั่นแหละที่มาซื้อให้ฉันเอง" กิ๊กกระชากเสียงตอบ ผิดไปเป็นคนละคนกับกิ๊กที่เคยอ่อนหวานและเอาอกเอาใจผมมาตลอด

"อย่านึกว่าผมไม่รู้นะว่ากิ๊กสวมเขาให้ผม ตั้งแต่ตอนที่ยังคบกัน" ผมตะโกนใส่อย่างหมดความยับยั้งชั่งใจอีกต่อไป

"อ้อ" เธอทำเสียงบางอย่างในลำคออย่างเยาะๆ "ก็รู้อยู่แล้วนี่ แล้วยังยอมให้หลอกอีก อย่างนี้ไม่เรียกควายแล้วจะเรียกอะไรล่ะ

ผมชะงักไปอย่างไม่อยากจะเชื่อหู แม้ว่าจะเดาเรื่องทั้งหมดได้ แต่มันก็ย่อมจะเจ็บปวดมากกว่า เมื่อได้ยินชัดๆ จากปากเธอเอง.. เธอ..ผู้หญิงคนที่ผมคิดว่าผมรักมากที่สุด..ในวันนี้ ผมยังคงทำใจให้เชื่อเธอไม่ได้.. เธอเคยบอกว่าเธอรักผมมากกว่าใครไม่ใช่หรือ.. วันนี้เธออาจจะเพียงแต่หลงผิดไป ผมอยากจะให้อภัยเธอ.. ถ้าเพียงเธอจะกลับมาหาผม แม้ว่ามันจะเป็นความหวังที่ริบหรี่เหลือเกิน..

ก่อนที่จะรู้ตัว ผมก็ปราดเข้าไปกระชากไหล่เธอไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง ปรารถนาจะเขย่าตัวเธอแรงๆ ให้เธอตื่นจากการหลงผิดนี้เสียที ให้เธอกลับมาหาผม.. คนที่เธอรัก และรักเธอจริงๆ ไม่ใช่ผู้ชายหน้าเข้มที่ยืนมองอย่างไม่พอใจอยู่ในตอนนี้

หากผมก็ยังไม่ทันได้ทำอย่างที่ต้องการ เพราะหมัดลุ่นๆ ของใครคนนั้นพุ่งตรงเข้าที่ปากครึ่งจมูกของผมเสียก่อน แรงจนผมลงไปนอนกองกับพื้น รู้สึกถึงรสปร่าของโลหิตที่มุมปากได้ในทันที ก่อนที่เท้าแข็งๆ คู่นั้นจะซ้ำลงมาอีก หลายต่อหลายครั้งจนผมไม่มีแรงแม้แต่จะป้องกันตัว ได้แต่ร้องให้กิ๊กช่วยผมด้วย.. ช่วยคนที่รักเธอมากมายคนนี้ด้วย

แต่คำตอบที่ผมได้รับกลับกลายเป็นคำเชียร์อย่างติดจะสะใจของเธอ กับประโยคที่ผมไม่ปรารถนาจะได้ยินแม้แต่น้อย..

"เอาให้ตายๆ ไปเลยก็ดี รำคาญชะมัด ทั้งโทร.ทั้งแอบไปรอที่คณะ จิกอยู่นั่นแหละ ยังไม่รู้ตัวอีกหรือไง ว่าที่ยอมคบด้วยนี่เพราะคิดว่าจะรวยหรอกนะ แต่เอาเข้าจริงก็ไม่รวยจริงนี่หว่า แถมหน้าตาก็ทั้งเชยทั้งทุเรศจนหาแฟนไม่ได้อย่างนี้ ฉันอุตส่าห์ยอมเป็นแฟนด้วยแล้วยังไม่สำนึกบุญคุณอีก ไอ้ของที่ให้ซื้อให้นี่ก็แค่สินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ความจริงฉันน่าจะเรียกเงินมากกว่านี้ด้วยซ้ำ ค่าเสียหายที่ฉันโดนนินทาว่าไปมีแฟนอ้วกๆ อยู่เป็นเดือน.."

ผมหลับตาลงอย่างไม่คิดจะต่อสู้อีก..


+++++++++++++++++++++++++++


ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกลับถึงหอพักได้อย่างไร เมื่อเวลารุ่งเช้าของวันใหม่ แสงแดดอ่อนๆ ที่สาดจับร่างสะบักสะบอมของผมยามก้าวลงจากแท็กซี่นั้น เรียกสายตาคนที่ยืนรอรถเมล์ให้มองมาเป็นจุดเดียวกัน แต่ผมไม่แคร์อีกแล้ว ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไร ต่อให้โลกนี้จะแตกดับลงตรงหน้า ผมก็ไม่คิดว่าผมจะเดือดร้อน ในเมื่อความรู้สึกของผมในตอนนี้ราวกับโลกทั้งโลกดับลงไปแล้ว ไม่มีความหวังใดๆ หลงเหลืออยู่อีกแล้ว..สำหรับผม

หากเมื่อผมทิ้งตัวลงกับที่นอน เสียงโทรศัพท์ติดตามตัวในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้น ผมคว้ามันขึ้นมาดูอย่างมีความหวัง อาจจะเป็นกิ๊กที่เป็นห่วงผม.. และโทร.มาขอคืนดี..

หากแล้วก็ต้องสบถอย่างฉุนเฉียว เมื่อพบว่าเป็น "เธอ" เธอคนนั้นที่โทร.ตามจิกผมอยู่ทุกวัน แล้ววันนี้จะโทร.มาทำไมแต่เช้านะ ทั้งที่เมื่อคืนผมเพิ่งบอกไปว่าอย่าโทร.มาอีกก่อนผมจะสอบเสร็จ ซึ่งผมบอกระยะเวลาไปว่าอีกราวๆ 2 สัปดาห์

"มีอะไร" ผมกรอกเสียงลงไปอย่างหงุดหงิด เจ็บแปลบที่มุมปากขึ้นมาจนไม่อยากจะพูดอะไรอีก หากอีกฝ่ายก็ยังพูด พูด และพูด ราวกับว่าการที่ไม่ได้คุยกันในระยะเวลาไม่ถึง 12 ชั่วโมง จะทำให้มีเรื่องต้องคุยกันมากขนาดนั้น ผมถอนใจยาวเหยียดให้รู้ว่ารำคาญอย่างจงใจ เมื่อเธอถามมาอีกว่า จะไปหาเธอได้เมื่อไหร่

"วันนี้มีสอบ จะรีบไป บอกแล้วไงมีอะไรเอาไว้คุยกันหลังสอบ อีกสองอาทิตย์ค่อยโทร.มาใหม่นะ" ผมตะคอกก่อนจะวางหู รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล รวมทั้งรู้สึกแปลกๆ ในใจอย่างอธิบายไม่ได้.. คงเพราะวันนี้ อะไรบางอย่างในน้ำเสียงของเธอแปลกไป แต่ผมก็ไม่อยากจะใส่ใจ ในเมื่อโลกทั้งโลกของผมล่มสลายลงเสียแล้วอย่างนี้ คนอื่นๆ จะเป็นอย่างไร ผมก็ไม่มีกะจิตกะใจจะไปเป็นห่วงเป็นใยอีกแล้ว..

ผมหลับตาลง พยายามจะหลับลงให้ได้เมื่อภาพความหลังของผมและกิ๊กแจ่มชัดขึ้นมาในความทรงจำ เตียงตรงนี้เธอเคยนอน โต๊ะตัวนั้นที่เธอเคยนั่งแต่งหน้าอยู่ทุกวัน ไหนจะกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเธอที่ติดอยู่กับผ้าห่มนั่นอีกเล่า..

ผมเปิดตู้เย็น ควานหาเบียร์กระป๋องที่ผมมักจะซื้อมาทิ้งไว้ ก่อนจะนั่งลงดื่มมันอย่างบ้าคลั่ง กระป๋องแล้วกระป๋องเล่า ปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเมา เพื่อที่จะลืมทุกอย่างที่กำลังทำให้ผมเจ็บปวดเหลือเกินในตอนนี้..

นาน.. กว่าผมจะหลับลงได้ น่าแปลกที่ในความฝันอันวกวน สับสนจนเกือบจับใจความไม่ได้ ผมกลับมองไม่เห็นกิ๊ก ไม่เห็นความหลังใดๆ ระหว่างเรา หากเป็นดวงหน้าใครอีกคนที่แจ่มชัดขึ้นมาอย่างประหลาด ดวงหน้าที่คุ้นตาผมดี เพราะเธอเคยเป็นผู้หญิงที่ผมรักที่สุดนี่นะ.. เธอยิ้มเศร้าๆ ให้ผม ก่อนที่ภาพเธอจะเลือนหายไป เป็นภาพใบแจ้งผลการเรียน ที่มีอักษรสีแดงประทับลงมาอย่างชัดเจนว่า "รีไทร์"

ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าร้องไห้.. แม้กำลังอยู่ในนิทรารมย์

++++++++++++++++++++++++++++

สองสัปดาห์แล้วที่ผมนั่งจมอยู่กับเหล้าและบุหรี่ โดยไม่ได้ไปสอบแม้แต่วิชาเดียว เพราะรู้ตัวว่าถึงไปสอบตอนนี้ ผมก็โดนรีไทร์อยู่ดี เพราะทิ้งไปแล้วหลายวิชา จนต่อให้ได้เอในทุกวิชาที่เหลืออยู่ เกรดผมก็ไม่ถึงสองอยู่ดี แล้วจะสอบไปทำไมกันเล่า..

ผมยังคิดไม่ตกว่าจะทำยังไงกับชีวิตตัวเองต่อไป หรือจะพูดให้ถูก ผมไม่ได้คิดเรื่องชีวิตตัวเองอีกเลย..ตั้งแต่วันนั้น ร่างทั้งร่างราวกับกลายเป็นท่อนอะไรกลวงๆ ที่ไร้ชีวิต สมองว่างเปล่า เลื่อนลอยและมึนทึบไปหมด จนบางครั้ง..ผมไม่อาจจะให้คำตอบกับตัวเองได้ด้วยซ้ำว่าผมเป็นใคร มาทำอะไรอยู่ในเมืองใหญ่ที่ไร้ชีวิตอย่างนี้..

เสียงโทรศัพท์ที่หัวนอนผมดังขึ้น หลังจากที่มันไม่ดังมาช้านาน ราวสองสัปดาห์แล้วกระมังที่ไม่มีใครโทร.เข้าเบอร์หอพัก เพื่อนๆ ที่ติดต่อมาบ้าง..ส่วนใหญ่เพื่อทวงเงิน..นั้นก็มักจะโทร.เข้าเบอร์มือถือกันเป็นส่วนใหญ่ แล้วใครกันเล่า..ที่โทร.มาในวันนี้

น่าแปลกที่นาทีนั้นผมกลับไม่คิดถึงกิ๊กอีก.. ราวกับว่าแอลกอฮอล์และบุหรี่ได้ล้างชื่อนั้นไปจากหัวใจและความทรงจำของผมได้อย่างสมบูรณ์แล้ว

ผมเอื้อมมือไปรับอย่างอ่อนแรงเต็มที ก่อนที่จะต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจ เมื่อได้ยินเสียงปลายสายชัดเจน เป็นข้อความที่ทำให้ผมปล่อยโทรศัพท์หลุดจากมือโดยไม่มีเรี่ยวแรงจะถือมันเอาไว้ได้อีกต่อไป

น้ำตาผมไหล.. คราวผมรู้ตัวดี และอยากจะตะโกนอะไรก็ได้ออกไปเสียให้สาแก่ใจ หาก..ผมก็ทำได้เพียงพึมพำซ้ำๆ กันอยู่แต่ว่า

"ไม่จริง.. ไม่นะ.. ไม่จริง.."

++++++++++++++++++++++++++++++++


ผมมองร่างซูบที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงสีขาว ภายใต้สายระโยงระยางของน้ำเกลือและเครื่องช่วยหายใจ ด้วยความรู้สึกยากจะบรรยาย ลำคอตีบตันจนไม่อาจจะมีคำพูดใดๆ ต่อใครได้อีก ดวงหน้าซีดจนแทบไม่มีสีเลือดนั้นยังคงเป็นดวงหน้าที่ผมเคยคุ้น เพราะอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของดวงใจผมมาช้านาน หากความผ่ายผอมนั้นก็ทำให้ผมใจหาย นานเท่าใดแล้วที่ไม่ได้เจอกัน ดูเธอจะเปลี่ยนไปจากที่เคยพบกันครั้งสุดท้ายมากมาย เธอ..คนที่เคยโบกมือให้ผมเมื่อผมก้าวขึ้นรถไฟเพื่อมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ.. เธอ..คนที่เคยหัวเราะกับผมในวันที่ผมเป็นสุข กอดผมไว้ในวันที่ผมเศร้าเสียใจ ซับน้ำตาให้ผมในวันที่ผมร้องไห้..

ถ้าเพียงแต่เธอจะลืมตา.. และยิ้มให้ผม.. เพียงเท่านั้นเอง ผมก็จะตรงเข้าไปกอดเธอเอาไว้ ซบหน้าลงกับอ้อมกอดเธอเหมือนในวันวาน บอกเธอว่าผมรักเธอเพียงใด.. และผมเสียใจเพียงใดที่พูดจาไม่ดีกับเธอในวันก่อน.. วันสุดท้ายที่ผมได้คุยกับเธอ.. ที่ผมตวาดเธอเพียงเพราะเรื่องไร้สาระอย่างนั้น

ใช่..วินาทีนั้นเรื่องของกิ๊กกลายเป็นเรื่องไร้สาระอย่างที่สุด.. เมื่อเทียบกับอาการของคนตรงหน้า

อาการ..ที่ทำให้คนที่ยืนรายล้อมอยู่รอบเตียงเธอไม่มีคำพูดใดๆ ต่อกัน มีเพียงดวงตาแดงช้ำ หยดน้ำตาที่ไหลรินเงียบๆ และเสียงสะอื้นแผ่วๆ ของใครบางคน.. ที่บอกให้ผมรู้ว่า ผมมาสายไป.. ผม..คนที่เธออยากเจอที่สุด หากเธอก็กำชับเด็ดขาดไม่ให้ทุกคนเรียกผมมาก่อนที่ผมจะสอบเสร็จ เพราะกลัวว่าจะทำให้ผมไม่มีสมาธิกับการสอบ..

แต่เมื่อผม "สอบเสร็จ" ตามกำหนดที่ได้โกหกเธอส่งเดชไปในวันนั้น และถูกตามตัวมา ก็ได้พบว่า ผมมาสาย..เพราะตามคำบอกเล่าของแพทย์..เธอไม่อาจจะฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกแล้ว รอเพียงปลดเครื่องช่วยหายใจออก เธอก็จะหลับลงตลอดกาล..โดยไม่ต้องทรมานอีกต่อไป..

นานเหลือเกิน.. นานจนราวกับชั่วกัลป์ ที่ห้องทั้งห้องมีแต่ความเงียบ มีเพียงเสียงเครื่องมือบางชนิดที่ดังเป็นจังหวะ

แล้วเสียงร้องไห้ก็ระงมขึ้น.. เมื่อได้ยินเสียงนายแพทย์ขานเวลา..

เธอ.. หลับลงตลอดกาล อย่างคงไม่ค่อยเป็นสุขนัก ดวงตาปิดลงเพียงครึ่งๆ ราวกับจะแลหาใครคนหนึ่งอยู่ตลอดเวลา.. ใคร..คนที่เธอคงอยากเจอที่สุด แต่ก็ไม่อาจได้เจอ..

ผมก้าวเข้าไป แตะมือลงที่ดวงหน้านั้นอย่างทนุถนอม ด้วยไม่ปรารถนาจะรบกวนนิทราของเธอ ผมใช้เพียงปลายนิ้ว แตะลูบลงกับดวงตาที่หลับไม่สนิทคู่นั้นเพียงแผ่วเบา น่าแปลกที่มันกลับปิดลงอย่างง่ายดาย ราวกับเธอก็รอคอยให้ใครคนหนึ่งมาปิดมันลง.. อย่างที่ผมกำลังทำ นาทีนั้นผมคลับคล้ายเห็นริมฝีปากสีซีดของเธอแย้มละมุน เหมือนรอยยิ้มบางๆ ที่เธอเคยยิ้มให้ผม..

เธอคงรับรู้ถึงการมาของผมแล้ว.. หยดน้ำตาหยดหนึ่งจากดวงตาผมหยดลงต้องใบหน้าเธอ ผมรีบเช็ดมันออกโดยเร็ว เธอควรจะจากไปอย่างสะอาด บริสุทธิ์ ไม่ควรจะมีแม้แต่หยดน้ำตาของคนเลวๆ อย่างผม ติดไปกับเธอ

ใครคนหนึ่งก้าวเข้ามาแตะบ่าผมเอาไว้ ก่อนจะบอกเบาๆ ด้วยเสียงแหบพร่า

"อย่าร้องไห้เลย เขาไปดีแล้ว สบายแล้ว ไม่ต้องทรมานอีกต่อไปแล้ว.."

"ผมไม่เคยรู้เลย..ไม่เคยรู้.." ผมร่ำไห้ออกมาอย่างสุดจะกลั้นเอาไว้ได้อีก อยากจะตีอกชกหัวเป็นเด็กๆ เสียด้วยซ้ำถ้าทำได้ เพียงแต่ผมไม่มีแรงเอาเสียจริงๆ

"เจ้าตัวเขาก็เพิ่งรู้ได้ไม่นาน ปีกว่าๆ นี่เอง แต่ไม่ให้บอกแก เขากลัวแกจะไม่ยอมไปเรียนมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ"

"แล้วทำไม.. ทำไมเพิ่งมาบอกผมเมื่ออาการถึงขั้นนี้ ทำไมไม่บอกตอนที่เพิ่งเข้าโรงพยาบาล" ผมถามแทบจะเป็นตะโกน

"ก่อนหน้านี้เขาก็ไม่ได้มีอาการอะไรมากมาย เพิ่งเข้าโรงพยาบาลได้แค่สองอาทิตย์ ก็ไม่คิดว่าจะเป็นหนักขนาดนี้ แถมเขายังกำชับไว้ด้วยว่าไม่ให้บอกแก กลัวแกจะอ่านหนังสือสอบไม่ได้" คนเล่าทอดถอน ก่อนจะมองหน้าผม

"เช้าวันที่เขาเข้าโรงพยาบาล เขาโทร.ไปหาแกแล้วไงล่ะ แต่เห็นบอกว่าแกกำลังเครียด ก็เลยสั่งไม่ให้ใครโทร.ไปกวนแกอีก.."

เท่านั้นเองผมก็ทรุดลงกับพื้น ปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใคร วันนั้น..ใช่แล้ว..เช้าวันนั้นเองที่เธอโทร.ไปหาผม ด้วยน้ำเสียงแปลกกว่าเคย.. วันที่ผมกลับถึงหอตอนเช้า บอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ อ่อนแอและทอดอาลัยกับทุกอย่างในโลกจนไม่อาจจะทนคุยกับใครได้เลย แม้แต่เธอ..

เธอ..คนที่รักผมที่สุด และ ณ วันนี้ ผมก็แน่ใจเสียแล้วว่า..ผมไม่ได้เพียงแต่ "เคย" รักเธอที่สุดอย่างที่ผมเข้าใจ แต่เธอ..จะเป็นคนที่ผมรักที่สุด ไม่ว่าจะในวันวาน วันนี้ หรือว่าวันไหนๆ เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ผมมั่นใจว่ามีรักแท้ให้ผมอย่างจริงใจ..โดยไม่หวังอะไรตอบแทน.. แม้แต่ความรัก

เพราะเธอ..คือผู้หญิงที่ผมเรียกว่า "แม่" มาตลอดชีวิต..


++++++++++++++++++++++++++


ผมกราบลงกับพื้น ตรงหน้าโลงศพสีขาว ที่มีดอกไม้สีขาวต่างชนิดประดับไว้อย่างงดงาม เธอ..เคยชอบดอกไม้หลากสีสัน เพราะเธอบอกว่า..ดอกไม้เป็นความงามที่โลกมอบให้เป็นรางวัลแก่มนุษย์.. หากเธอก็ชอบดอกไม้ขาวมากที่สุด.. เพราะเหตุผลที่ว่า.. ความงามของดอกไม้ขาว แม้จะดูจืดตา แต่ก็เป็นความงามที่บริสุทธิ์ ไม่ต่างจากความรักแท้.. อย่างที่เธอเคยบอกว่า.. เธอมีให้ผมเพียงคนเดียว.. ในฐานะลูกชายคนเดียวของเธอ

"เธอ" ในกรอบรูปประดับด้วยคัทลียาสีขาวนวล มองตรงมาที่ผมด้วยดวงตาแจ่มใสราวกับมีชีวิต เป็นดวงตาคู่เดิมที่เคยยิ้มให้ผมอย่างแสนรัก แสนภาคภูมิใจ ในวันที่ผมบอกเธอว่าผมสอบติดมหาวิทยาลัยชื่อดัง ในคณะที่คนอีกนับล้านแย่งชิงกันสอบเข้า..

แต่วันนี้ วันที่ผมแน่ใจว่าผมพ้นจากสภาพนักศึกษาอย่าวสมบูรณ์ โดยไม่ต้องรอใบแจ้งจากทางมหาวิทยาลัย ผมจะบอกกับเธอได้อย่างไรกันเล่า.. ว่าผมได้ทำลายความหวังทุกอย่างของเธอลงเสียแล้ว.. ความหวังที่เธออยากจะได้เห็นผมในชุดครุย เข้ารับพระราชทานปริญญาอย่างมีเกียรติ..

ทั้งหมดพังทลายลงเพียงเพราะความอ่อนแอ หลงแสงสี และไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจของผมเอง..

"แม่ครับ.. ผมขอโทษ"

ผมกระซิบกับดวงหน้าในรูป ก่อนจะปล่อยให้น้ำตาไหลริน หากน้ำตาอีกกี่หยดกันเล่า.. จึงจะพอลบล้างความผิดที่ผมได้ทำลงไป ผมเชื่อ.. ว่ามันจะไม่มีวันพอ..

ใครคนหนึ่งนั่งลงข้างๆ ผม จุดธูปดอกหนึ่งก่อนจะส่งให้ผมอย่างเงียบๆ

ผมรับมาถือไว้ ก่อนจะเงยหน้ามองรูปนั้นอีกครั้งอย่างไม่ปรารถนาจะถอนสายตาออกไปอีก

"ไหว้แม่เสีย แล้วบอกเขาเสียด้วยว่า ลูกสอบเสร็จแล้ว แม่ไม่ต้องห่วงอีกต่อไป.." ใครคนนั้นบอกผม

"พ่อ.." เสียงผมสะดุดอยู่เพียงในลำคอ เมื่อหันกลับมามองคนข้างกายด้วยน้ำตากลบตา

"แม่เขาเป็นห่วงอยู่เรื่องเดียว กลัวว่าแกจะสอบไม่ผ่าน เพราะเทอมที่แล้ว ก็ได้ข่าวว่าเกรดไม่ค่อยดีนี่นะ.." พ่อผมยังพูดเรื่อยๆ หากน้ำเสียงทุกข์ตรม

"เขากลัวว่าแกจะไปติดผู้หญิง เพราะพักหลังๆ นี่แกใช้เงินเปลืองเหลือเกิน แต่เขาก็ไม่อยากว่ากล่าวอะไร บอกว่าเป็นความสุขของแก และเชื่อว่าแกจะเอาตัวรอดได้ เพราะเขาเชื่อว่าแกรักเขามาก.. และคงจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง"

"พ่อ.." ผมตัวชา รู้สึกว่าริมฝีปากหนักอึ้ง ลำคอตีบตัน จนไม่อาจเอ่ยคำใดๆ ได้อีก

"พ่อจะโทร.เรียกแกกลับมาตอนที่แม่เขากำลังจะโคม่า แต่เขาห้ามพ่อเอาไว้ ถึงตอนนั้นเขาจะพูดไม่ได้แล้วก็เถอะ.. เพราะต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ แต่เขาจับมือพ่อไว้แน่น..น้ำตาคลอ จนพ่อต้องรอให้เขาหลับ แล้วออกมาโทร.หาแกข้างนอก.."

"แต่แกเชื่อไหม..ว่าเขาลบเบอร์แกออกจากมือถือเขาไปแล้ว รวมทั้งในเครื่องพ่อด้วย คงจะตั้งแต่เขาเข้าโรงพยาบาล เพราะคงกลัวว่าพ่อจะแอบโทร.ไปบอกแก.. พ่อเองก็จำเบอร์แกไม่ได้.. ต้องไปค้นอยู่นาน แต่ก็หาไม่เจอ จนวันที่เขาจะ..ไป..นั่นแหละ เขาถึงได้เรียกพ่อเข้าไป บอกว่าวันนี้แกสอบเสร็จแล้ว ให้เรียกแกกลับมาที เขาอยากเจอแก..ก่อนที่จะไป.. เขาบอกเบอร์แกให้พ่อตอนนั้น แล้วเขาก็..หลับไป..ไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย.." คำสุดท้ายเศร้าสร้อย พ่อสูดลมหายใจยาว ลึก ก่อนจะย้ำกับผมเบาๆ อีกครั้ง

"บอกแม่เขาเสีย ว่าแกสอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาจะได้ไม่ห่วง.."

ผมปักธูปลงในกระถางธูปอย่างช้าๆ ก่อนจะก้มลงกราบอีกครั้งอย่างเลื่อนลอย

แม่ครับ..ผมกลับมาแล้ว.. แม้ว่าจะสายไป.. ไม่ทันได้กอดแม่เป็นครั้งสุดท้าย ไม่ทันได้บอกแม่ว่าผมรักแม่ที่สุด ไม่ทันได้ขอโทษแม่..ที่ผมทำไม่ดีกับแม่ไว้มากมาย..

รวมทั้งขอโทษ..ที่ผมทำลายทุกอย่างลงด้วยมือตัวเอง.. ผมไม่ได้สอบเสร็จ.. เพราะผมไม่ได้แม้แต่ไปสอบเสียด้วยซ้ำ..


แม่ครับ.. ผมขอโทษ..


ผมปล่อยให้..รักแท้..จากผมไปตลอดกาล โดยไม่ได้ใส่ใจจะดูแลมัน.. ไม่ได้ทำแม้กระทั่งการพยายามจะดูแลมัน..

บทเพลงหนึ่งแว่วเข้ามาในห้วงความคิด เพลงที่ผมไม่เคยสนใจจะฟังมากไปกว่าจะรู้สึกว่า.. มันเป็นเพียงเพลงวัยรุ่นธรรมดาๆ เพลงหนึ่ง.. แต่วันนี้ บทเพลงนั้นกรีดลงบนหัวใจผมอย่างรุนแรง..


ฉันเป็นคนโง่เหนือใครๆ
มีรักแท้อยู่ ดูแลไม่ได้
จะรู้ค่ามันก็สายเกินไป
ปวดร้าวคิดอยากย้อนเรื่องราวแค่ไหน
..ได้แต่ฝัน..



น้ำตาหยดหนึ่งหยดลงกระทบหลังมือผม ก่อนที่หยดต่อๆ ไปจะไหลรินตามกันมา


หากวันนี้.. ไม่มีใครคอยแตะซับน้ำตาให้ผมเหมือนในวันวานอีกแล้ว..


++++++++++++++++++++++++++++++++



เพลง รักแท้ ดูแลไม่ได้ ของโปเตโต้


ความรักของเธอ
เสียงที่บอกฉัน ว่าเธอห่วงใย
มือนั้นของเธอ
ที่แตะหน้าผากฉันวันที่ฉันไม่สบาย

ทุกๆ ฉากทุกตอนไม่เคยจางหาย
แม้จะผ่านเนิ่นนานเท่าไร
และทุกฉากทุกตอนนั้นคอยตอกย้ำ
สิ่งที่ฉันเป็น ตั้งแต่เสียเธอไป

ว่าฉันเป็นคนโง่เหนือใครๆ
มีรักแท้อยู่ ดูแลไม่ได้
จะรู้ค่ามันก็สายเกินไป
ปวดร้าวคิดอยากย้อนเรื่องราวแค่ไหน
ได้แต่ฝัน..

ต่อจนเหมือนเดิม
รูปเมื่อก่อนนั้น ที่มันขาดไป
แต่ทางของเรา จะต่อได้อีกไหม
หรือว่าฉันต้องทำใจ

เพราะฉากทุกตอนไม่เคยจางหาย
แม้จะผ่านเนิ่นนานเท่าไร
และทุกฉากทุกตอนนั้นคอยตอกย้ำ
สิ่งที่ฉันเป็น ตั้งแต่เสียเธอไป

ว่าฉันเป็นคนโง่เหนือใครๆ
มีรักแท้อยู่ ดูแลไม่ได้
จะรู้ค่ามันก็สายเกินไป
ปวดร้าวคิดอยากย้อนเรื่องราวแค่ไหน
ได้แต่ฝัน

บอกหน่อยที่ไหนพอจะมี
ประตูให้ฉันย้อนไปคืนวัน
ที่ฉันมีเธออยู่
จะขอดูแลอีกครั้ง

ฉันมันคนโง่เหนือใครๆ
มีรักแท้อยู่ ดูแลไม่ได้
จะรู้ค่ามันก็สายเกินไป
ปวดร้าวคิดอยากย้อนเรื่องราวแค่ไหน
ได้แต่ฝัน..


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


Create Date : 27 มิถุนายน 2551
Last Update : 27 มิถุนายน 2551 0:42:20 น. 7 comments
Counter : 530 Pageviews.

 
ใช้คอมฯยี่ห้ออะไรคะ..ขยันพิมพ์จริงๆ จะเอามาใช้บ้าง อิอิ


โดย: teansri วันที่: 27 มิถุนายน 2551 เวลา:2:11:31 น.  

 
รักแท้ ไม่ต้องการดูแล

เสียงเค้าว่ากันพรรณนาน

ปล.เขียนได้น่าอ่านมากมาย เปนกะลังจัยให้ จ๊ะ


โดย: บ้าได้ถ้วย วันที่: 27 มิถุนายน 2551 เวลา:2:27:59 น.  

 
อ่านแล้วรู้สึกว่าตัวเองโชคดีจัง ตอนรับปริญญาแม่ยิ้มแป้นไม่หุบเลย เกรดดีด้วยจิ 555


โดย: พริมภิพัทรา วันที่: 27 มิถุนายน 2551 เวลา:3:57:04 น.  

 
อ่านแล้วก็คิดถึงแม่ ขึ้นมาเลย


โดย: กษมน (กษมน ) วันที่: 27 มิถุนายน 2551 เวลา:9:16:24 น.  

 
โอ่...ยาวจังค่ะ แต่ก็อ่านจนจบ

"คนเราจะรู้ค่าของบางสิ่ง ก็ต่อเมื่อเสียของสิ่งนั้นไป"

..........................

คิดถึงแม่จังเลยค่ะ


โดย: แม่นู๋มี่ วันที่: 27 มิถุนายน 2551 เวลา:14:33:26 น.  

 
ยังไม่ได้อ่าน แค่แวะมาเยี่ยม ขยันเขียนจัง หวัดดี


โดย: ชำ อนัตตา IP: 118.173.63.130 วันที่: 27 มิถุนายน 2551 เวลา:20:37:25 น.  

 
คุณเทียนสี ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมน้าค้า
ฮ่าๆๆๆ จริงๆ เรื่องพวกนี้เขียนเก็บไว้ห้าหกปีเกือบทั้งนั้นอะค่ะ ม่ะใช่เพิ่งมาฟิตเขียนเอาช่วงนี้ค่ะ แหะๆ
เขียนเรื่อยเปื่อยมานาน เลยมีหลายเรื่อง กระทู้ที่เคยลงในถนนก็กระจัดกระจายไปหมดแล้ว เลยเอามารวมไว้ที่นี่น่ะค่ะ

แล้วแวะมาเยี่ยมกันอีกน้าค้า



คุณบ้าได้ถ้วย ขอบคุณมากค่า
(ชอบชื่อ บ้าได้ถ้วย มากเลยอะค่ะ คิดได้ไงคะเนี่ย ฮ่าๆ)


คุณพริมภิพัทรา วันรับปริญญาเนี่ย แม่มักจะยิ้มกว้างกว่าลูกแทบทุกคนเลยนะคะ


คุณกษมน คิดถึงแม่ก็ดูแลรักแท้ให้ดีๆ น้าค้า


คุณแม่นู๋มี่ โถ่ เหนื่อยป่าวคะ ยาวจริงๆ ด้วยอ่ะค่ะ คนเขียนเวลาเขียนชอบยืดเยื้อมันจนยาวเกินเรื่องสั้นทุกที ขอโต้ดค่า


คุณชำ อนัตตา ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมค่า แล้วแวะมาอีกน้า


โดย: โยษิตา วันที่: 27 มิถุนายน 2551 เวลา:20:55:43 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

โยษิตา
Location :
Kobe Japan

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เป็นคนไทย แต่ระหกระเหินมาใช้ชีวิตตัวคนเดียวที่ประเทศหมู่เกาะประเทศหนึ่ง กินเวลาสิบกว่าปีแล้ว ยังไม่รู้จะได้กลับเมื่อไหร่ (โถ่)

เป็นคนจับจดมาก อยากทำไปทุกอย่าง แต่ทำไม่ได้ดีซักอย่าง รู้น้อยกว่าเป็ด ควรจะเรียกว่ารู้อย่างลูกเป็ด หรือไข่เป็ด

ที่แน่ๆ ชอบอ่านกระทู้พันทิป มากถึงมากที่สุด



Longer - Dan Fogelberg
Group Blog
 
 
มิถุนายน 2551
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
27 มิถุนายน 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add โยษิตา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.