--but life goes on, and this old world will keep on turning--
คืนนี้ไม่มีพระจันทร์

แสงสว่างที่วาบ ณ ขอบฟ้า ทำให้ดวงตาเหม่อลอยของหญิงสาวกระพริบนิดหนึ่ง พร้อมกับสายลมแรง หอบเอาละอองฝนเย็นๆ มากระทบผิวหน้า ท้องฟ้ามืด มีเพียงแสงสลัวของดวงดาว พระจันทร์หายไปไหนกันนะ ทำไมจึงปล่อยให้ฟ้าคืนนี้เหงาเสียเหลือเกิน กีรตาถอนหายใจ ขยับจะเรียกคนข้างๆ ตัวด้วยความเคยชิน หากก็ต้องชะงัก..


ในเมื่อข้างๆ เธอไม่มีใครคนนั้นอีกแล้ว รอบกายเธอเงียบ จนได้ยินเสียงคลื่นกระทบหาดทรายแผ่วเบา เป็นท่วงทำนองแห่งท้องทะเล..อย่างที่ใครคนหนึ่งเคยเรียก

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นยิ้มหม่นๆ ให้กับดวงดาว กระซิบฝากข้อความไปให้ใครคนนั้น ณ ปลายฟ้า..ใครคนที่เคยมานั่งเฝ้าดูพระอาทิตย์ตกที่สะพานปลาแห่งนี้ด้วยกัน..

"โชคดีนะวา"

คราวนี้เมื่อเธอกระพริบตา..หยาดน้ำอุ่นๆ ก็หยดลง



นานเท่าไหร่แล้วนะ..ดูเหมือนจะไม่กี่วันมานี้เองที่เขาโผล่หน้าเข้ามาในห้องทำงานเธอ พร้อมกับรอยยิ้มกระจ่าง ดวงตาพราวระยับ ตามแบบของเขา

"กี้ว่างมั้ย ไปเสม็ดกันนะ" เป็นคำชวนง่ายๆ ราวกับชวนไปกินข้าวกลางวัน พลางเจ้าตัวก็จับโน่นดึงนี่บนโต๊ะเธอเป็นพัลวัน พยายามจะให้เธอเลิกทำงานให้จงได้

"ไปทำไมเสม็ด" กีรตาถามอย่างเบื่อๆ โดยไม่ได้ละสายตาจากงานในมือด้วยซ้ำ

"ไปเล่นโบว์ลิ่งมั้ง" ฝ่ายนั้นกระแทกเสียง

"ปัดโธ่ ! ก็ไปพักผ่อนมั่งซิคู้ณ.." เขาลากเสียงล้อเลียน ดึงแฟ้มในมือเธอไปอ่านปราดๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนก็โยนโครมลงบนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ ดึงมือ หรือจะพูดให้ถูก..กระชาก..เธอให้ลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานจนได้

"นี่ ! คุณวารณคะ ! " กีรตาแหวให้อย่างอ่อนใจเต็มที "นี่คุณว่างนักหรือไงคะ ชั้นมีงานทำนะ อาทิตย์หน้าต้องพรีเซนต์แล้วยังทำไม่ถึงไหนเลย" คำสุดท้ายมีโมโห

"เหอะน่า ! " ฝ่ายนั้นแผดเสียงได้ดังกว่า พลางลากเธอหลุนๆ ลงไปที่รถอย่างไม่ยอมเสียเวลาสักนาทีเดียว
"วันนี้เพิ่งวันพฤหัสเอง กลับวันอาทิตย์ก็ยังทัน เดี๋ยวช่วยเอ้า" เขาทำเสียงใจป้ำ หากเมื่อเห็นสีหน้ายุ่งยากใจของเธอ น้ำเสียงนั้นจึงอ่อนลง จนแทบจะเป็นอ้อนวอนด้วยซ้ำ

"ไปด้วยกันหน่อยน่า..มีอะไรอยากคุยกับกี้หน่อย" อะไรบางอย่างในท่าทีของเขาทำให้กีรตาสะกิดใจ หากเมื่อถาม เขาก็ยืนยันประโยคเดิมอย่างกวนๆ ด้วยรอยยิ้มเหมือนเด็กซนๆ ว่า
"เดี๋ยวไปคุยกันที่โน่น พูดตอนนี้กี้ก็ไม่ไปกับเราน่ะซิ"

หญิงสาวก็เลยเลิกถาม ด้วยความพยายามที่จะเดินทางไปกับเขาอย่างสันติที่สุด ก็เหมือนกับทุกครั้ง ยามมีเรื่องกลุ้มใจ ไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่งจะต้องเป็นคนชักชวนแกมบังคับให้อีกฝ่ายไปเสม็ดด้วยกันทุกที เถียงกัน ทะเลาะกัน ไปแทบตลอดทาง จนสุดท้ายได้ลงนั่งปักหลักคุยกันที่สะพานปลาที่เดิมจนสบายใจด้วยกันทั้งคู่ ก็จะกลับมาร่าเริงเป็นปกติ กลับกรุงเทพฯ อย่างแจ่มใสเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น..ทุกครั้งไป

มันเป็นอย่างนี้มานาน นานจนเธอเองขี้เกียจจะจำว่ามาเสม็ดทั้งหมดกี่ครั้ง และมาด้วยสาเหตุอันใด ในเมื่อคนที่มากับเธอแทบจะทุกครั้งคือวารณ คนที่เธอไว้ใจ เท่าๆ กับที่ไว้ใจตัวเอง

นี่เธอกับเขารู้จักกันมานานแค่ไหนแล้วหนอ กีรตานับนิ้วมือ แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อตอบตัวเองได้ว่า สิบห้าปี สิบห้าปีแล้วตั้งแต่ขึ้นชั้นประถมสาม และได้เรียนร่วมห้องกันมาจนจบมัธยมปลายของโรงเรียนสาธิตของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ไม่แปลกเลยที่เธอกับวารณจะเป็นยิ่งกว่าเพื่อนสนิท ที่ถึงแม้ว่าจะห่างกันไปนาน เมื่อเธอเลือกที่จะสอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยทางภาคเหนือ จนจบการศึกษาระดับปริญญาโท และเพิ่งจะย้ายกลับมาทำงานในกรุงเทพฯได้ไม่ถึงปี หากกีรตาก็ยังมั่นใจนัก..ว่าเธอและเขายังคงเป็นเพื่อนที่รู้ใจของกันและกันอยู่อย่างเดิม

ความสัมพันธ์อันยาวนาน แม้จะไม่ต้องเอ่ยปาก ไม่ต้องมีคำหวานระหว่างกัน แต่ความเข้าใจนั้นสื่อถึงกันอย่างแจ่มชัด อบอุ่นและอ่อนโยนในทุกความรู้สึกมากมาย

เธอและเขาไม่ใช่เพียง..เพื่อน..หรือแม้แต่คนรัก หากเป็น..คนพิเศษ..ที่สำคัญ จนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตกันและกันอย่างแยกกันไม่ออก เธอเชื่อ และมั่นใจมานานนักหนา ว่า..ส่วนหนึ่ง..ของชีวิต ส่วนนี้ จะไม่มีวันแยกจากไปไหน

เหมือนซีกซ้ายและซีกขวาของร่างกาย ที่ต่างก็ไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะจากไป เพราะต่างก็ไม่อาจดำรงอยู่ได้โดยปราศจากอีกฝ่ายหนึ่งได้เลย

.....................................................


ดวงตะวันกำลังจะลับฟ้าเมื่อเธอและเขาก้าวลงจากเรือ ผืนน้ำอาบด้วยสีส้มหม่นๆ ของลำแสงสุดท้ายของวัน ช้าไปหน่อยสำหรับการนั่งเฝ้ามองพระอาทิตย์ตกอย่างเคย กีรตาคิดอย่างเสียดาย บอกตัวเองว่าพรุ่งนี้เถอะ.. จะรีบมานั่งรอตั้งแต่บ่ายเลย

วารณเป็นคนยกสัมภาระ ซึ่งก็ไม่มีอะไรนอกจากเป้คนละใบ เข้าไปเก็บในบ้านพัก ปล่อยให้เธอนั่งลงมองดูเงาของดวงตะวันที่กำลังลับผืนน้ำตรงหน้าอย่างดื่มด่ำกับบรรยากาศ

ชายหาดแคบๆ หน้าที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ดแห่งนี้ขาวสะอาดด้วยทรายเม็ดเล็ก ขาวละเอียดก็จริง หากความลาดชันของพื้นทรายทำให้ไม่เหมาะกับการเล่นน้ำ เมื่อไม่มีนักท่องเที่ยว ชายหาดบริเวณนี้จึงเงียบสงบอยู่เป็นนิจ ต้นโพธิ์ทะเลต้นใหญ่ทิ้งใบสีส้มเต็มแนวหาด มองดูสดใสเมื่อตัดกับผืนทรายขาวเบื้องล่าง ชิงช้า ซึ่งแท้จริงคือไม้กระดานผูกเชือกโยงไว้กับกิ่งไม้แกว่งเบาๆ ด้วยลมทะเล บรรยากาศตอนนั้นช่างงดงาม รื่นรมย์เสียจนเธอเกือบลืมไปด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายชวนเธอมาทำไม หากฝ่ายนั้นจะไม่นั่งลงข้างเธอเงียบๆ ก่อนจะเงยหน้ามองผืนฟ้าเบื้องบนที่กำลังมืดลง นิ่ง นาน โดยไม่ปริปากพูด

"เป็นอะไรไปน่ะวา เงียบมาตลอดทาง ตกลงเรื่องที่ว่าน่ะ เรื่องอะไรเหรอ.." กีรตามองใบหน้าขรึมของคนข้างกาย ดูเขามีอะไรในใจแน่ๆ

คนถูกถามฝืนยิ้ม ก่อนจะเอนหลังพิงเธอไว้ทั้งตัว อันเป็นกิริยาที่อีกฝ่ายชอบทำยามนั่งลงที่ริมหาดทรายอย่างสบายอกสบายใจทุกครั้ง

หากวันนี้ อะไรบางอย่างแผกไป คนข้างกายเธอนั่งนิ่ง มีเพียงเสียงระบายลมหายใจแผ่วเบา เนิ่นนาน จนรอบกายมีแต่ความมืดคลี่คลุม ในที่สุด เขาก็ถอนหายใจยาว

"วามีอะไรอยากบอกกี้" คนพูดเอนตัวลงนอนหนุนตักเธอดื้อๆ ดวงตาดำสนิท ที่เคยแพรวพรายคู่นั้นขรึมจัด เมื่อเงยมองเธอนิ่ง จนกีรตาวาบลึกในใจ..คงไม่ใช่เรื่องดี..

"รู้แล้วจ้าว่ามีเรื่องน่ะ ว่าแต่มันเรื่องอะไรล่ะ บอกมาเถอะน่า" เธอก้มลงยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างพยายามจะให้แจ่มใสที่สุด

มันเป็นเรื่องดีต่างหาก..กีรตาบอกตัวเองเมื่อได้ยินประโยคต่อไปของเขา หากก็ช่วยไม่ได้จริงๆ เมื่อประโยคนั้นกลับทำให้โลกของเธอหยุดหมุน.. ประโยคที่ทำให้เธอรู้ว่า จะไม่มี 'พรุ่งนี้' สำหรับเธอและเขาอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการมานั่งดูพระอาทิตย์ตกด้วยกันที่นี่ หรือแม้แต่การเดินเคียงข้างกันไม่ว่าที่ไหนๆ อย่างที่ผ่านมา

"วากำลังจะแต่งงาน"

.......................................................



นาน.. ช้า.. ที่มีแต่ความเงียบระหว่างกัน กีรตาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด กว่าโลกตรงหน้าเธอจะกลับมาหมุนอีกครั้ง

"เหรอ เมื่อไหร่ล่ะ ทำไมกี้ไม่รู้เรื่องเลย" เธอได้ยินเสียงตัวเองถามอย่างยินดี ก็มันเป็นเรื่องน่ายินดีนี่นะ กีรตาก้มลงยิ้มใส่ดวงตาคนนอนหนุนตักโดยไม่รู้ตัวหรอกว่า ในรอยยิ้มนั้น ในดวงตากลับมีหยดน้ำคลอคลอง

"กี้จะไม่ถามเหรอว่า..กับใคร" เจ้าตัวขยับลุกจากการนอนเอกเขนก ดวงตาดำสนิทในกรอบยาวรี แลสบเธอตรงๆ ด้วยแววลึกล้ำ

"นั่นซิ ใครล่ะ กี้รู้จักรึเปล่า" เธอถามเสียงใส รอยยิ้มร่าเริงยังติดอยู่ที่ริมฝีปาก ยิ้ม.. เธอต้องยิ้ม ต้องยินดีกับเขาให้มากๆ เพื่อนรักของเธอกำลังจะแต่งงานทั้งทีนี่นะ กีรตาเฝ้าแต่ย้ำกับตัวเอง แต่ก็ช่วยไม่ได้เลยที่น้ำตาเจ้ากรรมจะหยดหยาดลงต่อหน้าต่อตา..

"กี้..โธ่.. กี้.." น้ำเสียงอีกฝ่ายทั้งตกใจและอึดอัดใจระคนกัน

"กี้ วาขอโทษ" วิธีพูดอ่อนโยนและการแทนตัวเองด้วยคำว่า 'วา' นั้นก็คือวิธีพูดของเด็กชายวารณในวันเก่าก่อนนั่นเอง เป็นวิธีพูดที่กีรตาเคยมั่นใจเสมอว่า เขาไม่มีให้ใครนอกจากเธอ หากวันนี้ อะไรบางอย่างในใจเธอแปลบปลาบ เขาคงมีใครคนนั้นแล้ว..



"ขอโทษทำไม ถ้ากี้จะโกรธก็เรื่องที่วาบอกกี้ช้านี่แหละ แล้วกี้จะช่วยงานวาทันไหมนี่" 'ใครบางคน' ในตัวเธอยังถามต่อได้อย่างเป็นปกติ ทุกคำพูดราวกับคำพูดของหุ่นยนต์ที่ถูกโปรแกรมไว้ หัวใจเธอชา จนแทบไม่รับรู้ความรู้สึกใด ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความผิดหวัง ร่างทั้งร่างราวท่อนอะไรกลวงๆ ที่ไร้ชีวิต

หยาดน้ำอุ่นๆ ยังรินไหลจากขอบตาอย่างไม่อาจควบคุม กีรตาหลบสายตาคมของคนข้างกาย ที่บอกแววกังวลชัด แม้จะอยู่ในแสงสลัวของความมืด ไม่มีคำตอบต่อคำถามใดจากเขา มีเพียงเสียงทอดถอนลมหายใจเศร้าสร้อย พร้อมกับอุ้งมือใหญ่ อบอุ่นเอื้อมมากุมมือเธอไว้มั่น ทั้งสีหน้าและแววตาที่เห็นรางๆ นั้นบอกชัดว่าเขาเข้าใจเธอทะลุปรุโปร่ง

"วารู้ว่าวาต้องทำร้ายกี้ แต่วาก็อยากให้กี้เข้าใจ" น้ำเสียงคนพูดอ่อนโยนนัก หากก็บีบคั้นหัวใจของคนฟังจนเจ็บร้าว

กีรตายังหัวเราะแจ่มใส อย่าให้เขาต้องมารับรู้ความในใจอันสับสนอลหม่านของเธอตอนนี้เลย น่าอาย ที่คงเป็นเพียงเธอฝ่ายเดียวที่ทึกทักเอาว่าเขาเป็นของเธอ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ไม่มีวันแยกจากไปไหน หากดูเขาจะไม่ได้รู้สึกอย่างเดียวกันแม้แต่น้อย เพราะวันนี้..เขามีใครอีกคน..ที่จะเป็นส่วนสำคัญในชีวิตเขามากกว่าเธอเสียแล้ว คนคิดพยายามบิดข้อมือออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย เมื่อเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาตรงๆ บอกด้วยสีหน้ายิ้มๆ ว่า

"ทำร้ายอะไรกี้ เพื่อนรักจะแต่งงานนี่นะทำร้ายกี้ บ้าซิ กี้ดีใจกับวาต่างหาก ที่ร้องไห้นี่ก็เพราะกลัวว่าจะเหลือกี้เป็นโสดอยู่คนเดียวน่ะ ก็ถ้าวาแต่งงานไป วาคงไม่มีเวลาไปไหนมาไหนกับกี้อย่างเมื่อก่อน กี้คงเหงา ก็เท่านั้นเอง" เธอยิ้มใสให้เขาอย่างเคย

ที่ผ่านมา มิตรภาพของเขาคงเป็นสิ่งสะอาด บริสุทธิ์ใจ คงเพราะความอ่อนแอของเธอเองเท่านั้นที่ทำให้คิดเป็นอื่น กี้ขอโทษนะวา..

ไม่มีคำตอบใดจากเขา หากแววตาลึกซึ้งนั้นต่างหากที่บอกเธอว่า เธอไม่มีทางปิดบังเขาได้ ไม่ว่าเรื่องอะไร เขายังเป็นคนเดิม.. คนที่อ่านเธอออกเสมอในทุกความรู้สึก วงแขนแข็งแรงดึงเธอเข้าไปแนบชิด ร่างทั้งร่างราวไร้น้ำหนักเมื่ออยู่ในอ้อมแขนนั้น

"ร้องไห้เถอะกี้ ร้องกับวาตรงนี้แหละ" เสียงกระซิบนั้นแผ่วเบาอยู่ริมหู

อีกครั้งแล้วซินะที่เธอต้องทำตามความประสงค์ของเขา กีรตาคิดอย่างขัดเคือง หากก็ช่วยไม่ได้เลยหยดน้ำอุ่นๆ จะรินไหลลงมาอีก อ้อมแขนของอีกฝ่ายโอบรอบตัวเธอไว้หลวมๆ ปลายนิ้วยาวเรียว อุ่นจัดแตะซับน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน กีรตานิ่งขึงอยู่ในท่านั้น ร่ำไห้กับบ่ากว้างที่เธอเคยคิดว่า.. จะเป็นที่รองรับน้ำตาเธอคนเดียวเสมอ นาน..กว่าเธอจะเอ่ยปาก แม้น้ำเสียงจะยังระโหย

"ปล่อยกี้เถอะวา กี้ขอโทษ วาลืมมันเสียนะ"

หากวงแขนของคนข้างกายเธอกลับยิ่งรัดแน่นขึ้นอีก น้ำเสียงบอกชัดว่าเขาเองก็สะเทือนใจมากมาย
"กี้อยากจะด่าว่าอะไรวา กี้ว่าได้เลยนะ วารู้ตัวว่าทำให้กี้เสียใจ แต่วาก็ยังอยากอธิบาย เพราะถึงอย่างไร วาก็ยังอยากให้กี้เป็นเพื่อนรัก เป็นคนสำคัญของวาอยู่อย่างเดิม.."

"กี้ไม่ได้เสียใจ.." กีรตายังเถียงเสียงเบา หากน้ำเสียงสุดท้ายก็ขาดหายไปในลำคอ เมื่ออีกฝ่ายจับบ่าเธอให้หันมาเผชิญหน้าเขาตรงๆ แววตาที่มองตรงมาราวกับจะย้ำกับเธอว่า..อย่าโกหกวาเลย วารู้จักกี้ดีหรอกน่า.. ก่อนที่ประโยคต่อไปจากเขาจะยิ่งย้ำข้อความนั้น

"กี้จะโกหกวาทำไม เรื่องแค่นี้ คิดว่าวาอ่านกี้ไม่ออกหรือไง เราเป็นเพื่อนกันมากี่ปีแล้ว.."

นั่นซิ..เธอจะโกหกเขาไปทำไม กีรตาได้แต่นิ่ง ราวกับจนต่อทุกคำพูด ไม่มีประโยชน์ที่จะปฏิเสธคนที่อ่านเธอได้ทะลุปรุโปร่งอย่างคนตรงหน้า

"วารู้..วาเข้าใจความรู้สึกของกี้เสมอ เพราะวาเองก็เคย..คิด..ว่าวารักกี้..ที่สำคัญ..วาแน่ใจ..ว่าวารู้จักกี้.." คนพูดถอนหายใจ ท่าลูบหน้า เสยผมนั้นบอกชัดว่าเขาเหน็ดเหนื่อยและอึดอัดใจเพียงใด แม้น้ำเสียงนั้นจะยังคงอ่อนโยนนัก คนพูดขมวดคิ้ว โคลงศีรษะเมื่อกล่าวแก้

"ไม่ใช่ พูดใหม่นะ..วาเคยคิดว่าเรา..รักกัน..กี้คิดเหมือนวาใช่ไหม วาเชื่อเสมอว่าระหว่างเรา มันคือความรัก..แต่กี้..มันไม่ใช่.."

น้ำตาที่แห้งเหือดไปแล้วกลับรินไหลลงมาอีก กีรตาซบหน้าลงกับบ่ากว้างของคนข้างกาย ผิดไหมนะที่เธอยังคงอยากร้องไห้อยู่กับบ่าเขา..ตรงนี้ แม้ว่าจะรู้ดีว่าเขามีใครคนอื่นไปแล้ว..

อ้อมแขนที่เคยอบอุ่นเสมอไม่ใช่ของเธออีกต่อไป เธอจะไม่มีสิทธิ์นั่งลง เพื่อจะร้องไห้คร่ำครวญ ซุกซบกับอกกว้างนั้นอย่างวันวาน..ในวันที่เหน็ดเหนื่อย จะไม่มีเขาอยู่ข้างๆ คอยปลอบโยน ให้กำลังใจอีกแล้ว.. ส่วนหนึ่งของชีวิตเธอกำลังจะแยกจากไปอย่างถาวร.. ขอเพียงวันเวลาสุดท้ายนี้คงอยู่กับเธอให้นานที่สุดได้ไหม..

"เรารู้จักกันมานานมากเลยนะกี้ สนิทกันจนแทบจะแยกจากกันไม่ได้ วาไม่เคยคิดแม้แต่ว่าถ้าวาต้องอยู่โดยไม่มีกี้ ชีวิตวาจะเป็นอย่างไร เพราะวาเคยชินกับการมีกี้อยู่ข้างๆ เป็นเพื่อน เป็นคนรู้ใจ เป็นคนที่เข้าใจวาทุกอย่าง ตอนกี้ขึ้นไปเรียนที่เชียงใหม่ วาเหงาแทบแย่รู้ไหม วาเลยต้องขึ้นไปหากี้แทบทุกเดือน กี้จำได้รึเปล่า.."


จำได้ซิ..จำได้แม่นเลย กีรตาร่ำร้องอยู่ในใจ หนุ่มน้อยหน้าใส ดวงตาดำสนิทในกรอบยาวรี รอยยิ้มกระจ่าง ตาพราวระยับอยู่เป็นนิจ ซึ่งก็ทำให้ดวงหน้านั้นคมจับตา หรือที่เขาชอบเรียกตัวเองว่า หล่อแบบตี๋หล่อ

"ก็ถ้าตี๋แล้วมันจะหล่อได้ยังไงนะ" เธอเคยถามอย่างไม่เข้าใจ

หนุ่มน้อยคนนั้นเคยกระโดดลงจากรถไฟพร้อมด้วยดอกไม้ช่อโต ในแทบทุกเช้าวันเสาร์ต้นเดือน แม้ว่าดอกไม้ที่ต้องเดินทางไกลจะเหี่ยวเฉา คอพับคออ่อนไปบ้าง จนเธอเสนอให้มาซื้อเอาที่เชียงใหม่ยังจะเข้าท่ากว่า ฝ่ายนั้นก็ไม่ฟังเสียง ยังดึงดันที่จะหอบหิ้วพะรุงพะรังมาด้วยทุกครั้งไป

มันเคยมีวันนั้นจริงละหรือ นานแค่ไหนแล้วหนอ..ดูเหมือนจะนานนัก..

"ชีวิตเราขาดกันและกันไม่ได้ วาแน่ใจ แต่วาก็ยังสงสัยตัวเองเสมอ ว่าทำไมความรักของเรามันถึงไม่ก้าวหน้าไปเสียที เราห่วงใย คิดถึงกัน แต่ในความคิดถึงนั้นวากลับรู้สึกว่ามันยังขาดอะไรบางอย่าง อะไร..ที่วาก็ไม่เคยรู้ว่าอะไร.." น้ำเสียงคนพูดแม้จะอ่อนเบา หากก็มั่นคงอย่างคนมั่นใจในตัวเอง

"วาเองไม่เคยเข้าใจ..จนวาได้เจอคนๆ หนึ่ง คนที่ทำให้วารู้ว่า.. อะไร..ที่ขาดหายไปในความสัมพันธ์ของวากับกี้คืออะไร..คนที่ทำให้วารู้ว่า..ความรัก..ที่แท้จริงคืออะไร.."

"กี้จำได้ไหม..กี้เคยยกคำพูดของโกวเล้งเกี่ยวกับความรักมาพูดให้วาฟัง..ตรงที่ว่า..ความรักมักบังเกิดในช่วงพริบตา.. ช่วงพริบตานั้น เจิดจ้าจำรัสปานใด สวยสดงดงามเพียงไหน.. ช่วงพริบตานั้นจะคงอยู่เป็นนิรันดร์.. " ริมฝีปากคนพูดคลี่ยิ้มอ่อนโยน ราวระลึกถึงความทรงจำอันงดงาม.. ความทรงจำส่วนที่เธอไม่อาจร่วมรับรู้..

"วาเคยหัวเราะกี้ใช่ไหม.. ว่าเป็นเรื่องเพ้อฝัน..จนวันที่วาได้รู้จักมันนั่นแหละ วาจึงได้รู้ว่ามันมีอยู่จริง งดงามและรับรู้ได้จากหัวใจ..ของคนที่เป็นเจ้าของมันเท่านั้น..กี้.." รอยยิ้มอบอุ่นระบายขึ้นบนดวงหน้านั้นอีกครั้ง เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องบน ที่บัดนี้เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มจัด แสงจันทร์ข้างขึ้นกระจ่างอยู่ท่ามกลางประกายดาว

"สักวันหนึ่งกี้จะได้รู้จักความรัก ..กับใครคนหนึ่งที่จะเป็น..ตัวจริง..ของกี้ ใครคนที่กี้จะรักเขาอย่างเต็มหัวใจ ไม่ใช่เพียงเพราะความเคยชินกับการมีกันและกันอย่างที่เราเคยเป็น.."

"วาคิดว่ากี้รักวา.. เพียงเพราะความเคยชิน เลยทำให้ขาดกันไม่ได้เท่านั้นเองหรือ.." กีรตาขัดขึ้นเรียบๆ หากความร้าวรานในน้ำเสียงนั้นราวกับไม่ใช่น้ำเสียงเธอเอง

"ไม่ใช่.. วาไม่เคยคิดอย่างนั้น.. กี้.." วงแขนนั้นกระชับขึ้นอีก คนพูดมองลึกลงไปในดวงตาเธอ ทุกคำหนักแน่น มั่นคงอย่างคนที่มั่นใจในความคิดตัวเองเสมอ

"ระหว่างเราไม่ใช่ความรัก.. แต่เป็นความผูกพันต่างหาก..กี้.. ความผูกพัน ที่มาจากความเข้าอกเข้าใจ ระหว่างทางเดินของมิตรภาพที่ยาวนาน.. เราอยู่ข้างกันเสมอ..จนบางครั้งเราก็ลืมไปด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายหนึ่งมีตัวตน เพราะความที่แทบจะเป็นคนๆ เดียวกัน เป็นครึ่งหนึ่งของชีวิตกันและกัน.. จนเราไม่เคยต้องไขว่คว้า หรือมองหาอะไรใหม่ๆ ในชีวิต เพราะความที่เราคิดว่าชีวิตเราสมบูรณ์แล้ว แค่มีกันและกันอย่างนี้.. "

"..แต่วาก็พบว่ามันไม่สมบูรณ์ใช่ไหม" คนฟังไม่ได้ตั้งใจประชด หากก็อดไม่ได้ อีกฝ่ายโคลงศีรษะ นิ่งไปนึดหนึ่งราวกับจะค้นหาถ้อยคำอธิบาย

"วาไม่ได้บอกว่าความผูกพันไม่สมบูรณ์เท่ากับความรักนะกี้.. มันสมบูรณ์อยู่ในตัวมันเองเสมอ.. เพียงแต่มันก็ไม่ใช่ความรัก.. แต่วาก็ชอบความผูกพันนะ..อาจจะมากกว่าที่ชอบความรักเสียอีก.." คนพูดยิ้มอ่อนโยน

"เพราะความผูกพันไม่เคยหลอกลวง เราอาจจะเคยได้ยิน ได้พบเห็นทั้งความรักที่จริงแท้ และความรักที่หลอกลวง แต่ความผูกพันไม่เคยหลอกลวง มีไหมกี้ ที่เราจะผูกพันกับใครคนหนึ่งแบบหลอกๆ ไม่มีหรอก จริงไหม ..ความรัก..มีทั้งรักที่ยั่งยืนและไม่ยั่งยืน แต่ในความผูกพัน.. ไม่มีความผูกพันไหนไม่ยั่งยืน เพราะความผูกพันก่อเกิดมาจากความยั่งยืนของความรู้สึก และมิตรภาพ.."

แต่เขาก็ยังเลือก..ความรัก..อยู่ดี กีรตาตอบต่อข้อความนั้นในใจ หากอีกฝ่ายกลับบอกออกมาเป็นคำพูดได้ตรงใจเธอเผง ดวงหน้าขาวสะอ้านที่กระจ่างอยู่ในความมืดนั้นแหงนเงยมองแผ่นฟ้าเบื้องบนอีกครั้ง เมื่อบอกเสียงเบา หากมั่นคงในทุกคำ

"วาเลือก..ความรัก..โดยที่วาก็ไม่มั่นใจหรอกว่า วาจะเลือกถูก แต่วาก็เลือกแล้ว อย่างน้อย วาก็ดีใจ ที่วามีโอกาสได้รู้จักกับความรักที่แท้จริง.."

นั่นคือเขา..วารณ คนที่มั่นใจกับการตัดสินใจของตนเองเสมอ แม้จะรู้ว่าผลที่จะตามมาอาจไม่ได้อย่างที่หวัง หากเขาก็พร้อมที่จะเสี่ยง..

"แล้ววาก็เชื่อ..ว่าวันหนึ่ง..กี้จะได้พบใครคนนั้น..คนที่เป็น..ตัวจริง..ของกี้..กี้เห็นพระจันทร์ไหม.." จู่ๆ อีกฝ่ายก็ถามขึ้น



กีรตามองตามสายตาเขา ดวงจันทร์เกือบเต็มดวงลอยเด่น งดงามด้วยแสงนวล เย็นตา

"แสงจันทร์สวยใช่ไหม.." เขาพูดราวกับเดาความคิดเธอได้

"กี้ชอบแสงจันทร์..วารู้.. " คนพูดหัวเราะขันตนเอง "วาชักจะรู้อะไรๆ เยอะเกินไปแล้ว.. ก็เพราะวารู้จักกี้ และวาก็มั่นใจว่าวาอ่านกี้ไม่ผิด กี้รักพระจันทร์..และวาก็เหมือนพระจันทร์นั่นแหละ.." น้ำเสียงคนพูดมีรอยขัน

"พระจันทร์สว่าง สวย เพราะอยู่ท่ามกลางท้องฟ้ามืด ท่ามกลางแสงสลัวของดวงดาว ความจริงพระจันทร์ก็เหมือนกับดาวดวงอื่นๆ แค่ก้อนหินแข็งๆ ขรุขระ หนาวเย็น ที่ลอยโดดเดี่ยวอยู่ในความเวิ้งว้างของอวกาศ แต่เพียงเพราะมันอยู่ใกล้โลกกว่าดาวดวงอื่นๆ เราจึงมองเห็นมันงดงาม ชัดเจน กระจ่างยิ่งกว่าดาวดวงใดๆ ในท้องฟ้า.."

"แต่กี้ก็เห็นใช่ไหม.. พระจันทร์ไม่ได้สว่างอยู่ทุกวันหรอก จะว่าไปแล้วพระจันทร์เต็มดวงแค่เดือนละครั้งเดียวเอง นอกนั้นก็เว้าๆ แหว่งๆ แถมมีคืนเดือนมืดที่พระจันทร์หนีหายไปเสียอีก พระจันทร์คือความงามในโลกของความฝันเท่านั้นเอง.." อีกครั้งที่ฝ่ายนั้นหัวเราะเบาๆ

"แสงจันทร์สวยก็จริง แต่ก็ให้ความอบอุ่นไม่ได้เลย ไม่เหมือนดวงตะวัน ที่อบอุ่น เจิดจ้าและมั่นคง ซื่อตรงกับทุกสิ่งบนโลกเสมอ ไม่มีวันไหนที่ดวงตะวันหายไปเลยใช่ไหม.." เขาถามยิ้มๆ โดยไม่รอคำตอบ ดวงตาที่แลสบเธอสงบ ลึกซึ้ง บอกชัดว่าทุกถ้อยคำล้วนกลั่นมาจากหัวใจ

"กี้ไม่ผิดหรอก ที่จะหลงรักพระจันทร์ของชีวิต เพราะวาเองก็รักพระจันทร์ของวาเสมอ เพียงแต่เราต่างก็ต้องมี..ดวงตะวัน..ในความเป็นจริงของชีวิตเราเอง.. ใครคนนั้นจะเป็นดวงตะวัน.. เป็นความอบอุ่น สดใส ของชีวิตกี้ ขณะที่วาก็ยังคงเป็น..พระจันทร์..ที่ทอแสงอ่อนโยน เป็นเพื่อนในค่ำคืนที่มืดมิดของกี้เสมอ.. อย่างที่กี้ก็เป็นพระจันทร์ของวาตลอดไป..เช่นกัน.."

"เพราะวาผูกพันกับพระจันทร์ดวงนี้เหลือเกิน.."

..........................................................



ประโยคสุดท้ายราวกับจะสะท้อนก้องอยู่ในความทรงจำ เช่นเดียวกับรอยยิ้มกระจ่าง ดวงตาพราวระยับ ที่ติดตาเธอไม่รู้ลืม แม้ว่าเจ้าของรอยยิ้มจะไม่มีวันมานั่งมองท้องฟ้าด้วยกันอย่างเคย..

กีรตาแปลกใจตัวเองอยู่ไม่น้อย เมื่อเธอสามารถยิ้มตอบเขาในงานมงคลสมรสของเขาได้อย่างเต็มหัวใจ ยินดีกับเขาได้อย่างบริสุทธิ์ใจ แทบไม่มีความเจ็บร้าวอย่างที่เธอคิดว่าจะต้องมี จะมีบ้างก็เพียงความรู้สึกวาบลึก คล้ายกับสิ่งที่เคยผูกพันจะห่างหายไป..ก็เท่านั้น

บางที.. การจากลาก็ไม่ใช่เรื่องเจ็บปวดอย่างที่คิด ระหว่างเธอกับเขาคงจะไม่ใช่ความรักจริงๆ กระมัง..

ไม่ใช่ความเจ็บปวด หรือความรวดร้าวอื่นใด ที่ทำให้เธอลางานทั้งอาทิตย์ เพื่อกลับมาที่เสม็ดอีกครั้ง หลังจากงานแต่งงานของวารณเสร็จสิ้นลง หากเป็นความรู้สึกเหงาๆ อ้างว้างอย่างคนที่รู้สึกว่าไม่มีใครอยู่ข้างๆ ณ ปลายทางความฝันอย่างที่เคย..เท่านั้นเอง

ความเดียวดายทำให้เธอกลับมานั่งตรงชายหาดที่เคยเป็นมุมส่วนตัวของเขาและเธอมาช้านาน แม้ว่าคืนนี้เขาจะไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้อย่างเคย.. หากคงกำลังเป็นสุขกับการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์บนเรือสำราญในท้องทะเลอันดามัน อีกฟากหนึ่งของขอบฟ้า

..และแม้ว่าคืนนี้จะไม่มีพระจันทร์..

หยาดน้ำอุ่นๆ ในดวงตาแห้งสนิทแล้วเมื่อกีรตาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องบนอีกครั้ง ละอองฝนที่พร่างพรมอยู่เมื่อหัวค่ำขาดเม็ดไปแล้ว ท้องฟ้าใส เป็นสีเข้มราวกำมะหยี่นั้นมีประกายดาวแต่งแต้ม พร่างพราวราวกับประกายเพชร และเมื่อไม่มีแสงจันทร์มารบกวน ประกายเพชรนั้นยิ่งงดงามราวกับภาพฝัน..

ความจริงท้องฟ้าเวลาไม่มีพระจันทร์อาจจะสวยกว่าเวลาที่มีพระจันทร์เสียอีก..อย่างน้อย.. มันก็ทำให้เธอได้เห็นแสงดาวชัดเจนขึ้นมากมาย.. ชีวิตเธอไม่ได้มีแต่ดวงจันทร์ที่จากไปดวงนั้น หากมีดวงดาวอีกมากมายเป็นเพื่อน..ในผืนฟ้าแห่งชีวิตนี้

กีรตายิ้มกับตัวเองอย่างปลอดโปร่ง.. ฮัมเพลงเบาๆ เมื่อเพ่งมองที่ปลายฟ้า.. ที่แม้จะยังมืด.. หากเธอก็รู้..

อีกไม่นานฟ้าก็จะสว่าง ด้วยลำแสงแรกของตะวันที่กำลังจะโผล่พ้นแผ่นน้ำอีกฟากหนึ่งของเกาะ จริงซี..เธอยังไม่เคยเห็นพระอาทิตย์ขึ้นที่เกาะเสม็ดเลย..

เธอน่าจะรีบเข้านอน เพื่อที่พรุ่งนี้จะตื่นทันได้ทักทายดวงตะวันที่คงจะมายิ้มรอเธอ ณ ริมฟ้า

บางที.. พรุ่งนี้.. เธออาจจะหลงรักดวงตะวันก็ได้..




Create Date : 25 มิถุนายน 2551
Last Update : 13 กรกฎาคม 2551 22:40:18 น. 7 comments
Counter : 575 Pageviews.

 
เจ๊ย พี่ชื่อ "โยษิตา" หรอคะ ชื่อเดียวกับหนูเลย เขียนเหมือนกันด้วย แปลว่าสตรีค่า


โดย: yosita_yoyo วันที่: 25 มิถุนายน 2551 เวลา:19:53:04 น.  

 

สงสารกีรตาค่ะ


โดย: มัยดีนาห์ วันที่: 25 มิถุนายน 2551 เวลา:20:12:16 น.  

 
I like this story ka, I think I felt in love with the moon too


โดย: teansri วันที่: 26 มิถุนายน 2551 เวลา:21:19:26 น.  

 
น้องโยษิตา(ตัวจริง) พี่ขออนุญาตใช้ชื่อนี้เป็นนามปากกาเลยนะคะ ฮ่าๆ


คุณมัยดีนาห์ คนเขียนก็สงสารเหมือนกันค่า (แล้วไปเขียนให้เค้าน่าสงสารทำไมว้า) แต่เชื่อว่าพรุ่งนี้เธอจะมีความสุขค่ะ


คุณเทียนสี หลงรักพระจันทร์เหมือนคนเขียนเลยค่ะ จริงๆ ชีวิตคนเรามันก็ต้องมีทั้งพระจันทร์ ตะวัน ดาว นะคะ ถึงจะสมดุล มีอย่างใดอย่างนึงก็เหงาแย่ เนอะ


โดย: โยษิตา วันที่: 27 มิถุนายน 2551 เวลา:21:03:18 น.  

 
อ่านแล้ว... ซึม... ครับ แต่ต้องยอมรับ ว่าวารณกล้ามากๆ ที่จะแยกแยะระหว่างความผูกพันกับความรัก ที่จะผละจากพระจันทร์ไปหาพระอาทิตย์ ทั้งที่ยังไม่รู้ว่ามันจะยั่งยืนหรือเปล่า

ถึงจะเศร้า ถึงวันนี้จะไม่มีพระจันทร์ แต่กีรตาก็ยินดีที่จะรอดูพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว คิดไปแล้ว การที่ทั้งสองคนจะได้พบดวงตะวันของตัวเอง แต่ก็ยังมีเพื่อนที่รักและห่วงใยขนาดนี้ ก็ถือว่าโชคดีมากๆ นะครับ มิตรภาพที่ลึกนั้น ยืนนานจริงๆ


โดย: คุณพีทคุง ณ (ลายปากกา ) วันที่: 29 มิถุนายน 2551 เวลา:21:32:26 น.  

 
ชื่อแฏณนะคะ....อิจฉาคนที่เขียนหนังสือจังอยากเขียนจังแต่ไม่มีพรแสวงเลยค่ะ...ตอนนี้ก็เลยตะลอนหาอ่านตามเวบต่างพอมีตังค์ก็ซื้อสะสม...หลงใหลในตัวละครหลอกตัวเองไปวันๆพอให้ชีวิตสดใสขึ้นมาบ้าง...อ่านที่คุณเขียนชอบนะคะแปลกดีเดี๋ยวจะแวะมาใหม่นะคะ


โดย: phaclam (phaclam ) วันที่: 1 กรกฎาคม 2551 เวลา:22:11:46 น.  

 
เรื่องราวเขียนได้นุ่มนวลจัง เปรียบเทียบดีจังค่ะ จับใจๆ เป็นการบอกเลิกที่เป็นเรื่องเป็นราวมาก - - แต่นุ่มนวลสุดๆเลยค่ะ ^^


โดย: Life's for Rent วันที่: 26 กรกฎาคม 2551 เวลา:0:12:31 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

โยษิตา
Location :
Kobe Japan

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เป็นคนไทย แต่ระหกระเหินมาใช้ชีวิตตัวคนเดียวที่ประเทศหมู่เกาะประเทศหนึ่ง กินเวลาสิบกว่าปีแล้ว ยังไม่รู้จะได้กลับเมื่อไหร่ (โถ่)

เป็นคนจับจดมาก อยากทำไปทุกอย่าง แต่ทำไม่ได้ดีซักอย่าง รู้น้อยกว่าเป็ด ควรจะเรียกว่ารู้อย่างลูกเป็ด หรือไข่เป็ด

ที่แน่ๆ ชอบอ่านกระทู้พันทิป มากถึงมากที่สุด



Longer - Dan Fogelberg
Group Blog
 
 
มิถุนายน 2551
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
25 มิถุนายน 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add โยษิตา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.