Group Blog All Blog
|
เชียงใหม่แบบรีบๆ (2) ผมไม่รู้ว่าเชียงใหม่กับอยุธยานี่ที่ไหนวัดเยอะกว่ากัน รู้แต่วว่าเชียงใหม่นี่มีวัด"ถี่" กว่าอยุธยามาก อยุธยานี่เป็นเกาะเมืองนะครับถนนสายหนึ่งนี่เอาเฉพาะยาวด้านหนึ่งของเกาะเมือง นี่ก็มีราวๆหกเจ็ดวัดแต่ของเชียงใหม่นี่ถี่กว่านั้น เฉพาะถนนที่เป็นกาดคนเดินในวันอาทิตย์ แต่วันปกติเป็นเส้นทางสัญจรนี่ ก็ปาเข้าไปเจ็ดแปดวัดแล้ว พุทธสานิกชนที่ดีอย่างผมนี่ไปไหนก็ต้องเข้าไปวัดสักหน่อย ส่วนหนึ่งก็ไปขอพรขอโชคขอลาภตามประสาคนที่ยังติดอยู่ในวัฎฎะปกติ อีกส่วนหนึ่งผมเป็นคนชอบดูงานพุทธศิลป์ครับ ไอ้การเสพย์ความเป็นทิพย์ของงานพุทธศิลป์นี่ไม่ได้ทำได้บ่อยๆหรอก ความงามอ่อนช้อยของพระพุทธรูป ความประณีตของงานสกุลช่าง ตามจิตรกรรมฝาผนังโบราณนี่มันวิเศษนะครับ ได้ดูได้เสพย์แล้วมันจะเป็นทิพย์แก่ตาแก่หู และก็อยากจะครอบครองตามกิเลสที่เดียว พระสมัยรัชกาล สิงห์หนึ่ง สิงห์สอง สุโขทัย ลพบุรีอยุธยาเชียงแสน นี่ผมอยากได้หมด เทียวๆไปเดินตามเมืองเก่าตามวัดร้างทีไร อดอยากจะขุด จะหาพระกันเสียอยู่บ่อยๆ จนใครๆเขาก็หาว่าผมเป็นโจรปล้นกรุเสียแล้ว แหะๆ คนมันชอบ ผมเดินเข้าออกเข้าออกวัดอยู่ห้าหกวัดเท่าที่จำได้ จนกระทั่งฟ้ามืด เมื่อยครับ เดินกาดคนเดินเชียงใหม่ตั้งแต่หัวถนนไปจนสุดทางแล้วกลับนี่ราวๆสามกิโลได้ เราเดินซื้อของกันเพลินๆแล้วก็เลยได้ของมาคนละหลายๆอย่าง ราคาของก็จัดว่าถูกมาก ถ้าคิดจะมาช๊อบปิ้งละก็ กาดคนเดินท่าแพวันอาทิตย์เลยครับ แต่แนะนำให้พกยาหม่องทาแก้ปวดขามาด้วย เพราะไกลเอาเรื่องเหมือนกัน ครั้งกระโน้นเมื่อคราวมาดอยสุเทพนี่จำได้ว่าไม่เกิน ม.6 ร่างกายฟิ๊ตเปรี๊ยะ เรียกว่าถ้าจะให้ขึ้นลงบันไดสามสี่ร้อยนี่สามารถแถมให้อีกสองรอบยังได้ แต่มารอบนี้มันสี่สิบกว่า ไอ้บันไดสามร้อยสี่ร้อยขั้นนี่เข้าขั้นสาหัสสากรรจ์ทีเดียว แต่ครั้นจะขึ้นกระเช้าลาก มันก็จะดูเสียเชิงไปสักนิด ผมจึงยกมือขึ้นพนมแล้วอฐิษฐานจิตว่าถ้าลูกยังมีบุญแล้วไซร์ ขอให้ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าด้วยประการทั้งปวงในครั้งนี้ จงกลายเป็นผลบุญอุทิศตรงต่อบวรพุธศาสนาให้ยืนยาวสืบไป ว่าแล้วก็กราบในใจสามที แล้วลุย.. สามสิบนาที่หรือน้อยกว่านั้นผมก็มานั่งหอบเรี่ยราดอยู่หน้าองค์พระธาตุ ดอยสุเทพด้านบนวันนี้ฟ้าปิดครับ อากาศค่อนข้างจะออกหนาวทีเดียว ฝนที่ฝรั่งมันเรียก Shower นี่โปรยตลอดเวลา ผมจึงถ่าภาพพระธาตุดอยสุเทพ และทัศนียภาพได้แบบหม่นๆหน่อย เมื่อสักการะองค์พระธาตุดอยสุเทพเสร็จก็พอดีกับฝนจริงเริ่มมา ทัวร์นมัสการพระธาตุดอยสุเทพจึงจบลงแต่เพียงเท่านี้ แต่ก่อนกลับฝมก็ได้เห็นฟ้าเปิดอยู่ราวๆสองสามนาที ภาพตัวเมืองเชียงใหม่จากมุมสูง จึงได้มีเข้ามาอยู่ในกล้องบ้างแต่เพียงห้าหกรูป แต่ก็เป็นรูปที่ผมชอบที่สุดเลยนะครับของทริปนี้ ผมว่ามันสวยดี สวยอีตรงที่มันแย้งกันอยู่นั่นแหละ เมืองที่มีภูเขาล้อมรอบ ในหุบเขา มีแต่ตึกรามบ้านช่องผุดเต็มไปหมดเสมือนหนึ่งว่า เมืองกับธรรมชาติกำลังแย่งชิงพื้นที่กัน กลับลงจากดอยสุเทพทริปเราก็ขับรถผ่านสวนสัตว์เชียงใหม่ แล้วก็ให้ได้นึกขึ้นมาว่า เรายังไม่ได้ไปนมัสการสัตว์คู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่เลย มาทั้งที ไปนมัสการกันหน่อยปะไร ไปครับไปนมัสการหมีแพนด้าหลินปิงกัน ค่าเข้าสวนสัตว์คนละ 100 บาท ค่ารถไฟโมโนเรล 70 บาท ค่าเข้าไปดูหมีสองตัว นั่งทำตะเกียบ อีกตัวเดินเพ่นพ่านแบบกลุ้มใจไปมาอีก 100 บาท ผมว่า 270 บาทนี่มันแพงไปสักหน่อยกับค่าตัวของสัตว์ประจำจังหวัดเชียงใหม่ ถึงว่า มันน่าจะเป็นรายได้หลักของสวนสัตว์นี้ละมั๊ง เขาจึงยังไม่ยอมคืนให้กับทางประเทศจีน เพราะถ้าคืนไปแล้ว แล้วเก็บตัง 270 บาทมาดูช้างไทยดูหมีควายไทย ผมว่าไม่มีใครมาเที่ยวสวนสัตว์นี้แน่นอนพนันกันได้ เช้าสุดท้ายกับเชียงใหม่ก่อนกลับบ้าน ผมแวะไปดูไอ้ที่อยากจะรู้อีกรายการหนึ่งคือแวะไปดู ลัดดาแลนด์ แดนผีสิง แต่ก็ไม่ได้เข้าไปดูอะไรนะครับ แค่ขับรถไปจอดแล้วมองๆเข้าไป เห็นก็แต่ต้นไม้ต้นไร่ไม่มีอะไรหรอก แต่ถามว่าอยากเดินเข้าไปดูไหม ก็อยากนะแต่ขอเป็นพากันไปสักสิบยี่สิบคนเห็นจะดีกว่าไปสามคนตอนนี้แน่ๆ เราก็เลยได้แต่มองๆเอา แล้วก็ออกรถตรงกลับกรุงเทพกันในสายๆวันนั้น จำได้ว่าคราวที่มาเชียงใหม่สักสิบกว่าปีที่แล้วนี่น่าประทับใจมาก เมืองไม่ค่อยพลุกพล่านเท่าไหร่ คือยังดูมีเสนห์ เป็นเมืองที่เวลาเดินช้า แลดูเรียบๆ คือถ้าเป็นผู้หญิงนี่ก็สาวเครือฟ้าประมาณนั้น เนิบนาบ อ่อนช้อย ค่อยๆไป มีจริตอย่างลึกลับ บ้านเมืองก็ไม่อีรุงตุงนัง แบบตอนนี้ บ้านไม่เก่าๆ เรือนขายของที่เป็นแบบเรือนทางเหนือแบบลำปาง ลำพูนขนาบไปตามถนนสองข้างทาง ที่เดินผ่านไปแล้วมีแต่รอยยิ้มมันหายไป มาเที่ยวนี้ผมจึงไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ ทุกๆหนึ่งหายใจออก คุณจะเห็นฝรั่งเดินสวนมาในบริเวณกำแพงเมือง ถนนสายหลักๆในกำแพง ของกินที่เป็นอาหารเมืองหายากมาก ไอ้ที่น่าจะเป็นร้านข้าวซอย น้ำพริกหนุ่มแกงโฮะ แกงวัวตั๋วลายนั้น แปรเปลี่ยนเป็นเกสต์เฮาส์และร้านกาแฟและร้านขายของชำไปหมด มองไปทางไหนก็จะเห็นวัฒนธรรมไอ้ที่เรียกกันว่า"ชิว ชิว" ที่น่ารังเกียจอยู่เกลื่อน ผมเป็นคนไม่ชอบเลยไอ้"ชิว ชิว" นี่ ไม่มันจะ"ชิว"ไปทำไม ตอนอยู่กรุงเทพนี่ผมเข้าใจ ว่ามันเป็นเมืองหลวง เป็นเมืองใหม่ มีความทันสมัย ต้องหรูหรา นี่ผมพอรับได้ จะชิวจะเท่ก็ว่ากันไปเพราะกรุงเทพฯมันไม่ได้มีวัฒนธรรมเชิงลึก เหมือนที่อื่นอย่างเชียงใหม่ อย่างอยุธยาเขา มาเชียงใหม่เที่ยวนี้ผมเลยเจอแต่ภาพเชียงใหม่ที่ "ใหม่" จริงๆสำหรับผม นักท่องเที่ยวต่างชาติยกตีนขึ้นวางโต๊ะนั่งสูบบุหรี่ด้วยอาการ"ชิว ชิว" ตามร้านกาแฟ บ้างก็นั่งดื่มเหล้าอยู่ในผับเสียงดังโครมคราม บ้างก็ขี่มอเตอร์ไซด์ขับร่อนฉวัดเฉวียนไปมา ผมเองชักสงสัยเหมือนกันว่า ตกลงเราโฆษณาให้เขามาเชียงใหม่เพื่อมาทำอะไร มา"ชิว ชิว" มาเปลี่ยนที่ฟังเพลง เปลี่ยนที่สูบบุหรี เปลี่ยนที่กินเหล้า หรือให้เขามาชมวัฒนธรรมเมืองเหนือ ของเราแล้วซึมซาบเอามันกลับไปบ้านเขากันแน่ แล้วผมก็หายใจออกอย่างเสียดายว่า อีกไม่นานนัก เชียงใหม่เมืองที่เป็นเสมือนตัวแทนของภาคเหนือ เมืองที่เป็นเหมือนสาวนุ่งซิ่นตีนจกไหม ทัดดอกเก็จถวา กางจ้องเดินกาดเช้า คงจะกลายเป็นสาวกรุ่งนุ่งสั้น ใส่เสื้อรัดติ้วหิ้วเป๋าใส่แว่น ไปในอีกไม่นานนัก คิดแล้วก็ก้มกราบพระธาตุเจดีย์หลวง อฐิษฐานในใจให้เวลาของเชียงใหม่เดินช้าลงบ้าง อย่าไปตามกรุงเทพให้มันเร็วไปนัก ไม่ต้องรีบ"ชิว ชิว" ประเดี๋ยวมันจะไม่มีที่ให้ผมไปเที่ยว... ................................................................. |
จะเรียกอะไรบ่อยๆ
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] Friends Blog |