สิงหาคม 2555

 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
 
 
All Blog
เฝ้ารอเวลาที่ลมแห่งรักนั้นจะพัดพามาอีกครั้ง (4)








เย็นวันนั้นกิจกรรมถ่ายภาพของเราเริ่มขึ้นกันแบบจริงๆจังๆที่แถวสะพานรัษฎาภิเศก

สะพานข้ามแม่น้ำวัง ที่เป็นแม่น้าสายเดียวที่พาดผ่านใจกลางจังหวัดลำปาง

ด้วยว่าสะพานแห่งนี้เป็นสะพานแห่งเดียวที่ เหลือรอดจากการทิ้งระเบิดของสัมพันธมิตร

ในยุคของสงครามโลกครั้งที่สอง

สะพานนี้สร้างขึ้นครั้งสมัยรัชกาลที่ห้า ในช่วงที่พระองค์ครองราชย์ครบ 25 ปี

นับว่าเป็นสะพานที่เก่าแก่มากๆแห่งหนึ่ง ตัวสะพานเดิมไม่มีโครงร่างเก่าหลงเหลืออยู่แล้ว

สภาพในปัจจุบันเป็นสภาพที่ถูกบูรณะขึ้นมาใหม่เมื่อปี 2460

เป็นทรงสะพานโค้งๆแบบสะพานรถไฟหลายๆแห่ง

ทั้งสองด้านของข้างสะพาน มีสะพานไม้เล็ๆกขนาบข้างให้ผู้คนเดินเท้า

ได้อาศัยสัญจรข้ามแม่น้ำไปมาได้ เราจึงปักหลักมาเก็บภาพและชมพระอาทิตย์ตกแม่น้ำ

จนกระทั่งแสงสุดท้านเลือนหายไป และความืดของราตรีเข้ามาแทนที่

ลมหนาวของต้นเดือนมกราคมที่โชยมาเบียดร่างกายของผมในคืนนั้น

มันพาให้ผมคิดลมหนาวของคืนแอ็บเปิ้ลตกพื้น ที่เหมือนกันราวกับว่าเป็นคืนเดียวกัน

และวันนี้เป็นวันครบรอบ...









เทอมแรกของ ม.6 เข้ามาถึงเหตุการ์ณระหว่างผมกับบัวกลายเป็นดีขึ้น แต่มันกลายเป็น

การดีขึ้นแบบไม่อยู่ในสายตาคนอื่น ผมจำไม่ได้ว่าผมไปทำอะไร ทำให้บัวยอมกลับมาพูดกับผม

แต่มันมีภาพๆหนึ่ง คือผมไปนั่งอยู่ตรงข้ามบ้านบัว ซึ่งผมนั่งอยู่คนละฟากถนน ผมนั่งอยู่จนครึ่ง

จนค่อนวัน ราวกับว่าขืนเธอไม่ออกมาให้ฉันพบ ฉันก็จะทู่ซี้นั่งอยู่จนละลายตายแห้ง

กลายเป็นผีอยู่ตรงหน้าบ้านเธอนั่นแหละ และจำได้ว่าผ่านไปค่อนเย็น เธอถึงยอมออกมา

คุยกับผม และสุดท้ายก็เหมือนเราจะตกลงกันได้ว่า เราจะคบเป็นเพื่อนกันเท่านั้น ไม่เป็น

แฟนกัน และถ้าอยู่ในโรงเรียน เราจะเป็นเหมือนคนไม่รู้จักกัน โกรธกันตลอดไป

แต่เธออนุญาติให้ผมมาพบมาเจอได้ในวันเสาร์อาทิตย์นอกโรงเรียน

จะได้ไม่มีใครเห็นใครรู้ อืมผมว่ามันก็ยังดี แต่ผมว่าผมไม่เข้าใจผู้หญิงว่ะ 


ในช่วงปีสุดท้ายของชั้นมัธยมผมก็ยังไปพบไปหา 

รวมถึงโทรไปพูดไปคุยกับเธอแทบทุกคืนที่ผมว่าง 

ตู้โทรศัพท์แถวบ้านแบบหยอดเหรียญสมัยก่อนนั้น จะมีผมเข้าไปสิงอยู่อย่างน้อยๆ

ก็ครึ่งชั่วโมงทุกคืน ที่ตลกมาที่สุดคือผมเคยต้องเอากระดาษออกมาจด เป็นหัวข้อๆ

เอาไว้ว่า วันนี้ที่โทรไปหา ผมจะคุยอะไรกับเธอดี เพราะถ้าไม่มีอะไรจะคุยเธอก็จะวางสาย

แล้วผมจะไม่ได้คุยกับเธออีกตั้งหนึ่งวัน ดังนั้นผมจึงต้องจดๆนึกๆทุกเย็นว่า 

วันนี้จะคุยเรื่องอะไรดีเพื่อไม่ให้มันน่าเบื่อและน่ารำคาญ เพราะเสียงปลายทางที่ผมได้ยิน

แม้ว่ามันจะเป็นเสียงบ่นเสียด่าเสียงชวนทะเลาะ เสียงเตือนเรื่องเรียน เรื่องผู้หญิงที่ผมไปจีบ

มันก็เป็นเสียงที่ผมปราถนาจะได้ยินทุกคืนก่อนนอน

เทอมสองของชั้นมัธยมหกคืบเข้ามา เวลาแห่งกาจากลาก็เข้ามาถึงเหมือนกัน ทุกๆคนตั้งหน้า

ตั้งตาอ่านหนังสือเอาเป็นเอาตายเพื่อเตรียมสอบ ส่วนผมก็ยังหลบหลีกการอ่านหนังสือ

และการเรียน ไปแอบนั่งวาดภาพเสก็ตภาพตามประสาคนรักศิลปะสายลมและแสงแดด

จนกระทั่งวันหนึ่งครูสอนวิชาภาษาไทย อดรนทนไม่ไหวกับอาร์ตตัวลูกแบบผม แกจึงส่ง

นังนกยักษ์ตัวนั้นก็คือบัวมาลากผมขึ้นไปเรียน จำได้ว่าบัวเดินดุ่มๆเข้ามาในห้องศิลปะ แล้วก็มาล้ม

กระดานหมากฮอสของผมกับไอ้ชาติเพื่อนเกษตรห้องสี่ทิ้ง จากนั้นก็พูดแค่ว่า


"ไปเรียน" จากนั้นก็ชี้มือไปทางห้องเรียน

ครั้งนั้นแหละมั๊งเป็นครั้งเดียวที่บัวยอมเอ่ยปากพูดกับผมในโรงเรียนต่อหน้าคนอื่น


หลังจากวันนั้นผมจะเห็นตาถมึงทึง กวาดมาฟาดหัวผมเสมอเวลาที่ผมนั่งคุยเป็ดห่านอยู่หลังห้อง

แต่ที่แน่ๆ ผมไม่ได้โดดเรียนอีกเลยตลอดเทอม แต่กลายเป็นคนรักเรียนขึ้นมาเสียเฉยๆ


หลังจากพ้นเทอมชั้นม.6 จบการศึกษา ช่วงเวลานั้นวันสุดท้ายผมก็จำไม่ได้อีกแหละว่าผม

ได้เจอกับบัวก่อนจากกันหรือเปล่า แต่ที่รู้คือเธอสอบเอ็นทรานซ์ติดและได้ไปเรียนอยู่ที่

มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ 

เราติดต่อกันด้วยจดหมายอยู่สองสามปี แทบทุกหนึ่งเดือน

ผมจะเขียนจดหมายหาเธอหนึ่งฉบับ ใจความก็คงเป็นเดิมๆเรืองสารทุกข์สุขดิบ

บางทีเธอก็ยังเคยแนะนำเพื่อนหญิงให้ผมรู้จักทางจดหมายเสียด้วย จนแล้วจนรอด

พอพ้นปีสามของการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย เธอก็มีจดหมายมาว่าเธอคบอยู่กับรุ่นพี่

ที่คณะ และขอร้องไม่ให้ผมส่งจดหมายไปหาเธออีก ไอ้ด้วยความที่ผมก็คงเลือนๆ

ไปว่าเคยชอบเธอ และก็คงมีแฟนเป็นชิ้นเป็นอันอยู่ด้วยแล้วในขณะนั้น การติดต่อ

ระหว่าเราจึงขาดหายไป จดหมายฉบับสุดท้ายก็คงปลิวหายไปตามสายลมและเวลาของมัน

และผมก็ไม่เคยจำได้ว่า ใจความในจดหมายฉบับสุดท้ายนั้น เขียนว่าอะไร...


สิ้นปีสี่ผมยังคงเรียนไม่จบ แต่ได้ข่าวจากเพื่อนคนหนึ่งว่าเธอเรียนจบกลับมาอยู่กรุงเทพแล้ว

และกำลังหางานทำ ผมตัดสินใจไปที่หน้าบ้านเธออีกครั้งเพื่อไปดักพบ แต่คนแถวนั้นก็

บอกว่าเธอย้ายบ้านไปแล้ว ไปอยู่อีกที่หนึ่ง ผมก้ใช้ความเพียรเดินหาอยู่อีกสามสี่วัน

ตามคำบอกของคนแถวบ้านเก่าของเธอ แต่คงเป็นเพราะบุญกรรมเราหมดต่อกันตั้งนาน

มาแล้ว ผมจึงไม่เคยรู้ว่าเธอย้ายไปอยู่ที่ไหนของโลก


วันสุดท้ายของการออกค้นหา ผมกำลังจะเดินกลับไปขึ้นรถเมล์กลับบ้าน

ด้วยจิตใจที่ท้อและห่อเหี่ยว คิดว่าชาตินี้คงมีกรรมกันมาแค่นี้

ผมตัดสินใจเลิกค้นเลิกหา

แต่ขณะที่ผมกำลังเดินอยู่ฝั่งหนึ่งของถนนตรงไปยังป้ายรถเมล์ เพื่อจะกลับบ้าน

อีกฝั่งหนึ่งผมก็มองเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง แม้แค่แว่บเดียวที่ผมเห็นหน้าผมก็จำได้ทันทีว่า

ผมหานางนกยักษ์ของผมเจอแล้ว

เธอเดินอยู่อีกฝั่งฟากถนน ด้วยความดีใจ 

ผมตัดสินใจจะข้ามไปหาเธอ แต่แล้วเมื่อผมข้ามไปได้

ครึ่งทาง ผมก็หยุดยืนอยู่ตรงกลางถนนนั้น ไม่ได้ข้ามไปต่อ เพราะผมหาเหตุผลดีๆสักข้อเดียว

หรือเรื่องจะคุยกับเธอสักเรื่องเดียวก็ไม่มี ที่สำคัญ กับผม เธอคงลบเรื่องราวในอดีตจบไปแล้ว

ก็คงจะมีแต่ตัวผมเองนี่แหละที่ไม่อยากจะให้มันจบ แต่เมื่อนึกถึงที่เธอพูดว่า ระหว่างเรา

มันคงไม่มีวันเริ่ม ผมจึงได้แต่ยืนอยู่ที่กลางถนนตรงนั้น ดูเธอเดินหายไปลับตา 

ผมยืนเดียวดายอยู่กลางถนนนั้นได้สักสิบนาที ภาพในความทรงจำของผมผุดพราย

ขึ้นมาเป็นภาพดีๆในเวลาของอดีต ผมตัดสินใจหันหลังเดินกลับ

ปล่อยให้เวลามันหยุดเดินอยู่แค่ยอดดอยผาดอกจำปาแดดตลอดกาล




เช้าวันสุดท้ายของลำปาง เราตื่นขึ้นมาพร้อมอากาศที่หนาวจับใจ นอกห้องพักเต็มไปด้วย

ไอหมอกจางๆ ปกคลุมไปทั่วทุกหนทาง พวกเราเก็บข้าวเก็บของเข้าไว้ในรถ เพื่อเตรียมเดินทางกลับ

กรุงเทพ ช่วงที่เดินทางออกมาสักประเดี๋ยวประด๋าวไม่ไกลจากที่พัก เราก็ได้พบกับภาพสุดท้าย

ของลำปางที่ราวกับว่า ลำปางจัดสร้างภาพลาจากเอาไว้ให้ได้เป็นภาพประทับใจ 

ภาพที่เห็นคือภาพแม่น้ำวังที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกจางๆ 

แสงสีทองของดวงอาทิตย์ยามเช้าทาบทาลงบนพื้นน้ำและพื้นดินของเมืองลำปาง 

ผมรีบเก็บภาพเหล่านั้นไว้ให้ได้มากที่สุด ก่อนที่พระอาทิตย์และหมอกจะเลื่อนเลยไป และสุดท้าย

เมื่อได้เวลา ผมก็ค่อยๆบอกลาแม่น้าวัง บอกลาลำปาง บอกลาความทรงจำที่ฝังดินอยู่ที่ใดที่หนึ่ง

ในเมืองลำปางแห่งนี้ในใจ ก่อนที่จะนึกฝันเอาว่า วันใดวันหนึ่งกลางสะพานรัฐฎาภิเษก 

ผมคงมีโอกาสได้เจอนังนกยักษ์คนนั้นอีกสักครั้ง ในฐานะเพื่อนเก่าที่คุ้นเคย 

ในวันที่ลมแห่งรักพัดพาผมกลับมาที่ลำปางอีกครั้ง...












.......................................................


แด่นังนกยักษ์ เพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งสมัยมัธยม

ขอบคุณลุงวาณิช ที่ให้แรงบันดาลใจจนผมเขียนมาจนจบ

ขอบคุณเพลงยามเมื่อลมพัดหวน ที่พัดพาความทรงจำดีๆมาให้

ขอบคุณน้องห้า ที่เป็นเพื่อนพาไปลำปาง

ขอบคุณภรรยาที่เข้าใจว่ามันเป็นอดีต และปัจจุบันผมมีเมียแล้ว

ขอบคุณสจ๊วตปัจจุบันยังกลับมาเป็นเพื่อนกันอีกและรอดตายมาจากยะลา

ขอบคุณเพื่อศ.ว 6/32 ในอดีตทุกคน

สุดท้ายขอบคุณเจ้าของชื่อ บัวสาคร คนนั้น




Create Date : 30 สิงหาคม 2555
Last Update : 30 สิงหาคม 2555 17:41:08 น.
Counter : 982 Pageviews.

3 comments
  
คุณครับ ..... อยากจะบอกว่า คุณเขียนเรื่องได้ดีมาก เขียนได้สนุก สำนวนน่าอ่าน ราวกับกำลังอ่านผลงานจากนักเขียนมืออาชีพอยู่ทีเดียวเชียว ผมอ่านเพลินจนจบทั้งสี่ตอนเลยล่ะ .....

อีกอย่าง ผลงานภาพถ่ายประกอบเรื่องก็สวยงามอีกด้วยครับ .....

โดย: NET-MANIA วันที่: 30 สิงหาคม 2555 เวลา:19:54:15 น.
  
-ขอบคุณที่ชอบครับ จริงๆเขียนไว้เยอะเลย จะทะยอยเอามาลงครับ
ขอบคุณครับ
โดย: Eakiji Onisuka วันที่: 31 สิงหาคม 2555 เวลา:11:54:37 น.
  
โดย: Eakiji Onisuka วันที่: 8 ตุลาคม 2555 เวลา:19:55:54 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

จะเรียกอะไรบ่อยๆ
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



คุณไปเที่ยวเมืองไทยมาครบหรือยัง ภาคเหนือ ผมไปมาเกือบครบหมดแล้ว... ภาคใต้ เพิ่งไปได้ไม่มากเท่าไหร่ ภาคกลางนี่ทุกจังหวัดครบถ้วน ภาคอีสานนี่ก็คงต้องหาเวลาไปให้ได้ ระหว่างทาง ผมได้พบ ได้เห็นอะไรที่ผมคิดว่าเป็นมุมมอง เป็นความสนุก เป็นความสุข แม้กระทั่งเป็นความทุกข์ ผมก็ใช้กล้องตัวหนึ่ง เก็บภาพเหล่านั้นไว้ เอามาถ่ายทอดลงบนBlog เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ เหล่านั้นไป.. . ครูผมเคยบอกว่า "ถ้าคุณวาดรูปด้วยมือไม่ได้...ก็ใช้กล้องกับปากกาวาดแทนก็แล้วกัน" ผมกำลังเร่งมือทำอยู่ครับ