Group Blog All Blog
|
เฝ้ารอเวลาที่ลมแห่งรักนั้นจะพัดพามาอีกครั้ง (4)
เย็นวันนั้นกิจกรรมถ่ายภาพของเราเริ่มขึ้นกันแบบจริงๆจังๆที่แถวสะพานรัษฎาภิเศก สะพานข้ามแม่น้ำวัง ที่เป็นแม่น้าสายเดียวที่พาดผ่านใจกลางจังหวัดลำปาง ด้วยว่าสะพานแห่งนี้เป็นสะพานแห่งเดียวที่ เหลือรอดจากการทิ้งระเบิดของสัมพันธมิตร ในยุคของสงครามโลกครั้งที่สอง สะพานนี้สร้างขึ้นครั้งสมัยรัชกาลที่ห้า ในช่วงที่พระองค์ครองราชย์ครบ 25 ปี นับว่าเป็นสะพานที่เก่าแก่มากๆแห่งหนึ่ง ตัวสะพานเดิมไม่มีโครงร่างเก่าหลงเหลืออยู่แล้ว สภาพในปัจจุบันเป็นสภาพที่ถูกบูรณะขึ้นมาใหม่เมื่อปี 2460 เป็นทรงสะพานโค้งๆแบบสะพานรถไฟหลายๆแห่ง ทั้งสองด้านของข้างสะพาน มีสะพานไม้เล็ๆกขนาบข้างให้ผู้คนเดินเท้า ได้อาศัยสัญจรข้ามแม่น้ำไปมาได้ เราจึงปักหลักมาเก็บภาพและชมพระอาทิตย์ตกแม่น้ำ จนกระทั่งแสงสุดท้านเลือนหายไป และความืดของราตรีเข้ามาแทนที่ ลมหนาวของต้นเดือนมกราคมที่โชยมาเบียดร่างกายของผมในคืนนั้น มันพาให้ผมคิดลมหนาวของคืนแอ็บเปิ้ลตกพื้น ที่เหมือนกันราวกับว่าเป็นคืนเดียวกัน และวันนี้เป็นวันครบรอบ... เทอมแรกของ ม.6 เข้ามาถึงเหตุการ์ณระหว่างผมกับบัวกลายเป็นดีขึ้น แต่มันกลายเป็น การดีขึ้นแบบไม่อยู่ในสายตาคนอื่น ผมจำไม่ได้ว่าผมไปทำอะไร ทำให้บัวยอมกลับมาพูดกับผม แต่มันมีภาพๆหนึ่ง คือผมไปนั่งอยู่ตรงข้ามบ้านบัว ซึ่งผมนั่งอยู่คนละฟากถนน ผมนั่งอยู่จนครึ่ง จนค่อนวัน ราวกับว่าขืนเธอไม่ออกมาให้ฉันพบ ฉันก็จะทู่ซี้นั่งอยู่จนละลายตายแห้ง กลายเป็นผีอยู่ตรงหน้าบ้านเธอนั่นแหละ และจำได้ว่าผ่านไปค่อนเย็น เธอถึงยอมออกมา คุยกับผม และสุดท้ายก็เหมือนเราจะตกลงกันได้ว่า เราจะคบเป็นเพื่อนกันเท่านั้น ไม่เป็น แฟนกัน และถ้าอยู่ในโรงเรียน เราจะเป็นเหมือนคนไม่รู้จักกัน โกรธกันตลอดไป แต่เธออนุญาติให้ผมมาพบมาเจอได้ในวันเสาร์อาทิตย์นอกโรงเรียน จะได้ไม่มีใครเห็นใครรู้ อืมผมว่ามันก็ยังดี แต่ผมว่าผมไม่เข้าใจผู้หญิงว่ะ ในช่วงปีสุดท้ายของชั้นมัธยมผมก็ยังไปพบไปหา รวมถึงโทรไปพูดไปคุยกับเธอแทบทุกคืนที่ผมว่าง ตู้โทรศัพท์แถวบ้านแบบหยอดเหรียญสมัยก่อนนั้น จะมีผมเข้าไปสิงอยู่อย่างน้อยๆ ก็ครึ่งชั่วโมงทุกคืน ที่ตลกมาที่สุดคือผมเคยต้องเอากระดาษออกมาจด เป็นหัวข้อๆ เอาไว้ว่า วันนี้ที่โทรไปหา ผมจะคุยอะไรกับเธอดี เพราะถ้าไม่มีอะไรจะคุยเธอก็จะวางสาย แล้วผมจะไม่ได้คุยกับเธออีกตั้งหนึ่งวัน ดังนั้นผมจึงต้องจดๆนึกๆทุกเย็นว่า วันนี้จะคุยเรื่องอะไรดีเพื่อไม่ให้มันน่าเบื่อและน่ารำคาญ เพราะเสียงปลายทางที่ผมได้ยิน แม้ว่ามันจะเป็นเสียงบ่นเสียด่าเสียงชวนทะเลาะ เสียงเตือนเรื่องเรียน เรื่องผู้หญิงที่ผมไปจีบ มันก็เป็นเสียงที่ผมปราถนาจะได้ยินทุกคืนก่อนนอน เทอมสองของชั้นมัธยมหกคืบเข้ามา เวลาแห่งกาจากลาก็เข้ามาถึงเหมือนกัน ทุกๆคนตั้งหน้า ตั้งตาอ่านหนังสือเอาเป็นเอาตายเพื่อเตรียมสอบ ส่วนผมก็ยังหลบหลีกการอ่านหนังสือ และการเรียน ไปแอบนั่งวาดภาพเสก็ตภาพตามประสาคนรักศิลปะสายลมและแสงแดด จนกระทั่งวันหนึ่งครูสอนวิชาภาษาไทย อดรนทนไม่ไหวกับอาร์ตตัวลูกแบบผม แกจึงส่ง นังนกยักษ์ตัวนั้นก็คือบัวมาลากผมขึ้นไปเรียน จำได้ว่าบัวเดินดุ่มๆเข้ามาในห้องศิลปะ แล้วก็มาล้ม กระดานหมากฮอสของผมกับไอ้ชาติเพื่อนเกษตรห้องสี่ทิ้ง จากนั้นก็พูดแค่ว่า "ไปเรียน" จากนั้นก็ชี้มือไปทางห้องเรียน ครั้งนั้นแหละมั๊งเป็นครั้งเดียวที่บัวยอมเอ่ยปากพูดกับผมในโรงเรียนต่อหน้าคนอื่น หลังจากวันนั้นผมจะเห็นตาถมึงทึง กวาดมาฟาดหัวผมเสมอเวลาที่ผมนั่งคุยเป็ดห่านอยู่หลังห้อง แต่ที่แน่ๆ ผมไม่ได้โดดเรียนอีกเลยตลอดเทอม แต่กลายเป็นคนรักเรียนขึ้นมาเสียเฉยๆ หลังจากพ้นเทอมชั้นม.6 จบการศึกษา ช่วงเวลานั้นวันสุดท้ายผมก็จำไม่ได้อีกแหละว่าผม ได้เจอกับบัวก่อนจากกันหรือเปล่า แต่ที่รู้คือเธอสอบเอ็นทรานซ์ติดและได้ไปเรียนอยู่ที่ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ เราติดต่อกันด้วยจดหมายอยู่สองสามปี แทบทุกหนึ่งเดือน ผมจะเขียนจดหมายหาเธอหนึ่งฉบับ ใจความก็คงเป็นเดิมๆเรืองสารทุกข์สุขดิบ บางทีเธอก็ยังเคยแนะนำเพื่อนหญิงให้ผมรู้จักทางจดหมายเสียด้วย จนแล้วจนรอด พอพ้นปีสามของการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย เธอก็มีจดหมายมาว่าเธอคบอยู่กับรุ่นพี่ ที่คณะ และขอร้องไม่ให้ผมส่งจดหมายไปหาเธออีก ไอ้ด้วยความที่ผมก็คงเลือนๆ ไปว่าเคยชอบเธอ และก็คงมีแฟนเป็นชิ้นเป็นอันอยู่ด้วยแล้วในขณะนั้น การติดต่อ ระหว่าเราจึงขาดหายไป จดหมายฉบับสุดท้ายก็คงปลิวหายไปตามสายลมและเวลาของมัน และผมก็ไม่เคยจำได้ว่า ใจความในจดหมายฉบับสุดท้ายนั้น เขียนว่าอะไร... สิ้นปีสี่ผมยังคงเรียนไม่จบ แต่ได้ข่าวจากเพื่อนคนหนึ่งว่าเธอเรียนจบกลับมาอยู่กรุงเทพแล้ว และกำลังหางานทำ ผมตัดสินใจไปที่หน้าบ้านเธออีกครั้งเพื่อไปดักพบ แต่คนแถวนั้นก็ บอกว่าเธอย้ายบ้านไปแล้ว ไปอยู่อีกที่หนึ่ง ผมก้ใช้ความเพียรเดินหาอยู่อีกสามสี่วัน ตามคำบอกของคนแถวบ้านเก่าของเธอ แต่คงเป็นเพราะบุญกรรมเราหมดต่อกันตั้งนาน มาแล้ว ผมจึงไม่เคยรู้ว่าเธอย้ายไปอยู่ที่ไหนของโลก วันสุดท้ายของการออกค้นหา ผมกำลังจะเดินกลับไปขึ้นรถเมล์กลับบ้าน ด้วยจิตใจที่ท้อและห่อเหี่ยว คิดว่าชาตินี้คงมีกรรมกันมาแค่นี้ ผมตัดสินใจเลิกค้นเลิกหา แต่ขณะที่ผมกำลังเดินอยู่ฝั่งหนึ่งของถนนตรงไปยังป้ายรถเมล์ เพื่อจะกลับบ้าน อีกฝั่งหนึ่งผมก็มองเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง แม้แค่แว่บเดียวที่ผมเห็นหน้าผมก็จำได้ทันทีว่า ผมหานางนกยักษ์ของผมเจอแล้ว เธอเดินอยู่อีกฝั่งฟากถนน ด้วยความดีใจ ผมตัดสินใจจะข้ามไปหาเธอ แต่แล้วเมื่อผมข้ามไปได้ ครึ่งทาง ผมก็หยุดยืนอยู่ตรงกลางถนนนั้น ไม่ได้ข้ามไปต่อ เพราะผมหาเหตุผลดีๆสักข้อเดียว หรือเรื่องจะคุยกับเธอสักเรื่องเดียวก็ไม่มี ที่สำคัญ กับผม เธอคงลบเรื่องราวในอดีตจบไปแล้ว ก็คงจะมีแต่ตัวผมเองนี่แหละที่ไม่อยากจะให้มันจบ แต่เมื่อนึกถึงที่เธอพูดว่า ระหว่างเรา มันคงไม่มีวันเริ่ม ผมจึงได้แต่ยืนอยู่ที่กลางถนนตรงนั้น ดูเธอเดินหายไปลับตา ผมยืนเดียวดายอยู่กลางถนนนั้นได้สักสิบนาที ภาพในความทรงจำของผมผุดพราย ขึ้นมาเป็นภาพดีๆในเวลาของอดีต ผมตัดสินใจหันหลังเดินกลับ ปล่อยให้เวลามันหยุดเดินอยู่แค่ยอดดอยผาดอกจำปาแดดตลอดกาล เช้าวันสุดท้ายของลำปาง เราตื่นขึ้นมาพร้อมอากาศที่หนาวจับใจ นอกห้องพักเต็มไปด้วย ไอหมอกจางๆ ปกคลุมไปทั่วทุกหนทาง พวกเราเก็บข้าวเก็บของเข้าไว้ในรถ เพื่อเตรียมเดินทางกลับ กรุงเทพ ช่วงที่เดินทางออกมาสักประเดี๋ยวประด๋าวไม่ไกลจากที่พัก เราก็ได้พบกับภาพสุดท้าย ของลำปางที่ราวกับว่า ลำปางจัดสร้างภาพลาจากเอาไว้ให้ได้เป็นภาพประทับใจ ภาพที่เห็นคือภาพแม่น้ำวังที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกจางๆ แสงสีทองของดวงอาทิตย์ยามเช้าทาบทาลงบนพื้นน้ำและพื้นดินของเมืองลำปาง ผมรีบเก็บภาพเหล่านั้นไว้ให้ได้มากที่สุด ก่อนที่พระอาทิตย์และหมอกจะเลื่อนเลยไป และสุดท้าย เมื่อได้เวลา ผมก็ค่อยๆบอกลาแม่น้าวัง บอกลาลำปาง บอกลาความทรงจำที่ฝังดินอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ในเมืองลำปางแห่งนี้ในใจ ก่อนที่จะนึกฝันเอาว่า วันใดวันหนึ่งกลางสะพานรัฐฎาภิเษก ผมคงมีโอกาสได้เจอนังนกยักษ์คนนั้นอีกสักครั้ง ในฐานะเพื่อนเก่าที่คุ้นเคย ในวันที่ลมแห่งรักพัดพาผมกลับมาที่ลำปางอีกครั้ง... ....................................................... แด่นังนกยักษ์ เพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งสมัยมัธยม ขอบคุณลุงวาณิช ที่ให้แรงบันดาลใจจนผมเขียนมาจนจบ ขอบคุณเพลงยามเมื่อลมพัดหวน ที่พัดพาความทรงจำดีๆมาให้ ขอบคุณน้องห้า ที่เป็นเพื่อนพาไปลำปาง ขอบคุณภรรยาที่เข้าใจว่ามันเป็นอดีต และปัจจุบันผมมีเมียแล้ว ขอบคุณสจ๊วตปัจจุบันยังกลับมาเป็นเพื่อนกันอีกและรอดตายมาจากยะลา ขอบคุณเพื่อศ.ว 6/32 ในอดีตทุกคน สุดท้ายขอบคุณเจ้าของชื่อ บัวสาคร คนนั้น -ขอบคุณที่ชอบครับ จริงๆเขียนไว้เยอะเลย จะทะยอยเอามาลงครับ
ขอบคุณครับ โดย: Eakiji Onisuka วันที่: 31 สิงหาคม 2555 เวลา:11:54:37 น.
โดย: Eakiji Onisuka วันที่: 8 ตุลาคม 2555 เวลา:19:55:54 น.
|
จะเรียกอะไรบ่อยๆ
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] Friends Blog |
อีกอย่าง ผลงานภาพถ่ายประกอบเรื่องก็สวยงามอีกด้วยครับ .....